เวลาสองสัปดาห์ที่ผ่านไปนิทรายุ่งกับการเตรียมชุดแต่งงานของตนเองและเจ้าบ่าวโดยเธอเป็นคนออกแบบและตัดชุดเอง
คุณวรรณนภาเป็นธุระเรื่องการวัดตัวพสุก่อนจะเอามาให้เธอตัดชุด ร่างบางอมยิ้มน้อยๆ เมื่อมองชุดเจ้าบ่าวซึ่งกำลังจะเสร็จด้วยความปลื้มใจ เขากำลังจะได้ใส่ชุดที่เธอตัดให้ถือเป็นชุดผู้ชายชุดแรกเลยก็ว่าได้ที่เธอตัด
“พักก่อนไหมนิท” คุณยลลดาถือแก้วโอวัลตินมาวางไว้ข้างกายลูกสาวหลังจากเห็นหล่อนทำงานหนักมาหลายวันแล้ว
นิทราตัดชุดเจ้าสาวเสร็จเรียบร้อยทั้งชุดงานหมั้นและงานฉลองตอนเย็น ตอนนี้จึงเหลือชุดเจ้าบ่าวที่ต้องตัดทั้งสองชุด พอนางอาสาจะช่วยลูกสาวก็ปฏิเสธเพราะอยากทำให้เจ้าบ่าวด้วยตัวเอง
“ไม่ค่ะแม่ ชุดหมั้นใกล้เสร็จแล้ว เสร็จค่อยพักก็ได้” แม้เป็นเวลากว่าเที่ยงคืนเธอก็ยังคงนั่งทำงานอยู่ที่เดิม “แม่ไปนอนเถอะค่ะ นิทยังไหว”
เห็นหน้าซีดเซียวของลูกสาวแล้วก็อดบ่นว่าที่ลูกเขยในใจไม่ได้ อีกฝ่ายไม่เคยแม้แต่จะย่างกรายเข้ามาที่บ้านของเธอเลย ใจจริงถ้าฝ่ายชายไม่เต็มใจเธอก็ไม่อยากให้ลูกสาวแต่งงานด้วยแต่เพราะน้องคนสนิทคะยั้นคะยอจะรับผิดชอบเธอก็เลยไม่กล้าเอ่ยปฏิเสธทั้งยังกลัวลูกสาวอับอายอีกด้วย
“จ้ะ แม่รักลูกนะ” คุณยลลดาเข้ามาหอมศีรษะลูกรักของนาง มีคนเดียวรักปานแก้วตาด้วงใจ
“นิทก็รักแม่ค่ะ” สองแม่ลูกยิ้มให้กันก่อนคนเป็นแม่จะเดินขึ้นไปบนบ้าน
นิทรายังคงนั่งทำงานต่อจนกระทั่งชุดเจ้าบ่าวเสร็จเวลาตีสาม และตอนนี้เธอก็ง่วงเกินกว่าจะเดินขึ้นไปนอนบนบ้านจึงหลับที่โซฟาแทน
เพราะกลิ่นอาหารแสนหอมของแม่ปลุกเจ้าหญิงของบ้านให้ตื่นจากฝัน นิทราลุกขึ้นบิดตัวไปมาเพื่อไล่ความเมื่อยจากการพักผ่อนใบหน้าหวานแม้ไร้เครื่องสำอางก็ยังคงน่ามอง
“ใส่บาตรหรือคะ”
“จ้ะ ลูกก็ไปล้างหน้าล้างตามาใส่บาตรได้แล้ว”
ร่างบางส่งยิ้มกลับมาก่อนเดินขึ้นไปอาบน้ำให้สดชื่นแล้วลงมาข้างล่างด้วยชุดเสื้อแขนตุ๊กตากับกระโปรงสีสดใสยิ่งทำให้หล่อนดูเด็กลงกว่าอายุจริงอยู่มากโข มองดูนาฬิกาเป็นเวลากว่าหกโมงครึ่งจึงเข้าไปช่วยแม่ยกถาดออกมาหน้าบ้าน
“พี่ลดาใส่บาตรด้วยกันเลยนะคะ”
เดินออกมาหน้าบ้านนิทราก็ต้องตกใจกับเสียงอันคุ้นเคย พอหันไปมองก็สบตากับพสุพอดี ร้อยวันพันปีเขาไม่เคยมาใส่บาตร วันนี้แปลกที่เห็นเขายืนข้างมารดาคงเป็นเพราะโดนบังคับหน้าจึงดูเหมือนเด็กถูกขัดใจขนาดนั้น
“ไม่นึกว่าวรรณจะมาด้วย”
“ตาพสุอยากมาค่ะ มาเร็วลูก ยกของมาทางนี้” มองดูก็รู้ว่าคำพูดของคนเป็นแม่นั้นไม่น่าเชื่อเลย
ลูกชายเดินหน้ามุ่ยถือของมายืนข้างมารดา
“ตายแล้วไปยืนข้างน้องสิ มายืนข้างแม่ทำไมจะมีเมียอยู่แล้ว”
คำพูดของคนเป็นแม่ทำให้พสุอยากจะวางของทั้งหมดลงแล้วเดินกลับเข้าไปในบ้านเหลือเกิน ต่างจากนิทราที่เขินหน้าแดงไปหมด
“ผมอยากยืนตรงนี้”
เมื่อเห็นลูกชายไม่ได้ดั่งใจก็อดชักสีหน้าใส่ลูกคนเล็กไม่ได้ก่อนนางจะเป็นคนเดินไปคล้องแขนพี่สาวคนสนิทมายืนด้วยกันแล้วดันลูกชายให้ไปยืนข้างหญิงสาว
“เอาของมาเดี๋ยวแม่จะใส่บาตรกับป้าลดา ลูกก็ใส่บาตรกับหนูนิทนะ”
ของในมือเขาตกไปอยู่ในมือมารดาเรียบร้อย แม้จะไม่ชอบใจแต่ก็ไม่สามารถแสดงอาการอะไรออกไปมากนัก เนื่องจากยังเกรงใจมารดาของตนและมารดาของนิทราอยู่มาก เขาจึงหันมาลงกับหญิงข้างกายแทน
“เอามาจะถือ” แทบเรียกได้ว่ากระชากออกมาจากคนตัวเล็กกว่าแถมเขายังชักสีหน้าไม่พอใจใส่เธออีกด้วย คนตัวสูงโน้มหน้าลงมากระซิบข้างหูเธอ
“เพราะเธอคนเดียวที่ทำให้เรื่องมันยุ่งยากขนาดนี้ ฉันเกลียดเธอ” ตอกย้ำอีกครั้งเมื่อเห็นใบหน้าหวานซีดลงก็รู้สึกสะใจเป็นอย่างยิ่ง เขายิ้มร้ายด้วยความพอใจกับผลงานที่ทำให้เธอเสียใจในวันนี้
นิทราพยายามกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลลงมาข่มความเจ็บให้ลึกลงไปเมื่อพระกำลังมา
เธอถอดรองเท้าออกพอหันไปมองพสุยังใส่อยู่จึงสะกิดบอก
“ถอดรองเท้าด้วย” แต่เขาถือทิฐิเมื่อเธอบอกก็ไม่เชื่อทำหน้าเฉย นิทราต้องข่มความโมโหเอาไว้แล้วบอกเขาอีกครั้ง“ถอดรองเท้าด้วย”
“ทำไมต้องถอด” เขาหันมายียวน
“เพื่อให้ความเคารพในพระภิกษุ พระภิกษุถอดรองเท้าบิณฑบาตเพราะเคารพในทานของเรา ส่วนเราเองก็ถอดรองเท้าเพื่อให้ความเคารพกับพระภิกษุซึ่งมีศีล๒๒๗ข้อ”
หากเป็นเมื่อก่อนที่เขายังไม่มีเรื่องหมางใจกับเธอคงปรบมือให้กับคำตอบที่น่าทึ่งไปแล้วแต่เมื่อเป็นเวลานี้จึงทำเพียงยักไหล่แล้วถอดรองเท้าออกเท่านั้น ดีที่วันนี้เข้าบริษัทบ่ายเขาจึงใส่เพียงเสื้อยืดกับกางเกงขาสามส่วนรองเท้าแตะธรรมดา
“นั่งลงด้วยสิ” เพราะถือเสมอว่าไม่ควรยืนเสมอท่านเธอและมารดาจึงนั่งลงใส่บาตร
พสุที่ไม่ค่อยเข้าวัดทำบุญจึงดูเงอะงะคอยมองดูนิทราตลอด เขาถือข้าวให้เธอตักข้าวใส่บาตรพร้อมอาหารที่ใส่ถุงเรียบร้อยก่อนวางดอกกล้วยไม้ เมื่อใส่เสร็จก็รับพร
นิทราแอบอมยิ้มด้วยความสุขเมื่อได้ใส่บาตรกับเขาเป็นครั้งแรก
“หนูนิทได้ข่าวว่าตัดชุดเจ้าสาวเจ้าบ่าวเสร็จแล้วหรือลูก” เมื่อใส่บาตรเสร็จคุณวรรณนภาเอ่ยถามขึ้นมา
นิทรายิ้มรับ
“ใช่ค่ะคุณน้า”
“อย่างนั้นดีเลย ไปลองชุดกัน”
พสุได้ยินก็รีบขัดขึ้นมา
“แม่ครับผมต้องไปทำงานนะ”
“บ่ายโมงไม่ใช่หรือไง ตอนนี้มาลองชุดก่อน”
ชายหนุ่มจะชักสีหน้าใส่แม่ก็ไม่กล้าเลยหันไปมองดุใส่นิทรา
“แต่ผมง่วง ผมจะกลับไปนอน” โดนบังคับให้ลุกมาใส่บาตรทั้งที่ปกติเขาตื่นเจ็ดโมงครึ่งด้วยซ้ำ พสุเลยมีหน้าตาไม่รับแขกตลอดเวลาในตอนนี้
“แม่บอกให้ไปลองชุดไงลูกรัก”
มาคำนี้เขารู้เลยว่ามารดาพยายามข่มใจมากแค่ไหน ถ้าเขาเป็นเด็กคงถือไม้เรียวมาหวดก้นเขาไปแล้ว แต่ตอนนี้น่ากลัวกว่าคือการมองด้วยสายตาดุที่แทบจะเฉือนเขาเป็นชิ้นๆ
พสุจำต้องตอบรับ
“ครับแม่ ผมอยากลองมากเลย ดีใจจนตัวสั่นไปหมดแล้ว”
“ดีมากจ้ะลูกชายของแม่”
แล้วสองแม่ลูกก็เดินเข้าบ้านไปปล่อยให้คุณยลลดากับลูกสาวมองตามด้วยความขำ
..ตกลงนี่บ้านใครกันแน่
