หลินเสี่ยวเหยาเดินออกจากบ้าน มุ่งหน้าไปยังหมู่บ้านไป๋เหอ เพื่อหาทางเข้าไปในเมืองจินหลง หมู่บ้านไป๋เหอแห่งนี้มีสมาชิกอยู่เกือบร้อยหลังคาเรือนแต่ทันทีที่เธอปรากฏตัวในหมู่บ้านที่ตอนนี้ทุกคนกำลังเริ่มลงแปลงนากันอยู่ หลินเสี่ยวเหยาเดินไปตามถนนในหมู่บ้าน สายตาชาวบ้านที่มองมาและนินทาในระยะเผาขน
เสียงซุบซิบนินทาดังขึ้น เมื่อหลินเสี่ยวเหยาปรากฏตัวขึ้นในชุดกระโปรงสีฟ้าอ่อนสะอาดตา ผมยาวสลวยถูกรวบเป็นมวยหลวม ๆ ตกแต่งด้วยปิ่นหยกเรียบหรู แม้จะดูเรียบง่ายแต่ก็ขับให้ใบหน้าหวานนั้นดูโดดเด่นขึ้นเป็นกอง
"นั่นหลินเสี่ยวเหยาไม่ใช่เหรอ? วันนี้แต่งตัวซะสวยเชียว" เสียงแหลมเล็กของหญิงสาวคนหนึ่งดังขึ้นจากกลุ่มคนที่ยืนมุงดูอยู่ริมทาง
"ก็แน่สิ เงินพ่อแม่หล่อนทั้งนั้นที่ทิ้งไว้ให้" เสียงอีกคนเสริมขึ้นมาอย่างเหยียดหยัน
"ผู้หญิงอะไรขี้เกียจ ไม่ยอมทำลงแปลงนาเหมือนคนอื่น"
"ระวังเถอะ พอเงินพ่อแม่หล่อนหมดจะอดตายไม่มีข้าวจะกิน"
หลินเสี่ยวเหยาได้ยินทุกคำพูดเหล่านั้น แต่เธอก็ทำเพียงแค่เมินเฉยและเดินหน้าต่อไป ริมฝีปากบางยกขึ้นเป็นรอยยิ้มจาง ๆ ราวกับไม่ได้ใส่ใจกับคำนินทาเหล่านั้นแม้แต่น้อย เธอรู้ดีว่าคำพูดเหล่านั้นเป็นเพียงแค่ลมปากของคนที่อิจฉาเธอเท่านั้น
หญิงสาวเดินไปตามเส้นทางที่คุ้นเคย เธอจำได้ว่าเจ้าของร่างเดิมเคยไปที่ขึ้นเกวียนที่ลานหมู่บ้าน ที่จะนำพาพวกชาวบ้านเข้าไปในเมือง หลินเสี่ยวเหยาหยุดเดินอยู่หน้าเกวียนไม้เก่าๆ ที่จอดรอรับผู้โดยสารอยู่ซึ่งตอนนี้มีผู้คนเกือบจะเต็มเกวียนแล้ว หญิงสาวล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าผ้า หยิบเหรียญออกมาสองเจี่ยว แล้วส่งให้คนขับเกวียน
"ฉันจะไปในเมืองค่ะ" ร่างบางกล่าวกับคนขับเกวียน
คนขับเกวียนพยักหน้ารับรู้แล้วผายมือเชิญให้เธอขึ้นไปนั่งบนเกวียน ภายในเกวียนค่อนข้างแออัด ชาวบ้านต่างนั่งเบียดกันจนเกือบเต็มในมือของทุกคนต่างมีข้าวของที่จะนำไปแลกเปลี่ยนที่ในเมือง เสี่ยวเหยาก้าวขึ้นไปนั่งบนเกวียน เธอรู้สึกได้ถึงสายตาของชาวบ้านที่จับจ้องมาที่เธอ บางคนมองด้วยความสงสัย บางคนมองด้วยความดูถูก แต่เสี่ยวเหยาไม่สนใจใครทั้งนั้น เธอรู้ว่าพวกเขาต่างกำลังคิดอะไรอยู่
"นี่หลินเสี่ยวเหยาไม่ใช่เหรอ? วันนี้ทำไมแต่งตัวสวยจัง" ป้าหม่าเอ่ยขึ้น
"คงจะเข้าไปอ่อยผู้ชายในเมืองล่ะสิ" สะใภ้หลี่ที่เป็นลูกคู่พูดเสริมขึ้นมา
หลินเสี่ยวเหยาไม่ได้ตอบโต้อะไร เธอเพียงแค่ยิ้มมุมปากเล็กน้อยและมองออกไปนอกหน้าต่าง
'พวกหล่อนรอดูได้เลย หลินเสี่ยวเหยาคนนี้จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป' หญิงสาวคิดในใจ
เมื่อเกวียนแล่นเข้ามาในเมืองจินหลง หลินเสี่ยวเหยาก็กระโดดลงมาอย่างคล่องแคล่ว เธอถือตะกร้าผักเดินเข้าไปในเมือง เมื่อหญิงสาวมาถึงในซอยที่ไม่มีผู้คนหญิงสาวนำหมวกที่มีตาข่ายจากในมิติมาคลุมใบหน้าไว้ทำให้เธอดูเหมือนคุณหนูขึ้นมาทันที เธอต้องการที่ปลอมตัวเป็นคนเมืองหลวง เพื่อไม่ให้คนในเมืองจินหลงจดจำเธอได้
เธอเดินทอดน่องไปตามตรอกซอกที่คลาคล่ำไปด้วยผู้คน สังเกตวิถีชีวิตและการค้าขายที่คึกคักของเมืองจินหลง
"ตลาดมืด...ฉันจะต้องหามันให้เจอ" เสี่ยวเหยาพึมพำกับตัวเอง จากการที่เธออ่านนิยายมา ตลาดมืดจะเป็นแหล่งรวมสินค้าหายากและของผิดกฎหมาย แต่การจะเข้าไปข้างในนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย จะต้องรู้รหัสลับที่ใช้สื่อสารกับคนเฝ้าประตูเสียก่อน
หลินเสี่ยวเหยาแอบมองไปรอบๆ หวังว่าจะเจอใครสักคนที่พอจะให้ข้อมูลเกี่ยวกับตลาดมืดได้ แต่ดูเหมือนทุกคนจะยุ่งอยู่กับธุระของตัวเองจนไม่มีใครสนใจหญิงสาวแปลกหน้าอย่างเธอ
"ขอโทษค่ะ" เสี่ยวเหยาตัดสินใจเอ่ยปากถามหญิงชราคนหนึ่งที่กำลังนั่งขายผักอยู่ข้างทาง "คุณยายพอจะทราบไหมคะว่าตลาดมืดอยู่แถวไหน"
หญิงชรายิ้มอย่างมีเลศนัย "ตลาดมืดน่ะ... หึหึ หนูอยากได้อะไรล่ะ ถึงต้องไปที่นั่น"
