“อร่อยหรือไม่” เหวยผิงที่เห็นเฟยฮวากินอย่างเอร็ดอร่อยก็อดจะถามไม่ได้ มันคือน้ำอะไรที่ทำให้เฟยฮวามีปฏิกิริยาได้ขนาดนี้
“ชอบ ข้าชอบมากๆ”
“เอ้…เหมือนสีบนตัวเจ้าจะชัดขึ้นหรือเปล่า” หลังจากกินน้ำพุนี้ไป เหวยผิงรู้สึกว่าสีบนตัวชัดขึ้นจากเดิมมีสีดำทั้งตัว ตอนนี้เริ่มมีสีแดงแซมขึ้นมา
“จริงด้วย ข้ายังรู้สึกว่ามีแรงขึ้นเยอะเลย” เฟยฮวาเห็นอย่างนั้นก็บินไปเกาะที่ไหล่เหวยผิง เริ่มทำความสะอาดตัวเอง
เหวยผิงที่เห็นความเปลี่ยนแปลงของเฟยฮวานางก็คิดจะลองบ้าง จึงใช้อุ้งมือตักน้ำพุขึ้นมา ริมฝีปากบางจรดที่อุ้งมือ ความเย็นไหลผ่านลำคอลงไปถึงช่วงท้อง รู้สึกว่าเรี่ยวแรงอันน้อยนิดเพิ่มขึ้นมาไม่น้อย ผิวพรรณมีความอวบอิ่มขึ้น
ของดี…ว่าแล้วทำไมเฟยฮวาถึงอยากได้มันมากนั้น นี้มันมีค่ายิ่งกว่าโสมคนเสียอีก ดูเหมือนนางจะเจอขุมทรัพย์เข้าให้แล้ว
แต่คงจะรู้เพียงนางเท่านั้น น้ำทิพย์นี้หากออกไปสู่โลกภายนอกตัวนางเองคงจะไม่ปลอดภัย
“เป็นอะไรไปหรือ” เฟยฮวาเอ่ยถาม เมื่อเห็นเหวยผิงนิ่งเงียบไป
“ข้าแค่คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยเท่านั้น ไม่มีอันใดหรอก เราก็ออกไปจากที่นี่กันเถิด เพื่อหมาป่าพวกนั้นจะไปแล้ว” เหวยผิงลองหลับตาแล้วนึกภาพที่พวกนางก่อนเข้ามาในนี้
พรึ่บ!!
“พวกมันไปแล้ว” พวกนางออกมาอยู่ตรงเดิม ก็ไม่พบฝูงหมาป่าเหล่านั้นแล้ว
“อืม กลับกันเถอะ”
ในเมื่อไม่พบสิ่งใดแล้วจึงจะกลับบ้าน อีกทั้งดูเหมือนที่นี่จะไม่ปลอดภัยอีกแล้ว อี้เหวินยังรออยู่บ้านคนเดียวอีก
…
“แม่กลับมาแล้ว” เหวยผิงกลับมาถึงบ้านก็ตรงเข้าครัวเตรียมอาหารมื้อเย็นทัน
“ท่านได้อะไรมาบ้าง” อี้เหวินที่ได้ยินเสียงของท่านแม่ก็วิ่งตามเสียงมาแล้วเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
“เกิดเรื่องนิดหน่อย เดี๋ยวแม่จะทำเนื้อกวางให้เจ้าแทนก็แล้วกัน” นางไม่อยากบอกว่าไปเจอหมาป่ามากลัวว่าอี้เหวินจะหวาดกลัวแล้วห้ามนางขึ้นเขาไปอีก
“ไม่เป็นอะไรขอรับ ท่านแม่ทำอะไรให้ข้ากิน ข้าก็กินได้หมด” อี้เหวินส่งยิ้มตาหยีให้ท่านแม่
“เจ้าไปรอแม่ในห้องก่อน เดี๋ยวแม่ทำเสร็จจะเรียก”
“ขอรับ” อี้เหวินเดินกลับเข้าไปในห้องอย่างเชื่อฟัง
เหวยผิงส่ายหัวให้กับอี้เหวินที่เป็นเด็กดีเชื่อฟังนาง หากเป็นนางคงดื้อซนมากๆ แต่ลึกๆ นางก็รู้สึกเศร้าใจไม่น้อย เด็กน้อยอายุเท่านี้ ควรเล่นสนุก ดื้อบ้าง ไม่เชื่อบ้างตามประสาเด็ก
นางคิดจะหาเงินอย่างเดี๋ยวจนลืมไปว่าอี้เหวินยังต้องการความรักจากนาง คิดว่าในวันพรุ่งนี้นางจะเข้าไปอำเภอเสียน้อย นางจะพาอี้เหวินไปเปิดโลกด้วย
เมื่อมีเรื่องที่จะทำพรุ่งนี้ จึงลงมือทำอาหาร โดยนางจะทำเนื้อกวางผัดน้ำผึ้ง
“พรุ่งนี้แม่จะเข้าอำเภอ…แล้วพาเจ้าไปด้วย” ขณะที่กำลังทานข้าวกัน เหวยผิงก็เอ่ยบอกอี้เหวินในประโยคแรกนางเห็นท่าทางซึมๆ จากอี้เหวิน แต่พอนางบอกว่าจะพาไปด้วยหน้าตาก็สดใสขึ้นมา
“จริงนะขอรับ ท่านพาข้าไปจริงๆ นะขอรับ” อี้เหวินเอ่ยด้วยน้ำเสียงดีใจ ถามอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ พรุ่งนี้ท่านแม่จะพาไปเที่ยวในตัวอำเภอ
“จริง พรุ่งนี้เช้าเจ้าก็เตรียมตัวให้ดี แม่จะพาเจ้าไปเที่ยวที่อำเภอ”
“ขอรับ” อี้เหวินก็นั่งกินข้าวไป นั่งอมยิ้มไป ทำให้นางรู้สึกว่าอาหารในมื้อนี้อร่อยกว่าปกติ
เช้าวันรุ่งขึ้น…
“ท่านแม่ ตื่นๆ วันนี้ท่านจะบอกข้าไปเที่ยวตัวอำเภอ” แรงเขย่าเล็กๆ ทำให้เหวยผิงที่กำลังนอนหลับอย่างสบายลืมตาขึ้น มองสิ่งที่กวนเวลานอนของนาง ก็เห็นอี้เหวินเขย่าตัวนาง พร้อมกับส่งเสียงเรียก
