“เย็นนี้เจ้าอยากกินอะไรหรือไม่ เเม่จะทำให้เจ้าเอง” เหวยผิงหันมาถามอี้เหวิน เพราะนางกำลังจะพาอี้เหวินไปซื้ออาหารตุนไว้
“อะไรก็ได้ขอรับ ท่านแม่ทำอะไรก็อร่อย”
“หืม…ลูกใครเนี่ย ช่างปากหวานเสียจริง” เหวยผิงก้มหอมแก้มอี้เหวินด้วยความหมั่นเขี้ยว
เหวยผิงพาอี้เหวินมาตรงพวกขายของกิน เนื่องจากเป็นเวลาช่วงเช้าๆ ทำให้มีผู้คนออกมาจับจ่ายใช้สอยเป็นจำนวนมาก
“เนื้อหมู เนื้อหมูสด พึ่งฆ่าเลย มาเลือกซื้อกันได้เลย” เสียงแม่ค้าส่งเสียงเรียกผู้ที่เดินผ่านไปผ่านมา
“ขายอย่างไรเจ้าค่ะ” เหวยผิงพาอี้เหวินเดินเข้าไปร้านขายหมูที่ดูใหญ่ที่สุด
“เนื้อล้วนชั่งละสามร้อยอีแปะ เนื้อติดมันชั่งละสองร้อยห้าสิบอีแปะ ไม่ทราบว่าแม่นางต้องการแบบไหน”
“ข้าเอาเนื้อติดมันสองชั่ง ข้าอยากจะรู้ว่ามีส่วนที่เป็นมันล้วนหรือไม่” เหวยผิงเอ่ยถามแม่ค้าดู เพราะนางไม่มั่นใจว่าคนที่นี่จะกินล้วนหรือไม่
“มันล้วนหรือ แม่นางจะเอามันไปทำอะไร มันไม่อร่อยเลย” แม่ค้ามองเหวยผิงด้วยความแปลกใจ เหวยผิงเป็นคนแรกที่มาถามหามันล้วน
“ข้ามีวิธีของข้าเจ้าค่ะ ไม่ทราบว่าท่านมีหรือไม่เจ้าค่ะ”
“มี ข้ามีเยอะเลย คนส่วนมากไม่ค่อยซื้อมันทำให้ข้าต้องปาดมันทิ้งทุกวัน ว่าแต่แม่นางต้องการเท่าไหร่”
“สี่ชั่งเจ้า” ตามจริงเหวยผิงก็อยากได้มากกว่านี้ แต่ติดที่ว่านางนั่งเกวียนคนอื่นมากลัวซื้อไปเยอะแล้วจะมีพวกปากมากคอยถากถางนาง
“ได้…ห้าร้อยอีแปะ ส่วนมันพวกนี้ข้าไม่คิดเงิน คราวหน้าหากเจ้าใจดีก็บอกข้าก็ได้ว่ามันพวกนี้จะทำอันใดได้”
“เจ้าค่ะ คราวหน้าข้าจะเอามาให้ลองกิน” เหวยผิงกล่าวพลางรับเนื้อหมูมาจากแม่ค้า
หลังจากซื้อหมูแล้วเหวยผิงก็ตรงไปร้านขายผัก ก็พบว่ามีคนมาร้านขายผักน้อยมาก คาดว่าน่าจะพึ่งพ้นฤดูหนาวคงมีแต่ส่วนที่ปลูกเก็บไว้ จากที่ดูผ่านๆ สภาพผักไม่ค่อยน่ากินสักเท่าไหร่ และดูเหมือนว่าราคาจะแพงมากกว่าปกติ
นางจึงเดินเลี่ยงออกไป แล้วมุ่งตรงไปร้านขายข้าว
“เถ้าแก่ ข้าวพวกนี้ขายอย่างไรเจ้าค่ะ” เหวยผิงชี้ไปที่ข้าวตั้งรวมกันหลายกระสอบ
“ข้าวหยาบชั่งละสามสิบอีแปะ ข้าวขาวชั่งละแปดสิบอีแปะ”
“ข้าเอาข้าวขาวสี่ชั่ง น้ำตาลสี่จิน แล้วก็แป้งขาวสามจินเจ้าค่ะ” เหตุที่เหวยผิงเลือกข้าวขาวเพราะข้าวหยาบแข็งเกินไปแค่นั้นแหละ
เหวยผิงยืนรอเถ้าแก่จัดเตรียมของให้ นางก็เดินดูของในร้านก็พบเป็นวัตถุดิบทั่วไป และราคาค่อนข้างถูกนางเห็นชาวบ้านหลายคนมาซื้อ
“ทั้งหมดแปดร้อยเก้าสิบห้าอีแปะ”
น้ำตาลและเกลือในยุคนี้เป็นสิ่งหายาก ทำให้มีราคาที่แพงแต่เหวยผิงก็ต้องจำใจซื้อมา
เหวยผิงรับของมาแล้วก็จ่ายเงินให้กับเถ้าแก่ นางคิดในหัวสิ่งที่ต้องซื้อก็ซื้อครบหมดแล้ว ดูเวลาก็เหลือประมาณอีกสองเค่อเห็นจะได้
“เจ้าอยากได้ไปไหนหรือไม่” เหวยผิงหันมาถามอี้เหวิน ยังพอมีเวลาเหลืออยู่หากอี้เหวินจะอยากไปไหนนางจะได้พาไป
“ไม่ขอรับ ท่านแม่ไปไหนข้าก็ไปกับท่าน” อี้เหวินส่ายหัวไปมา เขาเองก็เข้ามาในตัวอำเภอครั้งแรกกับท่านแม่ทำให้ไม่รู้จะไปที่ไหนดี ในตลาดท่านแม่ก็พาเดินดูหมดแล้ว
“งั้นเราก็กลับไปที่เกวียนกันเถิด เดินจากตรงนี้ไปถึงเกวียนน่าจะได้เวลาพอดี” เหวยผิงพาอี้เหวินเดินหวนกลับมาทางเดิม นี่ก็ใกล้ยามอู่ผู้คนมาเดินตลาดน้อยลง ทำให้สองแม่ลูกเดินได้อย่างสบายใจ
จนมาถึงที่เกวียนก็พบว่าทุกคนมารอครบแล้ว เป็นสองแม่ลูกนั้นเองที่มาเป็นคนสุดท้าย
“ซื้อของขนาดนี้เอาเงินที่ไหนไปซื้อ หรือว่าไปถอดกายให้กับเจ้าของร้านเสียล่ะ” ยังไม่ทันที่เหวยผิงจะขึ้นเกวียนฟางซินก็เอ่ยถากถางด้วยความอิจฉา ที่เห็นบนตัวสองแม่ลูกมีเสื้อผ้าตัวใหม่ซึ่งดูเหมือนจะมีราคามากๆ อีกทั้งของเต็มไม้เต็มมือนั้นอีก นางเห็นเนื้อหมูด้วยดูท่าจะแพงไม่น้อย
