เสียงนกร้องภายนอกแว่วเข้ามาผ่านช่องเล็กช่องน้อยภายในห้องนอนขนาดย่อม เครื่องเรือน เครื่องนอนล้วนถูกคัดสรรมาอย่างเหมาะสมให้เขากับผู้อยู่อาศัย แต่เพราะเจ้าของห้องไม่ได้ฟุ้งเฟ้อ จึงมีแต่ของใช้จำเป็นเพียงโต๊ะ ตู้ เตียง และม่านมุ้งห้อยจากเพดานกันแมลงในตอนกลางคืน
ทว่าวันนี้นาฬิกาปลุกถูกตั้งให้ช้ากว่าปกติเพราะนี่นับเป็นวันแรกที่คนบนเตียงจะได้ออกไปใช้ชีวิตกับเพื่อนที่รอมานานนับสิบปี จนเมื่อเสียงกริ๊งดังไม่ทันใดมันก็ถูกกดหยุดลงพร้อมนายสถานีร่างโปร่งที่ลุกขึ้นมาบิดกายยืดเส้น ดวงหน้าอิ่มเอิบประดับรอยยิ้ม แต่เช้าตรู่พลางมองเสื้อผ้าของวันนี้ที่ถูกแขวนเตรียมไว้ตั้งแต่เมื่อคืน
ด้วงสูดลมหายใจเข้าระหว่างนั่งเล่นให้ร่างกายตื่นเต็มตา แล้วจึงกระเด้งตัวออกจากเตียงไปผลัดผ้าผลัดผ่อน
บ้านหลังนี้กว้างโอ่อ่าพอจะทำห้องส่วนตัวให้แก่ทุกคนรวมไปถึงห้องอาบน้ำในทุกห้องนอนเช่นกัน เพิ่มความสะดวกสบายให้สมาชิกในบ้านที่ต้องทำกิจในเวลาไล่เลี่ยกัน
กระจกบานเล็กหน้าโต๊ะสะท้อนร่างสูงโปร่งประดับลอนกล้ามเนื้อสีเข้มกระนั้นก็พอมีช่วงเอวไม่ตีบตันไร้สัดส่วน
ด้วงรีบเข้าไปรดน้ำทำความสะอาดร่างกายก่อนจะหยิบเสื้อคอปกแขนสั้นที่พี่ชายเป็นคนเลือกให้ขึ้นมาทาบ สมแล้วที่เป็นคนออกงานบ่อย เข้าสังคมเก่งถึงได้เลือกออกมาได้เหมาะสมตรงจิตตรงใจแบบนี้ หากเลือกตามความคิดเขาอย่างเดียวละก็แต่งออกมาคงไม่ต่างจากอีกาคาบพริกเป็นแน่
นายสถานีเดินถือกระเป๋าสะพายใบเดิมออกมาก่อนจะเห็นว่าลุงแดงยกมื้อเช้าขึ้นมาวางเอาไว้บนโต๊ะพร้อมด้วยคุณพ่อตำรวจและหลานรักกำลังนั่งรับประทานกันอยู่ นานมากแล้วที่เขาจะมาร่วมโต๊ะเป็นคนสุดท้าย
“วันนี้อาด้วงไม่ไปทำงานเหรอครับ?”
“วันนี้อามีนัดกับเพื่อน แต่อาว่าจะเดินไปส่งเราที่โรงเรียนก่อน”
“จริงเหรอ!?”
เด็กชายในชุดนักเรียนดีใจยิ้มแป้นลุกออกจากเก้าอี้วิ่งไปกอดคุณอาใจดี เขาจำได้ว่าครั้งล่าสุดที่มีคนไปรับไปส่งก็สมัยประถมที่คุณแม่กับคุณย่ายังอยู่ที่บ้านหลังนี้กระมัง
“จริงสิ ปกติเราออกจากบ้านหกโมงใช่ไหม?”
“ใช่ครับ”
“อาลืมดูไปเลย งั้นเราออกกันเลยไหม?”
“เราจะไม่กินข้าวเหรอ?”
ไกรที่นั่งจิบกาแฟลอบฟังอยู่เอ่ยถามขึ้น เขากลัวเจ้าตัวเดินทางทั้งที่ไม่มีอาหารตกถึงท้องจะเป็นลมเป็นแล้งไป
“ผมว่าจะไปกินพร้อมกับเพื่อนครับ”
“แล้วข้าวเที่ยงยังจะกลับมากินที่บ้านอยู่ไหม?”