“มีอะไรหรือ ทำไมปลุกแม่แต่เช้าตรู่” น้ำเสียงงัวเงียเอ่ยถามด้วยความมึนงง
“ก็วันนี้ท่านแม่บอกว่าจะพาไปในตัวอำเภอไงขอรับ ท่านแม่ท่านตื่นเร็วๆ เดี๋ยวจะไปไม่ทัน”
“นี้พึ่งยามอิ๋นเอง เหลือเวลาอีกตั้งสองชั่วยามกว่าจะเช้า นอนต่อสักนิดเถิด แม่จะไม่ลืมเจ้าอย่างแน่นอน” เหวยผิงดึงอี้เหวินลงมากอดแล้วหลับลงไปอีกครั้ง
อี้เหวินที่ถูกท่านแม่ดึงตัวลงไปกอดก็ตกใจไม่น้อย รอยยิ้มเล็กปรากฏที่หน้า นานแล้วไม่ได้กอดท่านแม่อย่างนี้ พลางมองออกไปก็พบว่ายังมืดอยู่ตามที่ท่านแม่บอก เปลือกตาเล็กจึงปิดลงอีกครั้ง
ยามเฉิน…
“ท่านแม่ ท่านเตรียมตัวเสร็จหรือยัง” อี้เหวินเดินเข้ามาถามท่านแม่ ที่กำลังค้นหาอะไรบางอย่าง โดยวันนี้เขาเลือกใส่เสื้อผ้าที่ดูดีที่สุด
“เจ้ารอแม่ก่อน” เหวยผิงหันมาบอกลูกชาย บังเอิญเมื่อสองวันก่อนนางเจอกล่องเงินของเจ้าของร่างคนก่อน ในนั้นมีเงินอยู่เพียงสองตำลึงกลับปิ่นเงินชิ้นหนึ่ง แค่มองดูก็ว่ามีราคาไม่น้อย นางจึงคิดที่จะขายปิ่นชิ้นนี้เพื่อประทังชีวิตสองแม่ลูกไปก่อน
นางเองก็ไม่รู้หรอกว่าปิ่นชิ้นนี้มีความสำคัญต่อเจ้าของร่างเดิมอย่างไร แต่ตอนนี้นางต้องการเงิน
“ไปกันเถิด” เหวยผิงนำเงินสองตำลึงกับปิ่นใส่ถุงแล้วมาผูกไว้ที่เอว ก่อนจะจูงอี้เหวินน้อยออกจากบ้าน มุ่งตรงไปยังหมู่บ้าน ซึ่งนางรู้มาว่าจะมีเกวียนรับส่งไปยังตัวอำเภอ
“อ่าว เหวยผิงนั้นเจ้าจะพาอี้เหวินไปไหนหรือ” เสียงของกุ้ยฉินเอ่ยทักสองแม่ลูกที่เดินผ่านหน้าบ้าน
“สวัสดีขอรับท่านป้า ท่านแม่จะพาข้าไปเที่ยวในตัวอำเภอขอรับ” อี้เหวินเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงฉะฉาน
“อี้เหวินจะได้ไปเที่ยวในตัวอำเภอแล้ว ป้าขอให้เจ้าเที่ยวอย่างสนุกนะ”
“ขอรับ” อี้เหวินส่งยิ้มให้กับกุ้ยฉินอย่างมีความสุข โชว์ฟันน้อยให้กับผู้ใหญ่ทั้งสอง
“เอ่อ…ท่านป้าเจ้าค่ะ เกวียนที่จะไปในตัวอำเภออยู่ตรงไหนเจ้าค่ะ” เหวยผิงที่เห็นกุ้ยฉินมองมาที่ตนก็เอ่ยถามขึ้น
“เดินตรงไปสักห้าสิบก้าวก็ถึงแล้ว เจ้าคงไม่ได้ไปในตัวอำเภอบ่อย คงไม่รู้ว่าไป๋ซานเปลี่ยนที่แล้ว” กุ้ยฉินเอ่ยตอบอย่างไม่สงสัยในตัวของเหวยผิงเลย
“ขอบคุณเจ้าค่ะ พวกข้าไปก่อนนะเจ้าค่ะ” เหวยผิงเอ่ยลา พร้อมจูงมืออี้เหวินเดินไปตามที่กุ้ยฉินบอก
“ข้าไปก่อนขอรับท่านป่า” อี้เหวินโบกมือลากุ้ยฉิน
“จร้า”
ทั้งสองเดินมาตามที่กุ้ยฉินบอกไว้ ก็มาเจอลานกว้างมีเกวียนจอดรออยู่ นางจึงเดินเข้าไปก็เห็นชายวัยกลางคนที่ดูเหมือนจะเป็นไป๋ซานตามที่กุ้ยฉินได้บอกไว้
“ท่านลุง ไปตัวอำเภอราคาเท่าไหร่เจ้าค่ะ” เสียงของหญิงสาวทำให้ไป๋ซานที่กำลังนั่งนับเงินเงยหน้าขึ้นก็เห็นสองแม่ลูกที่ไม่คุ้นเคย
“เด็กสิบอีแปะ ผู้ใหญ่ยี่สิบอีแปะ”
“นี้เจ้าค่ะ” เหวยผิงยืนเงินให้กับไป๋ซานก่อนจะเดินขึ้นไปนั่งบนเกวียน ซึ่งมีคนนั่งอยู่ก่อนแล้วประมาณสามสี่คน
ไป๋ซานที่รับเงินมาจากสองแม่ลูกมองตามก็นึกได้ว่าเมื่อห้าปีก่อนมีหญิงสาวท้องแก่มาขออาศัยอยู่ที่หมู่บ้าน ดูท่าจะเป็นสองแม่ลูกคู่นี้
ไป๋ซานที่รอประมาณสองเค่อไม่เห็นคนมาอีกแล้วจึง เริ่มออกเดินทางไปยังตัวอำเภอ
ตั้งแต่ที่เหวยผิงกับลูกขึ้นเกวียนมาก็ได้รับสายตาเหยียดหยามมาจากหญิงสาววัยกลางคนหนึ่ง ซึ่งนางก็ไม่รู้ว่าเหตุใดนางถึงมองด้วยสายตาเยี่ยงนั้น นางจึงพยายามไม่สบสายตา มองออกไปยังนอกเกวียนแทน
“น่าสงสารเสียจริง อายุกำลังน้อยๆ ต้องว่าแบกท้องหนีมา คงจะโดนเฉดหัวออกมาละสิ” อยู่ๆ หญิงวัยกลางคนก็เอ่ยขึ้นไม่มีปี่มีขลุ่ย ทำให้เหวยผิงที่หันมองออกไป หันกลับมามองอย่างไม่ได้
