Share

บทที่ ๓ สบโอกาส (๑๐๐%)

เสียงนกร้องภายนอกแว่วเข้ามาผ่านช่องเล็กช่องน้อยภายในห้องนอนขนาดย่อม เครื่องเรือน เครื่องนอนล้วนถูกคัดสรรมาอย่างเหมาะสมให้เขากับผู้อยู่อาศัย แต่เพราะเจ้าของห้องไม่ได้ฟุ้งเฟ้อ จึงมีแต่ของใช้จำเป็นเพียงโต๊ะ ตู้ เตียง และม่านมุ้งห้อยจากเพดานกันแมลงในตอนกลางคืน

ทว่าวันนี้นาฬิกาปลุกถูกตั้งให้ช้ากว่าปกติเพราะนี่นับเป็นวันแรกที่คนบนเตียงจะได้ออกไปใช้ชีวิตกับเพื่อนที่รอมานานนับสิบปี จนเมื่อเสียงกริ๊งดังไม่ทันใดมันก็ถูกกดหยุดลงพร้อมนายสถานีร่างโปร่งที่ลุกขึ้นมาบิดกายยืดเส้น ดวงหน้าอิ่มเอิบประดับรอยยิ้ม แต่เช้าตรู่พลางมองเสื้อผ้าของวันนี้ที่ถูกแขวนเตรียมไว้ตั้งแต่เมื่อคืน

ด้วงสูดลมหายใจเข้าระหว่างนั่งเล่นให้ร่างกายตื่นเต็มตา แล้วจึงกระเด้งตัวออกจากเตียงไปผลัดผ้าผลัดผ่อน

บ้านหลังนี้กว้างโอ่อ่าพอจะทำห้องส่วนตัวให้แก่ทุกคนรวมไปถึงห้องอาบน้ำในทุกห้องนอนเช่นกัน เพิ่มความสะดวกสบายให้สมาชิกในบ้านที่ต้องทำกิจในเวลาไล่เลี่ยกัน

กระจกบานเล็กหน้าโต๊ะสะท้อนร่างสูงโปร่งประดับลอนกล้ามเนื้อสีเข้มกระนั้นก็พอมีช่วงเอวไม่ตีบตันไร้สัดส่วน

ด้วงรีบเข้าไปรดน้ำทำความสะอาดร่างกายก่อนจะหยิบเสื้อคอปกแขนสั้นที่พี่ชายเป็นคนเลือกให้ขึ้นมาทาบ สมแล้วที่เป็นคนออกงานบ่อย เข้าสังคมเก่งถึงได้เลือกออกมาได้เหมาะสมตรงจิตตรงใจแบบนี้ หากเลือกตามความคิดเขาอย่างเดียวละก็แต่งออกมาคงไม่ต่างจากอีกาคาบพริกเป็นแน่

นายสถานีเดินถือกระเป๋าสะพายใบเดิมออกมาก่อนจะเห็นว่าลุงแดงยกมื้อเช้าขึ้นมาวางเอาไว้บนโต๊ะพร้อมด้วยคุณพ่อตำรวจและหลานรักกำลังนั่งรับประทานกันอยู่ นานมากแล้วที่เขาจะมาร่วมโต๊ะเป็นคนสุดท้าย

“วันนี้อาด้วงไม่ไปทำงานเหรอครับ?”

“วันนี้อามีนัดกับเพื่อน แต่อาว่าจะเดินไปส่งเราที่โรงเรียนก่อน”

“จริงเหรอ!?”

เด็กชายในชุดนักเรียนดีใจยิ้มแป้นลุกออกจากเก้าอี้วิ่งไปกอดคุณอาใจดี เขาจำได้ว่าครั้งล่าสุดที่มีคนไปรับไปส่งก็สมัยประถมที่คุณแม่กับคุณย่ายังอยู่ที่บ้านหลังนี้กระมัง

“จริงสิ ปกติเราออกจากบ้านหกโมงใช่ไหม?”

“ใช่ครับ”

“อาลืมดูไปเลย งั้นเราออกกันเลยไหม?”