“ครับ ผมไปแค่ครึ่งเช้า”
เขาไม่ค่อยเข้าใจจุดประสงค์ในการถามคำถามเท่าไรนัก แต่มันเป็นนิสัยที่ติดตัวมาตั้งแต่สมัยเด็กของพี่ไกร เขาคงเป็นห่วงอยากรู้ความเป็นไปของทุกคนในบ้านกระมัง
ด้วงเดินจูงมือเด็กชายมาใส่รองเท้าที่ระเบียงชั้นสองก่อนพากันเดินลงมายังชั้นหนึ่งพร้อมปิ่นโตซึ่งเป็นมื้อเที่ยงของเด็กชาย
“ให้อาช่วยถือกระเป๋ามา”
“ไม่ครับ คุณพ่อบอกว่าของของใคร คนนั้นต้องถือเอง”
“งั้นเดี๋ยวอาถือปิ่นโตเราเอง”
“แต่-
“อาเป็นคนซื้อปิ่นโตใบนี้ อาก็ต้องเป็นเจ้าของสิ”
คงเพราะยังเด็กหนุ่มน้อยกันต์ธีร์จึงไม่สามารถต่อปากต่อคำกับผู้ใหญ่วัยสามสิบได้ ไม่ทันไรปิ่นโตโลหะเงินเงาสามชั้นก็อยู่ในมือของคุณอาเสียแล้ว
ด้วงก้มมองเด็กชายวัยสิบสามปี หากย้อนไปในอดีตตัวเขายังเล่นดินเล่มทรายกับเด็กวัดคนอื่น ๆ อยู่เลย ไม่ต้องมาเคร่งเครียดเรียนหนังสือ แบกกระเป๋าหนัก ๆ ไปกลับโรงเรียนหลายร้อยเมตรแบบนี้หรอก หรือหากจะเรียนก็แค่ขอหลวงตาเข้าไปนั่งฟังในลานพระธรรมส่วนกลาง
แถมโรงเรียนมัธยมที่พี่ไกรให้น้องกันต์สอบเข้าแม้จะขึ้นชื่อว่าเป็นโรงเรียนชั้นนำของพระนครแต่เมื่อเทียบกับระยะทางไปกลับแล้วในสายตาเขามันไม่คุ้มเสียกันสักนิด ในตอนนั้นเขาโต้เถียงกับพี่ยกใหญ่ว่าอยากให้หลานชายเข้าเรียนใกล้ ๆ จบที่ไหนมันก็เหมือนกัน แต่สุดท้ายฝ่ายที่ชนะก็เป็นคุณพ่อตำรวจ
“ไปกลับทุกวันแบบนี้ กันต์ไม่เหนื่อยเหรอ?”
ด้วงถามในขณะที่รถรางกำลังค่อย ๆ เคลื่อนตัวไปข้างหน้า นั่งไปแบบนี้ประมาณครึ่งชั่วโมง เดินต่ออีกครู่เดียวก็ถึงสถานศึกษา
“เหนื่อยบ้างครับ แต่ผมว่าโรงเรียนนี้ดี เพื่อน ๆ ก็น่ารัก คุณครูก็ใจดีด้วย”
“ดีแล้ว แต่ไว้เดี๋ยวเราอายุสิบหกก็ไม่ต้องไปที่ไกล ๆ แบบนี้แล้วเนอะ”
เพราะทั้งบ้านรู้ดีว่าเมื่อกันต์ธีร์อายุย่างสิบหก จะได้ย้ายไปเรียนโรงเรียนนายร้อยต่อ ซึ่งห่างจากตัวบ้านไปเพียงสิบกว่านาที ไม่เหมือนโรงเรียนนี้ที่ต้องเดินทางหลักชั่วโมง
กระนั้นแทนที่หลานชายจะทำสีหน้ายิ้มยินดีกลับดูเศร้าหมองลงจนเป็นที่สังเกตแก่ผู้ปกครองที่มาด้วยกัน
“กันต์ ถ้ามีเรื่องอะไรหนักใจบอกอาได้เลยนะ”
เด็กชายดูเหมือนจะมีเรื่องในใจ สีหน้าเคร่งเครียดชวนให้คุณอาสถานีนึกเป็นห่วง เขาอยู่บ้านเดียวกันทำไมจะไม่รู้ว่าเจ้าตัวถูกกดดันจากผู้เป็นบิดามากแค่ไหน
“ไม่ต้องกลัว เล่ามาเถอะ อย่างน้อยจะได้สบายใจ”
“ผม...ไม่ได้อยากเป็นตำรวจ”
ด้วงถอนหายใจออกมาด้วยความสงสาร เขาคิดเอาไว้แล้วว่าวันนี้ต้องมาถึง
“แล้วเราอยากเป็นอะไรเหรอ?”
“ผมยังไม่รู้ ผมรู้แต่ผมไม่อยากเป็นตำรวจ...จริง ๆ นะครับอา”
“ไม่เป็นไร ไม่ต้องรีบ อาอยู่ข้างหลานเสมอ เรายังเด็กอยู่ค่อย ๆ หาไปเดี๋ยวก็เจอ”
“แต่คุณพ่อจะ-
“เดี๋ยวอาคุยให้เอง”
ทันทีเมื่อเขาพูดว่าจะออกหน้าให้เด็กชายก็แววตาเป็นประกายยิ้มปลื้มปริ่มมีความสุข แต่ใจลึก ๆ ของเขาเองไม่อาจรับประกันได้ว่าพี่ไกรจะยอมรับความคิดนี้
นิสัยพื้นฐานของพี่เจ้าได้คุณพ่อมาเต็ม ๆ และมันมีทั้งข้อดีข้อเสียปะปนกันไป แต่ในเมื่อเขาเอาความสุขของหลานชายเป็นที่ตั้ง จึงมีสิ่งที่เขาอยากจะแก้ไขมันแม้มันจะยากเย็นแค่ไหนก็ตาม
“วันนี้อาคิดว่าจะแวะไปเยาวราช เราอยากได้อะไรไหม?”