“ท่านสติไม่ดีหรือ ข้าซื้อของพวกนี้ได้หมายความว่าข้ามีเงิน แล้วอย่าเอาความคิดต่ำตมแบบนั้นมาแปดเปื้อนข้า” เหวยผิงชักจะรำคาญฟางซินเสียแล้ว เป็นอันใดกับนางมากนัก
“ถ้าไม่ใช่แล้วเจ้าจะเอาเงินมาจากไหนซื้อของมาเยอะแยะขนาดนี้” ฟางซินก็ยังไม่ยอมแพ้
“……” เหวยผิงเลือกที่จะเงียบ นางเริ่มจะรำคาญเสียแล้ว หากคราวหน้าเจออีกนางจะเดินหนีเสีย
“เงียบทำไม หรือข้าพูดถูก หญิงหม้ายอย่างเจ้าก็คงมีดีแค่นี้แหละ” ฟางซินแสยะยิ้มอย่างชนะ
“ครบกันแล้ว ก็ออกเดินทาง” ไป๋ซานที่เดินกลับมาที่เกวียนก็เห็นว่าคนครบแล้วจึงออกเกวียน โดยไม่รู้ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่
ตลอดทางทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบไม่มีใครพูดคุยกัน มีเพียงเสียงล้อเกวียนที่ดัง จวบจนถึงหมู่บ้านเหวยผิงก็พาอี้เหวินตรงกลับบ้านทันที ดีไม่น้อยที่บ้านนางอยู่ห่างจากหมู่บ้าน
พอถึงบ้านนางก็ตรงเข้าไปในครัวจัดของที่ซื้อมาให้เข้าที่ ส่วนอี้เหวินเองก็ถือเสื้อและรองเท้าคู่ใหม่เข้าห้องไปที่เรียบร้อย
เช้าวันรุ่งขึ้น…
เหวยผิงตื่นแต่เช้าตรู่เตรียมตัวไปเก็บหยางเหมย เพราะเมื่อตอนที่นางไปจับปลานางเห็นต้นหยางเหมยออกผลแล้ว คาดว่าตอนนี้น่าจะมีบางส่วนที่สุกแล้ว
นางสะพายตะกร้าขึ้นหลัง ครั้งนี้เหวยผิงพาอี้เหวินไปด้วยเนื่องจากไม่ไกลบ้านมากนัก
“คนเยอะมากๆ ท่านแม่ซื้อถังหูลู่ให้ข้าด้วย” เสียงของอี้เหวินพูดคุยกับเฟยฮวาด้วยความสนุกสนาน ตัวเฟยฮวาก็เป็นผู้ฟังที่ดี
“อร่อยเหมือนน้ำผึ้งหรือไม่”
“อร่อย น้ำผึ้งก็อร่อย ถังหูลู่ที่ท่านแม่ซื้อให้อร่อย” อี้เหวินผู้ที่ไม่รู้ว่ามันอร่อยเหมือนน้ำผึ้งเป็นอย่างไร จึงตอบว่าอร่อยทั้งสองอย่าง
“ครั้งหน้าข้าจะไปด้วย ข้าอยากของกินที่เรียกว่าถังหูลู่”
“ได้เลย ครั้งหน้าเฟยฮวาต้องขอท่านแม่ไปด้วย” เสียงของอี้เหวินดังเจื้อยแจ้วตลอดทางจนมาถึงลำธาร
“พวกเรามาเก็บอะไรหรือขอรับ” อี้เหวินเอ่ยถาม
“นั้นไงเจ้าเห็นต้นไม้ตรงนั้นหรือไม่ นั้นหยางเหมย เจ้าต้องเก็บผลที่เป็นสีนี้เท่านั้น ส่วนลูกที่เป็นสีเขียวๆยังไม่สุกต้องรออีกสองสามวันถึงจะเก็บได้” เหวยผิงสาธิตการเก็บลูกหยางเหมย (เบย์เบอร์รีจีน) ให้อี้เหวินดู
“มันกินได้หรือไหมขอรับ” มือน้อยๆ ของอี้เหวินเด็ดลูกหยางเหมยลงมาดู สีแดงเข้มดูน่ากลัวอย่างไรไม่รู้
“กินได้สิ อร่อยมากด้วย มันจะออกเปรี้ยวๆ หวานๆ เจ้าลองกินดู” เหวยผิงนำหยางผิงไปล้างน้ำแล้วยืนใส่ปากอี้เหวิน
“……” ปากเล็กกัดลงไปที่ผลหยางเหมย น้ำหวานทะลักเข้าปากมีรสเปรี้ยวเล็กน้อย เมื่อเคี่ยวๆ รวมกันช่างอร่อยมากๆ
“เป็นอย่างไร” เหวยผิงเอ่ยถามเมื่อเห็นอี้เหวินตาโต
“อร่อยขอรับท่านแม่ มันหวานๆ เปรี้ยวเล็กน้อย ข้าไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่ามันกินได้” อี้เหวินหยิบส่วนที่เหลือเข้าปากทันที
“อร่อยก็กินอีก” เหวยผิงกล่าว ก่อนจะหันมาเริ่มเก็บผลหยางเหมย ส่วนอี้เหวินนางไม่ได้เคร่งว่าจะเก็บช่วยนางขนาดนั้น นางแค่ไม่อยากให้อี้เหวินต้องอยู่บ้านคนเดียว
ซึ่งดูจากเมล็ดที่ร่วงอยู่ใต้ต้น นางคาดว่าน่าจะมีชาวบ้านมีเก็บมันไปกินบ้าง
ในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วยามผลหยางเหมยที่เต็มต้น ถูกสองแม่ลูกเก็บไปจนหมด
“เหนื่อยหรือไม่” เหวยผิงใช้ชายเสื้อซับเหงื่อที่หน้าผากของอี้เหวินด้วยความเอ็นดู นางไม่คิดว่าอี้เหวินจะช่วยนางเก็บจนหมดต้นขนาดนี้
