พูนผู้ซึ่งรอบรู้และช่างสังเกตเรื่องชาวบ้าน ในตอนนี้กำลังยืนจกข้าวเหนียวหมูฝอยห่อใบตองพลางลอบมองหน้าผู้กำกับการที่หน้าบูดเป็นแกงกะทิค้างคืน เขาไม่อาจทราบได้ว่าเจ้าตัวไปผจญเรื่องอะไรมาเพราะน้องแผนจ๋าก็ไม่ได้มีเรื่องมาถามให้เป็นข้อสงสัย
แต่ถ้าให้เดาคงมีสาเหตุมาจากคุณน้องชาย
เขาเคยเจอหน้าน้องด้วงมาก่อน แน่นอนว่าเพราะเป็นเพื่อนของน้องแผนจ๋าทว่าไม่ได้ใกล้ชิดสนิทอะไรถึงขั้นรู้นิสัยใจคอ นอกเสียจากหน้านิ่ง ๆ เวลาอยู่แถวทางรถไฟ กระนั้นก็ได้ยินข้อโต้แย้งมาจากน้องแผนว่าแท้จริงเจ้าตัวนิสัยดี ทั้งยังยิ้มเก่งเป็นที่หนึ่ง เมื่อวานก่อนที่เอาปิ่นโตมาให้พี่ชายตอนเที่ยงก็เห็นพูดจาไพเราะมีมารยาท และคล้ายจะรู้จักมักจี่กับคนในสน.นี้เป็นอย่างมากจนสารวัตรอาวุโสอนุญาตให้เดินเข้าไปได้ตามสบาย
ดูจากสถานการณ์เมื่อวันนั้นก็ไม่เห็นจะมีอะไรผิดปกติ ที่จะทำให้คุณตำรวจน้ำดีคนนี้เคร่งเครียดจนกดปากกากระดาษแทบเป็นรู
“ไกร”
“อะไร?”
“ทำหน้าอย่างกับคนปวดขี้”
“เอ็งอยากโดนปากกาทิ่มตารึ”
นั่น แซวนิดแซวหน่อยไม่ได้เลยพ่อคนนี้
พูนยืนพิงวงกบประตู ค่อย ๆ ละ
แม้จะคิดเช่นนั้นแต่ความจริงในทุกเย็นเมื่อหมดหน้าที่เขาก็ต้องพาตัวเองกลับมายังเรือนเศวตอยู่ดี เขาไม่ได้เกลียดบ้านหลังนี้ เพียงแต่มันน่าอึดอัดใจที่ทุกย่างก้าวบนพื้นไม้เดี๋ยวนี้มันช่างแตกต่างจากในอดีตอันแสนชื่นมื่นสงบสุข เพราะเพียงได้ก้าวผ่านประตูรั้วกลิ่นอายความกดดันก็เข้าโอบล้อมร่างแม้เจ้าของเรือนตัวจริงจะยังไม่กลับก็ตาม“อาด้วง! กลับมาแล้วเหรอครับ!”หลานชายผู้น่ารักวิ่งแท้ด ๆ มาเกาะระเบียงชั้นสองตะโกนเรียกคุณอานายสถานีด้วยความสดใส ก่อนจะพาตัวเองในเสื้อผ้าชุดนอนตัวโคร่งวิ่งลงมาสวมรองเท้าโผเข้ากอดเอวแน่นกันต์ธีร์ดีอกดีใจยกใหญ่เพราะวันนี้คุณอากลับบ้านไว ปกติแล้วต้องฟ้ามืดถึงจะได้ยินเสียงไขประตูรั้วทว่าตอนนี้ยังเป็นเวลาเพียงห้าโมงเศษ ๆ นับเป็นเรื่องดีที่เขาจะได้ใช้เวลาอยู่กับคุณอามากขึ้นกว่าปกติด้วงอมยิ้มอ่อนเมื่อเห็นว่าหลานรักยังสามารถมีความสุขไปกับสิ่งเล็ก ๆ ในชีวิตประจำวันได้ แบบนี้เขาจึงพอลดความเป็นห่วงลงมาได้บ้างหลังจากลงกลอนประตูคุณอานายสถานีก็ช้อนอุ้มหลานรักมาไว้ในอ้อมกอด หยอกล้อเล่นกันเล็กน้อยพลางเดินขึ้นไปยังชั้นสองของบ้าน
เช้าวันนี้ถือเป็นโชคดีที่ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น หรือเพราะว่าเขาเคยชินกับบรรยากาศน่าอึดอัดในบ้านไปแล้วก็ไม่รู้เหมือนกัน กระนั้นมันกลับทำให้ช่วงเวลาที่เขามีความสุขเด่นชัดขึ้นมาโดยปริยาย“กันต์ วันนี้สอบวันสุดท้ายแล้วใช่ไหม?”“ครับ!”“เราอยากกินอะไรหรือเปล่า ฉลองหลังสอบเสร็จไง ดีไหม?”“ผมอยากกินไก่ทอดน้ำปลา”“แค่อย่างเดียวเองเหรอ อาอุตส่าห์บอกลุงแดงให้เตรียมทำกุ้งเผาเอาไว้ให้ สงสัยคงต้องไปบอกยกเลิกแล้วมั้ง”“เอาด้วยครับ เอาด้วย!”