หลินเสี่ยวเหยา ก้าวเท้าออกมาจากบ้านดินหลังเล็ก ก่อนที่จะเดินตรงไปยังแปลงผักที่อยู่หลังบ้าน
เธอเห็นหลินเสี่ยวหมิง กำลังยืนอยู่หน้าแปลงผัก สายตาของเขาจดจ่อกับต้นผักกาดหอมที่เพิ่งปลูกไปเมื่อวานนี้ ใบสีเขียวอ่อนเริ่มคลี่ออก เผยให้เห็นยอดอ่อนสีขาว หลินเสี่ยวเหยาเดินเข้าไปหาเด็กชาย
"น้องเล็กทำอะไรอยู่เหรอ?"
"พี่สาวดูสิครับ ต้นผักกาดเริ่มแตกใบแล้ว!" หลินเสี่ยวหมิงตอบด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น เขารู้สึกดีใจที่ได้เห็นผลลัพธ์จากการทุ่มเทดูแลแปลงผัก
หลินเสี่ยวเหยาโน้มตัวลง มองดูต้นผักกาดอย่างใกล้ชิด รอยยิ้มของเธอขยายกว้างขึ้น "น้องเล็กเก่งมากเลยนะ เป็นเพราะน้องเล็กช่วยพี่สาวรดน้ำ เมล็ดจึงแตกยอดออกมา" เธอเอื้อมมือลูบศีรษะน้องชายเบาๆ
"ต่อไปเราก็จะมีผักสดๆ ไว้กินเองแล้ว"
หลินเสี่ยวหมิงดีใจสุดๆ เขาตั้งตารอที่จะได้กินผักกาดที่ดูแลเองกับมือ
ท่ามกลางความร่าเริงของเด็กน้อย หลินเสี่ยวเหยากำลังครุ่นคิดว่าจะบอกความจริงเรื่องมิติของเธอให้น้องชายได้รับรู้หรือไม่ เธออยากนำเครื่องมือในห้างสรรพสินค้าของมาสร้างเล้าไก่ คนร่างบางรู้สึกลังเลใจว่าจะบอกน้องชายดีหรือไม่
หลินเสี่ยวเหยานึกถึงเรื่องราวในนิยายที่เธอหลุดเข้ามา น้องชายของนางร้ายหลินเสี่ยวเหยานั้น รักพี่สาวของเขามาก ถึงขนาดยอมถูกอันธพาลรุมทำร้าย เพียงเพื่อปกปิดความลับของพี่สาว เธอคิดว่าหลินเสี่ยวหมิงไม่น่าจะเปิดเผยความลับของเธอให้คนอื่นได้รับรู้ หญิงสาวจึงตัดสินใจเอ่ยปากบอกเรื่องมิติกับน้องชาย
"เสี่ยวหมิง พี่สาวมีเรื่องอยากจะบอก" หลินเสี่ยวเหยาตัดสินใจเอ่ยขึ้น
"เรื่องอะไรครับ?" เด็กน้อยเอ่ยถามด้วยความสงสัย
"เดี๋ยวพี่สาวจะพาเราไปที่ที่หนึ่ง แต่ว่าน้องเล็กต้องเก็บเป็นความลับนะ เราไม่สามารถจะบอกใครได้ เพราะว่าจะเป็นอันตรายกับพวกเรา"
หลินเสี่ยวหมิงเอ่ยรับคำด้วยความงุนงง แม้เขาสงสัยว่าพี่สาวของเขาจะพาเขาไปที่ไหน
หลินเสี่ยวเหยาจับมือน้องชายไว้ เธอหลับตาลงทันที รอยสักรูปดอกบัวสีเงินสว่างขึ้น ก่อนที่พวกเขาจะหายเข้าในมิติ
เมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง พวกเขาก็มาอยู่ในสถานที่ที่ว่างเปล่า เต็มไปด้วยข้าวที่เธอหามาตอนอยู่ในวันโลกาวินาศในชาติที่แล้ว ข้าวของวางระเกะระกะดูไม่เป็นระเบียบ ภายในมิติมีห้างสรรพค้าขนาดใหญ่ตั้งอยู่ตรงตรงกลางมิติ
"นี่คือที่ไหนครับพี่สาว?" หลินเสี่ยวหมิงเอ่ยถามด้วยความตื่นตาตื่นใจในสิ่งแปลกใหม่ที่เขาค้นพบ
"นี่คือห้างสรรพสินค้าที่อยู่ในมิติของพี่สาว ที่นี่มีสินค้าที่วางขายทุกประเภท พี่สาวสามารถหยิบจับสิ่งของเหล่านั้นออกมานอกมิติได้โดยไม่เสียเงิน" หลินเสี่ยวเหยาอธิบายให้น้องชายได้รับฟัง
"มิติของพี่สาวเหรอครับ?" หลินเสี่ยวหมิงยิ่งรู้สึกงุนงงไปใหญ่
"ใช่แล้ว แต่ว่าน้องเล็กห้ามบอกใครเรื่องนี้เด็ดขาดนะ เข้าใจไหม?"
