“อาด้วงออกไปทำงานแต่เช้าตลอดเลยนะครับ”
เสียงเด็กชายวัยมัธยมต้นกล่าวทักญาติคนสนิทที่แม้ตอนนี้หน้าปัดนาฬิกาจะบอกเวลาตีสี่สี่สิบห้า กระนั้นคุณอาชายที่แปะชื่อนายสถานีก็ยังขยันขันแข็งสะพายกระเป๋าเป้ใบเดิมคว้ากุญแจเตรียมออกจากบ้าน ทั้งเมื่อครู่พวกเขานั่งทานมื้อเช้าด้วยกันสามคน วางจานอาหารพร้อมกัน แต่เจ้าตัวกลับทานหมดคนแรกทั้งที่ข้าวพูนจานกว่าใครแท้ ๆ
คุณอาเมื่อได้ยินเสียงบ่นพึมพำของหลานชายจึงใช้ฝ่ามือสีน้ำผึ้งยีเส้นผมสีน้ำตาลธรรมชาติกระเซิงด้วยความมันเขี้ยว
“แซวอาได้ทุกวันนะกันต์”
“ผมพูดจริงนี่ครับ อาด้วงไปแต่เช้าทุกวัน ทิ้งผมกับคุณพ่อให้กินข้าวต่อกันสองคน บางครั้งกันต์ก็อยากเดินออกจากบ้านพร้อมกันบ้างนะครับ”
กันต์ธีร์พูดไปอมข้าวไป กล่าวถึงพฤติกรรมอันไม่เป็นที่พอใจของตัวเขาสักเท่าไรนัก เนื่องจากเขาสนิทกับคุณอามากที่สุดในบ้าน แม้ทีแรกใคร ๆ จะบอกว่าอาด้วงน่ากลัวเพราะมีรอยบากที่หางคิ้ว ลำคอ จะมีฝ่ามือที่เต็มไปด้วยรอยแผลเก่า หรือแม้ยามปกติอีกฝ่ายจะชอบทำหน้านิ่งแต่ใครรู้ว่าแท้จริงเจ้าตัวจิตใจดี ทั้งยังชอบพาเขาทำกิจกรรมสนุก ๆ อีกต่างหาก ใครจะว่าก็ว่าเถอะ แต่อาด้วงน่ะใจดีที่สุดในโลก!
“กันต์ อย่าพูดไปกินไป”
เสียงเข้มกล่าวขึ้นพร้อมหน้ากระดาษหนังสือพิมพ์ที่พับลงเผยให้เห็นใบหน้าคมเรียบนิ่งลอนผมสั้นหยักศกสีน้ำตาลธรรมชาติและร่างกายสูงใหญ่ภายใต้เครื่องแบบตำรวจสีกากีภูมิฐาน เพียงตวัดหางตามองผู้เป็นลูกชายช่างจ้อเพียงเสี้ยววินาทีเด็กน้อยก็สงบเสงี่ยมกลับมาตั้งใจกินข้าวต่อ
“พี่ไกร กันต์เขากลืนข้าวลงท้องหมดแล้ว ทำไมจะพูดไม่ได้”
“จริง ๆ เลย พี่แค่เตือนไว้ เวลาออกสังคมจะได้ไม่เผลอ”
“เห็นแก่ภาพลักษณ์เกินไปแล้ว”
คุณอานายสถานีเข้าข้างหลานชายเต็มรูปแบบเข้าคล้องคอกอดปลอบเด็กน้อยที่เคี้ยวข้าวตุ้ย ๆ พี่ไกรวิชญ์ก็เป็นแบบนี้อยู่ตลอด คงเพราะถูกเลี้ยงดูมาจากบิดาซึ่งเคยเป็นอดีตนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ ยิ่งครอบครองนามสกุล ‘ก้องภัชรกุล’ ซึ่งสืบตำแหน่งหน้าที่ในวงการราชการมานานมากกว่าแปดสิบปี ยิ่งต้องเคร่งในกิริยาประเพณี ซ้ำยังต้องเก่งรอบด้านตำราก็ได้ วิชาต่อสู้ก็ต้องดี กระนั้นหากสบโอกาสเขาก็จะแอบพาหลานรักตะลอนขึ้นรถไฟเที่ยวหนีหน้าบูด ๆ ของพ่อเจ้าตัวอยู่ดี