“ของหวานก็เอาเป็น...”“ขนมปังสังขยา!”“ฮ่า ๆ กินเป็นอยู่อย่างเดียวรึ ฮึ?”กันต์ยิ้มแฉ่งขณะเดินคู่ไปกับคุณอาหลังลงจากรถราง ด้วงเองก็ยังคงทำหน้ายิ้มรับเช่นเคย ตลอดหนึ่งสัปดาห์มานี้เด็กชายจมปลักอยู่แต่ในห้อง วันหยุดที่โรงเรียนสั่งให้นักเรียนพักอ่านหนังสือแม้จะบอกว่าอยู่ที่บ้าน แต่เจ้าตัวตลอดทั้งวันไม่ออกมาจากห้องเลยสักนิดเพราะลุงแดงก็เอามื้อเช้ากลางวันเย็นวางไว้หน้าห้อง ห้องน้ำก็อยู่ด้านใน เรียกได้เต็มปากว่าเจ้าตัวอ่านหนังสือแบบไม่เห็นเดือนเห็นตะวันเสียยิ่งกว่าสมัยก่อนที่เขาต้องทำอี
ไกรวิชญ์เดินกลับมาถึงห้องก็คว้าเสื้อคลุมที่พาดอยู่มาปั้นเป็นหมอนก่อนจะโยนมันไปยังหัวม้านั่งยาวตามด้วยโยนร่างที่เหนื่อยล้าของตัวตามลงไปแขนหนายกขึ้นก่ายหน้าผากบังแสงที่เข้ามาทางหน้าต่างให้สายตามองเห็นเพียงความมืด จิตตั้งมั่นพยายามข่มใจหลับทว่าสิ่งถัดไปที่ผุดขึ้นมาฟุ้งซ่านในหัวคือ น้องชายเขาคิดจนแทบบ้าไม่ต่างจากนักโทษในกรงขังนั่นทว่ากลับคิดหาวิถีทางที่จะเอ่ยกล่าวกับด้วงให้เจ้าตัวกลับมาทำตัวปกติกับเขาไม่ออกเลยสักนิด“เฮ้อ...”*แอ๊ด* เสียงบานประตูไม้หนาค่อย ๆ แง้มเปิดสะกิดหูนายตำรวจที่สะลึมสะลือใกล้หลับให้หันสมาธิมาสนใจทว่าก็ยังไม่ได้เปลี่ยนท่าทางการนอนแต่อย่างใด คงจะเป็นเจ้าแผนที่กลับเข้ามานั่งเล่นอีกตามเคย“ไม่คิดว่าคนอย่างแกจะนอนกลางวันกับเขาด้วยนะ” เสียงอย่างชายชราคุ้นหูเอ่ยขึ้นทำให้เขาต้องรีบหยัดตัวลุกขึ้นโดยไม่ดูทรงผมของตัวเองที่กระเซอะกระเซิง เมื่อสบตาผู้กำกับการหนุ่ม ชายสูงอายุจึงอมยิ้มกับหน้าอ่อนเยาว์ที่อ้าปากหวอด้วยความปฏิบัติตัวไม่ถูก“ท่าน...สวัสดีครับ”ไกรวิชญ์เอ่ยทักทายพร้อมรีบลุกขึ้น
‘วันนี้คุณผู้ชายฝากมาบอกว่าจะไปดื่มกับเพื่อนนะ’นั่นเป็นสิ่งที่ลุงแดงกล่าวเมื่อเขากลับมาถึงบ้านก่อนเจ้าตัวจะผละออกไปเก็บงานทำความสะอาดให้เรียบร้อยและขอตัวกลับบ้าน ทั้งที่ปกติพี่ไกรช่วงนี้ก็กลับเย็นกลับหัวค่ำแต่สงสัยที่มาบอกครั้งนี้คงจะกลับดึกมากจริง ๆด้วงคุยกับตัวเองในหัวขณะเดินขึ้นไปบนบ้าน ด้วยช่วงนี้ฟ้ามืดเร็วดวงไฟบนเพดานจึงเปิดสว่างโร่ แต่เขากลับไม่เห็นเด็กชาย สงสัยคงจะอาบน้ำอาบท่าไม่ก็ทำการบ้านอยู่ในห้องทว่าเมื่อมารู้ว่าวันนี้จะได้มีเวลาอยู่คนเดียวมากขึ้นรายการเรื่องที่ยังค้างคาก็แล่นเข้ามาในหัวการงาน/การเรียนในอนาคตของกันต์ธีร์ ตอนนี้แม้เจ้าตัวจะยังหาอาชีพในฝันไม่ได้ รู้แต่เพียงปฏิเสธการเป็นตำรวจ กระนั้นเรื่องนี้ก็ยังสามารถเลื่อนเวลาออกไปได้ อย่างไรเสียอายุของเด็กชายก็พึ่งพ้นเลขหลักเดียวมาไม่เท่าไร ส่วนเรื่องที่ใกล้เข้ามาหน่อยอย่างการเรียนพิเศษ เขาลองเอามาขึ้นมาคิดดูอีกครั้งเมื่อนึกย้อนกลับไปพี่ไกรก็มีส่วนที่พูดถูก เขาไม่ควรเอาอารมณ์เป็นที่ตั้งมากจนเกินไป ทว่าอย่างน้อยหากจะเรียนก็อยากให้หลานรักได้มีสิทธิ์ออกความเห็นบ้าง และอีกเรื่อง.
