“สวัสดีครับคุณพสุ” เมื่อเข้ามาภายในโรงแรมก็มีผู้จัดการมาต้อนรับอย่างดี โรงแรมนี้เป็นโรงแรมในเครือดิวัลยาที่เขาเคยดูแลเพิ่งสร้างเสร็จเมื่อปีที่แล้ว นักท่องเที่ยวก็เข้ามาพักกันเยอะด้วยชื่อเสียงของโรงแรมและการบริการที่ดีเยี่ยม
“สวัสดีครับ” เขากล่าวทักทายอีกฝ่ายเล็กน้อย แล้วเดินไปหยิบคีย์การ์ดขึ้นห้อง
นิทราเดินตามไปแต่ระหว่างทางก็มองการตกแต่งของโรงแรมที่เน้นบรรยากาศ โดยรอบเป็นผนังกระจกใสที่เห็นวิวข้างนอกประดับด้วยไม้มงคล ไม่เน้นหรูแต่เน้นถึงเอกลักษณ์ในพื้นที่ โคมไฟด้านบนก็เป็นรูปปลาชนิดต่างๆ หรือโซฟาตรงล็อบบี้ก็เป็นรูปทรงปะการังที่ดูธรรมชาติ
“เดินช้าจริง” หันมาเห็นภรรยามัวโอ้เอ้เดินดูการตกแต่งไม่ตามมาจึงเดินกลับมาจูงมือเธอให้เดินตาม
นิทราแอบมองมือหนาที่กอบกุมมือเธอเอาไว้ ความรู้สึกอบอุ่นโอบล้อมรอบตัวจนเผลอยิ้มออกมาด้วยความสุขพอดีกับที่ร่างสูงหันมามอง
“ยิ้มอะไร เมายาหรือ”
..ดูคำพูดเขา ไม่เคยมีความรู้สึกโรแมนติกเลยหรืออย่างไร ลืมไปว่าเธอคือนิทราไม่ใช่ลินดา
คนตัวเล็กดึงมือตัวเองออกจากการเกาะกุมหากแต่ฝ่ายชายไม่ยอม พสุยังคงจับมือเธอไว้แน่นในขณะที่รอลิฟต์
“ปล่อยสิ” ทนไม่ไหวจึงเอ่ยเสียงเข้ม
“ปล่อยไปเธอก็เดินช้าอีก ฉันขี้เกียจตาม จับมือไว้แบบนี้แหละ ดีแล้ว”
พอดีกับประตูลิฟต์เปิดทั้งสองจึงเดินเข้าไปโดยที่พสุถือกระเป๋าเอาไว้ให้ จนกระทั่งถึงชั้นที่พัก นิทราเดินออกมาด้วยใบหน้างอเพราะพยายามปลดมือออกก็ไม่สามารถทำได้ พสุเปิดห้องพักก่อนฝ่ายหญิงจะตาโตด้วยไม่เคยเห็นห้องสวยขนาดนี้มาก่อน ร่างสูงหันมามองภรรยาก็อดเอ็นดูไม่ได้จึงปล่อยมือเธอออกให้สำรวจห้องพักสวีตสุดหรูที่มองเห็นวิวทั่วทั้งเกาะ
“สวยจัง” ดวงตากลมโตเป็นประกายชื่นชมกับธรรมชาติตรงหน้า ไม่เคยมาทะเลเลยสักครั้งนี่เป็นครั้งแรกที่มาจึงรู้สึกประทับใจกับบรรยากาศสวยงาม
พสุเดินมายืนอยู่ข้างกายร่างบาง เขามองไปยังวิวด้านหน้าเช่นเดียวกัน ไม่ได้เห็นบรรยากาศสวยด้วยความรู้สึกที่ปลอดโปร่งแบบนี้มานานแล้วเช่นกันตั้งแต่เรียนจบ เขามุ่งแต่ทำงานธุรกิจของครอบครัว มาทะเลก็ทำเพียงงานไม่ได้เที่ยวเล่นเหมือนอย่างคนอื่น การมาพักครั้งนี้จึงเป็นการพักผ่อนของเขาเช่นเดียวกัน
“หายเวียนหัวรึยัง” หันมามองใบหน้าหวานที่เริ่มมีเลือดฝาดขึ้นก็หายห่วง
“ดีขึ้นแล้วละ” ร่างบางยังคงมองบรรยากาศโดยรอบก่อนจะรีบเอาโทรศัพท์ขึ้นมาบันทึกภาพเอาไว้ ก่อนชะงักเมื่อหันมามองสามีตนเองที่เดินไปหยิบเสื้อผ้าออกมาจากกระเป๋า นิทรามีท่าทีลังเลด้วยกลัวเขาจะปฏิเสธแต่ก็ลองใจกล้าเดินเข้าไปหาเขาราวกับเด็กน้อยเข้าไปขอดาราถ่ายรูป
“มาถ่ายรูปด้วยกันไหม”
คำชวนนั้นทำเอาเขาใจเต้นไม่เป็นจังหวะยิ่งเมื่อมองดวงตากลมโตที่มีแววออดอ้อนนั้นก็สร้างความปั่นป่วนขึ้นไปอีก
“เอาสิ” คำตอบรับสร้างความดีใจจนต้องยิ้มออกมาไม่ได้ ทั้งสองถ่ายรูปด้วยกันเป็นที่ระลึก
“เธอถือแล้วกัน เราหน้าบาน” จออัจฉริยะถูกยื่นให้ร่างสูง “บานตรงไหน คิดเอาเองรึเปล่า เธอนี่ผอมจนจะปลิวไปกับลมอยู่แล้ว” จริงดังที่เขาว่า นิทราตัวเล็กบอบบางจนกลัวว่าลมจะพัดหอบเอาเธอไปไกล แต่ถึงแม้ภายนอกจะดูบอบบางหากภายในกลับเต็มไม้เต็มมือไปหมด เขาได้พิสูจน์มาแล้วด้วยตนเอง
“เอายัง” เมื่อกล้องพร้อมแล้วเขาจึงถามขึ้น นิทราพยักหน้าให้พสุจึงถ่ายรูปทันทีโดยที่เขายิ้มใส่กล้อง ก่อนที่ภาพต่อไปเขาจะมองคนข้างกายและภาพสุดท้ายเป็นภาพที่ทั้งสองมองหน้ากัน
พสุถ่ายเสร็จก็รีบยื่นให้อีกฝ่ายทันทีเดินไปเอาเสื้อผ้าออกจากกระเป๋าปล่อยให้นิทราเลื่อนดูรูปด้วยหัวใจที่สั่นไหว
..ตอนนี้กำแพงในใจของเขาเริ่มลดลงหรือยังนะ
“มาเอาของเธอไปสิ” เห็นยืนนิ่งจึงหันมาบอก
