บทที่ 8 ข้าไม่ได้ตั้งใจ
ไม่นานแม่นมได้กลับมาพร้อมท่านหมอตรวจร่างกายจัดการบาดแผลให้แก่หลี่มี่ โชคดีที่นางไม่ได้รับบาดเจ็บมากเพียงแค่หัวแตกเท่านั้น ส่วนที่นางสลบน่าจะเป็นเพราะนางตกใจจนเกินไป
เมื่อท่านหมอรักษาแผลให้หลี่มี่เสร็จเขาจึงขอตัวกลับ ส่วนอ้ายเยว่ไม่กล้าที่จะเข้าไปที่ห้องเดินไปมาอยู่หน้าห้องอย่างเป็นกังวล ส่วนลูกแมวน้อยเขาได้ให้แม่นมพาไปที่ห้องของเขาแล้ว เทียนหลันเซ่อรู้ว่าเยิ่นเม่ยเม่ยปลอดภัย เขาจึงเดินออกมาหน้าห้องพบเห็นอ้ายเยว่เดินไปมาอย่างเป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัด เขาจึงเดินเข้ามาหาบุตรชายเพื่อสอบถามเรื่องราวที่เกิดขึ้น อ้ายเยว่เห็นท่านพ่อเดินออกมาจากห้องจึงรีบเข้าไปเอ่ยถามอาการของเยิ่นเม่ยเม่ย
“ท่านพ่อนางเป็นเช่นไรบ้างขอรับ ข้าไม่ได้ทำให้นางตายใช่มั้ย? ท่านพ่อหากนางตายข้าจะทำเช่นไร” เทียนหลันเซ่อวางมือลงบนบ่าของอ้ายเยว่ทั้งสองข้างนั่งคุกเข่าลงเพื่อถามเรื่องราวที่เกิดขึ้นในครั้งนี้
“อ้ายเยว่บอกข้ามาว่าเรื่องนี้มันเกิดอะไรขึ้นทำไมนางถึงได้รับบาดเจ็บ แล้วทำไมเจ้าต้องคิดว่าตนเองฆ่านางหรือว่าเจ้ารังแกนาง” น้ำเสียงกดต่ำเพียงแค่ได้ยินก็รู้เย็นยะเยือกถึงหัวใจ
เด็กชายสั่นกลัวส่ายหน้ามองไปทางอื่นมิกล้าที่จะสบสายตาท่านพ่อ พร้อมเอ่ยบอกอย่างกระตุกกระตัก
“ข้าไม่ได้ตั้งใจขอรับท่านพ่อ ข้าแค่จะช่วยแมวที่ต้นไม้จึงปีนขึ้นบนหลังคาแต่ข้าพลาดตก ข้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่านางจะเข้ามาช่วย ข้าตกลงมาใส่นางทำให้หัวของนางเลือดออก อึก.. อึก.. ท่านพ่ออย่าบอกนะขอรับว่าข้าฆ่านาง” เด็กชายเริ่มเอ่ยเสียงสั่นสะอึกสะอื้น แต่เทียนหลันเซ่อกลับถอนหายใจ เขาคิดว่าบุตรชายของเขาเป็นคนรังแกทำให้นางได้รับบาดเจ็บ แต่ไม่ใช่อย่างที่เขาคิดเขาเองก็เบาใจ ยกมือลูบหัวของอ้ายเยว่อย่างแผ่วเบา น้ำเสียงนุ่มกว่าคราวก่อนเพื่อปลอบประโลมให้เด็กชายหยุดร้องไห้
“นางปลอดภัยแล้ว ข้าคิดว่าเจ้าทำร้ายนางเสียอีก” เด็กชายมองหน้าท่านพ่อพร้อมย้อนคำพูดของเขาเพื่อให้แน่ใจอีกครั้ง
“นางปลอดภัยแล้วหรือขอรับ? ” เด็กชายหน้าระรื่นใช้มือปาดน้ำตาอย่างดีใจ
“ใช่แล้ว เจ้าเห็นหรือไม่ว่านางเป็นห่วงเจ้าจนกล้าที่จะเจ็บแทน ให้ครั้งนี้เป็นบทเรียนของเจ้า ไปสิเข้าไปดูนางและต่อจากนี้เจ้าเลิกเรียกชื่อนางได้แล้ว จงเรียกนางว่าท่านแม่” ใบหน้าของอ้ายเยว่สลดลงอีกครั้ง แม้ว่าครั้งนี้นางจะช่วยเหลือเขา แต่จะให้เขายอมรับนางเป็นแม่มันช่างเป็นเรื่องที่ยากนัก แถมไม่ตอบอันใดเทียนหลันเซ่อสักคำ เขารับรู้ได้ว่าบุตรชายคิดเช่นไร การที่เด็กคนหนึ่งไม่เคยมีแม่ที่คอยเลี้ยงดูยากนักหากวันหนึ่งจะให้เรียกสตรีอื่นว่าท่านแม่
“ท่านพ่อ เรื่องนี้ข้าต้องขอเวลาสักนิดนะขอรับ”
“เอาเถิด หากนางฟื้นแล้วเจ้าจงนำยาให้นางดื่มด้วย ข้าจะออกไปด้านนอกสักครู่” เทียนหลันเซ่อไม่คาดคั้นลุกขึ้นยืนพร้อมบอกให้เขาดูแลเยิ่นเม่ยเม่ยเมื่อนางฟื้นขึ้นมา
“ข้ารับท่านพ่อ” เด็กชายพยักหน้ารับคำสั่งของท่านพ่อเขาลูบหัวบุตรชายอย่างอ่อนโยนก่อนจะย่างเท้าไปทำเรื่องที่ค้างคาอยู่
อ้ายเยว่เดินย่างเท้าอย่างเบาตัวเกรงว่าเยิ่นเม่ยเม่ยจะตื่นเมื่อเด็กชายเดินมาถึงเตียงนอนพบว่าตอนนี้นางหลับสนิทอยู่บนเตียงหัวถูกโพกด้วยผ้าสีขาว ทำให้อ้ายเยว่รู้สึกผิดที่ทำให้นางได้รับบาดเจ็บ
“ท่านโง่หรือไง มาช่วยข้าทำไมกัน คิดว่าจะทำดีด้วยแค่นี้แล้วข้าจะยอมรับท่านเป็นท่านแม่อย่างนั้นหรืออย่าหวังเลย ไม่มีวันนั้นเสียหรอก” เด็กชายยังคงถือทิฐิของตนเอง แม้จะรู้สึกผิดแต่ยังเย่อหยิ่งเพราะคิดว่าเป็นแผนของเยิ่นเม่ยเม่ย
หลี่มี่ได้ยินเสียงเล็ก ๆ ข้างกายนางรู้สึกตัวตอนนี้เจ็บที่หัวปวดระบมไปหมด
“อื้อ… ทำไมข้าถึงเจ็บหัวอย่างนี้นะ” อ้ายเยว่ได้ยินเสียงครวญครางดังออมาจากปากของเยิ่นเม่ยเม่ยเขารีบเข้าไปดูใกล้ ๆ นางฟื้นแล้วจริง ๆ นะหรือ? แล้วเมื่อครู่นางได้ยินที่เขาเอ่ยหรือไม่? ใบหน้าของอ้ายเยว่กังวลอีกครั้ง
“นี่ท่านฟื้นแล้วหรือ” หลี่มี่ลืมตามาดูก็พบเด็กชายยืนจ้องหน้าอยู่ สมองของนางเริ่มประมวณผล นางจำได้ว่าเด็กชายกำลังหล่นมาจากหลังคานางเข้าไปช่วยจากนั้นก็หมดสติไป แล้วนางมาอยู่ที่ห้องได้อย่างไร
“เจ้าซาลาเปา ข้ามาอยู่ที่ห้องได้อย่างไรเจ้าได้รับบาดเจ็บหรือไม่?”
