หลี่เหว่ยเฉียงยังคงสงบนิ่ง ไม่แสดงความหวาดกลัวออกมาให้เห็น แม้ภายในใจจะร้อนรุ่มเพียงใด เขารู้ดีว่าการขัดขืนมีแต่จะทำให้สถานการณ์เลวร้ายลง
ทว่าในชั่วพริบตา ร่างบอบบางของหญิงสาวคนหนึ่งก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้า เธอคือหลินฮวา สหายหญิงที่หลี่เหว่ยเฉียงแอบมีใจให้
"ใจเย็นก่อนเถิด สหาย" หลินฮวากล่าวเสียงหวานแต่หนักแน่น "ตอนนี้สหายหลี่กำลังจะหมั้นหมายกับฉัน หากพวกคุณจับเขาไป งานมงคลก็คงต้องล่ม"
เหล่าทหารชะงัก หันไปมองหน้าหญิงสาวที่กล้าขวางทางพวกเขาด้วยความประหลาดใจ
"สหายหญิง ท่านอย่าได้เข้ามาขวางทางการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเรา" หัวหน้าทหารกล่าวเตือน
"ฉันรู้ดี สหาย" หลินฮวาตอบ "แต่คุณลองคิดดู หากสหายหลี่เป็นปฏิปักษ์ต่อการปฏิวัติจริง เขาจะกล้าประกาศหมั้นหมายกับฉันอย่างเปิดเผยเช่นนี้หรือ"
หัวหน้าทหารครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหันไปพูดกับลูกน้อง "พวกเราไปตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อน หากสหายทั้งสองโกหก ฉันจะกลับมาเอาหัวสหายทั้งสองคน จำไว้"
หลี่เหว่ยเฉียงมองหลินฮวาด้วยความซาบซึ้งใจ หากไม่ใช่เพราะเธอ เขาคงถูกจับไปแล้ว และอาจต้องเผชิญชะตากรรมอันเลวร้าย
"ขอบคุณมากสหายหลิน" หลี่เหว่ยเฉียงกล่าวอย่างจริงใจ "หากไม่ใช่เพราะสหาย ผมคง..."
"ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว สหายเหว่ยเฉียง" หลินฮวายิ้มให้เขาอย่างอบอุ่น "ฉันรู้ว่าสหายไม่ได้ทำอะไรผิด"
"แต่ว่า..." หลี่เหว่ยเฉียงยังคงกังวล
"ไม่ต้องเป็นห่วงคะ" หลินฮวาพูดตัดบท "ถ้าหากทหารแดงมาตามสืบจริงๆ สหายเหว่ยเฉียงค่อยมาหมั้นหมายฉันไว้ก็ได้" เธอพูดติดตลก พลางหัวเราะเบาๆ
"ถ้าหากว่าสหายเหว่ยเฉียงรังเกียจฉันละก็..."
"ฉันจะรังเกียจสหายได้อย่างไร" หลี่เหว่ยเฉียงพูดอย่างหนักแน่น "สหายได้ช่วยชีวิตของฉันไว้"
หลินฮวามองลึกเข้าไปในดวงตาของชายหนุ่ม ทั้งคู่จ้องมองกันด้วยความรู้สึกที่ยากจะบรรยาย ก่อนที่หลินฮวาจะตั้งสติ
"พวกเราต้องไปแล้ว สหายเหว่ยเฉียง" หลินฮวากล่าว "ก่อนที่ใครจะมาเห็นเรา"
หลี่เหว่ยเฉียงพยักหน้าอย่างเข้าใจ ก่อนที่ทั้งคู่จะเดินจากไปทันที
ที่อีกฟากหนึ่งของตรอก เมื่อหลินเสี่ยวเหยาได้เห็นใบหน้าของหลินฮวา ความทรงจำอันเจ็บปวดจากชาติก่อนก็ผุดขึ้นมา
ใบหน้าของหลินฮวานั้น... ช่างเหมือนกับหลินเสี่ยวถง น้องสาวของเธอในชาติก่อน!
หลินเสี่ยวถง... น้องสาวที่เธอรักและเจิ้งห้าวคนรักที่เธอไว้ใจ ทั้งสองได้ร่วมมือกันหักหลังเธออย่างเลือดเย็น ปล่อยให้เธอต้องตายอย่างโดดเดี่ยวท่ามกลางฝูงซอมบี้ที่หิวกระหาย
ความเจ็บปวด และความคับแค้นใจจากชาติก่อน พุ่งเข้ามาในหัวของหลินเสี่ยวเหยาเหมือนพายุโหมกระหน่ำ
'หลินเสี่ยวถง เจิ้งห้าว พวกแกตามฉันมาถึงที่นี้เพื่ออะไร? เพื่อให้ฉันแก้แค้นพวกแกอย่างนั้นหรือ?' หลินเสี่ยวเหยาคิดในใจ ดวงตาของเธอแข็งกร้าวขึ้น
เมื่อเธอเห็นชายหญิงทั้งสองเดินจากไป หลินเสี่ยวเหยาก็มุ่งหน้าไปที่ลานจอดเกวียนเพื่อเตรียมตัวกลับหมู่บ้านไป๋เหอ
ระหว่างทาง สายตาของเธอเหลือบไปเห็นร่างของหญิงวัยกลางคนอายุราว 50 ปี นอนหมดสติอยู่ข้างทาง เธอเหลือบมองสองข้างทางไม่มีผู้คนเนื่องจากฝูงชนวิ่งหนีพวกทหารกันไปหมด หลินเสี่ยวเหยาไม่รอช้า รีบตรงไปดูอาการทันที
"คุณป้า... คุณป้า เป็นอย่างไรบ้างคะ" หลินเสี่ยวเหยาร้องเรียกพร้อมกับค่อยๆ ประคองร่างนั้นขึ้นมาพิงกับต้นไม้ใหญ่ข้างทาง
หลินเสี่ยวเหยาล้วงหยิบขวดน้ำออกมาจากตะกร้า รินน้ำใส่ฝ่ามือแล้วลูบหน้าผากของหญิงวัยกลางคนเบาๆ ทำซ้ำไปมาหลายครั้งจนกระทั่งเปลือกตาของเธอเริ่มขยับ
"อือ..." หญิงวัยกลางคนครางออกมาเบาๆ ก่อนจะลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ
"คุณป้า รู้สึกตัวแล้วหรือคะ" หลินเสี่ยวเหยาเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง
"ป้า... ป้าเป็นอะไรไป" หญิงวัยกลางคนถามอย่างงุนงง
