หลินเสี่ยวเหยายกกับข้าวมาให้หยางเฟิงที่เตียง ชายหนุ่มมองอาหารตรงหน้าด้วยความประหลาดใจ เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าอาหารธรรมดา ๆ จะดูน่ารับประทานได้ขนาดนี้
เขาตักข้าวต้มเข้าปากคำแรก รสชาติกลมกล่อมของข้าวต้มทำให้เขาแทบหยุดไม่ได้ เขาตักข้าวต้มเข้าปากคำแล้วคำเล่า จนข้าวต้มหมดถ้วย
"อร่อยมากเลยครับ" ชายหนุ่มกล่าวชมด้วยรอยยิ้มแห่งความพึงพอใจ
หลินเสี่ยวเหยายิ้มรับคำชม คนในยุคนี้ชาวบ้านทั่วไปชอบทำกับข้าวจืดๆ ไม่ได้เน้นเครื่องปรุงรสอะไร กับข้าวที่เธอใส่ผงปรุงรสไปก็เลยดูอร่อยเป็นพิเศษเธอสามารถทำกับข้าวขายได้เลย ถ้ามีผงปรุงรสอยู่ในมือ รับรองกับข้าวอร่อยทุกอย่าง แต่น่าเสียดายที่ยุคนี้ทำการค้าขายลำบาก
"ฉันดีใจที่คุณชอบค่ะ"เธอกล่าวกับชายหนุ่ม
หลังจากหยางเฟิงทานข้าวเช้าเสร็จ หลินเสี่ยวเหยาก็หยิบยาแก้ปวด และยาลดไข้ ออกมา 2 เม็ด
"สหายหยางทานยาแก้ปวดและยาลดไข้หน่อยนะคะ อาการของคุณจะได้ดีขึ้น"
หยางเฟิงรับยามาดู พบว่าเป็นยาฝรั่งราคาแพง เม็ดสีขาวกลม ๆ
"คุณ... เอาเงินมาจากไหนมาซื้อยาพวกนี้?" ชายหนุ่มเอ่ยถามด้วยความสงสัย
หลินเสี่ยวเหยาอึกอักไปชั่วครู่ แต่สีหน้าของเธอไม่ได้เปลี่ยนไป หญิงสาวรู้สึกเขินอายเล็กน้อยที่ถูกจับได้
"ถ้าฉันบอกคุณไปคุณห้ามไปเล่าที่ไหนนะคะ…พอดีฉันไปขายของที่ตลาดมืดมาค่ะ ได้เงินมาเยอะพอสมควร เลยซื้อยาฝรั่งมาเก็บไว้ที่บ้านเวลาไม่สบาย" หญิงสาวโกหกหน้าตาใส ก่อนจะตัดบทคุยกับคุณตัวร้าย
"เดี๋ยวคุณพักผ่อนเถอะค่ะ ฉันจะไปเก็บถ้วยชาม วันนี้ฉันมีธุระที่ต้องออกไปข้างนอก" หลินเสี่ยวเหยาพูดพร้อมกับลุกขึ้นยืน
คนร่างสูงที่อยู่ตรงหน้าพยักหน้ารับ เธอจึงเดินออกจากห้องไปทันที ปล่อยให้พันตรีหนุ่มได้นอนพักผ่อน
หลินเสี่ยวเหยารู้สึกกังวลเรื่องข้าวของที่อยู่ในมิติของเธอ ร่างบางครุ่นคิดถึงวิธีการเอาตัวรอดในยุคนี้ โดยไม่ให้ใครจับได้ ครั้งนี้เธอเผลอแสดงพิรุธจนถูกคุณตัวร้ายจับผิด เมื่อก่อนเธออาศัยอยู่กับน้องชายเพียงสองคน เด็กๆ ไม่ได้คิดมากเรื่องสิ่งของที่เธอนำออกมา แต่ตอนนี้มีคุณตัวร้ายเพิ่มเข้ามา เขาเป็นคนฉลาดและเธอไม่สามารถหาข้อแก้ตัวแบบนี้ได้บ่อยๆ
ด้วยเหตุนี้ หลินเสี่ยวเหยาจึงตัดสินใจไปหาลุงเหวิน เพื่อหวังหางานเก็บแต้มที่ไม่เหนื่อยมากนัก ลุงเหวินเป็นพี่ชายคนสนิทของพ่อเธอ เขาเป็นคนใจดี และที่สำคัญ เขาเป็นผู้มีอำนาจในหมู่บ้านแห่งนี้
หลินเสี่ยวเหยาเดินไปหาเสี่ยวหมิงที่กำลังตัดหญ้าที่รกร้างที่สวนหลังบ้าน เสียงเคียวกระทบกับพื้นหญ้าดังเป็นระยะ บ่งบอกถึงการทำงานหนักของเด็กน้อย
"เสี่ยวหมิง พี่สาวจะไปบ้านลุงเหวินก่อนนะ เดี๋ยวน้องอยู่ดูแลบ้านด้วยนะ" หลินเสี่ยวเหยาเอ่ยขึ้น
หลินเสี่ยวหมิงเงยหน้าขึ้นจากการตัดหญ้า เหงื่อไหลอาบใบหน้าเด็กน้อย "พี่สาวไปเถอะครับ เดี๋ยวผมจะดูแลบ้านเอง"
"น้องเล็ก...ถ้าเหนื่อยก็พักก่อนนะ น้องอย่าหักโหมทำงานหนักล่ะ เดี๋ยวพี่สาวทำธุรกิจเสร็จแล้วพี่สาวจะมาช่วยไถหญ้า" หลินเสี่ยวเหยาเอ่ยด้วยความห่วงใย
"ได้ครับ" หลินเสี่ยวหมิงตอบรับ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
หญิงสาวจึงเดินออกจากบ้านมุ่งหน้าไปบ้านลุงเหวิน เธอเดินผ่านทุ่งนาตอนนี้ยังเช้าอยู่ ยังไม่มีใครมาทำงานในท้องทุ่ง
ในที่สุด เธอก็มาถึงหน้าบ้านของลุงเหวิน บ้านไม้หลังคามุงจากดูเรียบง่าย แต่ภายในอบอุ่น สะอาดสะอ้าน
หลินเสี่ยวเหยารู้สึกใจชื้นขึ้นมาบ้าง เธอหวังว่าลุงเหวินจะช่วยเธอได้
เธอเคาะประตูเบาๆ แล้วรอสักครู่ ประตูก็เปิดออก เผยให้เห็นรอยยิ้มใจดีของลุงเหวิน
"เหยาเหยา มาหาลุงเหรอลูก?" เหวินหยางเอ่ยทักทายหลานสาวด้วยน้ำเสียงอบอุ่น
"ค่ะ..คุณลุง" หลินเสี่ยวเหยารีบก้มหัวคำนับ "หนูมีเรื่องอยากขอความช่วยเหลือจากคุณลุงค่ะ"
"หลานจะให้ลุงช่วยอะไร"เหวินหยางพูดอย่างมีเมตตา
"ลุงเหวินค่ะ หนูอยากมาสมัครทำงานเก็บแต้มค่ะ" หลินเสี่ยวเหยาเอ่ยด้วยน้ำเสียงสุภาพ
"หลานอยากจะทำงานอะไรก็บอกลุงมาได้?" หัวหน้าหน่วยผลิตเอ่ยถามด้วยความสงสัย