“ผมอยากกินขนมปังสังขยา!”
“แค่นั้นเองเหรอ?”
“อืม...อันที่คุณพ่อชอบกิน”
“ฝอยทองใบเตย?”
“ใช่!”
พอเปลี่ยนประเด็นสนทนาความสุขก็เข้าโอบล้อมสองอาหลาน รู้ตัวอีกทีพวกเขาก็เดินมาถึงหน้าโรงเรียนเสียแล้ว กันต์ธีร์ดูมีสีหน้าจ๋อยหงอยเมื่อรู้ว่าจะต้องแยกทางกับคุณอา ปกติเดินทางตัวคนเดียวมันไม่สนุกแบบนี้
คุณอาจึงกล่าวย้ำสัญญาที่ให้ไว้บนรถรางรวมไปถึงถุงหอมที่จะทำเพิ่มให้เป็นพิเศษ ด้วงโบกมือลาส่งเด็กชายเข้าโรงเรียนไปพร้อมเพื่อน ๆ ที่บังเอิญเจอกันระหว่างทางเดินเท้า ทำให้เขารู้ว่าหลานชายมีเพื่อนสนิทเป็นกลุ่มแล้ว ทั้งยังนิสัยดีพูดจาน่ารัก พลอยให้อาคนนี้หมดห่วงไปได้เปลาะหนึ่ง
กระนั้นเมื่อเงยหน้าเหลือบไปมองหน้าปัดนาฬิกาทำให้เขาถึงกับผงะ ‘อีกแค่ ๑๕ นาทีก็จะสายแล้ว!’
ด้วยเพราะคุยกับเด็ก ๆ ระหว่างทางเพลินเขาจึงต้องจ้างสามล้อย้อนกลับมาสถานีแม้จะเลยเวลาที่นัดกันไว้มาห้านาที แต่ก็ยังดีกว่านั่งรถราง
ทันทีเมื่อมาถึงเขาก็เห็นเจ้าแก้วนั่งเตะขารออยู่ ณ เก้าอี้สถานี เจ้าตัวถักเปียยาวสวมเสื้อโปโลสีขาวกางเกงขาสามส่วนเข้ารูป มองกี่ทีก็ยังคงไม่ต่างจากภาพความงามในสมัยเด็ก
"แก้ว ขอโทษที่ฉันมาสาย"
"ไม่เป็นไร ฉันก็พึ่งมาถึงเหมือนกัน แล้ววันนี้เอ็งไม่ทำงานเหรอ"
คล้ายว่าด้วงจะไม่ได้ฟังสิ่งที่คู่สนทนาพูดเลยแม้แต่น้อย แม้จะรู้ว่าเพื่อนตนมีหน้าตาดีเกินกว่าใครตั้งแต่สมัยก่อนแต่เขาไม่คิดว่า'ไอ้แก้ว'ที่เคยเป็นเด็กวัดโตมาจะสะสวยเกินมนุษย์ได้ถึงขนาดนี้
"ไอ้ด้วง!"
"อะ...เอ้อ! เมื่อกี้เอ็งถามว่าอะไรนะ"
"ฉันถามว่าเอ็งไม่ทำรึไงงานน่ะ"
"วะ...วันนี้ฉันลาน่ะ กะจะมาพาเอ็งเที่ยว"
"ห๊ะ? เที่ยว?"
"มะ...หมายถึงไปหาที่นั่งคุย"
ด้วงอึกอักพยายามหาเหตุผลอื่นขึ้นมาอ้าง เพื่อไม่ให้โฉมงามรู้ว่าเมื่อวานเขาอุตส่าห์ลางานไปก็เพื่อตระเวนเดินหาร้านนั่งดื่มบรรยากาศดี ๆ ทั้งวัน ทั้งเขายังพิถีพิถันเรื่องเครื่องแต่งกายเป็นพิเศษหวังจะสร้างความประทับใจ
"อ๋อ อย่างนั้นเหรอ แล้วเราจะไปไหนกันดี"
"เดี๋ยวฉันพาไป"
"เดินไกลไหม?"
"ไม่ไกลหรอก"
ทว่าเมื่อมาถึงเจ้าแก้วกลับนั่งหอบกิน จนต้องไปขอเจ้าของร้านย้ายพัดลมมาตั้งสักครู่ไม่เช่นนั้นอีกฝ่ายได้เป็นลมแน่
แก้วดูไม่ได้มีอคติต่อเขานั่นนับเป็นการดี ทั้งยังได้ทราบอีกว่าเจ้าตัวตอนนี้เป็นถึงเจ้าของคณะนางรำประจำชุมพรเขายิ่งดีใจ ทั้งดีใจยิ่งกว่าที่ได้ยินว่าเด็กที่มาเจอกันในครั้งนั้นไม่ใช่ลูกแต่อย่างใด
"แก้ว"
"หือ?"
