‘วันนี้คุณผู้ชายฝากมาบอกว่าจะไปดื่มกับเพื่อนนะ’
นั่นเป็นสิ่งที่ลุงแดงกล่าวเมื่อเขากลับมาถึงบ้านก่อนเจ้าตัวจะผละออกไปเก็บงานทำความสะอาดให้เรียบร้อยและขอตัวกลับบ้าน ทั้งที่ปกติพี่ไกรช่วงนี้ก็กลับเย็นกลับหัวค่ำแต่สงสัยที่มาบอกครั้งนี้คงจะกลับดึกมากจริง ๆ
ด้วงคุยกับตัวเองในหัวขณะเดินขึ้นไปบนบ้าน ด้วยช่วงนี้ฟ้ามืดเร็วดวงไฟบนเพดานจึงเปิดสว่างโร่ แต่เขากลับไม่เห็นเด็กชาย สงสัยคงจะอาบน้ำอาบท่าไม่ก็ทำการบ้านอยู่ในห้อง
ทว่าเมื่อมารู้ว่าวันนี้จะได้มีเวลาอยู่คนเดียวมากขึ้นรายการเรื่องที่ยังค้างคาก็แล่นเข้ามาในหัว
การงาน/การเรียนในอนาคตของกันต์ธีร์ ตอนนี้แม้เจ้าตัวจะยังหาอาชีพในฝันไม่ได้ รู้แต่เพียงปฏิเสธการเป็นตำรวจ กระนั้นเรื่องนี้ก็ยังสามารถเลื่อนเวลาออกไปได้ อย่างไรเสียอายุของเด็กชายก็พึ่งพ้นเลขหลักเดียวมาไม่เท่าไร ส่วนเรื่องที่ใกล้เข้ามาหน่อยอย่างการเรียนพิเศษ เขาลองเอามาขึ้นมาคิดดูอีกครั้งเมื่อนึกย้อนกลับไปพี่ไกรก็มีส่วนที่พูดถูก เขาไม่ควรเอาอารมณ์เป็นที่ตั้งมากจนเกินไป ทว่าอย่างน้อยหากจะเรียนก็อยากให้หลานรักได้มีสิทธิ์ออกความเห็นบ้าง และอีกเรื่อง.
ด้วงหลังจากทานมื้อเย็นเสร็จก็ยกจานชามลงมาทำความสะอาด แม้น้ำประปาในตอนกลางคืนจะเย็นโดยธรรมชาติแต่เมื่อเข้าฤดูฝนคล้ายว่ามันจะเย็นเป็นพิเศษ อีกไม่กี่เดือนคงเย็นจากฤดูหนาวจนต้องรีบหาอะไรมาอุ่นมือ เมื่อคิดดังนั้นเสียงฟ้าร้องก็ดังกระหึ่มโดยพลัน อีกไม่ถึงชั่วโมงฝนคงตก หวังว่าพี่ไกรจะกลับมาทันก่อนฝนลงเม็ดปกติพี่เจ้าไม่ใช่คนช่างเที่ยว ไปกินดื่มครั้งนี้คงไปกับคณะหรือไม่ก็เพื่อนสนิทอย่างพี่พูน เจ้าตัวยิ่งคออ่อนอยู่ด้วย แม้ลึก ๆ แล้วจะยังรู้สึกระแวงแต่ในฐานะน้องชายก็อดเป็นห่วงไม่ได้เลยด้วงเช็ดไม้เช็ดมือแล้วจึงดึงแขนเสื้อสีขาวลงมาปิดแขนกันลมหนาว เดินไปปิดไฟถือตะเกียงส่องตรวจตราความเรียบร้อยบริเวณชั้นหนึ่งก่อนขึ้นไปจบที่หน้าห้องของเด็กชาย ช่วงนี้เห็นเจ้าตัวดูเหนื่อยเป็นพิเศษไม่รู้ว่าเวลาเกือบสองทุ่มจะเข้านอนไปหรือยัง*ก๊อก ก๊อก ก๊อก*“กันต์นอนหรือยัง อาขอเข้าไปได้ไหม?”‘ได้ครับ’ เสียงเล็กกล่าวอนุญาต คุณอาจึงเปิดประตูเข้าไปเมื่อไขกลอนเปิดแล้วจึงเห็นว่าเด็กชายกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่โดยมีเพียงตะเกียงหัวโต๊ะเป็นจุดกำเนิดแสง