"หนูอยากทำงานเก็บหญ้าแห้วหมูค่ะ พอดีหนูอยากไปหาของป่าด้วยจะได้เก็บมาพร้อมกันทีเดียวค่ะ" หลินเสี่ยวเหยาตอบพลางยิ้มหวานให้หัวหน้าหน่วยผลิต
เหวินหยางพิจารณาอยู่ครู่หนึ่งก่อนตอบว่า "ได้สิหลานสาว พรุ่งนี้มาเริ่มงานได้เลย หนูเก็บหญ้าแห้วหมูมาแล้วก็ไปมาหาลุงหวังที่เป็นคนจดแต้มการทำงาน งานหาหญ้าแห้วหมูหนูจะได้รับแต้ม 3 แต้ม "
"ขอบคุณมากค่ะลุงเหวิน" หลินเสี่ยวเหยาตอบด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม เธอก้มลงขอบคุณลุงเหวินด้วยความรู้สึกขอบคุณซาบซึ้ง
เมื่อออกจากบ้านลุงเหวินมา หลินเสี่ยวเหยาก็รีบเดินกลับบ้าน ทันใดนั้น เสียงหัวเราะเยาะเย้ยดังขึ้นมา หลินเสี่ยวเหยาหันขวับไปมอง พบกับกลุ่มหญิงสาววัยรุ่นสี่คน ยืนอยู่หน้ารั้วบ้านเดิมของเธอ บุคคลที่คุ้นเคยที่สุดคือ หลินฮวาที่ลูกสาวของลุงใหญ่และป้าสะใภ้ใหญ่ กำลังจ้องมองเธอด้วยสายตาเหยียดหยาม
"ว๊ายตายแล้วนึกว่าใครที่ไหนที่แท้ก็แม่จอมขี้เกียจนี้เอง สงสัยตอนนี้เงินจะหมดแล้วสิท่า ถึงได้มาขอลุงเหวินทำงาน" เสียงแหลมสูงของเฉียวเย่ เพื่อนสาวคนสนิทของหลินฮวา ดังออกมา หลินเสี่ยวเหยารู้สึกโกรธขึ้นมาในทันที แต่พยายามกลั้นความโมโหไว้ เธอไม่อยากให้คนพวกนั้นได้สมหวัง
"ฉันไม่ได้มาขอเงินใครกินสักหน่อย ฉันมาหาทำงานเพื่อเลี้ยงปากเลี้ยงท้องของตัวเองแล้วมันหนักหัวพวกเธอหรือไง" หลินเสี่ยวเหยาตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉย พยายามไม่แสดงท่าทีอ่อนแอให้ใครเห็น
"ทำงานเหรอ? หล่อนทำงานอะไรได้บ้างล่ะ? คงจะเก็บหญ้าแห้วหมูมาแลกแต้มน่ะสิ จะได้สักกี่แต้มเชียว" รั่วฉี เพื่อนอีกคนของหลินฮวา พูดด้วยรอยยิ้มเยาะ พร้อมกับจ้องมองหลินเสี่ยวเหยาด้วยแววตาดูถูก
“งานอะไรก็ตามที่สุจริต ฉันก็ยินดีทำทั้งนั้น” หลินเสี่ยวเหยาตอบกลับไป แม้จะรู้ดีว่าเพื่อนแม่นางเอกกำลังพยายามจะหาเรื่องกลั่นแกล้งเธอ ‘หึ..คนพวกนี้มันไม่ใช่พวกเพื่อนนางเอกแล้วนี่มันเป็นพวกนางร้ายเกรดต่ำชัด ๆ นักเขียนเรื่องนี้เขียนนิยายไม่ตรงปกอย่างแรง’
"โอ้โห เดี๋ยวนี้หล่อนเก่งมากนะ ทีเมื่อก่อนเอาแต่นั่งกินนอนกินไม่เคยทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ตอนนี้เงินหมดแล้วเลยมาทำงานหาเงินเหรอ? โถ...น่าสงสารหล่อนเสียจริง ๆ " เจียหยิง เพื่อนสาวอีกคนพูดเสริมขึ้นมาพร้อมกับหัวเราะเยาะอย่างมีความสุข
"ฉันจะทำอะไรมันก็เรื่องของฉัน ฉันจะมีเงินหรือไม่มีเงิน มันไปหนักหัวพวกเธอหรือไง" หลินเสี่ยวเหยาตอบก่อนที่จะสะบัดหน้าเดินหนีคนพวกนี้ไป อยู่กับคนพวกนี้มีแต่ทำให้ประสาทแดก
เธอล่ะอยากประท้วงคุณนักเขียนซะจริงๆ หลินฮวาไม่ได้ใสซื่อเหมือนอย่างที่นักเขียนบรรยายไว้ ในนิยายหลินฮวาถูกบรรยายว่าเป็นหญิงสาวที่อ่อนหวาน ใจดี มักถูกกลั่นแกล้งจากคนรอบข้างเป็นประจำ โดยเฉพาะจากพี่สาวที่เป็นนางร้ายอย่างหลินเสี่ยวเหยา แต่ทว่า...ความเป็นจริงมันกลับตรงกันข้าม กลายเป็นคุณนางร้ายที่โดนพวกแก๊งนางเอกกลั่นแกล้งเสียเอง
หึ…ยายนางเอกที่ชอบเสแสร้งทำเป็นแม่ดอกบัวขาวที่คอยยุยงให้เพื่อนๆ รังแกหลินเสี่ยวเหยา หลอกลวงผู้คนด้วยภาพลักษณ์ที่บอบบาง น่าสงสาร หลินเสี่ยวเหยาเจ้าของร่างเดิม ไม่รู้ทันกลอุบายของหลินฮวา จึงมักเดินตามเกมของแม่นางเอก ทำให้มีเรื่องทะเลาะวิวาทกับหลินฮวาอยู่เป็นประจำ
ผลลัพธ์คือ หลินเสี่ยวเหยาถูกตราหน้าว่าเป็นคนเกเร ไร้เหตุผล และถูกชาวบ้านรังเกียจ
แต่ตอนนี้ไม่ใช่เช่นนั้นอีกต่อไป..หลินเสี่ยวเหยาที่อยู่ในร่างนี้ ไม่ได้โง่เหมือนเจ้าของร่างเดิม
"หยุด! เดี๋ยวนี้นะหลินเสี่ยวเหยา!" เสียงตะโกนดังมาจากด้านหลัง หลินเสี่ยวเหยาหันขวับกลับไปเห็นเจียหยิงวิ่งไล่ตามมา
"นี่พวกเธอต้องการอะไรอีก?" หลินเสี่ยวเหยาถามด้วยความเย็นชา
"พวกเรายังพูดไม่จบแล้วแกจะหนีไปไหน!" เจียหยิงตะโกนหน้าเธอ
รั่วฉีเดินมาจับมือหลินเสี่ยวเหยาไว้แน่น ดวงตาของเธอฉายแววไม่พอใจ "เธอจะเดินไปไหน? คิดจะไปอ่อยสหายเหว่ยเฉียงที่แปลงนาหรือไง? ฉันขอบอกไว้ก่อนนะ ว่าตอนนี้สหายเหว่ยเฉียงคบหากับสหายหลินฮวาแล้ว อีกไม่นานพวกเขาก็จะหมั้นหมายกัน!"