ด้วงหลังจากทานมื้อเย็นเสร็จก็ยกจานชามลงมาทำความสะอาด แม้น้ำประปาในตอนกลางคืนจะเย็นโดยธรรมชาติแต่เมื่อเข้าฤดูฝนคล้ายว่ามันจะเย็นเป็นพิเศษ อีกไม่กี่เดือนคงเย็นจากฤดูหนาวจนต้องรีบหาอะไรมาอุ่นมือ เมื่อคิดดังนั้นเสียงฟ้าร้องก็ดังกระหึ่มโดยพลัน อีกไม่ถึงชั่วโมงฝนคงตก หวังว่าพี่ไกรจะกลับมาทันก่อนฝนลงเม็ดปกติพี่เจ้าไม่ใช่คนช่างเที่ยว ไปกินดื่มครั้งนี้คงไปกับคณะหรือไม่ก็เพื่อนสนิทอย่างพี่พูน เจ้าตัวยิ่งคออ่อนอยู่ด้วย แม้ลึก ๆ แล้วจะยังรู้สึกระแวงแต่ในฐานะน้องชายก็อดเป็นห่วงไม่ได้เลยด้วงเช็ดไม้เช็ดมือแล้วจึงดึงแขนเสื้อสีขาวลงมาปิดแขนกันลมหนาว เดินไปปิดไฟถือตะเกียงส่องตรวจตราความเรียบร้อยบริเวณชั้นหนึ่งก่อนขึ้นไปจบที่หน้าห้องของเด็กชาย ช่วงนี้เห็นเจ้าตัวดูเหนื่อยเป็นพิเศษไม่รู้ว่าเวลาเกือบสองทุ่มจะเข้านอนไปหรือยัง*ก๊อก ก๊อก ก๊อก*“กันต์นอนหรือยัง อาขอเข้าไปได้ไหม?”‘ได้ครับ’ เสียงเล็กกล่าวอนุญาต คุณอาจึงเปิดประตูเข้าไปเมื่อไขกลอนเปิดแล้วจึงเห็นว่าเด็กชายกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่โดยมีเพียงตะเกียงหัวโต๊ะเป็นจุดกำเนิดแสง
เพราะเมื่อคืนกระดกหมดแก้วแบบไม่รู้สี่รู้แปดแท้ ๆ ตอนนี้เขาเลยจำอะไรหลังจากภาพตัดไปไม่ได้สักนิด จำได้แต่เพียงพวกเขาเข้าไปในร้าน นั่งมองอะไรไปเรื่อยสักพัก พอแก้วมาวางตรงหน้าหลังจากนั้นก็ไม่รู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น จำได้อีกทีก็ตื่นขึ้นมาบนเตียงห้องนอนตัวเองแล้วไกรวิชญ์สะลึมสะลือพาตัวเองลุกขึ้นนั่งพร้อมกุมศีรษะปวดตุบไปด้วย กระดุมเสื้อถูกปลดให้คอปกหย่อนคล้อยให้พอหายใจสะดวก ขมวดคิ้วฝืนอาการเวียนหัวเหลือบมองตะเกียงเจ้าพายุอันเป็นของน้องชายที่คงจะนำมาตั้งทิ้งไว้ตั้งแต่เมื่อคืน รวมไปถึงถุงสัมภาระของเขาที่เจ้าพูนมันน่าจะแบกมาให้ ทว่าไม่รู้ทำไมเขาถึงได้รู้สึกแปลก ๆ ผ้าปูเตียงผ้าห่มยับยู่ยี่ โต๊ะเก้าอี้เอียงไม่เข้าที่ เสื้อผ้าบางตัวหล่นอยู่บนพื้น เขาคงต้องไปถามด้วง แต่แสงแดดข้างนอกดันบ่งบอกเวลาสายโด่ง แถมงานของด้วงผู้คนพลุกพล่านในช่วงวันหยุดเสียด้วยป่านนี้คงออกไปทำงานแล้ว พินิจพิเคราะห์ได้ไม่เท่าไรร่างกายก็อ่อนล้าจนอยากจะนอนต่อ ไหน ๆ วันนี้เขาก็ไม่ต้องไปทำงานขอพักผ่อนสักหน่อยก็แล้วกันร่างกำยำในเสื้อผ้าของเมื่อวานพาตัวเองลงนอนอีกครั้งพร้อมกระชับผ้าห่มคลุมร่างเนื่องจาก
