พสุนั่งทำงานได้สักพักก็ต้องลุกไปเข้าห้องน้ำ เป็นอย่างนี้ประมาณสี่รอบ หน้าเขาเริ่มซีดจนน่าเป็นห่วงดีที่เอกสารมีไม่มากเขาจึงคิดว่าจะกลับบ้านก่อนเวลาเลิกงานเพราะหากทนอยู่ต่อก็คงไม่ไหว มันปวดจนไม่สามารถทำอะไรได้ ทั้งปวดหนักแล้วเหมือนจะอ้วกด้วย
จนกระทั่งเลขาสาวนำอาหารเที่ยงมาให้ก็สังเกตอาการของเจ้านายได้ เธอรีบพาเขาไปโรงพยาบาลทันที ระหว่างทางพสุก็พยายามอดกลั้นไว้เหมือนจะปวดหนักตลอดเวลา เขาอ้วกออกมาระหว่างทางดีที่มีถุงพลาสติกไม่อย่างนั้นต้องได้อ้วกใส่รถแน่
ใช้เวลาไม่นานก็มาถึงโรงพยาบาล ทำเรื่องรอสักพักก็ได้เข้าตรวจ หมอต้องนำผลเลือดของเขาไปตรวจเพราะอาจติดเชื้อระหว่างนี้ให้พสุนอนรอที่ห้องตรวจก่อน
“ว่ายังไงตาใหญ่” คุณวรรณนภาที่กำลังนั่งดูละครอยู่กับแม่บ้านรับโทรศัพท์เห็นว่าเป็นลูกชายคนโต
“เล็กอยู่โรงพยาบาลนะครับแม่ หมอบอกว่าอาหารเป็นพิษต้องนอนให้น้ำเกลือ” ได้ยินอย่างนั้นคนเป็นแม่ก็ตกใจเสียยกใหญ่
“ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวแม่ไปหาน้อง โรงพยาบาลไหนลูก” ลูกชายบอกรายละเอียดก่อนจะวางสายไป คนเป็นแม่ก็แสนจะเป็นห่วงรีบเดินไปบ้านข้างๆ ที่ลูกสะใภ้อยู่เพราะต้องช่วยงานตัดเย็บของคุณยลลดาถึงแม้จะไม่รีบแต่ก็ต้องทำไปเรื่อยๆ
เข้ามาภายในบ้านเห็นแม่ลูกช่วยกันทำตัดเสื้อก็รีบบอกลูกสะใภ้
“หนูนิทลูก ตาเล็กอาหารเป็นพิษตอนนี้นอนให้น้ำเกลือที่โรงพยาบาล”
ได้ยินอย่างนั้นนิทราก็ตกใจเป็นห่วงสามีของตนเอง ร่างบางเก็บของที่กำลังทำอยู่ในขณะนั้น
“แม่ให้แซมมารอที่หน้าบ้านแล้ว เราไปกันเถอะ”
นิทราไม่ได้เอาของอะไรไปมากมายนอกจากกระเป๋าเล็กที่ใส่เงินและโทรศัพท์เท่านั้น เธอก้าวขึ้นรถไปพร้อมกับคุณวรรณนภามีคุณยลลดาขึ้นไปด้วย หญิงต่างวัยทั้งสามมุ่งตรงไปที่โรงพยาบาลใกล้บริษัทที่วิจิตรประภาถือหุ้นอยู่ด้วย หากเมื่อถึงแล้วก็พบกับภมรที่รออยู่หน้าห้องกับคุณดิลกที่เข้ามายังบริษัทตอนสาย
“เป็นอย่างไรบ้างคะคุณ”
“อาหารเป็นพิษต้องนอนให้น้ำเกลือไม่เป็นอะไรมากหรอก”
แม้จะได้ยินอย่างนั้นก็ไม่ได้ทำให้คนเป็นแม่สบายใจได้เลยจนกระทั่งเข้าไปหาบุตรชายในห้องพิเศษเห็นอีกฝ่ายหน้าซีดก็ยิ่งสงสาร
นิทราเดินตามเข้ามาเป็นห่วงเขาเหลือเกินยิ่งใบหน้าหล่อคมที่มักจะมีสีแต้มอยู่เสมอตอนนี้ซีดอย่างน่าสงสารก็ใจสั่น เดินเข้าไปใกล้จับมือหนาเอาไว้
“แล้วทำไมท้องเสียหนักขนาดนี้นะ” คุณวรรณนภาลูบศีรษะบุตรชายเห็นหลับก็ไม่อยากกวนมากคงจะเพลียน่าดู
“นิทขอโทษนะคะที่ไม่ได้ดูแลพสุ” อดรู้สึกผิดไม่ได้ว่าอาจจะเป็นเพราะตนเองเขาจึงท้องเสีย นิทราจับมือเขาแน่นโทษว่าเป็นความผิดของตนเอง หรือจะเป็นอาหารเที่ยงของเธอที่เสียก่อนเขาจะทาน หรือเพราะอาหารที่บ้านตอนเย็น
“ไม่เกี่ยวกับหนูหรอก ตาเล็กอาจจะไปกินอะไรผิดสำแดงที่ทำงานมา” คุณดิลกไม่อยากให้ลูกสะใภ้โทษตนเอง
“ใช่ ตาเล็กชอบกินไม่เลือก คงไปกินอะไรผิดสำแดงมาแน่เลยลูกชายคนนี้” ตอนเช้าก็ไม่ได้แสดงอาการอะไรให้เห็นเลยสักนิด
ตอนนี้เป็นเวลาบ่ายสองแล้วคุณดิลกและภรรยา เห็นว่าลูกชายไม่ได้เป็นอะไรมากจึงกลับไปพักผ่อนแล้วจะมาหาในตอนเย็น
นิทราอาสาเฝ้าเขาเองเผื่อตื่นขึ้นมาต้องการอะไร ทุกคนจึงกลับไปทำหน้าที่ของตนเองมีเพียงภรรยาที่นั่งเฝ้าสามีไม่ยอมห่าง จนกระทั่งเขาตื่นขึ้นในเวลาเย็น
“ขอน้ำ” ลืมตาขึ้นมาเขาก็มองซ้ายขวาเห็นนิทรานั่งอ่านหนังสืออยู่ที่โซฟาก็เอ่ยเสียงแผ่วเนื่องด้วยไม่มีแรงแม้จะเปล่งเสียงออกมา
นิทรารีบลุกขึ้นด้วยความดีใจนั่งเฝ้ามาหลายชั่วโมงจนกระทั่งเขาตื่นขึ้นมา หยิบเหยือกน้ำข้างเตียงรินใส่แก้วหยิบหลอดให้เขา
พสุที่ตอนนี้อยู่ในชุดโรงพยาบาลก็ค่อยๆ พยุงตัวขึ้นมาดื่มน้ำจนกระทั่งรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง
“ดีขึ้นไหม”
อีกฝ่ายพยักหน้านอนลงตามเดิมรู้สึกหน่วงท้องแต่ก็ไม่ได้ปวดเหมือนครั้งแรก ไม่ได้รู้สึกอยากอ้วกแล้ว
“ฉันเป็นอะไร”
“อาหารเป็นพิษ ไปกินอะไรมาทำไมเป็นหนักขนาดนี้”
พสุนึกไปถึงอาหารเมื่อคืนที่เขากิน ข้าวกล่องของเธอนั่นเอง ตอนกินก็ว่ารสชาติมันแปลกแต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก เมื่อคืนเขาก็ปวดท้องหน่วงๆ เข้าห้องน้ำไปสองรอบจนกระทั่งมาออกอาการตอนเช้า
“ถามมาก รำคาญ” ไม่กล้าบอกว่ากินอาหารของเธอจึงพูดตัดบทแม้ใจจริงจะไม่อยากตอบแบบนั้นแต่ก็พูดไปแล้วจึงได้แต่ก่นด่าตัวเองในใจเมื่อเห็นใบหน้าหวานหงอยลง
“แล้วนี่ไม่มีใครอยู่เฝ้าฉันเลยหรือ” มองไปรอบห้องไม่เห็นใครเลยนอกจากนิทราเลยถามขึ้น
“คุณพ่อคุณแม่จะมาตอนค่ำ พี่ภมรก็เพิ่งกลับไป”
พสุพยักหน้ารับรู้ก่อนมองนาฬิกาพบว่าเป็นเวลากว่าหกโมงเย็นเกือบจะหนึ่งทุ่มแล้ว
..เขานอนนานไปหรือเปล่านี่
โครก..