ดูก็รู้ว่าป้านางนี้เอ่ยถึงนาง อีกทั้งสายตาไม่เป็นมิตรอีกด้วย
“มองทำไม ข้าพูดจี้ใจดำหรือ” หญิงวัยกลางคนที่เห็นเหวยผิงมองมาด้วยสายตาไม่พอใจก็รู้สึกสะใจ
“เปล่า ข้าแค่สงสัยว่าท่านเป็นใคร ถึงได้รู้ลึกขนาดนี้ ไม่รู้ว่าท่านแอบอยู่ใต้เตียงข้าหรือถึงรู้ว่าข้าถูกเฉียดหัวออกมา” เหวยผิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง พลางใช้มือปิดหูของอี้เหวินไว้ ไม่ให้ได้ยินคำที่นางเอ่ย“นี้เจ้าจะหาว่าข้าชอบสอดเรื่องชาวบ้านใช่หรือไม่” ฟางซินที่ได้ยินหญิงสาวเอ่ยขึ้นมา ก็ปี้ดขึ้นมาทันที“แล้วแต่ท่านจะคิด หากท่านไม่อยู่ใต้เตียงข้าจะรู้เรื่องของข้าได้อย่างไร อีกทั้งข้าเองก็ไม่รู้จักท่านอีกด้วย” “เจ้า…”“ฮ่า…ฟางซินปกติมันก็เป็นนิสัยของเจ้าไม่ใช่หรือ” เสียงหัวเราะหนึ่งดังขึ้น ทำให้เหวยผิงหันไปมองเห็นเป็นหญิงสาววัยกลางคน นางมีไฝที่หางตาซ้าย“เจ้าเกี่ยวอันใดด้วยไม่ทราบ” ฟางซินที่เห็นคู่อริของตนหัวเราะก็โกรธเกรี้ยวไม่น้อย“นี้เหวยผิง เจ้าก็อย่าไปถือสานางเลย สามีนางไปทำหญิงสาวหมู่บ้านอื่นท้อง ทำให้เวลานางเจอสาวหม้ายที่ไหนก็ชอบไปต่อว่าอย่างนี้แหละ” เจี่ยวมี่เมินประโยคของฟางซิน แล้วหันมาคุยกับเหวยผิงเองเหวยผิงที่ได้ยินก็เหลือบสายตามองฟางซินที่ทำหน้าราวกับจะฆ่าคนตาย ดูเหมือนจะบ้านางไม่เกี่ยวกับสามีนางเสียหน่อย“เจ้า…” ฟางซินที่ถูกเจี่ยวมี่พูดจี้จุดก็ง้างมือเตรียมตบเจี่ยวมี่“
“ ขอบคุณเจ้าค่ะ อีกห้าวันจะนำมาขายอีก” เหวยผิงนำขวดกระเบื้องมาห่อใส่ผ้าไว้ ก่อนจะเอ่ยลา“ป่ะ…ไปซื้อถังหูลู่ของเจ้ากัน” หลังออกจากร้านเหวยผิงพาอี้เหวินตรงไปยังร้านขายถังหูลู่“ขอรับ” “ถังหูลู่ อร่อยๆ เชิญทางนี้เลยจร้า เจ้าหนูเอากี่ไม้” แม่ค้าที่เห็นสองแม่ลูกเดินเข้ามาก็เอ่ยขึ้น“เอาหนึ่งไม้ขอรับ” อี้เหวินเอ่ยสั่งกับแม่ค้า ผลไม้เคลือบน้ำตาลดูอร่อย“เอาสี่ไม้เจ้าค่ะ” เหวยผิงที่เห็นอี้เหวินสั่งแค่ไม้เดียวเศร้าใจไม่น้อย รู้ว่าที่บ้านคาดเเคลนเงินก็ไม่โลภสั่งแค่อยากกิน แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้วนางมีเงิน หากอี้เหวินอยากกินสิบไม้นางก็จะซื้อให้กิน“ขอบคุณขอรับท่านแม่” อี้เหวินเห็นท่านแม่สั่งสี่ไม้ก็ดีใจ ถึงแม้ตัวเขาจะพอรู้ว่าท่านแม่ได้เงินมาจากการขายปิ่นกับน้ำผึ้งของเฟยฮวา แต่ก็ต้องเก็บไว้ซื้ออาหารและไว้ซ่อมบ้าน“ต่อไปนี้เจ้าอยากกินอะไรก็บอกแม่ ไม่ต้องห่วงเรื่องเงิน แม่จะจ่ายให้เจ้าเอง” “ขอรับ” “สี่ไม้ สิบสองอีแปะ” เหวยผิงหันไปจ่ายเงินกับแม่ค้า แล้วรับถังหูลู่มาให้อี้เหวิน“ขอบคุณขอรับ” เมื่อได้ของที่ต้องการอี้เหวินก็กินอย่างมีความสุข ถังหูลู่อร่อยเช่นนี้เอง ถึงว่าเด็กในหมู่บ้านชอบกินกัน“อร่อยหร
“เย็นนี้เจ้าอยากกินอะไรหรือไม่ เเม่จะทำให้เจ้าเอง” เหวยผิงหันมาถามอี้เหวิน เพราะนางกำลังจะพาอี้เหวินไปซื้ออาหารตุนไว้“อะไรก็ได้ขอรับ ท่านแม่ทำอะไรก็อร่อย”“หืม…ลูกใครเนี่ย ช่างปากหวานเสียจริง” เหวยผิงก้มหอมแก้มอี้เหวินด้วยความหมั่นเขี้ยวเหวยผิงพาอี้เหวินมาตรงพวกขายของกิน เนื่องจากเป็นเวลาช่วงเช้าๆ ทำให้มีผู้คนออกมาจับจ่ายใช้สอยเป็นจำนวนมาก“เนื้อหมู เนื้อหมูสด พึ่งฆ่าเลย มาเลือกซื้อกันได้เลย” เสียงแม่ค้าส่งเสียงเรียกผู้ที่เดินผ่านไปผ่านมา“ขายอย่างไรเจ้าค่ะ” เหวยผิงพาอี้เหวินเดินเข้าไปร้านขายหมูที่ดูใหญ่ที่สุด“เนื้อล้วนชั่งละสามร้อยอีแปะ เนื้อติดมันชั่งละสองร้อยห้าสิบอีแปะ ไม่ทราบว่าแม่นางต้องการแบบไหน” “ข้าเอาเนื้อติดมันสองชั่ง ข้าอยากจะรู้ว่ามีส่วนที่เป็นมันล้วนหรือไม่” เหวยผิงเอ่ยถามแม่ค้าดู เพราะนางไม่มั่นใจว่าคนที่นี่จะกินล้วนหรือไม่“มันล้วนหรือ แม่นางจะเอามันไปทำอะไร มันไม่อร่อยเลย” แม่ค้ามองเหวยผิงด้วยความแปลกใจ เหวยผิงเป็นคนแรกที่มาถามหามันล้วน“ข้ามีวิธีของข้าเจ้าค่ะ ไม่ทราบว่าท่านมีหรือไม่เจ้าค่ะ” “มี ข้ามีเยอะเลย คนส่วนมากไม่ค่อยซื้อมันทำให้ข้าต้องปาดมันทิ้งทุกวัน ว่า