เพราะเมื่อคืนกระดกหมดแก้วแบบไม่รู้สี่รู้แปดแท้ ๆ ตอนนี้เขาเลยจำอะไรหลังจากภาพตัดไปไม่ได้สักนิด จำได้แต่เพียงพวกเขาเข้าไปในร้าน นั่งมองอะไรไปเรื่อยสักพัก พอแก้วมาวางตรงหน้าหลังจากนั้นก็ไม่รู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น จำได้อีกทีก็ตื่นขึ้นมาบนเตียงห้องนอนตัวเองแล้วไกรวิชญ์สะลึมสะลือพาตัวเองลุกขึ้นนั่งพร้อมกุมศีรษะปวดตุบไปด้วย กระดุมเสื้อถูกปลดให้คอปกหย่อนคล้อยให้พอหายใจสะดวก ขมวดคิ้วฝืนอาการเวียนหัวเหลือบมองตะเกียงเจ้าพายุอันเป็นของน้องชายที่คงจะนำมาตั้งทิ้งไว้ตั้งแต่เมื่อคืน รวมไปถึงถุงสัมภาระของเขาที่เจ้าพูนมันน่าจะแบกมาให้ ทว่าไม่รู้ทำไมเขาถึงได้รู้สึกแปลก ๆ ผ้าปูเตียงผ้าห่มยับยู่ยี่ โต๊ะเก้าอี้เอียงไม่เข้าที่ เสื้อผ้าบางตัวหล่นอยู่บนพื้น เขาคงต้องไปถามด้วง แต่แสงแดดข้างนอกดันบ่งบอกเวลาสายโด่ง แถมงานของด้วงผู้คนพลุกพล่านในช่วงวันหยุดเสียด้วยป่านนี้คงออกไปทำงานแล้ว พินิจพิเคราะห์ได้ไม่เท่าไรร่างกายก็อ่อนล้าจนอยากจะนอนต่อ ไหน ๆ วันนี้เขาก็ไม่ต้องไปทำงานขอพักผ่อนสักหน่อยก็แล้วกันร่างกำยำในเสื้อผ้าของเมื่อวานพาตัวเองลงนอนอีกครั้งพร้อมกระชับผ้าห่มคลุมร่างเนื่องจาก
เมื่อเข็มหน้าปัดนาฬิกาชี้เลขสิบสองพร้อมกัน ด้วงจึงขอตัวจากเพื่อนร่วมงานออกจากสถานีมากินข้าวตามปกติโดยมีเสียงโอดโอยของแผนเพื่อนสนิทไล่หลังเพราะเขาไม่เคยแม้แต่จะไปกินข้าวเที่ยงกับมันเลยไม่รู้ว่าป่านนี้พี่จะตื่นรึยัง หรืออีกความหมาย วันนี้พี่จะพาตัวเองตื่นขึ้นมาไหวหรือเปล่า ไม่ใช่ว่าต้องให้เขาไปช่วยพยุงอีกหรอกนะ“…”เมื่อความคิดเป็นห่วงแล่นเข้ามา ไม่นานก็ตามมาด้วยภาพเหตุการณ์เมื่อคืนวาน เมื่อสักครู่เขาลืมเรื่องนี้ไปได้อย่างไร ทว่าพอมานึกได้ก็อยากจะลืม ๆ ไปเสียให้สิ้นเรื่อง เพราะเจ้าพี่อย่างไรตื่นมาก็คงจำอะไรไม่ได้อยู่แล้วฝีเท้าที่ก้าวไปข้างหน้าฉับไวกลับค่อย ๆ ชะลอและหยุดกึกเมื่อสิ่งของตรงหน้าคือประตูรั้วสีขาวที่คุ้นเคย เขาไม่กล้าเปิดมันทั้ง ๆ ที่รู้ว่าหากไม่ส่อพิรุธก็จะไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น“เฮ้อ…”ด้วงถอนหายใจระบายความหนักอก เขาจะมัวแต่ยืนแช่อยู่ตรงนี้ไม่ได้ เพราะตอนบ่ายยังมีงานที่ต้องทำ เอาเป็นว่าเขาจะรีบกินรีบออกก็แล้วกัน-‘สวัสดีจ้ะหนูกันต์ ต่อจากนี้ครูจะมาเป็นอาจารย์สอนพิเศษของหนูนะจ๊ะ’เสียงแหลมเล็กของหญิงสาวแว
ตอนนี้เขากำลังนั่งอยู่ในสน.อย่างเคย ดีหน่อยที่เอกสารจิปาถะดำเนินไปได้ด้วยดีทำให้เขาสามารถกลับมาเพ่งสมาธิไปกับภารกิจสุดท้ายได้อย่างเต็มตัว อีกไม่นานเขาจะได้กลับไปใช้ชีวิตตามปกติ ไม่ต้องก้มหน้าเขียนงานงก ๆ อีกต่อไปไกรวิชญ์สัมผัสได้ถึงกลิ่นแปลก ๆ ระหว่างเขากับน้องชาย แม้รู้ว่าเมื่อครั้งก่อนยามอีกฝ่ายโทรศัพท์จะจงใจไม่พูดความจริง แต่ในตอนนั้นเขากลับรู้สึกว่าการไปถามตามตรงคงจะไม่ใช่เรื่องที่ดีสักเท่าไรนัก มันคงมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นในคืนก่อนหน้าที่เขาเมาเขาพยายามนึกคิดด้วยตัวเองแต่กลับจำอะไรไม่ได้ ถึงพูนมันมาเล่าให้ฟังว่าเขาขึ้นบ้านได้อย่างไรก็ไม่สามารถเชื่อมโยงความจำได้เพราะหลังจากนั้นเขาอยู่ด้วงตามลำพัง หากไม่ถามเจ้าตัวแล้วจะไปถามใคร กระนั้นคราวจะหาจังหวะถาม ด้วงก็เอาแต่ปฏิเสธบทสนทนายิ่งกว่าเมื่อก่อน นอกจากจะหลบหน้าแล้วยังไม่ยอมคุยเรื่องชีวิตประจำวันหากไม่ใช่เรื่องของกันต์ธีร์ ยิ่งทำเขาอยากรู้เรื่องราวในคืนนั้นเข้าไปใหญ่‘แม่ ผม…’แม่อย่างนั้นเหรอ เขาได้ยินแว่ว ๆ จากการยกหู โทรศัพท์ในครั้งนั้น ตอนนี้แม่แท้ ๆ ของด้วงหรือแม่เลี้ยงของเขาอา
“ผมไม่ถนัดทานของหวาน แต่ถ้าคุณบอกว่าดีผมจะลองดูครับ”ด้วงยกมุมปากยิ้มกว้างน้อมรับความเอาใจใส่ของอาจารย์เจ้า นี่คงเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ไม่อยากให้เขาไปร้านอื่นสินะ“โดยเฉพาะน้ำมะพร้าว”เขารู้สึกได้ว่าตอนนี้หัวใจของเขาเต้นแรงกว่าปกติ มันคงไม่ใช่เพราะอากาศร้อน เพราะในห้องนี้มีลมโกรกผ่านช่องหน้าต่างอยู่ตลอดบทสนทนา และคงไม่ใช่เพราะเขากำลังเกร็งอยู่ หรือมันจะเป็นความรู้สึกที่อยู่เหนือไปกว่านั้นกัน*กริ๊ก* ระหว่างที่ด้วงกำลังมองจานที่เต็มไปด้วยอาหารที่คุณอุ่นตักให้ ก็ได้ยินเสียงคล้ายโลหะกระทบกันเบา ๆ เมื่อเงยหน้าขึ้นมาด้วยความสงสัย จึงเห็นแสงสะท้อนบริเวณอกก่อนจะปรับสายตาจนได้เห็นว่าเจ้าตัวสวมสร้อยคออยู่“คุณอุ่น”“ครับ?”ด้วงที่กลืนข้าวลงคอเรียบร้อยแล้วจึงเรียกเพื่อนร่วมโต๊ะอาหาร นายสถานีชี้ไปยังบริเวณอกของตัวเองให้อาจารย์ชาวญี่ปุ่นก้มหน้าลงไปมองจนเห็นว่าตัวเองทำสร้อยคอหลุดออกจากเสื้อเชิ้ต“อ่า ขอบคุณนะครับ”ดันกิกล่าวพลางรวบหยิบสายคล้องยัดกลับเข้าคอปกก่อนจะจัดแจงเสื้อผ้าให้เรียบร้
“ไอ้ด้วง ช่วงนี้มึงดูแปลก ๆ ไปนะ”แผนเดินเข้ามาหาเจ้าเพื่อนสนิทหลังทำหน้าที่โบกธงสัญญาณ เสียงรองเท้าหนังคู่เก่าเดินเตาะแตะมานั่งบนเก้าอี้ไม้ข้างเจ้าเพื่อนผู้ห่อเหี่ยว มันบอกว่าได้ย้ายกะสัปดาห์หน้า เขาก็ว่าจะย้ายตามเพราะส่วนตัวไม่ได้อยากร่วมงานกับพวกตาลุงพูดมากสักเท่าไรนัก ในสถานีนี้คนที่เด็กสุดก็เป็นพวกเขาสองคนกับหลานสาวสามขวบของคุณปู่นักการภารโรงตอนนี้นอกสถานีฝนตก ทุกคนไม่ว่าจะเป็นผู้โดยสารหรือไม่ต่างพากันเข้ามาหาที่นั่งหลบฝน หรือจะเป็นเพราะสภาพอากาศจึงส่งให้คนที่มีเรื่องกลุ้มใจอยู่แล้วหดหู่ยิ่งขึ้นไปอีก จนตอนนี้เขาถามไปตั้งแต่เสียงระฆังดัง ด้วงมันก็ยังคงนั่งห่อไหล่ก้มมองพื้นลายหินกรวดอยู่“ด้วง มึงไหวปะเนี่ย?”ครั้งนี้แผนวางธงสองสีไว้ข้าง ๆ แล้วจึงใช้สองมือเขย่าตัวเพื่อนตัวใหญ่ให้เงยหน้าขึ้นมามองกัน อย่างน้อยให้มันด่าเขาสักนิดก็ยังดี“ด้วง! มึงเป็นอะไร ถ้าป่วยก็ไม่ต้องมาทำงานดิวะ”“…”“สภาพแบบนี้มึงทำงานไม่ไหวหรอก”“กูไหวเว้ย…”“สภาพแบบนี้ยังอุตส่าห์พูดมาได้อีกนะ”ตอนนี้สภาพของไอ้ด้วงดูไม่จืด แม้จ