เสียงท้องร้องของคนบนเตียงเรียกรอยยิ้มเอ็นดูจากภรรยาได้ก่อนคนจะนำอาหารมาให้ นิทราจัดการลากโต๊ะเลื่อนมาแล้วปรับเตียงให้เขานั่งสบายขึ้น อาหารเป็นข้าวต้มกับแคนตาลูป
แม้พสุจะไม่ค่อยชอบอาหารของโรงพยาบาลเขาก็เลี่ยงไม่ได้ ร่างสูงนั่งกินข้าวจนหมดคงเพราะไม่ได้ทานอะไรมาทั้งวัน
“อิ่มไหม” เก็บถาดข้าวให้เอาไปวางไว้ข้างนอกเห็นพสุยังคงนั่งกินผลไม้ที่เธอไปซื้อมาตอนเขาหลับ
“ไม่เลย กินอีกได้ไหม” ปกติเขาเป็นคนกินเยอะพอมากินเพียงนิดเดียวจึงไม่อิ่ม ไม่ได้ถึงครึ่งท้องเลยด้วยซ้ำ เขานั่งแกะส้มกินไปหลายลูกขณะมองหน้านิทราที่ยังไม่ตอบคำถามของเขา ใจก็สงสารอยากหาอะไรให้ทานแต่ก็กลัวอาหารเป็นพิษ
“กินผลไม้ไปก่อนแล้วกัน พรุ่งนี้ค่อยกินข้าว” ได้ฟังเขาก็หน้างอ ต้องนั่งกินผลไม้ไปก่อนนิทราเห็นก็อดหัวเราะออกมาเบาๆ ไม่ได้
“เดี๋ยวเราปอกผลไม้ให้นะ” เธอซื้อส้ม แอปเปิ้ล สาลี่มาให้ตอนนี้ส้มก็ใกล้หมดไปแล้ว แน่นอนว่าพสุยังไม่อิ่มเธอจึงไปปอกผลไม้ให้เขาไม่ลืมเปิดทีวีให้อีกฝ่ายดู ใช้เวลาไม่นานมากนักผลไม้ก็เสร็จ เดินเอามาให้เขาก็เห็นอีกฝ่ายนั่งจ้องทีวีนิ่งพอมองตามสายตาเรียวก็เห็นโทรทัศน์กำลังฉายการ์ตูนยอดนักสืบอยู่
“ผลไม้” ไม่อยากกวนสมาธิเขาจึงยื่นไปให้ อีกฝ่ายรับมาโดยไม่ได้มองก่อนจะหยิบกินไปด้วยดูทีวีไปด้วยอย่างตั้งใจจนกระทั่งการ์ตูนจบและผลไม้หมด
พสุยื่นจานให้ภรรยาที่นั่งอยู่ข้างเตียง เธอลุกเอาไปเก็บให้ไม่มีบ่นจนชายหนุ่มมองตาม ไม่เคยมีใครทำให้เขาขนาดนี้มาก่อนเลย หากไม่สบายแม่ก็จะเฝ้าแต่ก็ไม่ได้ตลอดวันแต่หญิงสาวเฝ้าเขาตลอดถึงแม้นิทราจะนิ่งหากแต่สังเกตเขาตลอดเวลา มันทำให้เขารู้สึกอุ่นใจไปอีกแบบ
“นอนเลยไหม” แม้ว่าเขาพึ่งตื่นไม่นานแต่ก็รู้สึกง่วงเลยพยักหน้า ร่างบางปรับเบาะนอนให้เขาก่อนจะช่วยจัดผ้าห่มให้สบาย จนกระทั่งคนตัวสูงหลับไปจึงค่อยโทรไปบอกทางบ้านว่าพสุหลับไปแล้วค่อยมาพรุ่งนี้เช้า
คุณวรรณนภาตอบรับแล้วบอกเดี๋ยวจะจัดชุดนอนพร้อมกับชุดใส่พรุ่งนี้ไปให้นิทรา
ลุงแซมนำกระเป๋ามาให้นิทราก่อนจะกลับไป คืนนั้นร่างบางนอนเฝ้าพสุอยู่บนโซฟา
กลางดึกร่างสูงที่ไม่ถูกชะตากับโรงพยาบาลเท่าไหร่ตื่นขึ้นมาเพราะปวดเบา เขาเหลียวมองเจอภรรยานอนที่โซฟาก่อนจะมองรอบห้อง บรรยากาศน่ากลัวทำเอาร่างสูงต้องเรียกนิทราให้ตื่นขึ้น
“นิท นิท” เขาพยายามไม่เรียกเสียงดังมากเกินไปเพราะรู้ว่าหญิงสาวเป็นคนตื่นเร็ว แต่ดูท่าเขาจะคิดผิดเพราะนิทราไม่ขยับ พสุสบถในใจแล้วลุกขึ้นจากที่นอนลากเสาน้ำเกลือเดินมาได้สองก้าวก็ได้ยินเสียงลมพัดดังขึ้นข้างหู
“เอาแล้วไง” กลัวเรื่องลี้ลับมาแต่เด็ก เขาไม่ค่อยเข้าโรงพยาบาลหากไม่ได้เป็นหนักก็เลี่ยง เรื่องนอนโรงพยาบาลเลิกคิดไปได้เลยเขาไม่มีทางมานอนเด็ดขาด แต่เพราะครั้งนี้เป็นเหตุสุดวิสัยที่ไม่อาจเลี่ยงได้เขาจึงต้องมาเผชิญกับสถานการณ์ตอนนี้
“นิทตื่นสิ!” เสียงเขาดังขึ้นตามแรงอารมณ์
นิทรางัวเงียลุกขึ้นเห็นสามีตัวเองยืนอยู่ก็รีบลุกขึ้นไปช่วยพยุงเขาทันที
“ไปเข้าห้องน้ำหรือ”
พอเธอตื่นเขาก็ใจชื้นขึ้นมาพยักหน้ารับ คนตัวบางพยุงเขาไปเข้าห้องน้ำโดยที่ร่างสูงยังคงมองซ้ายขวาอย่างหวาดระแวง
“รอข้างนอกนะ” ส่งพสุเข้าห้องน้ำนิทราก็รออยู่ข้างนอกกำลังจะปิดประตูแต่ชายหนุ่มก็ห้ามเอาไว้เสียก่อน
“ไม่ต้องปิด” เขายันมือไว้นิทรามองอย่างสงสัยหากไม่ได้ถามอะไรทำตามที่เขาต้องการ เธอยืนหันหลังให้เขาทำธุระส่วนตัวเรียบร้อยจึงเข้าไปช่วยพาเขาไปนอน