"คุณป้าเป็นลมไปค่ะ ฉันเจอคุณป้านอนอยู่ข้างทาง" หลินเสี่ยวเหยาตอบตามความเป็นจริง
"ขอบใจหนูมากนะจ๊ะ" หญิงวัยกลางคนเอ่ยคำขอบคุณ
"ไม่เป็นไรค่ะ คุณป้ารู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง" หลินเสี่ยวเหยาถาม
"ป้ายังรู้สึกวิงเวียนศีรษะอยู่เล็กน้อย" เธอตอบกลับมา
หลินเสี่ยวเหยาทำทีเป็นล้วงหยิบขวดยาแผนโบราณที่เธอแกะฉลากออก มาจากตะกร้า ทั้งที่ความจริงแล้วเธอนำออกมาจากมิติ เธอส่งขวดยาให้หญิงวัยกลางคนพร้อมกับพูดว่า
"หนูพอมียาติดตัวมาบ้าง ยานี่อาจช่วยคุณป้าได้"
เธอรับขวดยาไปเปิดดม ก่อนจะกินตามที่หลินเสี่ยวเหยาแนะนำ
"ขอบคุณมากจ๊ะหนู" เธอกล่าวคำขอบคุณอีกครั้ง
"ไม่เป็นไรค่ะ คุณป้าพักผ่อนอีกสักครู่ เดี๋ยวอาการน่าจะดีขึ้นค่ะ" หลินเสี่ยวเหยาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
"ป้าชื่อหวังลี่จู ป้าอาศัยอยู่ที่เมืองจินหลง แถวถนนไปรษณีย์ ถ้าหนูเข้ามาในเมืองก็แวะมาหาป้าได้นะ" หญิงวัยกลางคนเอ่ยกล่าว
"ได้ค่ะคุณป้า ส่วนหนูชื่อหลินเสี่ยวเหยา มาจากหมู่บ้านไป๋เหอค่ะ" หลินเสี่ยวเหยาแนะนำตัวกลับด้วยรอยยิ้ม
ทั้งสองพูดคุยกันอีกเล็กน้อย ก่อนที่ป้าหวังจะขอตัวลากลับบ้าน หลินเสี่ยวเหยามองตามหลังป้าหวังลี่จูไปจนลับตา
ก่อนที่เธอจะเดินกลับ สายตาของเธอเหลือบมองท้องฟ้าที่เริ่มครึ้ม เมฆฝนสีเทาลอยต่ำลงมาจนเกือบจะบดบังแสงอาทิตย์
"ดูท่าวันนี้ฝนคงจะตกหนักแฮะ" หลินเสี่ยวเหยาเอ่ยพึมพำกับตัวเอง ก่อนจะเร่งฝีเท้าเดินออกจากถนนมาถึงจุดจอดเกวียน หลินเสี่ยวเหยาพบว่าเกวียนของหมู่บ้านได้ออกไปนานแล้ว คงเป็นเพราะเธอกลับมาช้าเกินไป หญิงสาวถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะตัดสินใจเดินกลับหมู่บ้านไป๋เหอด้วยตัวเอง
"ไม่เป็นไร แค่เดินกลับเอง ไม่ไกลเท่าไหร่" หลินเสี่ยวเหยากล่าวให้กำลังใจตัวเอง
ร่างบางเดินผ่านถนนดินแคบ ๆ ที่ทอดยาวผ่านทุ่งนาสีเขียวขจี ลมเย็นพัดผ่านใบหน้าของเธอเบา ๆ ขณะที่เธอกำลังเพลิดเพลินกับทัศนียภาพอันงดงาม เสียงฟ้าร้องดังขึ้น พร้อมกับสายฝนที่เริ่มโปรยปรายลงมา
หลินเสี่ยวเหยาชะงักฝีเท้า สายตาของเธอเหลือบไปเห็นศาลาริมทางที่อยู่ไม่ไกลนัก แต่หญิงสาวส่ายหน้า "ไม่ได้หรอก เธออยู่คนเดียวจะไม่ค่อยปลอดภัยถ้ามีคนไม่ดีผ่านมาล่ะ..แม้ว่าเธอจะมีฝีมือการต่อสู้ แต่ก็ไม่อยากเปิดเผยให้ใครรู้มากนัก "
หญิงสาวจึงตัดสินใจเดินไปบริเวณที่ไม่มีผู้คน เธอหันซ้ายหันขวาเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใครอยู่บริเวณนั้น ก่อนจะเอาจักรยานนำออกมาภายนอกมิติ อย่างระมัดระวังไม่ให้ใครเห็น เธอขึ้นคร่อมจักรยาน ปั่นอย่างชำนาญไปตามถนนดิน แม้ว่าสายฝนจะเริ่มตกหนักขึ้นเรื่อย ๆ
แต่แล้วจู่ ๆ ท้องฟ้าก็เริ่มมืดครึ้ม ลมพัดแรงขึ้น เสียงฟ้าร้องคำรามลั่น ไม่นานนัก ฝนก็ตกลงมาอย่างหนัก หลินเสี่ยวเหยาขบกรามแน่น เธอไม่สามารถเอาเสื้อกันฝนออกมาจากมิติได้ เพราะกลัวว่าจะทำให้ผู้คนสงสัย เธอจึงต้องยอมปั่นจักรยานฝ่าสายฝนที่โหมกระหน่ำต่อไป
เมื่อเข้าใกล้เขตหมู่บ้านไป๋เหอ หลินเสี่ยวเหยาก็ชะลอจักรยานแล้วเก็บมันเข้าไปในมิติอีกครั้ง เธอเดินก้มหน้าฝ่าสายฝนที่ยังคงตกหนักต่อไป ตอนนี้เป็นเวลาเกือบหกโมงเย็นแล้ว ท้องฟ้ามืดจนแทบมองไม่เห็นทาง ผู้คนส่วนใหญ่กลับเข้าบ้านเพื่อไปหลบฝนกันหมดแล้วไม่มีใครทำงานในท้องทุ่ง หลินเสี่ยวเหยาเดินผ่านทุ่งนาที่เงียบสงัด มีเพียงเสียงฝนกระทบใบไม้ดังเป็นฉากหลัง
ในที่สุดเธอก็มาถึงบ้านหลังเล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่ท้ายหมู่บ้านที่เป็นบ้านหลังเก่าของพ่อแม่ของเธอ
หลินเสี่ยวเหยาถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อเห็นแสงไฟสลัว ๆ เล็ดลอดออกมาจากหน้าต่างบานเล็ก
"เสี่ยวหมิง! พี่สาวกลับมาแล้ว!" หลินเสี่ยวเหยาตะโกนเรียกน้องชายพร้อมกับผลักประตูเข้าไป
"พี่สาว!" เสียงใส ๆ ของหลินเสี่ยวหมิงดังขึ้นพร้อมกับร่างเล็ก ๆ ที่วิ่งเข้ามาสวมกอดเธอ