“ไม่ขอรับ ออกจะสนุกด้วยซ้ำ” อี้เหวินเอ่ยพลางส่งยิ้มให้เหวยผิง ก่อนจะหันไปดูผลหยางเหมยที่เต็มตะกร้า
เหวยผิงเองก็มองไปตามอี้เหวิน หยางเหมยที่พวกนางเก็บมาคาดว่าประมาณเกือบสามสิบจินเห็นจะได้เมื่อนั่งพักเรียบร้อยทั้งสองจึงมุ่งตรงกลับบ้าน
เมื่อมาถึงบ้านเหวยผิงก็แบ่งหยางเหมยออกมาประมาณสามจินล้างน้ำให้สะอาด ส่วนที่เหลือนางเก็บในมิติโดยมีอี้เหวินน้อยคอยเป็นลูกมือ กิจการแรกที่นางคิดจะทำก็คือสุราสายน้ำผึ้ง เมื่อภพที่แล้วนางถูกพี่สาวพาไปเรียนทำสุราสายน้ำผึ้ง จึงทำให้พอมีความรู้ติดตัวมาอยู่บ้าง อีกทั้งในภพนี้สุราก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ผู้คนต่างซื้อกัน สุราที่นางจะหมักนี้มันหอมนุ่มจนสตรีสามารถทานได้เริ่มแรกนางเอาหยางเหมยมาบดให้พอแตกๆ แล้วก็ใส่ถังแล้วใช้ผ้าปิดหน้าถังไว้ไม่ให้อากาศเข้า“คงต้องไปซื้อถังใหม่เสียแล้วล่ะ” ถังที่เหวยผิงใช้เป็นถังที่ไว้ใช้สำหรับตักน้ำ เมื่อวานนางก็ลืมซื้อ เอาไว้คราวหน้าค่อยไปสั่งทำใหม่ ซึ่งนางเองก็ไม่รู้ว่าที่นางทำนี้จะได้ผลหรือเปล่า นางจึงเก็บถังหยางเหมยไว้ในมิติหลังจากหมักเสร็จแล้ว นางก็ไม่รู้จะทำอันใดอีกจึงมานั่งเล่นหน้าบ้านกับอี้เหวิน“ทำอันใดอยู่หรือ” เหวยผิงเดินเข้ามา ก็เห็นอี้เหวินกำลังขีดเขียนอะไรสักอย่างบนพื้นดิน“ข้าเขียนพวกเราขอรับ นี่ท่านแม่ นี่อี้เหวิน ส่วนนี่เฟยฮวา” อี้เหวินชี้ไปบนพื้นให้ท่านแม่ดูเหวยผิงที่เห็นรูปที่อี้เหวินวาดก็น้ำตาซึม นั่งลงข้างๆ อี้เหวินแล้วเอ่ยว่า“สวยมากๆ อี้เหวิ
เหวยผิงจึงหยิบขวดกระเบื้องที่ใส่น้ำทิพย์ขึ้นมากิน กลิ่นอันหอมหวานลอยคลุ้งไปทั่ว ทำให้ทั้งเฟยฮวาและเหล่าผึ้งงานบินมาหยุดต่อหน้าเหวยผิง มองน้ำทิพย์ที่อยู่ในขวดกระเบื้องตาเป็นประกาย“ถือว่าเป็นรางวัลของพวกเจ้าสำหรับวันนี้” เหวยผิงหยดน้ำทิพย์ลงใบไม้แล้วยื่นให้กับเหล่าผึ้งงานที่นำทางนางมาหาต้นหยางเหมยเหล่าผึ้งงานเองที่ได้รับอนุญาตก็บินมาเกาะใบไม้อย่างรวดเร็ว ดูดกินน้ำทิพย์อย่างเอร็ดอร่อย“นี่เหวยผิง ท่านต้องให้ข้าด้วยสิ ข้าก็พาท่านมานะ” เฟยฮวาเอ่ยประท้วงที่ตนไม่ได้รับน้ำทิพย์ เหมือนผึ้งงานของนาง“ได้สิ” เหวยผิงหยดน้ำทิพย์ไปที่หลังมือแล้วยืนไปใกล้ๆ เฟยฮวา“ขอบคุณ” เหวยผิงนั่งมองเหล่าผึ้งกินน้ำทิพย์อยู่ก็รู้สึกว่ามีบางอย่างสะกิดที่ขาหลังของนาง นางจึงหันไปมองก็พบว่าเป็นพังพอนขาวที่กำลังใช้เท้าอันน้อยเขี่ยนางไปมา“แล้วนี่มีพังพอนขาวด้วยหรือ” เหวยผิงมองเจ้าพังพอนน้อยอย่างแปลกใจ เพราะปกตินางเห็นแต่พังพอนสีน้ำตาล นางยังไม่เคยเห็นพังพอนตัวสีขาวมาก่อนเลย“อี้ๆ…” เจ้าพังพอนน้อยก็เขี่ยขาหลังไปมา“เจ้าต้องการอันใดหรือ” เหวยผิงที่เห็นพังพอนขาวเขี่ยอยู่อย่างนั้นจึงเอ่ยถามด้วยความสงสัย“อี้ๆ…อี้” เหมือ
หลังจากที่นางกำลังเตรียมของแล้วก็ได้ให้เฟยฮวาไปตามอี้เหวินกับเสี่ยวไป๋มาเปลี่ยนชุดเพื่อไปในตัวอำเภอ นี่ก็ยามอู่แล้วนางไม่รู้ว่าท่านลุงไป๋ซานจะเข้าไปในตัวอำเภออีกหรือไม่ ไม่งั้นคงต้องจ้างไปตัวอำเภอโดยเฉพาะเสียแล้วอี้เหวินที่ได้ยินว่าท่านแม่จะพาไปเที่ยวในตัวอำเภอก็อุ้มเสี่ยวไป๋วิ่งกลับเร็ว แล้วเข้าไปเปลี่ยนซื้อผ้าตัวที่สำหรับออกบ้าน“เสร็จหรือยังอี้เหวิน” เหวยผิงเตรียมตัวเสร็จแล้ว จึงส่งเสียงเรียกอี้เหวิน“เสร็จแล้วขอรับ ไปตัวอำเภอกัน” อี้เหวินพร้อมชุดใหม่เดินอุ้มเสี่ยวไป๋ออกมาจากห้อง และยังมีเฟยฮวาที่เกาะอยู่บนไหล่อี้เหวินอีกด้วยระหว่างเดินผ่านบ้านท่านป้ากุ้ยฉิน เหวยผิงก็ตะโกนเรียก“ท่านป้าท่านอยู่หรือไม่เจ้าคะ เหวยผิงเองเจ้าค่ะ” “อ่าวพวกเจ้านั้นเอง มีอันใดหรือ” กุ้ยฉินที่ได้ยินคนส่งเสียงเรียกก็ออกมาจากบ้าน“ข้าเอาหยางเหมยมาให้เจ้าค่ะ พอดีข้าชิมแล้วมันหวาน สดชื่นมากๆ ข้าเลยแบ่งมาให้ท่าน” เหวยผิงส่งตะกร้าที่นางแบ่งหยางเหมยมาให้บ้านกุ้ยฉินได้ลองกินบ้าง“ขอบใจเจ้ามากๆ ข้าก็ไม่ได้กินหยางเหมยนานแล้ว ดูสิมีแต่ลูกแดงๆ น่ากินไม่น้อย ว่าแต่พวกเจ้าจะไปไหนหรือแต่งตัวซะดีเชียว”“ข้าจะเข้าไปตัวอ