“เหอะ! นี่ท่านสติฟั่นเฟือนหรืออย่างไรที่เข้ามาช่วยข้าจนตนเองได้รับบาดเจ็บ เมื่อฟื้นมาก็เอาแต่เป็นห่วงข้า ช่างไม่ดูตนเองบ้างเลยคนที่ได้รับบาดเจ็บคือท่านต่างหากเล่าแต่ท่านอย่าคิดนะการที่ช่วยข้าในครั้งนี้แล้วข้าจะยอมรับท่านนะ” เด็กชายกอดอกเบะปากอย่างน่าหมั่นไส้
‘นี่ฉันคิดถูกหรือคิดผิดที่ช่วยเด็กคนนี้กันนะ”
“เฮ้อ! เจ้านี่นะถ้าปากดีเช่นนี้คงไม่เป็นอะไรมาก ว่าแต่ทำไมข้าถึงมาอยู่ที่นี่ได้กันนะ”
“ท่านสำออยแสร้งสลบแน่ ๆ ท่านรู้ใช่หรือไม่ว่าท่านพ่อจะเดินผ่านมา ท่านพ่อเป็นผู้อุ้มท่านมาที่นี่ เอ๊ะ! หรือว่าเมื่อท่านตื่นจะฟ้องท่านพ่อว่าข้ารังแก ท่านช่างเป็นสตรีที่ร้ายกาจเสียจริง” หลี่มี่มองหน้าเด็กชายที่เอ่ยออกด้วยความคิดของเด็กน้อยจนนางส่ายหน้า ยันตนเองลุกขึ้นมานั่งพิงเตียง จับหัวที่ถูกโพกด้วยผ้าอย่างแน่นหนา
“เจ้านี่นะ..ทำไมถึงคิดว่าข้าเป็นสตรีร้ายกาจเช่นนั้นกันหากข้าสตรีร้ายกาจข้าไม่ช่วยเจ้าหรอกนะ”
“แล้วอย่างไรล่ะต่อให้ท่านช่วยข้าอาจจะเป็นว่าท่านอยากได้ความรักจากท่านพ่อเลยเข้ามาช่วยข้าคงคิดหาผลประโยชน์จากข้าสินะ …จริงสิ! ท่านพ่อสั่งไว้เมื่อท่านฟื้นแล้วให้นำยาต้มมาให้ ท่านเจ็บที่หัวคงไม่ได้เจ็บที่ขาหรอกใช่มั้ย? เช่นนั้นท่านก็ลุกมาดื่มเองแล้วกันข้าจะกลับห้อง” เด็กชายเอาแต่ใจคิดอย่างไรก็พูดออกมาเช่นนี้ ตอนนี้หลี่่มี่เหนื่อยล้ามากจนไม่มีเรี่ยวแรงจะมาโต้เถียงกับซาลาเปาก้อนกลมที่อยู่ตรงหน้า
“ข้าหาดื่มเองได้เจ้ากลับห้องเจ้าเถิด ต่อจากนี้จงอย่าได้ทำอันใดอันตรายเช่นนั้นอีก หากวันนี้ข้าช่วยเจ้าไม่ทันจะเกิดอันใดขึ้น เข้าใจหรือไม่ หากเจ้าไม่เชื่อฟังข้าจะเป็นสตรีที่ร้ายกาจอย่างที่เจ้าว่าเอง” หลี่มี่โบกมือไล่ให้เด็กชายออกไปจากห้อง ก่อนที่เด็กชายจะเดินออกไปหลี่มี่ได้ข่มขู่เพื่อให้เขาหวาดกลัวและไม่ทำเช่นดั่งวันนี้อีก แต่เด็กชายกลับหันมายิ้มยั่วพร้อมแลบลิ้นให้นางก่อนจะออกไป
“ข้าไม่สน ข้าไม่ฟังข้าไม่กลัว แบร่ ๆ ” หลี่มี่เจ็บหัวเกินกว่าจะโต้ตอบจึงไม่ได้เอ่ยอันใดปล่อยให้อ้ายเยว่ออกไปเช่นนั้น
นางลุกขึ้นเดินไปที่เครื่องแป้งเพื่อมองดูบาดแผลแต่ทว่าหัวของนางกลับถูกผ้าโพกไว้หมด
“ต้องเจอเรื่องน่าปวดหัวอีกนานแค่ไหนกันนะ ทะลุมิติมาอยู่ในนิยายของตัวเองยังไม่พ้นวัน ไม่คิดว่าจะเจ็บตัวขนาดนี้เลย อื้ม! จริงสิการเจ็บตัวครั้งนี้ก็มีประโยชน์สำหรับฉันนี่น่า” หลี่มี่พลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสนางจะใช้การบาดเจ็บในครั้งนี้เป็นข้ออ้างที่จะไม่ต้องนอนเตียงเดียวกับท่านแม่ทัพ หลี่มี่ยิ้มกว้างเดินไปดื่มยาที่วางอยู่ที่โต๊ะ จากนั้นนางจึงเดินไปที่เตียงเพื่อจะนอนพักผ่อน
ก๊อก ๆ'''' นางกำลังโน้มตัวลงนอนบนเตียงเสียงเคาะประตูได้ดังมาจากข้างนอก เวลานี้ผู้ใดจะมาหานางกัน หรือว่าจะเป็นท่านแม่ทัพกันนะ?