หลินเสี่ยวเหยาชะงักเล็กน้อย ไม่แน่ใจว่าควรจะตอบอย่างไรดี "ฉันอยากได้ผ้าสักผืนสองผืนมาตัดเย็บค่ะ"เธอพูดคำโกหกออกไปหน้าตาใส
หญิงชราทำท่าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดขึ้นว่า "ถ้าหนูอยากเข้าไปตลาดมืดจริง ๆ ละก็...ไปที่ตรอกเล็กๆ ข้างร้านขายโคมแดงนั่นนะ แล้วพูดว่า..." หญิงชราบอกรหัสลับให้หลินเสี่ยวเหยาฟัง
หญิงสาวจดจำรหัสลับนั้นไว้ในใจ พร้อมกับขอบคุณหญิงชราที่ให้ความช่วยเหลือ เธอหยิบผักผลไม้ในตะกร้าให้เป็นแทนคำขอบคุณ
เมื่อหญิงสาวมาถึงตรอกเล็กๆ ข้างร้านขายโคมแดง ทันใดนั้น เธอก็เหลือบไปเห็นชายร่างผอมคนหนึ่งกำลังยืนอยู่ที่มุมมืดของตรอก หลินเสี่ยวเหยาไม่รอช้า เธอเดินเข้าไปหาชายคนนั้นอย่างไม่ลังเล
"ขอโทษค่ะ" เธอเอ่ยทักชายคนนั้น "ฉันต้องการผ้า... ที่ทอจากแสงจันทร์"
ทันทีที่หลินเสี่ยวเหยาพูดจบ ชายคนนั้นก็ยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ "ตามฉันมาสิ" เขาพูด ก่อนจะเดินนำหลินเสี่ยวเหยาเข้าไปในตรอกลึก
เมื่อหญิงสาวเข้ามาในตรอกเธอพบว่าบรรยากาศรอบตัวเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ตรอกที่เคยเงียบสงบกลับเต็มไปด้วยผู้คนที่เดินขวักไขว่ เสียงพูดคุยต่อรองดังเซ็งแซ่ ร้านค้าแผงลอยต่างๆ ตั้งเรียงรายอยู่สองข้างทาง สินค้าที่วางขายมีตั้งแต่ของใช้ธรรมดาไปจนถึงของผิดกฎหมาย
หลินเสี่ยวเหยาเพิ่งเดินเข้ามาในตลาดมืดแห่งนี้เป็นครั้งแรก ท่าทางของเธอระแวดระวังและคอยสังเกตสิ่งรอบตัวอยู่ตลอดเวลา หลินเสี่ยวเหยาจำเป็นต้องเรียนรู้กฎและทำความเข้าใจกับราคาสินค้าในตลาดมืดแห่งนี้เสียก่อนที่จะเริ่มทำการค้าขาย
"พี่ชายคะ มันเทศราคาเท่าไหร่?" หลินเสี่ยวเหยาเอ่ยถามพ่อค้าขายมันเทศคนหนึ่ง
"จินละ 5 เหมา" พ่อค้าตอบกลับ
หลินเสี่ยวเหยาพยักหน้ารับรู้ ก่อนจะเดินดูร้านอื่นๆ ต่อไป เธอสังเกตเห็นว่าสินค้าส่วนใหญ่ในตลาดมืดนี้เป็นสินค้าที่หายากหรือถูกควบคุมโดยรัฐบาล เช่น อาหาร เสื้อผ้า ยารักษาโรค และสินค้าฟุ่มเฟือยต่างๆ
"พี่สาวคะ ผ้าไหมผืนนี้เท่าไหร่?" หลินเสี่ยวเหยาถามแม่ค้าขายผ้าไหม
"20 หยวน" แม่ค้าตอบกลับ
หลินเสี่ยวเหยาแสร้งทำเป็นตกใจ "แพงจังเลยค่ะพี่สาว ลดหน่อยได้ไหมคะ?"
"ไม่ได้หรอกน้องสาว นี่ก็ราคาถูกที่สุดแล้ว" แม่ค้าตอบอย่างไม่ไยดี
หลินเสี่ยวเหยาจึงเดินจากไปอย่างเงียบๆ เธอรู้ดีว่าการต่อรองราคาเป็นเรื่องปกติในตลาดมืด แต่เธอยังไม่กล้าพอที่จะต่อรองราคาสินค้าในตอนนี้เนื่องจากเธอไม่มีเงินติดตัวมากนัก ตอนนี้เธอต้องการร้านค้าขนาดใหญ่ที่สามารถรับซื้อสินค้าราคาแพงได้
หลังจากที่ร่างบางเดินสำรวจตลาดมืดอยู่พักใหญ่ หลินเสี่ยวเหยาก็เริ่มเข้าใจราคาสินค้าต่างๆ มากขึ้น เธอรู้ว่าจะต้องระมัดระวังตัวและไม่ทำตัวเป็นจุดเด่นจนเกินไป
เมื่อสำรวจจนพอใจแล้ว เธอเดินไปร้านขายของชำขนาดใหญ่ร้านหนึ่งในตลาดมืด เธอเดินเข้าไปหาหญิงสาววัยกลางคนที่เป็นเจ้าของร้าน
"พี่สาว ต้องการสิ่งนี้ไหมคะ?" หลินเสี่ยวเหยาเปิดตะกร้าหวายของเธอ ข้างในมีสบู่หอมหลากสีที่เธอแกะกล่องออกมาวางเรียงรายอย่างสวยงาม
"สบู่นี่น้องสาวได้มาที่จากไหน?" หญิงสาววัยกลางคนถามด้วยความสนใจ
"ฉันไปรับมาจากเมืองหลวงค่ะ พี่สาวลองดมดูสิคะ สบู่นำเข้าจากต่างประเทศมีกลิ่นหอมมากเลย" หลินเสี่ยวเหยาหยิบสบู่สีชมพูอ่อนขึ้นมาส่งให้เจ้าของร้านวัยกลางคน
เจ้าของร้านรับสบู่มาดม กลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกไม้ทำให้เธอรู้สึกสดชื่นขึ้นมาทันที
"สบู่นี่ก้อนละเท่าไหร่?" เจ้าของร้านเอ่ยถาม
"ก้อนละ 5 หยวนค่ะ" หลินเสี่ยวเหยาตอบกลับเจ้าของร้าน
ในปี 1970 นี้ เงิน 5 หยวนถือว่ามีมูลค่ามากพอสมควร โดยเฉลี่ยแล้วคนงานในโรงงานจะได้รับค่าแรงประมาณ 30-40 หยวนต่อเดือน ดังนั้นสบู่ 1 ก้อนจึงมีราคาค่อนข้างสูง แต่เนื่องจากเป็นสินค้าหายาก จึงมีคนจำนวนไม่น้อยที่ยอมจ่ายเงินเพื่อซื้อ
