Share

บทที่ ๑ คนในความทรงจำ (๕๐%)

อาด้วงออกไปทำงานแต่เช้าตลอดเลยนะครับ”

เสียงเด็กชายวัยมัธยมต้นกล่าวทักญาติคนสนิทที่แม้ตอนนี้หน้าปัดนาฬิกาจะบอกเวลาตีสี่สี่สิบห้า กระนั้นคุณอาชายที่แปะชื่อนายสถานีก็ยังขยันขันแข็งสะพายกระเป๋าเป้ใบเดิมคว้ากุญแจเตรียมออกจากบ้าน ทั้งเมื่อครู่พวกเขานั่งทานมื้อเช้าด้วยกันสามคน วางจานอาหารพร้อมกัน แต่เจ้าตัวกลับทานหมดคนแรกทั้งที่ข้าวพูนจานกว่าใครแท้ ๆ

คุณอาเมื่อได้ยินเสียงบ่นพึมพำของหลานชายจึงใช้ฝ่ามือสีน้ำผึ้งยีเส้นผมสีน้ำตาลธรรมชาติกระเซิงด้วยความมันเขี้ยว

“แซวอาได้ทุกวันนะกันต์

“ผมพูดจริงนี่ครับ อาด้วงไปแต่เช้าทุกวัน ทิ้งผมกับคุณพ่อให้กินข้าวต่อกันสองคน บางครั้งกันต์ก็อยากเดินออกจากบ้านพร้อมกันบ้างนะครับ”

กันต์ธีร์พูดไปอมข้าวไป กล่าวถึงพฤติกรรมอันไม่เป็นที่พอใจของตัวเขาสักเท่าไรนัก เนื่องจากเขาสนิทกับคุณอามากที่สุดในบ้าน แม้ทีแรกใคร ๆ จะบอกว่าอาด้วงน่ากลัวเพราะมีรอยบากที่หางคิ้ว ลำคอ จะมีฝ่ามือที่เต็มไปด้วยรอยแผลเก่า หรือแม้ยามปกติอีกฝ่ายจะชอบทำหน้านิ่งแต่ใครรู้ว่าแท้จริงเจ้าตัวจิตใจดี ทั้งยังชอบพาเขาทำกิจกรรมสนุก ๆ อีกต่างหาก ใครจะว่าก็ว่าเถอะ แต่อาด้วงน่ะใจดีที่สุดในโลก!

“กันต์ อย่าพูดไปกินไป”

เสียงเข้มกล่าวขึ้นพร้อมหน้ากระดาษหนังสือพิมพ์ที่พับลงเผยให้เห็นใบหน้าคมเรียบนิ่งลอนผมสั้นหยักศกสีน้ำตาลธรรมชาติและร่างกายสูงใหญ่ภายใต้เครื่องแบบตำรวจสีกากีภูมิฐาน เพียงตวัดหางตามองผู้เป็นลูกชายช่างจ้อเพียงเสี้ยววินาทีเด็กน้อยก็สงบเสงี่ยมกลับมาตั้งใจกินข้าวต่อ

พี่ไกร กันต์เขากลืนข้าวลงท้องหมดแล้ว ทำไมจะพูดไม่ได้”

“จริง ๆ เลย พี่แค่เตือนไว้ เวลาออกสังคมจะได้ไม่เผลอ”

“เห็นแก่ภาพลักษณ์เกินไปแล้ว”

คุณอานายสถานีเข้าข้างหลานชายเต็มรูปแบบเข้าคล้องคอกอดปลอบเด็กน้อยที่เคี้ยวข้าวตุ้ย ๆ พี่ไกรวิชญ์ก็เป็นแบบนี้อยู่ตลอด คงเพราะถูกเลี้ยงดูมาจากบิดาซึ่งเคยเป็นอดีตนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ ยิ่งครอบครองนามสกุล ‘ก้องภัชรกุล’ ซึ่งสืบตำแหน่งหน้าที่ในวงการราชการมานานมากกว่าแปดสิบปี ยิ่งต้องเคร่งในกิริยาประเพณี ซ้ำยังต้องเก่งรอบด้านตำราก็ได้ วิชาต่อสู้ก็ต้องดี กระนั้นหากสบโอกาสเขาก็จะแอบพาหลานรักตะลอนขึ้นรถไฟเที่ยวหนีหน้าบูด ๆ ของพ่อเจ้าตัวอยู่ดี