นายตำรวจคล้ายว่าจะเอือมระอากับนิสัยรักอิสระของน้องชายบุญธรรมคนนี้ แม้จะอยากตำหนิติเตียนก็คงต้องกลืนคำพูดพวกนั้นลงไป เพราะถึงจะพูดเช่นไรก็คงจะฟังหูซ้ายทะลุหูขวาอยู่ร่ำไป
พี่ไกรวิชญ์ถือเป็นตำรวจน้ำดีที่ใคร ๆ ในแถบนี้ก็ต่างรู้จัก ทั้งยังเป็นที่ถูกใจของสาวน้อยสาวใหญ่แม้เจ้าตัวจะมีลูกอายุสิบสามปีแล้วก็ตาม ด้วยหน้าตาอันหล่อเหลา ลอนผมสั้นหยักศกเป็นลอนสีน้ำตาลธรรมชาติหาได้ยาก และเครื่องหน้าที่จัดได้ว่าสมบูรณ์แบบ นี่ยังไม่รวมไปถึงอาชีพสายตำรวจซึ่งเป็นที่น่าเคารพนับถือ
“เฮ้อ...”
เมื่อคุณพ่อถอนหายใจและยกมุมปากขึ้นเล็ก ๆ นั่นจึงเป็นสัญญาณถึงชัยชนะของสองอาหลานที่เถียงเจ้าของบ้านได้สำเร็จ
กันต์ธีร์เนื่องจากพูดขณะเคี้ยวอาหารไม่ได้จึงยกมือโบกส่งคุณอาไปทำงาน แน่นอนว่าคนในชุดราชการต้องโบกมือกลับ ก่อนจะรีบสาวเดินลงบันไดจากระเบียงหน้าบ้านชั้นสองลงมาผ่านสวนขนาดเล็กพลางล้วงมือเข้ากระเป๋ากางเกงกะจะหยิบกุญแจ ทว่ามันกลับไม่มี สงสัยเขาจะเผลอวางมันทิ้งไว้บนโต๊ะกินข้าวเมื่อตอนหยอกล้อกับหลานชาย
บ้านหลังนี้เป็นเรือนเศวตสองชั้นสีขาวสะอาดตาตั้งติดริมแม่น้ำ แม้จะมีเพื่อนบ้านใกล้เคียงและอยู่ใจกลางพระนครแต่เพราะมีต้นไม้ใหญ่ล้อมรอบจึงให้ความรู้สึกเป็นส่วนตัวแก่ผู้อาศัย ชั้นแรกประกอบไปด้วยห้องโถงรับแขก ตู้เก็บของสะสมของคุณพ่อ ตู้หนังสือและครัวไฟท้ายบ้าน มีบันไดเชื่อมต่อจากหน้าเรือนขึ้นไปเป็นพื้นที่เฉพาะคนในครอบครัว
นายสถานีคิดจะวกกลับขึ้นไปเอา แต่เมื่อมองไปยังหน้าบันไดกลับเห็นพี่ชายเดินลงมาพร้อมชูพวงกุญแจจี้ห้อยหนังรูปวัวสลักสีน้ำตาล
“เพราะมัวแต่ติดเล่น เลยลืมแบบนี้ไง”
“หาเรื่องดุคนอื่นเก่งจริง ๆ”
“เราก็บ่นเก่งจริง ๆ”
ผู้เป็นน้องชายรีบคว้าพวงกุญแจมาก่อนจะมองค้อนคนแก่กว่าไปที บ่นลูกแล้วยังจะพาลมาบ่นเขาด้วย สงสัยที่สถานีตำรวจลูกน้องภายใต้การดูแลคงหูชาไปหมดแล้วกระมัง มีหัวหน้าขี้จุกจิกปานนี้