"เอาสิ ฉันเอา 30 ก้อน" หญิงสาววัยกลางคนตัดสินใจซื้อสบู่
หลินเสี่ยวเหยายิ้มกว้างด้วยความดีใจ เธอรีบหยิบสบู่ 30 ก้อนส่งให้เจ้าของร้าน พร้อมกับรับเงิน 150 หยวนมา
"ขอบคุณมากค่ะพี่สาว" หลินเสี่ยวเหยากล่าวขอบคุณด้วยความจริงใจ "ฉันจะมาตลาดมืดแค่เดือนละ 2 ครั้ง ถ้าคราวหน้าฉันมาอีก ถ้าต้องการเพิ่มก็แจ้งมานะคะ ฉันมีแหล่งรับของ"
หลังขายของเสร็จหลินเสี่ยวเหยาก็บอกลาเจ้าของร้านอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะเดินจากไป เธอสามารถขายสบู่ได้ทั้งหมดและได้เงินมา 150 หยวน ซึ่งถือว่าเป็นเงินจำนวนไม่น้อยสำหรับเธอ
เมื่อเธอเดินออกมานอกตลาด แต่แล้ว เสียงฝีเท้าหนักแน่นของทหารก็ดังขึ้น พร้อมกับเสียงตะโกนสั่งให้ทุกคนหยุดนิ่ง หลินเสี่ยวเหยาเห็นผู้คนแตกตื่น วิ่งหนีกันอลหม่าน เธอรีบเอาของใส่ในมิติทั้งหมด และรีบหลบเข้าไปในตรอกเล็กๆ หวังว่าจะรอดพ้นจากการตรวจค้นของพวกทหาร
ขณะที่แอบซุ่มดูสถานการณ์อยู่นั้น สายตาของเธอก็เหลือบไปเห็นชายหนุ่มคนหนึ่งที่กำลังถูกทหารล้อมกรอบสอบสวนอยู่ ชายหนุ่มคนนั้นมีใบหน้าคมคาย ผิวขาว รูปร่างสูงโปร่ง หลินเสี่ยวเหยาเบิกตากว้างด้วยความตกใจ เพราะชายหนุ่มคนนั้นมีใบหน้าละม้ายคล้ายกับ เจิ้งห้าว อดีตแฟนหนุ่มของเธอในชาติที่แล้ว!
"สหายคุณชื่ออะไร?" ทหารนายหนึ่งถามชายหนุ่มเสียงแข็ง
"ผมชื่อ หลี่เหว่ยเฉียง เป็นยุวชนปัญญาที่มาจากหมู่บ้านไป๋เหอ " ชายหนุ่มตอบเสียงเรียบ
หลินเสี่ยวเหยาถึงกับกำหมัดแน่นด้วยความแค้นใจ หลี่เหว่ยเฉียง ชื่อนี้เธอจำได้ดี มันคือชื่อของพระเอกในนิยายที่เธอเคยอ่าน! ในนิยาย หลี่เหว่ยเฉียงเป็นยุวชนที่ถูกส่งตัวลงมาใช้แรงงานในชนบท แต่ด้วยความฉลาดและความสามารถของชายหนุ่ม เขาก็สามารถเอาตัวรอดและไต่เต้าขึ้นมาเป็นใหญ่เป็นโตได้ในที่สุด
"ยุวชนปัญญาอย่างนั้นรึ?" ทหารแสยะยิ้ม "พวกแกมันก็แค่พวกคนชั้นสูงที่ทำผิดคิดร้ายต่อท่านผู้นำ!"
หลี่เหว่ยเฉียงยังคงสงบนิ่ง ไม่แสดงความหวาดกลัวออกมาให้เห็น
"พวกแกจับมันไป!" หัวหน้าทหารสั่งลูกน้องเสียงแข็ง
หลี่เหว่ยเฉียงยังคงสงบนิ่ง ไม่แสดงความหวาดกลัวออกมาให้เห็น แม้ภายในใจจะร้อนรุ่มเพียงใด เขารู้ดีว่าการขัดขืนมีแต่จะทำให้สถานการณ์เลวร้ายลงทว่าในชั่วพริบตา ร่างบอบบางของหญิงสาวคนหนึ่งก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้า เธอคือหลินฮวา สหายหญิงที่หลี่เหว่ยเฉียงแอบมีใจให้"ใจเย็นก่อนเถิด สหาย" หลินฮวากล่าวเสียงหวานแต่หนักแน่น "ตอนนี้สหายหลี่กำลังจะหมั้นหมายกับฉัน หากพวกคุณจับเขาไป งานมงคลก็คงต้องล่ม"เหล่าทหารชะงัก หันไปมองหน้าหญิงสาวที่กล้าขวางทางพวกเขาด้วยความประหลาดใจ"สหายหญิง ท่านอย่าได้เข้ามาขวางทางการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเรา" หัวหน้าทหารกล่าวเตือน"ฉันรู้ดี สหาย" หลินฮวาตอบ "แต่คุณลองคิดดู หากสหายหลี่เป็นปฏิปักษ์ต่อการปฏิวัติจริง เขาจะกล้าประกาศหมั้นหมายกับฉันอย่างเปิดเผยเช่นนี้หรือ"หัวหน้าทหารครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหันไปพูดกับลูกน้อง "พวกเราไปตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อน หากสหายทั้งสองโกหก ฉันจะกลับมาเอาหัวสหายทั้งสองคน จำไว้"หลี่เหว่ยเฉียงมองหลินฮวาด้วยความซาบซึ้งใจ หากไม่ใช่เพราะเธอ เขาคงถูกจับไปแล้ว และอาจต้องเผชิญชะตากรรมอันเลวร้าย"ขอบคุณมากสหายหลิน" หลี่เหว่ยเฉียงกล่าวอย่างจริงใจ "หากไม่ใช