เมื่อเดินเข้ามาในบ้านที่เขาไม่ได้มานานล่าสุดก็ตอนมัธยมที่ให้นิทราช่วยแต่งกลอนวิชาภาษาไทยเพราะเขาแต่งไม่เก่งส่วนเมื่อหลายสัปดาห์ก่อนตอนไม่ค่อยมีสตินั้นเขาไม่นับ
พสุมองกองเสื้อผ้าที่อยู่ห้องด้านซ้ายมือซึ่งเปิดประตูทิ้งไว้ก็อดจะเดินเข้าไปดูไม่ได้
“นี่หรือหนูนิทชุดเจ้าสาว”
ชุดของเธอถูกห้อยใส่ถุงไว้อย่างดี เป็นชุดไทยประยุกต์สีครีมกับชุดราตรียาวสีชมพูอ่อนแขนตุ๊กตาที่หญิงสาวชอบ ชุดจะออกแนวเจ้าหญิงในนวนิยายมากกว่าชุดเจ้าสาวเพราะเป็นความชอบส่วนตัวของคนตัด
“ใช่ค่ะ มันโอเคไหมคะ”
“สวยมากเลยจ้ะ” ได้ยินคำชมก็ยิ้มรับ
“น้าชอบนะ เหมือนชุดเจ้าหญิงเลย สวยคลาสสิค” เปิดดูฝีมือการเย็บก็แสนประณีต
“แต่ชุดงานเลี้ยงของพสุนิทยังไม่ได้ตัดเลยค่ะ ว่าจะเริ่มตัดวันนี้เลย”
พสุมองดูเงียบๆ เขาอดชมเธอไม่ได้ว่ามีฝีมือมากเสียจริง หากเป็นงานแต่งของเขากับลินดาคงให้เธอออกแบบตัดเย็บให้ชมว่าสวย แต่นี่มันไม่ใช่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
..ไม่ใช่งานแต่งของเขากับลินดาแต่เป็นงานแต่งของเขากับนิทรา ไม่เคยคิดว่าหล่อนจะทำแบบนี้ได้โดยไม่ได้เฉลียวใจสักนิดว่าคืนนั้นตนเองไปโดนอะไรมาจึงขาดสติขนาดนั้น
“ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ น้าเชื่อฝีมือของหนู มาลองชุดงานหมั้นก่อนลูก แม่จะได้ถ่ายรูปให้คุณพ่อกับเพื่อนๆ ของแม่ดู” คุณวรรณนภาจัดการทุกอย่างไม่มีใครโต้แย้งอะไร สองหนุ่มสาวไปลองชุด
พสุมองตนเองในกระจกก็อดทึ่งกับชุดที่หญิงสาวตัดไม่ได้ ใช้เวลาน้อยนิดแค่สองสัปดาห์ตัดชุดได้สวยขนาดนี้ราวกับแบรนด์ดังได้อย่างไร เขาเดินออกมาก็รอเธอก่อนจะตาค้างเพราะความสวยของเพื่อนข้างบ้านที่เขาไม่เคยมองเธอเกินเพื่อนเลย
“มันดูโอเคไหมคะ” เพราะไม่มั่นใจเมื่อเห็นทุกคนเงียบจึงเอ่ยถามขึ้น
“สวย สวยมากจ้ะหนูนิท น้านึกว่านางฟ้าที่ไหนเสียอีก”
ได้ยินแม่ยกยอเกินจริงก็อดยิ้มมุมปากเยาะเย้ยในใจไม่ได้
..นางฟ้าตกสวรรค์สิไม่ว่า ไม่เห็นจะสวยตรงไหนเลย
แม้ว่าสมองจะสั่งแบบนั้นแต่แปลกที่หัวใจกลับเต้นแรงไม่เป็นจังหวะเมื่อสบตากับเธอ
“หนูนิทสวยไหมตาเล็ก”
ตอนแรกเขาเกือบพลั้งปากว่าไม่สวยแต่มองดูรอยยิ้มมารดาที่แม้จะหวานหยดย้อยแต่กลับเคลือบยาพิษเอาไว้ เขาตายแน่หากตอบอย่างที่คิด จึงหันไปมองนิทราแล้วยิ้มให้เธอ
“สวยสิครับ สวยมากเลย”
คำพูดแดกดันของเขาทำให้นิทรายิ้มออกมาอย่างมีกำลังใจถึงแม้มันจะเป็นคำพูดประชดรอยยิ้มจอมปลอมของเขาก็ตาม
“ไปยืนข้างน้องสิลูก แม่จะถ่ายรูปให้” พสุเดินไปยืนข้างหญิงสาวทำหน้านิ่ง
“ตาเล็กยิ้มหน่อยสิ”
“ปากผมขยับไม่ได้ครับแม่” ขอต่อปากต่อคำสักนิดก็ยังดี
“แม่บอกให้ยิ้มไงจ๊ะ” เพียงเท่านั้นเขาก็ฉีกปากออกทันที
นิทราหันไปมองเขายิ้มเศร้า เขาฝืนใจมากที่มาแต่งงานกับเธอ
“สวยมากเลย เอามือโอบน้องด้วยสิลูก” คนเป็นแม่สั่งแล้วถ่ายรูปอีกครั้ง
คุณยลลดามองบ่าวสาวแล้วยิ้มตามน้อยๆ แม้จะดีใจที่ลูกได้แต่งงานกับคนที่รักแต่กลับทุกข์ที่ดูเหมือนทางข้างหน้าจะมีอุปสรรคเพราะฝ่ายชายไม่ได้มีใจให้ลูกของเธอเลย หลายครั้งอยากบอกวรรณนภาให้ยกเลิกงานแต่ดูที่ลูกสาวอดหลับอดนอนทำชุดก็ไม่กล้าที่จะพูด มันเป็นความสุขของลูกเธอ แม้จะสุขบนความทุกข์ก็ตาม
“ผมเมื่อยครับแม่ แขนยกไม่ขึ้น”
คุณวรรณนภาอยากจะบิดหูเจ้าลูกชายเหลือเกินขัดเธอไปเสียทุกอย่าง แต่ที่ทำได้เพียงแค่ยิ้มออกมา
“งั้นหนูนิทคล้องแขนพี่เขาสิลูก” หันไปบอกลูกสะใภ้แทน
นิทรายังดูอึ้งแต่สักพักก็คล้องแขนชายหนุ่มไว้ด้วยความเขินอาย พสุถอนหายใจออกมาด้วยความขัดใจ
..แม่เขาจอมบงการเป็นที่หนึ่งแถมคนข้างกายก็มารยาเหลือเกิน
“อย่างนั้นแหละลูก” มื่อถ่ายรูปไปเยอะแล้วคนเป็นแม่ก็ยิ้มอย่างพอใจ เปิดรูปให้รุ่นพี่คนสนิทดูแล้วยิ้มกันสองคน
พสุใส่ชุดราชประแตนแล้วหล่อเหลือเกิน ยิ่งเขาเป็นคนหน้าคมเข้มหล่อแบบไทยๆ ด้วยแล้วยิ่งส่งให้ดูดีขึ้นไปอีก
“เมื่อไหร่งานบ้าๆ นี่จะจบสักที” บ่นออกมาให้เธอได้ยินก่อนจะสะบัดแขนเล็กออกอย่างรำคาญ
นิทราหน้าซีดกุมมือไว้ก่อนเดินไปหาแม่และน้า
“นิทขอไปเปลี่ยนชุดก่อนนะคะ”
“จ้ะลูก” คุณวรรณนภาตอบแล้วหันมาส่งรูปให้เพื่อนๆ ในไลน์ดูอวดลูกสะใภ้เสียยกใหญ่
“ผมไปเปลี่ยนชุดแล้วขอตัวเลยนะแม่”
“ย่ะพ่อตัวดี จะไปไหนก็ไป”
..แม่สองมาตรฐาน พอพูดกับนิทราละเสียงหวานเหลือเกินพูดกับลูกชายตัวเองเสียงแข็งยังกับหิน
เขาทำหน้าบึ้งเดินเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องน้ำก่อนออกมาจากบ้าน แต่ต้องหยุดเท้าเมื่อได้ยินเสียงเรียกดังตามมา
“ผัดผักไม่เผ็ดของชอบพสุ” หนึ่งในอาหารสุดโปรดของเขาส่งกลิ่นหอมจนอดมองไม่ได้ แต่เพราะคนที่เอามาให้เป็นนิทราทำให้เขาไม่เต็มใจที่จะรับเลย อยากปัดจานให้หล่นลงพื้นแต่ก็ไม่กล้าเพราะแม่เขาอยู่ด้วยเดี๋ยวโดนเทศน์ชุดใหญ่จึงทำเพียงส่งสายตาดุมองไปยังอีกฝ่าย
“ไม่กิน ไม่ชอบ เกลียด” ย้ำคำพูดสุดท้าย พูดจบก็เดินหนีแต่เธอก็ยังรั้งเขาอยู่ได้
“แต่พสุหิวไม่ใช่หรือ เอาไปเถอะ แม่เราทำไว้เยอะเลย” ร่างบางยังคงยิ้มสู้แม้ในใจจะเจ็บมากขนาดไหนก็ตาม ดวงตากลมโตมีน้ำรื้นขึ้นมาแต่เธอก็พยายามกลั้นเอาไว้ เพียงแค่แววตาของเขาที่แสดงออกว่าเกลียดเธอมากขนาดไหนใจมันก็จะขาดแล้ว คำพูดของเขาเหมือนมีดมาซ้ำรอยช้ำเธอรอบสอง
“ฟังนะ ฉันเกลียดเธอและฉันจะไม่รับอะไรจากเธอทั้งนั้น แค่นี้เรื่องมันก็ยุ่งมากพอแล้ว เลิกมาวุ่นวายกับฉันสักที ต่างคนต่างอยู่!” ย้ำชัดเจนแล้วก็เดินออกไป เห็นแก่ที่เคยเป็นเพื่อนเขาจึงไม่ทำอะไรที่มันร้ายแรงมากไปกว่านี้
นิทรามองตามหลังเขายกมือขึ้นปาดน้ำตาที่ไหลลงมาก่อนจะเดินไปนั่งที่ม้าหินอ่อนข้างบ้าน เสียงหัวเราะของแม่กับน้าวรรณดังเป็นระยะทำให้นิทราพยายามกลั้นสะอื้นเพราะไม่อยากทำลายความสุขของผู้ใหญ่ทั้งสอง
เธอไม่ได้ต้องการให้เรื่องเป็นแบบนี้ ทำไมเขาต้องเกลียดเธอด้วย..