เสี่ยวหมิงพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง เด็กชายรู้สึกตื่นเต้นกับสิ่งที่พี่สาวของเขากล่าว เขารอคอยที่จะสำรวจมิติอย่างใจจดใจจ่อ
หลินเสี่ยวเหยาพาเด็กน้อยไปเดินชมห้างสรรพสินค้า แต่ทันใดนั้น เหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นหลินเสี่ยวหมิงกลับไม่สามารถเดินเข้าประตูห้างสรรพสินค้ามาได้
"ทำไมผมถึงเข้าไม่ได้ครับพี่สาว?" เด็กชายร้องถามด้วยความตกใจ
หลินเสี่ยวเหยารู้สึกผิดหวังเป็นอย่างมาก เธอพยายามหลายครั้งแต่ก็ไม่สำเร็จ ดูเหมือนว่าห้างสรรพสินค้าของเธอจะเปิดรับเฉพาะแต่เธอเพียงคนเดียวเท่านั้น
"ไม่เป็นไรน้องเล็ก เดี๋ยวพี่เอาของมาให้น้องเล็กทีหลัง" หลินเสี่ยวเหยาปลอบใจน้องชาย
"งั้นเดี๋ยววันนี้พวกเราลงมือกันสร้างเล้าไก่ กันก่อนก็แล้วกัน" คนเป็นพี่สาวเอ่ยขึ้น
หลินเสี่ยวหมิงพยักหน้าอย่างกระตือรือร้น เขาอยากช่วยพี่สาวสร้างเล้าไก่ ด้วย
เมื่อพวกเขาออกมานอกมิติ หลินเสี่ยวเหยาดึงเครื่องมืออุปกรณ์ช่างออกมา เธอจะสร้างโรงเลี้ยงไก่ไข่แบบสมัยใหม่ ด้วยความช่วยเหลือจากเครื่องมือช่างอันทันสมัย เธอสามารถทำงานได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ หลินเสี่ยวหมิง มองดูพวกเครื่องมือเหล่านั้นด้วยความทึ่งและตื่นเต้น
"พี่สาวสิ่งนี้คืออะไรเหรอครับ?"เด็กน้อยเอ่ยถามด้วยความสงสัย
"มันคือเครื่องมือช่างที่อยู่ในมิติของพี่สาว " คนเป็นพี่สาวอธิบายให้เด็กน้อยฟัง "มันจะช่วยให้เราสร้างโรงเรือนได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย"
หญิงสาวเริ่มต้นลงมือทำงาน เธอหยิบแผงโซล่าเซลล์สีดำออกมาจากมิติ วางเรียงต่อกันบนพื้นดินอย่างคล่องแคล่ว
"แผงโซล่าเซลล์เหล่านี้จะช่วยผลิตไฟฟ้าให้กับอุปกรณ์ไฟฟ้าต่างๆ ที่เรานำมาสร้างโรงเรือน" เธออธิบาย "มันจะช่วยให้เราประหยัดพลังงานและไม่ต้องพึ่งพาไฟฟ้าจากภายนอก"
เด็กชายพยักหน้าอย่างตั้งใจ พยายามจดจำคำพูดของพี่สาว
หลินเสี่ยวเหยาทำงานอย่างขะมักเขม้น ท่ามกลางแสงแดดที่ร้อนระอุ ไม่นานแผงโซล่าเซลล์ก็ติดตั้งเสร็จ
"เสร็จแล้วละ!" เธอบอกกล่าวกับเจ้าตัวเล็ก "ต่อไปเราก็ต้องต่อสายไฟเพื่อเชื่อมต่อกับแบตเตอรี่"
"ว้าว…พี่สาว พี่เก่งมากเลย!" เด็กน้อยเอ่ยด้วยความชื่นชม
"ขอบคุณนะ" ผู้เป็นพี่สาวโอบกอดน้องชายด้วยความรัก "ต่อไปเราก็เริ่มสร้างโรงเรือนกันได้แล้ว"
จากนั้น เธอหยิบเลื่อยไฟฟ้าออกจากมิติ ยื่นมันให้น้องชายดู
“น้องเล็กนี้คือเลื่อยไฟฟ้า เดี๋ยวพี่สาวจะสอนตัดไม้ไผ่ เครื่องมือนี้อันตรายมากเราต้องใช้อย่างระมัดระวัง” หลินเสี่ยวเหยาอธิบายให้เด็กชายฟัง
“ว้าว เครื่องมือใช้งานง่ายมากเลยนะครับพี่สาว” หลินเสี่ยวหมิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
"เดี๋ยวน้องเล็กช่วยพี่สาวตัดไม้ไผ่มาทำโครงสร้างเล้าไก่ด้วยนะงานจะได้เสร็จไวๆ"
หลินเสี่ยวหมิง รับเลื่อยไฟฟ้ามาด้วยความตื่นเต้น เขาลองใช้มันตัดไม้ไผ่ ภายในเวลาไม่นาน เขาก็ตัดไม้ไผ่และซีกไม้ไผ่เสร็จเรียบร้อย
หลินเสี่ยวเหยา หยิบเครื่องยิงตะปูไฟฟ้าออกมาจากมิติ
"พี่สาวครับ เครื่องนี้คืออะไรเหรอครับ" หลินเสี่ยวหมิงเอ่ยถามด้วยความอยากรู้
"มันคือเครื่องยิงตะปูไฟฟ้า" หญิงสาวอธิบาย "เพียงแค่กดปุ่ม มันก็จะยิงตะปูเข้าไปในไม้ไผ่ได้อย่างง่ายดาย"
หลินเสี่ยวเหยา สาธิตการใช้เครื่องยิงตะปูไฟฟ้า ยิงตะปูเข้าไปในแผ่นไม้ไผ่ เสียงตะปูถูกยิงดัง "ปัง!"
"มันสุดยอดมาก!" เด็กน้อยอุทานด้วยความทึ่ง
ด้วยความช่วยเหลือจากเครื่องมืออุปกรณ์เหล่านี้ สองพี่น้องทั้งสองใช้เวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมง ก็สามารถสร้างเล้าไก่ ไข่ก็ใกล้เสร็จเรียบร้อย
เล้าไก่หลังนี้ โปร่งสบาย อากาศถ่ายเทสะดวก หลินเสี่ยวเหยา มั่นใจว่า เล้าไก่แห่งนี้ จะช่วยให้เธอและครอบครัวมีไข่กินตลอดปีโดยที่ไม่มีใครสงสัยที่มาของไข่
พอถึงยามเย็นเล้าไก่ หลังน้อยก็เสร็จเรียบร้อย สองพี่น้องนั่งมองผลงานของตัวเองด้วยความภูมิใจ
หลินเสี่ยวเหยาจ้องมองไปรอบๆ ด้วยความพึงพอใจ รอยยิ้มกว้างปรากฏบนใบหน้า "เสร็จซะทีนะ เล้าไก่ ของพวกเรา"
"เก่งมากครับพี่สาว พวกเราเก่งกันมาก!" หลินเสี่ยวหมิงปรบมือดีใจ
"ใช่ เก่งมาก" หลินเสี่ยวเหยารีบเอ่ย "แต่ว่างานของเรายังไม่เสร็จนะ พวกเราต้องหาไก่พันธุ์ดีๆ มาเลี้ยงด้วย"
หลินเสี่ยวหมิงพยักหน้า "จริงด้วยครับ พี่สาวจะเลี้ยงไก่อะไรครับ?"
หญิงสาวครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบว่า "พี่สาวว่าพวกเราเลี้ยงไก่ไข่ดีไหม ไข่ไก่ขายได้ราคาดีด้วย "
"ดีเลยครับพี่สาว" หลินเสี่ยวหมิงสนับสนุนความคิดของพี่สาว
"งั้นเดี๋ยวพี่สาวไปบ้านลุงเหวินก่อนนะ พี่จะไปถามซื้อไก่ไข่มาเลี้ยง เดี๋ยวน้องเล็กช่วยรดน้ำผักรอที่สาวอยู่ที่บ้านไปก่อนนะ เดี๋ยวพี่สาวกลับมาจะทำกับข้าวให้ทาน" หญิงสาวสั่งการน้องชายก่อนจะไล่เก็บอุปกรณ์ต่าง ๆ เข้าไปในมิติรวมทั้งแผงโซล่าเซลล์ด้วย
หลินเสี่ยวหมิงพยักหน้ารับคำ"ได้ครับ พี่สาวไม่ต้องเป็นห่วง เดี๋ยวผมจะช่วยรดน้ำผักให้เอง"
หลินเสี่ยวเหยานำตะกร้าหวายมาใส่หมูสามชั้น และผักสด ๆ นำมาใส่ตะกร้าก่อนจะเอาผ้าขาวมาคลุมตะกร้าไว้ ร่างบางก้าวเท้าเดินออกจากบ้านไปมุ่งหน้าไปบ้านลุงเหวินทันที
เมื่อเธอเดินผ่านแปลงนา ชาวบ้านกำลังจะเลิกงานกันพอดี เธอได้เจอพวกยุวชนปัญญายืนอยู่กับหลี่เหว่ยเฉียงพระเอกในนิยายเรื่องนี้ ชายหนุ่มเอ่ยทักเธอทันทีเมื่อเห็นเธอเดินผ่าน
"สหายหลิน หายหน้าหายตาไปนานเลยนะ" หลี่เหว่ยเฉียงเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่น
หลินเสี่ยวเหยาเมินเฉยคำพูดของคุณพระเอก เธอไม่ตอบคำทักทายของหลี่เหว่ยเฉียง
"แหม่..พอสหายเหว่ยเฉียง พูดด้วยก็ทำท่าทางหยิ่งยโสขึ้นมาทันทีนะ" เสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลัง
หลินเสี่ยวเหยาหันขวับไปมอง พบกับจ้าวหยวนตง เพื่อนสนิทของหลี่เหว่ยเฉียงใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
"ไม่เห็นมาหาสหายเหว่ยเฉียงหลายวันเลย" กัวเฉิงหลง เพื่อนอีกคนของหลี่เหว่ยเฉียงพูดเสริมขึ้นมา
หลินเสี่ยวเหยาเม้มริมฝีปากแน่น อารมณ์โกรธค่อยๆ ก่อตัวขึ้นภายในใจ
"ทำไมฉันต้องหาสหายหลี่ด้วย?" เธอตอบกลับด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้าง
หลินเสี่ยวเหยาเริ่มคิดถึงฉากในนิยายที่เธออ่านจบไปเมื่อชาติที่แล้ว ความทรงจำจากนิยายวนเวียนอยู่ในหัว
ในนิยาย หลินเสี่ยวเหยา เป็นนางร้ายที่ทั้งโง่เขลาและน่ารำคาญ เธอหลงรักหลี่เหว่ยเฉียง ชายหนุ่มยุวชนปัญญาที่หน้าตาหล่อเหลา แต่หลี่เหว่ยเฉียงกับเย็นชาและรังเกียจเธอ หลินเสี่ยวเหยาพยายามเอาใจพระเอกด้วยการนำเงินทองที่พ่อแม่เหลือทิ้งไว้ให้มาซื้ออาหารและของใช้ให้ชายหนุ่ม แต่หลี่เหว่ยเฉียงกลับไม่สนใจนางร้ายอย่างหลินเสี่ยวเหยา กลับทำท่ารังเกียจไม่ยอมรับของเหล่านั้นต่อหน้าพวกชาวบ้าน
เขาแสร้งทำเป็นรังเกียจเธอ เพราะชื่อเสียงอันฉาวโฉ่ของนางร้ายที่ชาวบ้านต่างร่ำลือ เขาโยนของที่เธอซื้อมาให้เพื่อนสนิทของเขาอย่างจ้าวหยวนตง หลังจากนั้นจ้าวหยวนตงก็ได้หลอกลวงหลินเสี่ยวเหยาว่าจะเอาข้าวของไปให้หลี่เหว่ยเฉียงทีหลังเพราะตอนนี้ชาวบ้านอยู่กันเยอะทำให้หลี่เหว่ยเฉียงไม่กล้ารับของเดี๋ยวเขาจะโดนมองไม่ดี หลินเสี่ยวเหยาที่โง่เง่า จึงเชื่อคำลวงของพวกเพื่อนพระเอก และสุดท้ายพวกเขาก็ต้องกินต้องใช้ข้าวของที่นางร้ายซื้อมาให้ เนื่องจากความแร้นแค้นเนื่องจากอาหารที่หายาก
"ฮึ…ตอนนี้ฉันได้เข้ามาอยู่ในร่างนี้แล้ว อย่าหวังว่าพวกแกจะได้ข้าวของจากฉันอีก" หลินเสี่ยวเหยามองพวกเพื่อนพระเอกด้วยแววตาเกลียดชัง ก่อนจะรีบเดินหนีไปทันที
จ้าวหยวนตงยื่นมือไปคว้าตะกร้าหวายจากหลินเสี่ยวเหยาที่มีผ้าขาวปกคลุมเอาไว้"สหายหลิน จะรีบไปไหน พวกเรายังคุยกันไม่จบเลยนะ" จ้าวหยวนตงยิ้มเจ้าเล่ห์หลินเสี่ยวเหยารู้สึกโกรธแค้น เธอพยายามเดินหนี แต่ชายหนุ่มจับตะกร้าเธอไว้แน่น"ปล่อยตะกร้าฉันเดี๋ยวนี้! ของพวกนี้ไม่ใช่ของพวกแก!" หลินเสี่ยวเหยาตะโกนกลับมา"ของฝากพวกนี้เอามาให้สหายเหว่ยเฉียงใช่มั้ยล่ะ? เดี๋ยวพวกเราเอาไปให้เขาเอง สหายหลินไม่ต้องเป็นห่วง" กัวเฉิงหลง ชายหนุ่มอีกคนในกลุ่มพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่จริงใจหลินเสี่ยวเหยาเม้มริมฝีปากแน่น ตอนนี้พวกชาวบ้านเลิกงานเริ่มทยอยออกมาประปราย หญิงสาวไม่กล้าใช้ความรุนแรง ในขณะที่เธอกำลังจะยื้อตะกร้า จ้าวหยวนตงทำท่าจะโน้มตัวลงมาดูของในตะกร้าว่ามีอะไรบ้างทันใดนั้นเธอแกล้งก็ใช้ศอกฟาดเข้าที่ปากของจ้าวหยวนตงอย่างแรงจนชายหนุ่มเซไปข้างหลัง เลือดไหลซิบจากมุมปาก"โอ๊ย!" จ้าวหยวนตงร้องโอดโอย ก่อนจะปล่อยตะกร้าหวายออกจากมือ ชายหนุ่มไม่พอใจกล่าวว่าหญิงสาวตรงหน้าทันที"แกนังตัวดี! แกกล้ามาทำร้ายฉันเหรอ?!"จ้าวหยวนตงตะโกนขึ้นผู้คนรอบข้างเริ่มหยุดชะงัก มองมาที่หลินเสี่ยวเหยาและจ้าวหยวนตงด้วยความตกใจ เสียงโหวกเหวก