ท่ามกลางราตรีอันมืดมิด เสียงฟ้าร้องคำรามดังกึกก้องไปทั่วผืนฟ้า เม็ดฝนโปรยปรายลงมาไม่ขาดสาย บนเส้นทางสายเปลี่ยวที่ทอดยาวผ่านหมู่บ้านชนบทอันห่างไกล หยางเฟิง หัวหน้าหน่วยสืบราชการลับหน่วยที่ 13 ผู้มากฝีมือ กำลังก้าวเดินอย่างยากลำบาก เนื้อตัวของชายหนุ่มเปรอะเปื้อนไปด้วยโคลนและเลือดใบหน้าคมคาย เผยดวงตาสีดำคมกริบดุจเหยี่ยว และร่างกายกำยำล่ำสันของเขาเผยให้เห็นถึงความเจ็บปวดจากบาดแผลที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการถูกซุ่มโจมตีของกลุ่มกบฏที่ซ่อนตัวอยู่ใกล้เมืองจินหลง พวกลูกน้องของเขาถูกศัตรูล้อมกรอบจนต้องแตกหนีเอาตัวรอด ในฐานะหัวหน้ากลุ่ม หยางเฟิงจึงต้องสละตัวเองเพื่อเปิดทางให้พวกเขาหนีไปได้ เขาได้ต่อสู้กับพวกกบฏอย่างดุเดือด แต่ก็ไม่อาจต้านทานกองกำลังที่มากกว่าของพวกมันได้ เขาถูกยิงเข้าที่สีข้างจนเลือดไหลอาบ หยางเฟิงกัดฟันข่มความเจ็บปวด พยายามตะเกียกตะกายหนีออกจากวงล้อมของศัตรู เขาต้องหนีออกไปให้ได้และต้องกลับไปรายงานเรื่องนี้ให้ทางการได้รับทราบ เขาต้องไม่ยอมให้พวกกบฏลอยนวลหลังจากฝ่าวงล้อมออกมาหยางเฟิงก็เดินโซซัดโซเซไปตามเส้นทางที่ไม่คุ้นเคย เขาไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน และจะไปทางไหนต่อ เขาได้แต่
แสงแดดยามเช้าสาดส่องลอดผ่านบานหน้าต่างไม้เก่าๆ เข้ามาในห้องนอนเล็กๆ หลินเสี่ยวเหยาค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้นมา หญิงสาวจ้องมองไปยังร่างของคุณตัวร้าย ที่บาดเจ็บสาหัสจากการถูกยิง เขายังคงนอนหลับสนิทอยู่บนเตียงนอนเก่าๆ เธอจึงจัดการเก็บเสื่อ หมอน และผ้าห่มไว้ในตู้ก่อนจะขยับตัวลุกขึ้นอย่างเงียบเชียบ เธอเดินออกไปยังห้องครัวเล็กๆ ที่อยู่ติดกับลานบ้าน"เสี่ยวหมิงคงหิวแล้ว" หลินเสี่ยวเหยาคิดในใจ เธอมองไปยังเตาถ่านที่ตั้งอยู่มุมห้อง หลินเสี่ยวหมิง น้องชายของเธอ ตอนนี้เป็นเด็กที่กำลังจะโต เด็กน้อยสมควรที่จะทานอาหารเยอะๆ หลินเสี่ยวเหยาจึงตั้งใจว่าจะทำอาหารเช้าให้น้องชายและคุณตัวร้ายให้อิ่มท้องก่อนออกไปข้างนอกแต่แล้วเธอก็ต้องพบกับปัญหาใหญ่ เธอไม่รู้วิธีจุดเตาถ่าน! ในยุค 70 นี้ การทำอาหารด้วยเตาถ่านเป็นเรื่องปกติ แต่สำหรับหลินเสี่ยวเหยาที่เพิ่งย้อนเวลามา เธอไม่เคยมีประสบการณ์จุดเตาถ่านมาก่อนเลย"จะทำยังไงดีล่ะเนี่ย" เธอพึมพำกับตัวเอง พลางจ้องมองไปรอบๆ ห้องครัว หวังว่าจะพบอุปกรณ์บางอย่างที่พอจะช่วยเธอได้ แต่เธอก็ไม่พบอะไรเลยทันใดนั้น เธอก็นึกถึงห้างสรรพสินค้าในมิติของเธอขึ้นมาหลินเสี่ยวเหยาเอามือบางลูบไล
หลินเสี่ยวเหยายกกับข้าวมาให้หยางเฟิงที่เตียง ชายหนุ่มมองอาหารตรงหน้าด้วยความประหลาดใจ เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าอาหารธรรมดา ๆ จะดูน่ารับประทานได้ขนาดนี้เขาตักข้าวต้มเข้าปากคำแรก รสชาติกลมกล่อมของข้าวต้มทำให้เขาแทบหยุดไม่ได้ เขาตักข้าวต้มเข้าปากคำแล้วคำเล่า จนข้าวต้มหมดถ้วย"อร่อยมากเลยครับ" ชายหนุ่มกล่าวชมด้วยรอยยิ้มแห่งความพึงพอใจหลินเสี่ยวเหยายิ้มรับคำชม คนในยุคนี้ชาวบ้านทั่วไปชอบทำกับข้าวจืดๆ ไม่ได้เน้นเครื่องปรุงรสอะไร กับข้าวที่เธอใส่ผงปรุงรสไปก็เลยดูอร่อยเป็นพิเศษเธอสามารถทำกับข้าวขายได้เลย ถ้ามีผงปรุงรสอยู่ในมือ รับรองกับข้าวอร่อยทุกอย่าง แต่น่าเสียดายที่ยุคนี้ทำการค้าขายลำบาก"ฉันดีใจที่คุณชอบค่ะ"เธอกล่าวกับชายหนุ่มหลังจากหยางเฟิงทานข้าวเช้าเสร็จ หลินเสี่ยวเหยาก็หยิบยาแก้ปวด และยาลดไข้ ออกมา 2 เม็ด"สหายหยางทานยาแก้ปวดและยาลดไข้หน่อยนะคะ อาการของคุณจะได้ดีขึ้น"หยางเฟิงรับยามาดู พบว่าเป็นยาฝรั่งราคาแพง เม็ดสีขาวกลม ๆ"คุณ... เอาเงินมาจากไหนมาซื้อยาพวกนี้?" ชายหนุ่มเอ่ยถามด้วยความสงสัยหลินเสี่ยวเหยาอึกอักไปชั่วครู่