ด้วงหันมาให้ความสนใจกับการหาลูกกุญแจสำหรับไขประตูใหญ่ พลางคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยโดยนึกว่าเจ้าพี่จะขึ้นบ้านไปทานอาหารต่อแล้ว
“ด้วง นี่ก็จะครบสิบปีแล้ว พี่ว่าเราเลิกทำแบบนี้เถอะ”
“…”
เจ้าของชื่อหยุดการกระทำทุกอย่าง หลังจากเสียงปลดแม่กุญแจ สีหน้าท่าทางเรียบนิ่งก่อนจะหันมาสบตานายตำรวจ ด้วยใบหน้าปนเศร้า เขารอมาสิบปีแล้ว รอไปอีกสักปีสองปีจะเป็นไรเล่า
“ผมมีเป้าหมายของผม พี่ก็รู้ว่าที่ผมขอคุณพ่อมาทำอาชีพนี้ก็เพราะอะไร”
“แต่สิบปี ป่านนี้คนคนนั้นเขาคง-
“พี่กำลังบั่นทอนความตั้งใจของผมอยู่นะครับ”
“พี่ไม่ได้หมายความแบบนั้นนะด้วง แต่แบบนี้มันไม่ดีต่อเรา ออกเช้ากลับดึกทุกวันแบบนี้เราจะเอาเวลาไหนมาพักผ่อน”
“มันดีแล้วครับ แล้วแผลที่ได้มาเมื่อวาน ผมอุตส่าห์ตั้งใจทายาให้ วันนี้ก็อย่าพึ่งไปซ้อมนะครับ”
น้องชายต่างสายเลือดเลือกที่จะตัดบทสนทนา รีบเปิดรั้วไม้แทรกตัวออกไปโดยไม่สนว่าเจ้าของบ้านจะกล่าวสิ่งใดต่อ
เจ้าตัวมักจะชอบเปรียบมวยกับเพื่อนและกลับมาพร้อมแผลที่ข้อนิ้วอยู่เป็นประจำ จึงเป็นหน้าที่ของน้องชายเพียงคนเดียวที่ต้องคอยช่วยเหลือ เพราะเหลือมือเดียวทำแผลเองคงไม่สะดวกนัก
ไกรวิชญ์มองบานรั้วไม้สีขาวค่อย ๆ แง้มปิดลงด้วยความมัวหมอง น้องชายเขาเป็นแบบนี้นับสิบปี ตื่นแต่เช้าตลอดทุกวัน ก้าวขาออกจากบ้านเป็นคนแรกทุกวัน ไปนั่งเฝ้ามองหาคนที่รักอยู่ทุกวัน
‘ผมแอบชอบใครคนหนึ่ง แต่ตอนนี้เขาคงอยู่ในที่ไกลแสนไกล’
‘ผมคาดหวังว่าเขาจะกลับมาในสักวันหนึ่ง’
‘มันอาจเป็นเหตุผลที่ไร้สาระ แต่พี่ไกรช่วยผมคุยกับคุณพ่อให้ท่านอนุญาตผมเรียนช่างกลได้ไหม’
คนคนนั้นเป็นเหตุผลที่ทำให้น้องชายเขาเข้ามาอ้อนวอนขอร้องให้พี่ชายช่วยคุยกับบิดาแท้ ๆ ผู้หญิงคนนั้นมีความสำคัญต่อใจถึงขนาดเจ้าตัวยอมแลกเวลาหลายสิบปีเพื่อปักหลักอยู่สถานีตลอดหลายสิบชั่วโมงต่อวัน โดยคิดว่าใครคนนั้นจะกลับมาให้เห็นหน้า
แน่นอนว่าหากเขาไม่เห็นด้วยแต่แรก เจ้าตัวคงไม่ได้ใส่เครื่องแบบสีกากีพร้อมหมวกหม้อน้ำตาลประดับเครื่องหมายกรมรถไฟเช่นนี้
แต่หากถามว่าเขาเต็มใจกับมันรึเปล่า คำตอบคือคำว่า ‘ไม่’