พสุอาการดีขึ้นมากเรียกได้ว่าหายเป็นปกติแล้ว เมื่อช่วยเขาขึ้นเตียงจัดผ้าห่มให้เสร็จก็กำลังจะเดินไปที่โซฟาหากอีกฝ่ายรั้งข้อมือบางเอาไว้เสียก่อน
“จะไปไหน”
“นอนไง” ดวงตาเรียวมองไปยังที่นอนที่ว่าก็เม้มปากแน่น
..ไม่มีทาง!เขาไม่ให้เธอไปนอนตรงนั้นแน่นอน ตอนนี้แค่หกทุ่มเองเหลืออีกหลายชั่วโมงกว่าจะเช้าเขาต้องการเพื่อนในที่ที่ไม่คุ้นเคยแบบนี้ เขาต้องการเพื่อนที่มีเลือดเนื้อไม่ใช่ที่มองไม่เห็นสัมผัสไม่ได้แต่มาทางเสียงหรือกลิ่น แบบนั้นเขาไม่ต้องการ
“นอนด้วยกัน”
คำพูดที่เขาบอกนั้นทำให้เธอนิ่งงันไปก่อนจะต้องตาโตเมื่อร่างสูงขยับเว้นที่ข้างตัวให้
..ไม่ปฏิเสธว่าเตียงห้องพิเศษมันก็มีที่กว้างแต่จะให้เธอขึ้นไปนอนบนเตียงกับผู้ป่วยมันก็ดูแปลก แถมยังเป็นพสุที่ไม่ชอบหน้าเธอแต่กลับชวนเธอนอนด้วยกลับเพิ่มความแปลกขึ้นไปอีก
“แต่ว่านั่นเตียงเธอนะอีกอย่าง...เตียงผู้ป่วยด้วย”
..นาทีนี้เตียงใครก็ไม่สนแล้ว ถ้าให้เขานอนบนเตียงนี้คนเดียวเขาคงจับไข้หัวโกร๋นเสียก่อน
“ฉันสั่ง ขึ้นมาอย่าถามมาก” พสุดึงอีกฝ่ายมาขณะที่ไม่ทันตั้งตัวร่างบางจึงล้มลงบนที่นอน
“เบาๆก็ได้” เธอว่าแล้วถอดรองเท้าขึ้นไปนอนข้างเขาด้วยความเขิน
..เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายผู้ชายคนนี้เป็นไบโพล่าร์หรืออย่างไร แถมยังชอบใช้กำลังกับเธออีก
นิทราล้มตัวลงนอนข้างเขาที่พื้นที่เหลือไม่มากต้องเบียดกับคนบนเตียง พสุอมยิ้มสมใจแบ่งผ้าห่มให้คนข้างกายอย่างมีน้ำใจ ดวงตาเรียวหลับลงเมื่อไม่มีอะไรน่ากลัวสำหรับเขาแล้วในตอนนี้
นิทราตอนนี้กลับตาสว่างในสิ่งที่พสุทำ เธอนอนหันหลังให้เขาแต่เมื่อได้ยินลมหายใจเข้าออกคงที่จึงค่อยๆ หันกลับมามองหน้าเขา
..ใบหน้ายามหลับดูไร้พิษสงเหมือนที่รู้จักกันเมื่อก่อน พสุเป็นคนยิ้มง่าย อ่อนโยน ชอบเล่นมุกให้เธอหายเครียด แต่เพราะมีเรื่องนั้นเขากลายเป็นคนอารมณ์แปรปรวน ประชดประชัน ทำอย่างไรเขาถึงจะกลับมาเป็นคนเดิมนะ พสุที่ยิ้มให้เธอ มีเรื่องไม่สบายใจก็มาหา ทำการบ้านไม่ได้ก็ชอบอ้อนเธอให้สอน มาขอขนมกินเป็นประจำ ขอพสุคนนั้นคืนมาได้ไหม
มือบางยกขึ้นไปลูบใบหน้าคมแผ่วเบา
“เรารักพสุนะ” เสียงหวานแผ่วแทบเป็นกระซิบโดยที่คนเข้าสู่ห้วงนิทราไม่รับรู้เลย ร่างบางขยับเข้าไปใกล้เขามากขึ้น ดวงตากลมโตหลับลงเข้าสู่ห้วงนิทราไปอีกคน ค่ำยืนแสนยาวไกลสองร่างนอนด้วยกันบนเตียงก่อนที่คนตัวสูงจะดึงร่างเล็กเข้ามากอดโดยไม่ได้รู้สึกตัวในขณะที่คนถูกกอดก็ขยับเข้าหาด้วยต้องการความอบอุ่นท่ามกลางอากาศเย็นที่โอบล้อมพวกเขาอยู่ตอนนี้เช่นเดียวกัน
เช้าวันต่อมาคุณวรรณนภามาหาลูกชายแต่เช้านำเอาอาหารมาให้ด้วยเปิดประตูเข้ามาก็ เมื่อพบสามีภรรยานอนกอดกันอยู่บนเตียง อดไม่ได้ที่จะหันมามองสามีอมยิ้มก่อนเอามือถือขึ้นมาถ่ายรูปไว้
“เอายังไงดีคุณ” เห็นแบบนี้ก็ไม่อยากจะปลุกสองหนุ่มสาวเลยหันไปถามภรรยา
“เอาของวางไว้ก็ได้ค่ะ แล้วเราก็กลับให้เขานอนไปเถอะ”
คุณดิลกทำตามภรรยาอย่างว่าง่าย นำเอาอาหารวางไว้ข้างหัวเตียง กระเป๋าเสื้อผ้าก็วางไว้ที่โซฟาอย่างเงียบค่อยเดินออกมาจากห้อง
คล้อยหลังทั้งสองไม่นานร่างบางก็รู้สึกตัว พยายามขยับตัวแต่ก็ยากเพราะรับรู้ได้ถึงแรงรัดเพิ่มขึ้น เมื่อลืมตาขึ้นมาก็รู้ว่าเป็นเพราะพสุที่กอดเธอไว้นั่นเอง ร่างบางสะท้านอายอยากนอนให้เขากอดแบบนี้ทั้งวันแต่ก็กลัวคนมาเห็นจึงยกแขนเขาออกจากเอวตนก่อนลุกขึ้นนั่งหันมามองใบหน้าคมซึ่งยังคงหลับตาพริ้มไม่มีทีท่าว่าจะตื่น เขาจะนอนนานเกินไปแล้ว
