“เปล่า ข้าแค่สงสัยว่าท่านเป็นใคร ถึงได้รู้ลึกขนาดนี้ ไม่รู้ว่าท่านแอบอยู่ใต้เตียงข้าหรือถึงรู้ว่าข้าถูกเฉียดหัวออกมา” เหวยผิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง พลางใช้มือปิดหูของอี้เหวินไว้ ไม่ให้ได้ยินคำที่นางเอ่ย
“นี้เจ้าจะหาว่าข้าชอบสอดเรื่องชาวบ้านใช่หรือไม่” ฟางซินที่ได้ยินหญิงสาวเอ่ยขึ้นมา ก็ปี้ดขึ้นมาทันที
“แล้วแต่ท่านจะคิด หากท่านไม่อยู่ใต้เตียงข้าจะรู้เรื่องของข้าได้อย่างไร อีกทั้งข้าเองก็ไม่รู้จักท่านอีกด้วย”
“เจ้า…”
“ฮ่า…ฟางซินปกติมันก็เป็นนิสัยของเจ้าไม่ใช่หรือ” เสียงหัวเราะหนึ่งดังขึ้น ทำให้เหวยผิงหันไปมองเห็นเป็นหญิงสาววัยกลางคน นางมีไฝที่หางตาซ้าย
“เจ้าเกี่ยวอันใดด้วยไม่ทราบ” ฟางซินที่เห็นคู่อริของตนหัวเราะก็โกรธเกรี้ยวไม่น้อย
“นี้เหวยผิง เจ้าก็อย่าไปถือสานางเลย สามีนางไปทำหญิงสาวหมู่บ้านอื่นท้อง ทำให้เวลานางเจอสาวหม้ายที่ไหนก็ชอบไปต่อว่าอย่างนี้แหละ” เจี่ยวมี่เมินประโยคของฟางซิน แล้วหันมาคุยกับเหวยผิงเอง
เหวยผิงที่ได้ยินก็เหลือบสายตามองฟางซินที่ทำหน้าราวกับจะฆ่าคนตาย ดูเหมือนจะบ้านางไม่เกี่ยวกับสามีนางเสียหน่อย
“เจ้า…” ฟางซินที่ถูกเจี่ยวมี่พูดจี้จุดก็ง้างมือเตรียมตบเจี่ยวมี่
“หยุดได้แล้ว ไม่งั้นพวกเจ้าลงไปจากรถม้าข้า” ไป๋ซานที่ทนเสียงอันน่ารำคาญไม่ไว้ก็หันมาตวาดทำให้ฟางซินต้องเก็บมืออย่างจำใจ
“ ถึงแล้ว มาเจอกันตรงนี้ในยามอู่ หากใครช้าข้าจะไม่รอ”
และก็เป็นเวลาที่มาถึงตัวอำเภอพอดี เหวยผิงอุ้มอี้เหวินลงจากเกวียน แล้วมุ่งหน้าไปตลาด ไม่สนสายตาของฟางซินที่มองมาด้วยความไม่พอใจ
“ท่านแม่ข้าอยากกินอันนั้น” เหวยผิงมองตามนิ้วของอี้เหวินก็เห็นเป็นร้านขายถังหูลู่จึงก้มลงบอก
“ได้เดี๋ยวแม่ซื้อให้ แต่แม่ต้องเอาของไปขายเสียก่อนเข้าใจหรือไม่”
“เข้าใจขอรับ” อี้เหวินเอ่ยตอบรับอย่างเชื่อฟัง ท่านแม่ไม่เคยโกหกตน
เหวยผิงก็พาอี้เหวินเดินสำรวจทั่วตลาด ก็ทำให้ได้รู้ว่ามีร้านขายเครื่องประดับเพียงหนึ่งร้านเท่านั้นเนื่องจากเป็นอำเภอไม่ใหญ่มากจึงทำให้ของบางอย่างมีเพียงร้านสองร้านเท่านั้น
“ไม่ทราบว่าแม่นางต้องการเครื่องดับแบบใดขอรับ ร้านเรามีทั้งปิ่น กำไลและอีกมากมายขอรับ” เสี่ยวเอ้อที่เห็นสองแม่ลูกเข้ามาในร้านก็ต้อนรับอย่างดี
“ข้าอยากจะขายปิ่นไม่ทราบว่า ที่นี่รับซื้อหรือไม่” เหวยผิงรู้สึกถูกใจเสี่ยวเอ้อไม่น้อย ไม่ดูถูกนางที่แต่งตัวซอมซ่อ
“รับขอรับ ไม่ทราบว่าแม่นางต้องการจะขายสิ่งใด”
เหวยผิงหยิบปิ่นเงินออกมาให้เสี่ยวเอ้อได้ดู
“เอ่อ…เดี๋ยวข้าจะได้ตามเถ้าแก่มาตรวจสอบให้นะขอรับ” เสี่ยวเอ้อที่เห็นตัวปิ่นเงินก็ไปเรียกเถ้าแก่ร้านทันที เพราะดูจากตัวปิ่นคงเป็นของดีไม่น้อย
เหวยผิงพยักหน้าตกลง ก่อนจะนั่งรอเสี่ยวเอ้อไปตามเถ้าแก่มา รอไม่นานชายชราก็เดินออกมา
“แม่นาง ไม่ทราบว่าข้าขอดูตัวปิ่นเงินได้หรือไม่”
เหวยผิงส่งปิ่นเงินให้ชายชราโดยไม่คิดอะไร เพราะไม่ว่าอย่างไรนางก็จะขายอยู่แล้ว ขอแค่ให้ได้ราคาที่นางพอใจก็พอ
“หกสิบตำลึง ข้าให้ปิ่นนี้หกสิบตำลึง” ชายชราที่เห็นความประณีตบนตัวปิ่นก็รู้ได้ว่าจะต้องมาจากร้านในตัวเมืองหลวง แต่ชายชราก็สงสัยว่าเหตุใดหญิงสาวชาวบ้านที่แต่งตัวซอมซ่อจะมีปิ่นราคาเพียงขนาดนี้
ดูจากผิวพรรณบางที่อาจจะเป็นคุณหนูตกอับสักตระกูลที่นำปิ่นมาขายเพื่อประทังชีวิต
“ตกลงข้าขายปิ่นชิ้นนี้” เหวยผิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง แต่ในใจกลับดีใจไม่น้อยเดิมทีนางคิดว่าจะขายได้สักยี่สิบตำลึงก็มากแล้ว หลังจากตกลงขายเป็นที่เรียบร้อย นางก็รับตั๋วเงิน ตั๋วละสิบตำลึงมาหกตั๋ว