เขาไม่ได้รังเกียจอาชีพการรถไฟ แต่ไม่ชอบใจที่แรงผลักดันนั้นมาจากบุคคลที่ขึ้นชื่อว่าถูกรักจากผู้เป็นน้องชายบุญธรรมที่เขาเฝ้าเอื้อเอ็นดูมามากกว่าสิบปีเสียด้วยซ้ำ
ไกรวิชญ์คิดแล้วก็หน้านิ่วคิ้วขมวด เม้มริมฝีปากพยายามควบคุมลมหายใจให้อยู่ในสภาวะปกติ
ยิ่งใช้ชีวิตไปเหมือนมันยิ่งหนักใจ การแบกรับเครื่องหมายดาวครอบชฎาประดับรัศมีมันไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับเขาในวัยสามสิบห้า แม้ใครจะว่าดี แต่ในสายตาเขามันกลับเป็นภาระอันหนักอึ้ง
“คุณพ่อ ผมไปก่อนนะครับ”
“อือ ตั้งใจเรียนล่ะ”
ฝ่ามือหยาบกร้านลงลูบกลุ่มผมเจ้าลูกชายแผ่วเบาก่อนจะเดินสวนทางขึ้นไปเอาสัมภาระของตน ปล่อยเด็กชายวัยมัธยมต้นไว้กับพี่เลี้ยง
กันต์ธีร์ตอบรับ กระชับสายกระเป๋าเป้เนื้อดีพลางมองเจ้าคุณพ่อที่เดินหน้านิ่งขึ้นบ้านทำกิจ กล่าวกันตามตรงเขาไม่ค่อยสนิทชิดเชื้อกับบิดาแท้ ๆ สักเท่าไรนัก วัน ๆ เขากลับมาก็ไม่เจอเพราะเจ้าตัวทำงานทั้งวัน กลับมาดึก ๆ ดื่น ๆ ซึ่งเขาต้องพาตัวเองเข้านอนคนเดียวอยู่เสมอเพราะอาด้วงที่ต้องดูแลชานชาลากลับทุ่มสองทุ่มทุกวัน เขาเหงาเหลือเกิน
“คุณหนู ไปโรงเรียนกันเถอะครับ”
“ครับลุงแดง...”
อันที่จริงนอกจากอาด้วงแล้วอีกคนที่เขาชอบก็คือคุณย่า แม่แท้ ๆ ของอาด้วง เจ้าหล่อนเป็นคนคารมดียิ้มเก่ง หัวเราะง่าย แต่คงซึมเศร้าจากการสูญเสียคุณปู่ผู้เป็นสามีและสะใภ้ในเวลาไล่เลี่ยกันจึงตรอมใจขอแยกตัวไปอยู่บ้านพักตากอากาศในจังหวัดใกล้เคียง เวลาที่จะได้ไปปะหน้าท่านก็มีเพียงปีละครั้งในวันขึ้นปีใหม่สากล เพราะในช่วงเทศกาลอื่น ๆ หรือวันหยุดยาวคุณพ่อก็ต้องส่งคนควบคุมความสงบภายในงานหรืออาด้วงต้องคอยรองรับผู้คนที่แห่แหนขึ้นลงรถไฟ การจะหาเวลาที่ตรงกันได้นั้นลำบากนัก
หากมีวันที่พวกเราได้ใช้เวลาร่วมกันอย่างเต็มที่ก็คงดี