“เอ๊ะนั่น” หันไปมองที่หัวเตียงก็พบปิ่นโตวางไว้ก่อนสายตาจะพบเข้ากับกระเป๋าเสื้อผ้าซึ่งไม่ใช่ของเธอแน่นอน ใบหน้าหวานแดงขึ้นเมื่อคิดว่าคุณพ่อคุณแม่อาจมาเห็นภาพเมื่อสักครู่ จึงเดินเข้าห้องน้ำชำระร่างกายดับความเขินเสีย ไม่นานร่างบางก็ออกมาพร้อมชุดเสื้อเชิ้ตกับกระโปรงสีหวาน
“กี่โมงแล้ว” พสุที่ได้ยินเสียงเปิดประตูก็ตื่นขึ้นมาบิดขี้เกียจพลางถามภรรยา
“เจ็ดโมงครึ่งแล้ว”
อีกฝ่ายพยักหน้ารับรู้พอดีกับที่พยาบาลเดินเข้ามาในห้องพร้อมคุณหมอ นิทราขอบคุณตัวเองที่ลุกขึ้นมาก่อนไม่เช่นนั้นต้องมีคนเห็นว่าเธอนอนกับเขาอีกแน่
พสุได้รับอนุญาตให้กลับบ้านได้พร้อมทั้งเตือนว่าไม่ให้กินของที่เสียแล้วเขาได้แต่ยิ้มเจื่อน หลังหมอและพยาบาลออกไปก็เข้าไปอาบน้ำเปลี่ยนชุด
“วันนี้จะไปทำงานไหม” นิทราที่กำลังจัดอาหารให้เขาเอ่ยถาม
“น่าจะไป” พสุมองนาฬิกาที่ข้อมือสายนิดหน่อยคงไม่เป็นอะไร กลัวว่าเอกสารจะเยอะจนต้องอ่านหัวหมุนเขาเลยจะเข้าบริษัทไปเคลียร์งานเสียหน่อย เมื่อหญิงสาวเตรียมข้าวเสร็จทั้งสองก็นั่งทานด้วยกัน จนกระทั่งกินอิ่มพสุจึงเก็บของลงไปด้านล่างโดยไม่มีการพูดคุยอะไรกันทั้งสิ้นแต่ในใจของชายหนุ่มก็รู้สึกขอบคุณเธอที่มาดูแลเขา
..ก็ได้แค่คิดในใจให้บอกหรือพูดออกไปเมินเสียเถอะ เขาไม่อยากจะญาติดีกับคนที่ทำให้ชีวิตต้องเป็นแบบนี้
เมื่อส่งนิทราที่บ้านพร้อมกับนำของลงไปไว้ให้เขาก็ไม่ได้เปลี่ยนชุดรีบกลับมาทำงาน
..เดี๋ยวเจอแม่เกิดถามเรื่องอาการแล้วมันจะยาวไม่ได้ไปทำงานเสียก่อน
หลังพสุขับรถออกจากบ้านคุณผู้หญิงก็เดินออกมาพอดี กะว่าจะมาคุยกับพ่อลูกชายแต่อีกฝ่ายก็หนีหายไปเสียก่อน จึงช่วยลูกสะใภ้ขนของเข้าบ้านไม่วายจะบ่นพสุว่าไม่เข้าบ้านมาหาพ่อแม่ทำอย่างกับไม่อยากพบหน้าเสียอย่างนั้น
ภมรนั่งทำหน้าปั้นยากอยู่ที่ห้องทำงานเมื่อปุณิกาบุกมาหาเขาแต่เช้า เธอมาพร้อมกับกล่องขนมหวานจากร้านค้าชื่อดัง พยายามคะยั้นคะยอให้เขากิน
“อร่อยมากเลยนะคะ หยาซื้อประจำพี่ภมรลองชิมหน่อยนะคะ” สาวร่างบางยังแกะกล่องเปิดพร้อมหยิบขนมมาการงสีสวยให้เขา ใบหน้าหวานที่บรรจงปั้นแต่งมาโดยมีดหมอจากเกาหลีทำให้เครื่องหน้าเธอดูรับกันไปหมดเสียทุกอย่างยิ้มให้เขาอ่อนหวานแต่สำหรับภมรแล้วมันกลับเหมือนยาพิษมากกว่า หากลินดามาเห็นมีหวังเขาไม่รอดแน่
“ผมอิ่มแล้วครับ” ตัดบทแต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่รับรู้ด้วย ยังคงยื่นขนมมาให้เขาแทบจะเรียกว่าติดปาก
“ทานสักนิดนะคะ” เสียงอ้อนอ่อนหวานดังขึ้นพร้อมเจ้าของร่างที่เขยิบเข้ามาใกล้เขา โซฟายาวดูเหมือนจะไม่มีความหมายเพราะปุณิกาเล่นนั่งชิดจนแทบจะนั่งตักเขาแบบนี้
“ครับ” เพียงแค่ตอบรับขนมก็เข้ามาในปากเขาทันที ร่างสูงเคี้ยวแทบไม่ทัน
ปุณิกายิ้มหวานก่อนจะหยิบอีกชิ้นให้เขาทันที เธอชอบในความหล่อแบบไทยของประธานบริษัทที่ถือว่ายังหนุ่มคนนี้อายุสามสิบห้าปี แต่ได้เป็นถึงประธานบริษัทมีทรัพย์สินมหาศาล เหมาะสมกับผู้หญิงสวยเพอร์เฟกต์อย่างเธอแล้ว อีกอย่างที่ทำให้น่าสนใจคือเธอ ได้ข่าวมาว่าตอนนี้ภมรกำลังคุยอยู่กับคู่อริของเธอ ลินดา นรินทราทิตย์นั่นเอง
“เอ่อผมว่าพอแล้วครับ ไหนคุณปุณิกาบอกจะมาคุยเรื่องงาน”
ได้ยินดังนั้นฝ่ายสาวเจ้าก็ทำหน้างอเหมือนที่ซ้อมในกระจกทุกวันเพื่อให้ตนเองดูน่ารักในสายตาของคนมอง
“เรียกคุณอีกแล้ว หยาบอกให้เรียกน้องหยาไงคะ”
นั่นยิ่งสร้างความกระอักกระอ่วนให้เขา แค่ให้เธอเข้ามาคุยนอกเหนือจากเรื่องงานเขาก็กลัวแฟนสาวจะโกรธนี่ถ้าหากให้เรียกแบบสนิทสนมมีหวังลินดาซัดเขาไม่ยั้งแน่