หลินฮวาแทรกตัวเข้ามาระหว่างพวกเธอ "ทุกคนใจเย็นๆ อย่าสร้างความลำบากให้พี่สาวฉันเลย" น้ำเสียงของเธอดูอ่อนโยน เต็มไปด้วยความเห็นอกเห็นใจ แต่หากสังเกตดีๆ จะเห็นแววสะใจที่ซ่อนอยู่ภายใต้ดวงตาสีดำขลับของหล่อน
หลินเสี่ยวเหยาเมื่อได้ยินแม่นางเอกพูดถึงกับปวดตับนึกว่าหล่อนแสดงละครเป็นอยู่คนเดียวเหรอไง เมื่อเธอเห็นชาวบ้านเริ่มมามุงดูการทะเลาะวิวาทของพวกเธอ หญิงสาวจึงรีบเปลี่ยนบทบาทเป็นเหยื่อผู้ถูกกลั่นแกล้งทันที
หลินเสี่ยวเหยาเริ่มสะอื้นไห้ ร้องไห้โฮ ราวกับถูกทำร้ายจิตใจ "พวกเธอทำอะไรกัน! ทำไมต้องมารังแกฉันด้วย! ฉันทำอะไรผิด! แค่จะกลับไปบ้านเท่านั้น!"
เสียงร้องไห้ของหลินเสี่ยวเหยา ดึงดูดความสนใจจากผู้คนที่ผ่านไปมา บนถนนสายหลักของหมู่บ้านที่ตอนนี้เริ่มมีผู้คนเดินไปทำงานที่แปลงนากันเยอะ ผู้คนต่างหยุดยืน มุงดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยความสงสัย บางคนซุบซิบกระซาบ บางคนก็มองด้วยความสงสาร
หลินเสี่ยวเหยาใช้โอกาสนี้ ชี้นิ้วไปที่พวกแก๊งนางเอก " พวกเธอจะกลั่นแกล้งฉันไปถึงไหน! ฉันแค่ผู้หญิงคนเดียว ที่ไม่มีใครปกป้อง พ่อแม่ฉันก็ตายจากไป แถมบ้านของตัวเองก็ยังจะโดนพ่อของหลินฮวายึดไป แล้วพวกเธอยังจะมาคิดทำร้ายฉันอีก ถ้าฉันตายไปอีกคน น้องชายของฉันยังเด็กอยู่แล้วเขาจะอยู่ยังไงถ้าฉันตายไป"
หลินฮวาหน้าซีดเผือด เธอไม่คาดคิดว่าหลินเสี่ยวเหยาจะพลิกเกมได้อย่างรวดเร็ว กลายเป็นฝ่ายพวกเธอเองที่เป็นฝ่ายเสียเปรียบแทน
"พี่สาวใจเย็นๆ นะค่ะ พวกเพื่อนๆ ฉันไม่ได้คิดจะรังแกพี่สาวหรอกค่ะ ฉันต้องขอโทษพี่สาวแทนพวกเธอด้วย" หลินฮวาพยายามแก้เกมคืน
"พวกเธอสามคนนี้น่ารังเกียจ! ชอบทำร้ายคนไม่มีทางสู้" ชาวบ้านคนหนึ่งเอ่ยขึ้น
"ไม่จริงนะ! พวกเราแค่..." เจียหยิงพยายามอธิบาย แต่ไม่มีใครฟังเธอ เสียงโห่ร้องประณามดังขึ้นจากฝูงชน
"เห็นแก่ตัว! เอาเปรียบคนอ่อนแอ!"
"อย่ามาทำเป็นตีหน้าตาย! ความจริงพวกเธอเป็นคนเลว!"
หลินเสี่ยวเหยาอาศัยจังหวะนั้น วิ่งหนีออกจากฝูงชน ทิ้งให้พวกเธอ ยืนงุนงง กลายเป็นเป้าสายตาของชาวบ้านที่จ้องมองด้วยความรังเกียจเดียดฉันท์ ถึงแม้ว่าตอนนี้เธอจะกระชากหน้ากากแม่นางเอกไม่ได้ แต่เพื่อนของเธอก็โดนคนในหมู่บ้านมองเป็นคนไม่ดี แค่นี้เธอก็พอใจแล้ว ยังมีเวลาอีกมากที่จะเอาคืนแม่นางเอก รอดูไว้เลย…
หลินเสี่ยวเหยา เดินกลับมาถึงบ้านหลังเล็กๆ ของเธอ ที่ล้อมรอบไปด้วยต้นไม้ใหญ่และหญ้ารกทึบ คนเป็นพี่สาวเห็นน้องชายกำลัง กำลังก้มหน้าก้มตาถางหญ้าอยู่คนเดียว เหงื่อของเขาไหลอาบบนใบหน้า แววตาเต็มไปด้วยความเหน็ดเหนื่อยด้วยความสงสารเด็กน้อยตัวเล็กๆ ที่ต้องทำงานหนักเหมือนผู้ใหญ่ หลินเสี่ยวเหยาก็รีบเดินตรงไปที่ห้องครัว เธอหยิบขวดน้ำหวานเย็นๆ และขนมปังแสนอร่อยจากมิติของเธอหญิงสาวเทน้ำหวานใส่กระบอกไม้ไผ่ และวางขนมปังอบกรอบไว้บนจานกระเบื้องเก่าๆ จากนั้นก็เดินตรงไปหาหลินเสี่ยวหมิงที่ทำงานอยู่สวนหลังบ้าน"เสี่ยวหมิง! พี่กลับมาแล้ว!" หญิงสาวตะโกนเรียกน้องชายด้วยน้ำเสียงสดใสและอบอุ่นหลินเสี่ยวหมิงเงยหน้าขึ้นจากแปลงผัก ดวงตากลมโตเป็นประกายเมื่อเห็นพี่สาวกลับมาถึงบ้าน "พี่สาว! กลับมาแล้วเหรอครับ!" เขารีบวิ่งเข้าไปหาพี่สาวด้วยความดีใจหญิงสาวยิ้มกว้างพลางลูบหัวน้องชายเบาๆ "อืม... พี่กลับมาแล้ว" เธอพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน "เสี่ยวหมิงไปพักก่อนนะ เดี๋ยวพี่จะช่วยถางหญ้าต่อเอง""แต่ว่า..." หลินเสี่ยวหมิงทำท่าจะแย้งผู้เป็นพี่สาวขัดขึ้น "ไม่มีแต่" เธอยิ้มให้น้องชาย "พี่สาวแข็งแรงจะตายไป น้องเล็กไปพักผ่อนเถอะ