เมื่อออกมาจากร้านเหวยผิงก็พาอี้เหวินเข้าไปหลบตรงซอกตึก ที่ไม่มีผู้คนเอาถ้วยน้ำผึ้งออกมาจากมิติ แล้วมุ่งตรงไปยังร้านขายสมุนไพรทันที
อี้เหวินที่เห็นถ้วยน้ำผึ้งปรากฏบนมือท่านแม่ ก็มองอย่างงงๆ ว่ามันมาจากไหน เพราะตั้งแต่ที่พวกเขามาท่านแม่ก็ไม่ได้ถือถ้วยน้ำผึ้งมานี้เลย แต่ก็เลิกสนใจไป
เหตุที่เหวยผิงนำน้ำผึ้งมาขายที่ร้านขายยาก็เพราะตัวน้ำผึ้งเองก็มีสรรพคุณทางยา
“ไม่ทราบว่าที่นี่ รับซื้อน้ำผึ้งหรือไม่” เหวยผิงเอ่ยถามเสี่ยวเอ้อที่นั่งจัดยาอยู่ในร้าน
“ร้านเรารับซื้อน้ำผึ้งแท้เท่านั้น” เสี่ยวเอ้อเอ่ยตอบหญิงสาว เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมามันมีชาวบ้านมาขายน้ำผึ้ง แต่พอตรวจแล้วกับพบว่ามีน้ำเป็นส่วนมาก ซึ่งต้องรู้ว่าน้ำผึ้งค่อนข้างมีราคาสูง ยามที่ชาวบ้านหาน้ำผึ้งมาได้เพียงให้น้อยนิดก็จะใส่น้ำลงไปเพื่อให้มีปริมาณที่มากขึ้น
“น้ำผึ้งข้าเป็นของแท้ เชิญเจ้าตรวจสอบได้เลย” เหวยผิงส่งน้ำผึ้งกับเสี่ยวเอ้อตรวจสอบ เสี่ยวเอ้อที่เห็นน้ำผึ้งในถ้วยส่งกลิ่นหอม มีความเหนียวข้นตามหลักของน้ำผึ้ง จึงถือด้วยเข้าไปในร้าน
“ข้าจะเอาไปให้เถ้าแก่ร้านตรวจสอบ” เสี่ยวเอ้อที่เห็นเหวยผิงกำลังจะเดินตามเข้ามาก็เอ่ยขึ้น
เหวยผิงเองก็หยุดชะงักอยู่กับที่ นางรู้แล้วว่าเสี่ยวเอ้อคนนี้น่าจะดูน้ำผึ้งของนางออก นางก็กลัวเหมือนกันนะ นั้นมันเงินของนาง เกิดเสี่ยวเอ้อเอาน้ำผึ้งของนางไปเปลี่ยนจะทำอย่างไร
จะว่านางระแวงเกินเหตุก็ไม่ได้ จิตใจคนใช่ว่าจะรู้ได้
เพียงไม่กี่ลมหายใจ ชายวัยกลางคนก็เดินออกมาตามหลังมาด้วยเสี่ยวเอ้อ คนนี้ดูเหมือนจะเป็นเถ้าแก่ตามที่เสี่ยวเอ้อได้บอกไว้
“น้ำผึ้งถ้วยนี้เป็นของแม่นางใช่หรือไม่” ชายวัยกลางคนเอ่ยถามขึ้น
“ก็ต้องใช่นะสิ น้ำผึ้งถ้วยนี้เป็นของข้า ข้าเป็นคนหามา ว่าจะมันขายได้ราคาเท่าไหร่หรือ” เหวยผิงขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ นางเป็นคนเอามาก็ต้องเป็นของนางสิ คงไม่คิดว่านางไปขโมยมาหรอกนะพลางนึกถึงเฟยฮวาที่รออยู่ที่บ้าน ตอนที่เฟยฮวาจะตามนางมา แต่นางก็ได้ห้ามเอาไว้
“น้ำผึ้งของเจ้าเป็นน้ำผึ้งที่ดีที่สุดตั้งแต่ที่ข้ารับซื้อมา ข้ารับซื้อขวดละสามตำลึง” เถ้าแก่ก็แปลกใจไม่น้อย ที่หญิงสาวจะสามารถหาน้ำผึ้งมาได้ด้วยไม่มีร่องรอยผึ้งต่อย
“ตกลง” เหวยผิงเอ่ยตกลงทันที นางเองก็ได้สอบถามจากหลายๆ คนมาแล้วว่าน้ำผึ้งราคาอยู่ช่วงสองตำลึงห้าร้อยอีแปะจนไปถึงสองตำลึงเก้าร้อยอีแปะ
เมื่อตกลงเรียบร้อยเสี่ยวเอ้อถึงไปเอาขวดกระเบื้องมาตวง
“หนึ่งขวด กับอีกครึ่งขวดทั้งหมดห้าตำลึง” ตามประมาณที่ได้เหวยผิงพอใจอย่างมาก
“แม่นาง…ถ้าหากเจ้ามีน้ำผึ้งแบบนี้อีกก็นำมาขายให้ข้าได้อีกข้าจะให้ราคาอย่างงาม” นานแล้วที่ไม่มีน้ำผึ้งแบบนี้ ทั้งกลิ่นหอมหวาน มันเป็นที่ต้องการอย่างมากในตระกูลใหญ่ๆ
“เจ้าค่ะ ครั้งหน้าข้าจะนำมันมาขายอีก ว่าแต่ข้าขอซื้อขวดกระเบื้องของท่านได้หรือไม่ รอบหน้าข้าจะได้ใส่ขวดกระเบื้องมาเลย”
“ได้สิ เจ้าไปเอาขวดกระเบื้องมาสิบขวด” เถ้าแก่หันไปบอกเสี่ยวเอ้อที่อยู่ข้าง
“ราคาเท่าไหร่หรือ”
“ข้าไม่คิดเงิน ขวดกระเบื้องพวกนี้เจ้าเอาไปได้เลย ขอแค่ครั้งหน้าเจ้าเอาน้ำผึ้งมาขายให้ข้าก็พอ” เถ้าแก่ให้ขวดกระเบื้องโดยไม่คิดเงิน ดีไม่น้อยที่มีคนหาน้ำผึ้งแบบนี้มาขายได้ ซึ่งเถ้าแก่ก็ไม่อยากจะเอ่ยถามเเหล่งน้ำผึ้งแต่อย่างใด เพราะหญิงสาวที่หาน้ำผึ้งมาได้อย่างปลอดภัย ไร้รอยผึ้งต่อยถือว่าเก่งไม่น้อย ขนาดนักหาน้ำผึ้งเก่งกาจที่เคยว่าจ้างยังมีรอยผึ้งต่อยเลย