“ผมว่าคุยเรื่องงานดีกว่านะครับ” สงสัยคงต้องใช้ไม้ตายคือทำหน้านิ่งตามแบบฉบับแต่มีหรือที่ปุณิกาจะกลัวเธอกลับส่งยิ้มให้เขา
“พี่ภมรทำหน้าดุน่ารักจังเลยค่ะ”
ไม่รู้จะนิยามคำไหนให้ผู้หญิงคนนี้ดีแต่เธอไม่น่าเข้าใกล้เลยสักนิด เขาจะรอดพ้นจากเธอได้หรือไม่
ตกเย็นพสุต้องไปคุยกับลูกค้าที่ผับประจำโดยมีเลขาสาวติดตามไปด้วย เมขลาหมายมั่นว่าวันนี้เธอจะทำให้เขาตกหลุมเธอให้ได้อีกครั้งแม้เขาจะแต่งงานไปแล้วก็ตาม วัวเคยค้าม้าเคยขี่ไม่นานเขาก็ต้องหลงเธอแต่หลังจากคุยธุระต้องมอมเหล้าเขาก่อน แม้พสุจะไม่คออ่อนถ้าดื่มหลายแก้วก็มึนได้ไม่ยาก
ก่อนเข้าไปในร้านเสียงโทรศัพท์ของร่างสูงดังขึ้นเขาจึงให้เลขาเข้าไปรอข้างในเพื่อรอต้อนรับลูกค้าที่มาคุยงาน
“ครับแม่” เห็นเป็นเบอร์มารดาจึงรับหากช้าได้โดยเอ็ดก่อนคุยแน่
‘นี่เราเอง’เสียงหวานบอกเอกลักษณ์เขาจำได้ในทันทีหากแต่ก็ยังคงเงียบไม่ได้ตอบอะไรออก
‘เราจะถามว่าวันนี้พสุกลับค่ำไหม’เมื่อพสุไม่ได้ตอบรับจึงพูดธุระทันที ห่วงเขาเพิ่งหายจากอาการไม่สบายเห็นว่าเย็นแล้วไม่กลับบ้านเสียที จึงโทรถามโดยใช้โทรศัพท์ของคุณแม่กลัวว่าถ้าเป็นเบอร์หล่อนพสุอาจจะไม่รับสาย
“กลับค่ำ” เขาเงียบไปสักพัก “ออกมาคุยกับลูกค้า” เห็นปลายสายเงียบจึงไขความกระจ่าง ไม่รู้ทำไมว่าต้องบอกคงแค่ไม่อยากให้โทรมากวนอีกรอบ น่าจะเป็นอย่างนั้นคงไม่ใช่เพราะอยากให้เธอสบายใจหรอก
‘ถ้าอย่างนั้นเราจะรอนะ’สายถูกตัดไปแต่พสุยังคงมองโทรศัพท์ไม่รู้ว่าทำไมถึงรู้สึกอบอุ่นแบบนี้จนอยากจะรีบทำงานแล้วกลับบ้านเสียอย่างนั้น
.. ความรู้สึกโกรธเกลียดมันเริ่มหายไปตอนไหนกัน
เขาไล่ความคิดนั้นออกไปก่อนตอกย้ำว่าเกลียดเธอ เธอเป็นคนต้นคิดเธอคือคนผิดที่ทำให้เรื่องมันเลยเถิดมาถึงขนาดนี้ เขาไม่ได้รู้สึกดีกับเธอเลยอาจเป็นเพราะเป็นเพื่อนกันมานานอาจมีวูบหนึ่งที่รู้สึกดี ใช่อาจเพราะความสัมพันธ์ฉันท์เพื่อนทำให้เขาอาจรู้สึกดีกับเธอในบางครั้ง
ร่างสูงเดินเข้ามาภายในร้านก่อนนั่งรอลูกค้าที่จะมาร่วมทุน การคุยกันเบื้องต้นเพื่อสร้างสัมพันธ์อันดีก่อนจะเซ็นสัญญาที่บริษัทในวันพรุ่งนี้ เขาใส่ชุดสบายๆ ไม่ได้เป็นพิธีการแต่อย่างใด
รอไม่นานคุณปภาวินก็เดินเข้ามาพร้อมกับภรรยาสาวแม้จะดูไม่สวยเฉี่ยวแต่ก็น่ารักน่าทะนุถนอม
“ขอโทษที่ให้รอนานนะครับ”
คุณปภาวินเจ้าของรีสอร์ตพรรณวดีซึ่งเป็นรีสอร์ตขนาดใหญ่มีชื่อเสียงมากทางภาคเหนือ เขาเป็นพ่อเลี้ยงที่ยังหนุ่มแถมใบหน้าก็หล่อคมเข้มทำเอาสาวพากันเหลียวมองถ้าไม่ได้มากับภรรยาคงไม่พ้นโดนสาวในร้านมานั่งคุยด้วยเป็นแน่
เมขลาเองก็จ้องลูกค้าหนุ่มเช่นเดียวกันจนสบตากับสาวข้างกายที่อีกฝ่ายหนีบมาด้วยจึงเบือนหน้าหนี
“ไม่เป็นไรครับ ผมก็พึ่งมาเหมือนกัน” สองหนุ่มคุยกันอย่างถูกคอโดยมีคุณนารารินภรรยาของปภาวินร่วมวงด้วยในบางครั้ง คุยกันนานพอสมควรพอเห็นว่าดึกสองสามีภรรยาก็ขอตัวกลับโดยที่เรื่องการสร้าง รีสอร์ตเขาจะเข้าไปเซ็นเอกสารที่บริษัทพรุ่งนี้เช้า
พสุลุกไปส่งทั้งสองแล้วกลับเข้ามาเอาของในร้านอีกครั้ง
“จะกลับแล้วหรือคะ” ถามน้ำเสียงเสียดายเมื่อเห็นเจ้านาย เก็บของ
“ใช่” ตอบเสียงเข้ม
เมขลาลุกขึ้นมากอดแขนเขาเอาไว้ก่อนไล้นิ้วไปตามกล้ามแขนล้ำอย่างเย้ายวน
“เมียรออย่างนั้นหรือคะ” คำถามนั้นทำเอาเขาชะงักไปเพียง ครู่เดียว
“เปล่า งานเสร็จแล้วก็ต้องกลับ”
“แต่เมื่อก่อนไม่เห็นเป็นแบบนี้ งานเสร็จแต่เราก็ยังสนุกกันต่อได้ ใช่ไหมคะ” ถามเสียงเย้ายวนพร้อมกับนัยน์ตาหวานที่ทอดสะพานให้อีกฝ่ายเต็มที่