เมื่อมาถึงบ้านเหวยผิงก็แบ่งหยางเหมยออกมาประมาณสามจินล้างน้ำให้สะอาด ส่วนที่เหลือนางเก็บในมิติโดยมีอี้เหวินน้อยคอยเป็นลูกมือ กิจการแรกที่นางคิดจะทำก็คือสุราสายน้ำผึ้ง เมื่อภพที่แล้วนางถูกพี่สาวพาไปเรียนทำสุราสายน้ำผึ้ง จึงทำให้พอมีความรู้ติดตัวมาอยู่บ้าง อีกทั้งในภพนี้สุราก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ผู้คนต่างซื้อกัน สุราที่นางจะหมักนี้มันหอมนุ่มจนสตรีสามารถทานได้เริ่มแรกนางเอาหยางเหมยมาบดให้พอแตกๆ แล้วก็ใส่ถังแล้วใช้ผ้าปิดหน้าถังไว้ไม่ให้อากาศเข้า“คงต้องไปซื้อถังใหม่เสียแล้วล่ะ” ถังที่เหวยผิงใช้เป็นถังที่ไว้ใช้สำหรับตักน้ำ เมื่อวานนางก็ลืมซื้อ เอาไว้คราวหน้าค่อยไปสั่งทำใหม่ ซึ่งนางเองก็ไม่รู้ว่าที่นางทำนี้จะได้ผลหรือเปล่า นางจึงเก็บถังหยางเหมยไว้ในมิติหลังจากหมักเสร็จแล้ว นางก็ไม่รู้จะทำอันใดอีกจึงมานั่งเล่นหน้าบ้านกับอี้เหวิน“ทำอันใดอยู่หรือ” เหวยผิงเดินเข้ามา ก็เห็นอี้เหวินกำลังขีดเขียนอะไรสักอย่างบนพื้นดิน“ข้าเขียนพวกเราขอรับ นี่ท่านแม่ นี่อี้เหวิน ส่วนนี่เฟยฮวา” อี้เหวินชี้ไปบนพื้นให้ท่านแม่ดูเหวยผิงที่เห็นรูปที่อี้เหวินวาดก็น้ำตาซึม นั่งลงข้างๆ อี้เหวินแล้วเอ่ยว่า“สวยมากๆ อี้เหวิ
เหวยผิงจึงหยิบขวดกระเบื้องที่ใส่น้ำทิพย์ขึ้นมากิน กลิ่นอันหอมหวานลอยคลุ้งไปทั่ว ทำให้ทั้งเฟยฮวาและเหล่าผึ้งงานบินมาหยุดต่อหน้าเหวยผิง มองน้ำทิพย์ที่อยู่ในขวดกระเบื้องตาเป็นประกาย“ถือว่าเป็นรางวัลของพวกเจ้าสำหรับวันนี้” เหวยผิงหยดน้ำทิพย์ลงใบไม้แล้วยื่นให้กับเหล่าผึ้งงานที่นำทางนางมาหาต้นหยางเหมยเหล่าผึ้งงานเองที่ได้รับอนุญาตก็บินมาเกาะใบไม้อย่างรวดเร็ว ดูดกินน้ำทิพย์อย่างเอร็ดอร่อย“นี่เหวยผิง ท่านต้องให้ข้าด้วยสิ ข้าก็พาท่านมานะ” เฟยฮวาเอ่ยประท้วงที่ตนไม่ได้รับน้ำทิพย์ เหมือนผึ้งงานของนาง“ได้สิ” เหวยผิงหยดน้ำทิพย์ไปที่หลังมือแล้วยืนไปใกล้ๆ เฟยฮวา“ขอบคุณ” เหวยผิงนั่งมองเหล่าผึ้งกินน้ำทิพย์อยู่ก็รู้สึกว่ามีบางอย่างสะกิดที่ขาหลังของนาง นางจึงหันไปมองก็พบว่าเป็นพังพอนขาวที่กำลังใช้เท้าอันน้อยเขี่ยนางไปมา“แล้วนี่มีพังพอนขาวด้วยหรือ” เหวยผิงมองเจ้าพังพอนน้อยอย่างแปลกใจ เพราะปกตินางเห็นแต่พังพอนสีน้ำตาล นางยังไม่เคยเห็นพังพอนตัวสีขาวมาก่อนเลย“อี้ๆ…” เจ้าพังพอนน้อยก็เขี่ยขาหลังไปมา“เจ้าต้องการอันใดหรือ” เหวยผิงที่เห็นพังพอนขาวเขี่ยอยู่อย่างนั้นจึงเอ่ยถามด้วยความสงสัย“อี้ๆ…อี้” เหมือ
หลังจากที่นางกำลังเตรียมของแล้วก็ได้ให้เฟยฮวาไปตามอี้เหวินกับเสี่ยวไป๋มาเปลี่ยนชุดเพื่อไปในตัวอำเภอ นี่ก็ยามอู่แล้วนางไม่รู้ว่าท่านลุงไป๋ซานจะเข้าไปในตัวอำเภออีกหรือไม่ ไม่งั้นคงต้องจ้างไปตัวอำเภอโดยเฉพาะเสียแล้วอี้เหวินที่ได้ยินว่าท่านแม่จะพาไปเที่ยวในตัวอำเภอก็อุ้มเสี่ยวไป๋วิ่งกลับเร็ว แล้วเข้าไปเปลี่ยนซื้อผ้าตัวที่สำหรับออกบ้าน“เสร็จหรือยังอี้เหวิน” เหวยผิงเตรียมตัวเสร็จแล้ว จึงส่งเสียงเรียกอี้เหวิน“เสร็จแล้วขอรับ ไปตัวอำเภอกัน” อี้เหวินพร้อมชุดใหม่เดินอุ้มเสี่ยวไป๋ออกมาจากห้อง และยังมีเฟยฮวาที่เกาะอยู่บนไหล่อี้เหวินอีกด้วยระหว่างเดินผ่านบ้านท่านป้ากุ้ยฉิน เหวยผิงก็ตะโกนเรียก“ท่านป้าท่านอยู่หรือไม่เจ้าคะ เหวยผิงเองเจ้าค่ะ” “อ่าวพวกเจ้านั้นเอง มีอันใดหรือ” กุ้ยฉินที่ได้ยินคนส่งเสียงเรียกก็ออกมาจากบ้าน“ข้าเอาหยางเหมยมาให้เจ้าค่ะ พอดีข้าชิมแล้วมันหวาน สดชื่นมากๆ ข้าเลยแบ่งมาให้ท่าน” เหวยผิงส่งตะกร้าที่นางแบ่งหยางเหมยมาให้บ้านกุ้ยฉินได้ลองกินบ้าง“ขอบใจเจ้ามากๆ ข้าก็ไม่ได้กินหยางเหมยนานแล้ว ดูสิมีแต่ลูกแดงๆ น่ากินไม่น้อย ว่าแต่พวกเจ้าจะไปไหนหรือแต่งตัวซะดีเชียว”“ข้าจะเข้าไปตัวอ