นิทราเดินมาดูก็ตกใจที่เขากำลังหยิบชั้นในออกจากกระเป๋าให้
“นี่เอามานะ” รีบยื้อมาจากมือหนา
“อายอะไร ของจริงก็จับมาแล้ว” คำพูดนั้นสร้างความเขินอายให้กับสาวที่น้อยประสบการณ์ในเรื่องรัก
“เงียบไปเลย” เขินจนขึ้นเสียงใส่เขามากกว่าปกติ แต่สำหรับพสุมันก็ไม่ได้ดูน่ากลัวเลยสักนิด กลับสร้างความเอ็นดูจนเผลอยกมือขึ้นมาอยากลูบศีรษะคนตรงหน้าหากก็ชะงักแล้วเอามือแนบลำตัวตามเดิม
..เขาไม่ควรมาอยู่ใกล้คนที่ทำลายชีวิตเขา ผู้หญิงที่วางแผนทุกอย่าง เขาควรจะเกลียดแต่ทำไมใจมันดันสั่นไหวเมื่อสบกับดวงตากลมโตคู่นั้น ช่างเถิด สองวันต่อจากนี้เขาขอปล่อยวางเรื่องที่เคยหมางใจกัน คิดไว้ว่าจะตะลุยเที่ยวให้เต็มที่สำหรับวันหยุดนี้
ภมรหลังจากที่เซ็นสัญญากับปภาวินเรียบร้อยเขาก็ต้องถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่ายเมื่อพบกับปุณิกาที่มานั่งรอเขาที่ห้องทำงานแม้จะเป็นวันเสาร์
..เธอรู้ได้อย่างไรว่าเขาจะเข้ามาทำงาน
“ผมไม่คิดว่าคุณปุณิกาจะมา” ใบหน้าหวานค้อนอย่างมีจริต
“ก็บอกว่าให้เรียกหยาก็พอ อย่าเรียกคุณเลยค่ะ มันดูห่างเหิน” ร่างบางลุกขึ้นมานั่งข้างกายเขาก่อนจะเบียดเข้ามาราวกับโซฟาเล็กเสียเหลือเกิน
“เอ่อคือว่า” มือหนาจะดันเธอออกหากแต่ประตูห้องได้เปิดออกก่อนพร้อมเสียงหวานที่เขาคุ้นเคย
“พี่ภมรคะ ลินจะชวนไปกินข้าว..” เสียงหวานหายเข้าในลำคอเมื่อพบว่าข้างกายของแฟนหนุ่มมีใครนั่งเคียงคู่
“ตายจริงนึกว่าใคร ที่แท้ก็คนกันเอง” ปากพูดหากแต่ร่างกายกลับขยับเข้าใกล้ภมรมากขึ้นราวกับจะยั่ว “พี่ภมรคะ” ดวงตากลมวาวโรจน์ด้วยความโกรธหากข่มอารมณ์ไว้ เธอมองไปที่ปุณิกานิ่งแต่เอ่ยชื่อภมรขึ้นมา
“คุณปุณิกากลับไปเถอะครับ” เพราะถ้าปล่อยให้ยืดเยื้อลินดาได้อาละวาดแน่นอน ตอนนี้ก็ดูเหมือนเธอกลั้นอารมณ์เต็มที่แล้ว
“กลับได้ยังไงคะ เรายังไม่ได้คุยเรื่องงานกันเลย”
รู้ว่านั้นเป็นข้ออ้าง ลินดากำมือแน่นอยากจะถลาเข้าไปตบหญิงคนนั้นให้หายอยากจากของคนอื่นเสียที ไม่รู้ทำไมถึงได้ไม่ชอบปุณิกานักทั้งที่ปกติเธอเป็นคนไม่ค่อยโกรธง่ายด้วยซ้ำ
“เดี๋ยวผมจะนัดคุยวันจันทร์นะครับ แต่ตอนนี้กรุณาออกไปด้วย” เสียงเข้มบ่งบอกว่าไม่สบอารมณ์เป็นอย่างมาก
ปุณิกาจึงล่าถอยก่อน เธอลุกขึ้นหยิบกระเป๋าส่งยิ้มให้ภมร
“หยาซื้อขนมมาให้พี่ภมร หวังว่าพี่จะชอบนะคะ เห็นคราวก่อนบอกว่าอร่อย”
คำทิ้งท้ายนั้นสร้างความขุ่นใจให้ลินดาอย่างมาก ปุณิกาส่งยิ้มเยาะมาให้เธอราวกับจะเย้ยหยันว่าคนที่ชนะคือตนเอง ริมฝีปากบางเหยียดด้วยความดูแคลนลินดาต้องเม้มปากกลั้นอารมณ์เอาไว้เต็มที่จนกระทั่งเสียงประตูปิดลง
“พี่ภมรอธิบายมาเดี๋ยวนี้เลยนะคะ”
“ใจเย็นก่อนนะลิน มันไม่มีอะไร” เห็นคนรักจ้องตาเขม็งก็ทำตัวไม่ถูก รู้สึกเหมือนตัวเองตัวเล็กลงไปอีกทั้งตัวส่วนสูงของเขาห่างจากเธอเกือบสิบเซนติเมตร!
“พี่จะให้ลินใจเย็นหรือคะที่เห็นคนผู้หญิงคนอื่นมานั่งเบียดจนแทบจะเป็นเนื้อเดียวกับแฟนตัวเอง พี่จะให้ลินทนหรือ” ถามกลับเสียงแข็ง
ภมรจึงเดินเข้ามาจับมือบางเอาไว้ คราแรกลินดาคิดไว้ว่าจะสะบัดแต่เมื่อมองลึกเข้าไปในดวงตาของเขาที่ฉายความรักออกมาก็ปล่อยให้เขาจับมือของเธอเอาไว้
“พี่รักลินนะ ลินเชื่อใจพี่ได้ไหมคะ”
..เป็นอย่างนี้เสียทุกที เขามักจะใช้คำพูดหวานเพื่อหว่านล้อมเธอผลสุดท้ายก็เป็นเธอที่ใจอ่อนให้ ดวงตากลมโตสบกับเขา
“ลินเชื่อใจพี่ค่ะ” ร่างบางโผเข้ากอดคนตัวสูงทันทีราวกับต้องการความเชื่อใจ เขากอดเธอแน่นลูบศีรษะมนด้วยความเอ็นดู
“รักนะคะ” เสียงกระซิบแผ่วเบาข้างหูทำเอาเธอรู้สึกร้อนที่ใบหน้าแปลกๆ ลินดายังคงซบที่แผ่นอกหน้าไม่กล้าเงยขึ้นมองเขา
ถ้าหากเธอเชื่อใจเขาครั้งนี้เธอจะไม่เสียใจใช่หรือเปล่า เธอจะไม่ผิดหวังในตัวเองใช่ไหม...