“ ขอบคุณเจ้าค่ะ อีกห้าวันจะนำมาขายอีก” เหวยผิงนำขวดกระเบื้องมาห่อใส่ผ้าไว้ ก่อนจะเอ่ยลา“ป่ะ…ไปซื้อถังหูลู่ของเจ้ากัน” หลังออกจากร้านเหวยผิงพาอี้เหวินตรงไปยังร้านขายถังหูลู่“ขอรับ” “ถังหูลู่ อร่อยๆ เชิญทางนี้เลยจร้า เจ้าหนูเอากี่ไม้” แม่ค้าที่เห็นสองแม่ลูกเดินเข้ามาก็เอ่ยขึ้น“เอาหนึ่งไม้ขอรับ” อี้เหวินเอ่ยสั่งกับแม่ค้า ผลไม้เคลือบน้ำตาลดูอร่อย“เอาสี่ไม้เจ้าค่ะ” เหวยผิงที่เห็นอี้เหวินสั่งแค่ไม้เดียวเศร้าใจไม่น้อย รู้ว่าที่บ้านคาดเเคลนเงินก็ไม่โลภสั่งแค่อยากกิน แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้วนางมีเงิน หากอี้เหวินอยากกินสิบไม้นางก็จะซื้อให้กิน“ขอบคุณขอรับท่านแม่” อี้เหวินเห็นท่านแม่สั่งสี่ไม้ก็ดีใจ ถึงแม้ตัวเขาจะพอรู้ว่าท่านแม่ได้เงินมาจากการขายปิ่นกับน้ำผึ้งของเฟยฮวา แต่ก็ต้องเก็บไว้ซื้ออาหารและไว้ซ่อมบ้าน“ต่อไปนี้เจ้าอยากกินอะไรก็บอกแม่ ไม่ต้องห่วงเรื่องเงิน แม่จะจ่ายให้เจ้าเอง” “ขอรับ” “สี่ไม้ สิบสองอีแปะ” เหวยผิงหันไปจ่ายเงินกับแม่ค้า แล้วรับถังหูลู่มาให้อี้เหวิน“ขอบคุณขอรับ” เมื่อได้ของที่ต้องการอี้เหวินก็กินอย่างมีความสุข ถังหูลู่อร่อยเช่นนี้เอง ถึงว่าเด็กในหมู่บ้านชอบกินกัน“อร่อยหร
“เย็นนี้เจ้าอยากกินอะไรหรือไม่ เเม่จะทำให้เจ้าเอง” เหวยผิงหันมาถามอี้เหวิน เพราะนางกำลังจะพาอี้เหวินไปซื้ออาหารตุนไว้“อะไรก็ได้ขอรับ ท่านแม่ทำอะไรก็อร่อย”“หืม…ลูกใครเนี่ย ช่างปากหวานเสียจริง” เหวยผิงก้มหอมแก้มอี้เหวินด้วยความหมั่นเขี้ยวเหวยผิงพาอี้เหวินมาตรงพวกขายของกิน เนื่องจากเป็นเวลาช่วงเช้าๆ ทำให้มีผู้คนออกมาจับจ่ายใช้สอยเป็นจำนวนมาก“เนื้อหมู เนื้อหมูสด พึ่งฆ่าเลย มาเลือกซื้อกันได้เลย” เสียงแม่ค้าส่งเสียงเรียกผู้ที่เดินผ่านไปผ่านมา“ขายอย่างไรเจ้าค่ะ” เหวยผิงพาอี้เหวินเดินเข้าไปร้านขายหมูที่ดูใหญ่ที่สุด“เนื้อล้วนชั่งละสามร้อยอีแปะ เนื้อติดมันชั่งละสองร้อยห้าสิบอีแปะ ไม่ทราบว่าแม่นางต้องการแบบไหน” “ข้าเอาเนื้อติดมันสองชั่ง ข้าอยากจะรู้ว่ามีส่วนที่เป็นมันล้วนหรือไม่” เหวยผิงเอ่ยถามแม่ค้าดู เพราะนางไม่มั่นใจว่าคนที่นี่จะกินล้วนหรือไม่“มันล้วนหรือ แม่นางจะเอามันไปทำอะไร มันไม่อร่อยเลย” แม่ค้ามองเหวยผิงด้วยความแปลกใจ เหวยผิงเป็นคนแรกที่มาถามหามันล้วน“ข้ามีวิธีของข้าเจ้าค่ะ ไม่ทราบว่าท่านมีหรือไม่เจ้าค่ะ” “มี ข้ามีเยอะเลย คนส่วนมากไม่ค่อยซื้อมันทำให้ข้าต้องปาดมันทิ้งทุกวัน ว่า
เมื่อมาถึงบ้านเหวยผิงก็แบ่งหยางเหมยออกมาประมาณสามจินล้างน้ำให้สะอาด ส่วนที่เหลือนางเก็บในมิติโดยมีอี้เหวินน้อยคอยเป็นลูกมือ กิจการแรกที่นางคิดจะทำก็คือสุราสายน้ำผึ้ง เมื่อภพที่แล้วนางถูกพี่สาวพาไปเรียนทำสุราสายน้ำผึ้ง จึงทำให้พอมีความรู้ติดตัวมาอยู่บ้าง อีกทั้งในภพนี้สุราก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ผู้คนต่างซื้อกัน สุราที่นางจะหมักนี้มันหอมนุ่มจนสตรีสามารถทานได้เริ่มแรกนางเอาหยางเหมยมาบดให้พอแตกๆ แล้วก็ใส่ถังแล้วใช้ผ้าปิดหน้าถังไว้ไม่ให้อากาศเข้า“คงต้องไปซื้อถังใหม่เสียแล้วล่ะ” ถังที่เหวยผิงใช้เป็นถังที่ไว้ใช้สำหรับตักน้ำ เมื่อวานนางก็ลืมซื้อ เอาไว้คราวหน้าค่อยไปสั่งทำใหม่ ซึ่งนางเองก็ไม่รู้ว่าที่นางทำนี้จะได้ผลหรือเปล่า นางจึงเก็บถังหยางเหมยไว้ในมิติหลังจากหมักเสร็จแล้ว นางก็ไม่รู้จะทำอันใดอีกจึงมานั่งเล่นหน้าบ้านกับอี้เหวิน“ทำอันใดอยู่หรือ” เหวยผิงเดินเข้ามา ก็เห็นอี้เหวินกำลังขีดเขียนอะไรสักอย่างบนพื้นดิน“ข้าเขียนพวกเราขอรับ นี่ท่านแม่ นี่อี้เหวิน ส่วนนี่เฟยฮวา” อี้เหวินชี้ไปบนพื้นให้ท่านแม่ดูเหวยผิงที่เห็นรูปที่อี้เหวินวาดก็น้ำตาซึม นั่งลงข้างๆ อี้เหวินแล้วเอ่ยว่า“สวยมากๆ อี้เหวิ
