บ้านสไตล์วินเทจหลังขนาดกะทัดรัดที่มีต้นไม้ล้อมรอบดู ร่มรื่นจนผู้ผ่านไปมาอดที่จะมองเข้าไปข้างในไม่ได้ บ้านสองชั้นที่สร้างขึ้นดูสวยงามด้วยสีชมพูอ่อน ทั้งหลังเป็นไม้ออกแบบมาอย่างดี ด้านข้างเป็นซุ้มไม้เลื้อยที่ตอนนี้เป็นหลังคากันแดดอย่างสวยงามเพราะเจ้าของบ้านดูแลตลอด ต้นไม้สูงให้ร่มเงา ต้นไม้เล็กให้ความสดชื่นสบายตา มีบ่อน้ำเล็กๆ เอาไว้เลี้ยงปลาสวยงามประดับอยู่ด้วย อีกฝั่งเป็นสนามหญ้าขนาดพอดีไว้ทำกิจกรรมของครอบครัว
“หนูนิทแม่อยู่ไหมจ๊ะ” วรรณนภา วิจิตรประภา น้าสาวข้างบ้านที่สนิทสนมกับแม่ของเธอเดินมาถามในขณะที่ นิทรา นิมิตพร กำลังนั่งถักนิตติ้งอยู่ที่ซุ้มไม้เลื้อยข้างบ้าน ร่างบางยิ้มให้คุณน้าและยกมือไหว้อย่างสวยงามก่อนจะตอบ
“แม่ทำกับข้าวอยู่ในครัวค่ะน้าวรรณ” พูดพลางลุกขึ้นเพื่อนำคุณน้าคนสนิทของแม่เข้าไปข้างในแม้ว่าวรรณนภาจะห้ามแล้วก็ตามแต่เจ้าบ้านที่ดีก็ต้องดูแลแขก
“ที่จริงน้าเข้ามาหาแม่เราเองก็ได้ ไม่เห็นต้องรบกวนเลยลูก หนูไปถักนิตติ้งให้เสร็จดีกว่านะ”
นิทราทำเพียงยิ้มเท่านั้นแต่ไม่พูดอะไร
“แม่คะ น้าวรรณมาหาค่ะ”
ยลลดา นิมิตพรที่กำลังทำอาหารอยู่หันมามองแขกแล้วยิ้มออกมาทันที แม่ครัวทำการปิดแก๊สแล้วสั่งให้ลูกสาวเอาอาหารใส่จานแทนเธอ
“มาพอดีวรรณ พี่กำลังจะไปหาอยู่ที่บ้าน มานี่ๆ มีเรื่องจะเล่า ให้ฟัง”
แล้วสองสาววัยใกล้เคียงกันก็จับมือกันเดินออกไปคุยที่ห้องรับแขกของบ้านปล่อยให้สาวน้อยวัยยี่สิบแปดปี มองตามยิ้มๆ แล้วผละไปทำตามคำสั่งของแม่ทันที
นิทราอยู่กับมารดาเพียงสองคนเพราะบิดาเสียไปตอนที่เธออายุสิบแปดปี ตอนนั้นรู้สึกเสียใจมาก พ่อคือเสาหลักของครอบครัวแล้วมาด่วนจากไปชีวิตของเธอและแม่ก็เขวไปพักหนึ่งจนแม่ของเธอรับงานตัดชุดทำให้มีรายได้ดีตอนนี้มีเงินมากพอสมควร บ้านถูกผ่อนจนหมดไปแล้ว รถยนต์ก็ซื้อขาดไม่มีหนี้สิน เงินเก็บก็มีพอกินพอใช้ บ้านเธอจึงถือเป็นครอบครัวที่อบอุ่นครอบครัวหนึ่งแม้จะขาดพ่อไปก็ตาม
นิทราตื่นขึ้นมาทำอาหารเพื่อใส่บาตรกับแม่ทุกวัน ดวงตากลมโตเหลือบมองไปทางข้างบ้านซึ่งหลังใหญ่พอสมควร เป็นบ้านสไตล์โมเดิร์นที่ใหญ่สุดในซอย อีกทั้งครอบครัวนี้ยังรวยมากต่างหาก เนื่องจากเป็นบริษัทผู้รับเหมาก่อสร้างชื่อดัง ‘วิจิตร จำกัด(มหาชน)’ งานก่อสร้างโรงงานอุตสหกรรม งานก่อสร้างด้านสาธารณูปโภคถือเป็นงานหลักของบริษัทที่ต้องทำ
“นิทไปกันลูก” หลังจากใส่บาตรเสร็จเห็นลูกสาวมองไปทางบ้านของน้องคนสนิทนานจึงเรียก
นิทราได้สติจึงรีบลุกขึ้นเก็บของเดินเข้าบ้านพอดีกับที่รถยนต์ยี่ห้อดังจากฝั่งยุโรปถูกขับออกมาจากบ้านโดยลูกชายคนเล็กที่หล่อเหลาเอาการ
พสุ วิจิตรประภา หนุ่มร่างสูงที่ตอนนี้กำลังฮอตในหมู่สาวๆ เพราะเขาคือลูกชายคนเล็กที่ดูท่าว่าจะไปได้สวยกับสายงานธุรกิจของบิดา ถือเป็นนักธุรกิจหนุ่มไฟแรงที่แม้อายุเพียงยี่สิบแปดปี แต่ก็ได้เลื่อนขั้นเป็นถึงรองประธานบริษัทเพราะความสามารถของเขาเองล้วนๆ ไม่ใช้เส้นพ่อของตนแต่อย่างใด