ด้วงเดินทางมาไม่นานก็ถึงสถานีกรุงเทพ เพราะบ้านหลักอยู่ห่างจากที่ทำงานเพียงข้ามถนนสองเส้น จึงเดินทางมาได้โดยง่ายไม่ต้องนั่งรถรางให้ยุ่งยากเวลานี้ท้องฟ้ายังมืดสนิทเห็นดวงจันทร์แจ่มชัด ผู้คน รถบนถนนบางตา ฝนที่ตกปรอย ๆ เมื่อคืนเมื่อสัมผัสกับผืนดินผืนหญ้าส่งกลิ่นหอมธรรมชาติโชยมาแตะจมูกชวนให้ใจสงบเงียบท่ามกลางบรรยากาศยามไร้ผู้คนในเวลาเช้าตรู่ขาสูงยาวก้าวอย่างมั่นคงบนทางเท้า มองเหล่าแมลงซึ่งสะท้อนแสงจากโคมไฟรายทางที่พวกมันตอม พลางคิดเรื่องซ้ำ ๆ เดิม ๆ ที่วนอยู่ในหัวเขามาร่วมสิบปีเขารักคนคนหนึ่งรักมาตลอดตั้งแต่วันที่จากลากันทีแรกเขาไม่รู้สึกถึงมัน แต่เมื่อถึงเวลาที่เจ้าตัวไม่สามารถอยู่ที่แห่งนั้นได้อีกต่อไป นั่นจึงเป็นเขาเองที่ต้องพาเจ้าตัวหนีขึ้นรถไฟจากไอ้พวกคนจัญไรเหล่านั้นย้อนนึกไปเท่าไรก็รู้สึกเจ็บปวด ภาพทุกภาพหวนคืนเข้ามาในห้วงความคิดอย่างไม่อาจหักห้ามได้เรือนไม้สีเข้มเก่าแก่สะท้อนแสงจันทร์ขาวนวลยามค่ำคืน สายลมเย็นยะเยือกพัดผ่านกระทบผิว เหล่าก้านไม้ใบไม้เสียดสีกันชวนให้ค่ำคืนสุดท้ายในที่แห่งนั้นน่าขนลุก และเสียงแปร่ง
ด้วงสูดลมหายใจเข้าเมื่อวิ่งมาถึงยังหน้าชานชาลาในการดูแล อีกไม่นานรถไฟขบวนแรกจากชุมพรก็จะเข้าเทียบ เขาต้องมีสมาธิจดจ่อกับหน้าที่และผู้คนเพื่อมองหาใครคนนั้นให้เจอทว่าเหมือนที่เขาแกล้งหัวเราะอาจารย์แกไปเมื่อครู่จะโดนเอาคืน เพราะจู่ ๆ หมวกประจำตำแหน่งก็ถูกถอดออกทำให้เขาต้องหันไปมองจนเห็นว่าเป็นคุณอุ่นที่ยืนถือหมวกเขาอยู่ก่อนจะรีบเดินเข้ามาสวมหมวกให้เหมือนเดิมเมื่อเห็นสีหน้าอันไม่พอใจ“ผมแกล้งหนักไปเหรอครับ?”“ถามมาได้”นายสถานีเม้มปากไม่พอใจ เขาหัวเราะนิดเดียวเองดันมาแกล้งถึงเนื้อถึงตัวกันเสียได้ ไหนเจ้าตัวบอกคนญี่ปุ่นเรียบร้อยตามขนบอย่างไรเล่า“วันนี้ขอให้โชคดีนะครับ”สิ่งที่อาจารย์กล่าวก่อนจะขึ้นตู้สื่อถึงคนที่เขากำลังเฝ้าตามหาอยู่ ถึงเขาจะไม่ได้ป่าวประกาศว่ากำลังตามหาคนแต่ก็ไม่ได้ปิดเป็นความลับแก่คนใกล้ชิดด้วงถอนหายใจเฮือกใหญ่ ดึงสติกลับมาอยู่กับเนื้อกับตัว กระชับปีกหมวกประจำตำแหน่งให้เข้าที่เพราะอีกไม่ถึงนาทีจะถึงเวลารถไฟรอบแรกของวันเข้าเทียบ นัยน์ตาสีดำประกายม่วงไร้แวว มองหัวรถจักร สดับฟังเรียงหวูดอย่างเหม่อลอย เสียงพ