เมื่อเข็มหน้าปัดนาฬิกาชี้เลขสิบสองพร้อมกัน ด้วงจึงขอตัวจากเพื่อนร่วมงานออกจากสถานีมากินข้าวตามปกติโดยมีเสียงโอดโอยของแผนเพื่อนสนิทไล่หลังเพราะเขาไม่เคยแม้แต่จะไปกินข้าวเที่ยงกับมันเลยไม่รู้ว่าป่านนี้พี่จะตื่นรึยัง หรืออีกความหมาย วันนี้พี่จะพาตัวเองตื่นขึ้นมาไหวหรือเปล่า ไม่ใช่ว่าต้องให้เขาไปช่วยพยุงอีกหรอกนะ“…”เมื่อความคิดเป็นห่วงแล่นเข้ามา ไม่นานก็ตามมาด้วยภาพเหตุการณ์เมื่อคืนวาน เมื่อสักครู่เขาลืมเรื่องนี้ไปได้อย่างไร ทว่าพอมานึกได้ก็อยากจะลืม ๆ ไปเสียให้สิ้นเรื่อง เพราะเจ้าพี่อย่างไรตื่นมาก็คงจำอะไรไม่ได้อยู่แล้วฝีเท้าที่ก้าวไปข้างหน้าฉับไวกลับค่อย ๆ ชะลอและหยุดกึกเมื่อสิ่งของตรงหน้าคือประตูรั้วสีขาวที่คุ้นเคย เขาไม่กล้าเปิดมันทั้ง ๆ ที่รู้ว่าหากไม่ส่อพิรุธก็จะไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น“เฮ้อ…”ด้วงถอนหายใจระบายความหนักอก เขาจะมัวแต่ยืนแช่อยู่ตรงนี้ไม่ได้ เพราะตอนบ่ายยังมีงานที่ต้องทำ เอาเป็นว่าเขาจะรีบกินรีบออกก็แล้วกัน-‘สวัสดีจ้ะหนูกันต์ ต่อจากนี้ครูจะมาเป็นอาจารย์สอนพิเศษของหนูนะจ๊ะ’เสียงแหลมเล็กของหญิงสาวแว
ตอนนี้เขากำลังนั่งอยู่ในสน.อย่างเคย ดีหน่อยที่เอกสารจิปาถะดำเนินไปได้ด้วยดีทำให้เขาสามารถกลับมาเพ่งสมาธิไปกับภารกิจสุดท้ายได้อย่างเต็มตัว อีกไม่นานเขาจะได้กลับไปใช้ชีวิตตามปกติ ไม่ต้องก้มหน้าเขียนงานงก ๆ อีกต่อไปไกรวิชญ์สัมผัสได้ถึงกลิ่นแปลก ๆ ระหว่างเขากับน้องชาย แม้รู้ว่าเมื่อครั้งก่อนยามอีกฝ่ายโทรศัพท์จะจงใจไม่พูดความจริง แต่ในตอนนั้นเขากลับรู้สึกว่าการไปถามตามตรงคงจะไม่ใช่เรื่องที่ดีสักเท่าไรนัก มันคงมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นในคืนก่อนหน้าที่เขาเมาเขาพยายามนึกคิดด้วยตัวเองแต่กลับจำอะไรไม่ได้ ถึงพูนมันมาเล่าให้ฟังว่าเขาขึ้นบ้านได้อย่างไรก็ไม่สามารถเชื่อมโยงความจำได้เพราะหลังจากนั้นเขาอยู่ด้วงตามลำพัง หากไม่ถามเจ้าตัวแล้วจะไปถามใคร กระนั้นคราวจะหาจังหวะถาม ด้วงก็เอาแต่ปฏิเสธบทสนทนายิ่งกว่าเมื่อก่อน นอกจากจะหลบหน้าแล้วยังไม่ยอมคุยเรื่องชีวิตประจำวันหากไม่ใช่เรื่องของกันต์ธีร์ ยิ่งทำเขาอยากรู้เรื่องราวในคืนนั้นเข้าไปใหญ่‘แม่ ผม…’แม่อย่างนั้นเหรอ เขาได้ยินแว่ว ๆ จากการยกหู โทรศัพท์ในครั้งนั้น ตอนนี้แม่แท้ ๆ ของด้วงหรือแม่เลี้ยงของเขาอา