รถหรูจอดข้างบ้านของตนฝั่งขวาซึ่งเป็นบ้านสไตล์ลอฟท์หลังงาม ไม่ใช่เพียงบ้านเท่านั้นที่สวยแต่ลูกสาวเจ้าของบ้านก็สวยมากเช่นกัน
ลินดา นรินทราทิตย์ ลูกสาวเจ้าของบริษัทรับออกแบบบ้าน ออกแบบผลิตภัณฑ์ ออกแบบโลโก้ที่กำลังมาแรงในตอนนี้ ‘ทราทิตย์ จำกัด’ ลินดาเป็นลูกสาวคนเดียวของบ้านที่เป็นที่รักถือเป็นจุดศูนย์รวมด้วยความขี้อ้อนทำให้พี่ชายทั้งสองต่างตามใจน้อง จนพ่อและแม่ต้องคอยเบรกไว้ตลอด
“สวัสดีครับป้ามิน ผมมารับลินไปทำงานครับ”
มินตรา นรินทราทิตย์ปิดหนังสือพิมพ์แล้วมองลูกชายของเพื่อนบ้านด้วยรอยยิ้ม เธอหันไปมองผู้เป็นสามียิ้มให้กันสองคนอย่างรู้เป็นนัยว่าชายหนุ่มคนนี้มาติดพันลูกสาวตัวเองและพสุก็มีโปรไฟล์ดีจนทั้งเธอและสามีให้ผ่านเป็นที่เรียบร้อย
“กำลังจะลงมาจ้ะ ลูกสาวน้าคนนี้ไม่ไหวเลยจริงๆ แต่งตัวช้า”
พูดไม่ขาดคำสาวสวยร่างบางก็เดินลงมาจากบันไดด้วยชุดสูทเรียบหรูเสริมด้วยกระโปรงยาวคลุมเข่า ใบหน้าหวานส่งยิ้มให้พ่อกับแม่แล้วเข้ามาหอมแก้มท่านทั้งสองทันที
“ลูกไม่ได้แต่งตัวช้านะคะ แค่มีเรื่องให้ทำนิดหน่อยไปแล้วนะคะคุณพ่อคุณแม่” มือสวยยกไหว้บุพการีก่อนเดินตามพสุออกไปข้างนอก
เป็นกิจวัตรประจำวันที่ทั้งสองจะไปทำงานด้วยกันเพราะบริษัททราทิตย์จำกัดอยู่ห่างจากวิจิตร จำกัด(มหาชน) เพียงห้ากิโลเมตรเท่านั้น
“กินข้าวเช้าหรือยัง” ถามพร้อมกับยื่นกล่องแซนด์วิชให้ ลินดารับมายิ้มอย่างมีความสุขเป็นแบบนี้เสมอเมื่อออกไปเรียนหรือทำงาน พสุรู้ว่าเธอไม่ทันได้ทานอาหารเช้าก็จะทำแซนด์วิชมาให้ทุกวันจนบางครั้งเธอต้องบอกให้เขาพอเพราะเบื่อแซนด์วิชเหลือเกิน
“ขอบใจนะ นายรู้ใจฉันตลอดเลย”
ยิ้มของเธอราวกับแสงสว่างของดวงอาทิตย์ เพียงแค่ลินดายิ้มเขาก็มีความสุข เธอคนเดียวผู้กุมดวงใจทั้งดวงของเขาไว้
รถคันหรูขับออกไปจากหน้าบ้านของลินดาโดยไม่รู้ว่ามีหนึ่งสายตามองตาม ร่างบางลดของที่ถือในมือลง เป็นอีกครั้งที่เธอมาไม่ทันเอาข้าวกล่องให้กับเขา เพราะน้าวรรณบอกกับเธอว่าลูกชายคนเล็กของตนนั้นไม่ชอบทานข้าวเช้ามัวแต่นอนตื่นสายจนต้องรีบไปหมดเสียทุกอย่าง เธอเลยตั้งใจทำอาหารให้เขาทุกเช้า บางวันก็ทัน บางวันก็ไม่ทันแต่เธอก็ทำทุกวันอย่างสม่ำเสมอ
“ขับรถดีๆ นะ” คงต้องฝากสายลมไปบอกกับเขาเสียแล้ววันนี้
คนตัวเล็กเดินกลับเข้าไปภายในบ้านเพราะต้องช่วยแม่ทำงานให้เสร็จตามจำนวนลูกค้าที่สั่งมา เธอออกแบบเสื้อผ้าแล้วลงมือตัดเอง ตอนนี้เสื้อผ้าของเธอกำลังเป็นที่ต้องการของตลาดด้วยดีซายน์ที่แปลกใหม่และสวยทำให้แบรนด์เล็กๆ ของเธอกับแม่อย่างแบรนด์ ‘นิทลดา’ กำลังดัง โดยมีโรงงานคือบ้านนั่นเอง
สองแม่ลูกจะทำจำนวนจำกัดเพราะไม่อยากให้งานส่วนนี้มาแบ่งเวลาของครอบครัวไป