หลินเสี่ยวเหยา เดินออกจากห้องมา เธอเห็นหลินเสี่ยวหมิงกำลังนั่งรอเธออยู่ที่ลานหน้าบ้าน บนพื้นมีตะกร้าสานใบโปรดวางอยู่พร้อมกับขวานตัดฟืนและมีดพร้า หลินเสี่ยวเหยาเดินไปเปลี่ยนเป็นชุดเก่าๆ มัดผมเรียบง่าย คว้าตะกร้าสานที่บรรจุเครื่องมือและของทานเล่นนิดหน่อย ก่อนจะเดินออกจากบ้านไปพร้อมกับผู้เป็นน้องชายพวกเขาเดินมุ่งหน้าไปยังป่าไผ่ที่อยู่ด้านหลังบ้าน ป่าไผ่แห่งนี้เป็นแหล่งอาหารสำคัญสองคนพี่น้อง ซึ่งเมื่อก่อนหลินเสี่ยวหมิงมักจะเข้ามาหาของป่าให้พี่สาวอยู่เป็นประจำเมื่อมาถึงจุดที่เต็มไปด้วยต้นไผ่ หลินเสี่ยวเหยาก็หยุดลง เธอวางตะกร้าสานลงบนพื้น หยิบขวานอันคมออกมาจากตะกร้า ผู้เป็นพี่สาวเริ่มสอนน้องชายถึงวิธีการตัดต้นไผ่"เสี่ยวหมิง น้องจับขวานให้มั่นนะ ตีตรงโคนต้นไผ่ ระวังอย่าให้โดนเท้าตัวเอง" หลินเสี่ยวเหยาเอ่ยด้วยน้ำเสียงอบอุ่นเด็กน้อยพยักหน้ารับอย่างตั้งใจ ดวงตาของเขาลุกวาวด้วยความตื่นเต้น เขาสวมหมวกฟางเก่า ๆ กำขวานแน่นในมือเล็ก ๆ พยายามเลียนแบบท่าทางของผู้เป็นพี่สาว"ผลัวะ!" เสียงขวานดังก้องไปทั่วป่า หลินเสี่ยวหมิงฟาดฟันต้นไผ่อย่างขะมักเขม้น แม้ว่าแรงของเขาจะยังไม่มากนัก แต่เขาก็พยายามอย่าง
เมื่อคนเป็นพี่สาวเดินมาที่ลานหน้าบ้าน เธอเห็นหลินเสี่ยวหมิงน้องชายของเธอกำลังนั่งรอทานข้าวอย่างใจจดใจจ่อ บนโต๊ะไม้เก่า ๆ มีแกงผักป่าร้อน ๆ กับข้าวสวยวางอยู่ เมื่อเธอเดินมาหาน้องชาย หลินเสี่ยวหมิงยิ้มร่าด้วยความดีใจ"พี่เสี่ยวเหยา แกงที่พี่ทำมันหอมมากเลยครับ จนน้ำลายผมไหลยืด" หลินเสี่ยวหมิงเอ่ยขึ้น"มันหอมเพราะพี่สาวใส่เครื่องปรุงตามสูตรที่พี่สาวคิดค้นขึ้น มันทำให้น้ำแกงอร่อยขึ้น ถ้าน้องเล็กชอบพี่สาวจะทำให้ทานทุกวัน" หลินเสี่ยวเหยาตักแกงใส่ถ้วย ส่งให้น้องชายหลินเสี่ยวหมิงตักแกงเข้าปาก เคี้ยวช้า ๆ รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าเด็กน้อย"อร่อยมากเลยพี่สาว ฝีมือพี่นี่ไม่แพ้แม่เลยนะ" หลินเสี่ยวหมิงเอ่ยชมไม่หยุด‘หึ..ถ้าไม่มีเครื่องปรุงสำเร็จรูปกับข้าว ฉันก็คงทำคงไม่อร่อยเท่านี้หรอก’ หลินเสี่ยวเหยารู้สึกโชคดีที่ในห้างสรรพสินค้าของเธอมีเครื่องปรุงสำเร็จรูปครบครันทำให้การใช้ชีวิตในยุคนี้ ไม่ได้แย่อย่างที่เธอคิดหลังจากทานข้าวเสร็จ หลินเสี่ยวเหยาก็ทำการเก็บกวาดโต๊ะอาหาร ก่อนจะหันมาบอกกับน้องชาย"เสี่ยวหมิง วันนี้น้องเหนื่อยมาทั้งวัน เดี๋ยวน้องไปพักผ่อนได้แล้ว""ครับพี่สาว เดี๋ยวผมไปก่อนนะครับ" เด็กชายพ
ณ เมืองหลวงหลิวซิวหยวน มารดาของ หยางเฟิง เดินเข้ามาหา หยางกั๋วเฉิง ผู้เป็นสามีด้วยความร้อนใจ เธออยากรู้ว่าทำไมลูกชายเธอถึงไม่ยอมกลับมาบ้านสักที เธอพยายามถามผู้เป็นสามี เขาก็ตอบแต่เพียงว่า ลูกสามงานยุ่ง ตามปกติแล้วแม้งานของลูกสามจะยุ่งแค่ไหนเขาจะกลับมาที่บ้านใหญ่เสมอ เพื่อมาเยี่ยมครอบครัวทุกอาทิตย์แต่นี่ก็นานมาแล้วที่ลูกชายเธอขาดติดต่อกลับมา ใบหน้าของคุณนายหยางเต็มไปด้วยความกังวลเมื่อหลิวซิวหยวน มาถึงที่ทำงานของสามี เธอเดินเข้าไปในห้องทำงานของสามีด้วยความรีบร้อน โดยไม่ได้เคาะประตู ทันใดนั้น เธอก็ต้องชะงัก เมื่อเห็นภาพที่ไม่คาดคิดหยางกั๋วเฉิง สามีของเธอ กำลังนั่งสนทนาอยู่กับ หลิวซิวฉีพี่ชายของเธอ ใบหน้าของทั้งคู่ดูเคร่งเครียด และเต็มไปด้วยความกังวล"พี่ชาย!" หลิวซิวหยวนร้องออกไปด้วยความตกใจ "เกิดอะไรขึ้น? ทำไมทุกคนหน้าถึงทำหน้าเคร่งเครียดแบบนี้?"หลิวซิวฉี หันมามองน้องสาว ก่อนจะถอนหายใจยาว "เจ้าสาม เขา...""เขา… เป็นอะไรไป?" คุณนายหยางรีบเอ่ยถามด้วยความร้อนรน หัวใจของเธอเต้นรัวด้วยความหวาดกลัว"เจ้าสามเขา... ไปปฏิบัติภารกิจลับ เพียงแต่ว่า... ตอนนี้พวกเราได้ขาดการติดต่อกับเจ้าสาม มาหล