จากกระดาษที่คุณอุ่นเคยจดชื่อและแผนที่วิทยาลัยที่จะไปทำการบรรยายพิเศษไว้ให้ เขาตั้งใจว่าจะพาน้องกันต์ไปชมด้วยกัน อย่างไรเสียมันก็เป็นเสาร์ที่โรงเรียนมัธยมปิดวันหยุด ทั้งเขายังจะได้ใช้เวลาร่วมกับหลานรักอีกด้วยคุณอาในชุดไปรเวทสีสว่างตัดผิวเดินสะพายกระเป๋าเดินคู่หลานชายวัยสิบสามย่างสิบสี่บนทางเดินอิฐปู เมื่อหยิบกระดาษใบน้อยขึ้นมาดูจึงพอทราบว่าระยะทางเหลืออีกไม่ไกลหลังลงสถานีปลายทาง อาจารย์เจ้าที่แม้จะพูดภาษาไทยได้แต่เขียนไทยยังไม่คล่องก็อุตส่าห์พยายามและวาดรูปให้คนอ่านเข้าใจง่าย ทั้งยังมีตัวอักษรยึกยือมุมขวาล่างเขียนไว้ว่า ‘หวังว่าเราจะได้เจอกันนะครับ’ แม้ทีแรกจะต้องเพ่งสมาธิอ่านเพราะประโยคนั้นไม่ได้เขียนโดยเจ้าของภาษา แต่เขาก็รู้สึกปลื้มที่อาจารย์เจ้าพยายามตวัดเขียนซ้ำแล้วซ้ำเล่าดูจากรอยยางลบกับรอยยับของกระดาษ แผนที่อันนี้คงถูกตระเตรียมมาเป็นอย่างดีเพียงเพื่อมาชวนเขาไปดูการบรรยายภาคเช้า ช่างน่าเอ็นดูเหลือเกินในกระดาษเขียนถึงเส้นทางและระยะเวลาการเดินไว้อย่างละเอียด‘๕ นาที เห็นอาคานสีขาว’ด้วงยกยิ้มมุมปากหัวเราะในลำคอ
ไกรวิชญ์เคยคิดว่าช่วงเวลานี้จะเป็นช่วงเวลาที่เศร้าที่สุดในชีวิต บิดาและภรรยาเขาเสียไปในช่วงเวลาไล่เลี่ยกันเนื่องด้วยเหตุรถชนใจกลางเมืองหลวงขณะออกไปซื้อของ แต่มันเทียบไม่ได้เลยกับตอนที่เขาเสียมารดาไปในวัยเด็กนายตำรวจอนาคตไกลเจ้าภาพพิธีศพสวมชุดดำทางการยืนต้อนรับแขกญาติพี่น้องของทั้งสองคนเข้ามาเคารพศพ เขามองน้องชายและลูกในวัยสิบกว่าขวบนั่งด้วยกันโดยที่กันต์กำลังนอนร้องไห้เศร้าโศกเสียใจอยู่บนตักของคุณอาตลอดมาเป็นพี่เลี้ยงที่ดูแลกันต์จนหย่านมก่อนจะยกเลิกสัญญาจ้างกันไป กระนั้นผู้เป็นแม่กลับไม่ดูดำดูดีปล่อยให้คนอื่นในบ้านเลี้ยงเป็นส่วนใหญ่ แล้วพาตัวเองไปออกงานสังคมลุงแดง คุณน้ามาลีและด้วงจึงเป็นสามคนที่คอยประคบประหงมกันต์แทนเขาที่งานล้นมือตลอดเวลาไกรวิชญ์ชำเลืองมองไปยังป้ายชื่อหน้าโลงสีขาวสะอาดก่อนจะได้อ่านชื่อภรรยาที่อยู่ใกล้สายตามากที่สุด‘กุหลาบ’ คือชื่อของหล่อนอย่างนั้นเหรอ... เขาในฐานะสามีมาตระหนักถึงนามของภรรยาเอาตอนที่เจ้าตัวจากไป ช่างน่าขายหน้าเสียจริง นึกแล้วก็แค่นหัวเราะ เขาที่พยายามบอกตัวเองไม่ให้เอาอย่างบิดา ทว่าตลอดมาตัวเขาเ
วันนี้เป็นวันที่เขาจะได้ถอดสายน้ำเกลือและเก็บข้าวเก็บของออกจากโรงพยาบาลหลังจากอาศัยอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมแคบ ๆ นี้มาเป็นเวลาสองเดือนเต็มด้วงในชุดไปรเวทเสื้อยืดกางเกงขายาวตัวใหม่เอี่ยมตรวจทานตัวเองหน้ากระจกห้องน้ำก่อนจะเปิดประตูออกมากะพูดคุยปรึกษาอาการตนเองกับพยาบาลสักครู่แล้วค่อยถือถุงเสื้อผ้ากลับ“เหมาะกับเรามากครับ”“ขอบคุณที่อุตส่าห์ซื้อให้น้องนะ”ด้วงยิ้มมุมปากก่อนจะรีบเดินไปคว้ากระเป๋าเสื้อผ้าในมือเจ้าพี่แล้วจึงเดินออกมา