“เราจะไม่กินข้าวเหรอ?”

ไกรที่นั่งจิบกาแฟลอบฟังอยู่เอ่ยถามขึ้น เขากลัวเจ้าตัวเดินทางทั้งที่ไม่มีอาหารตกถึงท้องจะเป็นลมเป็นแล้งไป

“ผมว่าจะไปกินพร้อมกับเพื่อนครับ”

“แล้วข้าวเที่ยงยังจะกลับมากินที่บ้านอยู่ไหม?”

“ครับ ผมไปแค่ครึ่งเช้า”

เขาไม่ค่อยเข้าใจจุดประสงค์ในการถามคำถามเท่าไรนัก แต่มันเป็นนิสัยที่ติดตัวมาตั้งแต่สมัยเด็กของพี่ไกร เขาคงเป็นห่วงอยากรู้ความเป็นไปของทุกคนในบ้านกระมัง

ด้วงเดินจูงมือเด็กชายมาใส่รองเท้าที่ระเบียงชั้นสองก่อนพากันเดินลงมายังชั้นหนึ่งพร้อมปิ่นโตซึ่งเป็นมื้อเที่ยงของเด็กชาย

“ให้อาช่วยถือกระเป๋ามา”

“ไม่ครับ คุณพ่อบอกว่าของของใคร คนนั้นต้องถือเอง”

“งั้นเดี๋ยวอาถือปิ่นโตเราเอง”

“แต่-

“อาเป็นคนซื้อปิ่นโตใบนี้ อาก็ต้องเป็นเจ้าของสิ”

คงเพราะยังเด็กหนุ่มน้อยกันต์ธีร์จึงไม่สามารถต่อปากต่อคำกับผู้ใหญ่วัยสามสิบได้ ไม่ทันไรปิ่นโตโลหะเงินเงาสามชั้นก็อยู่ในมือของคุณอาเสียแล้ว

ด้วงก้มมองเด็กชายวัยสิบสามปี หากย้อนไปในอดีตตัวเขายังเล่นดินเล่มทรายกับเด็กวัดคนอื่น ๆ อยู่เลย ไม่ต้องมาเคร่งเครียดเรียนหนังสือ แบกกระเป๋าหนัก ๆ ไปกลับโรงเรียนหลายร้อยเมตรแบบนี้หรอก หรือหากจะเรียนก็แค่ขอหลวงตาเข้าไปนั่งฟังในลานพระธรรมส่วนกลาง

แถมโรงเรียนมัธยมที่พี่ไกรให้น้องกันต์สอบเข้าแม้จะขึ้นชื่อว่าเป็นโรงเรียนชั้นนำของพระนครแต่เมื่อเทียบกับระยะทางไปกลับแล้วในสายตาเขามันไม่คุ้มเสียกันสักนิด ในตอนนั้นเขาโต้เถียงกับพี่ยกใหญ่ว่าอยากให้หลานชายเข้าเรียนใกล้ ๆ จบที่ไหนมันก็เหมือนกัน แต่สุดท้ายฝ่ายที่ชนะก็เป็นคุณพ่อตำรวจ

“ไปกลับทุกวันแบบนี้ กันต์ไม่เหนื่อยเหรอ?”

ด้วงถามในขณะที่รถรางกำลังค่อย ๆ เคลื่อนตัวไปข้างหน้า นั่งไปแบบนี้ประมาณครึ่งชั่วโมง เดินต่ออีกครู่เดียวก็ถึงสถานศึกษา

“เหนื่อยบ้างครับ แต่ผมว่าโรงเรียนนี้ดี เพื่อน ๆ ก็น่ารัก คุณครูก็ใจดีด้วย”

“ดีแล้ว แต่ไว้เดี๋ยวเราอายุสิบหกก็ไม่ต้องไปที่ไกล ๆ แบบนี้แล้วเนอะ”