“อ้าวแม่นาง ครั้งนี้เจ้าต้องการอันใดหรือ” เสี่ยวเอ้อที่เห็นคนคุ้นหน้าจึงเอ่ยถามขึ้น“ข้าต้องการถั่วห้าจิน แป้งขาวสิบจิน” “ถั่วจินละสามร้อยอีแปะ แป้งขาวจินละสองร้อยอีแปะ ทั้งหมดสามตำลึงห้าร้อยอีแปะ ยังต้องการอันใดอีกหรือไม่” เสี่ยวเอ้อเอ่ยถามเพื่อความแน่ใจ ก่อนจะไปเตรียมของที่เหวยผิงสั่งไว้“ไม่ทราบว่าไปส่งที่เกวียนของข้าได้หรือ” ตอนนี้ตะกร้านางก็เต็มแล้ว หากจะให้นางแบกของเพิ่มอีกสิบกว่าจินคงไม่ไหว ตอนสั่งนางไม่ได้คิดเลยว่าจะเอากลับอย่างไร“ได้ข้าจะให้คนของข้าไปส่งให้ ว่าแต่เกวียนของแม่นางอยู่ตรงไหนหรือ” เหวยผิงได้บอกตำแหน่งของเกวียนให้เสี่ยวเอ้อได้ทราบ พร้อมกับให้ค่าแรงอีกส่วนหนึ่งสำหรับคนที่ไปส่งของให้นาง“เหนื่อยหรือไม่” เหวยผิงหันมาถามอี้เหวินด้วยความเป็นห่วงเพราะนางพาอี้เหวินเดินเยอะไม่น้อย“ไม่เหนื่อยขอรับ สนุกมากข้าได้เห็นอะไรใหม่ๆ เยอะเลย” อี้เหวินเอ่ยตอบ เพราะมาเที่ยวในตัวอำเภอสนุกกว่าอยู่ที่บ้านไม่น้อย“ยังเหลือเวลาอีกนิดหนึ่ง แม่เห็นร้านขายตำราอยู่ร้านหนึ่ง เจ้าอยากได้กระดาษไว้วาดรูปหรือไม่” นอกจากเสี่ยวไป๋ที่เป็นเพื่อนเล่นแล้ว อี้เหวินก็ไม่มีอะไรทำอีกเลย“อยากขอรับ ข้าอยาก
ยามเฉิน…เช้านี้เหวยผิงตื่นมาก็เข้ามาดูแป้งที่ทำไว้ตั้งแต่เมื่อคืน เปิดผ้าคลุมออกก็เห็นก้อนแป้งที่มีขนาดใหญ่ว่าในตอนแรกอยู่มากเหวยผิงเอาแป้งขาวมาโรยเป็นพื้นรองไม่ให้แป้งติดกับพื้น แล้วตัดแบ่งออกเป็นสี่ส่วน ส่วนละเท่าๆ กันจากนั้นก็นวดขึ้นรูปจนเนื้อเนียนเป็นก้อนกลมๆ เมื่อทำเสร็จทั้งสี่ก้อน นางก็ใช้มีดกรีดหน้าแป้งให้เป็นลวดลายนำแป้งไปวางในหม้อเหล็กที่นางได้ทาน้ำมันมะกอกไว้ ปิดฝาแล้วเอาไปตั้งบนกองไฟ เหวยผิงตักฟืนบางส่วนไปวางบนฝาหม้อ วิธีนี้เป็นวิธีอบเมี่ยนเปาอีกแบบหนึ่ง รอเวลาที่เมี่ยนเปาสุกได้ที่กลิ่นหอมของเมี่ยนเปาส่งกลิ่นหอมยั่วยวน ให้อี้เหวินกับเสี่ยวไป๋ที่กำลังเล่นอยู่หลังบ้านวิ่งตามกลิ่นมาอย่างรวดเร็ว“หอมมาก ท่านแม่ท่านทำอันใดหรือ กลิ่นหอมไปถึงหลังบ้านเลย” อี้เหวินจ้องมองไปที่เตาอย่างอยากรู้ว่าท่านแม่ทำอาหารชนิดใดถึงได้หอมขนาดนี้“เมี่ยนเปา เจ้ารอก่อนอีกไม่ถึงหนึ่งเค่อก็ใกล้สุกแล้ว” “ขอรับ” หนึ่งเด็กน้อยหนึ่งพังพอนขาวนั่งรอหน้าเตาอย่างใจจดใจจ่อ อยากรู้ว่าสิ่งที่ส่งกลิ่นหอมไปทั่วมีหน้าตาเป็นอย่างไรระหว่างที่รอเมี่ยนเปาก้อนแรกสุก เหวยผิงก็เอาหยางเหมยมาหันเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วโรยไปก
“หน้าธรรมดาก้อนละยี่สิบอีแปะขอรับ ส่วนหน้าหยางเหมยก้อนละยี่สิบห้าอีแปะขอรับ ท่านลุงจะเอาอันไหน”“หน้าหยางเหมยเป็นอย่างไรหรือ” “ท่านแม่ใส่หยางเหมยลงไปด้วย มันจะให้รสเปรี้ยวหวานขอรับ” อี้เหวินเอ่ยอธิบายให้จางเหว่ยได้ฟังหลังจากได้ฟังท่านแม่อธิบายให้ลูกค้าคนก่อนๆ“งั้นข้าเอาทั้งหมดเลย”“จริงหรือขอรับ” อี้เหวิยเอ่ยถามเพื่อความแน่ชัด“จริงสิ”“ท่านแม่ ท่านลุงเอาหมดเลย” อี้เหวินหันมาบอกเหวยผิงที่อยู่ข้างๆ ด้วยความดีใจ“ทั้งหมดหนึ่งร้อยหกสิบอีแปะ คุณชายโปรดรอสักครู่นะเจ้าค่ะ”“ได้เลย ข้ายังไม่รีบสักเท่าไหร่” เนื่องจากกระทงใบไม้ที่เตรียมมาใส่ได้แค่หนึ่งถึงสองชิ้นเท่านั้น นางจึงต้องทำมันขึ้นมาใหม่“นี่เจ้าค่ะ” “แล้วท่านจะไปที่ไหนอีกหรือไม่” จางเหว่ยรับเมี่ยนเปามา แล้วเอ่ยถามเหวยผิง“ข้าจะไปซื้อของอีก หลังจากนั้นคงกลับบ้านเจ้าค่ะ” เนื่องจากจางเหว่ยเหมาเมี่ยนเปาไปหมดแล้ว ก็เริ่มเก็บของนางจะไปซื้อของไว้ทำสำหรับพรุ่งนี้เพิ่ม อีกทั้งหลังจากหักส่วนที่ไว้ลองชิม นางก็ขายได้หกร้อยสามสิบอีแปะ หักค่าแป้ง ค่าหยางเหมย ค่าจิปาถะอื่นๆ แล้วนางยังได้กำไรตั้งสามร้อยแปดสิบอีแปะ การค้าขายวันแรกถือว่าเป็นไปด้วยด