หลินเสี่ยวเหยา ก้าวเท้าออกมาจากบ้านดินหลังเล็ก ก่อนที่จะเดินตรงไปยังแปลงผักที่อยู่หลังบ้านเธอเห็นหลินเสี่ยวหมิง กำลังยืนอยู่หน้าแปลงผัก สายตาของเขาจดจ่อกับต้นผักกาดหอมที่เพิ่งปลูกไปเมื่อวานนี้ ใบสีเขียวอ่อนเริ่มคลี่ออก เผยให้เห็นยอดอ่อนสีขาว หลินเสี่ยวเหยาเดินเข้าไปหาเด็กชาย"น้องเล็กทำอะไรอยู่เหรอ?""พี่สาวดูสิครับ ต้นผักกาดเริ่มแตกใบแล้ว!" หลินเสี่ยวหมิงตอบด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น เขารู้สึกดีใจที่ได้เห็นผลลัพธ์จากการทุ่มเทดูแลแปลงผักหลินเสี่ยวเหยาโน้มตัวลง มองดูต้นผักกาดอย่างใกล้ชิด รอยยิ้มของเธอขยายกว้างขึ้น "น้องเล็กเก่งมากเลยนะ เป็นเพราะน้องเล็กช่วยพี่สาวรดน้ำ เมล็ดจึงแตกยอดออกมา" เธอเอื้อมมือลูบศีรษะน้องชายเบาๆ"ต่อไปเราก็จะมีผักสดๆ ไว้กินเองแล้ว"หลินเสี่ยวหมิงดีใจสุดๆ เขาตั้งตารอที่จะได้กินผักกาดที่ดูแลเองกับมือท่ามกลางความร่าเริงของเด็กน้อย หลินเสี่ยวเหยากำลังครุ่นคิดว่าจะบอกความจริงเรื่องมิติของเธอให้น้องชายได้รับรู้หรือไม่ เธออยากนำเครื่องมือในห้างสรรพสินค้าของมาสร้างเล้าไก่ คนร่างบางรู้สึกลังเลใจว่าจะบอกน้องชายดีหรือไม่หลินเสี่ยวเหยานึกถึงเรื่องราวในนิยายที่เธอหลุดเข้ามา น
จ้าวหยวนตงยื่นมือไปคว้าตะกร้าหวายจากหลินเสี่ยวเหยาที่มีผ้าขาวปกคลุมเอาไว้"สหายหลิน จะรีบไปไหน พวกเรายังคุยกันไม่จบเลยนะ" จ้าวหยวนตงยิ้มเจ้าเล่ห์หลินเสี่ยวเหยารู้สึกโกรธแค้น เธอพยายามเดินหนี แต่ชายหนุ่มจับตะกร้าเธอไว้แน่น"ปล่อยตะกร้าฉันเดี๋ยวนี้! ของพวกนี้ไม่ใช่ของพวกแก!" หลินเสี่ยวเหยาตะโกนกลับมา"ของฝากพวกนี้เอามาให้สหายเหว่ยเฉียงใช่มั้ยล่ะ? เดี๋ยวพวกเราเอาไปให้เขาเอง สหายหลินไม่ต้องเป็นห่วง" กัวเฉิงหลง ชายหนุ่มอีกคนในกลุ่มพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่จริงใจหลินเสี่ยวเหยาเม้มริมฝีปากแน่น ตอนนี้พวกชาวบ้านเลิกงานเริ่มทยอยออกมาประปราย หญิงสาวไม่กล้าใช้ความรุนแรง ในขณะที่เธอกำลังจะยื้อตะกร้า จ้าวหยวนตงทำท่าจะโน้มตัวลงมาดูของในตะกร้าว่ามีอะไรบ้างทันใดนั้นเธอแกล้งก็ใช้ศอกฟาดเข้าที่ปากของจ้าวหยวนตงอย่างแรงจนชายหนุ่มเซไปข้างหลัง เลือดไหลซิบจากมุมปาก"โอ๊ย!" จ้าวหยวนตงร้องโอดโอย ก่อนจะปล่อยตะกร้าหวายออกจากมือ ชายหนุ่มไม่พอใจกล่าวว่าหญิงสาวตรงหน้าทันที"แกนังตัวดี! แกกล้ามาทำร้ายฉันเหรอ?!"จ้าวหยวนตงตะโกนขึ้นผู้คนรอบข้างเริ่มหยุดชะงัก มองมาที่หลินเสี่ยวเหยาและจ้าวหยวนตงด้วยความตกใจ เสียงโหวกเหวก
หลังจากหลินเสี่ยวเหยาออกจากบ้านลุงเหวินมา หญิงสาวรีบเดินทางกลับบ้านเพราะกลัวน้องชายจะหิ้วท้องรอ เธอก้าวเท้าผ่านแปลงนาด้วยความเร่งรีบ มุ่งหน้ากลับบ้านที่อยู่ติดกับเชิงเขาที่อยู่ท้ายหมู่บ้าน ท่ามกลางดวงอาทิตย์กำลังลาลับขอบฟ้า สายตาของเธอก็เหลือบไปเห็นกลุ่มชายหนุ่มสามคนที่ยืนดักรอเธออยู่"นังตัวดี!" จ้าวหยวนตงตะโกนออกมาด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้น "ฉันจะแก้แค้นที่แกทำปากฉันแตก! ตอนนี้พวกชาวบ้านต่างก็กลับบ้านไปกันหมดแล้ว ไม่มีใครช่วยเหลือแกได้ ถ้าแกไม่อยากเจ็บตัว ก็นำข้าวของมาให้พวกฉันซะ!" ชายหนุ่มข่มขู่หลินเสี่ยวเหยาทันทีหลินเสี่ยวเหยา กัดฟันกรอด ใบหน้าของเธอแดงก่ำด้วยความโกรธ เธอไม่คิดจะให้ใครมารังแกเธอได้ง่ายๆ หรอก"ไอ้จ้าวหยวนตง แกอย่ามาหาเรื่อง ฉันไม่มีของอะไรจะให้แก" หลินเสี่ยวเหยา ตะโกนโต้กลับไป ด้วยน้ำเสียงโกรธเกรี้ยว"นังนี่มันปากดีจริงๆ พวกเราจัดการสั่งสอนนังผู้หญิงคนนี้กันหน่อย!" จ้าวหยวนตง เรียกเพื่อนสนิททั้งสอง ตรงรี่เข้าหาหลินเสี่ยวเหยา"เฮอะ..ในเมื่อฉันไม่ได้ไปหาเรื่องพวกแก แต่พวกแกกับเสือกหาเรื่องเอง แล้วอย่าหาว่าฉันไม่เตือนละ ถ้าพวกแกแน่จริง ก็เข้ามา" หญิงสาวตะโกน
เช้าวันรุ่งขึ้น หลินเสี่ยวเหยา ตื่นขึ้นมาด้วยอาการสะโหลสะเหล เธอนอนไม่หลับทั้งคืน ภาพใบหน้าหล่อเหลาของคุณตัวร้าย ย้ำเตือนความทรงจำเมื่อคืน น้ำเสียงอันทุ่ม นุ่มลึก ของร่างสูงที่บอกว่าเธอ"น่ารัก" ยังคงก้องอยู่ในหูความร้อนผ่าวจากใบหน้าไต่ขึ้นสู่แก้ม แก้มของเธอแดงก่ำขึ้นมาอีกครั้ง เพียงแค่คิดถึงมัน หัวใจของเธอก็เต้นระรัวเมื่อคืนนี้ เธอนอนห้องเดียวกับชายหนุ่ม แม้จะนอนคนละที่กัน แต่ความใกล้ชิดก็เพียงพอที่จะปลุกเร้าจินตนาการของหญิงสาว"โอ๊ย…คุณตัวร้ายแอบคิดอะไรเกินเลยกับเธอหรือเปล่า" เสียงร้องอุทานของเธอแทบจะหลุดออกมา หัวใจเธอเต้นตึกตัก ภาพใบหน้าหล่อเหลาที่ยิ้มกริ่มของพันตรีหนุ่มลอยมาปรากฏในความคิดหลินเสี่ยวเหยาพลิกตัวไปมาบนเสื่อ ด้วยอาการของคนนอนไม่หลับ เธอครุ่นคิดว่าชายหนุ่มกำลังจะจีบเธอหรือเปล่า แต่เธอก็ไม่กล้าคิดเกินเลยไปไกล ทำให้คิดวนเวียนไปมาเธอนอนหลับๆ ตื่นๆ พอรู้ตัวอีกทีเกือบใกล้รุ่งเช้าแล้วคนร่างบางจึงตัดสินใจลุกขึ้นจากที่นอนเดินไปที่ห้องครัว หวังจะดื่มกาแฟร้อนๆ สักแก้ว เพื่อปลุกให้ตัวเองตื่นเต็มตาเช้านี้ อากาศค่อนข้างเย็นสบาย หญิงสาวเดินไปที่เตาฟืน ก่อไฟต้มน้ำร้อน เสียงฟืนที่แ