ด้วงสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะทำใจกล่าวถึงบุคคลในอดีตขึ้นมา แม้เกรงว่าบางทีอีกฝ่ายจะไม่อยากนึกถึงมันอีกแต่ในความคิดเขามันคงดีหากได้ทราบความเป็นไป
"ไอ้แก่นั่น มันตายแล้วนะ"
"อือ..."
ด้วยเราสองคนผ่านเรื่องราววัยเยาว์มาด้วยกันต่างคนจึงต่างรู้ลึกตื้นหนาบางของคนที่กำลังกล่าวถึง กระนั้นก็เป็นไปตามคาด แววตาภายใต้กรอบแว่นของเพื่อนสมัยเด็กดูหม่นลงอย่างเห็นได้ชัด
"อะ...เอ็งไม่สบายใจที่ฉันพูดเรื่องนี้รึเปล่า..."
"เปล่าหรอก กลับกันฉันดีใจด้วยซ้ำที่มันจะไม่เกิดเรื่องแบบเดิมซ้ำกับคนอื่นอีก"
"ถ้าแบบนั้นเอ็งก็ยิ้มสิ"
"หือ? เอ็งนี่ เปลี่ยนไปเยอะเลยนะ"
"ตรงไหน?"
"เมื่อก่อนเอ็งเอาแต่เถียงกับฉัน"
"เรื่องนั้นมันก็...เอ่อ"
ด้วงขัดเขินเมื่อโฉมงามจ้องมองมากะจะสบตาคาดคั้นเอาคำตอบ ยิ่งเขานั่งอยู่ตรงนี้นานเท่าไรยิ่งทำตัวไม่ถูก ในทางตรงกันข้ามโฉมงามกลับมีท่าทีเป็นกันเองจนน่าตกใจ
"ไอ้ด้วง แถบนี้พอจะมีตู้หนังสือไหม?"
"มีสิ อยู่หัวมุมตรงข้าม จะส่งจดหมายเหรอ"
"ใช่"
"ถึงใครเหรอ ฉันรู้ได้ไหม"
"คุณตาที่คอยดูแลฉันมาตลอด แล้วก็พี่น่ะ"
ด้วงฉงนสงสัย เขาไม่รู้ถึงการมีตัวตนของพี่ชายเจ้าตัวมาก่อน แต่กระนั้นหลังจากทานมื้อเช้าเสร็จเขาจึงพาเจ้าแก้วไปส่งจดหมาย เขามองใบหน้าเพื่อนตัวเองด้วยความใคร่รู้ เห็นเจ้าตัวยิ้มมีความสุขยามได้ส่งจดหมายแม้จะดูเหมือนเป็นเรื่องสามัญ แต่ใจเขากลับรู้สึกได้ถึงกลิ่นแปลก ๆ อย่างไรอย่างนั้น
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
ตลอดหนึ่งสัปดาห์ไกรวิชญ์คอยฝากลูกน้องที่มีหน้าที่ลาดตระเวนอยู่แล้วมองน้องชายที่สถานี ด้วยเพราะมีวันหนึ่งเขาเห็นเจ้าน้องพฤติกรรมแปลกไป
เป็นธรรมดาที่เขาจะออกจากบ้านหลังน้องชายที่งานเริ่มเช้ากว่าถึงสองชั่วโมง แต่กระนั้นมันก็ไม่ใช่เวลาที่เขาจะเห็นเจ้าตัวเดินตลาดคู่ไปกับใครบางคนอย่างสนิทชิดเชื้อ
นับตั้งแต่ทราบว่าเจ้าตัวมีคนที่ชอบ เขาก็คิดมาเสมอว่าคนคนนั้นคงจะเป็นผู้หญิงสักคนแต่ภาพที่เขาเห็นมันไม่ใช่ ดูผิวเผินหน้าตาคนนั้นคล้ายสตรีเพศ แต่เมื่อมองดี ๆ มีหรือจะไม่รู้ว่าเจ้าตัวเป็นชาย ยิ่งสืบให้ลึกจากการฝากเจ้าพูนไปถามเพื่อนน้องชาย จึงได้ความว่า คนที่ด้วงมีใจให้มาตลอดเป็นผู้ชายจริง ๆ
หากเป็นแบบนั้นแล้วทำไมตลอดมาถึงไม่มีสัญญาณบ่งบอกเลยเล่า
ไกรวิชญ์เหนื่อยหน่ายจะคิด ช่วงนี้มีหลายเรื่องตีกันอยู่ในหัวจนเขาไม่รู้จะจัดสรรพวกมันอย่างไร เพราะแค่เงยหน้าขึ้นมาก็มีแฟ้มคดีให้อ่านเป็นตั้ง ไหนจะต้องร่วมคิดเสนอแผนกับคณะ ยังไม่รวมเรื่องครอบครัวและเรื่องส่วนตัวที่นับนิ้วกันไม่หวาดไม่ไหวจนต้องห่อปิ่นโตมานั่งกินในสน. จะได้ทำงานไปกินไป
นายตำรวจทอดถอนหายใจยาวเป็นสายภายในห้องทำงานส่วนตัว ยกมือก่ายหน้าผากเหม่อมองฝ้าเพดาน ในเมื่อเรื่องมันเยอะแยะปานฉะนี้ หยุดคิดไปสักเรื่องคงจะเป็นการดี
เอาเป็นว่าเขาจะเตรียมใจยอมแพ้เรื่องความรักเอาไว้ก็แล้วกัน
“เฮ้อ...”