เขารู้ว่าบางทีมันอาจเสียมารยาทไปสักหน่อยแต่เขาอยากสร้างระยะห่างระหว่างตัวเขากับพี่ไกรให้มากที่สุดเพราะเจ้าตัวแต่งงานจดทะเบียนสมรสแล้ว น่าเสียดายไม่น้อยที่ช่วงเวลานั้นเขายังไม่ได้รับอนุญาตให้ออกจากโรงพยาบาลด้วยว่าหลังสลบคาเตียงเพราะหายใจไม่ออกไปคราวนั้นก็โดนเลื่อนวันออกไปอีก จนในที่สุดวันนี้ก็จะได้กลับไปใช้ชีวิตใหม่เสียทีพี่ไกรหลังจากเรื่องราววันนั้นก็มาหาเขาน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด แต่พอใกล้จะกลับอีกฝ่ายก็มาถี่หรือมาแทบทุกเย็น เพราะช่วงที่ห่างไปนั้นอีกฝ่ายต้องตระเตรียมงานแต่งให้โอ่อ่าสมฐานะ ทว่าคิดอีกทีเขาก็ดีใจที่ไ
“เมื่อกี้เรา...พูดว่าอะไรนะ?”“น้องบอกว่า น้องไม่ได้คิดเรื่องแบบนั้นกับพี่”“เดี๋ยวสิ เรื่องแบบนั้นมันคือ-“น้องไม่ได้รักพี่แล้ว” ไกรวิชญ์หน้าชา นี่เป็นบทสนทนาแรกระหว่างเขากับด้วงที่ตื่นขึ้นมาบนเตียงคนไข้ ทว่าจู่ ๆ อีกฝ่ายกลับพาเข้าเรื่องความสัมพันธ์จากนั้นก็โยงเข้าเรื่องนี้อย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย“ด้วง เราแกล้งอะไรพี่อยู่รึเปล่า?”ไกรวิชญ์ยังคงตั้งสติคิดว่าเจ้าน้องคงจะหาเรื่องหยอกเขาเล่นเป็นแน่ หากเป็นเช่นนั้นก็เป็นการพูดเล่นที่จุกอกพอสมควร-“น้องไม่ได้แกล้ง”“…”ด้วงมองพี่ชายต่างสายเลือดด้วยสายตาเอาจริงเอาจัง เจ้าตัวเงียบไปพร้อมกับใบหน้านิ่งค้าง ก่อนจะปรับท่าทีเอนหลังสูดลมหายใจเข้าและพ่นมันออกมาอย่างหนักใจ“ทำไมจู่ ๆ เราจึงบอกเรื่องนี้กับพี่ครับ”“เพราะน้องคิดว่าพี่สมควรรู้ไว้”“แล้วเราไม่คิดเห็นใจพี่บ้างเลยเหรอ”“…”“ด้วง...ได้มีใครบังคับเรารึเปล่า?”“น้องคิดว่าเรากำลังจะเป็นพี่น้องกัน ไม่ควรมีเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้น...มันก็เท่านั้น”“พ่อพี
*เพียะ!* ฝ่ามือเหี่ยวย่นฟาดเข้าใบหน้านายตำรวจหนุ่มแน่นอย่างจังโดยที่เจ้าของร่างไม่แม้แต่จะหลบหลีก กลับยืนรับแรงบนหน้าแก้มอย่างจัง“ควบคุมอารมณ์ตัวเองหน่อยไอ้ไกร”“…”เขาทำเกินกว่าเหตุ แม้จะมีข้ออ้างที่พอฟังขึ้นบ้างแต่ก็ไม่ทั้งหมดเพราะมีนิ้วมือทั้งสิบที่หักงอผิดรูปเป็นเครื่องพิสูจน์ แค่หมอมาดูก็บอกได้แล้วว่ามันไม่เกิดจากความบังเอิญกระนั้นเมื่อทุกอย่างมาอยู่ในใต้การควบคุมของบิดามันก็ถูกกฎหมายและทนายคนสนิทช่วยเหลือจนเขาสามารถพ้นผิดมาได้แม้จะถูกชะลอการเลื่อนขั้นและตัดเงินเดือนเป็นระยะเวลาหนึ่งก็ตามนายตำรวจเกริกผู้พ่อเมื่อลงมือสั่งสอนบุตรตนก็ลงมาหย่อนกายนั่งไขว่ห้างจุดบุหรี่สูบพ่นควันออกไปนอกหน้าต่างบ้าน