ย้อนไปเมื่อสมัยทั้งสามเป็นเด็ก พสุและนิทราอยู่บ้านใกล้เรือนเคียงเล่นด้วยกันมาตลอดเพราะพ่อของสองหนุ่มสาวเป็นเพื่อนสนิทกัน นิทราตามใจพสุตลอดไม่ว่าชายหนุ่มอยากเล่นอะไรเธอก็เล่นกับเขาแม้กระทั่งฟุตบอลที่ตนเองเล่นไม่เป็นก็ไปหัดมาจนสามารถเล่นได้แต่ว่าพสุไม่ได้รอเธอเพราะเขาไปเล่นกับเพื่อนผู้ชายอีกซอยเสียแล้วทำให้นิทราต้องนั่งมองลูกบอลอยู่คนเดียว
“อะไอติม” พสุเดินกลับมาจากการเล่นฟุตบอลก็ยื่นไอติมที่ตนเองซื้อมาให้กับนิทราซึ่งนั่งหน้าจ๋อยอยู่หน้าบ้าน
“เอาให้เราทำไม”
“ก็เห็นทำหน้าเศร้า เหงาเหรอ” เด็กชายวัยสิบเอ็ดปีเอ่ยถามเพื่อนพร้อมกับนั่งลงข้างๆ
นิทรารับไอศกรีมมาเปิดกิน
“ไม่หรอก แบ่งกันเรากินไม่หมด” กัดไปได้สองสามคำก็ยื่นให้เพื่อน
พสุส่ายหน้าแล้วผลักไอศกรีมกลับไปให้หญิงสาวอีกครั้ง
“ไม่ละ กินไปเถอะ” เขานั่งมองนิทรากินจนหมดก่อนจะยิ้มให้ “อย่าทำหน้าเศร้าอีกละ มันไม่เหมาะกับนิทหรอก” เขาว่าพลางลุกขึ้นเดินเข้าบ้านตนเอง
นิทรามองตามหลังแล้วยิ้มกว้างเดินร้องเพลงเข้าบ้านอย่างมีความสุข เขาไม่ได้ทิ้งเธอเสียหน่อยจะเศร้าไปทำไมกันล่ะ
จนกระทั่งสองปีต่อมา บ้านนรินทราทิตย์ก็ย้ายมาอยู่ข้างบ้านวิจิตรประภา ความสนใจของพสุถูกย้ายไปที่ลินดาลูกสาวคนเล็กของบ้านหลังใหม่ที่เข้ามาอยู่จนหมด เธออยู่ในวัยเดียวกับเขาแถมยังสวยน่ารัก หัวใจหนุ่มที่เริ่มเข้าสู่วัยรุ่นเต้นแรงเมื่อเห็นเธอส่งยิ้มให้ เขาตกหลุมรักเธอเข้าแล้ว!
หลังจากนั้นถ้าหญิงสาวไม่ไปมาหาสู่ที่บ้าน พสุก็แทบจะลืมไปเลยว่ามีนิทราอยู่ข้างบ้านตน เมื่อมีความสุขพสุมักจะไปหาลินดาทุกครั้งแต่เมื่อทุกข์เขากลับไปปรึกษานิทรา เธอยินดีรับฟังเขาทุกเรื่องแม้กระทั่งเรื่องที่เขาแอบรักลินดามาตลอด เขาปรึกษาวิธีการทุกอย่างกับนิทราโดยไม่ล่วงรู้เลยว่าเพื่อนสาวคนนี้คิดไม่ซื่อกับตนเอง
จนในที่สุดจบมัธยมปลายเขาก็สารภาพรักกับลินดาแต่เธอกลับปฏิเสธเขาไปเหลือไว้เพียงความเป็นเพื่อนเท่านั้น ตลอดเวลาที่ผ่านมาพสุก็ยังคงเหมือนเดิมกับลินดาเขาดูแลเธออย่างดีไม่ขาดตกบกพร่องจนบิดามารดาของหญิงสาวนั้นอยากได้เขามาเป็นลูกเขยดีที่ลูกสาวแบรกไว้ทันแต่ท่านก็ยังคงหวังอยู่เสมอ
“นิทพี่เอาแกงเขียวหวานมาฝาก”
ภมร วิจิตรประภา พี่ชายแท้ๆ ของพสุหนุ่มหล่อประธานบริษัทเดินถือกล่องใส่อาหารมาให้น้องข้างบ้านที่ตนเอ็นดู
นิทราวางมือจากการรดน้ำต้นไม้แล้วเชิญภมรเข้ามาภายในบ้านทันที เขานั่งรอเธออยู่ที่ซุ้มไม้เลื้อยก่อนที่หญิงสาวจะเอาแกงเขียวหวานไปเทใส่ถ้วยแล้วล้างกล่องมาให้เขาอย่างเรียบร้อย
“เสร็จแล้วค่ะพี่ภมร”
ชายหนุ่มรับของในมือของน้องสาวแล้วถามไถ่ถึงงานก่อนจะขอตัวกลับบ้าน
ร่างบางมองตามร่างสูงใหญ่ของภมรแล้วอดนึกถึงชายหนุ่มอีกคนไม่ได้ ทำไมเดี๋ยวนี้พสุไม่มาหาเธอเลยก็ไม่รู้ ปกติอาหารพวกนี้เขามักจะเอามาให้เธอไม่ใช่หรือแต่ทำไมคราวนี้ถึง...