“ตาเล็กกินข้าวกับพ่อไหม” พสุเดินหัวเสียเข้ามาในบ้านได้ยินเสียงผู้เป็นพ่อทักก็เลยเดินไปยังห้อง รับประทานอาหาร เจอพี่ชายนั่งกินอาหารเช้ากับพ่อก็ยิ่งหัวเสียไปอีก
“กินไม่ลงครับ เอาของกินไปให้ฉันบนบ้านด้วย” ประโยคแรกพูดกับพ่อ แล้วก็คิดขึ้นได้ว่าตอนนี้เขาหิวจึงหันไปสั่งสาวใช้เสร็จก็เดินออกไปทันทีปล่อยคนเป็นพ่อมองตามด้วยความสงสัย
“มันไปกินรังแตนที่ไหนมา” ภมรเพียงแค่ยิ้มรับน้อยๆ ไม่ได้ตอบอะไรแม้จะรู้ว่าน้องชายไม่อยากนั่งร่วมโต๊ะกับตนเองก็ไม่อยากพูดให้คนอื่นรู้ คนอื่นยังไม่รู้ว่าเขากับลินดาคบกันและตอนนี้มันก็ยังไม่ถึงเวลานั้น รอให้แผลใจของพสุจางไปก่อนเขาจึงจะบอกเรื่องของเขากับลินดาให้ทุกคนทราบ
“ผมไปทำงานก่อนนะครับ”
“แล้วเจ้าเล็กล่ะ มันไม่ไปพร้อมเราหรือ” เพราะปลดเกษียณจึงปล่อยให้บุตรชายดูแลงานบริษัทไม่ได้เข้าไปยุ่งด้วยเห็นปกติลูกชายไปเวลาไล่เลี่ยกันตลอดพออีกคนไม่ไปเลยถามคลายสงสัย
“คงเข้าบ่ายครับ ไปแล้วพ่อ” เขายกมือไหว้บิดาก่อนใส่สูทหยิบโทรศัพท์เดินออกมานอกบ้านขับรถไปรับแฟนสาวที่ยืนรออยู่หน้าบ้านแล้ว
ใบหน้าสวยราวตุ๊กตายิ้มให้เขาเมื่อขึ้นรถมาก็เอากล่องอาหารยื่นไปตรงหน้าคนขับรถ
“ข้าวเช้าค่ะ อาหารญี่ปุ่นที่แสนอร่อยโดยแม่ครัวคนสวยชื่อลินดาแฟนของพี่ภมร” คำพูดแสนอ่อนหวานกับใบหน้าน่ารักของแฟนสาวทำให้เขายิ้มออกมา
“แต่พี่กินไม่ได้หรอก ขับรถอยู่ แม่ครัวคนสวยชื่อลินดาแฟนพี่ภมรช่วยป้อนได้ไหมคะ” ลินดาแพ้ผู้ชายพูดเพราะข้อนั้นเขารู้ดีเพราะเวลาเขาพูดคะขา หรืออ้อนนิดหน่อยเธอก็อ่อนลงหน้าแดงลามไปถึงคอ คนมองก็อดจะเอ็นดูไม่ได้
“ได้อยู่แล้วค่ะ”
สองหนุ่มสาวคุยกันไปด้วยความสุขตลอดทางไม่รู้ว่าตอนเขามารับเธอหน้าบ้านพสุมองมาจากระเบียงห้องของตนเอง เขายิ้มเยาะให้ตนเองกับความโง่เขลา อดแช่งให้ทั้งคู่เลิกกันโดยเร็วไม่ได้และโทษนิทราที่ทำให้ทุกอย่างยุ่งไปหมด
..ทำไมชีวิตเขามันถึงได้ซวยขนาดนี้อยากจะกระโดดระเบียงให้มันรู้แล้วรู้รอด
คิดพลางกัดแซนด์วิชเขาปากด้วยความหิว เมื่อกินเสร็จชายหนุ่มก็กลับมานอนต่อ มารดามาปลุกให้ไปใส่บาตรแต่เช้าเขานอนไม่พอจึงต้องการพักผ่อนให้เพียงพอก่อนจะไปทำงาน ถึงแม้งานจะยุ่งมากขนาดไหนแต่การนอนสำคัญที่สุด
..ให้งานมันยุ่งไปเลยยิ่งดีให้ท่านประธานดูแลไปคนเดียว ให้หัวหมุนไม่มีเวลาไปสวีทกับแฟนเลิกกันไปเลยเขาจะยิ่งสะใจมาก
งานหมั้นช่วงเช้าจัดขึ้นที่บ้านของเจ้าบ่าวโดยมีการตั้งขบวนขันหมากที่หน้าหมู่บ้านเดินไม่ไกลนักแต่ในความรู้สึกของเจ้าบ่าวมันไกลเสียยิ่งกว่าไกล แดดก็ร้อนยิ่งชุดที่เขาใส่อยู่ด้วยแล้วเพิ่มความร้อนเข้าไปอีก ใบหน้าคมบึ้งจนคนเป็นแม่ต้องสะกิดให้ลูกชายยิ้ม
“เป็นเจ้าบ่าวจะมาหน้าบึ้งเหมือนโดยบังคับแต่งงานได้ยังไง”
“ก็โดนบังคับจริงๆ” มารดาถลึงตาใส่เขา..อีกฝ่ายจึงยิ้มออกมาแล้วเต้นตามจังหวะกลองยาวตามใจคุณแม่
..อยากให้เขาสนุกนักใช่ไหม ได้เขาจะสนุกให้เต็มที่ไปเลย!