เหวยผิงจึงหยิบขวดกระเบื้องที่ใส่น้ำทิพย์ขึ้นมากิน กลิ่นอันหอมหวานลอยคลุ้งไปทั่ว ทำให้ทั้งเฟยฮวาและเหล่าผึ้งงานบินมาหยุดต่อหน้าเหวยผิง มองน้ำทิพย์ที่อยู่ในขวดกระเบื้องตาเป็นประกาย“ถือว่าเป็นรางวัลของพวกเจ้าสำหรับวันนี้” เหวยผิงหยดน้ำทิพย์ลงใบไม้แล้วยื่นให้กับเหล่าผึ้งงานที่นำทางนางมาหาต้นหยางเหมยเหล่าผึ้งงานเองที่ได้รับอนุญาตก็บินมาเกาะใบไม้อย่างรวดเร็ว ดูดกินน้ำทิพย์อย่างเอร็ดอร่อย“นี่เหวยผิง ท่านต้องให้ข้าด้วยสิ ข้าก็พาท่านมานะ” เฟยฮวาเอ่ยประท้วงที่ตนไม่ได้รับน้ำทิพย์ เหมือนผึ้งงานของนาง“ได้สิ” เหวยผิงหยดน้ำทิพย์ไปที่หลังมือแล้วยืนไปใกล้ๆ เฟยฮวา“ขอบคุณ” เหวยผิงนั่งมองเหล่าผึ้งกินน้ำทิพย์อยู่ก็รู้สึกว่ามีบางอย่างสะกิดที่ขาหลังของนาง นางจึงหันไปมองก็พบว่าเป็นพังพอนขาวที่กำลังใช้เท้าอันน้อยเขี่ยนางไปมา“แล้วนี่มีพังพอนขาวด้วยหรือ” เหวยผิงมองเจ้าพังพอนน้อยอย่างแปลกใจ เพราะปกตินางเห็นแต่พังพอนสีน้ำตาล นางยังไม่เคยเห็นพังพอนตัวสีขาวมาก่อนเลย“อี้ๆ…” เจ้าพังพอนน้อยก็เขี่ยขาหลังไปมา“เจ้าต้องการอันใดหรือ” เหวยผิงที่เห็นพังพอนขาวเขี่ยอยู่อย่างนั้นจึงเอ่ยถามด้วยความสงสัย“อี้ๆ…อี้” เหมือ
หลังจากที่นางกำลังเตรียมของแล้วก็ได้ให้เฟยฮวาไปตามอี้เหวินกับเสี่ยวไป๋มาเปลี่ยนชุดเพื่อไปในตัวอำเภอ นี่ก็ยามอู่แล้วนางไม่รู้ว่าท่านลุงไป๋ซานจะเข้าไปในตัวอำเภออีกหรือไม่ ไม่งั้นคงต้องจ้างไปตัวอำเภอโดยเฉพาะเสียแล้วอี้เหวินที่ได้ยินว่าท่านแม่จะพาไปเที่ยวในตัวอำเภอก็อุ้มเสี่ยวไป๋วิ่งกลับเร็ว แล้วเข้าไปเปลี่ยนซื้อผ้าตัวที่สำหรับออกบ้าน“เสร็จหรือยังอี้เหวิน” เหวยผิงเตรียมตัวเสร็จแล้ว จึงส่งเสียงเรียกอี้เหวิน“เสร็จแล้วขอรับ ไปตัวอำเภอกัน” อี้เหวินพร้อมชุดใหม่เดินอุ้มเสี่ยวไป๋ออกมาจากห้อง และยังมีเฟยฮวาที่เกาะอยู่บนไหล่อี้เหวินอีกด้วยระหว่างเดินผ่านบ้านท่านป้ากุ้ยฉิน เหวยผิงก็ตะโกนเรียก“ท่านป้าท่านอยู่หรือไม่เจ้าคะ เหวยผิงเองเจ้าค่ะ” “อ่าวพวกเจ้านั้นเอง มีอันใดหรือ” กุ้ยฉินที่ได้ยินคนส่งเสียงเรียกก็ออกมาจากบ้าน“ข้าเอาหยางเหมยมาให้เจ้าค่ะ พอดีข้าชิมแล้วมันหวาน สดชื่นมากๆ ข้าเลยแบ่งมาให้ท่าน” เหวยผิงส่งตะกร้าที่นางแบ่งหยางเหมยมาให้บ้านกุ้ยฉินได้ลองกินบ้าง“ขอบใจเจ้ามากๆ ข้าก็ไม่ได้กินหยางเหมยนานแล้ว ดูสิมีแต่ลูกแดงๆ น่ากินไม่น้อย ว่าแต่พวกเจ้าจะไปไหนหรือแต่งตัวซะดีเชียว”“ข้าจะเข้าไปตัวอ
“อ้าวแม่นาง ครั้งนี้เจ้าต้องการอันใดหรือ” เสี่ยวเอ้อที่เห็นคนคุ้นหน้าจึงเอ่ยถามขึ้น“ข้าต้องการถั่วห้าจิน แป้งขาวสิบจิน” “ถั่วจินละสามร้อยอีแปะ แป้งขาวจินละสองร้อยอีแปะ ทั้งหมดสามตำลึงห้าร้อยอีแปะ ยังต้องการอันใดอีกหรือไม่” เสี่ยวเอ้อเอ่ยถามเพื่อความแน่ใจ ก่อนจะไปเตรียมของที่เหวยผิงสั่งไว้“ไม่ทราบว่าไปส่งที่เกวียนของข้าได้หรือ” ตอนนี้ตะกร้านางก็เต็มแล้ว หากจะให้นางแบกของเพิ่มอีกสิบกว่าจินคงไม่ไหว ตอนสั่งนางไม่ได้คิดเลยว่าจะเอากลับอย่างไร“ได้ข้าจะให้คนของข้าไปส่งให้ ว่าแต่เกวียนของแม่นางอยู่ตรงไหนหรือ” เหวยผิงได้บอกตำแหน่งของเกวียนให้เสี่ยวเอ้อได้ทราบ พร้อมกับให้ค่าแรงอีกส่วนหนึ่งสำหรับคนที่ไปส่งของให้นาง“เหนื่อยหรือไม่” เหวยผิงหันมาถามอี้เหวินด้วยความเป็นห่วงเพราะนางพาอี้เหวินเดินเยอะไม่น้อย“ไม่เหนื่อยขอรับ สนุกมากข้าได้เห็นอะไรใหม่ๆ เยอะเลย” อี้เหวินเอ่ยตอบ เพราะมาเที่ยวในตัวอำเภอสนุกกว่าอยู่ที่บ้านไม่น้อย“ยังเหลือเวลาอีกนิดหนึ่ง แม่เห็นร้านขายตำราอยู่ร้านหนึ่ง เจ้าอยากได้กระดาษไว้วาดรูปหรือไม่” นอกจากเสี่ยวไป๋ที่เป็นเพื่อนเล่นแล้ว อี้เหวินก็ไม่มีอะไรทำอีกเลย“อยากขอรับ ข้าอยาก
