เมื่อเข็มหน้าปัดนาฬิกาชี้เลขสิบสองพร้อมกัน ด้วงจึงขอตัวจากเพื่อนร่วมงานออกจากสถานีมากินข้าวตามปกติโดยมีเสียงโอดโอยของแผนเพื่อนสนิทไล่หลังเพราะเขาไม่เคยแม้แต่จะไปกินข้าวเที่ยงกับมันเลย
ไม่รู้ว่าป่านนี้พี่จะตื่นรึยัง หรืออีกความหมาย วันนี้พี่จะพาตัวเองตื่นขึ้นมาไหวหรือเปล่า ไม่ใช่ว่าต้องให้เขาไปช่วยพยุงอีกหรอกนะ
“…”
เมื่อความคิดเป็นห่วงแล่นเข้ามา ไม่นานก็ตามมาด้วยภาพเหตุการณ์เมื่อคืนวาน เมื่อสักครู่เขาลืมเรื่องนี้ไปได้อย่างไร ทว่าพอมานึกได้ก็อยากจะลืม ๆ ไปเสียให้สิ้นเรื่อง เพราะเจ้าพี่อย่างไรตื่นมาก็คงจำอะไรไม่ได้อยู่แล้ว
ฝีเท้าที่ก้าวไปข้างหน้าฉับไวกลับค่อย ๆ ชะลอและหยุดกึกเมื่อสิ่งของตรงหน้าคือประตูรั้วสีขาวที่คุ้นเคย เขาไม่กล้าเปิดมันทั้ง ๆ ที่รู้ว่าหากไม่ส่อพิรุธก็จะไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น
“เฮ้อ…”
ด้วงถอนหายใจระบายความหนักอก เขาจะมัวแต่ยืนแช่อยู่ตรงนี้ไม่ได้ เพราะตอนบ่ายยังมีงานที่ต้องทำ เอาเป็นว่าเขาจะรีบกินรีบออกก็แล้วกัน-
‘สวัสดีจ้ะหนูกันต์ ต่อจากนี้ครูจะมาเป็นอาจารย์สอนพิเศษของหนูนะจ๊ะ’
เสียงแหลมเล็กของหญิงสาวแว
ตอนนี้เขากำลังนั่งอยู่ในสน.อย่างเคย ดีหน่อยที่เอกสารจิปาถะดำเนินไปได้ด้วยดีทำให้เขาสามารถกลับมาเพ่งสมาธิไปกับภารกิจสุดท้ายได้อย่างเต็มตัว อีกไม่นานเขาจะได้กลับไปใช้ชีวิตตามปกติ ไม่ต้องก้มหน้าเขียนงานงก ๆ อีกต่อไปไกรวิชญ์สัมผัสได้ถึงกลิ่นแปลก ๆ ระหว่างเขากับน้องชาย แม้รู้ว่าเมื่อครั้งก่อนยามอีกฝ่ายโทรศัพท์จะจงใจไม่พูดความจริง แต่ในตอนนั้นเขากลับรู้สึกว่าการไปถามตามตรงคงจะไม่ใช่เรื่องที่ดีสักเท่าไรนัก มันคงมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นในคืนก่อนหน้าที่เขาเมาเขาพยายามนึกคิดด้วยตัวเองแต่กลับจำอะไรไม่ได้ ถึงพูนมันมาเล่าให้ฟังว่าเขาขึ้นบ้านได้อย่างไรก็ไม่สามารถเชื่อมโยงความจำได้เพราะหลังจากนั้นเขาอยู่ด้วงตามลำพัง หากไม่ถามเจ้าตัวแล้วจะไปถามใคร กระนั้นคราวจะหาจังหวะถาม ด้วงก็เอาแต่ปฏิเสธบทสนทนายิ่งกว่าเมื่อก่อน นอกจากจะหลบหน้าแล้วยังไม่ยอมคุยเรื่องชีวิตประจำวันหากไม่ใช่เรื่องของกันต์ธีร์ ยิ่งทำเขาอยากรู้เรื่องราวในคืนนั้นเข้าไปใหญ่‘แม่ ผม…’แม่อย่างนั้นเหรอ เขาได้ยินแว่ว ๆ จากการยกหู โทรศัพท์ในครั้งนั้น ตอนนี้แม่แท้ ๆ ของด้วงหรือแม่เลี้ยงของเขาอา