“ตอนนี้เลยกำลังหาให้ใหม่อยู่นี่ไง เราต้องการอะไรอีก”“นี่พี่ไม่รู้อีกเหรอ ผมบอกไปตั้งแต่ทีแรกแล้วว่ากันต์ไม่ต้องการครูสอนพิเศษ แต่พี่ก็ยังจะยัดเยียดให้ คะแนนมันไม่ใช่ทุกอย่างในชีวิตนักเรียนนะ”“ใจจริงพี่ก็อยากจะให้มันเป็นแบบนั้นเหมือนกันด้วง แต่รู้อะไรไหม ว่าเวลาเขาสมัครงานเขาก็ดูจากแค่ตัวเลขบนหน้ากระดาษเท่านั้นแหละ ไม่มีหรอกที่เขาจะมาทำความรู้จักตัวตนของเราทีละคน…แล้วเราบอกว่ากันต์ไม่อยากเป็นตำรวจใช่ไหม? ถ้าแบบนั้นก็ยิ่งต้องทำให้ดี เพราะนอกเหนือไปจากตำรวจพี่ก็ช่วยอะไรลูกไม่ได้แล้ว”ด้วงรับฟัง แต่ใจลึก ๆ ยังคงปฏิเสธส่วนหนึ่งเพราะนิสัยดื้อรั้นของตัวเองที่มีมาแต่ยังเด็กจึงไม่อยากจะยอมง่าย ๆ เขาอยากให้พี่ผ่อนปรนลงลงมาบ้างและก็ไปขอโทษสำหรับเรื่องที่ผ่าน ๆ มาเสีย เพราะแม้จะเป็นลูกนายตำรวจยศสูงในตระกูลอันมีเกียรติแต่เด็กก็คือเด็ก เขาไม่ควรที่จะได้รับแรงดดันมากมายขนาดนี้“พี่ รู้ไหมว่ากันต์เขาเป็นทุกข์ขนาดไหน เขาเคยบอกกับผมว่าอยากทำให้คุณพ่อกับคุณอาภูมิใจ และเด็กอย่างเขาก็พยายามเท่าที่ทำได้แล้ว”“ใช่ว่าทุกความพยายามจะได้มาซึ่งผลลัพธ์นะด้วง”
“ถ้าเป็นกูคงหนีไปนานแล้ว”นั่นคือสิ่งที่เขาคิดหลังจากได้ฟังเจ้าเพื่อนด้วงเล่าความ ดูมุมไหนไอ้พี่ชายหัวหมูหย็องคนนั้นของเจ้าด้วงก็เป็นทั้งพี่ทั้งพ่อที่ไม่ได้เรื่อง สู้หอบหลานหนีไปพักจิตพักใจสักอาทิตย์ยังจะดีเสียกว่าด้วงฟังเจ้าเพื่อนแสดงความคิดเห็น หลังออกมาจากห้องน้ำเขาตัดสินใจได้ว่าเรื่องนี้เขาคงต้องปรึกษาใครสักคนจริง ๆ ทว่าเขาเล่าความเฉพาะปัญหาของน้องกันต์แต่เพียงเท่านั้นเพราะความสัมพันธ์ระหว่างเขาสองคนจะให้ใครมารู้สุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้ แต่ใช่ว่าเขาจะไม่เคยอยากบอกเรื่องนี้กับคนสนิทใจ ทว่าเมื่อต้องจินตนาการถึงสีหน้าเมื่อได้ยินว่าพี่-น้องกำลังชอบพอในเชิงชู้สาว เขาจึงจำต้องกลืนคำพวกนั้นลงไปทั้งหมด เรื่องนี้ต่อให้ปั้นแต่งคำสวยหรูออกมาอย่างไรแต่ความจริงที่ว่าพี่ชายกำลังรุกล้ำผู้เป็นน้องก็ไม่อาจปฏิเสธได้ด้วงเหลือบมองนาฬิกาเรือนโตใจกลางโดมกระจกของสถานีบอกเวลาเที่ยงตรง ไม่นานเขาต้องเตรียมตัวเก็บกระเป๋ารีบกลับไปทานมื้อกลางวันที่บ้าน เมื่อเช้าเขาลางานกับหัวหน้าเอาไว้แล้วว่าภาคบ่ายจะต้องไปรับหลานชายที่โรงเรียน“คุยอะไรกันอยู่เหรอจ๊ะ!”นายสถานี