นายตำรวจคล้ายว่าจะเอือมระอากับนิสัยรักอิสระของน้องชายบุญธรรมคนนี้ แม้จะอยากตำหนิติเตียนก็คงต้องกลืนคำพูดพวกนั้นลงไป เพราะถึงจะพูดเช่นไรก็คงจะฟังหูซ้ายทะลุหูขวาอยู่ร่ำไป

พี่ไกรวิชญ์ถือเป็นตำรวจน้ำดีที่ใคร ๆ ในแถบนี้ก็ต่างรู้จัก ทั้งยังเป็นที่ถูกใจของสาวน้อยสาวใหญ่แม้เจ้าตัวจะมีลูกอายุสิบสามปีแล้วก็ตาม ด้วยหน้าตาอันหล่อเหลา ลอนผมสั้นหยักศกเป็นลอนสีน้ำตาลธรรมชาติหาได้ยาก และเครื่องหน้าที่จัดได้ว่าสมบูรณ์แบบ นี่ยังไม่รวมไปถึงอาชีพสายตำรวจซึ่งเป็นที่น่าเคารพนับถือ

“เฮ้อ...”

เมื่อคุณพ่อถอนหายใจและยกมุมปากขึ้นเล็ก ๆ นั่นจึงเป็นสัญญาณถึงชัยชนะของสองอาหลานที่เถียงเจ้าของบ้านได้สำเร็จ

กันต์ธีร์เนื่องจากพูดขณะเคี้ยวอาหารไม่ได้จึงยกมือโบกส่งคุณอาไปทำงาน แน่นอนว่าคนในชุดราชการต้องโบกมือกลับ ก่อนจะรีบสาวเดินลงบันไดจากระเบียงหน้าบ้านชั้นสองลงมาผ่านสวนขนาดเล็กพลางล้วงมือเข้ากระเป๋ากางเกงกะจะหยิบกุญแจ ทว่ามันกลับไม่มี สงสัยเขาจะเผลอวางมันทิ้งไว้บนโต๊ะกินข้าวเมื่อตอนหยอกล้อกับหลานชาย

บ้านหลังนี้เป็นเรือนเศวตสองชั้นสีขาวสะอาดตาตั้งติดริมแม่น้ำ แม้จะมีเพื่อนบ้านใกล้เคียงและอยู่ใจกลางพระนครแต่เพราะมีต้นไม้ใหญ่ล้อมรอบจึงให้ความรู้สึกเป็นส่วนตัวแก่ผู้อาศัย ชั้นแรกประกอบไปด้วยห้องโถงรับแขก ตู้เก็บของสะสมของคุณพ่อ ตู้หนังสือและครัวไฟท้ายบ้าน มีบันไดเชื่อมต่อจากหน้าเรือนขึ้นไปเป็นพื้นที่เฉพาะคนในครอบครัว

นายสถานีคิดจะวกกลับขึ้นไปเอา แต่เมื่อมองไปยังหน้าบันไดกลับเห็นพี่ชายเดินลงมาพร้อมชูพวงกุญแจจี้ห้อยหนังรูปวัวสลักสีน้ำตาล

“เพราะมัวแต่ติดเล่น เลยลืมแบบนี้ไง”

“หาเรื่องดุคนอื่นเก่งจริง ๆ”

“เราก็บ่นเก่งจริง ๆ”