ใครเลยจะรู้ว่าค่ำขนาดนี้แล้วลูกชายคนเล็กของบ้านวิจิตรประภายังคงหลงระเริงในบทเพลงแห่งรักกับสาวเลขาหน้าสวยที่เพิ่งเข้ามาทำงานในบริษัทของตนเอง หลังเสร็จภารกิจรักแล้วพสุก็สวมเสื้อผ้าทันทีพลางมองดูนาฬิกาเรือนหรูที่ติดอยู่ข้างฝาผนัง
“จะไปไหนคะคุณพสุ” เมขลา เลขาสาวหน้าสวยเอ่ยถามเมื่อเห็นเขารีบ เธอสวมชุดเสร็จแล้วก็เดินมากอดแขนเขาเอาไว้ทันที
ชายหนุ่มมีท่าทางรำคาญเล็กน้อยก่อนปลดมือเธอออก
“ผมต้องไปรับเพื่อน ไว้เจอกันพรุ่งนี้” ว่าจบก็หยิบสูทเดินออกไปทันทีด้วยเพราะไม่เห็นความสำคัญอะไรที่ต้องมานั่งล่ำลาเลขาสาวที่เพิ่งเสร็จกิจกรรมกันไป เขากับเธอตกลงกันแล้วว่าจะไม่ผูกมัดใดๆ ต่อกันทั้งสิ้น โดยไม่รู้เลยว่าเลขาคนนี้หวังสูงแค่ไหน
“คอยดูเถอะคุณต้องเป็นของฉัน!” ดวงตากลมโตหมายมาดเอาไว้
รถยนต์คันหรูขับมารับลินดาที่ยืนรออยู่หน้าบริษัทแล้ว วันนี้เธอกลับค่ำเพราะต้องประชุมอยู่จนดึกดีที่ได้เพื่อนชายคนสนิทมารับ ร่างบางส่งยิ้มให้เขาแล้วขึ้นไปนั่งบนรถทันทีเมื่ออีกฝ่ายจอดรถเทียบใบหน้าหวานตอนนี้อ่อนล้าอย่างเห็นได้ชัด
“ดื่มน้ำหน่อยไหมลิน ท่าทางจะเหนื่อยน่าดู” เขายื่นน้ำเปล่าที่ซื้อมาจากร้านสะดวกซื้อข้างทางให้เธอ
ลินดารับน้ำมาดื่มก่อนจะเอ่ยขอบคุณ ระหว่างทางเธอก็เล่าเรื่องบริษัทให้ฟังเพราะอัดอั้นกับการประชุมโครงการออกแบบคอนโดมิเนียมขนาดใหญ่ของบริษัทอสังหาริมทรัพย์แห่งหนึ่งที่เรื่องมากจนการประชุมยืดเยื้อ
“ขอบคุณมากนะพสุ แล้วเจอกัน พรุ่งนี้ไม่ต้องมารับนะ เราจะไปเอง” ถึงบ้านแล้วคนตัวเล็กก็หันมาบอกเขา
พสุแปลกใจเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้ถามอะไรเขาเพียงพยักหน้าเท่านั้น เมื่อเห็นร่างบางลงจากรถไปแล้วก็ขับมาที่บ้านตัวเองแต่ก่อนจะเข้าบ้านเขาก็ชะงักเมื่อเจอสาวเพื่อนบ้านอีกคนที่นั่งเศร้าอยู่หน้าบ้าน ร่างสูงจอดรถไว้แล้วเปิดประตูลงมาทันที
“นิททำไมมานั่งตากยุงอยู่ตรงนี้คนเดียวล่ะ” เสียงทุ้มที่คุ้นเคยเรียกเธอให้เงยหน้ามามองเขา ใบหน้าคมส่งยิ้มให้นิดหน่อยตามฉบับของตนเอง
“พอดีมานั่งดูดาว” ไม่ใช่เลยที่เธอมานั่งตรงนี้เพราะรอเขาต่างหากเล่า แล้วเธอก็เห็นเขาไปส่งลินดาเมื่อสักครู่ความน้อยใจทำให้ก้มหน้านิ่งพยายามกลั้นน้ำตาที่พร้อมจะไหลออกมา
“ดาวอะไรไม่เห็นมีเลย มีเรื่องเศร้าหรือเปล่า เล่าให้เราฟังได้นะ” เงยหน้ามองท้องฟ้าก็ไม่เห็นมีดาวสักดวง เขาย่อตัวลงนั่งข้างเธอทำเอาหัวใจดวงน้อยอุ่นวาบขึ้นมาทันที
“พอดีมีเรื่องให้คิดนิดหน่อยน่ะ”
สองร่างนั่งข้างกันต่างคนต่างเงียบไม่พูดอะไรแต่บรรยากาศกลับดูอบอุ่นจนตัวพสุเองยังรู้สึกได้ เขารู้สึกได้ทุกครั้งที่อยู่กับนิทราว่าเขาจะสบายใจ มีเรื่องทุกข์เธอก็จะทำให้เขาหายได้ราวกับเธอเป็นนางฟ้าประจำตัวเขาอย่างไรอย่างนั้น
“งานเป็นไงบ้าง” นิทราถามขึ้น
ร่างสูงมองบนท้องฟ้าที่มีเพียงพระจันทร์ลอยเด่นอยู่บนนภาเท่านั้น
“ก็ดี” คำตอบสั้นๆ ราวกับต้องการปิดบทสนทนา
ไม่มีใครพูดอะไรต่อจากนั้นมีเพียงความเงียบแต่แปลกที่ภายในความเงียบนั้นไม่มีความอึดอัดอยู่เลย บรรยากาศโดยรอบดูอบอุ่น
“กับลินโอเคไหม” ตัดสินใจถามขึ้นขณะหันมามองใบหน้าคมที่เธอแอบมองเขามาตลอด เขาคงไม่เคยรู้เลยสินะว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งที่แอบรักเขามาตลอด