หนึ่งอาทิตย์ต่อมา รถไฟขบวนพิเศษจากเมืองหลวงก็แล่นเข้าสู่สถานีรถไฟเมืองจินหลง หยางกั๋วเฉิงและหลิวซิวหยวน พ่อแม่ของหยางเฟิง ย่างก้าวลงจากรถไฟด้วยสีหน้าที่เปี่ยมสุข ท่ามกลางเสียงต้อนรับของลูกชายและลูกสะใภ้ที่มารอรับอย่างพร้อมหน้า"คุณพ่อ คุณแม่" หยางเฟิงโผเข้ากอดพ่อแม่ด้วยความคิดถึง น้ำตาคลอหน่วย "ผมคิดถึงพ่อกับแม่เหลือเกิน""ลูกชายแม่" หลิวซิวหยวนลูบหลังลูกชายเบาๆ ปลอบประโลมด้วยน้ำเสียงอบอุ่น "แม่ก็คิดถึงลูกเหมือนกัน"หยางกั๋วเฉิงยิ้มอย่างภาคภูมิใจ "เจ้าสามแกโตเป็นหนุ่มแล้วนะ แถมยังจะแต่งงานมีครอบครัวอีกต่างหาก""แล้วนี่หลินเสี่ยวเหยา คู่หมั้นของลูก ใช่ไหม?" หลิวซิวหยวนเอ่ยถามพลางมองไปยังหญิงสาวหน้าหวานที่ยืนข้างๆ ลูกชายด้วยสายตาเอ็นดู"สวัสดีค่ะคุณพ่อคุณแม่ หนูชื่อหลินเสี่ยวเหยาค่ะ" หลินเสี่ยวเหยาโค้งคำนับอย่างนอบน้อม"หนูเสี่ยวเหยา ไม่ต้องมากพิธีหรอก" หยางกั๋วเฉิงยิ้มให้หลินเสี่ยวเหยาอย่างเป็นมิตร "พ่อได้ยินเรื่องของลูกจากเจ้าสามมาเยอะพอสมควร พอได้มาเห็นตัวจริงแล้วน่ารักกว่าที่คิดไว้มาก""จริงสิ พี่ชายคนโตของพ่อกับลูกสะใภ้ก็มาด้วยนะ"
เสียงไซเรนดังกึกก้องไปทั่วบริเวณโรงแรมหลงหยวนชุน เซียวจิ้งหนานและเจียงเหม่ยหลิงถูกใส่กุญแจมือถูกลากตัวไปขึ้นรถทหาร หยางเฟิงหัวหน้าหน่วยที่ 13 ปาดเหงื่อที่ผุดพรายบนหน้าผาก เขาหันไปสั่งการเจียงเฉินเพื่อนสนิทของเขา"เจียงเฉิน นายรีบพาหลินฮวาไปโรงพยาบาลเดี๋ยวนี้!" หยางเฟิงสั่งการด้วยน้ำเสียงเข้มเจียงเฉินพยักหน้ารับคำสั่งอย่างรวดเร็ว เขารับร่างบอบบางของหลินฮวาที่หมดสติไปจากหัวหน้าหน่วยอย่างระมัดระวัง ใบหน้าซีดเผือดของหลินฮวามีรอยไหม้จากน้ำกรดปรากฏให้เห็นเป็นบาดแผลที่น่ากลัว ใบหน้าของเธอเสียหายไปทั้งใบหน้า เจียงเฉินกัดฟันแน่น เขาอุ้มหลินฮวาขึ้นรถ รีบบึ่งไปยังโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดทันทีเมื่อไปถึงโรงพยาบาล ทีมแพทย์และพยาบาลต่างก็กรูเข้ามาช่วยเหลือหลินฮวาอย่างเร่งด่วน พวกเขาเข็นเตียงของหลินฮวาเข้าห้องฉุกเฉินทันที เจียงเฉินมองตามร่างของหญิงสาวที่หายลับเข้าไปในห้องฉุกเฉิน"คุณหมอครับ อาการของเธอจะเป็นยังไงบ้างครับ" เจียงเฉินถามคุณหมอเมื่อเห็นทีมแพทย์ออกจากห้องฉุกเฉินมา"อาการของเธอค่อนข้างสาหัส ของเหลวที่เธอได้รับเข้าไปนั้นเป็นกรดที่มีฤทธิ์รุนแรงมาก ตอนนี้เ
หลังจากได้ข้อมูลทั้งหมดจากหลี่เหว่ยแล้ว หลินเสี่ยวเหยาก็รีบแจ้งหยางเฟิงถึงแผนที่จะไปช่วยลูกชายของหลี่เหว่ยที่บ้านพักตากอากาศชานเมืองจินหลงทันทีหยางเฟิงแสดงสีหน้าเป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัด "เหยาเหยา เธอแน่ใจนะว่าจะไปเอง? ไม่ให้พี่ไปด้วย"หลินเสี่ยวเหยาส่ายหน้า "ไม่เป็นไรหรอกพี่เฟิง พี่ไปจัดการเรื่องจับกุมเซียวจิ้งหนานเถอะ เรื่องหลี่เหว่ยตงฉันจัดการเองได้" เธอพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น"แต่ว่า..." หยางเฟิงยังคงลังเล"ไม่มีแต่ค่ะ ฉันดูแลตัวเองได้ พี่ไม่ต้องห่วง" หลินเสี่ยวเหยาเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล พร้อมส่งยิ้มหวานละมุนให้คู่หมั้นหนุ่มหยางเฟิงถอนหายใจออกมาเบา ๆ ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงห่วงใย "ก็ได้ ถ้าอย่างนั้นเหยาเหยาก็ระวังตัวด้วยนะ มีอะไรโทรมาที่ค่ายทหารติดต่อพี่ได้ตลอด"หลินเสี่ยวเหยาพยักหน้ารับคำอย่างว่าง่าย ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงออดอ้อน "ค่ะ...พี่เฟิง งั้นเดี๋ยวฉันขอยืมรถพี่เฟิงหน่อยนะคะ""เหยาเหยาขับรถเป็นด้วยหรือครับ" หยางเฟิงเอ่ยถามด้วยความสงสัย เพราะไม่เคยเห็นหลินเสี่ยวเหยาขับรถมาก่อน"ฉันขับรถเป็นค่ะ" หลินเสี่ยวเหยากล่าวอย่