เพราะทั้งบ้านรู้ดีว่าเมื่อกันต์ธีร์อายุย่างสิบหก จะได้ย้ายไปเรียนโรงเรียนนายร้อยต่อ ซึ่งห่างจากตัวบ้านไปเพียงสิบกว่านาที ไม่เหมือนโรงเรียนนี้ที่ต้องเดินทางหลักชั่วโมง

กระนั้นแทนที่หลานชายจะทำสีหน้ายิ้มยินดีกลับดูเศร้าหมองลงจนเป็นที่สังเกตแก่ผู้ปกครองที่มาด้วยกัน

“กันต์ ถ้ามีเรื่องอะไรหนักใจบอกอาได้เลยนะ”

เด็กชายดูเหมือนจะมีเรื่องในใจ สีหน้าเคร่งเครียดชวนให้คุณอาสถานีนึกเป็นห่วง เขาอยู่บ้านเดียวกันทำไมจะไม่รู้ว่าเจ้าตัวถูกกดดันจากผู้เป็นบิดามากแค่ไหน

“ไม่ต้องกลัว เล่ามาเถอะ อย่างน้อยจะได้สบายใจ”

“ผม...ไม่ได้อยากเป็นตำรวจ”

ด้วงถอนหายใจออกมาด้วยความสงสาร เขาคิดเอาไว้แล้วว่าวันนี้ต้องมาถึง

“แล้วเราอยากเป็นอะไรเหรอ?”

“ผมยังไม่รู้ ผมรู้แต่ผมไม่อยากเป็นตำรวจ...จริง ๆ นะครับอา”

“ไม่เป็นไร ไม่ต้องรีบ อาอยู่ข้างหลานเสมอ เรายังเด็กอยู่ค่อย ๆ หาไปเดี๋ยวก็เจอ”

“แต่คุณพ่อจะ-

“เดี๋ยวอาคุยให้เอง”

ทันทีเมื่อเขาพูดว่าจะออกหน้าให้เด็กชายก็แววตาเป็นประกายยิ้มปลื้มปริ่มมีความสุข แต่ใจลึก ๆ ของเขาเองไม่อาจรับประกันได้ว่าพี่ไกรจะยอมรับความคิดนี้

นิสัยพื้นฐานของพี่เจ้าได้คุณพ่อมาเต็ม ๆ และมันมีทั้งข้อดีข้อเสียปะปนกันไป แต่ในเมื่อเขาเอาความสุขของหลานชายเป็นที่ตั้ง จึงมีสิ่งที่เขาอยากจะแก้ไขมันแม้มันจะยากเย็นแค่ไหนก็ตาม

“วันนี้อาคิดว่าจะแวะไปเยาวราช เราอยากได้อะไรไหม?”

“ผมอยากกินขนมปังสังขยา!”

“แค่นั้นเองเหรอ?”

“อืม...อันที่คุณพ่อชอบกิน”

“ฝอยทองใบเตย?”

“ใช่!”

พอเปลี่ยนประเด็นสนทนาความสุขก็เข้าโอบล้อมสองอาหลาน รู้ตัวอีกทีพวกเขาก็เดินมาถึงหน้าโรงเรียนเสียแล้ว กันต์ธีร์ดูมีสีหน้าจ๋อยหงอยเมื่อรู้ว่าจะต้องแยกทางกับคุณอา ปกติเดินทางตัวคนเดียวมันไม่สนุกแบบนี้

คุณอาจึงกล่าวย้ำสัญญาที่ให้ไว้บนรถรางรวมไปถึงถุงหอมที่จะทำเพิ่มให้เป็นพิเศษ ด้วงโบกมือลาส่งเด็กชายเข้าโรงเรียนไปพร้อมเพื่อน ๆ ที่บังเอิญเจอกันระหว่างทางเดินเท้า ทำให้เขารู้ว่าหลานชายมีเพื่อนสนิทเป็นกลุ่มแล้ว ทั้งยังนิสัยดีพูดจาน่ารัก พลอยให้อาคนนี้หมดห่วงไปได้เปลาะหนึ่ง

กระนั้นเมื่อเงยหน้าเหลือบไปมองหน้าปัดนาฬิกาทำให้เขาถึงกับผงะ ‘อีกแค่ ๑๕ นาทีก็จะสายแล้ว!’