“ก็เป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม อย่างว่านะ เรามันคงอับโชคเรื่องความรักมั้ง” ว่าแล้วหันมายิ้มให้เธอ ดวงตามองสบกันก่อนแล้วยิ้มให้กันอย่างมีความสุข เขาชวนเธอคุยไปเรื่อยจนรู้สึกว่าดึกมากแล้วจึงเดินไปส่งนิทราเข้าบ้าน
“ถ้ามีอะไรก็บอกเราได้นะ อย่าลืมว่ามีเราเป็นเพื่อนนะ” มือหนายกมือขึ้นยีผมร่างเล็กตรงหน้าที่จ้องเขาตาแป๋ว
นิทราพยักหน้ารับทราบแล้วโบกมือลาอีกฝ่ายมองดูเขาจนลับสายตา รอยยิ้มหวานผุดขึ้นบนใบหน้าสวย เพียงแค่นี้เธอก็ดีใจมากแล้วถึงแม้จะเป็นได้เพียงแค่เพื่อนของเขาก็ตาม
“เธอรักเขาขนาดนั้นแล้วจะให้ฉันทำร้ายเธอลงได้อย่างไรนิท” คุณหนูคนเล็กของบ้านนรินทราทิตย์พึมพำกับตนเองหลังจากที่แอบมองสองหนุ่มสาวมานานแล้ว เธอรู้มาตลอดว่าเพื่อนสาวบ้านใกล้เธอแอบชอบพสุมากและนานแค่ไหน เพียงแต่พ่อคนรูปหล่อดันไม่รู้ นิทราแสนดีจนเธอแอบเชียร์อยู่ห่างๆ ให้สมหวังกับพสุเสียทีแต่รอนานแล้วก็ดูจะไม่ประสบความสำเร็จเท่าไหร่
“รอนานหรือเปล่า” หนุ่มหล่อดีกรีประธานบริษัท เดินออกมาจากบ้านด้วยชุดลำลองสบายๆ แต่มันช่างดูหล่อเหลาเหลือเกินในความคิดของเธอ
ลินดายิ้มรับชายหนุ่มคนรักของเธอก่อนจะรีบเดินไปกอด แขนเขา
“ไม่นานค่ะ รอแค่แป๊บเดียวคุณแฟนก็เดินออกมาพอดี” เธอโกหกเขาอย่างแนบเนียน ไม่อยากให้อีกฝ่ายรู้ว่าตนเองมองอีกคู่นานแค่ไหน
“ปากหวานจังเลยนะเรา เรียกพี่มามีอะไรหรือเปล่า” ร่างบางส่ายศีรษะก่อนจะกอดแขนเขาแน่น
“เป็นอะไรบอกพี่” เห็นคนรักเงียบไปเขาก็เอ่ยถาม ทั้งเขาและลินดาเพิ่งคบกันได้สามวันโดยที่สาวเจ้าทนไม่ไหวบุกมาหาเขาถึงบริษัทและบอกรักเขายาวนานพร้อมขอเป็นแฟนด้วยแล้วมีหรือที่คนอย่างภมรจะปฏิเสธเพราะก็แอบมองเธอมานานแม้จะรู้ว่าน้องชายชอบลินดามากแค่ไหน แต่เรื่องของหัวใจมันบังคับกันไม่ได้จริงๆ และนี่เป็นสาเหตุให้เขายังไม่ค่อยกล้าสู้หน้าน้องของตนเองเท่าไหร่
“วันเสาร์นี้ลินจะบอกความจริงกับพสุ” ตัดสินใจเอ่ยบอกแฟนตนเอง
ภมรมองสาวน้อยที่หน้าหม่นลงอย่างเห็นใจ เพราะน้องชายของเขาก็แสนดีขนาดนั้นการทำลายจิตใจผู้ชายที่ดีอย่างพสุไม่ใช่สิ่งที่อยากจะทำเลย
“คิดดีแล้วหรือ”
“ค่ะ คิดดีแล้ว ลินไม่อยากทำร้ายใคร” แม้ว่าการบอกครั้งนี้จะเป็นเหมือนการฆ่าเขาทั้งเป็นก็ตาม การบอกครั้งนี้อาจจะทำลายเขาจริงๆ เพราะคนที่เธอรักคือพี่ชายของเขาเอง
ลินดานิ่งคิดจนภมรรู้สึกสงสารจึงดึงแฟนสาวเข้ามากอดแล้วลูบหลังอย่างแผ่วเบา
“ถ้าลินคิดแล้วว่ามันดีก็ทำเถอะ พี่เชื่อใจลินเสมอ” ลินดายิ้มซบอกหนาแล้วโอบกอดเขาทันที เพราะเขาอ่อนโยนแบบนี้อย่างไรเล่าเธอถึงรักเขา รักตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอ ผู้ชายอ่อนโยนยิ้มหวานหน้าคมเข้ม เธอมอบหัวใจให้เขาไปตั้งนานแล้วจนกระทั่งรู้ว่าเขากำลังจะคบใครจึงรวบรวมความกล้าบุกไปบอกรัก และในที่สุดเธอก็ได้เขามาครอง
“พรุ่งนี้พี่ไปรับแต่เช้านะ” ผละออกร่างสูงก็เอ่ยบอกกับแฟนสาว
ลินดาพยักหน้ายิ้มให้เขาแล้วเดินเข้าบ้านตัวเองไป ภมรมองตามจนร่างบางลับตาเขาจึงเดินเข้าบ้านตัวเอง