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
แต่ดูเหมือนฟ้าจะยังเข้าข้างเขา เพราะเพียงหลังจากวันที่เขาเริ่มทำใจยอมรับชะตากรรมผ่านมาเพียงสัปดาห์เศษ น้องชายซึ่งกลับมาจากการทำงานจากที่จะยิ้มมีความสุขหรือทำกิริยาทักทายสมาชิกในบ้าน เจ้าตัวกลับมีสีหน้าเศร้าหมอง เหม่อลอยผิดสังเกต
จนเมื่อตกดึกเขาไปเคาะห้องถามไถ่ด้วยความเป็นห่วง เมื่อเจ้าของห้องเปิดประตูออกมาจึงได้เห็นแววตากลมใสคลอหน่วย
“ฮึก...พี่ไกร...”
“ไหนมีอะไรเล่าให้พี่ฟังซิ”
ไกรวิชญ์มอบรอยยิ้มให้ผู้เป็นน้องพลางปาดซับน้ำตาบนหน้าแก้มกลมกลึง แล้วจึงเดินตามเข้าไปนั่งข้าง ๆ ให้เจ้าตัวใช้ไหล่เป็นที่พักพิง
“ฮึก...เขา...”
“ไหนครับ ใครทำอะไรน้องด้วงของพี่”
เจ้าของชื่อส่ายหน้าปฏิเสธ แต่เหมือนเจ้าตัวจะต้องใช้เวลาทำใจครู่ใหญ่ เขาจึงนั่งรอพร้อมส่งแขนไปลูบศีรษะทุยแผ่วเบา ทีแรกเขาเห็นน้ำตาของน้องชายก็ตกใจ เพราะเจ้าตัวไม่ใช่คนเจ้าน้ำตา ทว่าสงสัยเรื่องราวคราวนี้คงเกินกว่าที่จิตใจดวงน้อยจะรับไหว
“คนที่ผมรอมาตลอด...คนที่ผมชอบ...เขา...มีเจ้าของแล้ว ฮึก”
“ไม่เป็นไร ยังมีคนอื่นอีกเยอะ หรือเราไม่ต้องมีใคร...อยู่กับพี่ไปแบบนี้ก็ดีอยู่แล้ว”
แสงตะเกียงสีทองนอกเสียจากสะท้อนภาพอันน่าสงสารของผู้เป็นน้องชาย ยังสะท้อนให้เห็นสีหน้าแววตาอันเปี่ยมสุขของผู้เป็นพี่ได้อย่างชัดเจน แต่มีหรือที่นกน้อยซึ่งกำลังจมอยู่ในห้วงความทุกข์จะเห็นมัน
ไกรวิชญ์กระตุกยิ้มเจ้าเล่ห์ จับจ้องมองต่ำลงไปยังคนเด็กกว่าข้างกายอย่างคนเจ้าแผนการ ในเมื่อไม่มีแล้วซึ่งคนที่น้องชายรัก
ต่อจากนี้เขาจะไม่มีอุปสรรคอีกต่อไป
“วันนี้คุณดลรวีก็มาช้าเหรอครับ?”ดันกิเดินมาสนทนากับเจ้าแผนที่คุณดลรวีเล่าให้ฟังว่าเป็นเพื่อนคนสนิท เขาซึ่งมาที่นี่ทุกเช้าก็มักจะได้สนทนากับนายสถานียิ้มเก่งคนนั้นเป็นประจำ ได้ยินว่าเจ้าตัวเจอคนที่รอมาตลอดแล้วไม่รู้แน่ชัดว่ามันจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เจ้าตัวมาช้ากว่าปกติหรือเปล่า“เปล่าครับ มาเช้ากว่าใครเพื่อนเลย นู่นนั่งอยู่นู่น”แผนกอดอกบุ้ยคางยังเจ้าเพื่อนที่นั่งเหงาเหม่อมองทางรถไฟมาตั้งแต่ย่ำค่ำ ทำเอาเขาสงสัยไม่ใช่น้อย ว่าเจอก็เจอแล้วทำไมยังนั่งเป็นหมาหงอยอยู่อีก“ขอบคุณครับ”แผนมองแผ่นหลังของคุณครูชาวญี่ปุ่นวิ่งต้อย ๆ ไปทางเจ้าเพื่อนรักก็นึกอิจฉา เขาสิไม่รู้ทำไมไม่ได้คนสติดี ๆ มาเดินตามบ้างดันกิสาวเท้าด้วยความเร็วก่อนจะค่อย ๆ ชะลอลงเมื่อเข้าใกล้เก้าอี้ไม้ข้างเสา เขาหอบเอาลมหายใจเข้าปอดพลางสังเกตสีหน้าของคุณดลรวี แต่ไม่รู้ทำไมวันนี้มันถึงได้ดูหม่นหมองไม่ต่างจากท้องฟ้ายามมีเมฆฝน“คุณอุ่น มาตั้งแต่เมื่อไหร่เหรอครับ ผมไม่รู้ตัวเลย”“ผมพึ่งมา ทำไมวันนี้คุณถึงดูเศร้า ๆ ล่ะครับ”“มันอธิบายค่อนข้างยากน่ะครับ...”