“ตื่นเลยนะ!” มือบางตีเข้าที่แขนล่ำจนอีกฝ่ายสะดุ้งสุดตัว ตาเรียวยาวลืมขึ้นมาพบกับภรรยาที่ทำหน้าบึ้งอยู่ข้างเตียง “ค่ำแล้วเราหิวข้าว ไปหาอะไรกินกัน”
พสุตอบรับในลำคอแล้วลุกขึ้นนั่งพลางบิดขี้เกียจไปมา เขาเผลอหลับไปได้สักพักเพราะเหนื่อยจากการเดินทาง
“อยากกินอะไร” ถามกลับเสียงงัวเงียเพราะยังไม่ตื่นเต็มที่
“อยากกินกุ้ง ปู ปลาหมึก อืม อาหารทะเลทั้งหมด” ไม่เพียงแต่สีหน้าที่ดูตื่นเต้นแต่แววตากลมโตยังดูเปล่งประกายราวกับเด็กเล็กที่เพิ่งออกมาผจญโลกภายนอกเป็นครั้งแรก เขาอดจะเอ็นดูไม่ได้
“เดี๋ยวจะพาไปกินทั้งหมดนั้นแหละ” ร่างหนาลุกขึ้นยืนเต็มความสูงก่อนจะมองไปที่ร่างบางตรงหน้าก็พบกับชุดเดรสลายดอกไม้สายเดี่ยวคล้องคอ แถมยังบางเสียจนเห็นไปหมดถึงข้างใน
พสุพยายามผ่อนลมหายใจออกมาช้าๆ ไม่รู้ว่าทำไมถึงรู้สึกไม่ชอบใจได้ขนาดนี้
“ขอนั่งริมทะเลด้วยนะ เราเจอในเน็ตเขามีการแสดงด้วย” ยังคงพูดเจื้อยแจ้วโดยไม่ได้ดูหน้าตาของสามีตนเองเลยสักนิดว่าหน้าตูมขนาดไหน
“ไปเปลี่ยนชุดไป” หลังจากนั่งฟังได้สักพักเขาก็พูดขึ้นด้วยใบหน้าติดจะรำคาญสร้างความงุนงงให้ภรรยาสาวต้องก้มมองชุดของตัวเอง
“ทำไม”
“มันน่าเกลียด คิดว่าตัวเองสวยนักหรือไงใส่แบบนี้” ใบหน้าหวานเจื่อนลงเล็กน้อยเมื่อได้ยินอีกฝ่ายพูดแบบนั้น
..ใครจะไปน่ารักเท่าผู้หญิงที่นั่งอยู่ในใจของเขากันล่ะ
นิทราคิดอย่างแง่งอนหากก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับไปเอาแต่นิ่งเงียบ
“ไปเปลี่ยนไป มายืนทำหน้าบื้ออยู่ได้ น่าเบื่อจริงๆ” พสุเสยผมขึ้นอย่างหงุดหงิดแล้วเดินเข้าห้องน้ำไปล้างหน้า เขาไม่คิดว่าคำพูดเพียงไม่กี่คำของเขากลับทำให้บรรยากาศที่กำลังจะดีขึ้นระหว่างทั้งสองดับลงทันที
นิทราเดินไปค้นกระเป๋าของตนเองก็เจอกับเสื้อยืดกางเกงขาสั้น
“ก็จัดให้เราเองแท้ๆ” อดว่าอีกฝ่ายเบาๆ ไม่ได้ เธอเห็นชุดนี้ในกระเป๋าจึงหยิบมาใส่เพราะเข้ากับบรรยากาศทะเลอีกอย่างชุดในกระเป๋าเขาก็เป็นคนเลือกมาให้ยังจะมาหงุดหงิดใส่อีก
เมื่อพสุออกมาจากห้องน้ำนิทราก็เข้าไปเปลี่ยนชุด แทบไม่อยากจะมองหน้าคนที่ทำให้บรรยากาศกร่อย เปลี่ยนชุดเรียบร้อยพสุก็พึงพอใจอยู่บ้างแม้เสื้อจะเป็นคอวีแต่ก็ดีกว่าชุดเมื่อกี้เพราะมันเป็นสีดำที่ดูมิดชิดกว่า กางเกงก็ไม่สั้นจนน่าเกลียด เขาให้ผ่านแล้วกัน
สองหนุ่มสาวเดินลงไปข้างล่างก็เป็นเวลาค่ำแล้ว บรรยากาศดูครึกครื้นจนทั้งสองผ่อนคลายมากขึ้น
“โอ๊ะ” นิทราอุทานเสียงแผ่วเมื่อชนเข้ากับฝรั่งรูปหล่อคนหนึ่ง เขาหันมามองเธอแล้วยิ้มให้อย่างเป็นมิตรพลางเอ่ยขอโทษเบาๆ
พสุมองตามก็รีบโอบไหล่บางเข้าหาตัวเองทันที แววตาคมจ้องดุที่หนุ่มตาน้ำข้าวเสียจนน่ากลัว
“เธอมีแฟนแล้ว”
เดินออกมาแล้วยังแว่วได้ยินฝรั่งคนนั้นหันไปคุยกับเพื่อนก็หงุดหงิดทันที
..หว่านเสน่ห์ไปทั่วจนคนหลงไปหมด ผู้หญิงเจ้าเล่ห์ร้อยมารยา
แต่ทว่ามือหนากลับโอบไหล่บางไม่ยอมปล่อยจนนิทราอมยิ้มด้วยความสุขใจเพราะราวกับเหมือนว่าเขาหวงเธอนักหนา
ทั้งสองเดินไปนั่งยังร้านอาหารริมทะเลที่ปูเสื่อแล้วกลางโต๊ะญี่ปุ่นขนาดพอดี คนเลือกก็ไม่ใช่ใครแต่เป็นหญิงสาวข้างกายของเขา ดื้อรั้นอยากนั่งสัมผัสทรายเหลือเกินทั้งที่เขาคิดว่าลมมาก็ตีทรายเข้าอาหารหมดแต่คร้านจะเถียงจึงตามใจยิ่งพอเห็นรอยยิ้มที่ส่งมาเขาก็พูดไม่ออกรู้ตัวอีกทีก็นั่งอยู่บนเสื่อเสียแล้ว
“เอากุ้งเผา ปลาหมึกราดพริก ส้มตำปูม้า อืม ยำทะเลรวม ชุดทะเลรวม พสุจะเอาอะไรไหม” สั่งไปได้สักพักจึงเงยหน้าขึ้นมาถามคนที่มาด้วย
“เธอสั่งไปเยอะขนาดนั้นยังจะถามว่าฉันจะเอาอะไรอีกหรือ กินให้หมดก่อนเถอะ” เธอยิ้มแห้งกลับมาให้ก่อนจะหันไปสั่งเครื่องดื่ม
นิทรานั่งมองดูโดยรอบก็ยิ้มออกมาด้วยความสุข
..คอยก่อนเถอะพรุ่งนี้จะตื่นมาเล่นน้ำแต่เช้าเชียว ไม่เคยมาสักทีโอกาสมาถึงแล้วก็ขอเล่นน้ำทะเลให้ฉ่ำอุราเสียหน่อยเถอะ
คิดพลางอมยิ้มมองไปยังทะเลด้วยความสุขโดยไม่รู้ว่ามีสายตาหนึ่งคอยจ้องมองเธอตลอด แววตาของพสุอ่อนโยนลงเมื่อมองเห็นความซุกซนซ่อนอยู่ในดวงตากลมโตของร่างบาง มันดูบริสุทธิ์เสียจนไม่อยากเชื่อว่าเธอวางแผนมอมเหล้าเขา
เสียงปรบมือที่ดังขึ้นเรียกความสนใจของทั้งสองสามีภรรยาหันไปดูการแสดงโชว์ควงกระบองไฟที่มีหนุ่มหุ่นล่ำเปลือยท่อนอกบึกบึน ใส่กางเกงขาสามส่วนมาโชว์ลีลาสุดหวาดเสียวในการควงกระบองไฟให้ดูทำเอาผู้คนรอบข้างแม้กระทั่งนิทราอดตื่นเต้นไปกับโชว์ไม่ได้ เธอเหมือนเด็กน้อยที่พ่อแม่พามาสวนสนุกไม่มีผิด ร่างบางสะกิดสามีให้ดูอยู่เรื่อยหากแต่ตากลับไม่ละจากโชว์ตรงหน้า
“สวยจังเลยพสุ” ปากยังคงพึมพำไปเรื่อยในขณะที่ตอนนี้พสุก็ถ่ายรูปโชว์ก่อนจะหันกล้องไปยังภรรยาของตนเองแล้วกดถ่ายไปเสียหลายภาพ
จนกระทั่งการแสดงจบลงเสียงปรบมือก็ดังขึ้นมากกว่าเก่า นิทราแทบจะอยากเอาพวงมาลัยเงินไปให้เสียเหลือเกินกับโชว์ที่ประทับใจแบบนี้ แต่หากทำแบบนั้นมันคงแปลกพิลึก
“หยุดมองได้ไหม อาหารมาเต็มโต๊ะแล้ว” เห็นร่างบางเอาแต่มองกลุ่มนักแสดงเลยอดแขวะไม่ได้ ไอ้กล้ามแบบนั้นเขาก็มีเหมือนกันนั่นแหละ
“อือหือ น่ากินจังเลย” เหมือนเด็กเสียจนพสุหลุดยิ้มออกมาก่อนจะเก๊กหน้าเหมือนเดิม
นิทราจัดการอาหารตรงหน้าอย่างเอร็ดอร่อยโดยมีพสุคอยแกะกุ้งให้เพราะเห็นเธอมัวแต่สนใจกับปลาหมึกเนื้อนุ่มจนลืมกุ้ง พร้อมทั้งปูที่เขาคอยแกะเปลือกออกให้
“พสุไม่กินหรือ” เห็นอีกคนเอาแต่แกะเนื้อให้เธอก็อดห่วงไม่ได้จึงแกะกุ้งให้เขาบ้าง
“เธอกินไปเถอะ ผอมจนจะปลิวลม ขุนซะบ้างเวลาจับจะได้เต็มไม้เต็มมือ” คำพูดสองแง่สองง่ามทำให้แก้มนิทราแดงขึ้นมาเสียอย่างนั้น เธอจึงกินไปเงียบๆ แต่กลับมีความสุข
ทั้งสองไม่ได้พูดอะไรกันอีกแต่ก็ต่างรู้สึกถึงบรรยากาศดีๆ ระหว่างกัน
..ชอบเหลือเกินขอร้องอย่างเพิ่งเอาความสุขไปจากเธอเลย ให้เธอได้อยู่กับมันไปอีกสักนิดก็ยังดี
เช้าวันอาทิตย์พสุตื่นมาพลางกวาดแขนไปข้างกายหวังกอดหมอนข้างเนื้อนิ่มที่เริ่มจะชินกลับพบความว่างเปล่า ดวงตาคมค่อยๆ ลืมขึ้นมาก็ไม่เห็นภรรยานอนอยู่ข้างกายเสียแล้วทั้งที่เมื่อคืนนอนหลับซุกอกเขาแท้ๆ ร่างหนายันกายชุกขึ้นบิดขี้เกียจเดินไปอาบน้ำแต่งตัว ออกมาก็พบกับเสื้อผ้าของตนเองที่วางบนเตียงนอน
“ไปไหนมา” เห็นนิทราเดินเข้ามาในห้องก็เอ่ยถาม
“เดินเล่นน่ะ พระอาทิตย์ขึ้นสวยมาเลยนะ”
เขาขมวดคิ้วทันทีด้วยความไม่ชอบใจ
“ทำไมไปคนเดียว เกิดมีอันตรายขึ้นมาจะทำยังไง” ได้ยินดังนั้นนิทราก็ยิ้มออกมาอย่างดีใจที่เขาเป็นห่วง
“ก็ปลุกแล้วพสุไม่ตื่น นอนขี้เซาชะมัด”
เรื่องจริงข้อนี้เขาไม่เถียง เคยคิดอยากไปดูพระอาทิตย์ขึ้นกับเพื่อนตอนไปเที่ยวภูกระดึงแต่ฝืนสังขารไม่ไหว เขาจึงนอนรอเพื่อนที่เต้นท์ไม่ได้ดูพระอาทิตย์ขึ้นพร้อมคนอื่นสักที
“ก็เธอไม่พยายามปลุกเอง”
..แล้วก็เป็นความผิดของเธออีกจนได้
พสุหยิบชุดไปเปลี่ยนในขณะที่นิทราก็นั่งดูรูปที่เธอถ่ายกะว่าจะล้างใส่อัลบั้มเอาไว้ มาสะดุดที่รูปของตนเองกับสามีอดจะยิ้มไม่ได้
..เวลาสุขหัวใจมันพองโตแบบนี้เองสินะ ตัวเบาหวิวเหมือนจะลอยได้เสียอย่างนั้น
“ไปกินข้าวกัน ฉันหิวแล้ว”
กดปิดหน้าจอโทรศัพท์ทันทีก่อนหยิบกระเป๋าสะพายเดินตามหลังเขาไปแต่ก็ไม่ทันใจคนตัวโตจนต้องจับมือเธอมากุมไว้แล้วลากเดินไปด้วยกันตลอดทาง ดวงตากลมโตก้มลงมองมือใหญ่ที่กุมมือตนเองไว้พลางยิ้มออกมา
..ขอให้เป็นแบบนี้ทุกวันเลยได้ไหม เธอจะขอมากเกินไปหรือไม่นะ
เมื่อรับประทานอาหารเช้าอิ่มแล้วพสุก็ปลีกตัวไปคุยกับผู้จัดการโรงแรมปล่อยให้นิทราเดินเล่นริมหาดคนเดียวซึ่งเธอก็ไม่ได้น้อยใจเพราะเข้าใจดีว่าเขาทำงาน
ร่างบางหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปบรรยากาศโดยรอบเอาไว้ด้วยความสุข ใบหน้าหวานระบายยิ้มแสนสดใสออกมา
จนคนมองอดจะกดชัตเตอร์กล้องไม่ได้
แชะ..