หลินเสี่ยวเหยา เดินกลับมาถึงบ้านหลังเล็กๆ ของเธอ ที่ล้อมรอบไปด้วยต้นไม้ใหญ่และหญ้ารกทึบ คนเป็นพี่สาวเห็นน้องชายกำลัง กำลังก้มหน้าก้มตาถางหญ้าอยู่คนเดียว เหงื่อของเขาไหลอาบบนใบหน้า แววตาเต็มไปด้วยความเหน็ดเหนื่อยด้วยความสงสารเด็กน้อยตัวเล็กๆ ที่ต้องทำงานหนักเหมือนผู้ใหญ่ หลินเสี่ยวเหยาก็รีบเดินตรงไปที่ห้องครัว เธอหยิบขวดน้ำหวานเย็นๆ และขนมปังแสนอร่อยจากมิติของเธอหญิงสาวเทน้ำหวานใส่กระบอกไม้ไผ่ และวางขนมปังอบกรอบไว้บนจานกระเบื้องเก่าๆ จากนั้นก็เดินตรงไปหาหลินเสี่ยวหมิงที่ทำงานอยู่สวนหลังบ้าน"เสี่ยวหมิง! พี่กลับมาแล้ว!" หญิงสาวตะโกนเรียกน้องชายด้วยน้ำเสียงสดใสและอบอุ่นหลินเสี่ยวหมิงเงยหน้าขึ้นจากแปลงผัก ดวงตากลมโตเป็นประกายเมื่อเห็นพี่สาวกลับมาถึงบ้าน "พี่สาว! กลับมาแล้วเหรอครับ!" เขารีบวิ่งเข้าไปหาพี่สาวด้วยความดีใจหญิงสาวยิ้มกว้างพลางลูบหัวน้องชายเบาๆ "อืม... พี่กลับมาแล้ว" เธอพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน "เสี่ยวหมิงไปพักก่อนนะ เดี๋ยวพี่จะช่วยถางหญ้าต่อเอง""แต่ว่า..." หลินเสี่ยวหมิงทำท่าจะแย้งผู้เป็นพี่สาวขัดขึ้น "ไม่มีแต่" เธอยิ้มให้น้องชาย "พี่สาวแข็งแรงจะตายไป น้องเล็กไปพักผ่อนเถอะ
หลินเสี่ยวเหยา เดินออกจากห้องมา เธอเห็นหลินเสี่ยวหมิงกำลังนั่งรอเธออยู่ที่ลานหน้าบ้าน บนพื้นมีตะกร้าสานใบโปรดวางอยู่พร้อมกับขวานตัดฟืนและมีดพร้า หลินเสี่ยวเหยาเดินไปเปลี่ยนเป็นชุดเก่าๆ มัดผมเรียบง่าย คว้าตะกร้าสานที่บรรจุเครื่องมือและของทานเล่นนิดหน่อย ก่อนจะเดินออกจากบ้านไปพร้อมกับผู้เป็นน้องชายพวกเขาเดินมุ่งหน้าไปยังป่าไผ่ที่อยู่ด้านหลังบ้าน ป่าไผ่แห่งนี้เป็นแหล่งอาหารสำคัญสองคนพี่น้อง ซึ่งเมื่อก่อนหลินเสี่ยวหมิงมักจะเข้ามาหาของป่าให้พี่สาวอยู่เป็นประจำเมื่อมาถึงจุดที่เต็มไปด้วยต้นไผ่ หลินเสี่ยวเหยาก็หยุดลง เธอวางตะกร้าสานลงบนพื้น หยิบขวานอันคมออกมาจากตะกร้า ผู้เป็นพี่สาวเริ่มสอนน้องชายถึงวิธีการตัดต้นไผ่"เสี่ยวหมิง น้องจับขวานให้มั่นนะ ตีตรงโคนต้นไผ่ ระวังอย่าให้โดนเท้าตัวเอง" หลินเสี่ยวเหยาเอ่ยด้วยน้ำเสียงอบอุ่นเด็กน้อยพยักหน้ารับอย่างตั้งใจ ดวงตาของเขาลุกวาวด้วยความตื่นเต้น เขาสวมหมวกฟางเก่า ๆ กำขวานแน่นในมือเล็ก ๆ พยายามเลียนแบบท่าทางของผู้เป็นพี่สาว"ผลัวะ!" เสียงขวานดังก้องไปทั่วป่า หลินเสี่ยวหมิงฟาดฟันต้นไผ่อย่างขะมักเขม้น แม้ว่าแรงของเขาจะยังไม่มากนัก แต่เขาก็พยายามอย่าง
เมื่อคนเป็นพี่สาวเดินมาที่ลานหน้าบ้าน เธอเห็นหลินเสี่ยวหมิงน้องชายของเธอกำลังนั่งรอทานข้าวอย่างใจจดใจจ่อ บนโต๊ะไม้เก่า ๆ มีแกงผักป่าร้อน ๆ กับข้าวสวยวางอยู่ เมื่อเธอเดินมาหาน้องชาย หลินเสี่ยวหมิงยิ้มร่าด้วยความดีใจ"พี่เสี่ยวเหยา แกงที่พี่ทำมันหอมมากเลยครับ จนน้ำลายผมไหลยืด" หลินเสี่ยวหมิงเอ่ยขึ้น"มันหอมเพราะพี่สาวใส่เครื่องปรุงตามสูตรที่พี่สาวคิดค้นขึ้น มันทำให้น้ำแกงอร่อยขึ้น ถ้าน้องเล็กชอบพี่สาวจะทำให้ทานทุกวัน" หลินเสี่ยวเหยาตักแกงใส่ถ้วย ส่งให้น้องชายหลินเสี่ยวหมิงตักแกงเข้าปาก เคี้ยวช้า ๆ รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าเด็กน้อย"อร่อยมากเลยพี่สาว ฝีมือพี่นี่ไม่แพ้แม่เลยนะ" หลินเสี่ยวหมิงเอ่ยชมไม่หยุด‘หึ..ถ้าไม่มีเครื่องปรุงสำเร็จรูปกับข้าว ฉันก็คงทำคงไม่อร่อยเท่านี้หรอก’ หลินเสี่ยวเหยารู้สึกโชคดีที่ในห้างสรรพสินค้าของเธอมีเครื่องปรุงสำเร็จรูปครบครันทำให้การใช้ชีวิตในยุคนี้ ไม่ได้แย่อย่างที่เธอคิดหลังจากทานข้าวเสร็จ หลินเสี่ยวเหยาก็ทำการเก็บกวาดโต๊ะอาหาร ก่อนจะหันมาบอกกับน้องชาย"เสี่ยวหมิง วันนี้น้องเหนื่อยมาทั้งวัน เดี๋ยวน้องไปพักผ่อนได้แล้ว""ครับพี่สาว เดี๋ยวผมไปก่อนนะครับ" เด็กชายพ
ณ เมืองหลวงหลิวซิวหยวน มารดาของ หยางเฟิง เดินเข้ามาหา หยางกั๋วเฉิง ผู้เป็นสามีด้วยความร้อนใจ เธออยากรู้ว่าทำไมลูกชายเธอถึงไม่ยอมกลับมาบ้านสักที เธอพยายามถามผู้เป็นสามี เขาก็ตอบแต่เพียงว่า ลูกสามงานยุ่ง ตามปกติแล้วแม้งานของลูกสามจะยุ่งแค่ไหนเขาจะกลับมาที่บ้านใหญ่เสมอ เพื่อมาเยี่ยมครอบครัวทุกอาทิตย์แต่นี่ก็นานมาแล้วที่ลูกชายเธอขาดติดต่อกลับมา ใบหน้าของคุณนายหยางเต็มไปด้วยความกังวลเมื่อหลิวซิวหยวน มาถึงที่ทำงานของสามี เธอเดินเข้าไปในห้องทำงานของสามีด้วยความรีบร้อน โดยไม่ได้เคาะประตู ทันใดนั้น เธอก็ต้องชะงัก เมื่อเห็นภาพที่ไม่คาดคิดหยางกั๋วเฉิง สามีของเธอ กำลังนั่งสนทนาอยู่กับ หลิวซิวฉีพี่ชายของเธอ ใบหน้าของทั้งคู่ดูเคร่งเครียด และเต็มไปด้วยความกังวล"พี่ชาย!" หลิวซิวหยวนร้องออกไปด้วยความตกใจ "เกิดอะไรขึ้น? ทำไมทุกคนหน้าถึงทำหน้าเคร่งเครียดแบบนี้?"หลิวซิวฉี หันมามองน้องสาว ก่อนจะถอนหายใจยาว "เจ้าสาม เขา...""เขา… เป็นอะไรไป?" คุณนายหยางรีบเอ่ยถามด้วยความร้อนรน หัวใจของเธอเต้นรัวด้วยความหวาดกลัว"เจ้าสามเขา... ไปปฏิบัติภารกิจลับ เพียงแต่ว่า... ตอนนี้พวกเราได้ขาดการติดต่อกับเจ้าสาม มาหล