พลางเหยียดหางตามองเจ้าลูกชายที่สุขุมมาตลอด แต่กลับกลายเป็นบ้าเมื่อมีเรื่องเกิดขึ้นกับเด็กคนนั้นแม้ขยะแขยงรสนิยมนั่นทว่าในฐานะตำรวจ ลูกเขายังคงต้องเรียนรู้อีกเยอะ ว่าการจะปกป้องสิ่งสำคัญได้นั้นมันมีรายละเอียดมากไปกว่าการบดทำลายอุปสรรค“หากมีคราวหน้า ฉันจะไม่ส่งทนายไปช่วยอีกเป็นครั้งที่สอง”“…”
“เปลี่ยนชุดซะ แล้วเอาชุดเอ็งมาให้ข้า พวกมันไม่ปล่อยเอ็งไว้แน่”ที่พวกมันวิ่งเข้ามาฉุดถึงในเพิง คงจะพาไปปิดปากไม่ให้เรื่องหยาบโลนนี้แพร่งพรายออกไป และเขาเองหากโดนเจอก็คงมีสภาพไม่ต่างกันหรืออาจจะหนักกว่า แต่อย่างน้อยตอนนี้ขอให้แก้วมันปลอดภัยไปได้สักคนก่อน“อะ...เอ็งจะทำอะไร”“รีบเปลี่ยนเถอะ เราไม่มีเวลาแล้ว!”ด้วงขึ้นเสียงดังสนั่นจนแก้วตกใจกลัว ทว่าช่วงเวลาแบบนี้แม้จะทราบว่ากำลังขวัญเสียแต่คราวจะมานั่งปลอบใจกันคงไม่ทันกาลเพราะตอนนี้พวกเขากำลังเล่นกับความเป็นความตายแก้วรีบผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าแต่งกายปลอมเป็นหญิงคลุมผ้าใหม่ ส่วนผืนเก่าเขานำมาคลุมเอง“สถานีอยู่อีกไม่ไกล เอ็งข้ามสะพาน เลี้ยวซ้ายแล้วตรงไปก็จะเจอนายสถานี เอ็งหนีไปจังหวัดอื่นเลย ยิ่งไกลเท่าไหร่ยิ่งดี เข้าใจไหม?”“แล้วเอ็ง-“ข้าจะอยู่ที่นี่ล่อพวกมัน”“แต่-“พวกนั้นมากันแล้ว เอ็งรีบไป!!”ด้วงผลักร่างโฉมงามเข้าปะปนกับฝูงชน ก่อนจะหันหลังออกตัววิ่งล่อความสนใจพวกมันยังกลางถนน แม้รูปร่างสีผิวของเขากับแก้วจะต่างกันอย่างเห็นได้ชัดแต่เพราะเป็นช่ว
“สงสัยอยู่ใช่ไหมล่ะเอ็ง ก็อุตส่าห์เลี้ยงมาตั้งนาน ขอเก็บเกี่ยวหน่อยจะเป็นอะไรไป...ใช่ไหม?” มันพูดปนเสียงขำในลำคอ พูดเรื่องทุเรศแบบนั้นออกมาอย่างไม่รู้สึกรู้สาเนี่ยนะ ด้วงปากสั่นไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาก่นด่าเดรัจฉานพวกนี้ดี กรามฟันกัดกรอดจนกรอบหน้าแข็งเกร็ง เขาต้องหาจังหวะขึ้นไปช่วยไอ้แก้วออกไปจากที่นี่พร้อมกันให้จงได้เด็กหนุ่มคล้ายจะหมดแรงจากการขัดขืนและรอยบอบช้ำที่ได้จากการต่อสู้เมื่อครู่ จึงไม่อาจขัดขืนได้มากมายจนไม่อาจลากจับลากพาขึ้นแคร่เก่าได้อย่างไม่ยากเย็นแขนทั้งสองที่พยายามออกแรงเท่าที่ไหวไม่ได้ทำประโยชน์อะไรให้แก่เจ้าตัวเลยสักนิดนอกจากเพิ่มความกระเส่าเร้าใจให้แก่ชายเบื้องบน จนเมื่อเด็กหนุ่มคงจะสำเหนียกตนได้แล้วว่าไม่มีทางหลุดรอดไปได้จึงยอมละทิ้งร่างกายทั้งหมดให้เป็นที่พอใจ“เหอะ กว่าจะยอมกันได้-*พลั่ก!!*ด้วงใช้โอกาสที่ไอ้ทองชะล่าใจ หยิบคว้าท่อนไม้ที่คงจะหักกลิ้งลงมา และเพราะมันกลืนไปกับดินดอนเมื่ออยู่ในความมืดพวกมันที่ไม่สังเกตจึงมองไม่เห็นด้วงรวบรวมแรงทั้งหมดไว้ที่มืออีกครั