“อ้าวแม่นาง ครั้งนี้เจ้าต้องการอันใดหรือ” เสี่ยวเอ้อที่เห็นคนคุ้นหน้าจึงเอ่ยถามขึ้น“ข้าต้องการถั่วห้าจิน แป้งขาวสิบจิน” “ถั่วจินละสามร้อยอีแปะ แป้งขาวจินละสองร้อยอีแปะ ทั้งหมดสามตำลึงห้าร้อยอีแปะ ยังต้องการอันใดอีกหรือไม่” เสี่ยวเอ้อเอ่ยถามเพื่อความแน่ใจ ก่อนจะไปเตรียมของที่เหวยผิงสั่งไว้“ไม่ทราบว่าไปส่งที่เกวียนของข้าได้หรือ” ตอนนี้ตะกร้านางก็เต็มแล้ว หากจะให้นางแบกของเพิ่มอีกสิบกว่าจินคงไม่ไหว ตอนสั่งนางไม่ได้คิดเลยว่าจะเอากลับอย่างไร“ได้ข้าจะให้คนของข้าไปส่งให้ ว่าแต่เกวียนของแม่นางอยู่ตรงไหนหรือ” เหวยผิงได้บอกตำแหน่งของเกวียนให้เสี่ยวเอ้อได้ทราบ พร้อมกับให้ค่าแรงอีกส่วนหนึ่งสำหรับคนที่ไปส่งของให้นาง“เหนื่อยหรือไม่” เหวยผิงหันมาถามอี้เหวินด้วยความเป็นห่วงเพราะนางพาอี้เหวินเดินเยอะไม่น้อย“ไม่เหนื่อยขอรับ สนุกมากข้าได้เห็นอะไรใหม่ๆ เยอะเลย” อี้เหวินเอ่ยตอบ เพราะมาเที่ยวในตัวอำเภอสนุกกว่าอยู่ที่บ้านไม่น้อย“ยังเหลือเวลาอีกนิดหนึ่ง แม่เห็นร้านขายตำราอยู่ร้านหนึ่ง เจ้าอยากได้กระดาษไว้วาดรูปหรือไม่” นอกจากเสี่ยวไป๋ที่เป็นเพื่อนเล่นแล้ว อี้เหวินก็ไม่มีอะไรทำอีกเลย“อยากขอรับ ข้าอยาก
ยามเฉิน…เช้านี้เหวยผิงตื่นมาก็เข้ามาดูแป้งที่ทำไว้ตั้งแต่เมื่อคืน เปิดผ้าคลุมออกก็เห็นก้อนแป้งที่มีขนาดใหญ่ว่าในตอนแรกอยู่มากเหวยผิงเอาแป้งขาวมาโรยเป็นพื้นรองไม่ให้แป้งติดกับพื้น แล้วตัดแบ่งออกเป็นสี่ส่วน ส่วนละเท่าๆ กันจากนั้นก็นวดขึ้นรูปจนเนื้อเนียนเป็นก้อนกลมๆ เมื่อทำเสร็จทั้งสี่ก้อน นางก็ใช้มีดกรีดหน้าแป้งให้เป็นลวดลายนำแป้งไปวางในหม้อเหล็กที่นางได้ทาน้ำมันมะกอกไว้ ปิดฝาแล้วเอาไปตั้งบนกองไฟ เหวยผิงตักฟืนบางส่วนไปวางบนฝาหม้อ วิธีนี้เป็นวิธีอบเมี่ยนเปาอีกแบบหนึ่ง รอเวลาที่เมี่ยนเปาสุกได้ที่กลิ่นหอมของเมี่ยนเปาส่งกลิ่นหอมยั่วยวน ให้อี้เหวินกับเสี่ยวไป๋ที่กำลังเล่นอยู่หลังบ้านวิ่งตามกลิ่นมาอย่างรวดเร็ว“หอมมาก ท่านแม่ท่านทำอันใดหรือ กลิ่นหอมไปถึงหลังบ้านเลย” อี้เหวินจ้องมองไปที่เตาอย่างอยากรู้ว่าท่านแม่ทำอาหารชนิดใดถึงได้หอมขนาดนี้“เมี่ยนเปา เจ้ารอก่อนอีกไม่ถึงหนึ่งเค่อก็ใกล้สุกแล้ว” “ขอรับ” หนึ่งเด็กน้อยหนึ่งพังพอนขาวนั่งรอหน้าเตาอย่างใจจดใจจ่อ อยากรู้ว่าสิ่งที่ส่งกลิ่นหอมไปทั่วมีหน้าตาเป็นอย่างไรระหว่างที่รอเมี่ยนเปาก้อนแรกสุก เหวยผิงก็เอาหยางเหมยมาหันเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วโรยไปก
เพียงแวบตาเดียวที่จางหมิงหันมาสบตากับนางก่อนจะหันไปทางอื่น ในมุมนี้ทำให้หนิงเซียนเห็นนิสัยอีกด้านหนึ่งของจางหมิงเลยก็ว่าได้ พอตอนอยู่กับนางจางหมิงชอบแกล้งนางเป็นที่หนึ่ง ตามติดไม่ห่างราวกับเป็นคนขาดความอบอุ่น แต่พอนางมาเป็นจางหมิงในมุมนี้ ในสถานะราชาปกครองแคว้นจางหมิงทั้งดูสุขุม มีอำนาจที่สามารถสยบผู้คนได้แต่ด้วยภาพลักษณ์แบบนี้ไม่สามารถทำลายภาพจำที่จางหมิงทำไว้กับนางได้หรอก“เริ่มงานเลี้ยงได้” จางหมิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำพลางมองไปรอบๆ งานก่อนจะมีหญิงสาวของแต่ละตระกูลขึ้นมาแสดงความสามารถเพื่อหวังมัดใจฝ่าบาทเพราะตอนนี้จางหมิงยังไม่มีฮองเฮาข้างกาย มันทำให้หญิงสาวที่ยังไม่ได้ออกเรือนต่างหมายปองทั้งตำแหน่งนั้น ยิ่งทำให้ตระกูลเป็นที่เชิดหน้าชูตาเลยทีเดียวหนิงเซียนเองก็ใช่ช่วงเวลาที่หญิงสาวทั้งหลายแย่งกันแสดงความสามารถต่อหน้าจางหมิง นางกินของนางที่เข่อซิงเอามาอย่างเอร็ดอร่อย พลางดูการแสดงของหญิงสาวแต่ละคนไปด้วย“พี่เหมยฮวาท่านว่าคุณหนูพวกนั้นร่ายรำเป็นอย่างไรบ้าง” หนิงเซียนเอี้ยวตัวมาถามคนที่เก่งในทุกๆ ด้านไม่ว่าจะเป็นการร่ายรำ เล่นเครื่องดนตรีต่างๆ นับได้ว่าเหมยฮวาก็ไม่เป็นสองรองใคร แต
“คุณหนูท่านงดงามมากเจ้าค่ะ” เหมยฮวาถึงกับตะลึงในความงามของหนิงเซียนแค่เพียงนางแต่งเติมเพิ่มขึ้นมานิดหน่อย ก็ขับให้หนิงเซียนดูโดดเด่นขึ้นมาทันตา“ท่านก็กล่าวเกินไป”“คุณหนูท่านงดงามจริงๆ นะเจ้าคะ ท่านงดงามเหมือนนายหญิงเลยเจ้าค่ะ” เหมยฮวาเอ่ยชมเรียกได้ว่าความสวยของหนิงเซียนได้รับมาจากนายหญิงเต็มๆ ทั้งปาก จมูก คิ้วรวมทั้งผิวพรรณ“……”“คุณหนูข้าไม่ได้ตั้งใจ” เหมยฮวาที่รู้สึกว่าหนิงเซียนเงียบผิดปกติก็นึกได้ว่าตนเผลอเอ่ยสิ่งที่ไม่ควรเอ่ยออกมาเสียแล้ว“ไม่เป็นอันใดเจ้าค่ะ ท่านแม่นางสวยมากจริงๆ” เรื่องมันผ่านมาแล้วหนิงเซียนจะไม่พยายามจมปลักอยู่กับมันอีกแล้ว จะอยู่กับปัจจุบันให้มีความสุขที่สุด“เจ้าค่ะ”ก๊อกๆ“คุณหนูขันทีซ่งเสี่ยนส่งคนมารับท่านแล้วเจ้าค่ะ” เสียงเคาะประตูก่อนร่างของลี่หลินจะปรากฏตัว พร้อมกับบอกว่าคนที่ซ่งเสี่ยนบอกไว้เมื่อหนึ่งชั่วยามก่อนมารับแล้ว“ไปกันเถอะพี่เหมยฮวา ข้าอยากจะรู้นักว่างานเลี้ยงของเหล่าราชวงศ์เป็นเช่นไร”“เจ้าค่ะ” เหมยฮวาเพียงส่งยิ้มบางๆ ให้กับหนิงเซียนเพียงเท่านั้น“แม่นมท่านไม่ไปกับพวกเราจริงๆ หรือ” หนิงเซียนยังไม่ลืมหันมาชวนลี่หลินอีกครั้ง เพราะตัวลี่หลินให้เ
เช้าวันรุ่งขึ้น…วันนี้เป็นวันที่สองที่หนิงเซียนได้อยู่ในที่แห่งนี้ มันช่างรู้สึกเหงาไม่น้อยเพราะว่าพวกนางไม่สามารถออกไปไหนได้เลย หันไปถามหวังเหว่ยก็ได้คำตอบกลับว่าแค่ว่า “รอให้ฝ่าบาทกลับมาก่อนขอรับ”นั่นแหละเป็นคำตอบที่นางได้รับจากหวังเหว่ยทำให้นางเองต้องมานั่งปรุงยารอจางหมิงกลับมา ซึ่งก็ไม่รู้เวลาไหนเหมือนกันก๊อกๆ“ข้ารบกวนเวลาของเจ้าหรือไม่” เสียงบุคคลที่หนิงเซียนรอคอยมาตลอดทั้งเช้าในที่สุดก็ปรากฏตัวเสียที“จางหมิงท่านหายไปไหนมา”“ข้าติดภารกิจนิดหน่อย หวังเหว่ยดูแลเจ้าดีหรือไม่” จางหมิงหันไปมองหวังเหว่ยที่ยืนอยู่ด้านหลัง“ดูแลก็ดูแลดีอยู่ แต่หวังเหว่ยไม่ให้ข้าออกไปไหนเลย”“มันเป็นคำสั่งของข้าเอง”“อันใดท่านจะมากักขังข้าแบบนี้ไม่ได้นะ ข้าอุตส่าห์ยอมตามท่านมา” หนิงเซียนมองไปที่จางหมิงด้วยความไม่พอใจ หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไปนางคงอกแตกตายเป็นแน่“มันไม่ใช่อย่างนั้น แค่เพียงช่วงเวลานี้เท่านั้น หลังจากนี้เจ้าจะออกไปไหนได้ตามใจชอบ”“ท่านไม่ได้หลอกข้าให้ดีใจเล่นๆ ใช่หรือไม่” หนิงเซียนมองจางหมิงอย่างจับผิดจางหมิงพยักหน้าตอบรับ ก่อนจะเอ่ยประโยคต่อมา” คืนนี้จะมีงานเลี้ยงต้อนรับข้ากลับมาแล้วเจ