เช้าวันรุ่งขึ้น หลินเสี่ยวเหยา ตื่นขึ้นมาด้วยอาการสะโหลสะเหล เธอนอนไม่หลับทั้งคืน ภาพใบหน้าหล่อเหลาของคุณตัวร้าย ย้ำเตือนความทรงจำเมื่อคืน น้ำเสียงอันทุ่ม นุ่มลึก ของร่างสูงที่บอกว่าเธอ"น่ารัก" ยังคงก้องอยู่ในหูความร้อนผ่าวจากใบหน้าไต่ขึ้นสู่แก้ม แก้มของเธอแดงก่ำขึ้นมาอีกครั้ง เพียงแค่คิดถึงมัน หัวใจของเธอก็เต้นระรัวเมื่อคืนนี้ เธอนอนห้องเดียวกับชายหนุ่ม แม้จะนอนคนละที่กัน แต่ความใกล้ชิดก็เพียงพอที่จะปลุกเร้าจินตนาการของหญิงสาว"โอ๊ย…คุณตัวร้ายแอบคิดอะไรเกินเลยกับเธอหรือเปล่า" เสียงร้องอุทานของเธอแทบจะหลุดออกมา หัวใจเธอเต้นตึกตัก ภาพใบหน้าหล่อเหลาที่ยิ้มกริ่มของพันตรีหนุ่มลอยมาปรากฏในความคิดหลินเสี่ยวเหยาพลิกตัวไปมาบนเสื่อ ด้วยอาการของคนนอนไม่หลับ เธอครุ่นคิดว่าชายหนุ่มกำลังจะจีบเธอหรือเปล่า แต่เธอก็ไม่กล้าคิดเกินเลยไปไกล ทำให้คิดวนเวียนไปมาเธอนอนหลับๆ ตื่นๆ พอรู้ตัวอีกทีเกือบใกล้รุ่งเช้าแล้วคนร่างบางจึงตัดสินใจลุกขึ้นจากที่นอนเดินไปที่ห้องครัว หวังจะดื่มกาแฟร้อนๆ สักแก้ว เพื่อปลุกให้ตัวเองตื่นเต็มตาเช้านี้ อากาศค่อนข้างเย็นสบาย หญิงสาวเดินไปที่เตาฟืน ก่อไฟต้มน้ำร้อน เสียงฟืนที่แ
หลังจากหลินเสี่ยวเหยาออกจากบ้านลุงเหวินมา หญิงสาวรีบเดินทางกลับบ้านเพราะกลัวน้องชายจะหิ้วท้องรอ เธอก้าวเท้าผ่านแปลงนาด้วยความเร่งรีบ มุ่งหน้ากลับบ้านที่อยู่ติดกับเชิงเขาที่อยู่ท้ายหมู่บ้าน ท่ามกลางดวงอาทิตย์กำลังลาลับขอบฟ้า สายตาของเธอก็เหลือบไปเห็นกลุ่มชายหนุ่มสามคนที่ยืนดักรอเธออยู่"นังตัวดี!" จ้าวหยวนตงตะโกนออกมาด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้น "ฉันจะแก้แค้นที่แกทำปากฉันแตก! ตอนนี้พวกชาวบ้านต่างก็กลับบ้านไปกันหมดแล้ว ไม่มีใครช่วยเหลือแกได้ ถ้าแกไม่อยากเจ็บตัว ก็นำข้าวของมาให้พวกฉันซะ!" ชายหนุ่มข่มขู่หลินเสี่ยวเหยาทันทีหลินเสี่ยวเหยา กัดฟันกรอด ใบหน้าของเธอแดงก่ำด้วยความโกรธ เธอไม่คิดจะให้ใครมารังแกเธอได้ง่ายๆ หรอก"ไอ้จ้าวหยวนตง แกอย่ามาหาเรื่อง ฉันไม่มีของอะไรจะให้แก" หลินเสี่ยวเหยา ตะโกนโต้กลับไป ด้วยน้ำเสียงโกรธเกรี้ยว"นังนี่มันปากดีจริงๆ พวกเราจัดการสั่งสอนนังผู้หญิงคนนี้กันหน่อย!" จ้าวหยวนตง เรียกเพื่อนสนิททั้งสอง ตรงรี่เข้าหาหลินเสี่ยวเหยา"เฮอะ..ในเมื่อฉันไม่ได้ไปหาเรื่องพวกแก แต่พวกแกกับเสือกหาเรื่องเอง แล้วอย่าหาว่าฉันไม่เตือนละ ถ้าพวกแกแน่จริง ก็เข้ามา" หญิงสาวตะโกน
จ้าวหยวนตงยื่นมือไปคว้าตะกร้าหวายจากหลินเสี่ยวเหยาที่มีผ้าขาวปกคลุมเอาไว้"สหายหลิน จะรีบไปไหน พวกเรายังคุยกันไม่จบเลยนะ" จ้าวหยวนตงยิ้มเจ้าเล่ห์หลินเสี่ยวเหยารู้สึกโกรธแค้น เธอพยายามเดินหนี แต่ชายหนุ่มจับตะกร้าเธอไว้แน่น"ปล่อยตะกร้าฉันเดี๋ยวนี้! ของพวกนี้ไม่ใช่ของพวกแก!" หลินเสี่ยวเหยาตะโกนกลับมา"ของฝากพวกนี้เอามาให้สหายเหว่ยเฉียงใช่มั้ยล่ะ? เดี๋ยวพวกเราเอาไปให้เขาเอง สหายหลินไม่ต้องเป็นห่วง" กัวเฉิงหลง ชายหนุ่มอีกคนในกลุ่มพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่จริงใจหลินเสี่ยวเหยาเม้มริมฝีปากแน่น ตอนนี้พวกชาวบ้านเลิกงานเริ่มทยอยออกมาประปราย หญิงสาวไม่กล้าใช้ความรุนแรง ในขณะที่เธอกำลังจะยื้อตะกร้า จ้าวหยวนตงทำท่าจะโน้มตัวลงมาดูของในตะกร้าว่ามีอะไรบ้างทันใดนั้นเธอแกล้งก็ใช้ศอกฟาดเข้าที่ปากของจ้าวหยวนตงอย่างแรงจนชายหนุ่มเซไปข้างหลัง เลือดไหลซิบจากมุมปาก"โอ๊ย!" จ้าวหยวนตงร้องโอดโอย ก่อนจะปล่อยตะกร้าหวายออกจากมือ ชายหนุ่มไม่พอใจกล่าวว่าหญิงสาวตรงหน้าทันที"แกนังตัวดี! แกกล้ามาทำร้ายฉันเหรอ?!"จ้าวหยวนตงตะโกนขึ้นผู้คนรอบข้างเริ่มหยุดชะงัก มองมาที่หลินเสี่ยวเหยาและจ้าวหยวนตงด้วยความตกใจ เสียงโหวกเหวก