ผู้เป็นน้องชายรีบคว้าพวงกุญแจมาก่อนจะมองค้อนคนแก่กว่าไปที บ่นลูกแล้วยังจะพาลมาบ่นเขาด้วย สงสัยที่สถานีตำรวจลูกน้องภายใต้การดูแลคงหูชาไปหมดแล้วกระมัง มีหัวหน้าขี้จุกจิกปานนี้

ด้วงหันมาให้ความสนใจกับการหาลูกกุญแจสำหรับไขประตูใหญ่ พลางคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยโดยนึกว่าเจ้าพี่จะขึ้นบ้านไปทานอาหารต่อแล้ว

“ด้วง นี่ก็จะครบสิบปีแล้ว พี่ว่าเราเลิกทำแบบนี้เถอะ”

“…”

เจ้าของชื่อหยุดการกระทำทุกอย่าง หลังจากเสียงปลดแม่กุญแจ สีหน้าท่าทางเรียบนิ่งก่อนจะหันมาสบตานายตำรวจ ด้วยใบหน้าปนเศร้า เขารอมาสิบปีแล้ว รอไปอีกสักปีสองปีจะเป็นไรเล่า

“ผมมีเป้าหมายของผม พี่ก็รู้ว่าที่ผมขอคุณพ่อมาทำอาชีพนี้ก็เพราะอะไร”

“แต่สิบปี ป่านนี้คนคนนั้นเขาคง-

“พี่กำลังบั่นทอนความตั้งใจของผมอยู่นะครับ”

“พี่ไม่ได้หมายความแบบนั้นนะด้วง แต่แบบนี้มันไม่ดีต่อเรา ออกเช้ากลับดึกทุกวันแบบนี้เราจะเอาเวลาไหนมาพักผ่อน”

“มันดีแล้วครับ แล้วแผลที่ได้มาเมื่อวาน ผมอุตส่าห์ตั้งใจทายาให้ วันนี้ก็อย่าพึ่งไปซ้อมนะครับ”

น้องชายต่างสายเลือดเลือกที่จะตัดบทสนทนา รีบเปิดรั้วไม้แทรกตัวออกไปโดยไม่สนว่าเจ้าของบ้านจะกล่าวสิ่งใดต่อ

เจ้าตัวมักจะชอบเปรียบมวยกับเพื่อนและกลับมาพร้อมแผลที่ข้อนิ้วอยู่เป็นประจำ จึงเป็นหน้าที่ของน้องชายเพียงคนเดียวที่ต้องคอยช่วยเหลือ เพราะเหลือมือเดียวทำแผลเองคงไม่สะดวกนัก

ไกรวิชญ์มองบานรั้วไม้สีขาวค่อย ๆ แง้มปิดลงด้วยความมัวหมอง น้องชายเขาเป็นแบบนี้นับสิบปี ตื่นแต่เช้าตลอดทุกวัน ก้าวขาออกจากบ้านเป็นคนแรกทุกวัน ไปนั่งเฝ้ามองหาคนที่รักอยู่ทุกวัน

‘ผมแอบชอบใครคนหนึ่ง แต่ตอนนี้เขาคงอยู่ในที่ไกลแสนไกล’

‘ผมคาดหวังว่าเขาจะกลับมาในสักวันหนึ่ง’

‘มันอาจเป็นเหตุผลที่ไร้สาระ แต่พี่ไกรช่วยผมคุยกับคุณพ่อให้ท่านอนุญาตผมเรียนช่างกลได้ไหม’

คนคนนั้นเป็นเหตุผลที่ทำให้น้องชายเขาเข้ามาอ้อนวอนขอร้องให้พี่ชายช่วยคุยกับบิดาแท้ ๆ ผู้หญิงคนนั้นมีความสำคัญต่อใจถึงขนาดเจ้าตัวยอมแลกเวลาหลายสิบปีเพื่อปักหลักอยู่สถานีตลอดหลายสิบชั่วโมงต่อวัน โดยคิดว่าใครคนนั้นจะกลับมาให้เห็นหน้า