ยามเฉิน…เช้านี้เหวยผิงตื่นมาก็เข้ามาดูแป้งที่ทำไว้ตั้งแต่เมื่อคืน เปิดผ้าคลุมออกก็เห็นก้อนแป้งที่มีขนาดใหญ่ว่าในตอนแรกอยู่มากเหวยผิงเอาแป้งขาวมาโรยเป็นพื้นรองไม่ให้แป้งติดกับพื้น แล้วตัดแบ่งออกเป็นสี่ส่วน ส่วนละเท่าๆ กันจากนั้นก็นวดขึ้นรูปจนเนื้อเนียนเป็นก้อนกลมๆ เมื่อทำเสร็จทั้งสี่ก้อน นางก็ใช้มีดกรีดหน้าแป้งให้เป็นลวดลายนำแป้งไปวางในหม้อเหล็กที่นางได้ทาน้ำมันมะกอกไว้ ปิดฝาแล้วเอาไปตั้งบนกองไฟ เหวยผิงตักฟืนบางส่วนไปวางบนฝาหม้อ วิธีนี้เป็นวิธีอบเมี่ยนเปาอีกแบบหนึ่ง รอเวลาที่เมี่ยนเปาสุกได้ที่กลิ่นหอมของเมี่ยนเปาส่งกลิ่นหอมยั่วยวน ให้อี้เหวินกับเสี่ยวไป๋ที่กำลังเล่นอยู่หลังบ้านวิ่งตามกลิ่นมาอย่างรวดเร็ว“หอมมาก ท่านแม่ท่านทำอันใดหรือ กลิ่นหอมไปถึงหลังบ้านเลย” อี้เหวินจ้องมองไปที่เตาอย่างอยากรู้ว่าท่านแม่ทำอาหารชนิดใดถึงได้หอมขนาดนี้“เมี่ยนเปา เจ้ารอก่อนอีกไม่ถึงหนึ่งเค่อก็ใกล้สุกแล้ว” “ขอรับ” หนึ่งเด็กน้อยหนึ่งพังพอนขาวนั่งรอหน้าเตาอย่างใจจดใจจ่อ อยากรู้ว่าสิ่งที่ส่งกลิ่นหอมไปทั่วมีหน้าตาเป็นอย่างไรระหว่างที่รอเมี่ยนเปาก้อนแรกสุก เหวยผิงก็เอาหยางเหมยมาหันเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วโรยไปก
“หน้าธรรมดาก้อนละยี่สิบอีแปะขอรับ ส่วนหน้าหยางเหมยก้อนละยี่สิบห้าอีแปะขอรับ ท่านลุงจะเอาอันไหน”“หน้าหยางเหมยเป็นอย่างไรหรือ” “ท่านแม่ใส่หยางเหมยลงไปด้วย มันจะให้รสเปรี้ยวหวานขอรับ” อี้เหวินเอ่ยอธิบายให้จางเหว่ยได้ฟังหลังจากได้ฟังท่านแม่อธิบายให้ลูกค้าคนก่อนๆ“งั้นข้าเอาทั้งหมดเลย”“จริงหรือขอรับ” อี้เหวิยเอ่ยถามเพื่อความแน่ชัด“จริงสิ”“ท่านแม่ ท่านลุงเอาหมดเลย” อี้เหวินหันมาบอกเหวยผิงที่อยู่ข้างๆ ด้วยความดีใจ“ทั้งหมดหนึ่งร้อยหกสิบอีแปะ คุณชายโปรดรอสักครู่นะเจ้าค่ะ”“ได้เลย ข้ายังไม่รีบสักเท่าไหร่” เนื่องจากกระทงใบไม้ที่เตรียมมาใส่ได้แค่หนึ่งถึงสองชิ้นเท่านั้น นางจึงต้องทำมันขึ้นมาใหม่“นี่เจ้าค่ะ” “แล้วท่านจะไปที่ไหนอีกหรือไม่” จางเหว่ยรับเมี่ยนเปามา แล้วเอ่ยถามเหวยผิง“ข้าจะไปซื้อของอีก หลังจากนั้นคงกลับบ้านเจ้าค่ะ” เนื่องจากจางเหว่ยเหมาเมี่ยนเปาไปหมดแล้ว ก็เริ่มเก็บของนางจะไปซื้อของไว้ทำสำหรับพรุ่งนี้เพิ่ม อีกทั้งหลังจากหักส่วนที่ไว้ลองชิม นางก็ขายได้หกร้อยสามสิบอีแปะ หักค่าแป้ง ค่าหยางเหมย ค่าจิปาถะอื่นๆ แล้วนางยังได้กำไรตั้งสามร้อยแปดสิบอีแปะ การค้าขายวันแรกถือว่าเป็นไปด้วยด
เพียงแวบตาเดียวที่จางหมิงหันมาสบตากับนางก่อนจะหันไปทางอื่น ในมุมนี้ทำให้หนิงเซียนเห็นนิสัยอีกด้านหนึ่งของจางหมิงเลยก็ว่าได้ พอตอนอยู่กับนางจางหมิงชอบแกล้งนางเป็นที่หนึ่ง ตามติดไม่ห่างราวกับเป็นคนขาดความอบอุ่น แต่พอนางมาเป็นจางหมิงในมุมนี้ ในสถานะราชาปกครองแคว้นจางหมิงทั้งดูสุขุม มีอำนาจที่สามารถสยบผู้คนได้แต่ด้วยภาพลักษณ์แบบนี้ไม่สามารถทำลายภาพจำที่จางหมิงทำไว้กับนางได้หรอก“เริ่มงานเลี้ยงได้” จางหมิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำพลางมองไปรอบๆ งานก่อนจะมีหญิงสาวของแต่ละตระกูลขึ้นมาแสดงความสามารถเพื่อหวังมัดใจฝ่าบาทเพราะตอนนี้จางหมิงยังไม่มีฮองเฮาข้างกาย มันทำให้หญิงสาวที่ยังไม่ได้ออกเรือนต่างหมายปองทั้งตำแหน่งนั้น ยิ่งทำให้ตระกูลเป็นที่เชิดหน้าชูตาเลยทีเดียวหนิงเซียนเองก็ใช่ช่วงเวลาที่หญิงสาวทั้งหลายแย่งกันแสดงความสามารถต่อหน้าจางหมิง นางกินของนางที่เข่อซิงเอามาอย่างเอร็ดอร่อย พลางดูการแสดงของหญิงสาวแต่ละคนไปด้วย“พี่เหมยฮวาท่านว่าคุณหนูพวกนั้นร่ายรำเป็นอย่างไรบ้าง” หนิงเซียนเอี้ยวตัวมาถามคนที่เก่งในทุกๆ ด้านไม่ว่าจะเป็นการร่ายรำ เล่นเครื่องดนตรีต่างๆ นับได้ว่าเหมยฮวาก็ไม่เป็นสองรองใคร แต
“คุณหนูท่านงดงามมากเจ้าค่ะ” เหมยฮวาถึงกับตะลึงในความงามของหนิงเซียนแค่เพียงนางแต่งเติมเพิ่มขึ้นมานิดหน่อย ก็ขับให้หนิงเซียนดูโดดเด่นขึ้นมาทันตา“ท่านก็กล่าวเกินไป”“คุณหนูท่านงดงามจริงๆ นะเจ้าคะ ท่านงดงามเหมือนนายหญิงเลยเจ้าค่ะ” เหมยฮวาเอ่ยชมเรียกได้ว่าความสวยของหนิงเซียนได้รับมาจากนายหญิงเต็มๆ ทั้งปาก จมูก คิ้วรวมทั้งผิวพรรณ“……”“คุณหนูข้าไม่ได้ตั้งใจ” เหมยฮวาที่รู้สึกว่าหนิงเซียนเงียบผิดปกติก็นึกได้ว่าตนเผลอเอ่ยสิ่งที่ไม่ควรเอ่ยออกมาเสียแล้ว“ไม่เป็นอันใดเจ้าค่ะ ท่านแม่นางสวยมากจริงๆ” เรื่องมันผ่านมาแล้วหนิงเซียนจะไม่พยายามจมปลักอยู่กับมันอีกแล้ว จะอยู่กับปัจจุบันให้มีความสุขที่สุด“เจ้าค่ะ”ก๊อกๆ“คุณหนูขันทีซ่งเสี่ยนส่งคนมารับท่านแล้วเจ้าค่ะ” เสียงเคาะประตูก่อนร่างของลี่หลินจะปรากฏตัว พร้อมกับบอกว่าคนที่ซ่งเสี่ยนบอกไว้เมื่อหนึ่งชั่วยามก่อนมารับแล้ว“ไปกันเถอะพี่เหมยฮวา ข้าอยากจะรู้นักว่างานเลี้ยงของเหล่าราชวงศ์เป็นเช่นไร”“เจ้าค่ะ” เหมยฮวาเพียงส่งยิ้มบางๆ ให้กับหนิงเซียนเพียงเท่านั้น“แม่นมท่านไม่ไปกับพวกเราจริงๆ หรือ” หนิงเซียนยังไม่ลืมหันมาชวนลี่หลินอีกครั้ง เพราะตัวลี่หลินให้เ
เช้าวันรุ่งขึ้น…วันนี้เป็นวันที่สองที่หนิงเซียนได้อยู่ในที่แห่งนี้ มันช่างรู้สึกเหงาไม่น้อยเพราะว่าพวกนางไม่สามารถออกไปไหนได้เลย หันไปถามหวังเหว่ยก็ได้คำตอบกลับว่าแค่ว่า “รอให้ฝ่าบาทกลับมาก่อนขอรับ”นั่นแหละเป็นคำตอบที่นางได้รับจากหวังเหว่ยทำให้นางเองต้องมานั่งปรุงยารอจางหมิงกลับมา ซึ่งก็ไม่รู้เวลาไหนเหมือนกันก๊อกๆ“ข้ารบกวนเวลาของเจ้าหรือไม่” เสียงบุคคลที่หนิงเซียนรอคอยมาตลอดทั้งเช้าในที่สุดก็ปรากฏตัวเสียที“จางหมิงท่านหายไปไหนมา”“ข้าติดภารกิจนิดหน่อย หวังเหว่ยดูแลเจ้าดีหรือไม่” จางหมิงหันไปมองหวังเหว่ยที่ยืนอยู่ด้านหลัง“ดูแลก็ดูแลดีอยู่ แต่หวังเหว่ยไม่ให้ข้าออกไปไหนเลย”“มันเป็นคำสั่งของข้าเอง”“อันใดท่านจะมากักขังข้าแบบนี้ไม่ได้นะ ข้าอุตส่าห์ยอมตามท่านมา” หนิงเซียนมองไปที่จางหมิงด้วยความไม่พอใจ หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไปนางคงอกแตกตายเป็นแน่“มันไม่ใช่อย่างนั้น แค่เพียงช่วงเวลานี้เท่านั้น หลังจากนี้เจ้าจะออกไปไหนได้ตามใจชอบ”“ท่านไม่ได้หลอกข้าให้ดีใจเล่นๆ ใช่หรือไม่” หนิงเซียนมองจางหมิงอย่างจับผิดจางหมิงพยักหน้าตอบรับ ก่อนจะเอ่ยประโยคต่อมา” คืนนี้จะมีงานเลี้ยงต้อนรับข้ากลับมาแล้วเจ