ด้วงที่ลงมาหยิบนมในตู้แช่เย็นได้ยินเสียงพูดคุยจ้อกแจ้กแว่วลงมาจากด้านบนบวกกับเสียงกลอนประตูเมื่อสักครู่จึงคิดจะอุ่นชาหอมขึ้นไปให้พี่ชายที่น่าจะกลับมาแล้วด้วยในระหว่างที่ตั้งเตาอุ่นนมก็จัดแจงคีบถ่านจุดไฟวางกาน้ำร้อน ก่อนจะผละไปเปิดตู้กับข้าวมองหาถุงชาที่ได้รับเป็นของฝากเมื่อเดือนก่อน เพียงนานเครื่องดื่มอุ่นก็พร้อมใส่แก้วพอเดินขึ้นมาก็เห็นว่าพ่อลูกกำลังนั่งคุยกันอยู่ แต่เหมือนน้องกันต์จะดูอาการไม่ค่อยดีเมื่อได้สนทนากับผู้เป็นพ่อ เขาจึงรีบเดินอ้อมหลังไปมอบแก้วนมให้เจ้าตัวรีบดื่มจะได้หนีออกไปจากความอึดอัดได้ ส่วนเขาพาตัวเองมานั่งตรงข้ามพี่ชายพร้อมวางแก้วชาหอมไว้ตรงหน้า“ของเราไม่มีเหรอ?”“วันนี้ผมไม่ค่อยอยากกินอะไร”เขาพูดพลางชำเลืองมองหลานชายที่ค่อย ๆ จิบนมดูเหมือนเขาจะอุ่นร้อนจนเกินไป“วันนี้เราเป็นอะไร ดูเหม่อ ๆ นะ”“ปะ...เปล่า แค่มีเรื่องให้ต้องคิดนิดหน่อย”ตอนนี้เขาระแวงเหลือเกินว่าพี่ไกรจะทำอย่างเมื่อเช้าต่อหน้าลูกชายตัวเอง แต่ตอนนี้เขาจะออกอาการไม่ได้จึงทำเพียงเก็บไม้เก็บมือให้ห่างจากกลางโต๊ะลงมาประสานอยู่บนต
1. นิยายเรื่องนี้อิงประวัติศาสตร์ในช่วงเวลาปีพ.ศ.2485 ทุกตัวละคร และ'บาง'สถานการณ์ที่เอ่ยถึงกล่าวถึงเป็นเพียงจินตนาการของผู้แต่งแต่เพียงเท่านั้น ซึ่งไม่มีเจตนาดูหมิ่นไม่ว่าจะในเชิงส่วนบุคคลหรือสถาบันเลยแม้แต่น้อย ผู้เขียนหาข้อมูล และเกลาเนื้อหาขึ้นด้วยความเคารพในประวัติศาสตร์อย่างแท้จริง2. บางส่วนของนิยายอาจมีเนื้อหาเกินความเป็นจริงเพื่ออรรถรสในการอ่าน3. นิยายเรื่องนี้เหมาะสำหรับนักอ่านที่ชื่นชอบ/สนใจคู่ที่มีอายุ (วัยทำงาน) , เคะกล้ามหนุบหนับ และความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องต่างสายเลือด4. บางส่วนในนิยายมีการกล่าวถึงองค์กรศาสนา, ความรุนแรง, สภาวะผิดปกติทางจิต, Fetish(BDSM)*ที่ผิดหลัก และสิ่งเสพติด/อบายมุขโปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .จำนวนตอนหลัก 35+10 ตอนจำนวนตอนพิเศษ 11+3 ตอนรวมทั้งหมด 59 ตอน***พิสูจน์อักษร 2 ครั้ง***อัปเดตครั้งล่าสุด 10/07/2024#
“อาด้วงออกไปทำงานแต่เช้าตลอดเลยนะครับ”เสียงเด็กชายวัยมัธยมต้นกล่าวทักญาติคนสนิทที่แม้ตอนนี้หน้าปัดนาฬิกาจะบอกเวลาตีสี่สี่สิบห้า กระนั้นคุณอาชายที่แปะชื่อนายสถานีก็ยังขยันขันแข็งสะพายกระเป๋าเป้ใบเดิมคว้ากุญแจเตรียมออกจากบ้าน ทั้งเมื่อครู่พวกเขานั่งทานมื้อเช้าด้วยกันสามคน วางจานอาหารพร้อมกัน แต่เจ้าตัวกลับทานหมดคนแรกทั้งที่ข้าวพูนจานกว่าใครแท้ ๆคุณอาเมื่อได้ยินเสียงบ่นพึมพำของหลานชายจึงใช้ฝ่ามือสีน้ำผึ้งยีเส้นผมสีน้ำตาลธรรมชาติกระเซิงด้วยความมันเขี้ยว“แซวอาได้ทุกวันนะกันต์”“ผมพูดจริงนี่ครับ อาด้วงไปแต่เช้าทุกวัน ทิ้งผมกับคุณพ่อให้กินข้าวต่อกันสองคน บางครั้งกันต์ก็อยากเดินออกจากบ้านพร้อมกันบ้างนะครับ”กันต์ธีร์พูดไปอมข้าวไป กล่าวถึงพฤติกรรมอันไม่เป็นที่พอใจของตัวเขาสักเท่าไรนัก เนื่องจากเขาสนิทกับคุณอามากที่สุดในบ้าน แม้ทีแรกใคร ๆ จะบอกว่าอาด้วงน่ากลัวเพราะมีรอยบากที่หางคิ้ว ลำคอ จะมีฝ่ามือที่เต็มไปด้วยรอยแผลเก่า หรือแม้ยามปกติอีกฝ่ายจะชอบทำหน้านิ่งแต่ใครรู้ว่าแท้จริงเจ้าตัวจิตใจดี ทั้งยังชอบพาเขาทำก
ด้วงเดินทางมาไม่นานก็ถึงสถานีกรุงเทพ เพราะบ้านหลักอยู่ห่างจากที่ทำงานเพียงข้ามถนนสองเส้น จึงเดินทางมาได้โดยง่ายไม่ต้องนั่งรถรางให้ยุ่งยากเวลานี้ท้องฟ้ายังมืดสนิทเห็นดวงจันทร์แจ่มชัด ผู้คน รถบนถนนบางตา ฝนที่ตกปรอย ๆ เมื่อคืนเมื่อสัมผัสกับผืนดินผืนหญ้าส่งกลิ่นหอมธรรมชาติโชยมาแตะจมูกชวนให้ใจสงบเงียบท่ามกลางบรรยากาศยามไร้ผู้คนในเวลาเช้าตรู่ขาสูงยาวก้าวอย่างมั่นคงบนทางเท้า มองเหล่าแมลงซึ่งสะท้อนแสงจากโคมไฟรายทางที่พวกมันตอม พลางคิดเรื่องซ้ำ ๆ เดิม ๆ ที่วนอยู่ในหัวเขามาร่วมสิบปีเขารักคนคนหนึ่งรักมาตลอดตั้งแต่วันที่จากลากันทีแรกเขาไม่รู้สึกถึงมัน แต่เมื่อถึงเวลาที่เจ้าตัวไม่สามารถอยู่ที่แห่งนั้นได้อีกต่อไป นั่นจึงเป็นเขาเองที่ต้องพาเจ้าตัวหนีขึ้นรถไฟจากไอ้พวกคนจัญไรเหล่านั้นย้อนนึกไปเท่าไรก็รู้สึกเจ็บปวด ภาพทุกภาพหวนคืนเข้ามาในห้วงความคิดอย่างไม่อาจหักห้ามได้เรือนไม้สีเข้มเก่าแก่สะท้อนแสงจันทร์ขาวนวลยามค่ำคืน สายลมเย็นยะเยือกพัดผ่านกระทบผิว เหล่าก้านไม้ใบไม้เสียดสีกันชวนให้ค่ำคืนสุดท้ายในที่แห่งนั้นน่าขนลุก และเสียงแปร่ง
ด้วงสูดลมหายใจเข้าเมื่อวิ่งมาถึงยังหน้าชานชาลาในการดูแล อีกไม่นานรถไฟขบวนแรกจากชุมพรก็จะเข้าเทียบ เขาต้องมีสมาธิจดจ่อกับหน้าที่และผู้คนเพื่อมองหาใครคนนั้นให้เจอทว่าเหมือนที่เขาแกล้งหัวเราะอาจารย์แกไปเมื่อครู่จะโดนเอาคืน เพราะจู่ ๆ หมวกประจำตำแหน่งก็ถูกถอดออกทำให้เขาต้องหันไปมองจนเห็นว่าเป็นคุณอุ่นที่ยืนถือหมวกเขาอยู่ก่อนจะรีบเดินเข้ามาสวมหมวกให้เหมือนเดิมเมื่อเห็นสีหน้าอันไม่พอใจ“ผมแกล้งหนักไปเหรอครับ?”