วันนี้เป็นวันที่ไกรวิชญ์อารมณ์ที่ดีที่สุดในรอบหลายปี ไม่ว่าเรื่องอะไรหรือปัญหาแบบไหนล้วนผ่านไปได้ด้วยดีเหลือเกินนายตำรวจในผ้านุ่งเปลือยท่อนบนเดินเช็ดผมออกมาจากห้องน้ำ เสียงพรูลมหายใจเพราะความโล่งสบายถูกขับออกมาเมื่อเจ้าของห้องเดินมาพาดผ้าขนหนูกับราวไม้ในห้องตอนนี้เรียกได้ว่าเขาได้โอกาสกลับมาแล้วได้ไหมนะ... ตลอดมาด้วงปฏิเสธเขาตัวโยน ทั้งเขายังเผลอทำอะไรไม่ยั้งคิดลงไปตั้งหลายครั้ง ไม่รู้ป่านนี้เขาจะได้รับการให้อภัยแล้วรึยัง*ก๊อก ก๊อก*‘ผมเอง’เพียงแค่สองพยางค์ไกรวิชญ์ละมือจากราวผ้าเช็ดตัวเดินไปเปิดประตูให้ในทันทีโดยลืมไปว่าตัวเองลืมสวมเสื้อ แต่ด้วงนั้นไม่ได้คิดอะไรเดินเข้ามาแบบสบายใจพร้อมกล่าวหัวข้อการสนทนา โดยเป็นไกรวิชญ์เองที่ล่กเอื้อมมือไปหยิบเสื้อที่พาดอยู่มาสวมแทบไม่ทัน“พี่รู้เรื่องครูอุ่นเขารึยัง?”“หมายถึงเรื่องที่เขาเป็นทหารเหรอ?”“ใช่”ไกรวิชญ์เก็บสีหน้าเพราะเหมือนด้วงจะเข้ามาคุยเรื่องอนาคตการเรียนของลูกชายเขา ไกรวิชญ์จึงเดินไปเร่งไฟตะเกียงหัวเตียงให้สว่างพอที่จะทำการสนทนาอย่างเป็นกิจจะล
การกระทำที่ไม่เป็นตัวเองล้วนเกิดมาจากความกลัวภายใต้จิตสำนึกโดยที่เจ้าของร่างไม่อาจควบคุมได้ เหมือนกับการพยายามเปล่งเสียงตะโกนขอร้องความช่วยเหลือในกล่องมืดที่ไร้ซึ่งผู้คน น้องชายเขาคงเป็นเช่นนี้มาตลอด บอกใครไม่ได้เพราะกลัว หนีไม่ได้เพราะใจยังห่วง ทว่ากลับอ่อนแอจนไม่อาจมีแรงยืนหยัด ดังนั้นหนทางเดียวคือการสร้างเกราะ กีดกันทุกอย่างที่จิตใต้สำนึกสั่งให้เอาออกไปจากชีวิต‘แค่พูดคำไม่กี่คำ...’นั่นคือสาเหตุว่าทำไมน้องชายถึงได้ปฏิเสธเขาหนักหนา ด้วยแรงกดดันอันมหาศาลและสถานการณ์อันบีบคั้นส่งผลให้เด็กคนนั้นจำฝังใจมาจนถึงทุกวันนี้รักกันไม่ได้เพราะกลัวมารดาจะเป็นอันตรายรักกันไม่ได้เพราะกลัวทำครอบครัวคนอื่นแตกแยกรักกันไม่ได้เพราะกลัวหลานชายที่กำเนิดมาจะผิดหวังมันเป็นปัญหาลูกโซ่ที่สืบเนื่องมาจากคำขู่ไม่กี่คำในวัยเยาว์ ค่อย ๆ ซึมลึกลงไปยังก้นบึ้ง แตกหน่อออกผลตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาอย่างเงียบ ๆ กัดกินจิตใจเป็นอาหาร ประหนึ่งมีดคมที่ค่อย ๆ เฉือนเนื้อออกไปทีละนิดอย่างประณีตบรรจงเสียงร่ำไห้ที่เขาได้ยินเหมือนมันเป็นความโศกเศร้าตลอดร่วมสิบปี