หลังจากหลินเสี่ยวเหยาออกจากบ้านลุงเหวินมา หญิงสาวรีบเดินทางกลับบ้านเพราะกลัวน้องชายจะหิ้วท้องรอ เธอก้าวเท้าผ่านแปลงนาด้วยความเร่งรีบ มุ่งหน้ากลับบ้านที่อยู่ติดกับเชิงเขาที่อยู่ท้ายหมู่บ้าน ท่ามกลางดวงอาทิตย์กำลังลาลับขอบฟ้า สายตาของเธอก็เหลือบไปเห็นกลุ่มชายหนุ่มสามคนที่ยืนดักรอเธออยู่"นังตัวดี!" จ้าวหยวนตงตะโกนออกมาด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้น "ฉันจะแก้แค้นที่แกทำปากฉันแตก! ตอนนี้พวกชาวบ้านต่างก็กลับบ้านไปกันหมดแล้ว ไม่มีใครช่วยเหลือแกได้ ถ้าแกไม่อยากเจ็บตัว ก็นำข้าวของมาให้พวกฉันซะ!" ชายหนุ่มข่มขู่หลินเสี่ยวเหยาทันทีหลินเสี่ยวเหยา กัดฟันกรอด ใบหน้าของเธอแดงก่ำด้วยความโกรธ เธอไม่คิดจะให้ใครมารังแกเธอได้ง่ายๆ หรอก"ไอ้จ้าวหยวนตง แกอย่ามาหาเรื่อง ฉันไม่มีของอะไรจะให้แก" หลินเสี่ยวเหยา ตะโกนโต้กลับไป ด้วยน้ำเสียงโกรธเกรี้ยว"นังนี่มันปากดีจริงๆ พวกเราจัดการสั่งสอนนังผู้หญิงคนนี้กันหน่อย!" จ้าวหยวนตง เรียกเพื่อนสนิททั้งสอง ตรงรี่เข้าหาหลินเสี่ยวเหยา"เฮอะ..ในเมื่อฉันไม่ได้ไปหาเรื่องพวกแก แต่พวกแกกับเสือกหาเรื่องเอง แล้วอย่าหาว่าฉันไม่เตือนละ ถ้าพวกแกแน่จริง ก็เข้ามา" หญิงสาวตะโกน
เช้าวันรุ่งขึ้น หลินเสี่ยวเหยา ตื่นขึ้นมาด้วยอาการสะโหลสะเหล เธอนอนไม่หลับทั้งคืน ภาพใบหน้าหล่อเหลาของคุณตัวร้าย ย้ำเตือนความทรงจำเมื่อคืน น้ำเสียงอันทุ่ม นุ่มลึก ของร่างสูงที่บอกว่าเธอ"น่ารัก" ยังคงก้องอยู่ในหูความร้อนผ่าวจากใบหน้าไต่ขึ้นสู่แก้ม แก้มของเธอแดงก่ำขึ้นมาอีกครั้ง เพียงแค่คิดถึงมัน หัวใจของเธอก็เต้นระรัวเมื่อคืนนี้ เธอนอนห้องเดียวกับชายหนุ่ม แม้จะนอนคนละที่กัน แต่ความใกล้ชิดก็เพียงพอที่จะปลุกเร้าจินตนาการของหญิงสาว"โอ๊ย…คุณตัวร้ายแอบคิดอะไรเกินเลยกับเธอหรือเปล่า" เสียงร้องอุทานของเธอแทบจะหลุดออกมา หัวใจเธอเต้นตึกตัก ภาพใบหน้าหล่อเหลาที่ยิ้มกริ่มของพันตรีหนุ่มลอยมาปรากฏในความคิดหลินเสี่ยวเหยาพลิกตัวไปมาบนเสื่อ ด้วยอาการของคนนอนไม่หลับ เธอครุ่นคิดว่าชายหนุ่มกำลังจะจีบเธอหรือเปล่า แต่เธอก็ไม่กล้าคิดเกินเลยไปไกล ทำให้คิดวนเวียนไปมาเธอนอนหลับๆ ตื่นๆ พอรู้ตัวอีกทีเกือบใกล้รุ่งเช้าแล้วคนร่างบางจึงตัดสินใจลุกขึ้นจากที่นอนเดินไปที่ห้องครัว หวังจะดื่มกาแฟร้อนๆ สักแก้ว เพื่อปลุกให้ตัวเองตื่นเต็มตาเช้านี้ อากาศค่อนข้างเย็นสบาย หญิงสาวเดินไปที่เตาฟืน ก่อไฟต้มน้ำร้อน เสียงฟืนที่แ
ณ เมืองจินหลงหวังลี่จู ภรรยา พลตรีเฉินกั๋วชิง ผู้บังคับบัญชาประจำมณฑลเธอหยิบผลไม้สดๆ อาหารที่ปรุงอย่างพิถีพิถัน และของกินมากมายอย่างข้าวสาร แป้ง และผ้าเนื้อดีบรรจงใส่ลงในตะกร้าสานใบใหญ่"สามี" เธอเอ่ยเรียกชายหนุ่มวัยกลางคนที่นั่งจิบชาอยู่บนเก้าอี้ไม้แกะสลัก "ฉันอยากไปเยี่ยมแม่หนูเสี่ยวเหยาที่หมู่บ้านไป๋เหอ"เฉินกั๋วชิง นิ่งครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขากำลังกังวลใจเกี่ยวกับภารกิจสำคัญในการตามหาพันตรีหยาง บุตรชายของท่านจอมพลหยางที่หายตัวไปอย่างลึกลับระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ในเมืองจินหลง เมื่อเขาเห็นภรรยาจะออกไปข้างนอกเมืองผู้เป็นสามีจึงเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง"ภรรยาคุณจะไปข้างนอกคนเดียวเหรอครับ?""ไม่ค่ะ ฉันกะว่าจะไปกับจางหยิง"หวังลี่จูตอบพลางยิ้มหวานให้สามี จางหยิง คือคนรับใช้คนสนิทของเธอ ที่คอยดูแลเธอมาตั้งแต่ยังเด็ก ทั้งสองมีความผูกพันกันมาก เหมือนพี่น้องเฉินกั๋วชิง วางถ้วยชาลงบนโต๊ะ สายตาของเขามองมาที่ภรรยาอย่างอ่อนโยน "ลี่จู คุณอยากไปหาแม่หนูคนนั้นหรือ?""ใช่แล้วค่ะ" ผู้เป็นภรรยาพยักหน้า "แม่หนูเสี่ยวเหยาเธอได้ช่วยชีวิตของฉันไว้จากการหมดสติริมทาง ฉันรู้สึกอยากขอบคุณเด็กสาวคนนั้นมาก แ