“ถามมาได้”นายสถานีเม้มปากไม่พอใจ เขาหัวเราะนิดเดียวเองดันมาแกล้งถึงเนื้อถึงตัวกันเสียได้ ไหนเจ้าตัวบอกคนญี่ปุ่นเรียบร้อยตามขนบอย่างไรเล่า“วันนี้ขอให้โชคดีนะครับ”สิ่งที่อาจารย์กล่าวก่อนจะขึ้นตู้สื่อถึงคนที่เขากำลังเฝ้าตามหาอยู่ ถึงเขาจะไม่ได้ป่าวประกาศว่ากำลังตามหาคนแต่ก็ไม่ได้ปิดเป็นความลับแก่คนใกล้ชิดด้วงถอนหายใจเฮือกใหญ่ ดึงสติกลับมาอยู่กับเนื้อกับตัว กระชับปีกหมวกประจำตำแหน่งให้เข้าที่เพราะอีกไม่ถึงนาทีจะถึงเวลารถไฟรอบแรกของวันเข้าเทียบ นัยน์ตาสีดำประกายม่วงไร้แวว มองหัวรถจักร สดับฟังเรียงหวูดอย่างเหม่อลอย เสียงพ
ด้วงเดินออกมาด้วยความดีใจ ในที่สุดเขาก็เจอแล้วในเมื่อแก้วบอกว่าจะมาหาเขาวันพรุ่ง เช่นนั้นวันนี้เขาจะตะลอนหาที่นั่งสบาย ๆ รอบพระนครตระเตรียมแผนการเดินทางให้โฉมงามเพื่อนสมัยเด็กได้ประทับใจรวมไปถึงการบอกเรื่องนี้กับพี่ไกร เพราะเจ้าตัวเมื่อเช้าดูจะเป็นกังวลในเรื่องนี้มากโข ไว้เดี๋ยวคืนนี้เขาจะอยู่รอนั่งเล่าให้ฟัง ในเมื่อเป้าหมายในชีวิตเขาสำเร็จแล้ว คุณพี่ชายจะได้ไม่ต้องมาหนักใจในเรื่องไม่เป็นเรื่องอีก. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .“ผู้กำกับ เหม่ออีกแล้วนะครับเมื่อคืนนอนน้อยรึหรือไง?”“มาค้ง มาครับอะไรไอ้พูน เรียกชื่อฉันเหมือนเดิมเถอะ แสลงหู”พูนเพื่อนร่วมงานบุ้ยปาก ไอ้เขาก็อยากทำตัวมีมารยาทกับพ่อพันตำรวจเอกผู้เป็นที่เชิดหน้าชูตาแก่สน.เสียหน่อย ดันมาขัดขากันได้“ตกลงกันว่าจะเริ่มคดีเสือขามวันนี้ใช่ไหม?”“นอกเรื่อง”“กำลังจะเข้าเรื่อง”พูนกอดอกกลอกตามองบน เขาล่ะหน่ายใจกับท่าทีเก๊กขรึมข
ตกเย็นใกล้พลบค่ำด้วงรีบกลับบ้านมา วันนี้เขาอารมณ์ดีนัก ตั้งแต่รู้ว่าจะได้กลับไปพูดคุยกับแก้วอีกครั้งเขาก็ดีใจจนเนื้อเต้น คุณอาในชุดลำลองเสื้อโปโลสีเนยกางเกงน้ำตาลเดินเข้ามาด้วยรอยยิ้มประดับใบหน้าพลางยกเสื้อผ้าที่พนักงานแนะนำมา มีตั้งหลายตัวแต่ไปแค่พรุ่งนี้วันเดียวไม่รู้จะใส่ตัวไหน สงสัยคงต้องถามพี่ไกรเสียแล้ว“ด้วง วันนี้ไปไหนมาครับ”เสียงเข้มแว่วมาจากระเบียงชั้นสอง เป็นเจ้าของบ้านที่ยืนค้ำราวไม้ทักทายลงมา เจ้าตัวคงจะกลับบ้านมาสักพักแล้วจึงได้อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสียเรียบร้อย“ผมไปซื้อของที่ห้างมา”“ไหนเอาขึ้นมาให้พี่ดูซิ”จากประสบการณ์สอบปากคำตลอดหลายสิบปี หากอยากได้คำตอบที่ชัดเจน อย่าตั้งแง่กับผู้ต้องสงสัย ค่อย ๆ ใจเย็นตะล่อมถาม หากร้อนใจขึ้นประเดี๋ยวลูกไก่ในมือจะวิ่งหนีไปเสียฉิบ“เราลางานกะทันหันแบบนี้ ไม่กระทบเพื่อน ๆ ที่ทำงานเหรอ?”“วันนี้รอบรถถี่แค่ช่วงสาย ตกบ่ายมาก็น้อยแล้ว”“แล้วไม่กลัวโดนหักเงินเดือนเหรอ?”“ผมมีเงินเก็บเยอะ ไม่กลัวเรื่องแบบนั้นหรอก”“พี่เห็นเรายิ้มไม่หุบมาสักพักแล้ว