พสุทั้งร้องทั้งเต้นมาตลอดทางที่เดินจนคนอื่นยิ้มและหัวเราะไปกับท่าทางตลกของฝ่ายเจ้าบ่าวที่คงจะมีความสุขมาก
มีเพียงคุณวรรณนภาเท่านั้นที่รู้ว่าลูกชายของเธอทำประชด
..อยากบิดหูจริงเชียวเจ้าลูกคนนี้ คนอื่นจะว่าเจ้าบ่าวเป็นบ้าหรือเปล่าก็ไม่รู้
“คุณ เจ้าเล็กมันดีใจขนาดนั้นเลยหรือ” คุณดิลกเห็นท่าทางลูกชายก็อดถามไม่ได้
“คงอย่างนั้นมั้งคะ ดีใจเหมือนคนบ้าเลย”
โดนเหวี่ยงใส่เสียอย่างนั้น คนไม่รู้เรื่องเลยต้องเงียบ
..ไม่รู้ภรรยาไปกินรังแตนที่ไหนมา หรือจะเป็นประจำเดือนก็ไม่น่าใช่ น่าจะหมดไปหลายปีแล้ว
เขาเลิกคิดแล้วมองดูลูกชายที่ท่าทางสนุกกับงานเหลือเกิน สนุกเกินเหตุด้วยซ้ำไป
“ขอเข้าไปหาเมียหน่อยครับบบ” เจอประตูเงินประตูทองเขาก็ยิ้มหวานให้เหมือนคนเมายาเสียอย่างนั้น เหล่าเพื่อนเจ้าสาวก็อดเคลิ้มไม่ได้เพราะพสุถือเป็นหนุ่มหล่อที่สาวๆ หมายปอง ทั้งตอนเรียนมัธยมและมหาวิทยาลัย เขาถือเป็นสมบัติของโรงเรียนเลยก็ว่าได้ไม่คิดว่าจะลงเอยกับนิทราทั้งที่ตามจีบลินดามาตลอด
..เพื่อนเธอทำเสน่ห์ใส่พ่อหนุ่มหล่อคนนี้หรืออย่างไรนะ
“ต้องมีของมาแลกก่อนนะ ถึงเข้าไปได้”
“ได้เลยจ้ะ ขอซองครับพ่อ” เขาแจกซองให้เพื่อนเจ้าสาวประตูเงินประตูทองก็เปิดออก ไม่คิดมาก่อนว่าจะเยอะขนาดนี้ทำเอาซองที่เตรียมมากว่ายี่สิบซองหมดไปในพริบตา
..นี่แค่มายืนกั้นเฉยๆ ก็ได้เงินไปอย่างนั้นเหรอ
ร่างสูงเดินเข้ามาในบ้านของตนเองที่ถูกจัดเป็นสถานที่งานหมั้นนั่งตรงโถงบ้านเพื่อรอเจ้าสาวเดินปรากฏกายลงมาเหมือนในละครทั่วไปที่พระเอกต้องมองอย่างตกตะลึงซึ่งเขาคิดว่ามันตลกเสียมากกว่า เห็นกันทุกวันจะไม่รู้เลยหรือไงว่าสวย แต่ถ้าเจ้าสาวของเขาเป็นลินดาเขาก็คงอดมองอย่างตกตะลึงไม่ได้เช่นกัน วันนี้ถึงเธอไม่ได้เป็นเจ้าสาวแต่ก็เป็นเพื่อนเจ้าสาวที่สวย
พสุมองไปยังลินดาที่ยืนอยู่ฝั่งเจ้าสาวสวมชุดไทยสีชมพูอ่อน สวยจนเขาละสายตาไม่ได้แม้กระทั่งเจ้าสาวเดินลงมาเขาก็ยังเอาแต่มองลินดา
นิทราเดินลงมาจากบันไดขาสั่นด้วยความตื่นเต้น กลัวตกบันไดลงไปเหมือนกันเพราะเอาแต่มองเจ้าบ่าวของตนที่นั่งอยู่ สายตาของเขามองมาทางเธอก็จริงแต่ไม่ได้สบตากัน นิทรามองตามสายตาของเขาก็พบว่าพสุมองลินดา ใบหน้าหวานนิ่งไปก่อนจะพยายามฝืนยิ้มออกมาเมื่อเดินมานั่งข้างเจ้าบ่าว
พสุหันมามองเจ้าสาวอดยอมรับในใจไม่ได้ว่าเธอสวย สวยจนเขาทึ่งไปพักหนึ่งก่อนจะได้สติเมื่อบิดาเอ่ยเรื่องสินสอดขึ้นมา
“ถ้าอย่างนั้นก็ให้พสุสวมแหวนหมั้นให้เจ้าสาวเลยนะครับ” คุณดิลกเอยบอกแขกที่มาร่วมแสดงความยินดีด้วยซึ่งส่วนมากก็เป็นญาติสนิทมีไม่เกินห้าสิบคน เพราะงานเช้าจะเป็นงานเล็กๆ ภายในครอบครัว
เจ้าบ่าวมองไปที่แหวนหมั้นที่วางอยู่กลางสินสอด เขาหยิบมันมาก่อนจะเงยหน้ามองไปยังลินดา อยากจะทำลายงานแต่งนี้เสียเหลือเกิน
นิทรามองอีกฝ่ายด้วยความตรอมตรม คิดว่าถ้าเขาพังงานแต่งเธอก็คงทำได้แค่ยอมรับมัน
“ยื่นมือมา”
นิทราค่อยๆ ยื่นมือไปหาเขาก่อนที่มือใหญ่จะจับมือเธอเอาไว้ เขาใส่แหวนให้เธออย่างรวดเร็วราวกับกลัวว่าหากช้ากว่านี้เขาอาจจะเปลี่ยนใจทำร้ายจิตใจของใครหลายคนในนี้ก็ได้ นิทรายกมือไหว้เขาก่อนที่เธอจะสวมแหวนให้เขา มือของพสุไม่ได้นุ่มหากแต่ให้ความรู้สึกอบอุ่นเหลือเกิน เมื่อเป็นเด็กเวลามีใครมารังแกเธอเขาจะเป็นคนช่วยทุกครั้ง ไปมีเรื่องจนถูกเรียกผู้ปกครอง จนกระทั่งที่ลินดาเข้ามาเขาถึงห่างเธอไป จะมาหาก็ต่อเมื่อมีเรื่องทุกข์ใจหรือให้ช่วยทำการบ้านเท่านั้น
ต่อจากนั้นเป็นพิธีการรดน้ำสังข์และจดทะเบียนสมรสกันในช่วงเช้า นิทราโดนเพื่อนที่สนิทด้วยดึงตัวไปแซ็วถามเรื่องต่างๆ เธอก็ตอบเพียงแต่ว่าดูใจกันมาเรื่อยๆ
พสุได้ยินก็แอบยิ้มสมเพชกับคำแก้ตัวของเธอ เขาไปสังสรรค์กับเพื่อนที่ถามไถ่เสียยกใหญ่ว่าทำไมเป็นนิทราเพราะเขาเทียวไล้เทียวขื่อลินดามานานจนทุกคนคิดว่าต้องตกล่องปล่องชิ้นกับลินดาแต่คดีพลิกเป็นเพื่อนสาวอีกคนเสียอย่างนั้น
“อย่าดื่มมากนะ นายต้องไปเตรียมตัวงานเย็น” ภมรเดินมาเตือนน้องชาย เมื่อเห็นซัดเหล้าไปหลายยก
“รู้แล้ว” ตอบเสียงสะบัดใส่พี่ชายทั้งที่ปกติเขาเป็นน้องที่น่ารักสำหรับภมรเสมอ
..แต่ใครจะสนกับคนทรยศเขาไม่นับเป็นพี่!
พสุนั่งกินเหล้ากับเพื่อนจนเมาพอสมควร เขาพูดจาเสียงดังจนเพื่อนต้องปรามต่างสงสัยว่าพสุเป็นอะไรปกติถ้าเมาจะเงียบเสียมากกว่าคราวนี้มาแปลกพูดมากกว่าทุกครั้งราวกับเสียใจที่แต่งงาน
ภมรมาตามน้องชายเมื่อเห็นเมามากแล้ว
“ออกไป อย่ามายุ่ง ไอ้คนทรยศ!” พสุผลักพี่ชายออกห่างจนคนแถวนั้นมองเป็นตาเดียว เดือดร้อนคนเป็นพ่อแม่ต้องมาช่วยดูแลพลางส่งสายตาขอโทษแขกเหรื่อ
“ตาเล็กขึ้นห้อง!” คุณดิลกกับภมรช่วยกันพยุงร่างสูงขึ้นไปยังห้องชั้นบน
นิทราผละออกมาจากเพื่อนก็เดินตามมาดูเจ้าบ่าวที่ตอนนี้เมาหลับไปเรียบร้อยแล้ว
“จะตื่นทันงานเย็นไหมเนี่ย” คนเป็นแม่บ่นออกมาด้วยไม่ชอบใจ “แล้วเกิดคึกอะไรไปกินเหล้าจนเมากลางวันแสกๆ แบบนี้ ตาใหญ่ก็ไม่ห้ามน้อง”
เขาอยากจะบอกเหลือเกินว่าเตือนแล้วแต่อีกฝ่ายไม่ฟังเขาเลย ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ
“ถ้ามันไม่ตื่นก็เอาน้ำมาสาดมันก็ได้คุณ เหลือเวลาอีกสี่ชั่วโมงให้ลูกนอนพักไปเถอะ” คุณดิลกบอกภรรยาก่อนลูบหลังให้ใจเย็น
“เดี๋ยวนิทดูแลพสุให้เองค่ะ” เสียงหวานเอ่ยขึ้น
คุณวรรณนภายิ้มออกมา
“แม่ฝากด้วยนะจ๊ะ” แล้วก็เดินออกไปพร้อมสามี
ภมรส่งยิ้มมาให้น้องสาวคนใหม่ของครอบครัว
“ถ้ามีอะไรให้ช่วยเรียกพี่ได้นะ” เขายิ้มให้ก่อนเดินออกไป
ทั้งห้องจึงเหลือเพียงแค่บ่าวสาวเท่านั้น นิทราถอนหายใจออกมาด้วยความเหนื่อย หากเหนื่อยกายยังพอว่าแต่ตอนนี้เธอเหนื่อยใจเสียเหลือเกินที่ใดมีรักที่นั่นมีทุกข์เห็นจะเป็นจริงดังคำว่า
ร่างบางเดินไปห้องน้ำหยิบผ้าเช็ดหน้าผืนเล็กบิดน้ำหมาดๆ มาเช็ดหน้าให้พสุ ปลดกระดุมเสื้อเขาออกให้หายใจสะดวกขึ้น ปกติพสุเป็นคนเมายากแต่วันนี้คงดื่มไปเยอะพอสมควรถึงได้เมาหลับขนาดนี้
“อะ จะอ้วก” เขาตื่นขึ้นมาทำท่าพะอืดพะอมจนนิทราต้องพยุงเขาไปที่ห้องน้ำ
“ออกไปจะเข้ามาทำไม ไม่อยากเห็นหน้า”
..ตอนไม่มีสติยังสามารถจะทำร้ายจิตใจเธอได้ นับถือเสียจริง