“เข้ามาสิ “นางตอบเสียงที่เคาะประตูข้างนอก แต่เมื่อผู้ที่เข้ามามิใช่ท่านแม่ทัพเป็นสตรีที่นางไม่เคยพบเจอเลย มองดูเสมือนจะเป็นสาวใช้ในจวนแห่งนี้
“ข้ามีนามว่า ‘ไป๋ลู่’ ฮูหยินผู้เฒ่าส่งข้ามาดูแลปรนนิบัติฮูหยินเจ้าค่ะ” เสมือนนางรู้ว่าหลี่มี่คิดอะไร เมื่อเข้ามานางได้เอ่ยนามเพื่อแจ้งให้หลี่มีได้รับรู้ นางได้ยินใบหน้าของหลี่มี่ก็เปลี่ยนไปพลางกระตุกยิ้มที่มุมปาก
‘มาแล้วสินะ สาวใช้ของเยิ่นเม่ยเม่ยที่หักหลังนาง’ นางคิดในใจก่อนจะมองดูไป๋ลู่ตั้งแต่หัวจรดเท้า
“จากนี้เจ้าจะมาดูแลข้าสินะ มาเป็นสาวใช้ประจำตัวของข้าใช่หรือไม่? ”
“ใช่เจ้าค่ะฮูหยิน”
“เช่นนั้นเจ้าต้องทำทุกอย่างที่ข้าสั่งใช่หรือไม่? ”
“เจ้าค่ะฮูหยิน ไม่ว่าท่านจะสั่งให้ข้าทำอันใดข้าสามารถทำได้ทุกอย่างต่อจากนี้ข้าจะจงรักภักดีต่อฮูหยินเพียงผู้เดียวเจ้าค่ะ” ไป๋ลู่เป็นคนพูดจาฉอเลาะเอาอกเอาใจเก่งอย่างที่หลี่มี่แต่งในนิยาย ดังนั้นนางจึงคิดจะแกล้งดูว่านางจะจงรักภักดีอย่างที่นางเอ่ยออกมาหรือไม่ หลี่มี่หันไปพบดาบที่ถูกประดับตกแต่งอยู่ในห้องจึงเอ่ยลองใจนางดู
“หากเช่นนั้นเจ้าจงใช้ดาบที่อยู่ตรงด้านขวานั้นแทงตนเองให้ข้าดูสิ ข้าจะได้รู้ว่าเจ้าจงรักภักดีต่อข้าจริงหรือไม่? ” หลี่มี่เอ่ยออกมาแววตานิ่งเรียบน้ำเสียงเย็นยะเยือกทำให้ไป๋ลู่ใบหน้าถอดสี ทรุดตัวลงกับพื้นก้มลงใช้หัวแนบพื้นอ้อนวอนให้หลี่มี่เปลี่ยนคำสั่งใหม่
“ฮูหยิน โปรดถอนคำพูดด้วยเจ้าค่ะข้าจงรักภักดีต่อท่านจริง ๆ แต่จะให้ข้าทำร้ายตนเองมันไม่ดูโหดร้ายเกินไปหรือเจ้าคะ มีหนทางพิสูจน์ตนแบบอื่นหรือไม่เจ้าคะข้ามีท่านแม่ที่ต้องดูแลไหนจะน้องชายของข้าที่ยังเล็กนักครอบครัวของข้า ขาดท่านพ่อตั้งแต่ท่านแม่ตั้งครรภ์น้องคนเล็ก ฮูหยินโปรดเมตตา” หลี่มี่มองสาวใช้นั่งตัวสั่นเทาเอ่ยออกมาอย่างเว้าวอนเพื่อให้นางเปลี่ยนคำพูด
“เจ้ากลัวหรือ ข้าแค่อยากลองใจเจ้าเท่านั้นเองเจ้าหาได้ทำอันใดผิดข้าจะให้เจ้าทำเช่นนั้นทำไม ต่อจากนี้เจ้าจงดูแลข้าให้ดีตอนนี้ข้าได้รับบาดเจ็บอยากพักผ่อนเจ้าจะไปทำอันใดก็ไปเถิด หากข้าตื่นแล้วจะเรียกใช้” ไป๋ลู่มีสีหน้าดีขึ้นอย่างโล่งอกลุกขึ้นยืนก่อนจะโค้งคำนับเพื่อออกจากห้องตามคำสั่งของฮูหยิน
“เจ้าค่ะ ฮูหยิน”
บทนำ หลี่มี่สาวน้อยนักแต่งนิยายที่ไม่ได้โด่งดัง เธอหลับระหว่างกำลังแต่งนิยายแต่ทว่าชีวิตของเธอต้องเปลี่ยนไปเมื่อเธอลืมตาขึ้นมากลับพบว่าตัวเองเข้ามาอยู่ในนิยายที่ตัวเองแต่ง แถมยังมาอยู่ในร่างของนางเอกที่ต้องตายอย่างไร้ความยุติธรรม ไม่ได้การหากเธอจะใช้ชีวิตอยู่ในร่างนี้เธอจะไม่ยอมตายง่าย ๆ และจะเปลี่ยนแปลงตอนจบของนิยายเรื่องนี้เอง แต่ที่น่าปวดหัวที่สุดก็คือท่านแม่ทัพพร้อมลูกชายของเขา เธอจะทำอย่างไรต่อไปติดตามต่อได้นะคะบทที่ 1 ลืมตามาแต่งงานแคว้นเฉียนเหลียงในฤดูใบไม้ผลิท้องถนนเต็มไปด้วยโคมไฟประดับตกแต่งอย่างสวยงาม ขบวนรถม้าเจ้าสาวที่กำลังเคลื่อนขบวนไปที่เรือนของบุรุษอันเป็นที่รักเพื่อทำพิธีมงคล ผู้คนมากมายต่างพากันออกมายืนดูขบวนรถม้าอย่างตื่นตา ต่างพากันอยากยลโฉมสตรีที่อยู่ในรถม้านั้นจะงดงามเพียงใดถึงได้ครองใจท่านแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่ได้ แต่หารู้ไม่ว่าการแต่งงานในครั้งนี้มิเกิดจากความรักแต่เป็นคำขอร้องคำสุดท้ายของคนสนิทผู้มีพระคุณของท่านแม่ทัพฝากฝังบุตรสาวให้ท่านแม่ทัพช่วยดูแลก่อนที่เขาจะตายต่อหน้าต่อตาท่านแม่ทัพเนื่องจากรับดาบแทนท่านแม่