“ผมไม่ถนัดทานของหวาน แต่ถ้าคุณบอกว่าดีผมจะลองดูครับ”ด้วงยกมุมปากยิ้มกว้างน้อมรับความเอาใจใส่ของอาจารย์เจ้า นี่คงเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ไม่อยากให้เขาไปร้านอื่นสินะ“โดยเฉพาะน้ำมะพร้าว”เขารู้สึกได้ว่าตอนนี้หัวใจของเขาเต้นแรงกว่าปกติ มันคงไม่ใช่เพราะอากาศร้อน เพราะในห้องนี้มีลมโกรกผ่านช่องหน้าต่างอยู่ตลอดบทสนทนา และคงไม่ใช่เพราะเขากำลังเกร็งอยู่ หรือมันจะเป็นความรู้สึกที่อยู่เหนือไปกว่านั้นกัน*กริ๊ก* ระหว่างที่ด้วงกำลังมองจานที่เต็มไปด้วยอาหารที่คุณอุ่นตักให้ ก็ได้ยินเสียงคล้ายโลหะกระทบกันเบา ๆ เมื่อเงยหน้าขึ้นมาด้วยความสงสัย จึงเห็นแสงสะท้อนบริเวณอกก่อนจะปรับสายตาจนได้เห็นว่าเจ้าตัวสวมสร้อยคออยู่“คุณอุ่น”“ครับ?”ด้วงที่กลืนข้าวลงคอเรียบร้อยแล้วจึงเรียกเพื่อนร่วมโต๊ะอาหาร นายสถานีชี้ไปยังบริเวณอกของตัวเองให้อาจารย์ชาวญี่ปุ่นก้มหน้าลงไปมองจนเห็นว่าตัวเองทำสร้อยคอหลุดออกจากเสื้อเชิ้ต“อ่า ขอบคุณนะครับ”ดันกิกล่าวพลางรวบหยิบสายคล้องยัดกลับเข้าคอปกก่อนจะจัดแจงเสื้อผ้าให้เรียบร้
“ไอ้ด้วง ช่วงนี้มึงดูแปลก ๆ ไปนะ”แผนเดินเข้ามาหาเจ้าเพื่อนสนิทหลังทำหน้าที่โบกธงสัญญาณ เสียงรองเท้าหนังคู่เก่าเดินเตาะแตะมานั่งบนเก้าอี้ไม้ข้างเจ้าเพื่อนผู้ห่อเหี่ยว มันบอกว่าได้ย้ายกะสัปดาห์หน้า เขาก็ว่าจะย้ายตามเพราะส่วนตัวไม่ได้อยากร่วมงานกับพวกตาลุงพูดมากสักเท่าไรนัก ในสถานีนี้คนที่เด็กสุดก็เป็นพวกเขาสองคนกับหลานสาวสามขวบของคุณปู่นักการภารโรงตอนนี้นอกสถานีฝนตก ทุกคนไม่ว่าจะเป็นผู้โดยสารหรือไม่ต่างพากันเข้ามาหาที่นั่งหลบฝน หรือจะเป็นเพราะสภาพอากาศจึงส่งให้คนที่มีเรื่องกลุ้มใจอยู่แล้วหดหู่ยิ่งขึ้นไปอีก จนตอนนี้เขาถามไปตั้งแต่เสียงระฆังดัง ด้วงมันก็ยังคงนั่งห่อไหล่ก้มมองพื้นลายหินกรวดอยู่“ด้วง มึงไหวปะเนี่ย?”ครั้งนี้แผนวางธงสองสีไว้ข้าง ๆ แล้วจึงใช้สองมือเขย่าตัวเพื่อนตัวใหญ่ให้เงยหน้าขึ้นมามองกัน อย่างน้อยให้มันด่าเขาสักนิดก็ยังดี“ด้วง! มึงเป็นอะไร ถ้าป่วยก็ไม่ต้องมาทำงานดิวะ”“…”“สภาพแบบนี้มึงทำงานไม่ไหวหรอก”“กูไหวเว้ย…”“สภาพแบบนี้ยังอุตส่าห์พูดมาได้อีกนะ”ตอนนี้สภาพของไอ้ด้วงดูไม่จืด แม้จ
“ตอนนี้เลยกำลังหาให้ใหม่อยู่นี่ไง เราต้องการอะไรอีก”“นี่พี่ไม่รู้อีกเหรอ ผมบอกไปตั้งแต่ทีแรกแล้วว่ากันต์ไม่ต้องการครูสอนพิเศษ แต่พี่ก็ยังจะยัดเยียดให้ คะแนนมันไม่ใช่ทุกอย่างในชีวิตนักเรียนนะ”“ใจจริงพี่ก็อยากจะให้มันเป็นแบบนั้นเหมือนกันด้วง แต่รู้อะไรไหม ว่าเวลาเขาสมัครงานเขาก็ดูจากแค่ตัวเลขบนหน้ากระดาษเท่านั้นแหละ ไม่มีหรอกที่เขาจะมาทำความรู้จักตัวตนของเราทีละคน…แล้วเราบอกว่ากันต์ไม่อยากเป็นตำรวจใช่ไหม? ถ้าแบบนั้นก็ยิ่งต้องทำให้ดี เพราะนอกเหนือไปจากตำรวจพี่ก็ช่วยอะไรลูกไม่ได้แล้ว”ด้วงรับฟัง