ในที่สุดขบวนรถม้าของจางหมิงก็มาถึงเมืองหนันเหลียงสักที นี่เป็นครั้งแรกที่หนิงเซียนได้มาต่างเมือง นางมองสองข้างทางด้วยความตื่นเต้น ดูเหมือนว่าเมืองหนันเหลียงนั้นจะดีกว่าเมืองซีฉินอย่างมาก ทั้งความเป็นอยู่ของชาวบ้านตลอดสองข้างทาง และบ้านเมืองที่ดูอลังการกว่าของซีฉินไม่น้อยขบวนรถม้าแล่นมาเรื่อยๆ จนถึงเขตวังหลวง ทำให้นางได้เห็นถึงความแตกต่างของหนันเหลียงและซีฉิน“พวกเจ้าเป็นผู้ใด โปรดแสดงตัว” ทหารที่คุมประตูทางเข้าพระราชวังขอตรายืนยันตัวตน เพราะคนที่จะเข้าไปในวังหลวงได้นั้นต้องมีตราสัญลักษณ์โดยเฉพาะหวังเหว่ยยื่นตราสัญลักษณ์ของจางหมิงให้ทหารผู้นั้นได้ดู” ฝ่าบาท เปิดทางฝ่าบาททรงเสร็จกลับมาแล้ว “ทหารที่เห็นตราสัญลักษณ์มังกรทองก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นของใครเพราะมันมีเจ้าของเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น เสียงประกาศของทหารผู้นี้ทำให้คนที่ได้ยินต่างหันมาอย่างพร้อมเพียง จากนั้นก็รีบไปแจ้งนายของตนว่าฝ่าบาทได้กลับมาแล้วจางหมิงหาไปสนใจกับคนพวกนั้นไม่ นำขบวนรถม้าของหนิงเซียนมุ่งหน้าไปยังทิศเหนือของวังหลวง พามาหยุดอยู่หน้าตำหนักหนึ่ง“เฉิงเฉียนกง”หนิงเซียนมองชื่อตำหนักที่อยู่ต่อหน้านาง มองจากข้างนอกแล้วเรี
หลังจากผ่านเหตุการณ์นั้นไป ทั้งซีฮันและเฟยหยางต่างเร่งเร้าให้นางขึ้นเป็นจักรพรรดินีคนต่อไปของแคว้นซีฉิน แต่หนิงเซียนก็เลือกที่จะปฏิเสธพร้อมกับบอกซีฮันว่าตนนั้นไปอยู่หนันเหลียงกับจางหมิง ตอนที่ซีฮันรู้เรื่องระหว่างของหนิงเซียนกับจางหมิงเขาถึงกับโวยวายอยู่พักใหญ่ ทำให้หนิงเซียนและลี่หลินไปช่วยกันอธิบายถึงทำให้ใจเย็นลงหนิงเซียนยังได้แต่งตั้งให้ซีฮันไปดูแลซีฉินแทนนางก่อน ซึ่งตัวซีฮันก็ตอบตกลงทันที นางนั้นรู้ว่าตัวซีฮันน้อยใจนางที่ไม่ได้บอกเรื่องนี้ให้กับเขารู้เป็นคนแรก” คุณหนูท่านไม่ต้องกังวลเขาหรอก เดี๋ยวเขาหายโกรธก็มาหาท่านเอง “ลี่หลินเอ่ยบอกกับหนิงเซียน เพราะลี่หลินอยู่กับซีฮันมาหลายเดือนก็พอจะรู้นิสัยของซีฮันแล้ว” เจ้าค่ะ “” หนิงเซียนมีอันใดให้ข้าช่วยหรือไม่ “นับตั้งแต่วันที่หนิงเซียนเอ่ยตกลง จางหมิงก็ยิ่งตัวติดนางมากกว่าเดิม ไม่ว่าจะทำอันใด ไปที่ไหนก็จะมีจางหมิงอยู่ใกล้ๆ ตลอด” ข้ากับพี่เหมยฮวาเก็บเรียบร้อยหมดแล้วเจ้าค่ะ “ตั้งแต่ที่เหมยฮวามาอยู่ที่นี่ คำเรียกของพวกนางก็เปลี่ยนไป ตอนแรกเหมยฮวาจะให้เรียกนางเฉยๆ แต่หนิงเซียนไม่ยอมเพราะว่าเหมยฮวาก็อายุมากกว่านาง จนเหมยฮวาเองต้องยอมให
“ตัวข้าหากใครดีกับข้า ข้าจะดีตอบคนผู้นั้น แต่สำหรับคนเลวๆ อย่างพวกเจ้าอย่าหวังว่าข้าจะดีตอบ เอาละเพื่อไม่ให้เวลามันยืดเยื้อไม่มากกว่านี้ เราควรมาจบเรื่องนี้กันเสียที”นิ้วเรียวยาวชี้ไปที่ตงหยางก่อนจะเอ่ยสั่งกองทัพ “โจมตี” กองทัพทมิฬเคลื่อนตัวอย่างรวดเร็วบุกประชิดประตูเมือง ทหารของตงหยางเพียงไม่กี่พันคนถูกกองทัพทมิฬจัดการอย่างรวดเร็ว ผู้คนที่อยู่ในหลังประตูเมืองต่างวิ่งกันจ้าละหวั่นเพื่อเอาชีวิตรอด“พระองค์หนีเถอะขอรับ” ไป๋ซานเห็นท่าไม่ดีแล้ว ไปประชิดตัวตงหยางเพื่อจะพาหนี แต่ก็ไม่ทันการเมื่อซีฮันมาดักทางทั้งสองไว้“เจ้าหลบไปอย่าหาว่าข้าไม่เตือน” ไป๋ซานเอ่ยขู่ซีฮันซีฮันได้แต่เหลือบมองไป๋ซานด้วยสายตาเรียบนิ่งเท่านั้น “ตงหยางวันนี้เป็นวันตายของเจ้า อย่าคิดเลยว่าเจ้าจะหนีจากคุณหนูของข้าพ้น” จากนั้นซีฮันก็พุ่งไปจัดการตงหยาง ทำให้ไป๋ซานต้องออกมารับมือแทนเพราะฝีมือของตงหยางแทบจะสู้ซีฮันไม่ได้เลยระหว่างที่ตงหยางหลบอยู่หลังของไป๋ซานมีร่างของใครบางคนปรากฏตัวอยู่ข้างๆ แล้วจับตัวตงหยางทุ่มลงกับพื้น“อึก…จางหมิงเจ้า” ตงหยางกระอักเลือดออกมาด้วยความเจ็บปวด รู้สึกเหมือนว่าร่างกายกำลังแตกเป็นเสี่ยงๆ