บทที่ 2 เผชิญหน้าพิธีการเสร็จสิ้นสาวใช้ได้พาหลี่มี่ไปที่ห้องหอส่วนท่านแม่ทัพนั้นออกตอนรับแขกที่มาร่วมงานในครั้งนี้ ประตูห้องถูกปิดจากด้านนอกหลี่มี่นั่งลงบนเตียงหนานุ่มใช้มือตบลงที่นอนอย่าน่าพอใจ เมื่อได้ยินเสียงประตูปิดลงนางได้เปิดผ้าคุมหน้ากวาดตามองไปรอบ ๆ เพื่อสำรวจดูภายในห้องที่นางต้องอยู่ต่อจากนี้“ห้องกว้างใหญ่มากนี่น่า ในนิยายฉันจำได้ว่าฉันแต่งออกมาให้ห้องหอเป็นเพียงห้องเล็กเท่านั้น หรือนี่คือห้องที่เล็กที่สุดแล้วนะ เฮ้อ! ผ้าคุมหน้านี่ก็น่ารำคาญเสียจริง อากาศก็ออกจะร้อนขอถอดออกหน่อยละกันอย่างไรเจ้าบ่าวก็ไม่เข้ามาเปิดมันหรอก เพราะฉันจำได้ว่าคืนวันงานเขาไม่แยแสไม่สนใจปล่อยให้เยิ่นเม่ยเม่ยรอคอยจนฟ้าสว่าง ดีเลยอย่างนี้ฉันค่อยสบายใจหน่อยแต่ก็น่าแปลกฉันเข้ามาอยู่ในนิยายได้ยังไงนะ แถมยังมาอยู่ในร่างตัวเอกอีก” หลี่มี่เปิดผ้าขยับอาภรณ์ที่แน่นหนาออกให้สบายตัว พลางคิดเรื่องที่เธอมาอยู่ในนิยายช่างเป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อมาก ๆ นางลุกขึ้นเดินทั่วห้องมองดูของใช้ต่าง ๆ“ฉันว่าในห้องนี้ดีจริง ๆ มีทุกสิ่งทุกอย่างราวกับว่าจัดเตรียมไว้ต้อนรับเยิ่นเม่ยเม่ยเป็นอย่างดี แต่ยังไงฉันก็ยังไม่สบายใจหรอกนะจ
บทที่ 3 เกือบไม่รอด“คิดไม่ถึงเลยว่าบุตรสาวท่านรองแม่ทัพจะดื่มสุราเก่งเพียงนี้ เอาสิหากเจ้าอยากดื่มจงดื่มให้เพียงพอจากนั้นเราจะได้ใช้ช่วงเวลาหอมหวานด้วยกัน” ดวงตาที่มองมายังนางช่างหวานเยิ้ม หลี่มี่คิดหนักทุกอย่างช่างแตกต่างในนิยายยิ่งนัก เมื่อเห็นว่าเขาตามใจนางจึงรีบรินสุรามอบให้แก่เขาอีกครั้ง“เช่นนั้นท่านแม่ทัพมาดื่มด้วยกันนะเจ้าคะ จะให้ข้าดื่มผู้เดียวได้อย่างไร”“ได้สิหากเจ้าป้อนข้า ข้าจะดื่มทุกจอกที่เจ้ารินให้” ความรู้สึกอึดอัดปะทะใบหน้าแต่ทำได้เพียงแสร้งยิ้มให้คนตรงหน้า‘ตาแม่ทัพบ้าคนนี้ไม่เห็นเย็นชาแต่กลับเป็นท่านแม่ทัพจอมหื่นสินะ เฮ้อ! จะเป็นอะไรก็ช่างขอแค่คืนนี้ฉันต้องผ่านมันไปให้ได้’ หลี่มี่จำยอมยกจอกสุราป้อนไปที่ปากของเขาอย่างจำใจ เขายิ้มกริ่มออกมาอย่างพอใจดื่มสุราที่นางมอบให้จอกแล้วจอกเล่า เมื่อใกล้หมดหลี่มี่จึงตะโกนบอกทหารที่อยู่ด้านนอกไปนำสุรามาอีก ไหแล้วไหเล่าในที่สุดใบหน้าของท่านแม่ทัพเริ่มแดงระเรื่อ ดวงตาหวานเยิ้มเอ่ยวาจาเริ่มติด ๆ ขัด ๆ“อะไรกันสุราหมดไปขนาดนี้แล้วแต่ท่านแม่ทัพยังนั่งได้อยู่ โชคดีที่เราเองคอแข็งมากพอไม่เช่นนั้นจะเป็นฉันเองที่มอมเหล้าตัวเอง "หลี่มี่คิด
บทที่ 4 เด็กแสบฝั่งด้านหลี่มี่นางเดินรับลมมาเรื่อย ๆ เพราะไม่รู้จะเดินไปทางใดทำให้นางเริ่มสับสนว่าที่ที่นางอยู่นี่คือที่ใดกัน เมื่อเดินมาได้สักพักได้ยินเสียงเด็กชายที่ส่งเสียงดังอยู่ด้านหน้า“เสียงเด็กผู้ชายนี่น่าหรือว่าจะเป็นเจ้าก้อนแป้งนะ ชักอยากจะเห็นแล้วสิว่าจะน่ารักเหมือนในนิยายหรือเปล่า” หลี่มี่รีบย่างเท้าไปด้านหน้าเพื่อพบกับ ‘อ้ายเยว่’ อายุห้าขวบ บุตรชายเพียงผู้เดียวของท่านแม่ทัพ ซึ่งเป็นเด็กที่ขาดความอบอุ่นขาดความรักของผู้เป็นแม่ ทำให้เขาเอาแต่ใจตนเองและไม่ชอบเยิ่นเม่ยเม่ยเพราะคิดว่านางจะมาแย่งความรักของท่านพ่อไปจากเขา เมื่อนางเดินเข้ามาใกล้เห็นว่าเด็กชายแก้มตุ้ยนุ้ยอวบอ้วนกำลังรังแกสัตว์อยู่นางรีบเข้าไปห้ามทันทีไม่อยากให้เด็กชายนิสัยเสียไปกว่านี้“หยุดนะ! นี่เจ้ากำลังทำอะไร” เด็กชายหยุดรังแกสัตว์พร้อมหันไปมองที่มาของเสียง แต่เมื่อเห็นใบหน้าของผู้มาเยือนเด็กชายมีท่าทางเปลี่ยนไปทันที“ชิ! ข้าคิดว่าใครที่แท้ก็คนที่มาแย่งท่านพ่อไปจากข้า มีสิทธิ์อะไรมาห้ามข้า ไม่ใช่ท่านแม่ของข้าเสียหน่อย” เด็กชายไม่ได้เกรงกลัวแถมยังแสดงท่าทีอวดเก่งใส่นางอีกด้วยซ้ำ"ตัวแค่นี้ปากเก่งเสียจริงนะ" หลี