แต่ใจลึก ๆ ยังคงปฏิเสธส่วนหนึ่งเพราะนิสัยดื้อรั้นของตัวเองที่มีมาแต่ยังเด็กจึงไม่อยากจะยอมง่าย ๆ เขาอยากให้พี่ผ่อนปรนลงลงมาบ้างและก็ไปขอโทษสำหรับเรื่องที่ผ่าน ๆ มาเสีย เพราะแม้จะเป็นลูกนายตำรวจยศสูงในตระกูลอันมีเกียรติแต่เด็กก็คือเด็ก เขาไม่ควรที่จะได้รับแรงดดันมากมายขนาดนี้“พี่ รู้ไหมว่ากันต์เขาเป็นทุกข์ขนาดไหน เขาเคยบอกกับผมว่าอยากทำให้คุณพ่อกับคุณอาภูมิใจ และเด็กอย่างเขาก็พยายามเท่าที่ทำได้แล้ว”“ใช่ว่าทุกความพยายามจะได้มาซึ่งผลลัพธ์นะด้วง”
“ถ้าเป็นกูคงหนีไปนานแล้ว”นั่นคือสิ่งที่เขาคิดหลังจากได้ฟังเจ้าเพื่อนด้วงเล่าความ ดูมุมไหนไอ้พี่ชายหัวหมูหย็องคนนั้นของเจ้าด้วงก็เป็นทั้งพี่ทั้งพ่อที่ไม่ได้เรื่อง สู้หอบหลานหนีไปพักจิตพักใจสักอาทิตย์ยังจะดีเสียกว่าด้วงฟังเจ้าเพื่อนแสดงความคิดเห็น หลังออกมาจากห้องน้ำเขาตัดสินใจได้ว่าเรื่องนี้เขาคงต้องปรึกษาใครสักคนจริง ๆ ทว่าเขาเล่าความเฉพาะปัญหาของน้องกันต์แต่เพียงเท่านั้นเพราะความสัมพันธ์ระหว่างเขาสองคนจะให้ใครมารู้สุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้ แต่ใช่ว่าเขาจะไม่เคยอยากบอกเรื่องนี้กับคนสนิทใจ ทว่าเมื่อต้องจินตนาการถึงสีหน้าเมื่อได้ยินว่าพี่-น้องกำลังชอบพอในเชิงชู้สาว เขาจึงจำต้องกลืนคำพวกนั้นลงไปทั้งหมด เรื่องนี้ต่อให้ปั้นแต่งคำสวยหรูออกมาอย่างไรแต่ความจริงที่ว่าพี่ชายกำลังรุกล้ำผู้เป็นน้องก็ไม่อาจปฏิเสธได้ด้วงเหลือบมองนาฬิกาเรือนโตใจกลางโดมกระจกของสถานีบอกเวลาเที่ยงตรง ไม่นานเขาต้องเตรียมตัวเก็บกระเป๋ารีบกลับไปทานมื้อกลางวันที่บ้าน เมื่อเช้าเขาลางานกับหัวหน้าเอาไว้แล้วว่าภาคบ่ายจะต้องไปรับหลานชายที่โรงเรียน“คุยอะไรกันอยู่เหรอจ๊ะ!”นายสถานี
“ ‘เหมือนกัน’ ที่แกหมายถึง...คืออะไร”เขาเปล่งเสียงถามอย่างเป็นไปเอง ทว่าคนด้านในกลับไม่ตอบ เมื่อได้ยินก็ทำเพียงแต่ผินหน้ามามองเหมือนรู้อะไรบางอย่างแล้วจึงหันกลับไปให้ความสนใจกับสิ่งของภายในห้องเขาไม่มีความคิดที่จะต่อบทสนทนากับนักโทษตั้งแต่แรก เมื่อสักครู่เป็นเพียงอารมณ์ชั่ววูบเท่านั้น ทว่าทำอย่างไรมันก็ไม่ยอมออกไปจากหัวไกรวิชญ์เดินออกมาจากทางเดินยาวปิดประตูด้วยความรวดเร็วคิดจะรีบพาตัวเองออกจากที่แห่งนี้ให้ได้เร็วที่สุดเพราะไม่อยากคิดวนอยู่แต่กับเรื่องไม่เป็นเรื่อง ทว่าเมื่อขึ้นรถมาสมองมันดันวิตกขึ้นมาอีกนายตำรวจนั่งไขว่ห้างกอดอกอยู่ ณ เบาะหลังตำแหน่งเดิมพยายามมองออกไปยังทิวทัศน์รอบข้างทว่ามันกลับมีแต่ป่ารกและเถาวัลย์ที่พันกันเป็นทางยาวยิ่งทำให้ความรู้สึกเขายุ่งเหยิงขึ้นไปอีก นี่เขาไม่พอใจกะอีคำพูดลอย ๆ จากนักโทษไร้การศึกษาขนาดนั้นเลยหรือไร“คุณดูเครียด ๆ นะครับ”เสียงของนายแพทย์ที่คราวนี้ย้ายมานั่งเบาะหลังทักขึ้น ส่งผลให้ไกรวิชญ์กลับมามีสติหันหน้ามามองคุณหมอเจ้าของไข้นักโทษ“ช่วงนี้ผมงานล้นมือน่ะครับ