"พี่ตัวเปียกหมดเดี๋ยวพี่ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนนะ เดี๋ยวจะไม่สบาย" หลินเสี่ยวเหยาพูดพลางลูบหัวน้องชายอย่างเอ็นดู
เสี่ยวหมิงพยักหน้ารับแล้วรีบวิ่งเข้าไปในห้องของตัวเอง หลินเสี่ยวเหยามองตามน้องชายด้วยสายตาอบอุ่น หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ เธอจะเดินไปที่ห้องครัวเพื่อนำอาหารแช่แข็งในห้างสรรพสินค้ามาอุ่นไว้เพื่อรับประทาน
"เสี่ยวหมิง! มาทานข้าวเร็ว พี่ซื้อของอร่อย ๆ มาฝากด้วย!" หลินเสี่ยวเหยาตะโกนเรียกน้องชายอีกครั้ง
หลินเสี่ยวหมิงวิ่งออกมาจากห้องด้วยดวงตาเป็นประกาย หลินเสี่ยวเหยายิ้มกว้างเมื่อเห็นแววตาเป็นประกายของน้องชาย เมื่อเห็นว่าบนโต๊ะ มีข้าวสวยร้อน ๆ ผัดผักกาดดองกับหมูสามชั้น ซุปผักกาดขาวเต้าหู้ และไข่เจียวร้อนๆ
"ว้าว! พี่สาวกับข้าวน่ากินจังเลย" หลินเสี่ยวหมิงอุทานออกมาด้วยความดีใจ
"น้องเล็กทานข้าวให้อร่อยนะ" หลินเสี่ยวเหยาพูดพลางตักข้าวให้เด็กน้อย
สองพี่น้องนั่งทานข้าวด้วยกันเสร็จเรียบร้อย หลินเสี่ยวหมิงเก็บถ้วยชามไปล้าง หลินเสี่ยวเหยาเอ่ยห้ามทันที
"เสี่ยวหมิง น้องไม่ต้องล้างถ้วยหรอกเดี๋ยวพี่สาวทำเอง มาดูพี่มีอะไรมาฝาก" เธอเรียกน้องชายตัวน้อยที่กำลังจะล้างชามในห้องครัวเก่าๆ อย่างเบิกบาน
ดวงตากลมโตของหลินเสี่ยวหมิงเป็นประกายเมื่อเห็นข้าวของในตะกร้าหวาย มีทั้งข้าวสารหอมกรุ่น เนื้อหมูสามชั้นชิ้นโต เครื่องปรุงรสต่างๆ และที่พิเศษสุดคือลูกอมตรากระต่ายขาว 1 ห่อ
"ว้าว! ลูกอม!" หลินเสี่ยวหมิงร้องอย่างดีใจ เขารีบหยิบลูกอมขึ้นมาแกะกินทันที
หลินเสี่ยวเหยาลูบหัวน้องชายด้วยความเอ็นดู ก่อนจะเล่าเรื่องราวในวันนี้ให้ฟัง
"วันนี้พี่ไปรับของจากโรงงานมาขายที่ตลาดมืดจ้ะ ได้เงินมาตั้ง 15 หยวนแน่ะ"
"15 หยวน!" เสี่ยวหมิงเบิกตากว้างด้วยความตกใจ "เยอะจัง พี่สาวเก่งที่สุดเลย!"
หลินเสี่ยวเหยาหัวเราะเบาๆ ก่อนจะลูบหัวน้องชายอย่างเอ็นดู
"แต่พี่ว่าพวกเราไม่ควรบอกใครนะว่าได้เงินมาเยอะขนาดนี้ พี่กลัวคนไม่ดีจะมาแย่งเอาเงินของพวกเราไป" เธอพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
"เสี่ยวหมิงน้องต้องเก็บเป็นความลับนะ อย่าไปบอกใครเข้าใจไหม?"
"ครับ ผมสัญญาว่าจะไม่บอกใคร" หลินเสี่ยวหมิงพยักหน้ารับคำอย่างแข็งขัน
หลินเสี่ยวเหยาถอนหายใจอย่างโล่งอก เธอรู้ดีว่าในยุคสมัยที่ยากลำบากเช่นนี้ เงินทองเป็นสิ่งที่ต้องระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง เธอไม่อยากให้ใครรู้ว่าเธอกับน้องชายมีเงินเก็บมากมาย เพราะนั่นอาจนำอันตรายมาสู่พวกเขาได้
หลังจากล้างถ้วยชามเสร็จ หลินเสี่ยวเหยาก็รู้สึกถึงอาการปวดหัวตุบ ๆ ที่เกิดขึ้นเป็นพัก ๆ เธอเดินโซเซไปยังห้องนอน หยิบยาเม็ดและน้ำสะอาดออกมาจากมิติส่วนตัว ก่อนจะทานยาแล้วทิ้งเธอตัวลงนอนอย่างอ่อนแรง
ท่ามกลางราตรีอันมืดมิด เสียงฟ้าร้องคำรามดังกึกก้องไปทั่วผืนฟ้า เม็ดฝนโปรยปรายลงมาไม่ขาดสาย บนเส้นทางสายเปลี่ยวที่ทอดยาวผ่านหมู่บ้านชนบทอันห่างไกล หยางเฟิง หัวหน้าหน่วยสืบราชการลับหน่วยที่ 13 ผู้มากฝีมือ กำลังก้าวเดินอย่างยากลำบาก เนื้อตัวของชายหนุ่มเปรอะเปื้อนไปด้วยโคลนและเลือดใบหน้าคมคาย เผยดวงตาสีดำคมกริบดุจเหยี่ยว และร่างกายกำยำล่ำสันของเขาเผยให้เห็นถึงความเจ็บปวดจากบาดแผลที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการถูกซุ่มโจมตีของกลุ่มกบฏที่ซ่อนตัวอยู่ใกล้เมืองจินหลง พวกลูกน้องของเขาถูกศัตรูล้อมกรอบจนต้องแตกหนีเอาตัวรอด ในฐานะหัวหน้ากลุ่ม หยางเฟิงจึงต้องสละตัวเองเพื่อเปิดทางให้พวกเขาหนีไปได้ เขาได้ต่อสู้กับพวกกบฏอย่างดุเดือด แต่ก็ไม่อาจต้านทานกองกำลังที่มากกว่าของพวกมันได้ เขาถูกยิงเข้าที่สีข้างจนเลือดไหลอาบ หยางเฟิงกัดฟันข่มความเจ็บปวด พยายามตะเกียกตะกายหนีออกจากวงล้อมของศัตรู เขาต้องหนีออกไปให้ได้และต้องกลับไปรายงานเรื่องนี้ให้ทางการได้รับทราบ เขาต้องไม่ยอมให้พวกกบฏลอยนวลหลังจากฝ่าวงล้อมออกมาหยางเฟิงก็เดินโซซัดโซเซไปตามเส้นทางที่ไม่คุ้นเคย เขาไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน และจะไปทางไหนต่อ เขาได้แต่