เช้าวันรุ่งขึ้น…วันนี้อี้เหวินตื่นตั้งแต่ยามเฉินมาช่วยเหวยผิงจัดเมี่ยนเปาใส่ตะกร้า หลังจากที่นางซื้อหม้อมาเพิ่มอีกสองใบ ทำให้ใช้เวลาในการอบขนมน้อยลง จำนวนเมี่ยนเปาหกสิบลูกสำหรับเช้านี้ เหวยผิงใช้เวลาไปแค่หนึ่งชั่วยามครึ่งเมื่ออบเสร็จนางก็มุ่งตรงไปยังลานหมู่บ้านก็ไม่พบเห็นเกวียนของไป๋ซานแล้ว นางเอ่ยถามคนเเถวนั้นก็บอกว่าเกวียนของไป๋ซานออกไปตั้งแต่สองเค่อจะได้แล้ว“เอาอย่างไรดีขอรับท่านแม่” อี้เหวินเอ่ยถามขึ้น เมี่ยนเปาเต็มตะกร้าขนาดนี้หากจะไม่เอาไปขายก็ไม่ได้“งั้นเราไปหาท่านลุงกัน ใช้เกวียนของท่านลุงไปตัวอำเภอ” เมื่อได้อย่างนั้น เหวยผิงจูงมืออี้เหวินกลับขึ้นมาที่บ้านชุนเทียน“ท่านลุง ท่านลุงเจ้าค่ะ อยู่บ้านหรือไม่” เหวยผิงส่งเสียงเรียกคนในบ้าน ไม่นานชายวัยกลางคนก็เดินออกมาจากบ้าน“มีอะไรหรือเหวยผิง มาเรียกลุงที่หน้าบ้าน” “ข้าอยากจะจ้างท่านลุงไปส่งข้าในตัวอำเภอเสียหน่อยเจ้าค่ะ พอดีข้ามาไม่ทันเกวียนของท่านลุงไป๋ซานข้าจะไปขายเมี่ยนเปาเจ้าค่ะ” “งั้นหรือ รอข้าสักครู่ข้าไปเอาเกวียนก่อน เมี่ยนเปาของเจ้าเมื่อวานที่กุ้ยฉินเอามาให้ข้าอร่อยไม่น้อย เอาเป็นว่าเจ้าเอาเมี่ยนเปาจ่ายเป็นค่าเกวียนก็
วันนี้เป็นวันแรกที่สำนักหม่าและโรงหมอของนางเปิดสอนวันแรก ซึ่งนางจะแบ่งตารางเป็นสองช่วงคือช่วงยามเฉินถึงยามซื่อ และช่วงบ่ายยามเว่ยถึงยามเซินในช่วงเช้าของวันแรกจะมีเด็กเล็กมาเรียนหนังสือโดยที่นางจะแบ่งให้เฟยหยางและซีฮันสอนคนละช่วงเวลา ส่วนนางกับลี่หลินจะสอนในส่วนของชาวบ้านที่มาเรียนหมอ ซึ่งสำหรับหมอนั้นนางก็แบ่งออกไปสองกลุ่มเช่นกัน โดยกลุ่มแรกเรียนการเขียนการอ่านต่างๆ ส่วนอีกกลุ่มก็จะไปเรียนความรู้พื้นฐานต่างๆ เกี่ยวกับสมุนไพรกับลี่หลินและตอนบ่ายก็จะสลับกัน“แม่นมเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ” ระหว่างที่พักทานอาหารกลางวัน หนิงเซียนก็ถามด้วยความอยากรู้ว่าลี่หลินสามารถสอนได้หรือเปล่า“สนุกดีเจ้าค่ะคุณหนู ข้าสอนได้” ลี่หลินนางรู้สึกว่าตัวเองมีประโยชน์ขึ้นเยอะ และนางยังรู้สึกชอบที่มีคนมานั่งฟังนางบรรยาย“ถ้าเช่นนั้นก็ดีเจ้าค่ะ” หากลี่หลินมีความสุขนางก็มีความสุขเช่นกัน“แล้วท่านกับท่านลุงละเป็นอย่างไรบ้าง” หนิงเซียนหันมาถามชายหนุ่มวัยกลางคนที่นั่งร่วมวงทานข้าวด้วย“ก็ดีขอรับ” เฟยหยางเอ่ยตอบรู้สึกแปลกๆ อยู่บ้าง แต่เขาคิดว่าถ้าได้สอนได้เจอเด็กๆ ทุกวันเดี๋ยวก็คงจะชิน“ก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้น” ตัวซีฮันเองก