พสุมีท่าทีลังเลเพราะใจนั้นอยากกลับบ้านแต่ก็ค้านตัวเองว่าจะรีบกลับไปทำไมกัน เขาอยากไปหานิทราหรืออย่างไร
“ก็ได้ ผมจะอยู่ต่อ”
คำนั้นสร้างความดีใจให้กับเมขลาอย่างยิ่ง เธอสั่งเครื่องดื่มหนักๆ มาให้เขาหวังจะมอมเต็มที่ เพียงแค่มองแววตาก็รู้ว่าอีกฝ่ายอยากกลับบ้านมากเพียงใด แต่เหตุผลที่อยู่ก็ไม่อาจทราบว่าทำไม
..ตอนนี้ขอใช้เวลาให้คุ้มค่าหน่อยเถอะ จะมอมเหล้าให้เขาไปไหนไม่ได้เลยคอยดู คืนนี้ทั้งเธอและเขาจะสนุกสุดเหวี่ยงบนเตียงกว้างในโรงแรมสักที่
เสียงโทรศัพท์ของนิทราดังขึ้นเจ้าของโทรศัพท์ผวาลุกขึ้นไปก่อนถอนหายใจออกมาเมื่อพบว่าไม่ใช่คนที่ตนเองเฝ้ารอแต่เป็นเพื่อนที่สนิทกันมาตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัย“สวัสดีหวาน โทรมาเสียดึกเชียว” เป็นเวลากว่าสี่ทุ่มที่เพื่อนโทรมา สร้างความแปลกใจเพราะปกติเพื่อนจะไม่ค่อยโทรหาเธอในเวลานี้เป็นที่รู้กันว่านิทราจะไม่ค่อยรับโทรศัพท์ช่วงเวลาดึก‘ค่อยโล่งอกนึกว่าจะไม่รับเสียแล้ว’ปลายสายว่าอย่างโล่งใจ“ปกติไม่ค่อยโทรมาเวลานี้ มีอะไรหรือเปล่า”“คือว่า ก็ไม่อยากทำให้เธอไม่สบายใจนะนิท แต่มันอดไม่ได้ต้องโทรมาบอก พอดีฉันเห็นสามีเธอมานั่งกินเหล้าในผับกับผู้หญิงน่ะ” สิ้นคำบอกเล่าตัวเธอก็ชาทันที มือบางสั่น ขาอ่อนแรงจนต้องนั่งลงบนโซฟาที่ห้องรับแขก“จะ จริงหรือ” ถามย้ำเพื่อความแน่ใจ“จริงแน่นอน ฉันจำพสุได้แม่น” ตอนนี้ไม่รู้มีสีหน้าอย่างไรเพราะสร้อยรีบเข้ามาหาเธอมองอย่างเป็นห่วง นิทราแทบจะไม่รับรู้ประโยคต่อจากนั้นของเพื่อนก่อนที่อีกฝ่ายจะวางสายไป มือบางทิ้งลงข้างลำตัว ไม่คิดว่าเขาจะทำแบบนี้กับเธอ เมื่อวันก่อนก็ไปวันนี้ก็ไปทั้งที่เพิ่งหาย เธอหรือก็เฝ้ารอเขาที่บ้านแต่อีกฝ่ายกลับไปอยู่กับหญิงอื่น“พี่นิทเป็นอะไรคะ”
“สวัสดีครับคุณพสุ” เมื่อเข้ามาภายในโรงแรมก็มีผู้จัดการมาต้อนรับอย่างดี โรงแรมนี้เป็นโรงแรมในเครือดิวัลยาที่เขาเคยดูแลเพิ่งสร้างเสร็จเมื่อปีที่แล้ว นักท่องเที่ยวก็เข้ามาพักกันเยอะด้วยชื่อเสียงของโรงแรมและการบริการที่ดีเยี่ยม“สวัสดีครับ” เขากล่าวทักทายอีกฝ่ายเล็กน้อย แล้วเดินไปหยิบคีย์การ์ดขึ้นห้องนิทราเดินตามไปแต่ระหว่างทางก็มองการตกแต่งของโรงแรมที่เน้นบรรยากาศ โดยรอบเป็นผนังกระจกใสที่เห็นวิวข้างนอกประดับด้วยไม้มงคล ไม่เน้นหรูแต่เน้นถึงเอกลักษณ์ในพื้นที่ โคมไฟด้านบนก็เป็นรูปปลาชนิดต่างๆ หรือโซฟาตรงล็อบบี้ก็เป็นรูปทรงปะการังที่ดูธรรมชาติ“เดินช้าจริง” หันมาเห็นภรรยามัวโอ้เอ้เดินดูการตกแต่งไม่ตามมาจึงเดินกลับมาจูงมือเธอให้เดินตามนิทราแอบมองมือหนาที่กอบกุมมือเธอเอาไว้ ความรู้สึกอบอุ่นโอบล้อมรอบตัวจนเผลอยิ้มออกมาด้วยความสุขพอดีกับที่ร่างสูงหันมามอง“ยิ้มอะไร เมายาหรือ”..ดูคำพูดเขา ไม่เคยมีความรู้สึกโรแมนติกเลยหรืออย่างไร ลืมไปว่าเธอคือนิทราไม่ใช่ลินดาคนตัวเล็กดึงมือตัวเองออกจากการเกาะกุมหากแต่ฝ่ายชายไม่ยอม พสุยังคงจับมือเธอไว้แน่นในขณะที่รอลิฟต์“ปล่อยสิ” ทนไม่ไหวจึงเอ่ยเสียงเข้ม“ปล่