คิดเอาไว้ว่าเป็นเช่นนั้นเอาเข้าจริงการฝืนตื่นขึ้นมากลางดึกแม้เวลาจะผ่านไปแล้วเกือบสามชั่วโมงนับตั้งแต่เขาเข้านอนตอนหกโมงครึ่งมันก็เพลียเอาการรอบข้างภายในกระท่อมมืดสนิทนอกจากเครื่องเรือนอย่างง่ายตามชั้นและพื้นฟากที่เขาห้ามทำให้เกิดเสียงแล้ว ก็ยังต้องเอื้อมมือไปหยิบเชิงเทียนอยู่เหนือศีรษะของผู้เป็นแม่อีก ด้วงเม้มริมฝีปากกลั้นลมหายใจแผ่วค่อย ๆ ชันข้อศอกดันตัวขึ้นอย่างช้า ๆ เพื่อไม่ให้มารดารู้สึกตัว แล้วจึงเอื้อมมือไปจับเชิงเทียนมาไว้ในมือได้สำเร็จ“ด้วง...”“!!!”เจ้าของชื่อสะดุ้งเฮือกก่อนจะก้มมองแล้วเห็นว่ามารดาเพียงพลิกตัวละเมอเอ่ยชื่อเขาขึ้นมาแต่เพียงเท่านั้น ด้วงโล่งใจจากที่เหงื่อตกมาก็นานพอสมควรเขาตั้งใจออกมาจุดเทียนให้แสงสว่างเมื่อเดินออกมาจากกระท่อมได้พอสมควรแล้ว ตอนนี้ภายในบ้านหลังน้อยมีเพียงมารดาที่นอนหลับพักผ่อนกับหมอนและผ้าห่มของเขาที่ระเกะระกะแต่เพียงเท่านั้นอากาศตอนกลางคืนเพราะไม่เคยได้ออกมาจริง ๆ จัง ๆ เขาจึงพึ่งมารู้อายุสิบเจ็ดว่ามันเย็นยะเยือกแม้อยู่ในฤดูร้อน ประกายแสงจากเทียนส่องสะท้อนใบหน้ากลมกลึงจ้องมองเรือนไ
ลูกชายของเธอขวัญเสียอยู่นานหลักวัน ไม่กล้าเดินออกจากกระท่อมสุ่มสี่สุ่มห้าหากไม่ใช่เวลาเข้างาน หกโมงเช้ามักมีท่าทีระแวดระวังเป็นพิเศษเธอกลับมาตอนเที่ยง ๆ บ่าย ๆ ลูกเธอก็ไม่ออกไปช่วยกิจของทางวัดอย่างเคย แม่มาลีเห็นบุตรชายที่ตกบ่ายมาก็ยังนั่งขลุกช่วยหล่อนตำยาสมุนไพรก็นึกสงสัยขึ้นมาเป็นครั้งที่เท่าไรแล้วก็ไม่รู้ ไม่ว่าจะถามไถ่ว่าไปเจออะไรมา ด้วงก็มักจะหลีกเลี่ยงไม่ตอบเสียทุกครั้ง‘มันไม่มีอะไรหรอก’‘สงสัยฉันคงคิดไปเอง’‘ฉันโตแล้วนะ แม่ไม่ต้องเป็นห่วงฉันหรอก’ลูกเธอเป็นคนโกหกไม่เป็น หรือต่อให้พูดโป้ปดก็เป็นคนเผยพิรุธออกมาอย่างชัดเจน เจ้าตัวคงรู้ดีว่าหากโกหกแม่จะรู้ได้ทันทีจึงใช้วิธีหนีจากคำตอบนั้นแม่มาลีนั่งหั่นตะไคร้ใบมะกรูดเมื่อแล้วเสร็จจึงกวาดพวกมันลงถาดสังกะสี พลอยมองเจ้าลูกจอมดื้อโขลกเครื่องแกงอยู่ข้าง ๆ สีหน้านั้นเคร่งเครียดเรียบนิ่งผิดปกติประหนึ่งคนคิดอะไรอยู่ตลอดเวลา คราวอยากจะรู้อีกฝ่ายก็ไม่ปริปากบอกจนเธอเริ่มมีความคิดจะเค้นคอถามหากลูกคนนี้ไม่นำเรื่องมาปรึกษาแม่แท้ ๆ“ด้วง เอ็งออกไปช่วยพระท่านกวาดลานพระธรรมไป”“แต่ว