ด้วงเดินออกมาด้วยความดีใจ ในที่สุดเขาก็เจอแล้วในเมื่อแก้วบอกว่าจะมาหาเขาวันพรุ่ง เช่นนั้นวันนี้เขาจะตะลอนหาที่นั่งสบาย ๆ รอบพระนครตระเตรียมแผนการเดินทางให้โฉมงามเพื่อนสมัยเด็กได้ประทับใจรวมไปถึงการบอกเรื่องนี้กับพี่ไกร เพราะเจ้าตัวเมื่อเช้าดูจะเป็นกังวลในเรื่องนี้มากโข ไว้เดี๋ยวคืนนี้เขาจะอยู่รอนั่งเล่าให้ฟัง ในเมื่อเป้าหมายในชีวิตเขาสำเร็จแล้ว คุณพี่ชายจะได้ไม่ต้องมาหนักใจในเรื่องไม่เป็นเรื่องอีก. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .“ผู้กำกับ เหม่ออีกแล้วนะครับเมื่อคืนนอนน้อยรึหรือไง?”“มาค้ง มาครับอะไรไอ้พูน เรียกชื่อฉันเหมือนเดิมเถอะ แสลงหู”พูนเพื่อนร่วมงานบุ้ยปาก ไอ้เขาก็อยากทำตัวมีมารยาทกับพ่อพันตำรวจเอกผู้เป็นที่เชิดหน้าชูตาแก่สน.เสียหน่อย ดันมาขัดขากันได้“ตกลงกันว่าจะเริ่มคดีเสือขามวันนี้ใช่ไหม?”“นอกเรื่อง”“กำลังจะเข้าเรื่อง”พูนกอดอกกลอกตามองบน เขาล่ะหน่ายใจกับท่าทีเก๊กขรึมข
ตกเย็นใกล้พลบค่ำด้วงรีบกลับบ้านมา วันนี้เขาอารมณ์ดีนัก ตั้งแต่รู้ว่าจะได้กลับไปพูดคุยกับแก้วอีกครั้งเขาก็ดีใจจนเนื้อเต้น คุณอาในชุดลำลองเสื้อโปโลสีเนยกางเกงน้ำตาลเดินเข้ามาด้วยรอยยิ้มประดับใบหน้าพลางยกเสื้อผ้าที่พนักงานแนะนำมา มีตั้งหลายตัวแต่ไปแค่พรุ่งนี้วันเดียวไม่รู้จะใส่ตัวไหน สงสัยคงต้องถามพี่ไกรเสียแล้ว“ด้วง วันนี้ไปไหนมาครับ”เสียงเข้มแว่วมาจากระเบียงชั้นสอง เป็นเจ้าของบ้านที่ยืนค้ำราวไม้ทักทายลงมา เจ้าตัวคงจะกลับบ้านมาสักพักแล้วจึงได้อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสียเรียบร้อย“ผมไปซื้อของที่ห้างมา”“ไหนเอาขึ้นมาให้พี่ดูซิ”จากประสบการณ์สอบปากคำตลอดหลายสิบปี หากอยากได้คำตอบที่ชัดเจน อย่าตั้งแง่กับผู้ต้องสงสัย ค่อย ๆ ใจเย็นตะล่อมถาม หากร้อนใจขึ้นประเดี๋ยวลูกไก่ในมือจะวิ่งหนีไปเสียฉิบ“เราลางานกะทันหันแบบนี้ ไม่กระทบเพื่อน ๆ ที่ทำงานเหรอ?”“วันนี้รอบรถถี่แค่ช่วงสาย ตกบ่ายมาก็น้อยแล้ว”“แล้วไม่กลัวโดนหักเงินเดือนเหรอ?”“ผมมีเงินเก็บเยอะ ไม่กลัวเรื่องแบบนั้นหรอก”“พี่เห็นเรายิ้มไม่หุบมาสักพักแล้ว