แน่นอนว่าหากเขาไม่เห็นด้วยแต่แรก เจ้าตัวคงไม่ได้ใส่เครื่องแบบสีกากีพร้อมหมวกหม้อน้ำตาลประดับเครื่องหมายกรมรถไฟเช่นนี้

แต่หากถามว่าเขาเต็มใจกับมันรึเปล่า คำตอบคือคำว่า ‘ไม่’

เขาไม่ได้รังเกียจอาชีพการรถไฟ แต่ไม่ชอบใจที่แรงผลักดันนั้นมาจากบุคคลที่ขึ้นชื่อว่าถูกรักจากผู้เป็นน้องชายบุญธรรมที่เขาเฝ้าเอื้อเอ็นดูมามากกว่าสิบปีเสียด้วยซ้ำ

ไกรวิชญ์คิดแล้วก็หน้านิ่วคิ้วขมวด เม้มริมฝีปากพยายามควบคุมลมหายใจให้อยู่ในสภาวะปกติ

ยิ่งใช้ชีวิตไปเหมือนมันยิ่งหนักใจ การแบกรับเครื่องหมายดาวครอบชฎาประดับรัศมีมันไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับเขาในวัยสามสิบห้า แม้ใครจะว่าดี แต่ในสายตาเขามันกลับเป็นภาระอันหนักอึ้ง

“คุณพ่อ ผมไปก่อนนะครับ”

“อือ ตั้งใจเรียนล่ะ”

ฝ่ามือหยาบกร้านลงลูบกลุ่มผมเจ้าลูกชายแผ่วเบาก่อนจะเดินสวนทางขึ้นไปเอาสัมภาระของตน ปล่อยเด็กชายวัยมัธยมต้นไว้กับพี่เลี้ยง

กันต์ธีร์ตอบรับ กระชับสายกระเป๋าเป้เนื้อดีพลางมองเจ้าคุณพ่อที่เดินหน้านิ่งขึ้นบ้านทำกิจ กล่าวกันตามตรงเขาไม่ค่อยสนิทชิดเชื้อกับบิดาแท้ ๆ สักเท่าไรนัก วัน ๆ เขากลับมาก็ไม่เจอเพราะเจ้าตัวทำงานทั้งวัน กลับมาดึก ๆ ดื่น ๆ ซึ่งเขาต้องพาตัวเองเข้านอนคนเดียวอยู่เสมอเพราะอาด้วงที่ต้องดูแลชานชาลากลับทุ่มสองทุ่มทุกวัน เขาเหงาเหลือเกิน

“คุณหนู ไปโรงเรียนกันเถอะครับ”

“ครับลุงแดง...”

อันที่จริงนอกจากอาด้วงแล้วอีกคนที่เขาชอบก็คือคุณย่า แม่แท้ ๆ ของอาด้วง เจ้าหล่อนเป็นคนคารมดียิ้มเก่ง หัวเราะง่าย แต่คงซึมเศร้าจากการสูญเสียคุณปู่ผู้เป็นสามีและสะใภ้ในเวลาไล่เลี่ยกันจึงตรอมใจขอแยกตัวไปอยู่บ้านพักตากอากาศในจังหวัดใกล้เคียง เวลาที่จะได้ไปปะหน้าท่านก็มีเพียงปีละครั้งในวันขึ้นปีใหม่สากล เพราะในช่วงเทศกาลอื่น ๆ หรือวันหยุดยาวคุณพ่อก็ต้องส่งคนควบคุมความสงบภายในงานหรืออาด้วงต้องคอยรองรับผู้คนที่แห่แหนขึ้นลงรถไฟ การจะหาเวลาที่ตรงกันได้นั้นลำบากนัก

หากมีวันที่พวกเราได้ใช้เวลาร่วมกันอย่างเต็มที่ก็คงดี

Related chapter

Latest chapter

DMCA.com Protection Status