แสงแดดยามเช้าสาดส่องลอดผ่านบานหน้าต่างไม้เก่าๆ เข้ามาในห้องนอนเล็กๆ หลินเสี่ยวเหยาค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้นมา หญิงสาวจ้องมองไปยังร่างของคุณตัวร้าย ที่บาดเจ็บสาหัสจากการถูกยิง เขายังคงนอนหลับสนิทอยู่บนเตียงนอนเก่าๆ เธอจึงจัดการเก็บเสื่อ หมอน และผ้าห่มไว้ในตู้ก่อนจะขยับตัวลุกขึ้นอย่างเงียบเชียบ เธอเดินออกไปยังห้องครัวเล็กๆ ที่อยู่ติดกับลานบ้าน"เสี่ยวหมิงคงหิวแล้ว" หลินเสี่ยวเหยาคิดในใจ เธอมองไปยังเตาถ่านที่ตั้งอยู่มุมห้อง หลินเสี่ยวหมิง น้องชายของเธอ ตอนนี้เป็นเด็กที่กำลังจะโต เด็กน้อยสมควรที่จะทานอาหารเยอะๆ หลินเสี่ยวเหยาจึงตั้งใจว่าจะทำอาหารเช้าให้น้องชายและคุณตัวร้ายให้อิ่มท้องก่อนออกไปข้างนอกแต่แล้วเธอก็ต้องพบกับปัญหาใหญ่ เธอไม่รู้วิธีจุดเตาถ่าน! ในยุค 70 นี้ การทำอาหารด้วยเตาถ่านเป็นเรื่องปกติ แต่สำหรับหลินเสี่ยวเหยาที่เพิ่งย้อนเวลามา เธอไม่เคยมีประสบการณ์จุดเตาถ่านมาก่อนเลย"จะทำยังไงดีล่ะเนี่ย" เธอพึมพำกับตัวเอง พลางจ้องมองไปรอบๆ ห้องครัว หวังว่าจะพบอุปกรณ์บางอย่างที่พอจะช่วยเธอได้ แต่เธอก็ไม่พบอะไรเลยทันใดนั้น เธอก็นึกถึงห้างสรรพสินค้าในมิติของเธอขึ้นมาหลินเสี่ยวเหยาเอามือบางลูบไล
หลินเสี่ยวเหยายกกับข้าวมาให้หยางเฟิงที่เตียง ชายหนุ่มมองอาหารตรงหน้าด้วยความประหลาดใจ เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าอาหารธรรมดา ๆ จะดูน่ารับประทานได้ขนาดนี้เขาตักข้าวต้มเข้าปากคำแรก รสชาติกลมกล่อมของข้าวต้มทำให้เขาแทบหยุดไม่ได้ เขาตักข้าวต้มเข้าปากคำแล้วคำเล่า จนข้าวต้มหมดถ้วย"อร่อยมากเลยครับ" ชายหนุ่มกล่าวชมด้วยรอยยิ้มแห่งความพึงพอใจหลินเสี่ยวเหยายิ้มรับคำชม คนในยุคนี้ชาวบ้านทั่วไปชอบทำกับข้าวจืดๆ ไม่ได้เน้นเครื่องปรุงรสอะไร กับข้าวที่เธอใส่ผงปรุงรสไปก็เลยดูอร่อยเป็นพิเศษเธอสามารถทำกับข้าวขายได้เลย ถ้ามีผงปรุงรสอยู่ในมือ รับรองกับข้าวอร่อยทุกอย่าง แต่น่าเสียดายที่ยุคนี้ทำการค้าขายลำบาก"ฉันดีใจที่คุณชอบค่ะ"เธอกล่าวกับชายหนุ่มหลังจากหยางเฟิงทานข้าวเช้าเสร็จ หลินเสี่ยวเหยาก็หยิบยาแก้ปวด และยาลดไข้ ออกมา 2 เม็ด"สหายหยางทานยาแก้ปวดและยาลดไข้หน่อยนะคะ อาการของคุณจะได้ดีขึ้น"หยางเฟิงรับยามาดู พบว่าเป็นยาฝรั่งราคาแพง เม็ดสีขาวกลม ๆ"คุณ... เอาเงินมาจากไหนมาซื้อยาพวกนี้?" ชายหนุ่มเอ่ยถามด้วยความสงสัยหลินเสี่ยวเหยาอึกอักไปชั่วครู่
หลินเสี่ยวเหยา เดินกลับมาถึงบ้านหลังเล็กๆ ของเธอ ที่ล้อมรอบไปด้วยต้นไม้ใหญ่และหญ้ารกทึบ คนเป็นพี่สาวเห็นน้องชายกำลัง กำลังก้มหน้าก้มตาถางหญ้าอยู่คนเดียว เหงื่อของเขาไหลอาบบนใบหน้า แววตาเต็มไปด้วยความเหน็ดเหนื่อยด้วยความสงสารเด็กน้อยตัวเล็กๆ ที่ต้องทำงานหนักเหมือนผู้ใหญ่ หลินเสี่ยวเหยาก็รีบเดินตรงไปที่ห้องครัว เธอหยิบขวดน้ำหวานเย็นๆ และขนมปังแสนอร่อยจากมิติของเธอหญิงสาวเทน้ำหวานใส่กระบอกไม้ไผ่ และวางขนมปังอบกรอบไว้บนจานกระเบื้องเก่าๆ จากนั้นก็เดินตรงไปหาหลินเสี่ยวหมิงที่ทำงานอยู่สวนหลังบ้าน"เสี่ยวหมิง! พี่กลับมาแล้ว!" หญิงสาวตะโกนเรียกน้องชายด้วยน้ำเสียงสดใสและอบอุ่นหลินเสี่ยวหมิงเงยหน้าขึ้นจากแปลงผัก ดวงตากลมโตเป็นประกายเมื่อเห็นพี่สาวกลับมาถึงบ้าน "พี่สาว! กลับมาแล้วเหรอครับ!" เขารีบวิ่งเข้าไปหาพี่สาวด้วยความดีใจหญิงสาวยิ้มกว้างพลางลูบหัวน้องชายเบาๆ "อืม... พี่กลับมาแล้ว" เธอพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน "เสี่ยวหมิงไปพักก่อนนะ เดี๋ยวพี่จะช่วยถางหญ้าต่อเอง""แต่ว่า..." หลินเสี่ยวหมิงทำท่าจะแย้งผู้เป็นพี่สาวขัดขึ้น "ไม่มีแต่" เธอยิ้มให้น้องชาย "พี่สาวแข็งแรงจะตายไป น้องเล็กไปพักผ่อนเถอะ