“อ้วกให้หมดก่อนเถอะ” ว่าพลางลูบหลังอีกฝ่ายเบาๆ
พสุอาเจียนออกมาจนหมดแรงนั่งพิงขอบผนังห้องน้ำ ไม่เหลือราศีความเป็นเจ้าบ่าวเลยสักนิด
“อาบน้ำเปลี่ยนชุดแล้วก็นอนพักนะ” เห็นเขานั่งหมดแรงเธอจึงไปเตรียมชุดให้ พร้อมกับรินน้ำเปล่าเอาไว้ให้อาจแก้อาการได้บ้าง ไม่ได้ยินเสียงอีกฝ่ายตอบรับเลยเข้าไปดู
พสุยังคงลืมตาหอบหายใจด้วยความเหนื่อยก่อนสบตากับเธอ
“รู้แล้ว จะไปไหนก็ไปเถอะ” โบกมือไล่ด้วยความรำคาญ ลุกขึ้นปิดประตูใส่หน้าเจ้าสาว
นิทรายิ้มแห้งพยายามให้กำลังใจตัวเองแต่ก็ยากเสียเหลือเกิน ร่างบางเดินลงมาบอกคุณวรรณนภาว่าพสุตื่นขึ้นมาอาเจียนตอนนี้เธอให้เขาพักผ่อน
“น่าตีจริงเลยลูกคนนี้ ขอบใจมากนะลูกที่ดูแลตาเล็ก”
“ค่ะคุณน้า” คุณวรรณนภามองค้อนอย่างไม่ชอบใจ
“ไม่เอา เรียกใหม่ คุณแม่ ต่อไปนี้หนูเป็นลูกสาวแม่อีกคนแล้วนะ” เธอลูบศีรษะอีกฝ่ายด้วยความเอ็นดู
นิทรายิ้มก่อนจะตอบรับ
“ค่ะคุณแม่” งานช่วงเช้าเสร็จโดยที่เจ้าบ่าวเมาหลับบนห้องมีแต่เจ้าสาวออกมาขอบคุณแขกที่มาจนกระทั่งทุกคนกลับหมด
ลินดาแอบไปหาภมรให้กำลังใจเขาเงียบๆ เพราะเรื่องของทั้งสองคนยังเป็นความลับอยู่ ไม่มีใครรู้ว่าคบกัน
บ่ายสามทั้งเจ้าบ่าวเจ้าสาวก็ไปที่โรงแรมซึ่งจองเอาไว้สำหรับงานแต่งช่วงค่ำ พสุยังคงเพลียจึงไม่พูดอะไรถูกภมรพาไปห้องแต่งตัวก็เดินตามไม่ได้พูดจากระทบแต่อย่างใด นิทราก็ถูกช่างแต่งหน้าทำผมรุมเต็มไปหมด ทุกคนเอ่ยชมชุดที่เธอตัดว่าสวย คนตัดก็ยิ้มแก้มปริ ยิ่งเมื่อแต่งหน้าทำผมเสร็จใส่ชุดเจ้าสาวของงานก็ยิ่งสวยเหมือนนางเอกในเทพนิยาย
“สวยจังเลยค่ะน้องนิท พี่ขอถ่ายรูปด้วยนะคะ” ช่างแต่งหน้าทำผมต่างพากันชื่นชมเธอ แม้ไม่ได้เป็นดาราแต่สวยราวกับดาราดัง เธอพยักหน้ายิ้ม
“ได้ค่ะ” ทุกคนจึงไปถ่ายรูปรวมกันก่อนอัพลงโซเชียลอย่างสนุกสนาน
นิทรามองกระจกยิ้มให้ตัวเองแอบหวังไว้ถ้าพสุเห็นเขาจะมองเธอตาค้างหรือไม่
เวลาผ่านไปจนกระทั่งคุณยลลดาเข้ามาเรียกลูกสาวว่าได้เวลาแล้ว พสุที่ยืนรอเจ้าสาวอยู่ข้างพี่ชายก็แอบหงุดหงิดที่เธอช้าแต่เมื่อเห็นร่างบางเดินมาก็อดมองตาค้างไม่ได้
..เธอสวยและน่าปรารถนาเหลือเกิน
“น้องสวยจนมองตาค้างเลยหรือลูกชาย” คนเป็นแม่เห็นอดแซ็วไม่ได้
“ครับ ก็สวยดี” เขาตอบส่งไปอย่างนั้นไม่อยากให้นิทราได้ใจ “ไปได้รึยังครับ”
“จ้ะ ไปได้แล้ว หนูนิทคล้องแขนตาพสุไปนะลูก” คนจัดแจงทุกอย่างคงไม่พ้นคุณวรรณนภาคนอื่นก็ได้แต่มองยิ้มด้วยความสุข
ทุกคนเดินไปต้อนรับแขกที่หน้างาน พสุยิ้มบ้างเมื่อมีคนมาทักทาย มีนักธุรกิจที่ร่วมลงทุนด้วยมาแสดงความยินดี ต้องฉีกยิ้มตลอดจนพสุรู้สึกเมื่อยหน้าเหลือเกิน เมื่อได้เวลาเขาก็เดินเข้ามาภายในงานกับเจ้าสาวกล่าวคำยินดี ตัดเค้ก โยนดอกไม้ สูตรสำเร็จของการแต่งงานที่เขาเคยฝันไว้แต่ไม่ใช่กับนิทราแน่นอน งานเลี้ยงดำเนินไปเรื่อย พสุก็ไปคุยกับนักธุรกิจบ้างปล่อยนิทรายืนเคียงข้างเขาแต่กลับไม่มีบทบาทอะไร
“นิท” เสียงทุ้มเรียกความสนใจจากนิทราและพสุแม้ว่าฝ่ายเจ้าบ่าวจะไม่ได้หันไปเพราะติดพันคุยกับนักธุรกิจอีกท่าน
“อ้าว อาร์ต” นิทราผละจากพสุไปหาเพื่อนสมัยมัธยมที่ไม่ได้เจอกันเสียนาน
“เราจะกลับแล้ว เลยมาบอกยินดีด้วยอีกครั้ง”
ร่างบางยิ้มหวานให้อีกฝ่าย ธนาธิปเป็นเพื่อนร่วมห้องของเธอเมื่อมัธยมปลาย และเป็นเพื่อนร่วมคณะ
“ขอบคุณมากนะที่มา”
“ยินดีอยู่แล้ว ขอให้มีความสุขมากๆ” ธนาธิปมองเจ้าสาวแสนสวยด้วยแววตาอาลัย
..หากเขาบอกรักเธอไปตั้งแต่ตอนนั้นเขาจะได้ยืนข้างเธอในวันนี้หรือเปล่า
ชายหนุ่มยังไม่ละสายตาจากใบหน้าหวานจนกระทั่งพสุเดินมาโอบเอวเธอเอาไว้อย่างแสดงความเป็นเจ้าของ
“จะกลับแล้วหรือครับ” เขาถามเสียงนุ่ม
“ครับ ยินดีด้วยครับ” มองไปยังพสุก็รู้ว่าตนเทียบอีกฝ่ายไม่ได้เลย ทั้งหน้าตา ฐานะ เหมาะสมแล้วที่นิทราเลือกพสุ เขายิ้มให้และผละออกมาจากทั้งสอง
“หึ ไอ้หน้าอ่อนนั้นชอบเธอหรือ” เห็นสายตาเขาก็รู้ทันทีว่าอีกฝ่ายชอบหญิงสาว
“เราเป็นเพื่อนกัน” นิทราแก้ต่าง
“อืม ดูแล้วเธอสองคนก็เหมาะสมกันดีนะ น่าจะแต่งงานกัน ไม่น่าดึงฉันไปตกนรกกับเธอเลย” ว่าแล้วก็ผละออกไปปล่อยนิทราถอนหายใจออกมาด้วยความอึดอัดคนเดียวก่อนจะยิ้มให้แขกที่มองมา
งานเลี้ยงตอนเย็นเสร็จสิ้นไปแล้วก็มีการส่งตัวเข้าหอ บุพการีอวยพรให้ลูกทั้งสองเสร็จก็ออกจากห้องไม่วายกำชับให้มีหลานให้เร็วๆ
เมื่อไม่มีคนในห้องแล้วพสุก็ถอนหายใจออกมาด้วยความเหนื่อยล้า นิทราเดินไปยังโต๊ะเครื่องแป้งใจเต้นรัวเพราะอยู่กับเขาแค่สองคน เธอพยายามที่จะไม่สนใจผู้ชายร่วมห้องที่ขึ้นชื่อว่าสามีจะจัดการกับผมดีที่ไม่ได้ติดกิ๊บเยอะจึงใช้เวลาเอาออกไม่นาน แล้วจึงเช็ดเครื่องสำอางที่หน้าออก
“ฉันอาบน้ำก่อน” พสุลุกขึ้นนั่งมองดูเธอเช็ดหน้าสักพักก็คิดได้จึงลุกขึ้นหยิบผ้าเช็ดตัวเลือกชุดนอนที่คนเป็นแม่อุตส่าห์เอามาให้ถึงโรงแรม
“อือ” ร่างเล็กครางตอบรับแล้วจัดการกับชุดเจ้าสาว เธอสวมชุดคลุมของโรงแรมนั่งรออีกฝ่ายอาบน้ำเสร็จ
พสุเดินออกมาด้วยชุดเสื้อกล้ามกางเกงขายาวสำหรับใส่นอน ไม่เคยเห็นมุมนี้ของเขาเธอจึงอดมองไม่ได้จนคนถูกมองถามขึ้น
“มีอะไร มองหน้าฉันหาเรื่องหรือไง”
..จนได้สินะ พสุคนเดิมได้หายไปจากเธอแล้วใช่ไหมถึงได้ส่งคนอารมณ์แปรปรวนมาให้
“เปล่า เราแค่มองไปเรื่อย” นิทราลุกขึ้นจากโต๊ะเครื่องแป้งหวังจะเดินเข้าห้องน้ำไปชำระร่างกายพักผ่อนหลังจากเหนื่อยมาทั้งวัน แต่พสุกลับคว้าแขนเธอเอาไว้เสียก่อน
“หรือมองเพราะหลงเสน่ห์ฉันกันแน่ เธอแอบรักฉันมาตลอดไม่ใช่หรือ” มองจ้องใบหน้าหวานอย่างเยาะเย้ย อดยอมรับในใจไม่ได้ว่าแม้ไร้เครื่องสำอางใบหน้าเธอก็ยังชวนมองเหมือนเดิม
นิทรารู้สึกอายที่เขาล่วงรู้ความในใจของเธอ
“พูดไม่ออกเลยหรือไง” เห็นเธอเงียบจึงเอ่ยขึ้นอีก
“เธอจะคิดยังไงก็ตามใจแล้วกัน” ร่างบางจะผละออกไปแต่พสุเหมือนจะยังไม่พอใจในคำตอบจึงรั้งเธอเอาไว้เสียก่อน
“ฉันยังคิดมาถึงวันนี้ว่าทำไมเธอไม่ห้ามฉัน หรืออยากได้จน ตัวสั่น”
ไม่เคยคิดว่าจะได้ยินคำพูดแบบนี้มาจากปากเขา นิทราเม้มปากแน่นพยายามข่มอารมณ์ตัวเองให้นิ่งที่สุด
“เธอกลับไปทบทวนเองดีกว่าว่าวันนั้นมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่!”