เสียงนกร้องภายนอกแว่วเข้ามาผ่านช่องเล็กช่องน้อยภายในห้องนอนขนาดย่อม เครื่องเรือน เครื่องนอนล้วนถูกคัดสรรมาอย่างเหมาะสมให้เขากับผู้อยู่อาศัย แต่เพราะเจ้าของห้องไม่ได้ฟุ้งเฟ้อ จึงมีแต่ของใช้จำเป็นเพียงโต๊ะ ตู้ เตียง และม่านมุ้งห้อยจากเพดานกันแมลงในตอนกลางคืนทว่าวันนี้นาฬิกาปลุกถูกตั้งให้ช้ากว่าปกติเพราะนี่นับเป็นวันแรกที่คนบนเตียงจะได้ออกไปใช้ชีวิตกับเพื่อนที่รอมานานนับสิบปี จนเมื่อเสียงกริ๊งดังไม่ทันใดมันก็ถูกกดหยุดลงพร้อมนายสถานีร่างโปร่งที่ลุกขึ้นมาบิดกายยืดเส้น ดวงหน้าอิ่มเอิบประดับรอยยิ้ม แต่เช้าตรู่พลางมองเสื้อผ้าของวันนี้ที่ถูกแขวนเตรียมไว้ตั้งแต่เมื่อคืนด้วงสูดลมหายใจเข้าระหว่างนั่งเล่นให้ร่างกายตื่นเต็มตา แล้วจึงกระเด้งตัวออกจากเตียงไปผลัดผ้าผลัดผ่อนบ้านหลังนี้กว้างโอ่อ่าพอจะทำห้องส่วนตัวให้แก่ทุกคนรวมไปถึงห้องอาบน้ำในทุกห้องนอนเช่นกัน เพิ่มความสะดวกสบายให้สมาชิกในบ้านที่ต้องทำกิจในเวลาไล่เลี่ยกันกระจกบานเล็กหน้าโต๊ะสะท้อนร่างสูงโปร่งประดับลอนกล้ามเนื้อสีเข้มกระนั้นก็พอมีช่วงเอวไม่ตีบตันไร้สัดส่วนด้วงรีบเข้าไปรดน้ำทำความสะ
“วันนี้คุณดลรวีก็มาช้าเหรอครับ?”ดันกิเดินมาสนทนากับเจ้าแผนที่คุณดลรวีเล่าให้ฟังว่าเป็นเพื่อนคนสนิท เขาซึ่งมาที่นี่ทุกเช้าก็มักจะได้สนทนากับนายสถานียิ้มเก่งคนนั้นเป็นประจำ ได้ยินว่าเจ้าตัวเจอคนที่รอมาตลอดแล้วไม่รู้แน่ชัดว่ามันจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เจ้าตัวมาช้ากว่าปกติหรือเปล่า“เปล่าครับ มาเช้ากว่าใครเพื่อนเลย นู่นนั่งอยู่นู่น”แผนกอดอกบุ้ยคางยังเจ้าเพื่อนที่นั่งเหงาเหม่อมองทางรถไฟมาตั้งแต่ย่ำค่ำ ทำเอาเขาสงสัยไม่ใช่น้อย ว่าเจอก็เจอแล้วทำไมยังนั่งเป็นหมาหงอยอยู่อีก“ขอบคุณครับ”แผนมองแผ่นหลังของคุณครูชาวญี่ปุ่นวิ่งต้อย ๆ ไปทางเจ้าเพื่อนรักก็นึกอิจฉา เขาสิไม่รู้ทำไมไม่ได้คนสติดี ๆ มาเดินตามบ้างดันกิสาวเท้าด้วยความเร็วก่อนจะค่อย ๆ ชะลอลงเมื่อเข้าใกล้เก้าอี้ไม้ข้างเสา เขาหอบเอาลมหายใจเข้าปอดพลางสังเกตสีหน้าของคุณดลรวี แต่ไม่รู้ทำไมวันนี้มันถึงได้ดูหม่นหมองไม่ต่างจากท้องฟ้ายามมีเมฆฝน“คุณอุ่น มาตั้งแต่เมื่อไหร่เหรอครับ ผมไม่รู้ตัวเลย”“ผมพึ่งมา ทำไมวันนี้คุณถึงดูเศร้า ๆ ล่ะครับ”“มันอธิบายค่อนข้างยากน่ะครับ...”