หลินเสี่ยวเหยายืนประคองร่างสูงโปร่งของหยางเฟิงที่ได้รับบาดเจ็บไว้ด้วยความกังวล"สหายหยางคุณได้รับบาดเจ็บอยู่นะ" หญิงสาวเอ็ดเขาเบาๆ "ถ้าเกิดแผลของคุณปริแตกอีกจะว่าอย่างไร"หยางเฟิงยิ้มอ่อนให้หญิงสาว "ผมต้องขอโทษด้วยครับที่ทำให้คุณเป็นห่วง" เขาก้มมองใบหน้าของเธออย่างอ่อนโยน "ผมแค่อยากลุกขึ้นมาดูว่าคุณคุยกับใครเท่านั้น "คนร่างบางถอนหายใจ "คุณรู้ไหมว่าสภาพของคุณยังไม่แข็งแรงพอที่จะลุกขึ้นเดินไปไหน คุณควรจะนอนพักต่อ""ผมไม่เป็นไรจริงๆ" หยางเฟิงพยายามยืนตัวตรง "พอดีผมได้ยินที่พวกคุณคุยกันก็เลยสงสัยว่าจะใช่คนที่ผมรู้จักหรือเปล่าผมถึงออกมาดูครับ"หลินเสี่ยวเหยาพยุงพาชายหนุ่มมานั่งที่ม้านั่งตรงลานหน้าบ้าน"สหายหลินเดี๋ยวผมจะขอคุยกับท่านนายพลเฉินก่อนนะครับ" เขาเอ่ยกับคนร่างบางทีอยู่ข้าง ๆ"ได้ค่ะเดี๋ยวพวกคุณคุยกันไปก่อนนะคะ เดี๋ยวฉันจะไปทำข้าวเที่ยงมาให้พวกคุณทาน"หญิงสาวกล่าวก่อนจะเดินไปหาป้าหวัง"พลตรีเฉิน" หยางเฟิงรีบโค้งคำนับ"คุณไม่ต้องมากพิธี ตอนนี้คุณบาดเจ็บอยู่""ผมมีเรื่องสำคัญจะบอกกับท่านครับ"เสียงของหยางเฟิงยังคง
หลังจากลุงเฉินกับป้าหวังขับรถออกจากบ้านของเธอไป หลินเสี่ยวเหยาก็เก็บกวาดถ้วยชามบนโต๊ะอาหารอย่างเงียบๆ เสียงน้ำไหลริน กระทบถ้วยจามดังขึ้นในบ้านหลังเล็กอันทรุดโทรมเมื่อเสร็จสิ้นภารกิจล้างจาน คนร่างบางก็เดินตรงไปยังห้องคุณตัวร้าย เธอเปิดประตูห้องอย่างช้าๆ พบร่างชายหนุ่มนอนพักผ่อนอยู่บนเตียง ใบหน้าของเขาซีดเผือด ดูเหมือนเขาจะรู้สึกเจ็บปวดจากบาดแผล เธอเอื้อมมือไปแตะที่หน้าผากของพันตรีหนุ่มเบาๆ เธอรู้สึกโล่งใจที่ตอนนี้ตัวของเขาอุ่นไม่มีไข้"สหายหยาง... คุณมาทานยาก่อนแล้วค่อยไปนอน" เธอเอ่ยเรียกคนที่ได้รับบาดเจ็บด้วยเสียงแผ่วเบาหยางเฟิงค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา เขาเห็นรอยยิ้มกังวลของหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าหลินเสี่ยวเหยาวางถาดยาไว้บนโต๊ะ เธอเอื้อมมือไปถลกเสื้อของชายหนุ่ม เธอแตะแผลบนร่างกายของเขาเบาๆ"สหายหยางคุณเจ็บไหมคะ?" เธอถามด้วยน้ำเสียงห่วงใยหยางเฟิง ขยับตัวเล็กน้อย พยายามกลั้นเสียงร้อง"ไม่เจ็บมากเท่าไหร่ครับ" พันตรีหนุ่มกัดฟันตอบหลินเสี่ยวเหยา มองดูบาดแผลของเขาอย่างละเอียด เห็นรอยเลือดซึมออกมาเล็กน้อย สีหน้าของเธอเปลี่ยนเป็นกังวล
"พี่สาวครับ! พี่สาวทะเลาะกับใคร?" หลินเสี่ยวหมิง วิ่งปรี่เข้ามาหาหลินเสี่ยวเหยาด้วยความตกใจ มือเล็กๆ เปื้อนดินจากการดูแลต้นผักในสวนหลังบ้าน ดวงตากลมโตเบิกกว้างด้วยความกังวลหลินเสี่ยวเหยา ลูบหัวน้องชายอย่างแผ่นเบา ก่อนจะเอ่ยบอกความจริงกับคนเป็นน้อง"เมื่อกี้ลุงใหญ่กับป้าสะใภ้ใหญ่ มาหา พวกเขาต้องการจะมาแย่งของที่ลุงเฉินกับป้าหวัง นำมาให้พวกเรา""ทำไมล่ะครับ? แต่ว่าของพวกนั้นมันเป็นของเราไม่ใช่เหรอ พวกเขาทำไมถึงมาแย่งของของพวกเราไป?" หลินเสี่ยวหมิงกล่าวอย่างไม่เข้าใจ"เป็นเพราะว่า พวกเขาคิดว่าเราเป็นเด็กกำพร้า ไม่มีใครปกป้อง พวกเขาเลยคิดจะเอาเปรียบพวกเรา แต่พวกเขาคิดผิดแล้ว พี่สาวจะไม่ยอมให้คนพวกนั้นเอาข้าวของของเราไปได้" ผู้เป็นพี่สาวกล่าวกับน้องชาย"พี่สาวครับ แล้วพี่สาวโดนคุณลุงคุณป้าตีหรือเปล่า?" เด็กน้อยเอ่ยถามด้วยความห่วงใย"พี่สาวไม่ได้โดนตี พี่สาวแค่โมโหพวกเขาหน่อยนึงเท่านั้น""ถ้าคราวหน้าคุณลุงคุณป้ามาอีกผมจะช่วยพี่สาวเอง!" หลินเสี่ยวหมิงตบอกพูดน้ำเสียงมุ่งมั่นผู้เป็นพี่สาวยิ้มให้กับน้องชายอย่างเอ็นดู เธอดีใจที่มีหลินเส