เพียงแวบตาเดียวที่จางหมิงหันมาสบตากับนางก่อนจะหันไปทางอื่น ในมุมนี้ทำให้หนิงเซียนเห็นนิสัยอีกด้านหนึ่งของจางหมิงเลยก็ว่าได้ พอตอนอยู่กับนางจางหมิงชอบแกล้งนางเป็นที่หนึ่ง ตามติดไม่ห่างราวกับเป็นคนขาดความอบอุ่น แต่พอนางมาเป็นจางหมิงในมุมนี้ ในสถานะราชาปกครองแคว้นจางหมิงทั้งดูสุขุม มีอำนาจที่สามารถสยบผู้คนได้แต่ด้วยภาพลักษณ์แบบนี้ไม่สามารถทำลายภาพจำที่จางหมิงทำไว้กับนางได้หรอก“เริ่มงานเลี้ยงได้” จางหมิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำพลางมองไปรอบๆ งานก่อนจะมีหญิงสาวของแต่ละตระกูลขึ้นมาแสดงความสามารถเพื่อหวังมัดใจฝ่าบาทเพราะตอนนี้จางหมิงยังไม่มีฮองเฮาข้างกาย มันทำให้หญิงสาวที่ยังไม่ได้ออกเรือนต่างหมายปองทั้งตำแหน่งนั้น ยิ่งทำให้ตระกูลเป็นที่เชิดหน้าชูตาเลยทีเดียวหนิงเซียนเองก็ใช่ช่วงเวลาที่หญิงสาวทั้งหลายแย่งกันแสดงความสามารถต่อหน้าจางหมิง นางกินของนางที่เข่อซิงเอามาอย่างเอร็ดอร่อย พลางดูการแสดงของหญิงสาวแต่ละคนไปด้วย“พี่เหมยฮวาท่านว่าคุณหนูพวกนั้นร่ายรำเป็นอย่างไรบ้าง” หนิงเซียนเอี้ยวตัวมาถามคนที่เก่งในทุกๆ ด้านไม่ว่าจะเป็นการร่ายรำ เล่นเครื่องดนตรีต่างๆ นับได้ว่าเหมยฮวาก็ไม่เป็นสองรองใคร แต
“คุณหนูท่านงดงามมากเจ้าค่ะ” เหมยฮวาถึงกับตะลึงในความงามของหนิงเซียนแค่เพียงนางแต่งเติมเพิ่มขึ้นมานิดหน่อย ก็ขับให้หนิงเซียนดูโดดเด่นขึ้นมาทันตา“ท่านก็กล่าวเกินไป”“คุณหนูท่านงดงามจริงๆ นะเจ้าคะ ท่านงดงามเหมือนนายหญิงเลยเจ้าค่ะ” เหมยฮวาเอ่ยชมเรียกได้ว่าความสวยของหนิงเซียนได้รับมาจากนายหญิงเต็มๆ ทั้งปาก จมูก คิ้วรวมทั้งผิวพรรณ“……”“คุณหนูข้าไม่ได้ตั้งใจ” เหมยฮวาที่รู้สึกว่าหนิงเซียนเงียบผิดปกติก็นึกได้ว่าตนเผลอเอ่ยสิ่งที่ไม่ควรเอ่ยออกมาเสียแล้ว“ไม่เป็นอันใดเจ้าค่ะ ท่านแม่นางสวยมากจริงๆ” เรื่องมันผ่านมาแล้วหนิงเซียนจะไม่พยายามจมปลักอยู่กับมันอีกแล้ว จะอยู่กับปัจจุบันให้มีความสุขที่สุด“เจ้าค่ะ”ก๊อกๆ“คุณหนูขันทีซ่งเสี่ยนส่งคนมารับท่านแล้วเจ้าค่ะ” เสียงเคาะประตูก่อนร่างของลี่หลินจะปรากฏตัว พร้อมกับบอกว่าคนที่ซ่งเสี่ยนบอกไว้เมื่อหนึ่งชั่วยามก่อนมารับแล้ว“ไปกันเถอะพี่เหมยฮวา ข้าอยากจะรู้นักว่างานเลี้ยงของเหล่าราชวงศ์เป็นเช่นไร”“เจ้าค่ะ” เหมยฮวาเพียงส่งยิ้มบางๆ ให้กับหนิงเซียนเพียงเท่านั้น“แม่นมท่านไม่ไปกับพวกเราจริงๆ หรือ” หนิงเซียนยังไม่ลืมหันมาชวนลี่หลินอีกครั้ง เพราะตัวลี่หลินให้เ
เช้าวันรุ่งขึ้น…วันนี้เป็นวันที่สองที่หนิงเซียนได้อยู่ในที่แห่งนี้ มันช่างรู้สึกเหงาไม่น้อยเพราะว่าพวกนางไม่สามารถออกไปไหนได้เลย หันไปถามหวังเหว่ยก็ได้คำตอบกลับว่าแค่ว่า “รอให้ฝ่าบาทกลับมาก่อนขอรับ”นั่นแหละเป็นคำตอบที่นางได้รับจากหวังเหว่ยทำให้นางเองต้องมานั่งปรุงยารอจางหมิงกลับมา ซึ่งก็ไม่รู้เวลาไหนเหมือนกันก๊อกๆ“ข้ารบกวนเวลาของเจ้าหรือไม่” เสียงบุคคลที่หนิงเซียนรอคอยมาตลอดทั้งเช้าในที่สุดก็ปรากฏตัวเสียที“จางหมิงท่านหายไปไหนมา”“ข้าติดภารกิจนิดหน่อย หวังเหว่ยดูแลเจ้าดีหรือไม่” จางหมิงหันไปมองหวังเหว่ยที่ยืนอยู่ด้านหลัง“ดูแลก็ดูแลดีอยู่ แต่หวังเหว่ยไม่ให้ข้าออกไปไหนเลย”“มันเป็นคำสั่งของข้าเอง”“อันใดท่านจะมากักขังข้าแบบนี้ไม่ได้นะ ข้าอุตส่าห์ยอมตามท่านมา” หนิงเซียนมองไปที่จางหมิงด้วยความไม่พอใจ หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไปนางคงอกแตกตายเป็นแน่“มันไม่ใช่อย่างนั้น แค่เพียงช่วงเวลานี้เท่านั้น หลังจากนี้เจ้าจะออกไปไหนได้ตามใจชอบ”“ท่านไม่ได้หลอกข้าให้ดีใจเล่นๆ ใช่หรือไม่” หนิงเซียนมองจางหมิงอย่างจับผิดจางหมิงพยักหน้าตอบรับ ก่อนจะเอ่ยประโยคต่อมา” คืนนี้จะมีงานเลี้ยงต้อนรับข้ากลับมาแล้วเจ