ด้วงที่ลงมาหยิบนมในตู้แช่เย็นได้ยินเสียงพูดคุยจ้อกแจ้กแว่วลงมาจากด้านบนบวกกับเสียงกลอนประตูเมื่อสักครู่จึงคิดจะอุ่นชาหอมขึ้นไปให้พี่ชายที่น่าจะกลับมาแล้วด้วยในระหว่างที่ตั้งเตาอุ่นนมก็จัดแจงคีบถ่านจุดไฟวางกาน้ำร้อน ก่อนจะผละไปเปิดตู้กับข้าวมองหาถุงชาที่ได้รับเป็นของฝากเมื่อเดือนก่อน เพียงนานเครื่องดื่มอุ่นก็พร้อมใส่แก้วพอเดินขึ้นมาก็เห็นว่าพ่อลูกกำลังนั่งคุยกันอยู่ แต่เหมือนน้องกันต์จะดูอาการไม่ค่อยดีเมื่อได้สนทนากับผู้เป็นพ่อ เขาจึงรีบเดินอ้อมหลังไปมอบแก้วนมให้เจ้าตัวรีบดื่มจะได้หนีออกไปจากความอึดอัดได้ ส่วนเขาพาตัวเองมานั่งตรงข้ามพี่ชายพร้อมวางแก้วชาหอมไว้ตรงหน้า“ของเราไม่มีเหรอ?”“วันนี้ผมไม่ค่อยอยากกินอะไร”เขาพูดพลางชำเลืองมองหลานชายที่ค่อย ๆ จิบนมดูเหมือนเขาจะอุ่นร้อนจนเกินไป“วันนี้เราเป็นอะไร ดูเหม่อ ๆ นะ”“ปะ...เปล่า แค่มีเรื่องให้ต้องคิดนิดหน่อย”ตอนนี้เขาระแวงเหลือเกินว่าพี่ไกรจะทำอย่างเมื่อเช้าต่อหน้าลูกชายตัวเอง แต่ตอนนี้เขาจะออกอาการไม่ได้จึงทำเพียงเก็บไม้เก็บมือให้ห่างจากกลางโต๊ะลงมาประสานอยู่บนต
1. นิยายเรื่องนี้อิงประวัติศาสตร์ในช่วงเวลาปีพ.ศ.2485 ทุกตัวละคร และ'บาง'สถานการณ์ที่เอ่ยถึงกล่าวถึงเป็นเพียงจินตนาการของผู้แต่งแต่เพียงเท่านั้น ซึ่งไม่มีเจตนาดูหมิ่นไม่ว่าจะในเชิงส่วนบุคคลหรือสถาบันเลยแม้แต่น้อย ผู้เขียนหาข้อมูล และเกลาเนื้อหาขึ้นด้วยความเคารพในประวัติศาสตร์อย่างแท้จริง2. บางส่วนของนิยายอาจมีเนื้อหาเกินความเป็นจริงเพื่ออรรถรสในการอ่าน3. นิยายเรื่องนี้เหมาะสำหรับนักอ่านที่ชื่นชอบ/สนใจคู่ที่มีอายุ (วัยทำงาน) , เคะกล้ามหนุบหนับ และความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องต่างสายเลือด4. บางส่วนในนิยายมีการกล่าวถึงองค์กรศาสนา, ความรุนแรง, สภาวะผิดปกติทางจิต, Fetish(BDSM)*ที่ผิดหลัก และสิ่งเสพติด/อบายมุขโปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .จำนวนตอนหลัก 35+10 ตอนจำนวนตอนพิเศษ 11+3 ตอนรวมทั้งหมด 59 ตอน***พิสูจน์อักษร 2 ครั้ง***อัปเดตครั้งล่าสุด 10/07/2024#