หลินเสี่ยวเหยา เดินออกจากห้องมา เธอเห็นหลินเสี่ยวหมิงกำลังนั่งรอเธออยู่ที่ลานหน้าบ้าน บนพื้นมีตะกร้าสานใบโปรดวางอยู่พร้อมกับขวานตัดฟืนและมีดพร้า หลินเสี่ยวเหยาเดินไปเปลี่ยนเป็นชุดเก่าๆ มัดผมเรียบง่าย คว้าตะกร้าสานที่บรรจุเครื่องมือและของทานเล่นนิดหน่อย ก่อนจะเดินออกจากบ้านไปพร้อมกับผู้เป็นน้องชายพวกเขาเดินมุ่งหน้าไปยังป่าไผ่ที่อยู่ด้านหลังบ้าน ป่าไผ่แห่งนี้เป็นแหล่งอาหารสำคัญสองคนพี่น้อง ซึ่งเมื่อก่อนหลินเสี่ยวหมิงมักจะเข้ามาหาของป่าให้พี่สาวอยู่เป็นประจำเมื่อมาถึงจุดที่เต็มไปด้วยต้นไผ่ หลินเสี่ยวเหยาก็หยุดลง เธอวางตะกร้าสานลงบนพื้น หยิบขวานอันคมออกมาจากตะกร้า ผู้เป็นพี่สาวเริ่มสอนน้องชายถึงวิธีการตัดต้นไผ่"เสี่ยวหมิง น้องจับขวานให้มั่นนะ ตีตรงโคนต้นไผ่ ระวังอย่าให้โดนเท้าตัวเอง" หลินเสี่ยวเหยาเอ่ยด้วยน้ำเสียงอบอุ่นเด็กน้อยพยักหน้ารับอย่างตั้งใจ ดวงตาของเขาลุกวาวด้วยความตื่นเต้น เขาสวมหมวกฟางเก่า ๆ กำขวานแน่นในมือเล็ก ๆ พยายามเลียนแบบท่าทางของผู้เป็นพี่สาว"ผลัวะ!" เสียงขวานดังก้องไปทั่วป่า หลินเสี่ยวหมิงฟาดฟันต้นไผ่อย่างขะมักเขม้น แม้ว่าแรงของเขาจะยังไม่มากนัก แต่เขาก็พยายามอย่าง
เมื่อคนเป็นพี่สาวเดินมาที่ลานหน้าบ้าน เธอเห็นหลินเสี่ยวหมิงน้องชายของเธอกำลังนั่งรอทานข้าวอย่างใจจดใจจ่อ บนโต๊ะไม้เก่า ๆ มีแกงผักป่าร้อน ๆ กับข้าวสวยวางอยู่ เมื่อเธอเดินมาหาน้องชาย หลินเสี่ยวหมิงยิ้มร่าด้วยความดีใจ"พี่เสี่ยวเหยา แกงที่พี่ทำมันหอมมากเลยครับ จนน้ำลายผมไหลยืด" หลินเสี่ยวหมิงเอ่ยขึ้น"มันหอมเพราะพี่สาวใส่เครื่องปรุงตามสูตรที่พี่สาวคิดค้นขึ้น มันทำให้น้ำแกงอร่อยขึ้น ถ้าน้องเล็กชอบพี่สาวจะทำให้ทานทุกวัน" หลินเสี่ยวเหยาตักแกงใส่ถ้วย ส่งให้น้องชายหลินเสี่ยวหมิงตักแกงเข้าปาก เคี้ยวช้า ๆ รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าเด็กน้อย"อร่อยมากเลยพี่สาว ฝีมือพี่นี่ไม่แพ้แม่เลยนะ" หลินเสี่ยวหมิงเอ่ยชมไม่หยุด‘หึ..ถ้าไม่มีเครื่องปรุงสำเร็จรูปกับข้าว ฉันก็คงทำคงไม่อร่อยเท่านี้หรอก’ หลินเสี่ยวเหยารู้สึกโชคดีที่ในห้างสรรพสินค้าของเธอมีเครื่องปรุงสำเร็จรูปครบครันทำให้การใช้ชีวิตในยุคนี้ ไม่ได้แย่อย่างที่เธอคิดหลังจากทานข้าวเสร็จ หลินเสี่ยวเหยาก็ทำการเก็บกวาดโต๊ะอาหาร ก่อนจะหันมาบอกกับน้องชาย"เสี่ยวหมิง วันนี้น้องเหนื่อยมาทั้งวัน เดี๋ยวน้องไปพักผ่อนได้แล้ว""ครับพี่สาว เดี๋ยวผมไปก่อนนะครับ" เด็กชายพ
ณ เมืองหลวงหลิวซิวหยวน มารดาของ หยางเฟิง เดินเข้ามาหา หยางกั๋วเฉิง ผู้เป็นสามีด้วยความร้อนใจ เธออยากรู้ว่าทำไมลูกชายเธอถึงไม่ยอมกลับมาบ้านสักที เธอพยายามถามผู้เป็นสามี เขาก็ตอบแต่เพียงว่า ลูกสามงานยุ่ง ตามปกติแล้วแม้งานของลูกสามจะยุ่งแค่ไหนเขาจะกลับมาที่บ้านใหญ่เสมอ เพื่อมาเยี่ยมครอบครัวทุกอาทิตย์แต่นี่ก็นานมาแล้วที่ลูกชายเธอขาดติดต่อกลับมา ใบหน้าของคุณนายหยางเต็มไปด้วยความกังวลเมื่อหลิวซิวหยวน มาถึงที่ทำงานของสามี เธอเดินเข้าไปในห้องทำงานของสามีด้วยความรีบร้อน โดยไม่ได้เคาะประตู ทันใดนั้น เธอก็ต้องชะงัก เมื่อเห็นภาพที่ไม่คาดคิดหยางกั๋วเฉิง สามีของเธอ กำลังนั่งสนทนาอยู่กับ หลิวซิวฉีพี่ชายของเธอ ใบหน้าของทั้งคู่ดูเคร่งเครียด และเต็มไปด้วยความกังวล"พี่ชาย!" หลิวซิวหยวนร้องออกไปด้วยความตกใจ "เกิดอะไรขึ้น? ทำไมทุกคนหน้าถึงทำหน้าเคร่งเครียดแบบนี้?"หลิวซิวฉี หันมามองน้องสาว ก่อนจะถอนหายใจยาว "เจ้าสาม เขา...""เขา… เป็นอะไรไป?" คุณนายหยางรีบเอ่ยถามด้วยความร้อนรน หัวใจของเธอเต้นรัวด้วยความหวาดกลัว"เจ้าสามเขา... ไปปฏิบัติภารกิจลับ เพียงแต่ว่า... ตอนนี้พวกเราได้ขาดการติดต่อกับเจ้าสาม มาหล