สองชายหนุ่มคนหนึ่งเป็นตำรวจคนหนึ่งเป็นอาจารย์พากันมานั่งรอรับยาหน้าโรงพยาบาล เพราะหลังจากเมื่อคืนที่ตากฝนกันไปร่วมชั่วโมงก็พลอยทำให้เชื้อหวัดลงปอดไอกะด้อกะเดี้ย น้ำมูกไหลจมูกแดงไปตาม ๆ กันไกรวิชญ์รู้เรื่องจากปากอาจารย์เจ้าว่าวันนั้นได้ทำอะไรกับน้องชายเขาไปบ้างก็มีน้ำโห กล้าทำกับผิวอันบอบบางแบบนั้นไปได้อย่างไรถึงมันจะเป็นการแสดงเพื่อให้ด้วงเลิกกับตัวเองก็เถอะดันกิเองเมื่อจัดการศัตรูที่เข้ามาและฝังกลบดินไปแล้วก็หันมามองเขม่นใส่นายตำรวจคนที่คุณดลรวีหลงนักหลงหนาแล้วมาใช้เขาเป็นตัวแทนเพื่อตัดใจ“ผมโคตรอยากต่อยคุณเลย”“เอาเข้าจริงผมก็อยากต่อยคุณเหมือนกัน”“…”“…”“สนใจมาแลกกันคนละหมัดไหม?”“ผมก็คิดอยู่แต่แบบนั้นคุณดลรวีน่าจะไม่ชอบ”“ผมก็ว่างั้น”‘ขอเชิญหมายเลข ๒๒๓ รับยาที่ช่องเจ็ดค่ะ’ ดันกิถอนหายใจออกมาพลางลุกขึ้นไปรับยาพร้อมถือกระเป๋าติดตัวไปด้วย เมื่อรับยาเสร็จทีแรกที่คุยกับไกรวิชญ์เขาว่าจะขึ้นไปเยี่ยมคุณดลรวีด้วยกัน แต่พอมาคิด ๆ ดูแล้วคนที่ไม่สามารถปกป้องเจ้าตัวได้อย่างเขาไม่มีสิทธิ์ไ
เสียงพื้นรองเท้ากระทบฝนยังคงไม่หายไปแม้เวลาจะล่วงเลยมาเกือบหนึ่งชั่วโมงนับตั้งแต่ที่ไกรวิชญ์ได้รับโทรศัพท์มาจากแม่เลี้ยงแล้วก็ตาม แน่นอนว่าเขาไม่มีกะจิตกะใจแม้แต่จะเปลี่ยนเสื้อผ้า ยังคงสวมเครื่องแบบตำรวจวิ่งตามหาไปทั่วอยู่อย่างนั้น รวมไปถึงอาจารย์ชาวญี่ปุ่นด้วยเช่นกันชายสองคนวิ่งกลับมาเจอกัน ณ หน้าจุดนัดพบหน้าบ้านเมื่อแยกกันไปหาคนละทางแต่ยังไม่พบวี่แววของคนน้องแม้สักนิด ยิ่งเวลาผ่านไปเรื่อย ๆ ยิ่งทำให้ทั้งนายตำรวจและอาจารย์เป็นห่วงขึ้นไปอีก“ผม...ขอโทษ”ดันกิกล่าวขออภัยด้วยใจรู้สึกผิด หากเขาไม่ทำแบบนั้นบางทีคุณดลรวีคงจะกลับบ้านอย่างปลอดภัยหรือไม่หากเขาทำหน้าหนาตามมาส่งสักหน่อยเรื่องแบบนี้อาจไม่เกิดขึ้นก็เป็นได้“คำนั้นเอาไว้พูดหลังหาด้วงเจอก็แล้วกัน”ไกรวิชญ์พูดด้วยความร้อนรน พลางมองหาเบาะแสที่เขาอาจพลาดไป เมื่อสักครู่เขาแยกไปดูยังเส้นทางอื่นที่น้องชายสามารถเดินกลับบ้านได้แต่ก็ไม่เจอ จึงคิดจะวกกลับไปดูอีกครั้งยังทางเข้าหลักหน้าหมู่บ้านเป็นครั้งที่สองนายตำรวจก้าวขาเดินออกไปโดยไม่ได้บอกกล่าวอาจารย์ที่อาสาตามหาเจ้าน้องด้วยกัน ทว
เนื่องจากตำรวจยังไม่สามารถตามจับกุมนักโทษที่หลบหนีได้ทั้งหมด แม้มันจะเหลือเพียงส่วนน้อยแล้วก็ตามแต่อย่างไรเพื่อความปลอดภัยของผู้คนในเขตนั้น ๆ เมื่อได้เบาะแสอะไรมาพวกเขาจึงต้องเอามาร่วมพิจารณา ยิ่งไปกว่านั้นคดีที่ค้างคาอยู่ก็ยังต้องนำมาพูดถึงเป็นลำดับไปสำหรับการวางแผนในอนาคตอีก“ขอบคุณทุกคนมาก กลับบ้านได้”เป็นไกรวิชญ์ที่กล่าวประโยคนั้น แม้เพื่อนร่วมงานสน.นี้จะขยันขันแข็งกันขนาดไหน แต่เขาก็เข้าใจหัวอกบางคนที่มีลูกมีเมียอยู่บ้าน หากเขารั้งไว้คงจะไม่เป็นการดีนัก“ไอ้ไกร วันนี้ไม่ใช่เวรเอ็งไม่ใช่เหรอ?”