ด้วยเพราะคุยกับเด็ก ๆ ระหว่างทางเพลินเขาจึงต้องจ้างสามล้อย้อนกลับมาสถานีแม้จะเลยเวลาที่นัดกันไว้มาห้านาที แต่ก็ยังดีกว่านั่งรถราง

ทันทีเมื่อมาถึงเขาก็เห็นเจ้าแก้วนั่งเตะขารออยู่ ณ เก้าอี้สถานี เจ้าตัวถักเปียยาวสวมเสื้อโปโลสีขาวกางเกงขาสามส่วนเข้ารูป มองกี่ทีก็ยังคงไม่ต่างจากภาพความงามในสมัยเด็ก

"แก้ว ขอโทษที่ฉันมาสาย"

"ไม่เป็นไร ฉันก็พึ่งมาถึงเหมือนกัน แล้ววันนี้เอ็งไม่ทำงานเหรอ"

คล้ายว่าด้วงจะไม่ได้ฟังสิ่งที่คู่สนทนาพูดเลยแม้แต่น้อย แม้จะรู้ว่าเพื่อนตนมีหน้าตาดีเกินกว่าใครตั้งแต่สมัยก่อนแต่เขาไม่คิดว่า'ไอ้แก้ว'ที่เคยเป็นเด็กวัดโตมาจะสะสวยเกินมนุษย์ได้ถึงขนาดนี้

"ไอ้ด้วง!"

"อะ...เอ้อ! เมื่อกี้เอ็งถามว่าอะไรนะ"

"ฉันถามว่าเอ็งไม่ทำรึไงงานน่ะ"

"วะ...วันนี้ฉันลาน่ะ กะจะมาพาเอ็งเที่ยว"

"ห๊ะ? เที่ยว?"

"มะ...หมายถึงไปหาที่นั่งคุย"

ด้วงอึกอักพยายามหาเหตุผลอื่นขึ้นมาอ้าง เพื่อไม่ให้โฉมงามรู้ว่าเมื่อวานเขาอุตส่าห์ลางานไปก็เพื่อตระเวนเดินหาร้านนั่งดื่มบรรยากาศดี ๆ ทั้งวัน ทั้งเขายังพิถีพิถันเรื่องเครื่องแต่งกายเป็นพิเศษหวังจะสร้างความประทับใจ

"อ๋อ อย่างนั้นเหรอ แล้วเราจะไปไหนกันดี"

"เดี๋ยวฉันพาไป"

"เดินไกลไหม?"

"ไม่ไกลหรอก"

ทว่าเมื่อมาถึงเจ้าแก้วกลับนั่งหอบกิน จนต้องไปขอเจ้าของร้านย้ายพัดลมมาตั้งสักครู่ไม่เช่นนั้นอีกฝ่ายได้เป็นลมแน่

แก้วดูไม่ได้มีอคติต่อเขานั่นนับเป็นการดี ทั้งยังได้ทราบอีกว่าเจ้าตัวตอนนี้เป็นถึงเจ้าของคณะนางรำประจำชุมพรเขายิ่งดีใจ ทั้งดีใจยิ่งกว่าที่ได้ยินว่าเด็กที่มาเจอกันในครั้งนั้นไม่ใช่ลูกแต่อย่างใด

"แก้ว"

"หือ?"

ด้วงสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะทำใจกล่าวถึงบุคคลในอดีตขึ้นมา แม้เกรงว่าบางทีอีกฝ่ายจะไม่อยากนึกถึงมันอีกแต่ในความคิดเขามันคงดีหากได้ทราบความเป็นไป

"ไอ้แก่นั่น มันตายแล้วนะ"

"อือ..."