หลินเสี่ยวเหยา ก้าวเท้าออกมาจากบ้านดินหลังเล็ก ก่อนที่จะเดินตรงไปยังแปลงผักที่อยู่หลังบ้านเธอเห็นหลินเสี่ยวหมิง กำลังยืนอยู่หน้าแปลงผัก สายตาของเขาจดจ่อกับต้นผักกาดหอมที่เพิ่งปลูกไปเมื่อวานนี้ ใบสีเขียวอ่อนเริ่มคลี่ออก เผยให้เห็นยอดอ่อนสีขาว หลินเสี่ยวเหยาเดินเข้าไปหาเด็กชาย"น้องเล็กทำอะไรอยู่เหรอ?""พี่สาวดูสิครับ ต้นผักกาดเริ่มแตกใบแล้ว!" หลินเสี่ยวหมิงตอบด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น เขารู้สึกดีใจที่ได้เห็นผลลัพธ์จากการทุ่มเทดูแลแปลงผักหลินเสี่ยวเหยาโน้มตัวลง มองดูต้นผักกาดอย่างใกล้ชิด รอยยิ้มของเธอขยายกว้างขึ้น "น้องเล็กเก่งมากเลยนะ เป็นเพราะน้องเล็กช่วยพี่สาวรดน้ำ เมล็ดจึงแตกยอดออกมา" เธอเอื้อมมือลูบศีรษะน้องชายเบาๆ"ต่อไปเราก็จะมีผักสดๆ ไว้กินเองแล้ว"หลินเสี่ยวหมิงดีใจสุดๆ เขาตั้งตารอที่จะได้กินผักกาดที่ดูแลเองกับมือท่ามกลางความร่าเริงของเด็กน้อย หลินเสี่ยวเหยากำลังครุ่นคิดว่าจะบอกความจริงเรื่องมิติของเธอให้น้องชายได้รับรู้หรือไม่ เธออยากนำเครื่องมือในห้างสรรพสินค้าของมาสร้างเล้าไก่ คนร่างบางรู้สึกลังเลใจว่าจะบอกน้องชายดีหรือไม่หลินเสี่ยวเหยานึกถึงเรื่องราวในนิยายที่เธอหลุดเข้ามา น
หนึ่งอาทิตย์ต่อมา รถไฟขบวนพิเศษจากเมืองหลวงก็แล่นเข้าสู่สถานีรถไฟเมืองจินหลง หยางกั๋วเฉิงและหลิวซิวหยวน พ่อแม่ของหยางเฟิง ย่างก้าวลงจากรถไฟด้วยสีหน้าที่เปี่ยมสุข ท่ามกลางเสียงต้อนรับของลูกชายและลูกสะใภ้ที่มารอรับอย่างพร้อมหน้า"คุณพ่อ คุณแม่" หยางเฟิงโผเข้ากอดพ่อแม่ด้วยความคิดถึง น้ำตาคลอหน่วย "ผมคิดถึงพ่อกับแม่เหลือเกิน""ลูกชายแม่" หลิวซิวหยวนลูบหลังลูกชายเบาๆ ปลอบประโลมด้วยน้ำเสียงอบอุ่น "แม่ก็คิดถึงลูกเหมือนกัน"หยางกั๋วเฉิงยิ้มอย่างภาคภูมิใจ "เจ้าสามแกโตเป็นหนุ่มแล้วนะ แถมยังจะแต่งงานมีครอบครัวอีกต่างหาก""แล้วนี่หลินเสี่ยวเหยา คู่หมั้นของลูก ใช่ไหม?" หลิวซิวหยวนเอ่ยถามพลางมองไปยังหญิงสาวหน้าหวานที่ยืนข้างๆ ลูกชายด้วยสายตาเอ็นดู"สวัสดีค่ะคุณพ่อคุณแม่ หนูชื่อหลินเสี่ยวเหยาค่ะ" หลินเสี่ยวเหยาโค้งคำนับอย่างนอบน้อม"หนูเสี่ยวเหยา ไม่ต้องมากพิธีหรอก" หยางกั๋วเฉิงยิ้มให้หลินเสี่ยวเหยาอย่างเป็นมิตร "พ่อได้ยินเรื่องของลูกจากเจ้าสามมาเยอะพอสมควร พอได้มาเห็นตัวจริงแล้วน่ารักกว่าที่คิดไว้มาก""จริงสิ พี่ชายคนโตของพ่อกับลูกสะใภ้ก็มาด้วยนะ"
เสียงไซเรนดังกึกก้องไปทั่วบริเวณโรงแรมหลงหยวนชุน เซียวจิ้งหนานและเจียงเหม่ยหลิงถูกใส่กุญแจมือถูกลากตัวไปขึ้นรถทหาร หยางเฟิงหัวหน้าหน่วยที่ 13 ปาดเหงื่อที่ผุดพรายบนหน้าผาก เขาหันไปสั่งการเจียงเฉินเพื่อนสนิทของเขา"เจียงเฉิน นายรีบพาหลินฮวาไปโรงพยาบาลเดี๋ยวนี้!" หยางเฟิงสั่งการด้วยน้ำเสียงเข้มเจียงเฉินพยักหน้ารับคำสั่งอย่างรวดเร็ว เขารับร่างบอบบางของหลินฮวาที่หมดสติไปจากหัวหน้าหน่วยอย่างระมัดระวัง ใบหน้าซีดเผือดของหลินฮวามีรอยไหม้จากน้ำกรดปรากฏให้เห็นเป็นบาดแผลที่น่ากลัว ใบหน้าของเธอเสียหายไปทั้งใบหน้า เจียงเฉินกัดฟันแน่น เขาอุ้มหลินฮวาขึ้นรถ รีบบึ่งไปยังโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดทันทีเมื่อไปถึงโรงพยาบาล ทีมแพทย์และพยาบาลต่างก็กรูเข้ามาช่วยเหลือหลินฮวาอย่างเร่งด่วน พวกเขาเข็นเตียงของหลินฮวาเข้าห้องฉุกเฉินทันที เจียงเฉินมองตามร่างของหญิงสาวที่หายลับเข้าไปในห้องฉุกเฉิน"คุณหมอครับ อาการของเธอจะเป็นยังไงบ้างครับ" เจียงเฉินถามคุณหมอเมื่อเห็นทีมแพทย์ออกจากห้องฉุกเฉินมา"อาการของเธอค่อนข้างสาหัส ของเหลวที่เธอได้รับเข้าไปนั้นเป็นกรดที่มีฤทธิ์รุนแรงมาก ตอนนี้เ
หลังจากได้ข้อมูลทั้งหมดจากหลี่เหว่ยแล้ว หลินเสี่ยวเหยาก็รีบแจ้งหยางเฟิงถึงแผนที่จะไปช่วยลูกชายของหลี่เหว่ยที่บ้านพักตากอากาศชานเมืองจินหลงทันทีหยางเฟิงแสดงสีหน้าเป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัด "เหยาเหยา เธอแน่ใจนะว่าจะไปเอง? ไม่ให้พี่ไปด้วย"หลินเสี่ยวเหยาส่ายหน้า "ไม่เป็นไรหรอกพี่เฟิง พี่ไปจัดการเรื่องจับกุมเซียวจิ้งหนานเถอะ เรื่องหลี่เหว่ยตงฉันจัดการเองได้" เธอพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น"แต่ว่า..." หยางเฟิงยังคงลังเล"ไม่มีแต่ค่ะ ฉันดูแลตัวเองได้ พี่ไม่ต้องห่วง" หลินเสี่ยวเหยาเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล พร้อมส่งยิ้มหวานละมุนให้คู่หมั้นหนุ่มหยางเฟิงถอนหายใจออกมาเบา ๆ ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงห่วงใย "ก็ได้ ถ้าอย่างนั้นเหยาเหยาก็ระวังตัวด้วยนะ มีอะไรโทรมาที่ค่ายทหารติดต่อพี่ได้ตลอด"หลินเสี่ยวเหยาพยักหน้ารับคำอย่างว่าง่าย ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงออดอ้อน "ค่ะ...พี่เฟิง งั้นเดี๋ยวฉันขอยืมรถพี่เฟิงหน่อยนะคะ""เหยาเหยาขับรถเป็นด้วยหรือครับ" หยางเฟิงเอ่ยถามด้วยความสงสัย เพราะไม่เคยเห็นหลินเสี่ยวเหยาขับรถมาก่อน"ฉันขับรถเป็นค่ะ" หลินเสี่ยวเหยากล่าวอย่
แสงอาทิตย์สีทองค่อยๆ ลับหายไปหลังแนวขุนเขา ทิ้งไว้เพียงสีส้มจางๆ ระบายขอบฟ้า แต่แสงนั้นไม่อาจบรรเทาความร้อนรุ่มในใจของเจียงเหม่ยหลิงได้เลยแม้แต่น้อย รถยนต์คันใหญ่เคลื่อนตัวเข้าสู่เมืองจินหลงในยามพลบค่ำ เธอหันไปสั่งคนสนิทเสียงเข้ม"ไปสืบเรื่องหลินฮวาที่ร้านจินหยวนมาให้ฉันเดี๋ยวนี้"รถยนต์ยังคงแล่นไปตามถนนที่คลาคล่ำไปด้วยผู้คนและรถลาก เจียงเหม่ยหลิงมองออกไปนอกหน้าต่าง ทิวทัศน์ที่คุ้นเคยกลับดูหม่นหมองลงในสายตา"นายหญิงครับ" เสียงของลูกน้องคนสนิทดังขึ้น ทำให้เจียงเหม่ยหลิงละสายตาจากภาพด้านนอก"ว่าอย่างไร" เธอเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่แฝงแววเคร่งขรึม"คุณเซียวได้ไถ่ตัวหลินฮวาจากร้านจินหยวนจริงครับ จากการสืบปากคำเจ้าของร้านทำให้ทราบว่าตอนนี้เธอพักอยู่ที่โรงแรมหลงหยวนชุน" ลูกน้องคนหนึ่งเอ่ยรายงานเจียงเหม่ยหลิงกำมือแน่นจนเล็บจิกเข้าเนื้อ ความโกรธเกรี้ยวประดุจเปลวไฟลุกโชนขึ้นในอก เธอหวนนึกถึงคำพูดของบรรดาอนุภรรยาของเซียวจิ้งหนานที่คอยพูดจาดูถูกเหยียดหยาม ชอบโอ้อวดเรื่องสามีให้เธอฟัง แม้จะโกรธเพียงใด แต่เจียงเหม่ยหลิงก็รู้ดีว่าเธอต้องอดทน เธอรู้ว
ไม่ถึงสิบนาที ประตูห้องสอบสวนก็เปิดออกอีกครั้ง ร่างระหงของหลินเสี่ยวเหยาปรากฏขึ้น เธอเดินอย่างสง่าผ่าเผยออกมาจากห้อง ทิ้งให้หลี่เหว่ยจมอยู่กับความคิดอันสับสนวุ่นวายเพียงลำพังทันทีที่ก้าวพ้นประตู หลินเสี่ยวเหยาต้องเผชิญหน้ากับบุรุษสองนายที่ยืนรออยู่ หยางเฟิงในชุดทหารที่ดูสง่างามยืนรออยู่เคียงข้างพลตรีเฉินกั๋วชิง ผู้บังคับบัญชาของเขา ดวงตาคมกริบของหยางเฟิงจับจ้องมาที่หลินเสี่ยวเหยาอย่างร้อนรน ความอยากรู้ฉายชัดอยู่ในแววตา"เหยาเหยา เป็นยังไงบ้าง หลี่เหว่ยมันยอมปริปากหรือยัง?" เสียงทุ้มเข้มของพันตรีหนุ่มดังขึ้น ท่ามกลางความเงียบของทางเดินหลินเสี่ยวเหยาหยุดยืนอยู่หน้าหยางเฟิงและพลตรีเฉินกั๋วชิง เธอสูดหายใจเข้าลึกก่อนจะตอบ "แน่นอนค่ะว่าหลี่เหว่ยสารภาพ" เธอตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบราวกับกำลังพูดถึงเรื่องดินฟ้าอากาศหยางเฟิงเลิกคิ้วขึ้นด้วยความประหลาดใจ เขาและเหว่ยเจี้ยน ต่างก็เค้นสอบสวนหลี่เหว่ยมาตลอดทั้งอาทิตย์ ใช้ทั้งวิธีข่มขู่และทรมานสารพัด แต่หัวหน้ากลุ่มกบฏก็ยังคงปิดปากเงียบ ไม่ยอมปริปากพูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียวแต่หลินเสี่ยวเหยาที่เข้าไปในห้องสืบสวน
ท้องฟ้าเหนือเมืองจินหลงยังคงมืดครึ้ม แม้แสงอาทิตย์แรกของวันใหม่จะเริ่มสาดส่อง ทว่าบรรยากาศในเซฟเฮาส์ลับกลับเย็นเยียบราวกับถูกปกคลุมด้วยเงามืดเซียวจิ้งหนานนั่งนิ่ง สายตาคมกริบจับจ้องไปยังลูกน้องที่ยืนตัวสั่นอยู่เบื้องหน้า ใบหน้าที่ถึงจะมีอายุเยอะแต่ก็ยังคงความหล่อเหลา บัดนี้ใบหน้าเขากลับบิดเบี้ยวด้วยความโกรธเกรี้ยวเมื่อทุกสิ่งที่เขาได้วางแผนไว้ล้มเหลวไม่เป็นท่า"นายท่านผมมีเรื่องจะแจ้งให้ทราบ ผมได้รับรายงานว่าค่ายของพวกกบฏที่เราสนับสนุนถูกทหารบุกโจมตีตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้วครับ" เสียงของลูกน้องรายงานด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ "อาวุธและคนของเราถูกจับยึดไปทั้งหมด...""ว่ายังไงนะ!" เสียงทุ้มต่ำของเซียวจิ้งหนานดังก้องไปทั่วห้องทำงานเมื่อได้ยินข่าวร้าย "ค่ายของเราถูกพวกทหารรัฐบาลบุกโจมตีงั้นเหรอ?"แก้วเหล้าคริสตัลที่บรรจุของเหลวสีอำพันล้ำค่าหลุดร่วงจากมือหนา กระทบกับพื้นหินอ่อนแตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ ของเหลวสีทองอร่ามไหลนองไปทั่วพรมเปอร์เซียราคาแพง"ครับนายท่าน" ลูกน้องคนสนิทก้มหน้าลงต่ำด้วยความหวาดกลัว "พวกมันบุกเข้ามาโดยที่เราไม่ทันตั้งตัว ทำให้คนของเราเสียชีวิ