พสุไม่ได้คิดตามคำพูดของนิทรา เขาคิดเพียงแค่เธอกำลังอวดดีกับเขาเท่านั้นจึงเพิ่มแรงบีบที่มืออีกจนนิทราต้องร้องขึ้นด้วยความเจ็บ พยายามบิดแขนออกก็ไม่เป็นผลดูเหมือนอีกฝ่ายจะแรงเยอะเสียเหลือเกิน
“ทบทวนหรือ ทบทวนอะไรดีล่ะ” แววตาติดเจ้าเล่ห์ของเขาทำให้นิทราเริ่มระแวง ร่างบางพยายามบิดแขนตัวเองออก แต่อีกคนกลับรั้งร่างบางมากอดเอาไว้เสียอย่างนั้น คนตัวเล็กสั่นอย่างเห็นได้ชัดจนร่างสูงย่ามใจ
“มาทบทวนเรื่องของเราดีไหม”
“อย่านะ ไหนเธอบอกเกลียดเราไง” เธอทวงถามแต่เขากลับยกยิ้มมุมปากราวกับจะเย้ยหยันเธอ
“ใช่ เกลียด แต่มันก็สะใจดีถ้าได้ย่ำยีเธอ คนอย่างเธอไม่มีค่าอะไรสำหรับฉันหรอก”
นิทราขืนตัวออกมาเมื่อเขาก้มลงมาใกล้ก่อนจะเบือนหน้าหนีจมูกโด่งจึงโดนแก้มเธอ
“เธอมันใจร้าย”
“ใช่ ฉันมันร้ายก็เหมาะกับผู้หญิงเลวแบบเธอไม่ใช่หรือ”
นิทราดิ้นในอ้อมกอดของเขา ตอนนี้ทั้งตัวเธอมีเพียงชุดคลุมเท่านั้นเพราะจะไปอาบน้ำ พสุยิ้มสมใจก่อนกระตุกปมชุดคลุม และถอดมันออกเผยให้เห็นทรวงอกอิ่มที่เขาเพิ่งเห็นตอนมีสติเป็นครั้งแรก แม้จะไม่ใหญ่มากแต่มันพอเหมาะสำหรับตัวเธอ เขายื่นมือไปบีบเคล้นทันที พอดีมือเสียจนเพลิน
“ปะ ปล่อย” เสียงหวานขาดหายเป็นห้วง
เขาไม่ปล่อยให้เธอได้พูดก้มลงประทับริมฝีปากบางทันที นิทราที่ประสบการณ์น้อยแม้คราแรกจะผลักไสเขา แต่เมื่อโดนเล้าโลมหนักเข้าเธอก็เคลิ้มไปกับประสบการณ์ของอีกฝ่ายมารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่แผ่นหลังแตะที่นอนและตอนนี้พสุก็เปลือยเปล่าเหมือนเธอเสียแล้ว
“จะให้ฉันต่อไหม” ว่าจบก็ก้มลงชิมดอกบัวคู่งาม ลิ้นละเลงลงบนยอดบัวจนคนใต้ร่างครางไม่เป็นเสียง เขายิ้มอย่างสมใจ
“ว่าไง ตอบสิ ถ้าเธอให้หยุดฉันก็จะหยุด” แม้จะพูดแบบนั้นแต่เขากลับนำมือมาแตะที่กลีบกุหลาบระหว่างขาของเธอก่อนสอดนิ้ว เข้าไป
“อ่ะ พสุ อย่า” ใบหน้าหวานแหงนขึ้นด้วยความเสียวซ่าน ครั้งที่แล้วเขาเมาไม่มีสติ ทำทุกอย่างตามแรงอารมณ์ต่างจากครั้งนี้ที่ดูค่อยเป็นค่อยไปจนเคลิ้มไปตามบทรักที่เขาสร้างขึ้น
“อย่าทำหรือ”
“อย่าหยุด อือ ทำต่อนะ” เขาหัวเราะเบาๆ อย่างสมใจก่อนจะเริ่มบรรเลงเพลงรักสำหรับค่ำคืนนี้ ก่อนจะพาเธอไปอาบน้ำด้วยกันอีกครั้งและห้องน้ำก็กลายเป็นสมรภูมิรักของเขาและเธอโดยที่พสุให้นิทราเป็นคนนำเกม ใครจะคิดว่าหญิงสาวก็เร่าร้อนได้เหมือนกัน ร่างสูงไม่อยากยอมรับแต่ก็อดคิดไม่ได้ว่าช่างเป็นเซ็กส์ที่เขามีความสุขเหลือเกินก่อนทั้งสองจะนอนหมดแรงกอดกันบนเตียงจนถึงรุ่งเช้า
เพราะชินกับการตื่นเช้าแม้จะเพลียมากเพียงไรแต่นิทราก็ยังตื่นขึ้นมาได้ เธอรู้สึกถึงแรงกอดรัดเงยหน้าขึ้นก็เห็นใบหน้าหล่อที่เฝ้ารักมาหลายปี แอบอมยิ้มด้วยความสุขก่อนจะค่อยๆ ยกแขนเขาออก พสุก็พลิกตัวไปอีกทางตามประสาคนขี้เซาเพราะไม่ใช่เวลาตื่นของตนเอง ลุกมาได้ร่างบางก็สวมเสื้อคลุมรู้สึกคัดจมูกเล็กน้อยเหมือนจะไม่สบาย วิงเวียนศีรษะอีกด้วยแต่ก็แข็งใจลุกขึ้นไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าหันกลับไปเห็นพสุนอนหลับอยู่บนเตียงโดยไม่ได้เปลี่ยนท่าแต่อย่างใด
“มีอะไรกินไหมนะ” โรงแรมไม่มีห้องครัวเธอจึงดูเมนูเพื่อสั่งอาหารมากินกับเขา คิดว่าพสุช่วงเช้าทานข้าวต้มน่าจะดี โทรสั่งข้าวต้มกุ้งกับไข่กระทะมากิน
รอสักพักอาหารที่สั่งก็มาส่งหน้าห้องเป็นที่เรียบร้อย เธอมองดูอาหารหน้าตาน่ารับประทานก็จัดไว้บนโต๊ะข้าวต้มสำหรับพสุส่วนไข่กระทะสำหรับเธอ
“พสุ ตื่นได้แล้ว” เดินเข้าไปปลุกร่างสูงในห้องอีกฝ่ายก็ส่งเสียงครางในลำคอเบาๆ
“มันสายแล้วนะ ไม่หิวข้าวหรือ” เมื่ออีกฝ่ายไม่ตอบเธอเลยจัดการไปเอาข้าวต้มจากข้างนอกมาให้คนที่นอนหลับบนเตียง คิดว่าถ้าได้กลิ่นหอมเขาคงตื่นขึ้นมา
“ข้าวต้มร้อนๆ กินไหม” แล้วก็เป็นจริงดังคิดเพราะพสุได้กลิ่นท้องก็เริ่มประท้วง เขาลุกขึ้นมานั่งบนเตียงท่อนบนเปล่าเปลือย ไม่ใช่แค่ท่อนบนเท่านั้นเพราะท่อนล่างก็ไม่ได้ใส่อะไรแต่ดีที่มีผ้าห่มปิดเอาไว้
“เธอสั่งหรือ” ร่างบางพยักหน้าตอบ เขาหยิบถ้วยข้าวต้มมากินด้วยความหิวไม่ได้สนใจร่างบางที่นั่งมองราวกับเขาเป็นเด็กน้อยเสียอย่างนั้น
“อิ่มแล้วเรียกนะ” ไม่มีคำตอบรับนิทราจึงเดินออกไปทานอาหารเช้าของตนเองบ้าง ยังทานไม่หมดพสุก็เอาถ้วยออกมาวาง โดยมีผ้าเช็ดตัวพันรอบเอวเอาไว้ นิทราไม่กล้ามองจึงก้มลงกินข้าวในขณะที่อีกคนเข้าไปอาบน้ำ
วันนี้เขาเข้างานบ่ายอีกเหมือนเคยเลยไม่ต้องรีบร้อน พสุออกมาด้วยชุดเสื้อยืดคอปกกางเกงยีนเข้ารูปคนเป็นแม่ก็ช่างเตรียมมาให้ดีเหลือเกิน
“กลับ” เมื่อจัดของตนเองเสร็จพสุก็เรียกนิทราที่กำลังเก็บของตนเองเหมือนกัน เมื่อเสร็จก็ลงไปข้างล่างเพื่อเช็กเอ๊าต์
นิทราหอบชุดแต่งงานของพสุกับตนเองมาด้วยโดยที่ฝ่ายชายก็ไม่ได้ช่วยถือแต่อย่างใดจนพนักงานอยากเอ่ยปากช่วยเหลือแต่ก็ไม่กล้าเมื่อเจอร่างสูงทำตาดุใส่ รถยนต์ของเขาที่ภมรขับมาให้ตั้งแต่เมื่อวานจอดอยู่ใต้ตึกตรงที่จอดVIP
ทั้งสองขึ้นรถมุ่งตรงไปยังบ้านระหว่างทางก็ไม่มีการพูดจาใดๆ ทั้งสิ้น มันมีแต่ความอึดอัดที่นิทราสัมผัสได้แต่ตอนนี้อาการปวดหัวเริ่มรุมเร้าเธอจนทนไม่ไหวต้องหลับตานิ่งๆ ไม่อยากแสดงอาการอะไรให้คนข้างกายเห็น
“ถึงแล้ว ลงไปซะที ต้องให้อุ้มไปส่งถึงห้องเลยไหม” เข้ามาจอดภายในรั้วบ้านวิจิตรประภาพสุเห็นอีกฝ่ายหลับเลยถามขึ้น
นิทราเปิดประตูแอบเซเล็กน้อยหอบเสื้อผ้าออกมาดีที่แม่บ้านเดินออกมารับพร้อมกับพ่อแม่ของพสุและแม่ของเธอ