ด้วยเราสองคนผ่านเรื่องราววัยเยาว์มาด้วยกันต่างคนจึงต่างรู้ลึกตื้นหนาบางของคนที่กำลังกล่าวถึง กระนั้นก็เป็นไปตามคาด แววตาภายใต้กรอบแว่นของเพื่อนสมัยเด็กดูหม่นลงอย่างเห็นได้ชัด

"อะ...เอ็งไม่สบายใจที่ฉันพูดเรื่องนี้รึเปล่า..."

"เปล่าหรอก กลับกันฉันดีใจด้วยซ้ำที่มันจะไม่เกิดเรื่องแบบเดิมซ้ำกับคนอื่นอีก"

"ถ้าแบบนั้นเอ็งก็ยิ้มสิ"

"หือ? เอ็งนี่ เปลี่ยนไปเยอะเลยนะ"

"ตรงไหน?"

"เมื่อก่อนเอ็งเอาแต่เถียงกับฉัน"

"เรื่องนั้นมันก็...เอ่อ"

ด้วงขัดเขินเมื่อโฉมงามจ้องมองมากะจะสบตาคาดคั้นเอาคำตอบ ยิ่งเขานั่งอยู่ตรงนี้นานเท่าไรยิ่งทำตัวไม่ถูก ในทางตรงกันข้ามโฉมงามกลับมีท่าทีเป็นกันเองจนน่าตกใจ

"ไอ้ด้วง แถบนี้พอจะมีตู้หนังสือไหม?"

"มีสิ อยู่หัวมุมตรงข้าม จะส่งจดหมายเหรอ"

"ใช่"

"ถึงใครเหรอ ฉันรู้ได้ไหม"

"คุณตาที่คอยดูแลฉันมาตลอด แล้วก็พี่น่ะ"

ด้วงฉงนสงสัย เขาไม่รู้ถึงการมีตัวตนของพี่ชายเจ้าตัวมาก่อน แต่กระนั้นหลังจากทานมื้อเช้าเสร็จเขาจึงพาเจ้าแก้วไปส่งจดหมาย เขามองใบหน้าเพื่อนตัวเองด้วยความใคร่รู้ เห็นเจ้าตัวยิ้มมีความสุขยามได้ส่งจดหมายแม้จะดูเหมือนเป็นเรื่องสามัญ แต่ใจเขากลับรู้สึกได้ถึงกลิ่นแปลก ๆ อย่างไรอย่างนั้น

. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . 

ตลอดหนึ่งสัปดาห์ไกรวิชญ์คอยฝากลูกน้องที่มีหน้าที่ลาดตระเวนอยู่แล้วมองน้องชายที่สถานี ด้วยเพราะมีวันหนึ่งเขาเห็นเจ้าน้องพฤติกรรมแปลกไป

เป็นธรรมดาที่เขาจะออกจากบ้านหลังน้องชายที่งานเริ่มเช้ากว่าถึงสองชั่วโมง แต่กระนั้นมันก็ไม่ใช่เวลาที่เขาจะเห็นเจ้าตัวเดินตลาดคู่ไปกับใครบางคนอย่างสนิทชิดเชื้อ

นับตั้งแต่ทราบว่าเจ้าตัวมีคนที่ชอบ เขาก็คิดมาเสมอว่าคนคนนั้นคงจะเป็นผู้หญิงสักคนแต่ภาพที่เขาเห็นมันไม่ใช่ ดูผิวเผินหน้าตาคนนั้นคล้ายสตรีเพศ แต่เมื่อมองดี ๆ มีหรือจะไม่รู้ว่าเจ้าตัวเป็นชาย ยิ่งสืบให้ลึกจากการฝากเจ้าพูนไปถามเพื่อนน้องชาย จึงได้ความว่า คนที่ด้วงมีใจให้มาตลอดเป็นผู้ชายจริง ๆ