ในที่สุดขบวนรถม้าของจางหมิงก็มาถึงเมืองหนันเหลียงสักที นี่เป็นครั้งแรกที่หนิงเซียนได้มาต่างเมือง นางมองสองข้างทางด้วยความตื่นเต้น ดูเหมือนว่าเมืองหนันเหลียงนั้นจะดีกว่าเมืองซีฉินอย่างมาก ทั้งความเป็นอยู่ของชาวบ้านตลอดสองข้างทาง และบ้านเมืองที่ดูอลังการกว่าของซีฉินไม่น้อยขบวนรถม้าแล่นมาเรื่อยๆ จนถึงเขตวังหลวง ทำให้นางได้เห็นถึงความแตกต่างของหนันเหลียงและซีฉิน“พวกเจ้าเป็นผู้ใด โปรดแสดงตัว” ทหารที่คุมประตูทางเข้าพระราชวังขอตรายืนยันตัวตน เพราะคนที่จะเข้าไปในวังหลวงได้นั้นต้องมีตราสัญลักษณ์โดยเฉพาะหวังเหว่ยยื่นตราสัญลักษณ์ของจางหมิงให้ทหารผู้นั้นได้ดู” ฝ่าบาท เปิดทางฝ่าบาททรงเสร็จกลับมาแล้ว “ทหารที่เห็นตราสัญลักษณ์มังกรทองก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นของใครเพราะมันมีเจ้าของเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น เสียงประกาศของทหารผู้นี้ทำให้คนที่ได้ยินต่างหันมาอย่างพร้อมเพียง จากนั้นก็รีบไปแจ้งนายของตนว่าฝ่าบาทได้กลับมาแล้วจางหมิงหาไปสนใจกับคนพวกนั้นไม่ นำขบวนรถม้าของหนิงเซียนมุ่งหน้าไปยังทิศเหนือของวังหลวง พามาหยุดอยู่หน้าตำหนักหนึ่ง“เฉิงเฉียนกง”หนิงเซียนมองชื่อตำหนักที่อยู่ต่อหน้านาง มองจากข้างนอกแล้วเรี
หลังจากผ่านเหตุการณ์นั้นไป ทั้งซีฮันและเฟยหยางต่างเร่งเร้าให้นางขึ้นเป็นจักรพรรดินีคนต่อไปของแคว้นซีฉิน แต่หนิงเซียนก็เลือกที่จะปฏิเสธพร้อมกับบอกซีฮันว่าตนนั้นไปอยู่หนันเหลียงกับจางหมิง ตอนที่ซีฮันรู้เรื่องระหว่างของหนิงเซียนกับจางหมิงเขาถึงกับโวยวายอยู่พักใหญ่ ทำให้หนิงเซียนและลี่หลินไปช่วยกันอธิบายถึงทำให้ใจเย็นลงหนิงเซียนยังได้แต่งตั้งให้ซีฮันไปดูแลซีฉินแทนนางก่อน ซึ่งตัวซีฮันก็ตอบตกลงทันที นางนั้นรู้ว่าตัวซีฮันน้อยใจนางที่ไม่ได้บอกเรื่องนี้ให้กับเขารู้เป็นคนแรก” คุณหนูท่านไม่ต้องกังวลเขาหรอก เดี๋ยวเขาหายโกรธก็มาหาท่านเอง “ลี่หลินเอ่ยบอกกับหนิงเซียน เพราะลี่หลินอยู่กับซีฮันมาหลายเดือนก็พอจะรู้นิสัยของซีฮันแล้ว” เจ้าค่ะ “” หนิงเซียนมีอันใดให้ข้าช่วยหรือไม่ “นับตั้งแต่วันที่หนิงเซียนเอ่ยตกลง จางหมิงก็ยิ่งตัวติดนางมากกว่าเดิม ไม่ว่าจะทำอันใด ไปที่ไหนก็จะมีจางหมิงอยู่ใกล้ๆ ตลอด” ข้ากับพี่เหมยฮวาเก็บเรียบร้อยหมดแล้วเจ้าค่ะ “ตั้งแต่ที่เหมยฮวามาอยู่ที่นี่ คำเรียกของพวกนางก็เปลี่ยนไป ตอนแรกเหมยฮวาจะให้เรียกนางเฉยๆ แต่หนิงเซียนไม่ยอมเพราะว่าเหมยฮวาก็อายุมากกว่านาง จนเหมยฮวาเองต้องยอมให
“ตัวข้าหากใครดีกับข้า ข้าจะดีตอบคนผู้นั้น แต่สำหรับคนเลวๆ อย่างพวกเจ้าอย่าหวังว่าข้าจะดีตอบ เอาละเพื่อไม่ให้เวลามันยืดเยื้อไม่มากกว่านี้ เราควรมาจบเรื่องนี้กันเสียที”นิ้วเรียวยาวชี้ไปที่ตงหยางก่อนจะเอ่ยสั่งกองทัพ “โจมตี” กองทัพทมิฬเคลื่อนตัวอย่างรวดเร็วบุกประชิดประตูเมือง ทหารของตงหยางเพียงไม่กี่พันคนถูกกองทัพทมิฬจัดการอย่างรวดเร็ว ผู้คนที่อยู่ในหลังประตูเมืองต่างวิ่งกันจ้าละหวั่นเพื่อเอาชีวิตรอด“พระองค์หนีเถอะขอรับ” ไป๋ซานเห็นท่าไม่ดีแล้ว ไปประชิดตัวตงหยางเพื่อจะพาหนี แต่ก็ไม่ทันการเมื่อซีฮันมาดักทางทั้งสองไว้“เจ้าหลบไปอย่าหาว่าข้าไม่เตือน” ไป๋ซานเอ่ยขู่ซีฮันซีฮันได้แต่เหลือบมองไป๋ซานด้วยสายตาเรียบนิ่งเท่านั้น “ตงหยางวันนี้เป็นวันตายของเจ้า อย่าคิดเลยว่าเจ้าจะหนีจากคุณหนูของข้าพ้น” จากนั้นซีฮันก็พุ่งไปจัดการตงหยาง ทำให้ไป๋ซานต้องออกมารับมือแทนเพราะฝีมือของตงหยางแทบจะสู้ซีฮันไม่ได้เลยระหว่างที่ตงหยางหลบอยู่หลังของไป๋ซานมีร่างของใครบางคนปรากฏตัวอยู่ข้างๆ แล้วจับตัวตงหยางทุ่มลงกับพื้น“อึก…จางหมิงเจ้า” ตงหยางกระอักเลือดออกมาด้วยความเจ็บปวด รู้สึกเหมือนว่าร่างกายกำลังแตกเป็นเสี่ยงๆ