บ้านเรือนภายนอกสีขาวสะอาดเงียบสงัด มีเพียงสายลมฤดูฝนพัดพาหยดน้ำมาเอื่อย ๆ และเสียงท้องฟ้าคำรามกึกก้อง ไม้ยืนต้นรอบรั้วปลิวไสวให้ใบไม้เสียดสีกันจนเป็นเสียงชวนน่าหดหู่ ประตูหน้าทางเดินถูกปิดสนิทแน่นด้วยแม่กุญแจเมื่อคราวเจ้าของบ้านเข้ามาถึง หน้าต่างประตูชั้นแรกติดดินไม่มีช่องอากาศเข้าไปด้านใน เหลือแต่เพียงบริเวณชั้นสองที่ยังคงเปิดโล่ง ทว่าภายในกลับไร้ซึ่งแสงไฟแสงเทียนรองเท้า ณ ชานพักบันไดเหลือรองเท้าหนังสีดำขลับเพียงคู่เดียวที่ถูกถอดอย่างลวก ๆ เวลาผ่านไปทั้งหน้ากระไดและราวจับเริ่มเปื้อนน้ำฝนแสดงให้เห็นถึงสภาพอากาศที่ไม่น่าอภิรมย์เท่าไรนักพื้นไม้เนื้อดีบนระเบียงชั้นสองประดับต้นไม้ในกระถางดินเคียงข้างม้านั่งโลหะยาวที่มีกระปุกโหลแตกละเอียดกระจายอยู่จากการปาข้าวของเก้าอี้ล้มระเนระนาด ตู้นาฬิกาหล่นลงกระแทกพื้นกระจกแตกเป็นเสี้ยวเล็กเสี้ยวน้อยฝังลงบนร่องไม้กระดานจากแรงกระเทือน เข็มนาฬิกาบิดงอผิดรูปทว่ายังคงพยายามเดินต่อ จนเสียงดีดของเข็มนั้นกระตุกต่อมความรำคาญของนายตำรวจที่นั่งอยู่บนพื้น สุดท้ายมันก็ต้องพังลงด้วยน้ำมือเจ้าของเรือนที่นั่งไม่ห่างเรื
“ผมขอมือหน่อยได้ไหมครับ”นายสถานีให้มือซ้ายไปอย่างง่าย ๆ แล้วจึงเห็นอาจารย์เขาจัดท่าจัดทางให้อยู่ในท่าที่ถนัดถนี่ก่อนจะบรรจงใช้ปลายนิ้วตวัดเขียนเส้นสองเส้นลงบนฝ่ามือที่เต็มไปด้วยรอยแผลของเขา“ในญี่ปุ่น เชื่อกันว่าถ้าเขียนตัวอักษรคนบนมือครบสามครั้งแล้วกินเข้าไปจะช่วยให้หายเครียดได้น่ะครับ”เมื่อกล่าวจบก็เขียนตัวอักษรญี่ปุ่นบนมือครบพอดี อาจารย์จึงจับข้อมือของนายสถานีขึ้นแต่ริมฝีปากของเจ้าตัว ทำเอาด้วงตกตะลึงไปไม่เป็น ดีหน่อยที่ผู้คนที่เดินผ่านไปมาไม่ได้สนใจพวกเขามากนัก นี่คุณอุ่นเขาไม่อายคนเลยหรือไร“การกินตัวอักษรคนเข้าไปสื่อว่าคนพวกนั้นไม่เกี่ยวข้องกับผู้เขียน ไม่ว่ามันจะเป็นใครก็ไม่คู่ควรกับความวิตกกังวลของคุณหรอกนะครับ”คนสวมแว่นกล่าวพลางก้มมองฝ่ามือที่ถนอมจับอยู่ เกลี่ยปลายนิ้วปลอบประโลมเท่าที่สถานะในตอนนี้จะทำได้ด้วงมองการกระทำอันแสนจะน่ารักก็ยกยิ้มเอ็นดูพยักหน้าส่งเสียงในลำคอเป็นการเข้าใจพร้อมผลิยิ้มจนตาที่เศร้าอยู่ยกขึ้น เป็นที่โล่งใจแก่อาจารย์ชาวญี่ปุ่นนักพวกเขาทั้งสองโบกมือลา เห็นว่าครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายที
จากกระดาษที่คุณอุ่นเคยจดชื่อและแผนที่วิทยาลัยที่จะไปทำการบรรยายพิเศษไว้ให้ เขาตั้งใจว่าจะพาน้องกันต์ไปชมด้วยกัน อย่างไรเสียมันก็เป็นเสาร์ที่โรงเรียนมัธยมปิดวันหยุด ทั้งเขายังจะได้ใช้เวลาร่วมกับหลานรักอีกด้วยคุณอาในชุดไปรเวทสีสว่างตัดผิวเดินสะพายกระเป๋าเดินคู่หลานชายวัยสิบสามย่างสิบสี่บนทางเดินอิฐปู เมื่อหยิบกระดาษใบน้อยขึ้นมาดูจึงพอทราบว่าระยะทางเหลืออีกไม่ไกลหลังลงสถานีปลายทาง อาจารย์เจ้าที่แม้จะพูดภาษาไทยได้แต่เขียนไทยยังไม่คล่องก็อุตส่าห์พยายามและวาดรูปให้คนอ่านเข้าใจง่าย ทั้งยังมีตัวอักษรยึกยือมุมขวาล่างเขียนไว้ว่า ‘หวังว่าเราจะได้เจอกันนะครับ’ แม้ทีแรกจะต้องเพ่งสมาธิอ่านเพราะประโยคนั้นไม่ได้เขียนโดยเจ้าของภาษา แต่เขาก็รู้สึกปลื้มที่อาจารย์เจ้าพยายามตวัดเขียนซ้ำแล้วซ้ำเล่าดูจากรอยยางลบกับรอยยับของกระดาษ แผนที่อันนี้คงถูกตระเตรียมมาเป็นอย่างดีเพียงเพื่อมาชวนเขาไปดูการบรรยายภาคเช้า ช่างน่าเอ็นดูเหลือเกินในกระดาษเขียนถึงเส้นทางและระยะเวลาการเดินไว้อย่างละเอียด‘๕ นาที เห็นอาคานสีขาว’ด้วงยกยิ้มมุมปากหัวเราะในลำคอ
ไกรวิชญ์เคยคิดว่าช่วงเวลานี้จะเป็นช่วงเวลาที่เศร้าที่สุดในชีวิต บิดาและภรรยาเขาเสียไปในช่วงเวลาไล่เลี่ยกันเนื่องด้วยเหตุรถชนใจกลางเมืองหลวงขณะออกไปซื้อของ แต่มันเทียบไม่ได้เลยกับตอนที่เขาเสียมารดาไปในวัยเด็กนายตำรวจอนาคตไกลเจ้าภาพพิธีศพสวมชุดดำทางการยืนต้อนรับแขกญาติพี่น้องของทั้งสองคนเข้ามาเคารพศพ เขามองน้องชายและลูกในวัยสิบกว่าขวบนั่งด้วยกันโดยที่กันต์กำลังนอนร้องไห้เศร้าโศกเสียใจอยู่บนตักของคุณอาตลอดมาเป็นพี่เลี้ยงที่ดูแลกันต์จนหย่านมก่อนจะยกเลิกสัญญาจ้างกันไป กระนั้นผู้เป็นแม่กลับไม่ดูดำดูดีปล่อยให้คนอื่นในบ้านเลี้ยงเป็นส่วนใหญ่ แล้วพาตัวเองไปออกงานสังคมลุงแดง คุณน้ามาลีและด้วงจึงเป็นสามคนที่คอยประคบประหงมกันต์แทนเขาที่งานล้นมือตลอดเวลาไกรวิชญ์ชำเลืองมองไปยังป้ายชื่อหน้าโลงสีขาวสะอาดก่อนจะได้อ่านชื่อภรรยาที่อยู่ใกล้สายตามากที่สุด‘กุหลาบ’ คือชื่อของหล่อนอย่างนั้นเหรอ... เขาในฐานะสามีมาตระหนักถึงนามของภรรยาเอาตอนที่เจ้าตัวจากไป ช่างน่าขายหน้าเสียจริง นึกแล้วก็แค่นหัวเราะ เขาที่พยายามบอกตัวเองไม่ให้เอาอย่างบิดา ทว่าตลอดมาตัวเขาเ