หากเป็นแบบนั้นแล้วทำไมตลอดมาถึงไม่มีสัญญาณบ่งบอกเลยเล่า

ไกรวิชญ์เหนื่อยหน่ายจะคิด ช่วงนี้มีหลายเรื่องตีกันอยู่ในหัวจนเขาไม่รู้จะจัดสรรพวกมันอย่างไร เพราะแค่เงยหน้าขึ้นมาก็มีแฟ้มคดีให้อ่านเป็นตั้ง ไหนจะต้องร่วมคิดเสนอแผนกับคณะ ยังไม่รวมเรื่องครอบครัวและเรื่องส่วนตัวที่นับนิ้วกันไม่หวาดไม่ไหวจนต้องห่อปิ่นโตมานั่งกินในสน. จะได้ทำงานไปกินไป

นายตำรวจทอดถอนหายใจยาวเป็นสายภายในห้องทำงานส่วนตัว ยกมือก่ายหน้าผากเหม่อมองฝ้าเพดาน ในเมื่อเรื่องมันเยอะแยะปานฉะนี้ หยุดคิดไปสักเรื่องคงจะเป็นการดี

เอาเป็นว่าเขาจะเตรียมใจยอมแพ้เรื่องความรักเอาไว้ก็แล้วกัน

“เฮ้อ...”

. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . 

แต่ดูเหมือนฟ้าจะยังเข้าข้างเขา เพราะเพียงหลังจากวันที่เขาเริ่มทำใจยอมรับชะตากรรมผ่านมาเพียงสัปดาห์เศษ น้องชายซึ่งกลับมาจากการทำงานจากที่จะยิ้มมีความสุขหรือทำกิริยาทักทายสมาชิกในบ้าน เจ้าตัวกลับมีสีหน้าเศร้าหมอง เหม่อลอยผิดสังเกต

จนเมื่อตกดึกเขาไปเคาะห้องถามไถ่ด้วยความเป็นห่วง เมื่อเจ้าของห้องเปิดประตูออกมาจึงได้เห็นแววตากลมใสคลอหน่วย

“ฮึก...พี่ไกร...”

“ไหนมีอะไรเล่าให้พี่ฟังซิ”

ไกรวิชญ์มอบรอยยิ้มให้ผู้เป็นน้องพลางปาดซับน้ำตาบนหน้าแก้มกลมกลึง แล้วจึงเดินตามเข้าไปนั่งข้าง ๆ ให้เจ้าตัวใช้ไหล่เป็นที่พักพิง

“ฮึก...เขา...”

“ไหนครับ ใครทำอะไรน้องด้วงของพี่”

เจ้าของชื่อส่ายหน้าปฏิเสธ แต่เหมือนเจ้าตัวจะต้องใช้เวลาทำใจครู่ใหญ่ เขาจึงนั่งรอพร้อมส่งแขนไปลูบศีรษะทุยแผ่วเบา ทีแรกเขาเห็นน้ำตาของน้องชายก็ตกใจ เพราะเจ้าตัวไม่ใช่คนเจ้าน้ำตา ทว่าสงสัยเรื่องราวคราวนี้คงเกินกว่าที่จิตใจดวงน้อยจะรับไหว

“คนที่ผมรอมาตลอด...คนที่ผมชอบ...เขา...มีเจ้าของแล้ว ฮึก”

“ไม่เป็นไร ยังมีคนอื่นอีกเยอะ หรือเราไม่ต้องมีใคร...อยู่กับพี่ไปแบบนี้ก็ดีอยู่แล้ว”

แสงตะเกียงสีทองนอกเสียจากสะท้อนภาพอันน่าสงสารของผู้เป็นน้องชาย ยังสะท้อนให้เห็นสีหน้าแววตาอันเปี่ยมสุขของผู้เป็นพี่ได้อย่างชัดเจน แต่มีหรือที่นกน้อยซึ่งกำลังจมอยู่ในห้วงความทุกข์จะเห็นมัน

ไกรวิชญ์กระตุกยิ้มเจ้าเล่ห์ จับจ้องมองต่ำลงไปยังคนเด็กกว่าข้างกายอย่างคนเจ้าแผนการ ในเมื่อไม่มีแล้วซึ่งคนที่น้องชายรัก

ต่อจากนี้เขาจะไม่มีอุปสรรคอีกต่อไป

Related chapter

Latest chapter

DMCA.com Protection Status