เสียงนั้นเรียกความสนใจจากเจ้าของใบหน้าหวานให้มองไปยังด้านซ้ายของตนเองพบกับหนุ่มร่างสูงที่ดูท่าว่าจะอายุน้อยกว่าเธอจากใบหน้าที่ยังดูอ่อนวัย
“คงไม่ว่ากันถ้าผมถ่ายรูปคุณ” สบตากันฝ่ายชายก็ทำใจกล้าเดินเข้ามาหาพร้อมแจกรอยยิ้มที่สยบผู้หญิงมานักต่อนักแล้ว
นิทราส่ายหน้าพลางยิ้มให้เขา
“ไม่หรอกค่ะ ถ้ารูปไม่น่าเกลียดฉันก็ไม่ว่าอะไรหรอก”
“ไม่น่าเกลียดหรอกครับ ออกจะสวยมากด้วยซ้ำ”
ดวงตากลมโตของหนุ่มตรงหน้าทำให้อดจะเขินไม่ได้
“ผมตะวันนะครับ คุณ..” เอ่ยแนะนำตัวขึ้นมาเพราะอยากรู้จักเธอตรงหน้าเหลือเกิน
“นิทราค่ะ ยินดีที่ได้รู้จัก”
“ชื่อเพราะจังเลยนะครับ” ทำเอาเขาอยากหลับไม่ยอมตื่นเลยทีเดียว ตะวันชวนหญิงสาวคุยด้วยความสนุกของเขาทำให้การสนทนาลื่นไหลราวกับรู้จักกันมานาน“แล้วคุณเรียนที่ไหนหรือครับ” คุยมาได้สักพักเขาก็ถามขึ้น
“อืม..ไม่บอกได้ไหมคะ ขอบอกแค่จบมาได้สามปีแล้ว”
คำบอกเล่านั้นทำเอาเขาชะงักไปในทันที ใบหน้าหล่อติดออกจะหวานนิ่งก่อนจะหัวเราะออกมา
“ผมก็หลงคิดว่าน่าจะปีสองหรือปีสาม ให้ตาย คุณเรียนจบแล้วซะอย่างนั้น” หลงปล่อยไก่ตัวเบ้อเร่อเลยคนเรา
ทั้งสองก้าวเท้าเดินไปเรื่อยขณะคุยกัน
“แล้วคุณล่ะคะ เรียนอยู่หรือว่าจบแล้ว”
“ผมให้คุณทาย” เขาหยุดเดินแล้วจ้องหน้าเธอพลางยิ้มกรุ่มกริ่ม
นิทรานิ่งคิดไปสักพัก รูปร่างเขาพอดีไม่ได้สูงใหญ่หรือหนาเกินไปแต่ก็ไม่สามารถตัดสินได้ หน้าดูอ่อนวัยทำให้เธอลังเลแต่มั่นใจว่าเขาต้องเรียนอยู่อย่างแน่นอน
“เรียนมหา’ลัยปีสาม” แล้วเขาก็ทำตาโต
“คุณเป็นแม่หมอใช่ไหมทำแม่นอย่างนี้” แล้วทั้งคู่ก็หัวเราะออกมา
“ฉันทายถูกหรือคะ” อีกฝ่ายพยักหน้าให้ก่อนจะเดินทอดน่องไปจนเจอกลุ่มเด็กที่วิ่งเล่นกันเผลอมาชนนิทราทำเอาเธอเซดีที่ตะวันจับไหล่เอาไว้เสียก่อน
“ขอบคุณค่ะ” นิทรายืดตัวตรงแล้วเดินต่อ
“คุณทายถูกได้อย่างไร”
“ก็เดาเอา ฉันค่อนข้างจะเดาแม่นนะคะ ข้อสอบที่เดาส่วนมากก็ถูก” หันไปยักคิ้วให้เขา แต่นั่นทำให้หัวใจของตะวันทำงานหนักขึ้นกว่าเดิมยิ่งรอยยิ้มที่ส่งให้เขาแทบจะยอมทุกอย่างที่เขามีให้เธอคนเดียว
..เป็นผู้หญิงที่มีเสน่ห์อย่างร้ายกาจ ตอนนี้เขาขออย่างเดียวอย่าให้เธอมีแฟนเลย ถึงแม้จะเป็นรุ่นพี่เขาก็ไม่สนใจ เขาอยากจะลองข้ามรุ่นดูสักครั้ง
“แล้วนี่คุณมากับใครหรือครับ เพื่อน?” เงียบไปสักพักตะวันก็กลั้นใจถาม ภาวนาในใจขอให้เธอ
..ตอบว่ามากับเพื่อนทีเถอะ
“อ้อ ฉันมากับ”
“นิท!!!” เสียงเรียกนั้นไม่เพียงแต่นิทราที่หันไปแต่ตะวันก็หันกลับไปมองด้วยเช่นกันก็พบกับชายหนุ่มหน้าตาดีเดินเข้ามาด้วยใบหน้าเคร่ง
“อ้าว เสร็จแล้วหรือ”
ไม่เพียงแต่เดินเข้ามาเท่านั้น ผู้ชายคนนั้นยังโอบไหล่บางของนิทราอีกด้วย เพียงแค่นั้นเขาก็รู้แล้วว่าสิ่งที่เขาภาวนาไม่เป็นจริง
“อืม ตามหาตั้งนานนึกว่าโดนฉลามลากไปกินแล้ว” พสุรับรู้ถึงสายตาอีกคู่ที่มองมาเขาเลยทำทีเป็นหยอกล้อกับนิทรา
“เราไม่ใช่เด็กนะ” ส่งค้อนให้กับอีกฝ่ายจนพสุอดยิ้มออกมาไม่ได้ก่อนเลื่อนมือไปโอบเอวเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของเมื่อได้สบตากับคนที่เดินข้างภรรยาของเขา
“แล้วนี่”
“นี่ตะวัน พอดีน้องเขามาถ่ายรูปเลยได้คุยกัน น้องเขาน่ารักมากเลยนะ ตะวันนี่พสุจ้ะ เป็น” เธอชำเลืองไปมองเขาเล็กน้อย “สามีของนิท”
คำตอบนั้นราวกับฟ้าผ่าลงกลางใจของตะวัน คิดว่าจะเจอรักแรกพบเสียแล้ว แต่เธอกลับมีเจ้าของเสียอย่างนั้น เขาฝืนยิ้มให้ผู้ชายที่ยืนกอดเอวภรรยา
“สวัสดีครับ ยินดีที่ได้รู้จัก” ฝืนยิ้มให้
ซึ่งพสุก็รู้งานเขายิ้มกลับให้อีกฝ่ายเช่นกัน
“เป็นรุ่นน้องหรือ”