แสงอาทิตย์สีทองค่อยๆ ลับหายไปหลังแนวขุนเขา ทิ้งไว้เพียงสีส้มจางๆ ระบายขอบฟ้า แต่แสงนั้นไม่อาจบรรเทาความร้อนรุ่มในใจของเจียงเหม่ยหลิงได้เลยแม้แต่น้อย รถยนต์คันใหญ่เคลื่อนตัวเข้าสู่เมืองจินหลงในยามพลบค่ำ เธอหันไปสั่งคนสนิทเสียงเข้ม"ไปสืบเรื่องหลินฮวาที่ร้านจินหยวนมาให้ฉันเดี๋ยวนี้"รถยนต์ยังคงแล่นไปตามถนนที่คลาคล่ำไปด้วยผู้คนและรถลาก เจียงเหม่ยหลิงมองออกไปนอกหน้าต่าง ทิวทัศน์ที่คุ้นเคยกลับดูหม่นหมองลงในสายตา"นายหญิงครับ" เสียงของลูกน้องคนสนิทดังขึ้น ทำให้เจียงเหม่ยหลิงละสายตาจากภาพด้านนอก"ว่าอย่างไร" เธอเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่แฝงแววเคร่งขรึม"คุณเซียวได้ไถ่ตัวหลินฮวาจากร้านจินหยวนจริงครับ จากการสืบปากคำเจ้าของร้านทำให้ทราบว่าตอนนี้เธอพักอยู่ที่โรงแรมหลงหยวนชุน" ลูกน้องคนหนึ่งเอ่ยรายงานเจียงเหม่ยหลิงกำมือแน่นจนเล็บจิกเข้าเนื้อ ความโกรธเกรี้ยวประดุจเปลวไฟลุกโชนขึ้นในอก เธอหวนนึกถึงคำพูดของบรรดาอนุภรรยาของเซียวจิ้งหนานที่คอยพูดจาดูถูกเหยียดหยาม ชอบโอ้อวดเรื่องสามีให้เธอฟัง แม้จะโกรธเพียงใด แต่เจียงเหม่ยหลิงก็รู้ดีว่าเธอต้องอดทน เธอรู้ว
ไม่ถึงสิบนาที ประตูห้องสอบสวนก็เปิดออกอีกครั้ง ร่างระหงของหลินเสี่ยวเหยาปรากฏขึ้น เธอเดินอย่างสง่าผ่าเผยออกมาจากห้อง ทิ้งให้หลี่เหว่ยจมอยู่กับความคิดอันสับสนวุ่นวายเพียงลำพังทันทีที่ก้าวพ้นประตู หลินเสี่ยวเหยาต้องเผชิญหน้ากับบุรุษสองนายที่ยืนรออยู่ หยางเฟิงในชุดทหารที่ดูสง่างามยืนรออยู่เคียงข้างพลตรีเฉินกั๋วชิง ผู้บังคับบัญชาของเขา ดวงตาคมกริบของหยางเฟิงจับจ้องมาที่หลินเสี่ยวเหยาอย่างร้อนรน ความอยากรู้ฉายชัดอยู่ในแววตา"เหยาเหยา เป็นยังไงบ้าง หลี่เหว่ยมันยอมปริปากหรือยัง?" เสียงทุ้มเข้มของพันตรีหนุ่มดังขึ้น ท่ามกลางความเงียบของทางเดินหลินเสี่ยวเหยาหยุดยืนอยู่หน้าหยางเฟิงและพลตรีเฉินกั๋วชิง เธอสูดหายใจเข้าลึกก่อนจะตอบ "แน่นอนค่ะว่าหลี่เหว่ยสารภาพ" เธอตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบราวกับกำลังพูดถึงเรื่องดินฟ้าอากาศหยางเฟิงเลิกคิ้วขึ้นด้วยความประหลาดใจ เขาและเหว่ยเจี้ยน ต่างก็เค้นสอบสวนหลี่เหว่ยมาตลอดทั้งอาทิตย์ ใช้ทั้งวิธีข่มขู่และทรมานสารพัด แต่หัวหน้ากลุ่มกบฏก็ยังคงปิดปากเงียบ ไม่ยอมปริปากพูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียวแต่หลินเสี่ยวเหยาที่เข้าไปในห้องสืบสวน
ท้องฟ้าเหนือเมืองจินหลงยังคงมืดครึ้ม แม้แสงอาทิตย์แรกของวันใหม่จะเริ่มสาดส่อง ทว่าบรรยากาศในเซฟเฮาส์ลับกลับเย็นเยียบราวกับถูกปกคลุมด้วยเงามืดเซียวจิ้งหนานนั่งนิ่ง สายตาคมกริบจับจ้องไปยังลูกน้องที่ยืนตัวสั่นอยู่เบื้องหน้า ใบหน้าที่ถึงจะมีอายุเยอะแต่ก็ยังคงความหล่อเหลา บัดนี้ใบหน้าเขากลับบิดเบี้ยวด้วยความโกรธเกรี้ยวเมื่อทุกสิ่งที่เขาได้วางแผนไว้ล้มเหลวไม่เป็นท่า"นายท่านผมมีเรื่องจะแจ้งให้ทราบ ผมได้รับรายงานว่าค่ายของพวกกบฏที่เราสนับสนุนถูกทหารบุกโจมตีตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้วครับ" เสียงของลูกน้องรายงานด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ "อาวุธและคนของเราถูกจับยึดไปทั้งหมด...""ว่ายังไงนะ!" เสียงทุ้มต่ำของเซียวจิ้งหนานดังก้องไปทั่วห้องทำงานเมื่อได้ยินข่าวร้าย "ค่ายของเราถูกพวกทหารรัฐบาลบุกโจมตีงั้นเหรอ?"แก้วเหล้าคริสตัลที่บรรจุของเหลวสีอำพันล้ำค่าหลุดร่วงจากมือหนา กระทบกับพื้นหินอ่อนแตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ ของเหลวสีทองอร่ามไหลนองไปทั่วพรมเปอร์เซียราคาแพง"ครับนายท่าน" ลูกน้องคนสนิทก้มหน้าลงต่ำด้วยความหวาดกลัว "พวกมันบุกเข้ามาโดยที่เราไม่ทันตั้งตัว ทำให้คนของเราเสียชีวิ