บทที่ 5 ท่านแม่จะได้อุ้มหลานเร็ว ๆ นี้ภายในห้องโถงมีสตรีสองนางกำลังพูดคุยหารือกัน สตรีที่มีอายุนั่งอยู่ด้านขวาคือ ‘ฟางเหนียง’ มารดาของท่านแม่ทัพเทียนหลันเซ่อ กำลังใช้มือลูบหลังสตรีที่นั่งอยู่ด้านซ้ายมืออย่างอ่อนโยน นางกำลังใช้ผ้าเช็ดหน้าผืนเล็กเช็ดน้ำตาที่กำลังรินไหลออกมา ใบหน้าของนางสง่างามไร้ที่ติแถมนางยังเป็นบุตรสาวของท่านใต้เท้าหลิวผู้ที่มีอำนาจนางคือ ‘หลิวอี้เฟ่ย’ สตรีที่มีใจให้แก่ท่านแม่ทัพเทียนหลันเซ่อ“หลิวอี้เฟ่ยเจ้าหยุดร้องไห้คร่ำครวญเถิดนะ ตอนนี้เทียนหลันเซ่อบุตรชายของข้าได้แต่งฮูหยินเข้ามาแล้ว เราต้องช่วยกันคิดจะทำอย่างไรต่อไปจะดีกว่ามาคร่ำครวญเช่นนี้ "“ท่านป้าข้าเจ็บตรงนี้เหลือเกินเจ้าค่ะ ข้าคิดว่าข้าจะได้เป็นฮูหยินของท่านแม่ทัพเสียอีก เหตุไฉนท่านแม่ทัพถึงไปคว้าสตรีที่ต่ำต้อยเช่นนั้นมาเป็นฮูหยิน ข้าไม่ดีตรงไหนหรือเจ้าคะ” เสียงเล็กแหลมสะอึกสะอื้นไห้ เอ่ยออกมาอย่างเจ็บช้ำน้ำใจนางรักเทียนหลันเซ่อจากใจจริงแม้ว่าเขาเคยมีภรรยาหรือมีลูกติดนางเองไม่ได้สน คอยมาหามาดูแลมารดาของท่านแม่ทัพอยู่บ่อยครั้ง จนเอาชนะใจของฟางเหนียงได้“ไม่เลยเจ้าดีทุกอย่าง เหมาะสมกับเทียนหลันเซ่อทุกประการ
บทที่ 6 แผนการเมื่อหลี่มี่โค้งคำนับฟางเหนียงเสร็จนางหันหลังเดินออกมา เทียนหลันเซ่อเองก็รีบเดินตามหลังนางมาติด ๆ เดินผ่านสวนดอกไม้เทียนหลันเซ่อคว้าแขนของนางให้หยุดเดินก่อนจะใช้แขนอีกข้างโอบกอดนางไว้ไม่ให้เดินต่อ“นี่ท่านทำอันใดของท่านเจ้าคะ” หลี่มี่ตกใจที่จู่ ๆ เขาก็เข้ามาสวมกอดแถมแสดงสีหน้าเย้ายวนกวนประสาท“แค่กอดเท่านี้จะเป็นไรไป เมื่อคืนนี้เราก็ผ่านค่ำคืนเร้าร้อนมาด้วยกัน เจ้าบอกท่านแม่ว่าอีกไม่นานเจ้าจะมีหลานให้ท่าน สงสัยคืนนี้ข้าต้องรีบพาเจ้าเข้าห้องตั้งแต่ฟ้าไม่มืดจะได้มีน้องให้อ้ายเยว่ในเร็ววัน” เพราะความอยากเอาชนะหลิวอี้เฟ่ยทำให้หลี่มี่เอ่ยออกไปอย่างลืมคิด จนท่านแม่ทัพเอ่ยมันออกมาแล้วอย่างนี้นางจะหาทางหลบหนีเขาอย่างไร“เมื่อครู่… ที่ข้าเอ่ยออกไปเพราะอยากให้ท่านแม่สบายใจเท่านั้น ท่านแม่ทัพไม่เห็นต้องนำมาใส่ใจเลยเจ้าค่ะ อีกอย่างคืนนี้ข้าขอพักบ้างไม่ได้หรือเจ้าคะ? เนื้อตัวของข้าปวดระบมไปหมดแล้ว” เทียนหลันเซ่อแสยะยิ้มมุมปากครุ่นคิด ที่เขาทำเช่นนี้เพราะอยากแกล้งนางอยากรู้ว่านางจะแสดงได้อีกนานเท่าไหร่ถึงจะแสดงธาตุแท้ออกมา เขารับมือจากศัตรูมามากเพียงมองดูก็รู้ว่าศัตรูจะโจมตีเช่นไรแต่
บทที่ 7 บาดเจ็บสาวใช้ที่ยืนอยู่ด้านนอกได้ยินฮูหยินผู้เฒ่าเรียกใช้จึงรีบพากันออกไปตามหาสาวใช้ที่นางต้องการ"ท่านป้าเจ้าคะ เมื่อครู่ที่นางมายกน้ำชาการกระทำคำพูดของนางข้าพอมองออก นางมิใช่สตรีที่อ่อนแอเราจะประมาทมิได้นะเจ้าคะ ""เป็นอย่างที่เจ้าเอ่ย ข้าเองก็พอมองออกเราประเมินนางต่ำไป หากให้สาวใช้คอยปรนนิบัตินาง เราจะได้รู้ว่าแท้จริงแล้วนางเป็นคนเช่นไร เทียนหลันเซ่อผ่านการมีภรรยามาแล้วข้าไม่คิดเลยว่าบุตรชายของข้าจะหลงนางราวกับว่าไม่เคยผ่านสตรีใดมาก่อน หรือว่านางผู้นี้จะมีคาถาเวทย์มนต์หรือว่าใส่ยาเสน่ห์ให้เทียนหลันเซ่อกินกันนะ เขาไม่เคยเอ่ยวาจาเหินห่างกับเจ้าแต่เมื่อมีเยิ่นเม่ยเม่ยเข้ามากลับทำเป็นว่าเจ้าเป็นผู้อื่น เฮ้อ! ยิ่งคิดข้ายิ่งปวดหัว " ฟางเหนียงคิดอันใดก็เอ่ยออกมา ต่างจากหลิวอี้เฟ่ยนางคิดตามคำพูดของฟางเหนียงลุกขึ้นพรวดจนฟางเหนียงตกใจ"หากท่านป้าปวดหัวก็จงพักเถอะเจ้าค่ะ ข้าเพิ่งนึกได้ว่ามีเรื่องต้องทำขอลานะเจ้าคะ อีกสองวันข้าจะมาหาท่านป้าใหม่ " แววตาคมกริบไร้รอยยิ้มย่างเท้าเดินออกจากห้องไปทันที ทำเอาฟางเหนียงมองตามอย่างไม่เข้าใจ"นางมีเรื่องด่วนอันใดถึงรีบร้อนใจออกไปเช่นนี้ คงเป็นเพ