“ครับ ผมเรียนปีสาม นิเทศครับ” แนะนำพร้อมบอกชื่อมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศราวกับพสุเป็นอาจารย์ประจำคณะเสียอย่างนั้นก็อีกฝ่ายน่าเกรงขามอย่างไรไม่รู้ ตะวันดูเด็กไปทันทีเมื่อสบตาคมที่แม้ใบหน้าจะยิ้มแต่ดวงตาราวมีดที่จะเฉือนเขาเสียอย่างนั้น
“เรียนเก่งน่าดูนะ”
นิทราส่งยิ้มให้รุ่นน้องพลางพยักหน้าเห็นด้วยกับพสุ
“แต่ว่าพี่กับนิทต้องขอตัวก่อนแล้วกัน พอดีรีบกลับน่ะครับ” เขาตัดบททันที
“ไปก่อนนะ” นิทราไม่วายหันไปยิ้มและโบกมือลาจนพสุดึงให้เดินไปแทบไม่ทัน
ตะวันก็ยกมือโบกลาอีกฝ่ายเช่นกัน รักแรกพบไม่มีอยู่จริงหรอก ขนาดผู้หญิงคนนั้นที่เขาหมายตาเอาไว้ยังมีสามีแล้วเลย ถอนหายใจแล้วก้มดูรูปของนิทราในกล้องที่ถ่าย
เสียดายเหลือเกิน...
เช้าวันจันทร์ไม่ได้สดใสสำหรับพสุเลยแม้แต่น้อย เขาไม่อยากนอนตื่นเช้ามานั่งหลังขดหลังแข็งอ่านเอกสารเป็นวันๆ หากให้ลงพื้นที่ดูไซต์งานก่อนสร้างยังจะมีความสุขมากกว่าแต่ก็เลี่ยงไม่ได้เพราะเขาโยนงานให้พี่ชายไปแล้วหลายงานวันนี้จึงต้องจัดการงานที่เหลือของตนเองเสื้อเชิ้ตสีอ่อนกางเกงสแล็กสีเข้ม เน็กไทและเสื้อสูทแขวนไว้อย่างเรียบร้อยที่ห้องแต่งตัว เป็นอย่างนี้มาสักพักแล้วที่นิทราจะเตรียมชุดให้เขาทั้งเช้าและเย็นหากช่วงแรกเขาก็ไม่ใส่บ้างแต่เพราะช่วงหลังตื่นสายแล้วต้องรีบเขาเลยจำใจใส่ชุดที่เธอเลือกไว้ให้จนชิน“อ้าว กำลังขึ้นมาตามพอดี สายแล้วนะ” ใบหน้าหวานโผล่มาส่งยิ้มให้จนเขาอดเอ็นดูไม่ได้ ไม่ค่อยได้เห็นมุมนี้ของเธอเท่าไหร่“ก็กำลังจะลงไปแล้ว ทำไมวันนี้ไม่ปลุกฉัน”นิทราเดินมาหาสามีก่อนช่วยใส่เน็กไทให้“ปลุกแล้วพสุก็เอาแต่ตอบในลำคอ จะขี้เซาอะไรขนาดนั้น” แอบยู่หน้าใส่จนเขาอดใจไม่ไหวเอามือมาบีบจมูกเธอโยกเบาๆ ด้วยความมันเขี้ยว“ขี้บ่นจริง”นิทราแก้มแดงด้วยความเขินกับการกระทำและแววตาที่เขาส่งมา เธอผละออกแล้วหยิบเสื้อสูทมาถือไว้ให้เขา“ลงไปกินข้าวกันเถอะ” มือหนายกมาโอบไหล่บางของภรรยาไว้แล้วหยิบของลงไปข้า
ร่างบางเดินลงมาจากชั้นสองของบ้านด้วยชุดเดรสลายดอกไม้แขนตุ๊กตาสั้นเหนือเข่าเพียงเล็กน้อย ผมถูกรวบครึ่งหัวแล้วปล่อยยาวลงมาปลายดัดลอนเพียงเล็กน้อย ใบหน้าหวานถูกแต่งแต้มสีสันส่งให้เธอดูน่ามองมากยิ่งขึ้น กว่าจะลงมาได้ก็หมุนดูตัวเองในกระจกหลายรอบจนอดหัวเราะในความตื่นเต้นครั้งนี้ไม่ได้ เขาชวนเธอไปกินข้าวด้วยกันเป็นครั้งแรกมันเหมือนกับเดตแรกของเราสองคน“สวยจริงลูกแม่ ทานอาหารให้อร่อยนะจ๊ะคุณวรรณภาลูบศีรษะลูกสะใภ้ด้วยความเอ็นดู เหมือนทุกอย่างกำลังไปได้ดีในทางที่ควร จะเป็น“ค่ะ หนูไปก่อนนะคะ” ไม่อยากไปสายเธอจึงเลือกที่จะไปรอเขาก่อนเวลานัดลุงแซมเปิดประตูให้ส่งยิ้มพร้อมชมคุณผู้หญิงคนเล็กของบ้าน“วันนี้คุณนิทสวยมากเลยครับ” “ขอบคุณค่ะ” ได้รับคำชมก็เก้อเขินเล็กน้อยขึ้นไปนั่งบนรถรอจนกระทั่งลุงแซมออกรถไปยังที่หมายคือโรงแรมระดับห้าดาวรถติดมากเป็นพิเศษกว่าจะถึงก็ใช้เวลาชั่วโมงครึ่งทั้งที่ไม่ไกลจากบ้านมากนัก หล่อนยกข้อมือขึ้นมาดูนาฬิกาก็พบว่าเป็นเวลาหกโมงครึ่งแล้วจึงรีบลงจากรถด้วยความรีบ เธอนำบัตรวีไอพีที่เขาให้ไว้กับเธอยื่นให้พนักงานดูเขาจึงได้นำไปยังชั้นดาดฟ้าเมื่อถึงสถานที่ดินเนอร์เธอก็ตกตะ