วันนี้เป็นวันที่เขาจะได้ถอดสายน้ำเกลือและเก็บข้าวเก็บของออกจากโรงพยาบาลหลังจากอาศัยอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมแคบ ๆ นี้มาเป็นเวลาสองเดือนเต็มด้วงในชุดไปรเวทเสื้อยืดกางเกงขายาวตัวใหม่เอี่ยมตรวจทานตัวเองหน้ากระจกห้องน้ำก่อนจะเปิดประตูออกมากะพูดคุยปรึกษาอาการตนเองกับพยาบาลสักครู่แล้วค่อยถือถุงเสื้อผ้ากลับ“เหมาะกับเรามากครับ”“ขอบคุณที่อุตส่าห์ซื้อให้น้องนะ”ด้วงยิ้มมุมปากก่อนจะรีบเดินไปคว้ากระเป๋าเสื้อผ้าในมือเจ้าพี่แล้วจึงเดินออกมา เขารู้ว่าบางทีมันอาจเสียมารยาทไปสักหน่อยแต่เขาอยากสร้างระยะห่างระหว่างตัวเขากับพี่ไกรให้มากที่สุดเพราะเจ้าตัวแต่งงานจดทะเบียนสมรสแล้ว น่าเสียดายไม่น้อยที่ช่วงเวลานั้นเขายังไม่ได้รับอนุญาตให้ออกจากโรงพยาบาลด้วยว่าหลังสลบคาเตียงเพราะหายใจไม่ออกไปคราวนั้นก็โดนเลื่อนวันออกไปอีก จนในที่สุดวันนี้ก็จะได้กลับไปใช้ชีวิตใหม่เสียทีพี่ไกรหลังจากเรื่องราววันนั้นก็มาหาเขาน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด แต่พอใกล้จะกลับอีกฝ่ายก็มาถี่หรือมาแทบทุกเย็น เพราะช่วงที่ห่างไปนั้นอีกฝ่ายต้องตระเตรียมงานแต่งให้โอ่อ่าสมฐานะ ทว่าคิดอีกทีเขาก็ดีใจที่ไ
“เมื่อกี้เรา...พูดว่าอะไรนะ?”“น้องบอกว่า น้องไม่ได้คิดเรื่องแบบนั้นกับพี่”“เดี๋ยวสิ เรื่องแบบนั้นมันคือ-“น้องไม่ได้รักพี่แล้ว” ไกรวิชญ์หน้าชา นี่เป็นบทสนทนาแรกระหว่างเขากับด้วงที่ตื่นขึ้นมาบนเตียงคนไข้ ทว่าจู่ ๆ อีกฝ่ายกลับพาเข้าเรื่องความสัมพันธ์จากนั้นก็โยงเข้าเรื่องนี้อย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย“ด้วง เราแกล้งอะไรพี่อยู่รึเปล่า?”ไกรวิชญ์ยังคงตั้งสติคิดว่าเจ้าน้องคงจะหาเรื่องหยอกเขาเล่นเป็นแน่ หากเป็นเช่นนั้นก็เป็นการพูดเล่นที่จุกอกพอสมควร-“น้องไม่ได้แกล้ง”“…”ด้วงมองพี่ชายต่างสายเลือดด้วยสายตาเอาจริงเอาจัง เจ้าตัวเงียบไปพร้อมกับใบหน้านิ่งค้าง ก่อนจะปรับท่าทีเอนหลังสูดลมหายใจเข้าและพ่นมันออกมาอย่างหนักใจ“ทำไมจู่ ๆ เราจึงบอกเรื่องนี้กับพี่ครับ”“เพราะน้องคิดว่าพี่สมควรรู้ไว้”“แล้วเราไม่คิดเห็นใจพี่บ้างเลยเหรอ”“…”“ด้วง...ได้มีใครบังคับเรารึเปล่า?”“น้องคิดว่าเรากำลังจะเป็นพี่น้องกัน ไม่ควรมีเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้น...มันก็เท่านั้น”“พ่อพี
*เพียะ!* ฝ่ามือเหี่ยวย่นฟาดเข้าใบหน้านายตำรวจหนุ่มแน่นอย่างจังโดยที่เจ้าของร่างไม่แม้แต่จะหลบหลีก กลับยืนรับแรงบนหน้าแก้มอย่างจัง“ควบคุมอารมณ์ตัวเองหน่อยไอ้ไกร”“…”เขาทำเกินกว่าเหตุ แม้จะมีข้ออ้างที่พอฟังขึ้นบ้างแต่ก็ไม่ทั้งหมดเพราะมีนิ้วมือทั้งสิบที่หักงอผิดรูปเป็นเครื่องพิสูจน์ แค่หมอมาดูก็บอกได้แล้วว่ามันไม่เกิดจากความบังเอิญกระนั้นเมื่อทุกอย่างมาอยู่ในใต้การควบคุมของบิดามันก็ถูกกฎหมายและทนายคนสนิทช่วยเหลือจนเขาสามารถพ้นผิดมาได้แม้จะถูกชะลอการเลื่อนขั้นและตัดเงินเดือนเป็นระยะเวลาหนึ่งก็ตามนายตำรวจเกริกผู้พ่อเมื่อลงมือสั่งสอนบุตรตนก็ลงมาหย่อนกายนั่งไขว่ห้างจุดบุหรี่สูบพ่นควันออกไปนอกหน้าต่างบ้าน พลางเหยียดหางตามองเจ้าลูกชายที่สุขุมมาตลอด แต่กลับกลายเป็นบ้าเมื่อมีเรื่องเกิดขึ้นกับเด็กคนนั้นแม้ขยะแขยงรสนิยมนั่นทว่าในฐานะตำรวจ ลูกเขายังคงต้องเรียนรู้อีกเยอะ ว่าการจะปกป้องสิ่งสำคัญได้นั้นมันมีรายละเอียดมากไปกว่าการบดทำลายอุปสรรค“หากมีคราวหน้า ฉันจะไม่ส่งทนายไปช่วยอีกเป็นครั้งที่สอง”“…”
“เปลี่ยนชุดซะ แล้วเอาชุดเอ็งมาให้ข้า พวกมันไม่ปล่อยเอ็งไว้แน่”ที่พวกมันวิ่งเข้ามาฉุดถึงในเพิง คงจะพาไปปิดปากไม่ให้เรื่องหยาบโลนนี้แพร่งพรายออกไป และเขาเองหากโดนเจอก็คงมีสภาพไม่ต่างกันหรืออาจจะหนักกว่า แต่อย่างน้อยตอนนี้ขอให้แก้วมันปลอดภัยไปได้สักคนก่อน“อะ...เอ็งจะทำอะไร”“รีบเปลี่ยนเถอะ เราไม่มีเวลาแล้ว!”ด้วงขึ้นเสียงดังสนั่นจนแก้วตกใจกลัว ทว่าช่วงเวลาแบบนี้แม้จะทราบว่ากำลังขวัญเสียแต่คราวจะมานั่งปลอบใจกันคงไม่ทันกาลเพราะตอนนี้พวกเขากำลังเล่นกับความเป็นความตายแก้วรีบผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าแต่งกายปลอมเป็นหญิงคลุมผ้าใหม่ ส่วนผืนเก่าเขานำมาคลุมเอง“สถานีอยู่อีกไม่ไกล เอ็งข้ามสะพาน เลี้ยวซ้ายแล้วตรงไปก็จะเจอนายสถานี เอ็งหนีไปจังหวัดอื่นเลย ยิ่งไกลเท่าไหร่ยิ่งดี เข้าใจไหม?”“แล้วเอ็ง-“ข้าจะอยู่ที่นี่ล่อพวกมัน”“แต่-“พวกนั้นมากันแล้ว เอ็งรีบไป!!”ด้วงผลักร่างโฉมงามเข้าปะปนกับฝูงชน ก่อนจะหันหลังออกตัววิ่งล่อความสนใจพวกมันยังกลางถนน แม้รูปร่างสีผิวของเขากับแก้วจะต่างกันอย่างเห็นได้ชัดแต่เพราะเป็นช่ว
“สงสัยอยู่ใช่ไหมล่ะเอ็ง ก็อุตส่าห์เลี้ยงมาตั้งนาน ขอเก็บเกี่ยวหน่อยจะเป็นอะไรไป...ใช่ไหม?” มันพูดปนเสียงขำในลำคอ พูดเรื่องทุเรศแบบนั้นออกมาอย่างไม่รู้สึกรู้สาเนี่ยนะ ด้วงปากสั่นไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาก่นด่าเดรัจฉานพวกนี้ดี กรามฟันกัดกรอดจนกรอบหน้าแข็งเกร็ง เขาต้องหาจังหวะขึ้นไปช่วยไอ้แก้วออกไปจากที่นี่พร้อมกันให้จงได้เด็กหนุ่มคล้ายจะหมดแรงจากการขัดขืนและรอยบอบช้ำที่ได้จากการต่อสู้เมื่อครู่ จึงไม่อาจขัดขืนได้มากมายจนไม่อาจลากจับลากพาขึ้นแคร่เก่าได้อย่างไม่ยากเย็นแขนทั้งสองที่พยายามออกแรงเท่าที่ไหวไม่ได้ทำประโยชน์อะไรให้แก่เจ้าตัวเลยสักนิดนอกจากเพิ่มความกระเส่าเร้าใจให้แก่ชายเบื้องบน จนเมื่อเด็กหนุ่มคงจะสำเหนียกตนได้แล้วว่าไม่มีทางหลุดรอดไปได้จึงยอมละทิ้งร่างกายทั้งหมดให้เป็นที่พอใจ“เหอะ กว่าจะยอมกันได้-*พลั่ก!!*ด้วงใช้โอกาสที่ไอ้ทองชะล่าใจ หยิบคว้าท่อนไม้ที่คงจะหักกลิ้งลงมา และเพราะมันกลืนไปกับดินดอนเมื่ออยู่ในความมืดพวกมันที่ไม่สังเกตจึงมองไม่เห็นด้วงรวบรวมแรงทั้งหมดไว้ที่มืออีกครั