คฤหาสน์ตระกูลเซียว อันโอ่อ่ากว้างใหญ่ ตั้งตระหง่านอยู่ใจกลางเมืองหยวนหลิงเมืองขนาดใหญ่ทางภาคใต้ของประเทศ ภายในห้องโถงใหญ่ ที่ประดับประดาด้วยเฟอร์นิเจอร์ไม้แกะสลักลวดลายวิจิตรบรรจง และแจกันดอกเหมยที่ส่งกลิ่นหอมกรุ่น เจียงเหม่ยหลิง ภรรยาหลวงของเซียวจิ้งหนาน เจ้าของคฤหาสน์ กำลังนั่งจิบน้ำชาอย่างสง่างามอยู่บนเก้าอี้ไม้มะฮอกกานีตัวโปรดรอบโต๊ะน้ำชา ยังมีคุณนายอีกสี่คนนั่งอยู่ ได้แก่ ซูหนิง คุณนายรองผู้มีใบหน้าเรียวสวยหวาน ลู่เหยา คุณนายสามผู้มีดวงตากลมโตเป็นประกาย เฉินหง คุณนายสี่ผู้มีผิวขาวผ่องราวกับหยก และคุณนายห้าหยางเหมย บุคลิกเงียบขรึมแต่แฝงไปด้วยความเฉลียวฉลาด บรรยากาศภายในห้องเต็มไปด้วยเสียงพูดคุย"พี่เหม่ยหลิง ฉันเห็นพี่จิ้งหนานซื้อสร้อยไข่มุกเส้นใหม่ให้น้องเหมยเมื่ออาทิตย์ก่อน สวยงามมากเลยนะคะ" ซูหนิงคุณนายรองเอ่ยถึงคุณนายห้าด้วยน้ำเสียงหวานหยด พร้อมกับส่งสายตาเจ้าเล่ห์ไปให้เจียงเหม่ยหลิงผู้เป็นภรรยาหลวงเจียงเหม่ยหลิงยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย ก่อนจะตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย "อืม ก็แค่สร้อยไข่มุกธรรมดา ไม่เห็นจะมีอะไรพิเศษเลย""แหม พี่เหม่ยหลิง พูดอย่างน
พลตรีเฉินยืนตระหง่านอยู่เบื้องหน้ากลุ่มทหารที่รายล้อมตัวพวกกบฏเอาไว้ ร่างสูงใหญ่ของเขาในชุดเครื่องแบบสีเขียวเข้มเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่น ใบหน้ามีรอยย่นใต้หมวกทรงทหารบ่งบอกถึงความเหนื่อยล้าจากการศึกอันยาวนานเบื้องหลังเขาคือกองทหารผู้ภักดีราวหนึ่ง170นาย ทุกคนต่างถืออาวุธคู่กายแน่น มือเปื้อนเลือดจากการต่อสู้อันดุเดือดที่เพิ่งจบลงไป เหล่าเชลยศึกกว่าเก้าสิบคนที่รอดชีวิตต่างถูกจับมัดรวมกันเป็นกลุ่มใหญ่ ทุกคนต่างมีใบหน้าซีดเผือดและร่างกายสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว พวกเขาคือกลุ่มกบฏที่พยายามโค่นล้มรัฐบาลและสร้างความวุ่นวายให้แก่ประเทศชาติไม่ไกลจากจุดที่พลตรีเฉินยืนอยู่ ร่างสองร่างที่ถูกจับมัดอย่างแน่นหนาคุกเข่าอยู่บนพื้น จางเหว่ยและหลี่เหว่ย ใบหน้าของทั้งคู่เต็มไปด้วยรอยฟกช้ำและบาดแผล"รายงานสถานการณ์มา" พลตรีเฉินสั่งการเสียงเข้มหยางเฟิงก้าวออกมาข้างหน้า "เรียนท่านผู้บังคับบัญชา พวกเราได้ทำการจับกุมหลี่เหว่ย หัวหน้ากลุ่มกบฏ พร้อมพรรคพวกได้สำเร็จในขณะที่พวกมันกำลังหลบหนีออกไปทางด้านหลังค่าย"พลตรีเฉินพยักหน้ารับฟังอย่างตั้งใจ"พวกมันถูกจับโดยหลินเสี่ยวเ
ยามราตรีแผ่คลุมทั่วผืนป่า ท้องฟ้าไร้แสงจันทร์ มีเพียงแสงดาวริบหรี่ส่องประกายอยู่ห่างไกล ท่ามกลางความมืดมิดนั้น กองกำลังทหารกำลังเคลื่อนพลอย่างเงียบเชียบ พวกเขาซ่อนตัวอยู่ตามพุ่มไม้และโขดหิน รอคอยสัญญาณจากผู้นำกลุ่มทันใดนั้น เสียงหวานแต่หนักแน่นก็ดังขึ้นจากวิทยุสื่อสารคู่กายของพันตรีหนุ่ม หยางเฟิง"พี่เฟิง ได้ยินไหม? ฉันเจอคลังอาวุธของพวกกบฏแล้ว เตรียมพร้อมโจมตีได้เลย " เสียงหวานแต่หนักแน่นของหลินเสี่ยวเหยาดังแว่วมาจากในวิทยุสื่อสาร ทำให้บรรยากาศในกองทัพอบอวลไปด้วยความตื่นเต้นหยางเฟิงยิ้มมุมปากอย่างพึงพอใจ เขาหันไปพยักหน้าให้เหว่ยเจี้ยน หัวหน้าหน่วยที่ 7 ผู้ที่มีฝีมือการต่อสู้เก่งกาจพอๆ กับเขา เหว่ยเจี้ยนตอบรับด้วยการพยักหน้ากลับอย่างมั่นคง แววตาของทั้งสองเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นและความเชื่อมั่นในการทำภารกิจที่จะเกิดขึ้น"ทุกหน่วย เตรียมพร้อม! เราจะบุกโจมตีฐานทัพพวกกบฏในอีกสิบนาทีข้างหน้า" หยางเฟิงออกคำสั่งผ่านวิทยุสื่อสาร น้ำเสียงของเขาหนักแน่นและเด็ดขาดเหล่าทหารหนุ่มคนอื่นๆ ต่างขานรับคำสั่งของหัวหน้ากลุ่มด้วยความพร้อมเพรียง พวกเขาตรวจสอบอาวุธและส