หลินเสี่ยวเหยา เดินเท้ากลับบ้าน หญิงสาวยิ้มอย่างอารมณ์ดี วันนี้เธอโชคดีเป็นพิเศษ ไม่เพียงแต่จะได้ดอกกล้วยไม้ป่าหายากมาครอบครอง แต่ในกระบุงของเธอยังเต็มไปด้วยผักป่าหลากหลายชนิด ผักขม เห็ดป่า ผักกาดน้ำคนร่างบางเร่งฝีเท้า มุ่งหน้ากลับบ้าน ระหว่างทาง เธอมองดูธรรมชาติรอบตัวอย่างเพลิดเพลิน ทำให้เธอลืมความเหนื่อยล้าไปจนหมดสิ้นทันใดนั้น สายตาของเธอก็เหลือบไปเห็นพุ่มไม้เตี้ยๆ ที่ปกคลุมไปด้วยผลไม้สีแดงสดใส เธอใจเต้นรัวด้วยความตื่นเต้น"ว้าว" หญิงสาวอุทานออกมา นั่นมันผลราสป์เบอร์รีนี่!เธอรีบก้มลงเก็บผลราสป์เบอร์รีอย่างทะมัดทะแมง นิ้วเรียวเล็กสัมผัสกับผิวของผลไม้ที่นุ่มนวลอย่างอ่อนโยน กลิ่นหอมหวานของราสป์เบอร์รีโชยมาแตะจมูก ช่างเป็นกลิ่นที่ชวนน้ำลายสอด้วยความเพลิดเพลิน หลินเสี่ยวเหยาเผลอเดินลึกเข้าไปในป่าจนไม่รู้ตัว เธอคุกเข่าลงบนพื้นดิน สายตาของเธอไล่สแกนไปรอบๆ มองหาผลราสป์เบอร์รีที่ซ่อนอยู่ตามซอกหิน ใต้ใบไม้ เธอเก็บราสป์เบอร์รีอย่างเบามือ กลัวว่าจะทำผิวของผลไม้ช้ำไม่นาน กระบุงของเธอก็เต็มไปด้วยราสป์เบอร์รีสีแดงสดใส คนร่างบางยิ้มอย่างมีความสุข
หนึ่งอาทิตย์ต่อมา รถไฟขบวนพิเศษจากเมืองหลวงก็แล่นเข้าสู่สถานีรถไฟเมืองจินหลง หยางกั๋วเฉิงและหลิวซิวหยวน พ่อแม่ของหยางเฟิง ย่างก้าวลงจากรถไฟด้วยสีหน้าที่เปี่ยมสุข ท่ามกลางเสียงต้อนรับของลูกชายและลูกสะใภ้ที่มารอรับอย่างพร้อมหน้า"คุณพ่อ คุณแม่" หยางเฟิงโผเข้ากอดพ่อแม่ด้วยความคิดถึง น้ำตาคลอหน่วย "ผมคิดถึงพ่อกับแม่เหลือเกิน""ลูกชายแม่" หลิวซิวหยวนลูบหลังลูกชายเบาๆ ปลอบประโลมด้วยน้ำเสียงอบอุ่น "แม่ก็คิดถึงลูกเหมือนกัน"หยางกั๋วเฉิงยิ้มอย่างภาคภูมิใจ "เจ้าสามแกโตเป็นหนุ่มแล้วนะ แถมยังจะแต่งงานมีครอบครัวอีกต่างหาก""แล้วนี่หลินเสี่ยวเหยา คู่หมั้นของลูก ใช่ไหม?" หลิวซิวหยวนเอ่ยถามพลางมองไปยังหญิงสาวหน้าหวานที่ยืนข้างๆ ลูกชายด้วยสายตาเอ็นดู"สวัสดีค่ะคุณพ่อคุณแม่ หนูชื่อหลินเสี่ยวเหยาค่ะ" หลินเสี่ยวเหยาโค้งคำนับอย่างนอบน้อม"หนูเสี่ยวเหยา ไม่ต้องมากพิธีหรอก" หยางกั๋วเฉิงยิ้มให้หลินเสี่ยวเหยาอย่างเป็นมิตร "พ่อได้ยินเรื่องของลูกจากเจ้าสามมาเยอะพอสมควร พอได้มาเห็นตัวจริงแล้วน่ารักกว่าที่คิดไว้มาก""จริงสิ พี่ชายคนโตของพ่อกับลูกสะใภ้ก็มาด้วยนะ"
เสียงไซเรนดังกึกก้องไปทั่วบริเวณโรงแรมหลงหยวนชุน เซียวจิ้งหนานและเจียงเหม่ยหลิงถูกใส่กุญแจมือถูกลากตัวไปขึ้นรถทหาร หยางเฟิงหัวหน้าหน่วยที่ 13 ปาดเหงื่อที่ผุดพรายบนหน้าผาก เขาหันไปสั่งการเจียงเฉินเพื่อนสนิทของเขา"เจียงเฉิน นายรีบพาหลินฮวาไปโรงพยาบาลเดี๋ยวนี้!" หยางเฟิงสั่งการด้วยน้ำเสียงเข้มเจียงเฉินพยักหน้ารับคำสั่งอย่างรวดเร็ว เขารับร่างบอบบางของหลินฮวาที่หมดสติไปจากหัวหน้าหน่วยอย่างระมัดระวัง ใบหน้าซีดเผือดของหลินฮวามีรอยไหม้จากน้ำกรดปรากฏให้เห็นเป็นบาดแผลที่น่ากลัว ใบหน้าของเธอเสียหายไปทั้งใบหน้า เจียงเฉินกัดฟันแน่น เขาอุ้มหลินฮวาขึ้นรถ รีบบึ่งไปยังโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดทันทีเมื่อไปถึงโรงพยาบาล ทีมแพทย์และพยาบาลต่างก็กรูเข้ามาช่วยเหลือหลินฮวาอย่างเร่งด่วน พวกเขาเข็นเตียงของหลินฮวาเข้าห้องฉุกเฉินทันที เจียงเฉินมองตามร่างของหญิงสาวที่หายลับเข้าไปในห้องฉุกเฉิน"คุณหมอครับ อาการของเธอจะเป็นยังไงบ้างครับ" เจียงเฉินถามคุณหมอเมื่อเห็นทีมแพทย์ออกจากห้องฉุกเฉินมา"อาการของเธอค่อนข้างสาหัส ของเหลวที่เธอได้รับเข้าไปนั้นเป็นกรดที่มีฤทธิ์รุนแรงมาก ตอนนี้เ
หลังจากได้ข้อมูลทั้งหมดจากหลี่เหว่ยแล้ว หลินเสี่ยวเหยาก็รีบแจ้งหยางเฟิงถึงแผนที่จะไปช่วยลูกชายของหลี่เหว่ยที่บ้านพักตากอากาศชานเมืองจินหลงทันทีหยางเฟิงแสดงสีหน้าเป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัด "เหยาเหยา เธอแน่ใจนะว่าจะไปเอง? ไม่ให้พี่ไปด้วย"หลินเสี่ยวเหยาส่ายหน้า "ไม่เป็นไรหรอกพี่เฟิง พี่ไปจัดการเรื่องจับกุมเซียวจิ้งหนานเถอะ เรื่องหลี่เหว่ยตงฉันจัดการเองได้" เธอพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น"แต่ว่า..." หยางเฟิงยังคงลังเล"ไม่มีแต่ค่ะ ฉันดูแลตัวเองได้ พี่ไม่ต้องห่วง" หลินเสี่ยวเหยาเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล พร้อมส่งยิ้มหวานละมุนให้คู่หมั้นหนุ่มหยางเฟิงถอนหายใจออกมาเบา ๆ ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงห่วงใย "ก็ได้ ถ้าอย่างนั้นเหยาเหยาก็ระวังตัวด้วยนะ มีอะไรโทรมาที่ค่ายทหารติดต่อพี่ได้ตลอด"หลินเสี่ยวเหยาพยักหน้ารับคำอย่างว่าง่าย ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงออดอ้อน "ค่ะ...พี่เฟิง งั้นเดี๋ยวฉันขอยืมรถพี่เฟิงหน่อยนะคะ""เหยาเหยาขับรถเป็นด้วยหรือครับ" หยางเฟิงเอ่ยถามด้วยความสงสัย เพราะไม่เคยเห็นหลินเสี่ยวเหยาขับรถมาก่อน"ฉันขับรถเป็นค่ะ" หลินเสี่ยวเหยากล่าวอย่