คฤหาสน์ตระกูลเซียว อันโอ่อ่ากว้างใหญ่ ตั้งตระหง่านอยู่ใจกลางเมืองหยวนหลิงเมืองขนาดใหญ่ทางภาคใต้ของประเทศ ภายในห้องโถงใหญ่ ที่ประดับประดาด้วยเฟอร์นิเจอร์ไม้แกะสลักลวดลายวิจิตรบรรจง และแจกันดอกเหมยที่ส่งกลิ่นหอมกรุ่น เจียงเหม่ยหลิง ภรรยาหลวงของเซียวจิ้งหนาน เจ้าของคฤหาสน์ กำลังนั่งจิบน้ำชาอย่างสง่างามอยู่บนเก้าอี้ไม้มะฮอกกานีตัวโปรดรอบโต๊ะน้ำชา ยังมีคุณนายอีกสี่คนนั่งอยู่ ได้แก่ ซูหนิง คุณนายรองผู้มีใบหน้าเรียวสวยหวาน ลู่เหยา คุณนายสามผู้มีดวงตากลมโตเป็นประกาย เฉินหง คุณนายสี่ผู้มีผิวขาวผ่องราวกับหยก และคุณนายห้าหยางเหมย บุคลิกเงียบขรึมแต่แฝงไปด้วยความเฉลียวฉลาด บรรยากาศภายในห้องเต็มไปด้วยเสียงพูดคุย"พี่เหม่ยหลิง ฉันเห็นพี่จิ้งหนานซื้อสร้อยไข่มุกเส้นใหม่ให้น้องเหมยเมื่ออาทิตย์ก่อน สวยงามมากเลยนะคะ" ซูหนิงคุณนายรองเอ่ยถึงคุณนายห้าด้วยน้ำเสียงหวานหยด พร้อมกับส่งสายตาเจ้าเล่ห์ไปให้เจียงเหม่ยหลิงผู้เป็นภรรยาหลวงเจียงเหม่ยหลิงยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย ก่อนจะตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย "อืม ก็แค่สร้อยไข่มุกธรรมดา ไม่เห็นจะมีอะไรพิเศษเลย""แหม พี่เหม่ยหลิง พูดอย่างน
พลตรีเฉินยืนตระหง่านอยู่เบื้องหน้ากลุ่มทหารที่รายล้อมตัวพวกกบฏเอาไว้ ร่างสูงใหญ่ของเขาในชุดเครื่องแบบสีเขียวเข้มเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่น ใบหน้ามีรอยย่นใต้หมวกทรงทหารบ่งบอกถึงความเหนื่อยล้าจากการศึกอันยาวนานเบื้องหลังเขาคือกองทหารผู้ภักดีราวหนึ่ง170นาย ทุกคนต่างถืออาวุธคู่กายแน่น มือเปื้อนเลือดจากการต่อสู้อันดุเดือดที่เพิ่งจบลงไป เหล่าเชลยศึกกว่าเก้าสิบคนที่รอดชีวิตต่างถูกจับมัดรวมกันเป็นกลุ่มใหญ่ ทุกคนต่างมีใบหน้าซีดเผือดและร่างกายสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว พวกเขาคือกลุ่มกบฏที่พยายามโค่นล้มรัฐบาลและสร้างความวุ่นวายให้แก่ประเทศชาติไม่ไกลจากจุดที่พลตรีเฉินยืนอยู่ ร่างสองร่างที่ถูกจับมัดอย่างแน่นหนาคุกเข่าอยู่บนพื้น จางเหว่ยและหลี่เหว่ย ใบหน้าของทั้งคู่เต็มไปด้วยรอยฟกช้ำและบาดแผล"รายงานสถานการณ์มา" พลตรีเฉินสั่งการเสียงเข้มหยางเฟิงก้าวออกมาข้างหน้า "เรียนท่านผู้บังคับบัญชา พวกเราได้ทำการจับกุมหลี่เหว่ย หัวหน้ากลุ่มกบฏ พร้อมพรรคพวกได้สำเร็จในขณะที่พวกมันกำลังหลบหนีออกไปทางด้านหลังค่าย"พลตรีเฉินพยักหน้ารับฟังอย่างตั้งใจ"พวกมันถูกจับโดยหลินเสี่ยวเ
ยามราตรีแผ่คลุมทั่วผืนป่า ท้องฟ้าไร้แสงจันทร์ มีเพียงแสงดาวริบหรี่ส่องประกายอยู่ห่างไกล ท่ามกลางความมืดมิดนั้น กองกำลังทหารกำลังเคลื่อนพลอย่างเงียบเชียบ พวกเขาซ่อนตัวอยู่ตามพุ่มไม้และโขดหิน รอคอยสัญญาณจากผู้นำกลุ่มทันใดนั้น เสียงหวานแต่หนักแน่นก็ดังขึ้นจากวิทยุสื่อสารคู่กายของพันตรีหนุ่ม หยางเฟิง"พี่เฟิง ได้ยินไหม? ฉันเจอคลังอาวุธของพวกกบฏแล้ว เตรียมพร้อมโจมตีได้เลย " เสียงหวานแต่หนักแน่นของหลินเสี่ยวเหยาดังแว่วมาจากในวิทยุสื่อสาร ทำให้บรรยากาศในกองทัพอบอวลไปด้วยความตื่นเต้นหยางเฟิงยิ้มมุมปากอย่างพึงพอใจ เขาหันไปพยักหน้าให้เหว่ยเจี้ยน หัวหน้าหน่วยที่ 7 ผู้ที่มีฝีมือการต่อสู้เก่งกาจพอๆ กับเขา เหว่ยเจี้ยนตอบรับด้วยการพยักหน้ากลับอย่างมั่นคง แววตาของทั้งสองเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นและความเชื่อมั่นในการทำภารกิจที่จะเกิดขึ้น"ทุกหน่วย เตรียมพร้อม! เราจะบุกโจมตีฐานทัพพวกกบฏในอีกสิบนาทีข้างหน้า" หยางเฟิงออกคำสั่งผ่านวิทยุสื่อสาร น้ำเสียงของเขาหนักแน่นและเด็ดขาดเหล่าทหารหนุ่มคนอื่นๆ ต่างขานรับคำสั่งของหัวหน้ากลุ่มด้วยความพร้อมเพรียง พวกเขาตรวจสอบอาวุธและส