คิดเอาไว้ว่าเป็นเช่นนั้นเอาเข้าจริงการฝืนตื่นขึ้นมากลางดึกแม้เวลาจะผ่านไปแล้วเกือบสามชั่วโมงนับตั้งแต่เขาเข้านอนตอนหกโมงครึ่งมันก็เพลียเอาการรอบข้างภายในกระท่อมมืดสนิทนอกจากเครื่องเรือนอย่างง่ายตามชั้นและพื้นฟากที่เขาห้ามทำให้เกิดเสียงแล้ว ก็ยังต้องเอื้อมมือไปหยิบเชิงเทียนอยู่เหนือศีรษะของผู้เป็นแม่อีก ด้วงเม้มริมฝีปากกลั้นลมหายใจแผ่วค่อย ๆ ชันข้อศอกดันตัวขึ้นอย่างช้า ๆ เพื่อไม่ให้มารดารู้สึกตัว แล้วจึงเอื้อมมือไปจับเชิงเทียนมาไว้ในมือได้สำเร็จ“ด้วง...”“!!!”เจ้าของชื่อสะดุ้งเฮือกก่อนจะก้มมองแล้วเห็นว่ามารดาเพียงพลิกตัวละเมอเอ่ยชื่อเขาขึ้นมาแต่เพียงเท่านั้น ด้วงโล่งใจจากที่เหงื่อตกมาก็นานพอสมควรเขาตั้งใจออกมาจุดเทียนให้แสงสว่างเมื่อเดินออกมาจากกระท่อมได้พอสมควรแล้ว ตอนนี้ภายในบ้านหลังน้อยมีเพียงมารดาที่นอนหลับพักผ่อนกับหมอนและผ้าห่มของเขาที่ระเกะระกะแต่เพียงเท่านั้นอากาศตอนกลางคืนเพราะไม่เคยได้ออกมาจริง ๆ จัง ๆ เขาจึงพึ่งมารู้อายุสิบเจ็ดว่ามันเย็นยะเยือกแม้อยู่ในฤดูร้อน ประกายแสงจากเทียนส่องสะท้อนใบหน้ากลมกลึงจ้องมองเรือนไ
ลูกชายของเธอขวัญเสียอยู่นานหลักวัน ไม่กล้าเดินออกจากกระท่อมสุ่มสี่สุ่มห้าหากไม่ใช่เวลาเข้างาน หกโมงเช้ามักมีท่าทีระแวดระวังเป็นพิเศษเธอกลับมาตอนเที่ยง ๆ บ่าย ๆ ลูกเธอก็ไม่ออกไปช่วยกิจของทางวัดอย่างเคย แม่มาลีเห็นบุตรชายที่ตกบ่ายมาก็ยังนั่งขลุกช่วยหล่อนตำยาสมุนไพรก็นึกสงสัยขึ้นมาเป็นครั้งที่เท่าไรแล้วก็ไม่รู้ ไม่ว่าจะถามไถ่ว่าไปเจออะไรมา ด้วงก็มักจะหลีกเลี่ยงไม่ตอบเสียทุกครั้ง‘มันไม่มีอะไรหรอก’‘สงสัยฉันคงคิดไปเอง’‘ฉันโตแล้วนะ แม่ไม่ต้องเป็นห่วงฉันหรอก’ลูกเธอเป็นคนโกหกไม่เป็น หรือต่อให้พูดโป้ปดก็เป็นคนเผยพิรุธออกมาอย่างชัดเจน เจ้าตัวคงรู้ดีว่าหากโกหกแม่จะรู้ได้ทันทีจึงใช้วิธีหนีจากคำตอบนั้นแม่มาลีนั่งหั่นตะไคร้ใบมะกรูดเมื่อแล้วเสร็จจึงกวาดพวกมันลงถาดสังกะสี พลอยมองเจ้าลูกจอมดื้อโขลกเครื่องแกงอยู่ข้าง ๆ สีหน้านั้นเคร่งเครียดเรียบนิ่งผิดปกติประหนึ่งคนคิดอะไรอยู่ตลอดเวลา คราวอยากจะรู้อีกฝ่ายก็ไม่ปริปากบอกจนเธอเริ่มมีความคิดจะเค้นคอถามหากลูกคนนี้ไม่นำเรื่องมาปรึกษาแม่แท้ ๆ“ด้วง เอ็งออกไปช่วยพระท่านกวาดลานพระธรรมไป”“แต่ว