แสงอาทิตย์สีทองค่อยๆ ลับหายไปหลังแนวขุนเขา ทิ้งไว้เพียงสีส้มจางๆ ระบายขอบฟ้า แต่แสงนั้นไม่อาจบรรเทาความร้อนรุ่มในใจของเจียงเหม่ยหลิงได้เลยแม้แต่น้อย รถยนต์คันใหญ่เคลื่อนตัวเข้าสู่เมืองจินหลงในยามพลบค่ำ เธอหันไปสั่งคนสนิทเสียงเข้ม"ไปสืบเรื่องหลินฮวาที่ร้านจินหยวนมาให้ฉันเดี๋ยวนี้"รถยนต์ยังคงแล่นไปตามถนนที่คลาคล่ำไปด้วยผู้คนและรถลาก เจียงเหม่ยหลิงมองออกไปนอกหน้าต่าง ทิวทัศน์ที่คุ้นเคยกลับดูหม่นหมองลงในสายตา"นายหญิงครับ" เสียงของลูกน้องคนสนิทดังขึ้น ทำให้เจียงเหม่ยหลิงละสายตาจากภาพด้านนอก"ว่าอย่างไร" เธอเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่แฝงแววเคร่งขรึม"คุณเซียวได้ไถ่ตัวหลินฮวาจากร้านจินหยวนจริงครับ จากการสืบปากคำเจ้าของร้านทำให้ทราบว่าตอนนี้เธอพักอยู่ที่โรงแรมหลงหยวนชุน" ลูกน้องคนหนึ่งเอ่ยรายงานเจียงเหม่ยหลิงกำมือแน่นจนเล็บจิกเข้าเนื้อ ความโกรธเกรี้ยวประดุจเปลวไฟลุกโชนขึ้นในอก เธอหวนนึกถึงคำพูดของบรรดาอนุภรรยาของเซียวจิ้งหนานที่คอยพูดจาดูถูกเหยียดหยาม ชอบโอ้อวดเรื่องสามีให้เธอฟัง แม้จะโกรธเพียงใด แต่เจียงเหม่ยหลิงก็รู้ดีว่าเธอต้องอดทน เธอรู้ว
ไม่ถึงสิบนาที ประตูห้องสอบสวนก็เปิดออกอีกครั้ง ร่างระหงของหลินเสี่ยวเหยาปรากฏขึ้น เธอเดินอย่างสง่าผ่าเผยออกมาจากห้อง ทิ้งให้หลี่เหว่ยจมอยู่กับความคิดอันสับสนวุ่นวายเพียงลำพังทันทีที่ก้าวพ้นประตู หลินเสี่ยวเหยาต้องเผชิญหน้ากับบุรุษสองนายที่ยืนรออยู่ หยางเฟิงในชุดทหารที่ดูสง่างามยืนรออยู่เคียงข้างพลตรีเฉินกั๋วชิง ผู้บังคับบัญชาของเขา ดวงตาคมกริบของหยางเฟิงจับจ้องมาที่หลินเสี่ยวเหยาอย่างร้อนรน ความอยากรู้ฉายชัดอยู่ในแววตา"เหยาเหยา เป็นยังไงบ้าง หลี่เหว่ยมันยอมปริปากหรือยัง?" เสียงทุ้มเข้มของพันตรีหนุ่มดังขึ้น ท่ามกลางความเงียบของทางเดินหลินเสี่ยวเหยาหยุดยืนอยู่หน้าหยางเฟิงและพลตรีเฉินกั๋วชิง เธอสูดหายใจเข้าลึกก่อนจะตอบ "แน่นอนค่ะว่าหลี่เหว่ยสารภาพ" เธอตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบราวกับกำลังพูดถึงเรื่องดินฟ้าอากาศหยางเฟิงเลิกคิ้วขึ้นด้วยความประหลาดใจ เขาและเหว่ยเจี้ยน ต่างก็เค้นสอบสวนหลี่เหว่ยมาตลอดทั้งอาทิตย์ ใช้ทั้งวิธีข่มขู่และทรมานสารพัด แต่หัวหน้ากลุ่มกบฏก็ยังคงปิดปากเงียบ ไม่ยอมปริปากพูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียวแต่หลินเสี่ยวเหยาที่เข้าไปในห้องสืบสวน
ท้องฟ้าเหนือเมืองจินหลงยังคงมืดครึ้ม แม้แสงอาทิตย์แรกของวันใหม่จะเริ่มสาดส่อง ทว่าบรรยากาศในเซฟเฮาส์ลับกลับเย็นเยียบราวกับถูกปกคลุมด้วยเงามืดเซียวจิ้งหนานนั่งนิ่ง สายตาคมกริบจับจ้องไปยังลูกน้องที่ยืนตัวสั่นอยู่เบื้องหน้า ใบหน้าที่ถึงจะมีอายุเยอะแต่ก็ยังคงความหล่อเหลา บัดนี้ใบหน้าเขากลับบิดเบี้ยวด้วยความโกรธเกรี้ยวเมื่อทุกสิ่งที่เขาได้วางแผนไว้ล้มเหลวไม่เป็นท่า"นายท่านผมมีเรื่องจะแจ้งให้ทราบ ผมได้รับรายงานว่าค่ายของพวกกบฏที่เราสนับสนุนถูกทหารบุกโจมตีตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้วครับ" เสียงของลูกน้องรายงานด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ "อาวุธและคนของเราถูกจับยึดไปทั้งหมด...""ว่ายังไงนะ!" เสียงทุ้มต่ำของเซียวจิ้งหนานดังก้องไปทั่วห้องทำงานเมื่อได้ยินข่าวร้าย "ค่ายของเราถูกพวกทหารรัฐบาลบุกโจมตีงั้นเหรอ?"แก้วเหล้าคริสตัลที่บรรจุของเหลวสีอำพันล้ำค่าหลุดร่วงจากมือหนา กระทบกับพื้นหินอ่อนแตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ ของเหลวสีทองอร่ามไหลนองไปทั่วพรมเปอร์เซียราคาแพง"ครับนายท่าน" ลูกน้องคนสนิทก้มหน้าลงต่ำด้วยความหวาดกลัว "พวกมันบุกเข้ามาโดยที่เราไม่ทันตั้งตัว ทำให้คนของเราเสียชีวิ