เช้าวันจันทร์ไม่ได้สดใสสำหรับพสุเลยแม้แต่น้อย เขาไม่อยากนอนตื่นเช้ามานั่งหลังขดหลังแข็งอ่านเอกสารเป็นวันๆ หากให้ลงพื้นที่ดูไซต์งานก่อนสร้างยังจะมีความสุขมากกว่าแต่ก็เลี่ยงไม่ได้เพราะเขาโยนงานให้พี่ชายไปแล้วหลายงานวันนี้จึงต้องจัดการงานที่เหลือของตนเองเสื้อเชิ้ตสีอ่อนกางเกงสแล็กสีเข้ม เน็กไทและเสื้อสูทแขวนไว้อย่างเรียบร้อยที่ห้องแต่งตัว เป็นอย่างนี้มาสักพักแล้วที่นิทราจะเตรียมชุดให้เขาทั้งเช้าและเย็นหากช่วงแรกเขาก็ไม่ใส่บ้างแต่เพราะช่วงหลังตื่นสายแล้วต้องรีบเขาเลยจำใจใส่ชุดที่เธอเลือกไว้ให้จนชิน“อ้าว กำลังขึ้นมาตามพอดี สายแล้วนะ” ใบหน้าหวานโผล่มาส่งยิ้มให้จนเขาอดเอ็นดูไม่ได้ ไม่ค่อยได้เห็นมุมนี้ของเธอเท่าไหร่“ก็กำลังจะลงไปแล้ว ทำไมวันนี้ไม่ปลุกฉัน”นิทราเดินมาหาสามีก่อนช่วยใส่เน็กไทให้“ปลุกแล้วพสุก็เอาแต่ตอบในลำคอ จะขี้เซาอะไรขนาดนั้น” แอบยู่หน้าใส่จนเขาอดใจไม่ไหวเอามือมาบีบจมูกเธอโยกเบาๆ ด้วยความมันเขี้ยว“ขี้บ่นจริง”นิทราแก้มแดงด้วยความเขินกับการกระทำและแววตาที่เขาส่งมา เธอผละออกแล้วหยิบเสื้อสูทมาถือไว้ให้เขา“ลงไปกินข้าวกันเถอะ” มือหนายกมาโอบไหล่บางของภรรยาไว้แล้วหยิบของลงไปข้า
ร่างบางเดินลงมาจากชั้นสองของบ้านด้วยชุดเดรสลายดอกไม้แขนตุ๊กตาสั้นเหนือเข่าเพียงเล็กน้อย ผมถูกรวบครึ่งหัวแล้วปล่อยยาวลงมาปลายดัดลอนเพียงเล็กน้อย ใบหน้าหวานถูกแต่งแต้มสีสันส่งให้เธอดูน่ามองมากยิ่งขึ้น กว่าจะลงมาได้ก็หมุนดูตัวเองในกระจกหลายรอบจนอดหัวเราะในความตื่นเต้นครั้งนี้ไม่ได้ เขาชวนเธอไปกินข้าวด้วยกันเป็นครั้งแรกมันเหมือนกับเดตแรกของเราสองคน“สวยจริงลูกแม่ ทานอาหารให้อร่อยนะจ๊ะคุณวรรณภาลูบศีรษะลูกสะใภ้ด้วยความเอ็นดู เหมือนทุกอย่างกำลังไปได้ดีในทางที่ควร จะเป็น“ค่ะ หนูไปก่อนนะคะ” ไม่อยากไปสายเธอจึงเลือกที่จะไปรอเขาก่อนเวลานัดลุงแซมเปิดประตูให้ส่งยิ้มพร้อมชมคุณผู้หญิงคนเล็กของบ้าน“วันนี้คุณนิทสวยมากเลยครับ” “ขอบคุณค่ะ” ได้รับคำชมก็เก้อเขินเล็กน้อยขึ้นไปนั่งบนรถรอจนกระทั่งลุงแซมออกรถไปยังที่หมายคือโรงแรมระดับห้าดาวรถติดมากเป็นพิเศษกว่าจะถึงก็ใช้เวลาชั่วโมงครึ่งทั้งที่ไม่ไกลจากบ้านมากนัก หล่อนยกข้อมือขึ้นมาดูนาฬิกาก็พบว่าเป็นเวลาหกโมงครึ่งแล้วจึงรีบลงจากรถด้วยความรีบ เธอนำบัตรวีไอพีที่เขาให้ไว้กับเธอยื่นให้พนักงานดูเขาจึงได้นำไปยังชั้นดาดฟ้าเมื่อถึงสถานที่ดินเนอร์เธอก็ตกตะ
รถคันหรูขับเข้ามาจอดภายในโรงรถในเวลาห้าทุ่มครึ่ง เขาหยิบของลงมาพอดีกับที่รถอีกคันมาจอดเทียบ พสุหันไปมองพี่ชายที่ลงมาจากรถด้วยสีหน้าเหนื่อยล้า“พึ่งกลับมาหรือพี่” คำทักทายทำให้ภมรแปลกใจไม่คิดว่าน้องจะกลับมาพูดราวกับไม่เคยมีเรื่องเคืองขุ่นต่อกัน“ใช่ แล้วนายไปไหนมาทำไมกลับเอาป่านนี้”“พอดีไปเคลียร์อะไรนิดหน่อยน่ะ” สองพี่น้องเดินเข้ามาภายในบ้านพร้อมกันก่อนจะแยกไปห้องของตนเองก่อนเข้าห้องพสุเรียกกำลังใจให้กับตนเองราวกับกลัวนักหนาทั้งที่ไม่มีอะไรน่ากลัวเลยสักนิด เข้าห้องได้ก็มืดไปหมดเขาจึงเปิดไฟหลอดเล็กเห็นนิทรานอนหลับอยู่บนเตียง ร่างหนานำชุดที่เปียกแยกไว้เดินกลับมานั่งบนเตียง“ขอโทษนะ” มือหนาค่อยๆ แตะที่หน้าผากมนแผ่วเบา เขารู้สึกผิดต่อเธอยิ่งรู้ว่าอีกฝ่ายรอนานขนาดไหนก็คิดว่าตัวเองเป็นผู้ชายที่แย่ที่สุด เขาจัดผมให้เธอนอนสบายมากขึ้นแล้วไปอาบน้ำเปลี่ยนชุดมานอนข้างกายภรรยาของตนเอง“อือ” มือหนากอดเอวบางเอาไว้ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกตัวนิทราลืมตามาก็เห็นพสุที่มองตนอยู่ก่อนแล้วยังมือหนาที่โอบกอดเอาไว้อีก เธอขืนตัวออกหากเขากลับรัดแน่นขึ้น“ปล่อยนะ”“อากาศมันหนาว กอดกันจะได้อุ่น” เขายิ้มให้ราวกลับไปเป็