พูนกลับมาจากโต๊ะประชุมพร้อมเพื่อนในขณะที่เขาเก็บของลงกระเป๋า แต่ไกรมันกลับนั่งลงหยิบสำนวนขึ้นมาเปิดไปมาเสียอย่างนั้น“ขอทำความเข้าใจตรงนี้ก่อน”“ขี้เกียจบ้างเถอะพ่อคุณ”“ไว้ค่อยทีหลัง”“แบบนี้น้องไม่ห่วงแย่แล้วรึ?”“ด้วงจะมาห่วงอะไรฉัน”“ใช่ว่าเขามีชิ้นแล้วจะเมินเอ็งสักหน่อย”“ช่างฉันเถอะน่ะ”เพราะรำคาญเสียงจ้อกแจ้กของเพื่อนจึงบอกปัดไป ก่อนจะต่างฝ่ายต่างโบกมือลา ไกรวิชญ์จึงได้กลับมาตั้งสมาธิก
“แหม ถือร่มมารับเลยนะครับ”“ก็ฝนตกมาตั้งแต่เช้าแล้วนี่ครับ”แผนซึ่งมาโบกธงเจอหน้าคนรักของเพื่อนพอดีจึงถือโอกาสสนทนาระหว่างด้วงมันกลับมาจากห้องน้ำ หลังจากวันที่ไอ้ด้วงเป็นลม อาจารย์คนนี้คล้ายจะประคบประหงมเป็นพิเศษเพราะรถไฟพึ่งออกและยังอยากตากลมเย็นจึงนั่งบนเก้าอี้รอไอ้ด้วงเป็นเพื่อนอาจารย์ชาวญี่ปุ่น เรื่องราวที่เขาเข้าใจกับที่เกิดขึ้นมันย้อนแย้งกันไปคนละทิศละทาง แต่อย่างไรก็โต ๆ กันแล้ว หากเพื่อนเขาตัดสินใจแบบไหนเขาก็ตามนั้นไม่ได้เป็นปัญหาอะไรหรอกเพียงแต่...เขาในฐานะเพื่อนจริง ๆ ก็คอยจับสังเกตมาตลอด เคยลองเซ้าซี้ทว่ามันกลับเอาแต่บอกว่าไม่มีอะไร ไม่นู่น ไม่นี่จนเขาเหนื่อยหน่าย ทำได้เพียงมองเมียงกลัวมันจะเป็นอะไรเข้าในสักวัน และก็เป็นไปตามคาดจริง ๆ ไม่รู้มันไปเอาความเครียดมาจากไหนเยอะแยะจนแต่ละวันน้อยครั้งนักที่จะเห็นมันยิ้มออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ ขนาดคนรักเจ้าตัวมาพูดคุยด้วยก็ยังคงทำหน้านิ่งเฉย ต่างจากสมัยยังเป็นเพื่อนผู้โดยสารลิบลับ“ขอโทษที่ต้องให้รอนะครับ”“ไม่เป็นไรครับ”แผนโบกมือลาเจ้าเพื่อนเป็นครั้งสุดท้ายของวันเพรา
“ขี้เกียจทำงานแล้ว...เฮ้อ”เสียงบ่นอิดออดนั่นออกมาจากปากเพื่อนเพียงคนเดียวของไกรวิชญ์อย่างเจ้าพูนที่ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ไร้เรี่ยวแรงจะทำงาน ไกรวิชญ์ซึ่งชินชากับนิสัยนั้นแล้วจึงก้มหน้าก้มตาทำงานต่อไปหลังไม่ได้แตะปากกากับกระดาษมานานหลักเดือนพันโทหรี่ตามองคุณพ่อตำรวจทำงานไฟลุกด้วยหน้าตาอันเรียบเฉย ถ้าเป็นเขาโดนหักเงินเดือนคงไม่มานั่งตั้งใจทำงานเกินค่าจ้างแบบนี้หรอก ว่าแล้วก็ถอนหายใจอีกครั้งเป็นการพ่นความเครียดที่ไม่มีอยู่จริงออกมา‘เมื่อไหร่จะจับพวกมันให้หมดสักที รู้ไหมพวกฉันกังวลแค่ไหน!?’‘ทำงานให้มันดี ๆ หน่อย!’‘ถ้าจะชักช้ายืดยาดแบบนี้ก็ไม่ต้องเป็นหรอกตำรวจน่ะ!!’พูนได้ยินเสียงโวยวายของชาวบ้านแว่วมาจากทางด้านนอกก็เอือมระอา ในตอนที่ไกรมันไม่อยู่ก็เป็นเขาที่บากหน้าออกไปรับคำดุด่าว่ากล่าวแทน เอาเข้าจริงใช่ว่าพวกเขาตลอดทั้งเดือนที่พยายามสืบหากันมาก็ทยอยจับมาได้เรื่อย ๆ แต่เพราะนี่เป็นข่าวใหญ่ที่ยังลงสื่อวิทยุและหนังสือพิมพ์ทางการ ไม่แปลกที่ผู้คนจะให้ความสนใจและเพ่งเล็งผู้พิทักษ์สันติราษฎร์อย่างพวกเขาขนาดนี้“เมื่อวานก็มา พวกป้