“เป็นยังไงบ้างลูก” คุณวรรณนภาเอ่ยถามลูกสะใภ้
“ดีค่ะ” นิทรายิ้มตอบก่อนขอตัวเอาของไปเก็บบนห้องแต่เมื่อจะก้าวไปโลกก็มืดไปเสียอย่างนั้น
คุณวรรณนภากับคุณยลลดารับไว้แทบไม่ทัน พสุหันมามองก็เดินมาอุ้มเธอเดินเข้าไปในบ้านทันทีด้วยความเป็นห่วงจนทุกคนมองตามด้วยคาดไม่ถึงและคนอุ้มก็แทบไม่รู้ตัวเหมือนกันว่าเป็นห่วงเธอมากขนาดไหน
“มีเรื่องดีๆ เกิดขึ้นแน่นอนค่ะ” วรรณนภาหันไปพูดกับพี่คนสนิท
“พี่ก็หวังให้เป็นแบบนั้น” ไม่อยากให้ลูกสาวของเธอเสียใจอีกแล้ว
ด้านพสุก็วางนิทราไว้บนเตียงห้องนอนตนเองที่ตอนนี้แม่ของเขาเปลี่ยนเป็นห้องของเขาและนิทราเรียบร้อยแล้ว จับศีรษะเล็กดูก็พบว่าตัวร้อนจี๋ เขากำลังจะไปเอาผ้าเช็ดตัวผืนเล็กก็ชะงักเมื่อคิดได้ว่าทำไมเขาต้องห่วงเธอด้วย
“หนูนิทเป็นไงบ้างลูก” “ตัวร้อนครับ สงสัยโหมงานหนักไปหน่อย” พูดจบภาพเมื่อคืนก็ผุดขึ้นมาในความทรงจำของเขาจนต้องสลัดมันทิ้งไป“ฝากดูแลด้วยนะแม่ ผมต้องไปทำงานแล้ว” ถ้าขืนอยู่ต่อมีหวังแม่ต้องซักไซ้เขาแน่นอนจึงต้องหาทางเอาตัวรอดก่อน“วันนี้ไม่ต้องไปก็ได้” คนเป็นพ่อบอกด้วยเป็นห่วงไม่อยากให้ลูกโหมงานหนักแต่พสุก็ปฏิเสธ“พอดีวันนี้งานด่วน ผมขอตัวก่อนนะครับ” หยิบของสำคัญได้ก็รีบออกจากบ้านทันทีโดยไม่ทันจะได้เปลี่ยนชุด..เขากำลังสงสัยว่าตัวเองเป็นอะไร วันก่อนเกลียดแต่เมื่อกี้กลับดูเป็นห่วงเธอ อาจจะเป็นเพราะเธอเคยเป็นเพื่อนสนิทของเขามานานความเป็นห่วงมันก็มีอยู่แล้ว แต่เรื่องที่เธอทำกับเขานั้นก็ไม่ลืมเช่นกันคิดได้สรุปก็เริ่มเบาใจ..เขาไม่ได้รักเธอ ไม่มีทางตกหลุมรักเธออย่างแน่นอนมารดาของนิทราเป็นคนเช็ดตัวให้ลูกสาว พอเที่ยงอีกฝ่ายสะลึมสะลือตื่นขึ้นมาก็ดีใจ คุณวรรณนภารีบสั่งเด็กเอาข้าวต้มขึ้นมาให้ลูกสะใภ้ทันทีพร้อมยา“นิทเป็นลมหรือคะ” ตื่นขึ้นมาก็ยังรู้สึกปวดหัว“ใช่จ้ะ” คุณแม่ทั้งสองช่วยกันประคองหญิงสาวให้นั่งพิงหัวเตียงเอาไว้ ใบหน้าหวานดูซีดเซียวจนคนเป็นแม่ต้องลูบศีรษะปลอบประโลมลูกสาวของตนเองนิทร
นิทราลงมาแต่เช้าเพื่อมาใส่บาตรเป็นเพื่อนแม่ของตนเอง นิทราเข้าไปเก็บของก่อนจะกลับมายังบ้านหลังใหญ่ เธอทำซุปแก้อาการแฮงไว้ให้พสุที่ตอนนี้ยังไม่ลงมา“เมื่อคืนตาเล็กกลับบ้านกี่โมง” หันไปถามสร้อยที่อยู่รออีกฝ่ายก็อึกอักไม่กล้าตอบพอดีกับนิทราเดินเข้ามาในห้องอาหารของบ้าน“พสุยังไม่ลงมาหรือคะ” ไม่เห็นเขาบนโต๊ะอาหารก็เอ่ยถามขึ้น“ยังเลยลูก ขึ้นไปดูหน่อยก็ดี”ด้วยความเป็นห่วงนิทราจึงลุกขึ้นไปดูอีกฝ่ายบนห้อง เข้ามาก็ได้ยินเสียงอ้วกทันที ก่อนร่างสูงจะเดินออกมาด้วยความงัวเงีย ใบหน้าหล่อดูซูบเล็กน้อย ตอนนี้เขาสวมชุดพร้อมไปทำงานเรียบร้อยแต่เพราะต้องลงพื้นที่ดูตรวจงานจึงไม่ได้ใส่สูทไปเพียงแค่ชุดทะมัดทะแมงเท่านั้น “ดื่มน้ำหน่อยไหม” รินน้ำข้างหัวเตียงให้ เขาก็ไม่ปฏิเสธรับมาดื่มอย่างเสียไม่ได้“ดีขึ้นรึยัง”พสุไม่ตอบเพียงแค่พยักหน้าเท่านั้น เมื่อคืนเขาจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเมาไปตอนไหนหรือกลับมายังไง ใครเป็นคนดูแลเขาเพราะตื่นมาก็อยู่ในชุดนอนแล้ว ปกติหากเมากลับมาแบบนี้แม่จะสวดเป็นชุดพอขึ้นมาเขาก็นอนด้วยชุดนั้นตื่นมาค่อยอาบน้ำ หากเมื่อคืนไม่ใช่ เขาจำอะไรไม่ได้คิดว่าคนที่ดูแลเขาคงเป็นหญิงร่างเล็กที่กำลังตรวจควา
พสุนั่งทำงานได้สักพักก็ต้องลุกไปเข้าห้องน้ำ เป็นอย่างนี้ประมาณสี่รอบ หน้าเขาเริ่มซีดจนน่าเป็นห่วงดีที่เอกสารมีไม่มากเขาจึงคิดว่าจะกลับบ้านก่อนเวลาเลิกงานเพราะหากทนอยู่ต่อก็คงไม่ไหว มันปวดจนไม่สามารถทำอะไรได้ ทั้งปวดหนักแล้วเหมือนจะอ้วกด้วยจนกระทั่งเลขาสาวนำอาหารเที่ยงมาให้ก็สังเกตอาการของเจ้านายได้ เธอรีบพาเขาไปโรงพยาบาลทันที ระหว่างทางพสุก็พยายามอดกลั้นไว้เหมือนจะปวดหนักตลอดเวลา เขาอ้วกออกมาระหว่างทางดีที่มีถุงพลาสติกไม่อย่างนั้นต้องได้อ้วกใส่รถแน่ใช้เวลาไม่นานก็มาถึงโรงพยาบาล ทำเรื่องรอสักพักก็ได้เข้าตรวจ หมอต้องนำผลเลือดของเขาไปตรวจเพราะอาจติดเชื้อระหว่างนี้ให้พสุนอนรอที่ห้องตรวจก่อน“ว่ายังไงตาใหญ่” คุณวรรณนภาที่กำลังนั่งดูละครอยู่กับแม่บ้านรับโทรศัพท์เห็นว่าเป็นลูกชายคนโต“เล็กอยู่โรงพยาบาลนะครับแม่ หมอบอกว่าอาหารเป็นพิษต้องนอนให้น้ำเกลือ” ได้ยินอย่างนั้นคนเป็นแม่ก็ตกใจเสียยกใหญ่“ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวแม่ไปหาน้อง โรงพยาบาลไหนลูก” ลูกชายบอกรายละเอียดก่อนจะวางสายไป คนเป็นแม่ก็แสนจะเป็นห่วงรีบเดินไปบ้านข้างๆ ที่ลูกสะใภ้อยู่เพราะต้องช่วยงานตัดเย็บของคุณยลลดาถึงแม้จะไม่รีบแต่ก็ต้องทำไ
เสียงโทรศัพท์ของนิทราดังขึ้นเจ้าของโทรศัพท์ผวาลุกขึ้นไปก่อนถอนหายใจออกมาเมื่อพบว่าไม่ใช่คนที่ตนเองเฝ้ารอแต่เป็นเพื่อนที่สนิทกันมาตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัย“สวัสดีหวาน โทรมาเสียดึกเชียว” เป็นเวลากว่าสี่ทุ่มที่เพื่อนโทรมา สร้างความแปลกใจเพราะปกติเพื่อนจะไม่ค่อยโทรหาเธอในเวลานี้เป็นที่รู้กันว่านิทราจะไม่ค่อยรับโทรศัพท์ช่วงเวลาดึก‘ค่อยโล่งอกนึกว่าจะไม่รับเสียแล้ว’ปลายสายว่าอย่างโล่งใจ“ปกติไม่ค่อยโทรมาเวลานี้ มีอะไรหรือเปล่า”“คือว่า ก็ไม่อยากทำให้เธอไม่สบายใจนะนิท แต่มันอดไม่ได้ต้องโทรมาบอก พอดีฉันเห็นสามีเธอมานั่งกินเหล้าในผับกับผู้หญิงน่ะ” สิ้นคำบอกเล่าตัวเธอก็ชาทันที มือบางสั่น ขาอ่อนแรงจนต้องนั่งลงบนโซฟาที่ห้องรับแขก“จะ จริงหรือ” ถามย้ำเพื่อความแน่ใจ“จริงแน่นอน ฉันจำพสุได้แม่น” ตอนนี้ไม่รู้มีสีหน้าอย่างไรเพราะสร้อยรีบเข้ามาหาเธอมองอย่างเป็นห่วง นิทราแทบจะไม่รับรู้ประโยคต่อจากนั้นของเพื่อนก่อนที่อีกฝ่ายจะวางสายไป มือบางทิ้งลงข้างลำตัว ไม่คิดว่าเขาจะทำแบบนี้กับเธอ เมื่อวันก่อนก็ไปวันนี้ก็ไปทั้งที่เพิ่งหาย เธอหรือก็เฝ้ารอเขาที่บ้านแต่อีกฝ่ายกลับไปอยู่กับหญิงอื่น“พี่นิทเป็นอะไรคะ”