หลินเสี่ยวเหยา ก้าวเท้าออกมาจากบ้านดินหลังเล็ก ก่อนที่จะเดินตรงไปยังแปลงผักที่อยู่หลังบ้านเธอเห็นหลินเสี่ยวหมิง กำลังยืนอยู่หน้าแปลงผัก สายตาของเขาจดจ่อกับต้นผักกาดหอมที่เพิ่งปลูกไปเมื่อวานนี้ ใบสีเขียวอ่อนเริ่มคลี่ออก เผยให้เห็นยอดอ่อนสีขาว หลินเสี่ยวเหยาเดินเข้าไปหาเด็กชาย"น้องเล็กทำอะไรอยู่เหรอ?""พี่สาวดูสิครับ ต้นผักกาดเริ่มแตกใบแล้ว!" หลินเสี่ยวหมิงตอบด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น เขารู้สึกดีใจที่ได้เห็นผลลัพธ์จากการทุ่มเทดูแลแปลงผักหลินเสี่ยวเหยาโน้มตัวลง มองดูต้นผักกาดอย่างใกล้ชิด รอยยิ้มของเธอขยายกว้างขึ้น "น้องเล็กเก่งมากเลยนะ เป็นเพราะน้องเล็กช่วยพี่สาวรดน้ำ เมล็ดจึงแตกยอดออกมา" เธอเอื้อมมือลูบศีรษะน้องชายเบาๆ"ต่อไปเราก็จะมีผักสดๆ ไว้กินเองแล้ว"หลินเสี่ยวหมิงดีใจสุดๆ เขาตั้งตารอที่จะได้กินผักกาดที่ดูแลเองกับมือท่ามกลางความร่าเริงของเด็กน้อย หลินเสี่ยวเหยากำลังครุ่นคิดว่าจะบอกความจริงเรื่องมิติของเธอให้น้องชายได้รับรู้หรือไม่ เธออยากนำเครื่องมือในห้างสรรพสินค้าของมาสร้างเล้าไก่ คนร่างบางรู้สึกลังเลใจว่าจะบอกน้องชายดีหรือไม่หลินเสี่ยวเหยานึกถึงเรื่องราวในนิยายที่เธอหลุดเข้ามา น
ณ เมืองหลวงหลิวซิวหยวน มารดาของ หยางเฟิง เดินเข้ามาหา หยางกั๋วเฉิง ผู้เป็นสามีด้วยความร้อนใจ เธออยากรู้ว่าทำไมลูกชายเธอถึงไม่ยอมกลับมาบ้านสักที เธอพยายามถามผู้เป็นสามี เขาก็ตอบแต่เพียงว่า ลูกสามงานยุ่ง ตามปกติแล้วแม้งานของลูกสามจะยุ่งแค่ไหนเขาจะกลับมาที่บ้านใหญ่เสมอ เพื่อมาเยี่ยมครอบครัวทุกอาทิตย์แต่นี่ก็นานมาแล้วที่ลูกชายเธอขาดติดต่อกลับมา ใบหน้าของคุณนายหยางเต็มไปด้วยความกังวลเมื่อหลิวซิวหยวน มาถึงที่ทำงานของสามี เธอเดินเข้าไปในห้องทำงานของสามีด้วยความรีบร้อน โดยไม่ได้เคาะประตู ทันใดนั้น เธอก็ต้องชะงัก เมื่อเห็นภาพที่ไม่คาดคิดหยางกั๋วเฉิง สามีของเธอ กำลังนั่งสนทนาอยู่กับ หลิวซิวฉีพี่ชายของเธอ ใบหน้าของทั้งคู่ดูเคร่งเครียด และเต็มไปด้วยความกังวล"พี่ชาย!" หลิวซิวหยวนร้องออกไปด้วยความตกใจ "เกิดอะไรขึ้น? ทำไมทุกคนหน้าถึงทำหน้าเคร่งเครียดแบบนี้?"หลิวซิวฉี หันมามองน้องสาว ก่อนจะถอนหายใจยาว "เจ้าสาม เขา...""เขา… เป็นอะไรไป?" คุณนายหยางรีบเอ่ยถามด้วยความร้อนรน หัวใจของเธอเต้นรัวด้วยความหวาดกลัว"เจ้าสามเขา... ไปปฏิบัติภารกิจลับ เพียงแต่ว่า... ตอนนี้พวกเราได้ขาดการติดต่อกับเจ้าสาม มาหล
เมื่อคนเป็นพี่สาวเดินมาที่ลานหน้าบ้าน เธอเห็นหลินเสี่ยวหมิงน้องชายของเธอกำลังนั่งรอทานข้าวอย่างใจจดใจจ่อ บนโต๊ะไม้เก่า ๆ มีแกงผักป่าร้อน ๆ กับข้าวสวยวางอยู่ เมื่อเธอเดินมาหาน้องชาย หลินเสี่ยวหมิงยิ้มร่าด้วยความดีใจ"พี่เสี่ยวเหยา แกงที่พี่ทำมันหอมมากเลยครับ จนน้ำลายผมไหลยืด" หลินเสี่ยวหมิงเอ่ยขึ้น"มันหอมเพราะพี่สาวใส่เครื่องปรุงตามสูตรที่พี่สาวคิดค้นขึ้น มันทำให้น้ำแกงอร่อยขึ้น ถ้าน้องเล็กชอบพี่สาวจะทำให้ทานทุกวัน" หลินเสี่ยวเหยาตักแกงใส่ถ้วย ส่งให้น้องชายหลินเสี่ยวหมิงตักแกงเข้าปาก เคี้ยวช้า ๆ รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าเด็กน้อย"อร่อยมากเลยพี่สาว ฝีมือพี่นี่ไม่แพ้แม่เลยนะ" หลินเสี่ยวหมิงเอ่ยชมไม่หยุด‘หึ..ถ้าไม่มีเครื่องปรุงสำเร็จรูปกับข้าว ฉันก็คงทำคงไม่อร่อยเท่านี้หรอก’ หลินเสี่ยวเหยารู้สึกโชคดีที่ในห้างสรรพสินค้าของเธอมีเครื่องปรุงสำเร็จรูปครบครันทำให้การใช้ชีวิตในยุคนี้ ไม่ได้แย่อย่างที่เธอคิดหลังจากทานข้าวเสร็จ หลินเสี่ยวเหยาก็ทำการเก็บกวาดโต๊ะอาหาร ก่อนจะหันมาบอกกับน้องชาย"เสี่ยวหมิง วันนี้น้องเหนื่อยมาทั้งวัน เดี๋ยวน้องไปพักผ่อนได้แล้ว""ครับพี่สาว เดี๋ยวผมไปก่อนนะครับ" เด็กชายพ