บทที่ 8 ข้าไม่ได้ตั้งใจไม่นานแม่นมได้กลับมาพร้อมท่านหมอตรวจร่างกายจัดการบาดแผลให้แก่หลี่มี่ โชคดีที่นางไม่ได้รับบาดเจ็บมากเพียงแค่หัวแตกเท่านั้น ส่วนที่นางสลบน่าจะเป็นเพราะนางตกใจจนเกินไปเมื่อท่านหมอรักษาแผลให้หลี่มี่เสร็จเขาจึงขอตัวกลับ ส่วนอ้ายเยว่ไม่กล้าที่จะเข้าไปที่ห้องเดินไปมาอยู่หน้าห้องอย่างเป็นกังวล ส่วนลูกแมวน้อยเขาได้ให้แม่นมพาไปที่ห้องของเขาแล้ว เทียนหลันเซ่อรู้ว่าเยิ่นเม่ยเม่ยปลอดภัย เขาจึงเดินออกมาหน้าห้องพบเห็นอ้ายเยว่เดินไปมาอย่างเป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัด เขาจึงเดินเข้ามาหาบุตรชายเพื่อสอบถามเรื่องราวที่เกิดขึ้น อ้ายเยว่เห็นท่านพ่อเดินออกมาจากห้องจึงรีบเข้าไปเอ่ยถามอาการของเยิ่นเม่ยเม่ย“ท่านพ่อนางเป็นเช่นไรบ้างขอรับ ข้าไม่ได้ทำให้นางตายใช่มั้ย? ท่านพ่อหากนางตายข้าจะทำเช่นไร” เทียนหลันเซ่อวางมือลงบนบ่าของอ้ายเยว่ทั้งสองข้างนั่งคุกเข่าลงเพื่อถามเรื่องราวที่เกิดขึ้นในครั้งนี้“อ้ายเยว่บอกข้ามาว่าเรื่องนี้มันเกิดอะไรขึ้นทำไมนางถึงได้รับบาดเจ็บ แล้วทำไมเจ้าต้องคิดว่าตนเองฆ่านางหรือว่าเจ้ารังแกนาง” น้ำเสียงกดต่ำเพียงแค่ได้ยินก็รู้เย็นยะเยือกถึงหัวใจเด็กชายสั่นกลัวส่ายหน้าม
บทที่ 7 บาดเจ็บสาวใช้ที่ยืนอยู่ด้านนอกได้ยินฮูหยินผู้เฒ่าเรียกใช้จึงรีบพากันออกไปตามหาสาวใช้ที่นางต้องการ"ท่านป้าเจ้าคะ เมื่อครู่ที่นางมายกน้ำชาการกระทำคำพูดของนางข้าพอมองออก นางมิใช่สตรีที่อ่อนแอเราจะประมาทมิได้นะเจ้าคะ ""เป็นอย่างที่เจ้าเอ่ย ข้าเองก็พอมองออกเราประเมินนางต่ำไป หากให้สาวใช้คอยปรนนิบัตินาง เราจะได้รู้ว่าแท้จริงแล้วนางเป็นคนเช่นไร เทียนหลันเซ่อผ่านการมีภรรยามาแล้วข้าไม่คิดเลยว่าบุตรชายของข้าจะหลงนางราวกับว่าไม่เคยผ่านสตรีใดมาก่อน หรือว่านางผู้นี้จะมีคาถาเวทย์มนต์หรือว่าใส่ยาเสน่ห์ให้เทียนหลันเซ่อกินกันนะ เขาไม่เคยเอ่ยวาจาเหินห่างกับเจ้าแต่เมื่อมีเยิ่นเม่ยเม่ยเข้ามากลับทำเป็นว่าเจ้าเป็นผู้อื่น เฮ้อ! ยิ่งคิดข้ายิ่งปวดหัว " ฟางเหนียงคิดอันใดก็เอ่ยออกมา ต่างจากหลิวอี้เฟ่ยนางคิดตามคำพูดของฟางเหนียงลุกขึ้นพรวดจนฟางเหนียงตกใจ"หากท่านป้าปวดหัวก็จงพักเถอะเจ้าค่ะ ข้าเพิ่งนึกได้ว่ามีเรื่องต้องทำขอลานะเจ้าคะ อีกสองวันข้าจะมาหาท่านป้าใหม่ " แววตาคมกริบไร้รอยยิ้มย่างเท้าเดินออกจากห้องไปทันที ทำเอาฟางเหนียงมองตามอย่างไม่เข้าใจ"นางมีเรื่องด่วนอันใดถึงรีบร้อนใจออกไปเช่นนี้ คงเป็นเพ