เช้าวันเสาร์ พสุตื่นมาด้วยความสดชื่นหลังจากที่เพื่อนสาวคนสนิทของเขานัดเจอที่ร้านอาหารเวลาเย็น ช่วงเช้าเขามีนัดตีกอล์ฟกับลูกค้าคนสำคัญเดินลงมาจากบันไดก็เจอบิดามารดากำลังนั่งดูโทรทัศน์พูดคุยกัน“มาพอดีเลยลูก วันนี้พ่อกับแม่จะไปทำบุญที่นครสวรรค์นะ กลับพรุ่งนี้ตอนเช้า” วรรณภาเอ่ยบอกกับลูกชายคนเล็กหลังจากที่บอกภมรไปแล้วเมื่อชายหนุ่มจะออกไปข้างนอกร่างสูงเดินมานั่งข้างบิดา“ไปกันสองคนหรือครับ” เขาถามอย่างอดเป็นห่วงไม่ได้“แม่หอมก็ไป ป้าลดาก็ไป ไม่ต้องเป็นห่วงพ่อกับแม่หรอก” เขาพยักหน้ารับรู้คุยกับท่านทั้งสองสักพักก่อนจะขอตัวออกไปข้างนอกวรรณนภามองตามลูกชายแล้วหันไปคุยกับคุณดิลก วิจิตรประภาผู้เป็นสามีทันที“คุณคะ คุณว่าลูกสะใภ้คนเล็กของเราจะเป็นหนูลินดาหรือเปล่า” สามีกำลังดูข่าวอยู่หันมามองภรรยา“ไม่รู้สิคุณ เห็นเจ้าเล็กก็ไปๆมาๆกับหนูลินดาตั้งนานไม่เห็นมีอะไรเกิดขึ้นเลย” เขาพูดตามที่คิด“ฉันก็ว่าอย่างนั้น เสียดายหนูนิทฉันน่ะช๊อบชอบหนูนิทแต่ลูกชายคนเล็กไม่เอาด้วย หนูนิทน่ะเก่งงานบ้านงานเรือนหน้าตารึก็สะสวยนิสัยก็อ่อนหวานเรียบร้อย น่ารักมากๆเลยเสียดาย” คุณวรรณนภาเอ่ยชมหลานสาวที่เห็นมาแต่เด
เวลาสองสัปดาห์ที่ผ่านไปนิทรายุ่งกับการเตรียมชุดแต่งงานของตนเองและเจ้าบ่าวโดยเธอเป็นคนออกแบบและตัดชุดเองคุณวรรณนภาเป็นธุระเรื่องการวัดตัวพสุก่อนจะเอามาให้เธอตัดชุด ร่างบางอมยิ้มน้อยๆ เมื่อมองชุดเจ้าบ่าวซึ่งกำลังจะเสร็จด้วยความปลื้มใจ เขากำลังจะได้ใส่ชุดที่เธอตัดให้ถือเป็นชุดผู้ชายชุดแรกเลยก็ว่าได้ที่เธอตัด“พักก่อนไหมนิท” คุณยลลดาถือแก้วโอวัลตินมาวางไว้ข้างกายลูกสาวหลังจากเห็นหล่อนทำงานหนักมาหลายวันแล้วนิทราตัดชุดเจ้าสาวเสร็จเรียบร้อยทั้งชุดงานหมั้นและงานฉลองตอนเย็น ตอนนี้จึงเหลือชุดเจ้าบ่าวที่ต้องตัดทั้งสองชุด พอนางอาสาจะช่วยลูกสาวก็ปฏิเสธเพราะอยากทำให้เจ้าบ่าวด้วยตัวเอง“ไม่ค่ะแม่ ชุดหมั้นใกล้เสร็จแล้ว เสร็จค่อยพักก็ได้” แม้เป็นเวลากว่าเที่ยงคืนเธอก็ยังคงนั่งทำงานอยู่ที่เดิม “แม่ไปนอนเถอะค่ะ นิทยังไหว”เห็นหน้าซีดเซียวของลูกสาวแล้วก็อดบ่นว่าที่ลูกเขยในใจไม่ได้ อีกฝ่ายไม่เคยแม้แต่จะย่างกรายเข้ามาที่บ้านของเธอเลย ใจจริงถ้าฝ่ายชายไม่เต็มใจเธอก็ไม่อยากให้ลูกสาวแต่งงานด้วยแต่เพราะน้องคนสนิทคะยั้นคะยอจะรับผิดชอบเธอก็เลยไม่กล้าเอ่ยปฏิเสธทั้งยังกลัวลูกสาวอับอายอีกด้วย“จ้ะ แม่รักลูกนะ” คุ
“หนูนิทเป็นไงบ้างลูก” “ตัวร้อนครับ สงสัยโหมงานหนักไปหน่อย” พูดจบภาพเมื่อคืนก็ผุดขึ้นมาในความทรงจำของเขาจนต้องสลัดมันทิ้งไป“ฝากดูแลด้วยนะแม่ ผมต้องไปทำงานแล้ว” ถ้าขืนอยู่ต่อมีหวังแม่ต้องซักไซ้เขาแน่นอนจึงต้องหาทางเอาตัวรอดก่อน“วันนี้ไม่ต้องไปก็ได้” คนเป็นพ่อบอกด้วยเป็นห่วงไม่อยากให้ลูกโหมงานหนักแต่พสุก็ปฏิเสธ“พอดีวันนี้งานด่วน ผมขอตัวก่อนนะครับ” หยิบของสำคัญได้ก็รีบออกจากบ้านทันทีโดยไม่ทันจะได้เปลี่ยนชุด..เขากำลังสงสัยว่าตัวเองเป็นอะไร วันก่อนเกลียดแต่เมื่อกี้กลับดูเป็นห่วงเธอ อาจจะเป็นเพราะเธอเคยเป็นเพื่อนสนิทของเขามานานความเป็นห่วงมันก็มีอยู่แล้ว แต่เรื่องที่เธอทำกับเขานั้นก็ไม่ลืมเช่นกันคิดได้สรุปก็เริ่มเบาใจ..เขาไม่ได้รักเธอ ไม่มีทางตกหลุมรักเธออย่างแน่นอนมารดาของนิทราเป็นคนเช็ดตัวให้ลูกสาว พอเที่ยงอีกฝ่ายสะลึมสะลือตื่นขึ้นมาก็ดีใจ คุณวรรณนภารีบสั่งเด็กเอาข้าวต้มขึ้นมาให้ลูกสะใภ้ทันทีพร้อมยา“นิทเป็นลมหรือคะ” ตื่นขึ้นมาก็ยังรู้สึกปวดหัว“ใช่จ้ะ” คุณแม่ทั้งสองช่วยกันประคองหญิงสาวให้นั่งพิงหัวเตียงเอาไว้ ใบหน้าหวานดูซีดเซียวจนคนเป็นแม่ต้องลูบศีรษะปลอบประโลมลูกสาวของตนเองนิทร