“สวัสดีครับคุณพสุ” เมื่อเข้ามาภายในโรงแรมก็มีผู้จัดการมาต้อนรับอย่างดี โรงแรมนี้เป็นโรงแรมในเครือดิวัลยาที่เขาเคยดูแลเพิ่งสร้างเสร็จเมื่อปีที่แล้ว นักท่องเที่ยวก็เข้ามาพักกันเยอะด้วยชื่อเสียงของโรงแรมและการบริการที่ดีเยี่ยม“สวัสดีครับ” เขากล่าวทักทายอีกฝ่ายเล็กน้อย แล้วเดินไปหยิบคีย์การ์ดขึ้นห้องนิทราเดินตามไปแต่ระหว่างทางก็มองการตกแต่งของโรงแรมที่เน้นบรรยากาศ โดยรอบเป็นผนังกระจกใสที่เห็นวิวข้างนอกประดับด้วยไม้มงคล ไม่เน้นหรูแต่เน้นถึงเอกลักษณ์ในพื้นที่ โคมไฟด้านบนก็เป็นรูปปลาชนิดต่างๆ หรือโซฟาตรงล็อบบี้ก็เป็นรูปทรงปะการังที่ดูธรรมชาติ“เดินช้าจริง” หันมาเห็นภรรยามัวโอ้เอ้เดินดูการตกแต่งไม่ตามมาจึงเดินกลับมาจูงมือเธอให้เดินตามนิทราแอบมองมือหนาที่กอบกุมมือเธอเอาไว้ ความรู้สึกอบอุ่นโอบล้อมรอบตัวจนเผลอยิ้มออกมาด้วยความสุขพอดีกับที่ร่างสูงหันมามอง“ยิ้มอะไร เมายาหรือ”..ดูคำพูดเขา ไม่เคยมีความรู้สึกโรแมนติกเลยหรืออย่างไร ลืมไปว่าเธอคือนิทราไม่ใช่ลินดาคนตัวเล็กดึงมือตัวเองออกจากการเกาะกุมหากแต่ฝ่ายชายไม่ยอม พสุยังคงจับมือเธอไว้แน่นในขณะที่รอลิฟต์“ปล่อยสิ” ทนไม่ไหวจึงเอ่ยเสียงเข้ม“ปล่
เช้าวันจันทร์ไม่ได้สดใสสำหรับพสุเลยแม้แต่น้อย เขาไม่อยากนอนตื่นเช้ามานั่งหลังขดหลังแข็งอ่านเอกสารเป็นวันๆ หากให้ลงพื้นที่ดูไซต์งานก่อนสร้างยังจะมีความสุขมากกว่าแต่ก็เลี่ยงไม่ได้เพราะเขาโยนงานให้พี่ชายไปแล้วหลายงานวันนี้จึงต้องจัดการงานที่เหลือของตนเองเสื้อเชิ้ตสีอ่อนกางเกงสแล็กสีเข้ม เน็กไทและเสื้อสูทแขวนไว้อย่างเรียบร้อยที่ห้องแต่งตัว เป็นอย่างนี้มาสักพักแล้วที่นิทราจะเตรียมชุดให้เขาทั้งเช้าและเย็นหากช่วงแรกเขาก็ไม่ใส่บ้างแต่เพราะช่วงหลังตื่นสายแล้วต้องรีบเขาเลยจำใจใส่ชุดที่เธอเลือกไว้ให้จนชิน“อ้าว กำลังขึ้นมาตามพอดี สายแล้วนะ” ใบหน้าหวานโผล่มาส่งยิ้มให้จนเขาอดเอ็นดูไม่ได้ ไม่ค่อยได้เห็นมุมนี้ของเธอเท่าไหร่“ก็กำลังจะลงไปแล้ว ทำไมวันนี้ไม่ปลุกฉัน”นิทราเดินมาหาสามีก่อนช่วยใส่เน็กไทให้“ปลุกแล้วพสุก็เอาแต่ตอบในลำคอ จะขี้เซาอะไรขนาดนั้น” แอบยู่หน้าใส่จนเขาอดใจไม่ไหวเอามือมาบีบจมูกเธอโยกเบาๆ ด้วยความมันเขี้ยว“ขี้บ่นจริง”นิทราแก้มแดงด้วยความเขินกับการกระทำและแววตาที่เขาส่งมา เธอผละออกแล้วหยิบเสื้อสูทมาถือไว้ให้เขา“ลงไปกินข้าวกันเถอะ” มือหนายกมาโอบไหล่บางของภรรยาไว้แล้วหยิบของลงไปข้า
ร่างบางเดินลงมาจากชั้นสองของบ้านด้วยชุดเดรสลายดอกไม้แขนตุ๊กตาสั้นเหนือเข่าเพียงเล็กน้อย ผมถูกรวบครึ่งหัวแล้วปล่อยยาวลงมาปลายดัดลอนเพียงเล็กน้อย ใบหน้าหวานถูกแต่งแต้มสีสันส่งให้เธอดูน่ามองมากยิ่งขึ้น กว่าจะลงมาได้ก็หมุนดูตัวเองในกระจกหลายรอบจนอดหัวเราะในความตื่นเต้นครั้งนี้ไม่ได้ เขาชวนเธอไปกินข้าวด้วยกันเป็นครั้งแรกมันเหมือนกับเดตแรกของเราสองคน“สวยจริงลูกแม่ ทานอาหารให้อร่อยนะจ๊ะคุณวรรณภาลูบศีรษะลูกสะใภ้ด้วยความเอ็นดู เหมือนทุกอย่างกำลังไปได้ดีในทางที่ควร จะเป็น“ค่ะ หนูไปก่อนนะคะ” ไม่อยากไปสายเธอจึงเลือกที่จะไปรอเขาก่อนเวลานัดลุงแซมเปิดประตูให้ส่งยิ้มพร้อมชมคุณผู้หญิงคนเล็กของบ้าน“วันนี้คุณนิทสวยมากเลยครับ” “ขอบคุณค่ะ” ได้รับคำชมก็เก้อเขินเล็กน้อยขึ้นไปนั่งบนรถรอจนกระทั่งลุงแซมออกรถไปยังที่หมายคือโรงแรมระดับห้าดาวรถติดมากเป็นพิเศษกว่าจะถึงก็ใช้เวลาชั่วโมงครึ่งทั้งที่ไม่ไกลจากบ้านมากนัก หล่อนยกข้อมือขึ้นมาดูนาฬิกาก็พบว่าเป็นเวลาหกโมงครึ่งแล้วจึงรีบลงจากรถด้วยความรีบ เธอนำบัตรวีไอพีที่เขาให้ไว้กับเธอยื่นให้พนักงานดูเขาจึงได้นำไปยังชั้นดาดฟ้าเมื่อถึงสถานที่ดินเนอร์เธอก็ตกตะ
รถคันหรูขับเข้ามาจอดภายในโรงรถในเวลาห้าทุ่มครึ่ง เขาหยิบของลงมาพอดีกับที่รถอีกคันมาจอดเทียบ พสุหันไปมองพี่ชายที่ลงมาจากรถด้วยสีหน้าเหนื่อยล้า“พึ่งกลับมาหรือพี่” คำทักทายทำให้ภมรแปลกใจไม่คิดว่าน้องจะกลับมาพูดราวกับไม่เคยมีเรื่องเคืองขุ่นต่อกัน“ใช่ แล้วนายไปไหนมาทำไมกลับเอาป่านนี้”“พอดีไปเคลียร์อะไรนิดหน่อยน่ะ” สองพี่น้องเดินเข้ามาภายในบ้านพร้อมกันก่อนจะแยกไปห้องของตนเองก่อนเข้าห้องพสุเรียกกำลังใจให้กับตนเองราวกับกลัวนักหนาทั้งที่ไม่มีอะไรน่ากลัวเลยสักนิด เข้าห้องได้ก็มืดไปหมดเขาจึงเปิดไฟหลอดเล็กเห็นนิทรานอนหลับอยู่บนเตียง ร่างหนานำชุดที่เปียกแยกไว้เดินกลับมานั่งบนเตียง“ขอโทษนะ” มือหนาค่อยๆ แตะที่หน้าผากมนแผ่วเบา เขารู้สึกผิดต่อเธอยิ่งรู้ว่าอีกฝ่ายรอนานขนาดไหนก็คิดว่าตัวเองเป็นผู้ชายที่แย่ที่สุด เขาจัดผมให้เธอนอนสบายมากขึ้นแล้วไปอาบน้ำเปลี่ยนชุดมานอนข้างกายภรรยาของตนเอง“อือ” มือหนากอดเอวบางเอาไว้ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกตัวนิทราลืมตามาก็เห็นพสุที่มองตนอยู่ก่อนแล้วยังมือหนาที่โอบกอดเอาไว้อีก เธอขืนตัวออกหากเขากลับรัดแน่นขึ้น“ปล่อยนะ”“อากาศมันหนาว กอดกันจะได้อุ่น” เขายิ้มให้ราวกลับไปเป็