หลินเสี่ยวเหยา เดินออกจากห้องมา เธอเห็นหลินเสี่ยวหมิงกำลังนั่งรอเธออยู่ที่ลานหน้าบ้าน บนพื้นมีตะกร้าสานใบโปรดวางอยู่พร้อมกับขวานตัดฟืนและมีดพร้า หลินเสี่ยวเหยาเดินไปเปลี่ยนเป็นชุดเก่าๆ มัดผมเรียบง่าย คว้าตะกร้าสานที่บรรจุเครื่องมือและของทานเล่นนิดหน่อย ก่อนจะเดินออกจากบ้านไปพร้อมกับผู้เป็นน้องชายพวกเขาเดินมุ่งหน้าไปยังป่าไผ่ที่อยู่ด้านหลังบ้าน ป่าไผ่แห่งนี้เป็นแหล่งอาหารสำคัญสองคนพี่น้อง ซึ่งเมื่อก่อนหลินเสี่ยวหมิงมักจะเข้ามาหาของป่าให้พี่สาวอยู่เป็นประจำเมื่อมาถึงจุดที่เต็มไปด้วยต้นไผ่ หลินเสี่ยวเหยาก็หยุดลง เธอวางตะกร้าสานลงบนพื้น หยิบขวานอันคมออกมาจากตะกร้า ผู้เป็นพี่สาวเริ่มสอนน้องชายถึงวิธีการตัดต้นไผ่"เสี่ยวหมิง น้องจับขวานให้มั่นนะ ตีตรงโคนต้นไผ่ ระวังอย่าให้โดนเท้าตัวเอง" หลินเสี่ยวเหยาเอ่ยด้วยน้ำเสียงอบอุ่นเด็กน้อยพยักหน้ารับอย่างตั้งใจ ดวงตาของเขาลุกวาวด้วยความตื่นเต้น เขาสวมหมวกฟางเก่า ๆ กำขวานแน่นในมือเล็ก ๆ พยายามเลียนแบบท่าทางของผู้เป็นพี่สาว"ผลัวะ!" เสียงขวานดังก้องไปทั่วป่า หลินเสี่ยวหมิงฟาดฟันต้นไผ่อย่างขะมักเขม้น แม้ว่าแรงของเขาจะยังไม่มากนัก แต่เขาก็พยายามอย่าง
หลินเสี่ยวเหยา เดินกลับมาถึงบ้านหลังเล็กๆ ของเธอ ที่ล้อมรอบไปด้วยต้นไม้ใหญ่และหญ้ารกทึบ คนเป็นพี่สาวเห็นน้องชายกำลัง กำลังก้มหน้าก้มตาถางหญ้าอยู่คนเดียว เหงื่อของเขาไหลอาบบนใบหน้า แววตาเต็มไปด้วยความเหน็ดเหนื่อยด้วยความสงสารเด็กน้อยตัวเล็กๆ ที่ต้องทำงานหนักเหมือนผู้ใหญ่ หลินเสี่ยวเหยาก็รีบเดินตรงไปที่ห้องครัว เธอหยิบขวดน้ำหวานเย็นๆ และขนมปังแสนอร่อยจากมิติของเธอหญิงสาวเทน้ำหวานใส่กระบอกไม้ไผ่ และวางขนมปังอบกรอบไว้บนจานกระเบื้องเก่าๆ จากนั้นก็เดินตรงไปหาหลินเสี่ยวหมิงที่ทำงานอยู่สวนหลังบ้าน"เสี่ยวหมิง! พี่กลับมาแล้ว!" หญิงสาวตะโกนเรียกน้องชายด้วยน้ำเสียงสดใสและอบอุ่นหลินเสี่ยวหมิงเงยหน้าขึ้นจากแปลงผัก ดวงตากลมโตเป็นประกายเมื่อเห็นพี่สาวกลับมาถึงบ้าน "พี่สาว! กลับมาแล้วเหรอครับ!" เขารีบวิ่งเข้าไปหาพี่สาวด้วยความดีใจหญิงสาวยิ้มกว้างพลางลูบหัวน้องชายเบาๆ "อืม... พี่กลับมาแล้ว" เธอพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน "เสี่ยวหมิงไปพักก่อนนะ เดี๋ยวพี่จะช่วยถางหญ้าต่อเอง""แต่ว่า..." หลินเสี่ยวหมิงทำท่าจะแย้งผู้เป็นพี่สาวขัดขึ้น "ไม่มีแต่" เธอยิ้มให้น้องชาย "พี่สาวแข็งแรงจะตายไป น้องเล็กไปพักผ่อนเถอะ
หลินเสี่ยวเหยายกกับข้าวมาให้หยางเฟิงที่เตียง ชายหนุ่มมองอาหารตรงหน้าด้วยความประหลาดใจ เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าอาหารธรรมดา ๆ จะดูน่ารับประทานได้ขนาดนี้เขาตักข้าวต้มเข้าปากคำแรก รสชาติกลมกล่อมของข้าวต้มทำให้เขาแทบหยุดไม่ได้ เขาตักข้าวต้มเข้าปากคำแล้วคำเล่า จนข้าวต้มหมดถ้วย"อร่อยมากเลยครับ" ชายหนุ่มกล่าวชมด้วยรอยยิ้มแห่งความพึงพอใจหลินเสี่ยวเหยายิ้มรับคำชม คนในยุคนี้ชาวบ้านทั่วไปชอบทำกับข้าวจืดๆ ไม่ได้เน้นเครื่องปรุงรสอะไร กับข้าวที่เธอใส่ผงปรุงรสไปก็เลยดูอร่อยเป็นพิเศษเธอสามารถทำกับข้าวขายได้เลย ถ้ามีผงปรุงรสอยู่ในมือ รับรองกับข้าวอร่อยทุกอย่าง แต่น่าเสียดายที่ยุคนี้ทำการค้าขายลำบาก"ฉันดีใจที่คุณชอบค่ะ"เธอกล่าวกับชายหนุ่มหลังจากหยางเฟิงทานข้าวเช้าเสร็จ หลินเสี่ยวเหยาก็หยิบยาแก้ปวด และยาลดไข้ ออกมา 2 เม็ด"สหายหยางทานยาแก้ปวดและยาลดไข้หน่อยนะคะ อาการของคุณจะได้ดีขึ้น"หยางเฟิงรับยามาดู พบว่าเป็นยาฝรั่งราคาแพง เม็ดสีขาวกลม ๆ"คุณ... เอาเงินมาจากไหนมาซื้อยาพวกนี้?" ชายหนุ่มเอ่ยถามด้วยความสงสัยหลินเสี่ยวเหยาอึกอักไปชั่วครู่