รถคันหรูขับเข้ามาจอดภายในโรงรถในเวลาห้าทุ่มครึ่ง เขาหยิบของลงมาพอดีกับที่รถอีกคันมาจอดเทียบ พสุหันไปมองพี่ชายที่ลงมาจากรถด้วยสีหน้าเหนื่อยล้า“พึ่งกลับมาหรือพี่” คำทักทายทำให้ภมรแปลกใจไม่คิดว่าน้องจะกลับมาพูดราวกับไม่เคยมีเรื่องเคืองขุ่นต่อกัน“ใช่ แล้วนายไปไหนมาทำไมกลับเอาป่านนี้”“พอดีไปเคลียร์อะไรนิดหน่อยน่ะ” สองพี่น้องเดินเข้ามาภายในบ้านพร้อมกันก่อนจะแยกไปห้องของตนเองก่อนเข้าห้องพสุเรียกกำลังใจให้กับตนเองราวกับกลัวนักหนาทั้งที่ไม่มีอะไรน่ากลัวเลยสักนิด เข้าห้องได้ก็มืดไปหมดเขาจึงเปิดไฟหลอดเล็กเห็นนิทรานอนหลับอยู่บนเตียง ร่างหนานำชุดที่เปียกแยกไว้เดินกลับมานั่งบนเตียง“ขอโทษนะ” มือหนาค่อยๆ แตะที่หน้าผากมนแผ่วเบา เขารู้สึกผิดต่อเธอยิ่งรู้ว่าอีกฝ่ายรอนานขนาดไหนก็คิดว่าตัวเองเป็นผู้ชายที่แย่ที่สุด เขาจัดผมให้เธอนอนสบายมากขึ้นแล้วไปอาบน้ำเปลี่ยนชุดมานอนข้างกายภรรยาของตนเอง“อือ” มือหนากอดเอวบางเอาไว้ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกตัวนิทราลืมตามาก็เห็นพสุที่มองตนอยู่ก่อนแล้วยังมือหนาที่โอบกอดเอาไว้อีก เธอขืนตัวออกหากเขากลับรัดแน่นขึ้น“ปล่อยนะ”“อากาศมันหนาว กอดกันจะได้อุ่น” เขายิ้มให้ราวกลับไปเป็
เพียะ“เธอกล้าทำแบบนี้ได้ยังไงพสุ เธอทำกับผู้หญิงที่รักเธอได้ยังไง” คำพูดห่างเหินที่กล่าวกับลูกชายพร้อมกับแรงที่กระทบใบหน้ายิ่งสร้างความรู้สึกผิดให้กับพสุมากขึ้นร่างสูงไม่ได้โต้ตอบอะไรออกไปเพียงแค่กล่าวคำสั้นๆ“ผมขอโทษ” คุณวรรณนภากำมือแน่นอดสงสารลูกชายไม่ได้เมื่อเห็นแววตาแดงก่ำที่พยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้ ไหล่หนาลู่ลงอย่างน่าสงสาร“ขอโทษไปมันก็เอาลูกของเธอกลับมาไม่ได้แล้ว” พสุมองหน้ามารดาแม้ใจจะเต้นระรัวไปด้วยความกลัวแต่มันกลับแฝงความหวังเอาไว้ เขาจับไหล่มารดาแน่นพยายามยึดเป็นหลักในการยืน“แม่หมายความว่ายังไง” คุณวรรณนภาพยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้ ตอนแรกที่เธอรู้ก็แทบเป็นลมไปเหมือนกัน แม้ภายนอกพสุจะดูแข็งแกร่งแต่แท้จริงแล้วเขายังแฝงความเป็นเด็กชายที่ยังรับเรื่องหนักไม่ไหว“หนูนิทแท้ง” มือหนาทิ้งลงข้างลำตัวทันทีเมื่อรู้ข่าว เขาแทบยืนไม่ได้จนต้องเดินไปนั่งลงที่เก้าอี้ข้างคุณยลลดาที่ไม่พูดจาเลยสักคำทั้งที่เขาเพิ่งรู้ว่าตัวเองกำลังจะมีลูกหากแต่ไม่กี่วินาทีต่อมาก็ต้องมารับรู้ว่าลูกได้จากเขาไปแล้ว น้ำตาลูกผู้ชายไหลออกมาเขาซบหน้าลงบนฝ่ามือตัวเองไม่อยากให้ใครเห็นน้ำตาแต่หากให้กลั้นไว้คงทำไม่ได้ มัน
วันต่อมาพสุเดินทางมาที่โรงพยาบาลเขาตรงไปยังห้องพักพิเศษซึ่งภรรยาของตนเองนอนอยู่ ร่างสูงผลักประตูเข้าไปพบเพียงนิทราที่นั่งทานอาหารอยู่บนเตียงคนเดียว ใบหน้าหวานเงยหน้ามาสบสายตาคมที่จ้องกลับมา ร่างสูงเดินเข้าหาหญิงสาว“กินข้าวหรือ” มันเป็นคำทักทายที่ดูไม่ได้เรื่องที่สุดเลย เขาก่นด่าตัวเองในใจขณะยืนข้างร่างบางนิทราหันมามองแล้วก้มลงทานอาหารที่ทางโรงพยาบาลจัดหามาให้โดยไม่ได้พูดอะไรกับเขา“น่าอร่อยจังเลย ให้ป้อนไหม” มือหนาจะหยิบช้อนจากเธอแต่อีกฝ่ายก็หันมามองนิ่งพร้อมกับขยับมือหนีนั้นเป็นการปฏิเสธทางอ้อมอย่างชัดเจน“ออกไป” หล่อนกล่าวคำสั้นๆ ที่ทำเอาชายหนุ่มนิ่งไป..แต่เขาไม่ยอมแพ้หรอก“ไม่ไป จะนั่งมองหน้าเธออยู่แบบนี้ทั้งวัน”..คราวที่อยากให้เขาอยู่ข้างกายกลับไม่พบหากในวันนี้ที่ต้องการตัดใจอีกฝ่ายกลับมาตอแยนิทราไม่ได้พูดอะไรอีกนอกจากรับประทานอาหารตรงหน้าจนหมดแม้ว่ามีพสุนั่งมองหน้าอยู่ทำให้อึดอัดก็ตาม“เดี๋ยวเอาไปเก็บให้”ภายในใจของนิทราภาวนาเพียงให้มารดารีบมาเพราะดูท่าพสุจะรุกหนักเหลือเกินแม้จะบอกว่าไม่ให้เขาเข้ามาก็ตามร่างสูงจัดการเก็บอาหารให้กับนิทราและเปิดทีวีกลัวเธอเบื่อ“กินผลไม้ไหม”