นิทราลงมาแต่เช้าเพื่อมาใส่บาตรเป็นเพื่อนแม่ของตนเอง นิทราเข้าไปเก็บของก่อนจะกลับมายังบ้านหลังใหญ่ เธอทำซุปแก้อาการแฮงไว้ให้พสุที่ตอนนี้ยังไม่ลงมา“เมื่อคืนตาเล็กกลับบ้านกี่โมง” หันไปถามสร้อยที่อยู่รออีกฝ่ายก็อึกอักไม่กล้าตอบพอดีกับนิทราเดินเข้ามาในห้องอาหารของบ้าน“พสุยังไม่ลงมาหรือคะ” ไม่เห็นเขาบนโต๊ะอาหารก็เอ่ยถามขึ้น“ยังเลยลูก ขึ้นไปดูหน่อยก็ดี”ด้วยความเป็นห่วงนิทราจึงลุกขึ้นไปดูอีกฝ่ายบนห้อง เข้ามาก็ได้ยินเสียงอ้วกทันที ก่อนร่างสูงจะเดินออกมาด้วยความงัวเงีย ใบหน้าหล่อดูซูบเล็กน้อย ตอนนี้เขาสวมชุดพร้อมไปทำงานเรียบร้อยแต่เพราะต้องลงพื้นที่ดูตรวจงานจึงไม่ได้ใส่สูทไปเพียงแค่ชุดทะมัดทะแมงเท่านั้น “ดื่มน้ำหน่อยไหม” รินน้ำข้างหัวเตียงให้ เขาก็ไม่ปฏิเสธรับมาดื่มอย่างเสียไม่ได้“ดีขึ้นรึยัง”พสุไม่ตอบเพียงแค่พยักหน้าเท่านั้น เมื่อคืนเขาจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเมาไปตอนไหนหรือกลับมายังไง ใครเป็นคนดูแลเขาเพราะตื่นมาก็อยู่ในชุดนอนแล้ว ปกติหากเมากลับมาแบบนี้แม่จะสวดเป็นชุดพอขึ้นมาเขาก็นอนด้วยชุดนั้นตื่นมาค่อยอาบน้ำ หากเมื่อคืนไม่ใช่ เขาจำอะไรไม่ได้คิดว่าคนที่ดูแลเขาคงเป็นหญิงร่างเล็กที่กำลังตรวจควา
พสุนั่งทำงานได้สักพักก็ต้องลุกไปเข้าห้องน้ำ เป็นอย่างนี้ประมาณสี่รอบ หน้าเขาเริ่มซีดจนน่าเป็นห่วงดีที่เอกสารมีไม่มากเขาจึงคิดว่าจะกลับบ้านก่อนเวลาเลิกงานเพราะหากทนอยู่ต่อก็คงไม่ไหว มันปวดจนไม่สามารถทำอะไรได้ ทั้งปวดหนักแล้วเหมือนจะอ้วกด้วยจนกระทั่งเลขาสาวนำอาหารเที่ยงมาให้ก็สังเกตอาการของเจ้านายได้ เธอรีบพาเขาไปโรงพยาบาลทันที ระหว่างทางพสุก็พยายามอดกลั้นไว้เหมือนจะปวดหนักตลอดเวลา เขาอ้วกออกมาระหว่างทางดีที่มีถุงพลาสติกไม่อย่างนั้นต้องได้อ้วกใส่รถแน่ใช้เวลาไม่นานก็มาถึงโรงพยาบาล ทำเรื่องรอสักพักก็ได้เข้าตรวจ หมอต้องนำผลเลือดของเขาไปตรวจเพราะอาจติดเชื้อระหว่างนี้ให้พสุนอนรอที่ห้องตรวจก่อน“ว่ายังไงตาใหญ่” คุณวรรณนภาที่กำลังนั่งดูละครอยู่กับแม่บ้านรับโทรศัพท์เห็นว่าเป็นลูกชายคนโต“เล็กอยู่โรงพยาบาลนะครับแม่ หมอบอกว่าอาหารเป็นพิษต้องนอนให้น้ำเกลือ” ได้ยินอย่างนั้นคนเป็นแม่ก็ตกใจเสียยกใหญ่“ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวแม่ไปหาน้อง โรงพยาบาลไหนลูก” ลูกชายบอกรายละเอียดก่อนจะวางสายไป คนเป็นแม่ก็แสนจะเป็นห่วงรีบเดินไปบ้านข้างๆ ที่ลูกสะใภ้อยู่เพราะต้องช่วยงานตัดเย็บของคุณยลลดาถึงแม้จะไม่รีบแต่ก็ต้องทำไ