คฤหาสน์ตระกูลเซียว อันโอ่อ่ากว้างใหญ่ ตั้งตระหง่านอยู่ใจกลางเมืองหยวนหลิงเมืองขนาดใหญ่ทางภาคใต้ของประเทศ ภายในห้องโถงใหญ่ ที่ประดับประดาด้วยเฟอร์นิเจอร์ไม้แกะสลักลวดลายวิจิตรบรรจง และแจกันดอกเหมยที่ส่งกลิ่นหอมกรุ่น เจียงเหม่ยหลิง ภรรยาหลวงของเซียวจิ้งหนาน เจ้าของคฤหาสน์ กำลังนั่งจิบน้ำชาอย่างสง่างามอยู่บนเก้าอี้ไม้มะฮอกกานีตัวโปรดรอบโต๊ะน้ำชา ยังมีคุณนายอีกสี่คนนั่งอยู่ ได้แก่ ซูหนิง คุณนายรองผู้มีใบหน้าเรียวสวยหวาน ลู่เหยา คุณนายสามผู้มีดวงตากลมโตเป็นประกาย เฉินหง คุณนายสี่ผู้มีผิวขาวผ่องราวกับหยก และคุณนายห้าหยางเหมย บุคลิกเงียบขรึมแต่แฝงไปด้วยความเฉลียวฉลาด บรรยากาศภายในห้องเต็มไปด้วยเสียงพูดคุย"พี่เหม่ยหลิง ฉันเห็นพี่จิ้งหนานซื้อสร้อยไข่มุกเส้นใหม่ให้น้องเหมยเมื่ออาทิตย์ก่อน สวยงามมากเลยนะคะ" ซูหนิงคุณนายรองเอ่ยถึงคุณนายห้าด้วยน้ำเสียงหวานหยด พร้อมกับส่งสายตาเจ้าเล่ห์ไปให้เจียงเหม่ยหลิงผู้เป็นภรรยาหลวงเจียงเหม่ยหลิงยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย ก่อนจะตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย "อืม ก็แค่สร้อยไข่มุกธรรมดา ไม่เห็นจะมีอะไรพิเศษเลย""แหม พี่เหม่ยหลิง พูดอย่างน
พลตรีเฉินยืนตระหง่านอยู่เบื้องหน้ากลุ่มทหารที่รายล้อมตัวพวกกบฏเอาไว้ ร่างสูงใหญ่ของเขาในชุดเครื่องแบบสีเขียวเข้มเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่น ใบหน้ามีรอยย่นใต้หมวกทรงทหารบ่งบอกถึงความเหนื่อยล้าจากการศึกอันยาวนานเบื้องหลังเขาคือกองทหารผู้ภักดีราวหนึ่ง170นาย ทุกคนต่างถืออาวุธคู่กายแน่น มือเปื้อนเลือดจากการต่อสู้อันดุเดือดที่เพิ่งจบลงไป เหล่าเชลยศึกกว่าเก้าสิบคนที่รอดชีวิตต่างถูกจับมัดรวมกันเป็นกลุ่มใหญ่ ทุกคนต่างมีใบหน้าซีดเผือดและร่างกายสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว พวกเขาคือกลุ่มกบฏที่พยายามโค่นล้มรัฐบาลและสร้างความวุ่นวายให้แก่ประเทศชาติไม่ไกลจากจุดที่พลตรีเฉินยืนอยู่ ร่างสองร่างที่ถูกจับมัดอย่างแน่นหนาคุกเข่าอยู่บนพื้น จางเหว่ยและหลี่เหว่ย ใบหน้าของทั้งคู่เต็มไปด้วยรอยฟกช้ำและบาดแผล"รายงานสถานการณ์มา" พลตรีเฉินสั่งการเสียงเข้มหยางเฟิงก้าวออกมาข้างหน้า "เรียนท่านผู้บังคับบัญชา พวกเราได้ทำการจับกุมหลี่เหว่ย หัวหน้ากลุ่มกบฏ พร้อมพรรคพวกได้สำเร็จในขณะที่พวกมันกำลังหลบหนีออกไปทางด้านหลังค่าย"พลตรีเฉินพยักหน้ารับฟังอย่างตั้งใจ"พวกมันถูกจับโดยหลินเสี่ยวเ
ยามราตรีแผ่คลุมทั่วผืนป่า ท้องฟ้าไร้แสงจันทร์ มีเพียงแสงดาวริบหรี่ส่องประกายอยู่ห่างไกล ท่ามกลางความมืดมิดนั้น กองกำลังทหารกำลังเคลื่อนพลอย่างเงียบเชียบ พวกเขาซ่อนตัวอยู่ตามพุ่มไม้และโขดหิน รอคอยสัญญาณจากผู้นำกลุ่มทันใดนั้น เสียงหวานแต่หนักแน่นก็ดังขึ้นจากวิทยุสื่อสารคู่กายของพันตรีหนุ่ม หยางเฟิง"พี่เฟิง ได้ยินไหม? ฉันเจอคลังอาวุธของพวกกบฏแล้ว เตรียมพร้อมโจมตีได้เลย " เสียงหวานแต่หนักแน่นของหลินเสี่ยวเหยาดังแว่วมาจากในวิทยุสื่อสาร ทำให้บรรยากาศในกองทัพอบอวลไปด้วยความตื่นเต้นหยางเฟิงยิ้มมุมปากอย่างพึงพอใจ เขาหันไปพยักหน้าให้เหว่ยเจี้ยน หัวหน้าหน่วยที่ 7 ผู้ที่มีฝีมือการต่อสู้เก่งกาจพอๆ กับเขา เหว่ยเจี้ยนตอบรับด้วยการพยักหน้ากลับอย่างมั่นคง แววตาของทั้งสองเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นและความเชื่อมั่นในการทำภารกิจที่จะเกิดขึ้น"ทุกหน่วย เตรียมพร้อม! เราจะบุกโจมตีฐานทัพพวกกบฏในอีกสิบนาทีข้างหน้า" หยางเฟิงออกคำสั่งผ่านวิทยุสื่อสาร น้ำเสียงของเขาหนักแน่นและเด็ดขาดเหล่าทหารหนุ่มคนอื่นๆ ต่างขานรับคำสั่งของหัวหน้ากลุ่มด้วยความพร้อมเพรียง พวกเขาตรวจสอบอาวุธและส