วันต่อมานิทราตื่นเช้ามาใส่บาตรกับมารดาแต่ก็ต้องชะงักเมื่อพบพสุกับคุณวรรณนภายืนอยู่ก่อนหน้านั้นแล้ว แม้ใจจะอยากเดินเข้าบ้านแต่ก็คิดว่าเธอไม่ควรจะหนีเขาจึงทำหน้านิ่งเดินไปกางโต๊ะและนำของใส่บาตรวางไว้ ร่างสูงเดินมายืนข้างนิทราโดยที่มารดาไม่ต้องบอกเหมือนครั้งก่อนแล้ว“ใส่บาตรด้วยนะคะพี่ลดา”“มาสิวรรณ” หญิงสูงวัยทั้งสองเดินไปข้างกันปล่อยให้สามีภรรยาใส่บาตรด้วยกัน“ตื่นเช้ามารับอากาศบริสุทธิ์แบบนี้ก็ดีเหมือนกันนะ คงต้องตื่นเช้าบ่อยๆ เสียแล้ว” ร่างสูงชวนคุยแต่นิทราก็ไม่มีทีท่าว่าจะตอบอะไร เขาถอดรองเท้าตามหญิงสาวเพราะเห็นพระเดินมาก่อนนั่งลงใส่บาตร เมื่อเสร็จแล้วพสุก็เริ่มคิดหนักเพราะนิทราไม่ได้กล่าวอะไรกับตนแถมทำท่าจะเดินเข้าบ้านอีกด้วย“หิว หิวข้าวจังเลยครับแม่ ผมขอเข้าไปกินข้าวด้วยได้ไหมครับ” เขาเดินไปหาคุณยลลดาแล้วเอ่ยถามจนนิทราหันมามองด้วยความไม่ชอบใจ“นายก็ไปกินบ้านตัวเองสิ” ยังไม่ทันที่มารดาจะตอบนิทราก็เอ่ยขึ้นมาขัด“แต่ว่าบ้านเรายังทำอาหารไม่เสร็จใช่ไหมครับแม่” พูดคนเดียวไม่พอยังหาตัวร่วมคุณวรรณนภาเพียงแค่ยิ้มเท่านั้นไม่ได้พูดอะไร“ผมขออนุญาตไปกินข้าวเช้าด้วยนะครับแม่ลดา” ใบหน้าคมยิ้ม
เช้าวันต่อมาชายหนุ่มตื่นตั้งแต่ไก่ยังไม่ขันจัดกระเป๋าออกเดินทางไปยังสนามบินโดยให้เลขาจองตั๋วไว้ให้ ตอนนี้เขาได้สั่งให้นักสืบที่จ้างไปตามหานิทราจากข้อมูลที่ได้มาก็ทราบว่าเธอเช่ารีสอร์ตเล็กๆ แห่งหนึ่งอยู่กับเพื่อน แต่เขาก็ยังสงสัยว่าเหตุใดหญิงสาวจึงบอกมารดาว่าอยู่บ้านเพื่อนพสุถึงสนามบินจัดการธุระทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยจึงเข้าไปนั่งรอภายในเกท และไม่นานเขาก็ได้ขึ้นเครื่องที่พร้อมจะทะยานไปสู่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน เพื่อปรับความเข้าใจกับภรรยาของตนเอง ครั้งนี้เขาจะไม่ทำให้พลาดอีกแล้วเขาพักผ่อนสายตาจนกระทั่งเครื่องบินลงจอด ดีที่เคยติดต่องานกับเจ้าของโรงแรมแห่งหนึ่งในจังหวัดนี้จึงแจ้งความประสงค์ใช้รถอีกฝ่ายก็หามาให้อย่างดีโดยมีคนขับรถมารอรับถึงหน้าสนามบิน“เธออยู่คนเดียวหรือ” หลังจากนั่งรถมาไม่นานเขาก็โทรศัพท์หานักสืบที่ตนได้ว่าจ้างทันทีด้วยความร้อนใจ“ครับ เพื่อนของเธอเก็บกระเป๋าออกไปกับผู้ชายคนหนึ่งตั้งแต่เมื่อวานแล้ว” คิ้วหนาขมวดเข้าหากันอย่างไม่เข้าใจ หากก็ยินดีที่เธออยู่คนเดียวอาจจะทำให้การง้อของเขาครั้งนี้สำเร็จไปได้ด้วยดี“เฝ้าเธอไว้ถ้าเธอไปไหนให้รายงานผมด้วย” เขากดวางสายทันทีพลาง
ตกเย็นร่างบางที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จใส่ชุดเสื้อยืดพอดีตัวกับกางเกงขาสามส่วนเดินมานั่งที่ระเบียงมองบรรยากาศยามเย็นที่ตะวันลาลับฟ้าถูกแต้มให้กลายเป็นสีเข้มก๊อก ก๊อก ก๊อกเสียงเคาะประตูเธอจึงเปลี่ยนเป้าหมายไปที่ประตูเปิดออกเจอพนักงานหญิงถือกล่องขนาดกลางยื่นมาให้ตนเอง“คุณผู้ชายห้องข้างๆ ฝากมาให้ค่ะ บอกให้คุณใส่แล้วเขาจะมารับไปดินเนอร์ตอนเย็น” รอยยิ้มของพนักงานหญิงที่ดูเหมือนจะมีความสุขกับภารกิจนี้เธอจึงไม่กล้าปฏิเสธยื่นมือไปรับของมาแล้วเอ่ยขอบคุณปิดประตูทันทีกล่องถูกวางบนเตียงเมื่อเปิดออกก็พบชุดเดรสผ้าฝ้ายแขนตุ๊กตายาวกรอมเท้าสีชมพู ลวดลายถูกปักเป็นรูปดอกไม้ มีเครื่องประดับเป็นสร้อยเล็กๆ รูปดาวพร้อมโน้ตที่แนบมาด้วย“เจอกันนะ”..อะไรของเขากันนะหล่อนคิดอย่างสงสัยหากก็ไปเปลี่ยนชุดแล้วออกมาแต่งหน้าเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ผมยาวถูกมัดเป็นหางม้าอย่างเรียบร้อยมองนาฬิกาก็พบว่าเป็นเวลาทุ่มว่าแล้ว..เขาจะให้เธอไปหาหรืออย่างไรทำไมไม่มาสักทีก๊อก ก๊อก ก๊อก..นึกถึงก็มาพอดีนิทราเดินไปเปิดประตูก็พบพสุอยู่ในเสื้อผ้าฝ้ายพื้นเมืองอีสานสีเทาเข้มกับกางเกงขาก๊วยสีน้ำเงินอดหัวเราะไม่ได้เพราะไม่ค่อยเห็นเขาในลักษ