บทที่ 6 แผนการเมื่อหลี่มี่โค้งคำนับฟางเหนียงเสร็จนางหันหลังเดินออกมา เทียนหลันเซ่อเองก็รีบเดินตามหลังนางมาติด ๆ เดินผ่านสวนดอกไม้เทียนหลันเซ่อคว้าแขนของนางให้หยุดเดินก่อนจะใช้แขนอีกข้างโอบกอดนางไว้ไม่ให้เดินต่อ“นี่ท่านทำอันใดของท่านเจ้าคะ” หลี่มี่ตกใจที่จู่ ๆ เขาก็เข้ามาสวมกอดแถมแสดงสีหน้าเย้ายวนกวนประสาท“แค่กอดเท่านี้จะเป็นไรไป เมื่อคืนนี้เราก็ผ่านค่ำคืนเร้าร้อนมาด้วยกัน เจ้าบอกท่านแม่ว่าอีกไม่นานเจ้าจะมีหลานให้ท่าน สงสัยคืนนี้ข้าต้องรีบพาเจ้าเข้าห้องตั้งแต่ฟ้าไม่มืดจะได้มีน้องให้อ้ายเยว่ในเร็ววัน” เพราะความอยากเอาชนะหลิวอี้เฟ่ยทำให้หลี่มี่เอ่ยออกไปอย่างลืมคิด จนท่านแม่ทัพเอ่ยมันออกมาแล้วอย่างนี้นางจะหาทางหลบหนีเขาอย่างไร“เมื่อครู่… ที่ข้าเอ่ยออกไปเพราะอยากให้ท่านแม่สบายใจเท่านั้น ท่านแม่ทัพไม่เห็นต้องนำมาใส่ใจเลยเจ้าค่ะ อีกอย่างคืนนี้ข้าขอพักบ้างไม่ได้หรือเจ้าคะ? เนื้อตัวของข้าปวดระบมไปหมดแล้ว” เทียนหลันเซ่อแสยะยิ้มมุมปากครุ่นคิด ที่เขาทำเช่นนี้เพราะอยากแกล้งนางอยากรู้ว่านางจะแสดงได้อีกนานเท่าไหร่ถึงจะแสดงธาตุแท้ออกมา เขารับมือจากศัตรูมามากเพียงมองดูก็รู้ว่าศัตรูจะโจมตีเช่นไรแต่
บทที่ 5 ท่านแม่จะได้อุ้มหลานเร็ว ๆ นี้ภายในห้องโถงมีสตรีสองนางกำลังพูดคุยหารือกัน สตรีที่มีอายุนั่งอยู่ด้านขวาคือ ‘ฟางเหนียง’ มารดาของท่านแม่ทัพเทียนหลันเซ่อ กำลังใช้มือลูบหลังสตรีที่นั่งอยู่ด้านซ้ายมืออย่างอ่อนโยน นางกำลังใช้ผ้าเช็ดหน้าผืนเล็กเช็ดน้ำตาที่กำลังรินไหลออกมา ใบหน้าของนางสง่างามไร้ที่ติแถมนางยังเป็นบุตรสาวของท่านใต้เท้าหลิวผู้ที่มีอำนาจนางคือ ‘หลิวอี้เฟ่ย’ สตรีที่มีใจให้แก่ท่านแม่ทัพเทียนหลันเซ่อ“หลิวอี้เฟ่ยเจ้าหยุดร้องไห้คร่ำครวญเถิดนะ ตอนนี้เทียนหลันเซ่อบุตรชายของข้าได้แต่งฮูหยินเข้ามาแล้ว เราต้องช่วยกันคิดจะทำอย่างไรต่อไปจะดีกว่ามาคร่ำครวญเช่นนี้ "“ท่านป้าข้าเจ็บตรงนี้เหลือเกินเจ้าค่ะ ข้าคิดว่าข้าจะได้เป็นฮูหยินของท่านแม่ทัพเสียอีก เหตุไฉนท่านแม่ทัพถึงไปคว้าสตรีที่ต่ำต้อยเช่นนั้นมาเป็นฮูหยิน ข้าไม่ดีตรงไหนหรือเจ้าคะ” เสียงเล็กแหลมสะอึกสะอื้นไห้ เอ่ยออกมาอย่างเจ็บช้ำน้ำใจนางรักเทียนหลันเซ่อจากใจจริงแม้ว่าเขาเคยมีภรรยาหรือมีลูกติดนางเองไม่ได้สน คอยมาหามาดูแลมารดาของท่านแม่ทัพอยู่บ่อยครั้ง จนเอาชนะใจของฟางเหนียงได้“ไม่เลยเจ้าดีทุกอย่าง เหมาะสมกับเทียนหลันเซ่อทุกประการ
บทที่ 4 เด็กแสบฝั่งด้านหลี่มี่นางเดินรับลมมาเรื่อย ๆ เพราะไม่รู้จะเดินไปทางใดทำให้นางเริ่มสับสนว่าที่ที่นางอยู่นี่คือที่ใดกัน เมื่อเดินมาได้สักพักได้ยินเสียงเด็กชายที่ส่งเสียงดังอยู่ด้านหน้า“เสียงเด็กผู้ชายนี่น่าหรือว่าจะเป็นเจ้าก้อนแป้งนะ ชักอยากจะเห็นแล้วสิว่าจะน่ารักเหมือนในนิยายหรือเปล่า” หลี่มี่รีบย่างเท้าไปด้านหน้าเพื่อพบกับ ‘อ้ายเยว่’ อายุห้าขวบ บุตรชายเพียงผู้เดียวของท่านแม่ทัพ ซึ่งเป็นเด็กที่ขาดความอบอุ่นขาดความรักของผู้เป็นแม่ ทำให้เขาเอาแต่ใจตนเองและไม่ชอบเยิ่นเม่ยเม่ยเพราะคิดว่านางจะมาแย่งความรักของท่านพ่อไปจากเขา เมื่อนางเดินเข้ามาใกล้เห็นว่าเด็กชายแก้มตุ้ยนุ้ยอวบอ้วนกำลังรังแกสัตว์อยู่นางรีบเข้าไปห้ามทันทีไม่อยากให้เด็กชายนิสัยเสียไปกว่านี้“หยุดนะ! นี่เจ้ากำลังทำอะไร” เด็กชายหยุดรังแกสัตว์พร้อมหันไปมองที่มาของเสียง แต่เมื่อเห็นใบหน้าของผู้มาเยือนเด็กชายมีท่าทางเปลี่ยนไปทันที“ชิ! ข้าคิดว่าใครที่แท้ก็คนที่มาแย่งท่านพ่อไปจากข้า มีสิทธิ์อะไรมาห้ามข้า ไม่ใช่ท่านแม่ของข้าเสียหน่อย” เด็กชายไม่ได้เกรงกลัวแถมยังแสดงท่าทีอวดเก่งใส่นางอีกด้วยซ้ำ"ตัวแค่นี้ปากเก่งเสียจริงนะ" หลี