ไม่นานข่าวการพ่ายแพ้ของกองทัพซีฉินที่ชายแดนก็กระจายไปทั่วเมือง ทำให้ประชาชนตอนนี้อยู่ในความหวาดกลัว ไม่รู้ว่าทหารของหนันเหลียงจะบุกโจมตีเมื่อไหร่ ซึ่งมีหลายครอบครัวไม่น้อยที่รีบอพยพหนีตายกันไปตอนตั้งแต่วันรู้ข่าวแล้วและก็มีขุนนางหลายตระกูลไม่น้อยที่คิดจะหนีออกจากที่นี่ แต่ก็ไม่สามารถทำได้เพราะตัวของตงหยางนั้นได้ส่งองครักษ์มาคุ้มไม่ให้ตระกูลขุนนางแต่ละตระกูลหนี“เหตุใดแม่ทัพของพวกเราจึงได้โง่เง่าเช่นนี้”“ข้าบอกแล้ว เจ้าไม่เห็นหรือเมื่อก่อนแม่ทัพตระกูลหม่าไม่เคยแพ้ต่อกองทัพใดเลยเพราะมีกองทัพทมิฬหนุนหลังอยู่ แล้วตอนนี้เจ้าคิดว่าเป็นเช่นไร”“อะไรของเจ้า ไม่ใช่ว่าตระกูลหม่าก่อกบฏหรือ”“เจ้าคิดว่าตระกูลหม่าจะก่อกบฏจริงหรือ หากทำจริงพวกเขาแค่สั่งกองทัพทมิฬบุกชิงบัลลังก์ก็ได้แล้วไม่ใช่หรือ เจ้าก็รู้ดีว่าไม่มีใครสามารถต้านกองทัพทมิฬได้อยู่แล้ว”“มันก็จริงของเจ้า ด้วยอำนาจของกองทัพทมิฬพวกราชวงศ์ย่อมสู้ไม่ได้อยู่แล้ว”“เจ้าก็รู้ๆ กันอยู่ ท่านผู้นั้นกลัวว่าอำนาจของตระกูลหม่าจะมากเกินไป จึงรวมหัวกับเหล่าขุนนางเพื่อกำจัดตระกูลหม่าให้สิ้น”“เจ้าแน่ใจหรือ ไม่ใช่แต่งเรื่องขึ้นมา”“ไม่ต้องไปสืบข่าวข้
“ตอนนี้กำลังเสริมของทหารซีฉินมาถึงแล้วขอรับ ซึ่งซินหยานเป็นผู้นำทัพในครั้งนี้” หวังเหว่ยองครักษ์ของจางหมิงกล่าวรายงาน“โอ้…องค์รัชทายาทเป็นแม่ทัพเลยหรือ ถ้างั้นข้าก็จะคงไม่ทำให้เขาผิดหวังอย่างแน่นอน” หนิงเซียนแสยะยิ้มมุมปาก มาให้จัดการถึงที่นางจะไม่ดีใจได้อย่างไร ก่อนนางจะหันไปพยักหน้าให้กับจางหมิง“รู้แล้วใช่หรือไม่ว่าจะต้องทำอย่างไร” จางหมิงเอ่ยบอกกับหวังเหว่ยด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง“ขอรับนายท่าน” จากนั้นหวังเหว่ยก็ออกจากกระโจมไปสั่งเคลื่อนพลบุกโจมตีกองทัพของซีฉินโดยเร็ว“หน้าข้ามีอันใดติดหรือ” หนิงเซียนเอ่ยถามด้วยความสงสัย เพราะนางเห็นจางหมิงมองมาที่นางเกือบหนึ่งเค่อแล้ว“ไม่มี ตอนนี้ข้าเพียงคิดว่าจะขออันใดจากเจ้าดี” จางหมิงยิ้มกรุ้มกริ่มหนิงเซียนที่เห็นสายตาของจางหมิงมองมา นางเริ่มคิดแล้วว่าตัวนางนั้นคิดถูกหรือคิดผิดที่บอกจางหมิงไปอย่างนั้น…“อันใดกันเหตุใดพวกมันจึงบุกรวดเร็วขนาดนี้” ตัวของซินหยานที่มุ่งหน้ามาชายแดนอย่างไม่ได้หยุดพัก ก็ต้องหัวเสียเมื่อพบว่าพอเขามาถึงพวกทหารหนันเหลียงก็บุกโจมตีทันที” ข้าเองก็ไม่ทราบขอรับ “นายกองที่มาพร้อมกับซินหยานก็หงุดหงิดไม่แพ้ซินหยานเลยทหารขอ
รถม้าของหนิงเซียนที่กำลังเข้าไปในหุบเขาก็มีเหล่าทหารทำหน้าที่คุ้มกันมาขวางทางไว้” พวกเจ้าเป็นผู้ใครกัน “ผู้คุ้มชักดาบออกมาเตรียมพร้อมสำหรับโจมตีคนที่อยู่ในรถม้านี้” ข้าเองไม่ใช่ใครที่ไหน “หนิงเซียนยืนเพียงหัวออกมาทักบอกกับเหล่าผู้คุ้ม หากนางไม่รีบปรากฏตัวรับรองว่ามีเลือดสาดกันแน่” คุณหนูเป็นท่านนั้นเอง เปิดประตูคุณหนูกลับมาแล้ว ข้าขอโทษด้วยที่ไม่ตรวจสอบให้ดีเสียก่อน” ทหารหนุ่มโค้งคำนับขอโทษที่ตนไม่ตรวจสอบให้ละเอียดเสียก่อน“ไม่เป็นไรถือว่าเจ้าทำตามหน้าที่”จากนั้นหนิงเซียนก็บอกทางให้หม่าเถียวพาไปจอดที่โรงหมอซีฮันที่เห็นคนคุ้นเคยจึงเข้ามาทักทาย “เป็นเจ้านั้นเองว่าแต่คุณหนูละ” ซีฮันมองหาตัวของหนิงเซียน“ท่านลุงข้าอยู่นี้ เป็นอย่างไรบ้างเจ้าค่ะ” หนิงเซียนโผล่หัวออกมาทักทาย“ข้าสบายดี เป็นข้าเองเสียมากกว่าที่ต้องถามท่านว่า ออกไปเที่ยวเล่นสนุกหรือไม่ขอรับ”หนิงเซียนที่โดยถามอย่างนั้นนางส่งยิ้มแหยๆ ให้ซีฮันก่อนนางจะเอ่ยเปลี่ยนเรื่อง “แม่นมอยู่นี้หรือไม่เจ้าค่ะ” พลางสอดส่องหาลี่หลินไปทั่วโรงหมอ“นางพึ่งขึ้นไปทำอาหารมื้อเที่ยงก่อนคุณหนูมาไม่ถึงหนึ่งเค่อด้วยซ้ำ” หนิงเซียนได้ยินอย่างนั้นก็พ