‘แม่พึ่งถักแล้วซักเสร็จ ลูกเอาไปใส่ด้วยนะ’แม่บอกเขามาเช่นนั้นพร้อมมอบผ้าพันคอไหมพรมสีเทามาให้ ปกติแล้วบ้านเราไม่ค่อยมีของพวกนี้เท่าไรนักเพราะหน้าหนาวประเทศไทยก็ใช่ว่าจะหนาวมากมาย เผลอ ๆ บางวันร้อนเหมือนเตาถ่าน ทว่าวันนี้เพียงตื่นมาก็ต้องขนลุกซู่เพราะลมหวิวที่แทรกเข้ามาตามช่องไม้ เขาจึงปฏิเสธไม่ได้ที่จะรับมันมานายสถานีหลังทานข้าวต้มมื้อเช้าเสร็จก็ผูกผ้าพันคอเดินลงมาสวมรองเท้าคู่ใจออกจากบ้านตามปกติ บรรยากาศวันนี้ค่อนข้างอึมครึมพิกล ทั้งมือเขายังรู้สึกเจ็บแปล๊บ ๆ ทุกครั้งที่ขยับ อาจเพราะความเย็นกัดผิวก็เป็นได้ เขาหวังว่าเจ็ดโมงที่สถานีจะมีคนต้มน้ำอุ่นเอาไว้จิบคลายความหนาวเดินไปเรื่อยจู่ ๆ ก็รู้สึกหิวทั้งที่พึ่งกินมา จะว่าไปเมื่อเช้าแทบไม่ได้แตะอะไรไปเท่าไรนัก ข้าวในถ้วยก็น้อยนิดแต่กว่าจะฝืนกินจนหมดก็นานโข กินอะไรไม่ลงแบบนี้ค่อนข้างส่งผลร้ายต่อร่างกายหลายด้านเลยเชียวยิ่งไปกว่านั้นเมื่อคืนเขาก็ดันฝันถึงเรื่องเดิม ๆ จนสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึกอีกแล้ว ตอนแรกคิดว่าอาจเพราะชอบนอนคุดคู้เอาหน้าซุกผ้าห่มจนหายใจไม่ออกแต่มันไม่ใช่เลย ที่ฝันร้ายนั่นกลับม
“เครื่องแบบไม่มีที่เป็นแขนยาวสำหรับหน้าหนาวเหรอครับ?”“พวกเราใส่แบบเดียวกันตลอดทั้งปี ไม่มีแยกตามฤดูกาลหรอกครับ”“แบบนี้ก็ไม่ดีน่ะสิ”“ฮ่า ๆ ประเทศนี้ถ้าหนาวมาทีก็ถือว่าบุญส่งแล้วครับ ปกติร้อนเกือบทั้งปี”ด้วงรู้สึกว่าตัวเองตอบคำถามไม่ค่อยเป็นธรรมชาติสักเท่าไรเมื่อเทียบกับเมื่อก่อนทั้งตอนนี้คุณอุ่นยังเป็นคนเริ่มบทสนทนาอยู่ฝ่ายเดียว เขากลัวอีกฝ่ายจะตั้งแง่สงสัย อย่างน้อยเขาก็ควรเป็นฝ่ายถามกลับไปบ้าง“ถุงหอมที่ให้ไปเป็นยังไงบ้างครับ?”“หอมผ่อนคลายมากเลยครับ ผมห้อยติดกระเป๋าไว้ตลอดเลย”ว่าแล้วอาจารย์แกก็ยกกระเป๋าถือขึ้นมาให้เขาดู บริเวณโลหะข้อต่อหูกระเป๋ามีตาข่ายถุงหอมห้อยอยู่ ด้วงเห็นแล้วก็สะกิดใจ ทั้งที่มันแขวนให้เขาเห็นมาตลอดแต่กลับไม่ได้สังเกตเลย สงสัยต่อจากนี้เขาควรใส่ใจคุณอุ่นให้มากกว่าที่เป็นอยู่เสียแล้ว“ขอบคุณที่เดินมาส่งถึงหน้าบ้านอีกแล้วนะครับ”“ผมก็ขอบคุณที่ให้ผมเดินมาส่งเช่นกันครับ”ก่อนที่อาจารย์เจ้าจะไป ด้วงก็บังเอิญสังเกตไปยังสีท้องฟ้าวันนี้ แล้วจึงหันมาแอบมองนาฬิกาข้อมือของอาจารย์ ไหน ๆ