ในที่สุดขบวนรถม้าของจางหมิงก็มาถึงเมืองหนันเหลียงสักที นี่เป็นครั้งแรกที่หนิงเซียนได้มาต่างเมือง นางมองสองข้างทางด้วยความตื่นเต้น ดูเหมือนว่าเมืองหนันเหลียงนั้นจะดีกว่าเมืองซีฉินอย่างมาก ทั้งความเป็นอยู่ของชาวบ้านตลอดสองข้างทาง และบ้านเมืองที่ดูอลังการกว่าของซีฉินไม่น้อยขบวนรถม้าแล่นมาเรื่อยๆ จนถึงเขตวังหลวง ทำให้นางได้เห็นถึงความแตกต่างของหนันเหลียงและซีฉิน“พวกเจ้าเป็นผู้ใด โปรดแสดงตัว” ทหารที่คุมประตูทางเข้าพระราชวังขอตรายืนยันตัวตน เพราะคนที่จะเข้าไปในวังหลวงได้นั้นต้องมีตราสัญลักษณ์โดยเฉพาะหวังเหว่ยยื่นตราสัญลักษณ์ของจางหมิงให้ทหารผู้นั้นได้ดู” ฝ่าบาท เปิดทางฝ่าบาททรงเสร็จกลับมาแล้ว “ทหารที่เห็นตราสัญลักษณ์มังกรทองก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นของใครเพราะมันมีเจ้าของเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น เสียงประกาศของทหารผู้นี้ทำให้คนที่ได้ยินต่างหันมาอย่างพร้อมเพียง จากนั้นก็รีบไปแจ้งนายของตนว่าฝ่าบาทได้กลับมาแล้วจางหมิงหาไปสนใจกับคนพวกนั้นไม่ นำขบวนรถม้าของหนิงเซียนมุ่งหน้าไปยังทิศเหนือของวังหลวง พามาหยุดอยู่หน้าตำหนักหนึ่ง“เฉิงเฉียนกง”หนิงเซียนมองชื่อตำหนักที่อยู่ต่อหน้านาง มองจากข้างนอกแล้วเรี
หลังจากผ่านเหตุการณ์นั้นไป ทั้งซีฮันและเฟยหยางต่างเร่งเร้าให้นางขึ้นเป็นจักรพรรดินีคนต่อไปของแคว้นซีฉิน แต่หนิงเซียนก็เลือกที่จะปฏิเสธพร้อมกับบอกซีฮันว่าตนนั้นไปอยู่หนันเหลียงกับจางหมิง ตอนที่ซีฮันรู้เรื่องระหว่างของหนิงเซียนกับจางหมิงเขาถึงกับโวยวายอยู่พักใหญ่ ทำให้หนิงเซียนและลี่หลินไปช่วยกันอธิบายถึงทำให้ใจเย็นลงหนิงเซียนยังได้แต่งตั้งให้ซีฮันไปดูแลซีฉินแทนนางก่อน ซึ่งตัวซีฮันก็ตอบตกลงทันที นางนั้นรู้ว่าตัวซีฮันน้อยใจนางที่ไม่ได้บอกเรื่องนี้ให้กับเขารู้เป็นคนแรก” คุณหนูท่านไม่ต้องกังวลเขาหรอก เดี๋ยวเขาหายโกรธก็มาหาท่านเอง “ลี่หลินเอ่ยบอกกับหนิงเซียน เพราะลี่หลินอยู่กับซีฮันมาหลายเดือนก็พอจะรู้นิสัยของซีฮันแล้ว” เจ้าค่ะ “” หนิงเซียนมีอันใดให้ข้าช่วยหรือไม่ “นับตั้งแต่วันที่หนิงเซียนเอ่ยตกลง จางหมิงก็ยิ่งตัวติดนางมากกว่าเดิม ไม่ว่าจะทำอันใด ไปที่ไหนก็จะมีจางหมิงอยู่ใกล้ๆ ตลอด” ข้ากับพี่เหมยฮวาเก็บเรียบร้อยหมดแล้วเจ้าค่ะ “ตั้งแต่ที่เหมยฮวามาอยู่ที่นี่ คำเรียกของพวกนางก็เปลี่ยนไป ตอนแรกเหมยฮวาจะให้เรียกนางเฉยๆ แต่หนิงเซียนไม่ยอมเพราะว่าเหมยฮวาก็อายุมากกว่านาง จนเหมยฮวาเองต้องยอมให
“ตัวข้าหากใครดีกับข้า ข้าจะดีตอบคนผู้นั้น แต่สำหรับคนเลวๆ อย่างพวกเจ้าอย่าหวังว่าข้าจะดีตอบ เอาละเพื่อไม่ให้เวลามันยืดเยื้อไม่มากกว่านี้ เราควรมาจบเรื่องนี้กันเสียที”นิ้วเรียวยาวชี้ไปที่ตงหยางก่อนจะเอ่ยสั่งกองทัพ “โจมตี” กองทัพทมิฬเคลื่อนตัวอย่างรวดเร็วบุกประชิดประตูเมือง ทหารของตงหยางเพียงไม่กี่พันคนถูกกองทัพทมิฬจัดการอย่างรวดเร็ว ผู้คนที่อยู่ในหลังประตูเมืองต่างวิ่งกันจ้าละหวั่นเพื่อเอาชีวิตรอด“พระองค์หนีเถอะขอรับ” ไป๋ซานเห็นท่าไม่ดีแล้ว ไปประชิดตัวตงหยางเพื่อจะพาหนี แต่ก็ไม่ทันการเมื่อซีฮันมาดักทางทั้งสองไว้“เจ้าหลบไปอย่าหาว่าข้าไม่เตือน” ไป๋ซานเอ่ยขู่ซีฮันซีฮันได้แต่เหลือบมองไป๋ซานด้วยสายตาเรียบนิ่งเท่านั้น “ตงหยางวันนี้เป็นวันตายของเจ้า อย่าคิดเลยว่าเจ้าจะหนีจากคุณหนูของข้าพ้น” จากนั้นซีฮันก็พุ่งไปจัดการตงหยาง ทำให้ไป๋ซานต้องออกมารับมือแทนเพราะฝีมือของตงหยางแทบจะสู้ซีฮันไม่ได้เลยระหว่างที่ตงหยางหลบอยู่หลังของไป๋ซานมีร่างของใครบางคนปรากฏตัวอยู่ข้างๆ แล้วจับตัวตงหยางทุ่มลงกับพื้น“อึก…จางหมิงเจ้า” ตงหยางกระอักเลือดออกมาด้วยความเจ็บปวด รู้สึกเหมือนว่าร่างกายกำลังแตกเป็นเสี่ยงๆ