เสียงโทรศัพท์ของนิทราดังขึ้นเจ้าของโทรศัพท์ผวาลุกขึ้นไปก่อนถอนหายใจออกมาเมื่อพบว่าไม่ใช่คนที่ตนเองเฝ้ารอแต่เป็นเพื่อนที่สนิทกันมาตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัย“สวัสดีหวาน โทรมาเสียดึกเชียว” เป็นเวลากว่าสี่ทุ่มที่เพื่อนโทรมา สร้างความแปลกใจเพราะปกติเพื่อนจะไม่ค่อยโทรหาเธอในเวลานี้เป็นที่รู้กันว่านิทราจะไม่ค่อยรับโทรศัพท์ช่วงเวลาดึก‘ค่อยโล่งอกนึกว่าจะไม่รับเสียแล้ว’ปลายสายว่าอย่างโล่งใจ“ปกติไม่ค่อยโทรมาเวลานี้ มีอะไรหรือเปล่า”“คือว่า ก็ไม่อยากทำให้เธอไม่สบายใจนะนิท แต่มันอดไม่ได้ต้องโทรมาบอก พอดีฉันเห็นสามีเธอมานั่งกินเหล้าในผับกับผู้หญิงน่ะ” สิ้นคำบอกเล่าตัวเธอก็ชาทันที มือบางสั่น ขาอ่อนแรงจนต้องนั่งลงบนโซฟาที่ห้องรับแขก“จะ จริงหรือ” ถามย้ำเพื่อความแน่ใจ“จริงแน่นอน ฉันจำพสุได้แม่น” ตอนนี้ไม่รู้มีสีหน้าอย่างไรเพราะสร้อยรีบเข้ามาหาเธอมองอย่างเป็นห่วง นิทราแทบจะไม่รับรู้ประโยคต่อจากนั้นของเพื่อนก่อนที่อีกฝ่ายจะวางสายไป มือบางทิ้งลงข้างลำตัว ไม่คิดว่าเขาจะทำแบบนี้กับเธอ เมื่อวันก่อนก็ไปวันนี้ก็ไปทั้งที่เพิ่งหาย เธอหรือก็เฝ้ารอเขาที่บ้านแต่อีกฝ่ายกลับไปอยู่กับหญิงอื่น“พี่นิทเป็นอะไรคะ”
“สวัสดีครับคุณพสุ” เมื่อเข้ามาภายในโรงแรมก็มีผู้จัดการมาต้อนรับอย่างดี โรงแรมนี้เป็นโรงแรมในเครือดิวัลยาที่เขาเคยดูแลเพิ่งสร้างเสร็จเมื่อปีที่แล้ว นักท่องเที่ยวก็เข้ามาพักกันเยอะด้วยชื่อเสียงของโรงแรมและการบริการที่ดีเยี่ยม“สวัสดีครับ” เขากล่าวทักทายอีกฝ่ายเล็กน้อย แล้วเดินไปหยิบคีย์การ์ดขึ้นห้องนิทราเดินตามไปแต่ระหว่างทางก็มองการตกแต่งของโรงแรมที่เน้นบรรยากาศ โดยรอบเป็นผนังกระจกใสที่เห็นวิวข้างนอกประดับด้วยไม้มงคล ไม่เน้นหรูแต่เน้นถึงเอกลักษณ์ในพื้นที่ โคมไฟด้านบนก็เป็นรูปปลาชนิดต่างๆ หรือโซฟาตรงล็อบบี้ก็เป็นรูปทรงปะการังที่ดูธรรมชาติ“เดินช้าจริง” หันมาเห็นภรรยามัวโอ้เอ้เดินดูการตกแต่งไม่ตามมาจึงเดินกลับมาจูงมือเธอให้เดินตามนิทราแอบมองมือหนาที่กอบกุมมือเธอเอาไว้ ความรู้สึกอบอุ่นโอบล้อมรอบตัวจนเผลอยิ้มออกมาด้วยความสุขพอดีกับที่ร่างสูงหันมามอง“ยิ้มอะไร เมายาหรือ”..ดูคำพูดเขา ไม่เคยมีความรู้สึกโรแมนติกเลยหรืออย่างไร ลืมไปว่าเธอคือนิทราไม่ใช่ลินดาคนตัวเล็กดึงมือตัวเองออกจากการเกาะกุมหากแต่ฝ่ายชายไม่ยอม พสุยังคงจับมือเธอไว้แน่นในขณะที่รอลิฟต์“ปล่อยสิ” ทนไม่ไหวจึงเอ่ยเสียงเข้ม“ปล่
เช้าวันจันทร์ไม่ได้สดใสสำหรับพสุเลยแม้แต่น้อย เขาไม่อยากนอนตื่นเช้ามานั่งหลังขดหลังแข็งอ่านเอกสารเป็นวันๆ หากให้ลงพื้นที่ดูไซต์งานก่อนสร้างยังจะมีความสุขมากกว่าแต่ก็เลี่ยงไม่ได้เพราะเขาโยนงานให้พี่ชายไปแล้วหลายงานวันนี้จึงต้องจัดการงานที่เหลือของตนเองเสื้อเชิ้ตสีอ่อนกางเกงสแล็กสีเข้ม เน็กไทและเสื้อสูทแขวนไว้อย่างเรียบร้อยที่ห้องแต่งตัว เป็นอย่างนี้มาสักพักแล้วที่นิทราจะเตรียมชุดให้เขาทั้งเช้าและเย็นหากช่วงแรกเขาก็ไม่ใส่บ้างแต่เพราะช่วงหลังตื่นสายแล้วต้องรีบเขาเลยจำใจใส่ชุดที่เธอเลือกไว้ให้จนชิน“อ้าว กำลังขึ้นมาตามพอดี สายแล้วนะ” ใบหน้าหวานโผล่มาส่งยิ้มให้จนเขาอดเอ็นดูไม่ได้ ไม่ค่อยได้เห็นมุมนี้ของเธอเท่าไหร่“ก็กำลังจะลงไปแล้ว ทำไมวันนี้ไม่ปลุกฉัน”นิทราเดินมาหาสามีก่อนช่วยใส่เน็กไทให้“ปลุกแล้วพสุก็เอาแต่ตอบในลำคอ จะขี้เซาอะไรขนาดนั้น” แอบยู่หน้าใส่จนเขาอดใจไม่ไหวเอามือมาบีบจมูกเธอโยกเบาๆ ด้วยความมันเขี้ยว“ขี้บ่นจริง”นิทราแก้มแดงด้วยความเขินกับการกระทำและแววตาที่เขาส่งมา เธอผละออกแล้วหยิบเสื้อสูทมาถือไว้ให้เขา“ลงไปกินข้าวกันเถอะ” มือหนายกมาโอบไหล่บางของภรรยาไว้แล้วหยิบของลงไปข้า