ไม่นานข่าวการพ่ายแพ้ของกองทัพซีฉินที่ชายแดนก็กระจายไปทั่วเมือง ทำให้ประชาชนตอนนี้อยู่ในความหวาดกลัว ไม่รู้ว่าทหารของหนันเหลียงจะบุกโจมตีเมื่อไหร่ ซึ่งมีหลายครอบครัวไม่น้อยที่รีบอพยพหนีตายกันไปตอนตั้งแต่วันรู้ข่าวแล้วและก็มีขุนนางหลายตระกูลไม่น้อยที่คิดจะหนีออกจากที่นี่ แต่ก็ไม่สามารถทำได้เพราะตัวของตงหยางนั้นได้ส่งองครักษ์มาคุ้มไม่ให้ตระกูลขุนนางแต่ละตระกูลหนี“เหตุใดแม่ทัพของพวกเราจึงได้โง่เง่าเช่นนี้”“ข้าบอกแล้ว เจ้าไม่เห็นหรือเมื่อก่อนแม่ทัพตระกูลหม่าไม่เคยแพ้ต่อกองทัพใดเลยเพราะมีกองทัพทมิฬหนุนหลังอยู่ แล้วตอนนี้เจ้าคิดว่าเป็นเช่นไร”“อะไรของเจ้า ไม่ใช่ว่าตระกูลหม่าก่อกบฏหรือ”“เจ้าคิดว่าตระกูลหม่าจะก่อกบฏจริงหรือ หากทำจริงพวกเขาแค่สั่งกองทัพทมิฬบุกชิงบัลลังก์ก็ได้แล้วไม่ใช่หรือ เจ้าก็รู้ดีว่าไม่มีใครสามารถต้านกองทัพทมิฬได้อยู่แล้ว”“มันก็จริงของเจ้า ด้วยอำนาจของกองทัพทมิฬพวกราชวงศ์ย่อมสู้ไม่ได้อยู่แล้ว”“เจ้าก็รู้ๆ กันอยู่ ท่านผู้นั้นกลัวว่าอำนาจของตระกูลหม่าจะมากเกินไป จึงรวมหัวกับเหล่าขุนนางเพื่อกำจัดตระกูลหม่าให้สิ้น”“เจ้าแน่ใจหรือ ไม่ใช่แต่งเรื่องขึ้นมา”“ไม่ต้องไปสืบข่าวข้
“ตอนนี้กำลังเสริมของทหารซีฉินมาถึงแล้วขอรับ ซึ่งซินหยานเป็นผู้นำทัพในครั้งนี้” หวังเหว่ยองครักษ์ของจางหมิงกล่าวรายงาน“โอ้…องค์รัชทายาทเป็นแม่ทัพเลยหรือ ถ้างั้นข้าก็จะคงไม่ทำให้เขาผิดหวังอย่างแน่นอน” หนิงเซียนแสยะยิ้มมุมปาก มาให้จัดการถึงที่นางจะไม่ดีใจได้อย่างไร ก่อนนางจะหันไปพยักหน้าให้กับจางหมิง“รู้แล้วใช่หรือไม่ว่าจะต้องทำอย่างไร” จางหมิงเอ่ยบอกกับหวังเหว่ยด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง“ขอรับนายท่าน” จากนั้นหวังเหว่ยก็ออกจากกระโจมไปสั่งเคลื่อนพลบุกโจมตีกองทัพของซีฉินโดยเร็ว“หน้าข้ามีอันใดติดหรือ” หนิงเซียนเอ่ยถามด้วยความสงสัย เพราะนางเห็นจางหมิงมองมาที่นางเกือบหนึ่งเค่อแล้ว“ไม่มี ตอนนี้ข้าเพียงคิดว่าจะขออันใดจากเจ้าดี” จางหมิงยิ้มกรุ้มกริ่มหนิงเซียนที่เห็นสายตาของจางหมิงมองมา นางเริ่มคิดแล้วว่าตัวนางนั้นคิดถูกหรือคิดผิดที่บอกจางหมิงไปอย่างนั้น…“อันใดกันเหตุใดพวกมันจึงบุกรวดเร็วขนาดนี้” ตัวของซินหยานที่มุ่งหน้ามาชายแดนอย่างไม่ได้หยุดพัก ก็ต้องหัวเสียเมื่อพบว่าพอเขามาถึงพวกทหารหนันเหลียงก็บุกโจมตีทันที” ข้าเองก็ไม่ทราบขอรับ “นายกองที่มาพร้อมกับซินหยานก็หงุดหงิดไม่แพ้ซินหยานเลยทหารขอ
รถม้าของหนิงเซียนที่กำลังเข้าไปในหุบเขาก็มีเหล่าทหารทำหน้าที่คุ้มกันมาขวางทางไว้” พวกเจ้าเป็นผู้ใครกัน “ผู้คุ้มชักดาบออกมาเตรียมพร้อมสำหรับโจมตีคนที่อยู่ในรถม้านี้” ข้าเองไม่ใช่ใครที่ไหน “หนิงเซียนยืนเพียงหัวออกมาทักบอกกับเหล่าผู้คุ้ม หากนางไม่รีบปรากฏตัวรับรองว่ามีเลือดสาดกันแน่” คุณหนูเป็นท่านนั้นเอง เปิดประตูคุณหนูกลับมาแล้ว ข้าขอโทษด้วยที่ไม่ตรวจสอบให้ดีเสียก่อน” ทหารหนุ่มโค้งคำนับขอโทษที่ตนไม่ตรวจสอบให้ละเอียดเสียก่อน“ไม่เป็นไรถือว่าเจ้าทำตามหน้าที่”จากนั้นหนิงเซียนก็บอกทางให้หม่าเถียวพาไปจอดที่โรงหมอซีฮันที่เห็นคนคุ้นเคยจึงเข้ามาทักทาย “เป็นเจ้านั้นเองว่าแต่คุณหนูละ” ซีฮันมองหาตัวของหนิงเซียน“ท่านลุงข้าอยู่นี้ เป็นอย่างไรบ้างเจ้าค่ะ” หนิงเซียนโผล่หัวออกมาทักทาย“ข้าสบายดี เป็นข้าเองเสียมากกว่าที่ต้องถามท่านว่า ออกไปเที่ยวเล่นสนุกหรือไม่ขอรับ”หนิงเซียนที่โดยถามอย่างนั้นนางส่งยิ้มแหยๆ ให้ซีฮันก่อนนางจะเอ่ยเปลี่ยนเรื่อง “แม่นมอยู่นี้หรือไม่เจ้าค่ะ” พลางสอดส่องหาลี่หลินไปทั่วโรงหมอ“นางพึ่งขึ้นไปทำอาหารมื้อเที่ยงก่อนคุณหนูมาไม่ถึงหนึ่งเค่อด้วยซ้ำ” หนิงเซียนได้ยินอย่างนั้นก็พ