ไม่นานข่าวการพ่ายแพ้ของกองทัพซีฉินที่ชายแดนก็กระจายไปทั่วเมือง ทำให้ประชาชนตอนนี้อยู่ในความหวาดกลัว ไม่รู้ว่าทหารของหนันเหลียงจะบุกโจมตีเมื่อไหร่ ซึ่งมีหลายครอบครัวไม่น้อยที่รีบอพยพหนีตายกันไปตอนตั้งแต่วันรู้ข่าวแล้วและก็มีขุนนางหลายตระกูลไม่น้อยที่คิดจะหนีออกจากที่นี่ แต่ก็ไม่สามารถทำได้เพราะตัวของตงหยางนั้นได้ส่งองครักษ์มาคุ้มไม่ให้ตระกูลขุนนางแต่ละตระกูลหนี“เหตุใดแม่ทัพของพวกเราจึงได้โง่เง่าเช่นนี้”“ข้าบอกแล้ว เจ้าไม่เห็นหรือเมื่อก่อนแม่ทัพตระกูลหม่าไม่เคยแพ้ต่อกองทัพใดเลยเพราะมีกองทัพทมิฬหนุนหลังอยู่ แล้วตอนนี้เจ้าคิดว่าเป็นเช่นไร”“อะไรของเจ้า ไม่ใช่ว่าตระกูลหม่าก่อกบฏหรือ”“เจ้าคิดว่าตระกูลหม่าจะก่อกบฏจริงหรือ หากทำจริงพวกเขาแค่สั่งกองทัพทมิฬบุกชิงบัลลังก์ก็ได้แล้วไม่ใช่หรือ เจ้าก็รู้ดีว่าไม่มีใครสามารถต้านกองทัพทมิฬได้อยู่แล้ว”“มันก็จริงของเจ้า ด้วยอำนาจของกองทัพทมิฬพวกราชวงศ์ย่อมสู้ไม่ได้อยู่แล้ว”“เจ้าก็รู้ๆ กันอยู่ ท่านผู้นั้นกลัวว่าอำนาจของตระกูลหม่าจะมากเกินไป จึงรวมหัวกับเหล่าขุนนางเพื่อกำจัดตระกูลหม่าให้สิ้น”“เจ้าแน่ใจหรือ ไม่ใช่แต่งเรื่องขึ้นมา”“ไม่ต้องไปสืบข่าวข้
“ตอนนี้กำลังเสริมของทหารซีฉินมาถึงแล้วขอรับ ซึ่งซินหยานเป็นผู้นำทัพในครั้งนี้” หวังเหว่ยองครักษ์ของจางหมิงกล่าวรายงาน“โอ้…องค์รัชทายาทเป็นแม่ทัพเลยหรือ ถ้างั้นข้าก็จะคงไม่ทำให้เขาผิดหวังอย่างแน่นอน” หนิงเซียนแสยะยิ้มมุมปาก มาให้จัดการถึงที่นางจะไม่ดีใจได้อย่างไร ก่อนนางจะหันไปพยักหน้าให้กับจางหมิง“รู้แล้วใช่หรือไม่ว่าจะต้องทำอย่างไร” จางหมิงเอ่ยบอกกับหวังเหว่ยด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง“ขอรับนายท่าน” จากนั้นหวังเหว่ยก็ออกจากกระโจมไปสั่งเคลื่อนพลบุกโจมตีกองทัพของซีฉินโดยเร็ว“หน้าข้ามีอันใดติดหรือ” หนิงเซียนเอ่ยถามด้วยความสงสัย เพราะนางเห็นจางหมิงมองมาที่นางเกือบหนึ่งเค่อแล้ว“ไม่มี ตอนนี้ข้าเพียงคิดว่าจะขออันใดจากเจ้าดี” จางหมิงยิ้มกรุ้มกริ่มหนิงเซียนที่เห็นสายตาของจางหมิงมองมา นางเริ่มคิดแล้วว่าตัวนางนั้นคิดถูกหรือคิดผิดที่บอกจางหมิงไปอย่างนั้น…“อันใดกันเหตุใดพวกมันจึงบุกรวดเร็วขนาดนี้” ตัวของซินหยานที่มุ่งหน้ามาชายแดนอย่างไม่ได้หยุดพัก ก็ต้องหัวเสียเมื่อพบว่าพอเขามาถึงพวกทหารหนันเหลียงก็บุกโจมตีทันที” ข้าเองก็ไม่ทราบขอรับ “นายกองที่มาพร้อมกับซินหยานก็หงุดหงิดไม่แพ้ซินหยานเลยทหารขอ
รถม้าของหนิงเซียนที่กำลังเข้าไปในหุบเขาก็มีเหล่าทหารทำหน้าที่คุ้มกันมาขวางทางไว้” พวกเจ้าเป็นผู้ใครกัน “ผู้คุ้มชักดาบออกมาเตรียมพร้อมสำหรับโจมตีคนที่อยู่ในรถม้านี้” ข้าเองไม่ใช่ใครที่ไหน “หนิงเซียนยืนเพียงหัวออกมาทักบอกกับเหล่าผู้คุ้ม หากนางไม่รีบปรากฏตัวรับรองว่ามีเลือดสาดกันแน่” คุณหนูเป็นท่านนั้นเอง เปิดประตูคุณหนูกลับมาแล้ว ข้าขอโทษด้วยที่ไม่ตรวจสอบให้ดีเสียก่อน” ทหารหนุ่มโค้งคำนับขอโทษที่ตนไม่ตรวจสอบให้ละเอียดเสียก่อน“ไม่เป็นไรถือว่าเจ้าทำตามหน้าที่”จากนั้นหนิงเซียนก็บอกทางให้หม่าเถียวพาไปจอดที่โรงหมอซีฮันที่เห็นคนคุ้นเคยจึงเข้ามาทักทาย “เป็นเจ้านั้นเองว่าแต่คุณหนูละ” ซีฮันมองหาตัวของหนิงเซียน“ท่านลุงข้าอยู่นี้ เป็นอย่างไรบ้างเจ้าค่ะ” หนิงเซียนโผล่หัวออกมาทักทาย“ข้าสบายดี เป็นข้าเองเสียมากกว่าที่ต้องถามท่านว่า ออกไปเที่ยวเล่นสนุกหรือไม่ขอรับ”หนิงเซียนที่โดยถามอย่างนั้นนางส่งยิ้มแหยๆ ให้ซีฮันก่อนนางจะเอ่ยเปลี่ยนเรื่อง “แม่นมอยู่นี้หรือไม่เจ้าค่ะ” พลางสอดส่องหาลี่หลินไปทั่วโรงหมอ“นางพึ่งขึ้นไปทำอาหารมื้อเที่ยงก่อนคุณหนูมาไม่ถึงหนึ่งเค่อด้วยซ้ำ” หนิงเซียนได้ยินอย่างนั้นก็พ