เพียะ“เธอกล้าทำแบบนี้ได้ยังไงพสุ เธอทำกับผู้หญิงที่รักเธอได้ยังไง” คำพูดห่างเหินที่กล่าวกับลูกชายพร้อมกับแรงที่กระทบใบหน้ายิ่งสร้างความรู้สึกผิดให้กับพสุมากขึ้นร่างสูงไม่ได้โต้ตอบอะไรออกไปเพียงแค่กล่าวคำสั้นๆ“ผมขอโทษ” คุณวรรณนภากำมือแน่นอดสงสารลูกชายไม่ได้เมื่อเห็นแววตาแดงก่ำที่พยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้ ไหล่หนาลู่ลงอย่างน่าสงสาร“ขอโทษไปมันก็เอาลูกของเธอกลับมาไม่ได้แล้ว” พสุมองหน้ามารดาแม้ใจจะเต้นระรัวไปด้วยความกลัวแต่มันกลับแฝงความหวังเอาไว้ เขาจับไหล่มารดาแน่นพยายามยึดเป็นหลักในการยืน“แม่หมายความว่ายังไง” คุณวรรณนภาพยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้ ตอนแรกที่เธอรู้ก็แทบเป็นลมไปเหมือนกัน แม้ภายนอกพสุจะดูแข็งแกร่งแต่แท้จริงแล้วเขายังแฝงความเป็นเด็กชายที่ยังรับเรื่องหนักไม่ไหว“หนูนิทแท้ง” มือหนาทิ้งลงข้างลำตัวทันทีเมื่อรู้ข่าว เขาแทบยืนไม่ได้จนต้องเดินไปนั่งลงที่เก้าอี้ข้างคุณยลลดาที่ไม่พูดจาเลยสักคำทั้งที่เขาเพิ่งรู้ว่าตัวเองกำลังจะมีลูกหากแต่ไม่กี่วินาทีต่อมาก็ต้องมารับรู้ว่าลูกได้จากเขาไปแล้ว น้ำตาลูกผู้ชายไหลออกมาเขาซบหน้าลงบนฝ่ามือตัวเองไม่อยากให้ใครเห็นน้ำตาแต่หากให้กลั้นไว้คงทำไม่ได้ มัน
วันต่อมาพสุเดินทางมาที่โรงพยาบาลเขาตรงไปยังห้องพักพิเศษซึ่งภรรยาของตนเองนอนอยู่ ร่างสูงผลักประตูเข้าไปพบเพียงนิทราที่นั่งทานอาหารอยู่บนเตียงคนเดียว ใบหน้าหวานเงยหน้ามาสบสายตาคมที่จ้องกลับมา ร่างสูงเดินเข้าหาหญิงสาว“กินข้าวหรือ” มันเป็นคำทักทายที่ดูไม่ได้เรื่องที่สุดเลย เขาก่นด่าตัวเองในใจขณะยืนข้างร่างบางนิทราหันมามองแล้วก้มลงทานอาหารที่ทางโรงพยาบาลจัดหามาให้โดยไม่ได้พูดอะไรกับเขา“น่าอร่อยจังเลย ให้ป้อนไหม” มือหนาจะหยิบช้อนจากเธอแต่อีกฝ่ายก็หันมามองนิ่งพร้อมกับขยับมือหนีนั้นเป็นการปฏิเสธทางอ้อมอย่างชัดเจน“ออกไป” หล่อนกล่าวคำสั้นๆ ที่ทำเอาชายหนุ่มนิ่งไป..แต่เขาไม่ยอมแพ้หรอก“ไม่ไป จะนั่งมองหน้าเธออยู่แบบนี้ทั้งวัน”..คราวที่อยากให้เขาอยู่ข้างกายกลับไม่พบหากในวันนี้ที่ต้องการตัดใจอีกฝ่ายกลับมาตอแยนิทราไม่ได้พูดอะไรอีกนอกจากรับประทานอาหารตรงหน้าจนหมดแม้ว่ามีพสุนั่งมองหน้าอยู่ทำให้อึดอัดก็ตาม“เดี๋ยวเอาไปเก็บให้”ภายในใจของนิทราภาวนาเพียงให้มารดารีบมาเพราะดูท่าพสุจะรุกหนักเหลือเกินแม้จะบอกว่าไม่ให้เขาเข้ามาก็ตามร่างสูงจัดการเก็บอาหารให้กับนิทราและเปิดทีวีกลัวเธอเบื่อ“กินผลไม้ไหม”
วันต่อมานิทราตื่นเช้ามาใส่บาตรกับมารดาแต่ก็ต้องชะงักเมื่อพบพสุกับคุณวรรณนภายืนอยู่ก่อนหน้านั้นแล้ว แม้ใจจะอยากเดินเข้าบ้านแต่ก็คิดว่าเธอไม่ควรจะหนีเขาจึงทำหน้านิ่งเดินไปกางโต๊ะและนำของใส่บาตรวางไว้ ร่างสูงเดินมายืนข้างนิทราโดยที่มารดาไม่ต้องบอกเหมือนครั้งก่อนแล้ว“ใส่บาตรด้วยนะคะพี่ลดา”“มาสิวรรณ” หญิงสูงวัยทั้งสองเดินไปข้างกันปล่อยให้สามีภรรยาใส่บาตรด้วยกัน“ตื่นเช้ามารับอากาศบริสุทธิ์แบบนี้ก็ดีเหมือนกันนะ คงต้องตื่นเช้าบ่อยๆ เสียแล้ว” ร่างสูงชวนคุยแต่นิทราก็ไม่มีทีท่าว่าจะตอบอะไร เขาถอดรองเท้าตามหญิงสาวเพราะเห็นพระเดินมาก่อนนั่งลงใส่บาตร เมื่อเสร็จแล้วพสุก็เริ่มคิดหนักเพราะนิทราไม่ได้กล่าวอะไรกับตนแถมทำท่าจะเดินเข้าบ้านอีกด้วย“หิว หิวข้าวจังเลยครับแม่ ผมขอเข้าไปกินข้าวด้วยได้ไหมครับ” เขาเดินไปหาคุณยลลดาแล้วเอ่ยถามจนนิทราหันมามองด้วยความไม่ชอบใจ“นายก็ไปกินบ้านตัวเองสิ” ยังไม่ทันที่มารดาจะตอบนิทราก็เอ่ยขึ้นมาขัด“แต่ว่าบ้านเรายังทำอาหารไม่เสร็จใช่ไหมครับแม่” พูดคนเดียวไม่พอยังหาตัวร่วมคุณวรรณนภาเพียงแค่ยิ้มเท่านั้นไม่ได้พูดอะไร“ผมขออนุญาตไปกินข้าวเช้าด้วยนะครับแม่ลดา” ใบหน้าคมยิ้ม