บทที่ 3 เกือบไม่รอด“คิดไม่ถึงเลยว่าบุตรสาวท่านรองแม่ทัพจะดื่มสุราเก่งเพียงนี้ เอาสิหากเจ้าอยากดื่มจงดื่มให้เพียงพอจากนั้นเราจะได้ใช้ช่วงเวลาหอมหวานด้วยกัน” ดวงตาที่มองมายังนางช่างหวานเยิ้ม หลี่มี่คิดหนักทุกอย่างช่างแตกต่างในนิยายยิ่งนัก เมื่อเห็นว่าเขาตามใจนางจึงรีบรินสุรามอบให้แก่เขาอีกครั้ง“เช่นนั้นท่านแม่ทัพมาดื่มด้วยกันนะเจ้าคะ จะให้ข้าดื่มผู้เดียวได้อย่างไร”“ได้สิหากเจ้าป้อนข้า ข้าจะดื่มทุกจอกที่เจ้ารินให้” ความรู้สึกอึดอัดปะทะใบหน้าแต่ทำได้เพียงแสร้งยิ้มให้คนตรงหน้า‘ตาแม่ทัพบ้าคนนี้ไม่เห็นเย็นชาแต่กลับเป็นท่านแม่ทัพจอมหื่นสินะ เฮ้อ! จะเป็นอะไรก็ช่างขอแค่คืนนี้ฉันต้องผ่านมันไปให้ได้’ หลี่มี่จำยอมยกจอกสุราป้อนไปที่ปากของเขาอย่างจำใจ เขายิ้มกริ่มออกมาอย่างพอใจดื่มสุราที่นางมอบให้จอกแล้วจอกเล่า เมื่อใกล้หมดหลี่มี่จึงตะโกนบอกทหารที่อยู่ด้านนอกไปนำสุรามาอีก ไหแล้วไหเล่าในที่สุดใบหน้าของท่านแม่ทัพเริ่มแดงระเรื่อ ดวงตาหวานเยิ้มเอ่ยวาจาเริ่มติด ๆ ขัด ๆ“อะไรกันสุราหมดไปขนาดนี้แล้วแต่ท่านแม่ทัพยังนั่งได้อยู่ โชคดีที่เราเองคอแข็งมากพอไม่เช่นนั้นจะเป็นฉันเองที่มอมเหล้าตัวเอง "หลี่มี่คิด
บทที่ 2 เผชิญหน้าพิธีการเสร็จสิ้นสาวใช้ได้พาหลี่มี่ไปที่ห้องหอส่วนท่านแม่ทัพนั้นออกตอนรับแขกที่มาร่วมงานในครั้งนี้ ประตูห้องถูกปิดจากด้านนอกหลี่มี่นั่งลงบนเตียงหนานุ่มใช้มือตบลงที่นอนอย่าน่าพอใจ เมื่อได้ยินเสียงประตูปิดลงนางได้เปิดผ้าคุมหน้ากวาดตามองไปรอบ ๆ เพื่อสำรวจดูภายในห้องที่นางต้องอยู่ต่อจากนี้“ห้องกว้างใหญ่มากนี่น่า ในนิยายฉันจำได้ว่าฉันแต่งออกมาให้ห้องหอเป็นเพียงห้องเล็กเท่านั้น หรือนี่คือห้องที่เล็กที่สุดแล้วนะ เฮ้อ! ผ้าคุมหน้านี่ก็น่ารำคาญเสียจริง อากาศก็ออกจะร้อนขอถอดออกหน่อยละกันอย่างไรเจ้าบ่าวก็ไม่เข้ามาเปิดมันหรอก เพราะฉันจำได้ว่าคืนวันงานเขาไม่แยแสไม่สนใจปล่อยให้เยิ่นเม่ยเม่ยรอคอยจนฟ้าสว่าง ดีเลยอย่างนี้ฉันค่อยสบายใจหน่อยแต่ก็น่าแปลกฉันเข้ามาอยู่ในนิยายได้ยังไงนะ แถมยังมาอยู่ในร่างตัวเอกอีก” หลี่มี่เปิดผ้าขยับอาภรณ์ที่แน่นหนาออกให้สบายตัว พลางคิดเรื่องที่เธอมาอยู่ในนิยายช่างเป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อมาก ๆ นางลุกขึ้นเดินทั่วห้องมองดูของใช้ต่าง ๆ“ฉันว่าในห้องนี้ดีจริง ๆ มีทุกสิ่งทุกอย่างราวกับว่าจัดเตรียมไว้ต้อนรับเยิ่นเม่ยเม่ยเป็นอย่างดี แต่ยังไงฉันก็ยังไม่สบายใจหรอกนะจ
บทนำ หลี่มี่สาวน้อยนักแต่งนิยายที่ไม่ได้โด่งดัง เธอหลับระหว่างกำลังแต่งนิยายแต่ทว่าชีวิตของเธอต้องเปลี่ยนไปเมื่อเธอลืมตาขึ้นมากลับพบว่าตัวเองเข้ามาอยู่ในนิยายที่ตัวเองแต่ง แถมยังมาอยู่ในร่างของนางเอกที่ต้องตายอย่างไร้ความยุติธรรม ไม่ได้การหากเธอจะใช้ชีวิตอยู่ในร่างนี้เธอจะไม่ยอมตายง่าย ๆ และจะเปลี่ยนแปลงตอนจบของนิยายเรื่องนี้เอง แต่ที่น่าปวดหัวที่สุดก็คือท่านแม่ทัพพร้อมลูกชายของเขา เธอจะทำอย่างไรต่อไปติดตามต่อได้นะคะบทที่ 1 ลืมตามาแต่งงานแคว้นเฉียนเหลียงในฤดูใบไม้ผลิท้องถนนเต็มไปด้วยโคมไฟประดับตกแต่งอย่างสวยงาม ขบวนรถม้าเจ้าสาวที่กำลังเคลื่อนขบวนไปที่เรือนของบุรุษอันเป็นที่รักเพื่อทำพิธีมงคล ผู้คนมากมายต่างพากันออกมายืนดูขบวนรถม้าอย่างตื่นตา ต่างพากันอยากยลโฉมสตรีที่อยู่ในรถม้านั้นจะงดงามเพียงใดถึงได้ครองใจท่านแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่ได้ แต่หารู้ไม่ว่าการแต่งงานในครั้งนี้มิเกิดจากความรักแต่เป็นคำขอร้องคำสุดท้ายของคนสนิทผู้มีพระคุณของท่านแม่ทัพฝากฝังบุตรสาวให้ท่านแม่ทัพช่วยดูแลก่อนที่เขาจะตายต่อหน้าต่อตาท่านแม่ทัพเนื่องจากรับดาบแทนท่านแม่