“ถ้าเป็นกูคงหนีไปนานแล้ว”
นั่นคือสิ่งที่เขาคิดหลังจากได้ฟังเจ้าเพื่อนด้วงเล่าความ ดูมุมไหนไอ้พี่ชายหัวหมูหย็องคนนั้นของเจ้าด้วงก็เป็นทั้งพี่ทั้งพ่อที่ไม่ได้เรื่อง สู้หอบหลานหนีไปพักจิตพักใจสักอาทิตย์ยังจะดีเสียกว่า
ด้วงฟังเจ้าเพื่อนแสดงความคิดเห็น หลังออกมาจากห้องน้ำเขาตัดสินใจได้ว่าเรื่องนี้เขาคงต้องปรึกษาใครสักคนจริง ๆ ทว่าเขาเล่าความเฉพาะปัญหาของน้องกันต์แต่เพียงเท่านั้นเพราะความสัมพันธ์ระหว่างเขาสองคนจะให้ใครมารู้สุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้ แต่ใช่ว่าเขาจะไม่เคยอยากบอกเรื่องนี้กับคนสนิทใจ ทว่าเมื่อต้องจินตนาการถึงสีหน้าเมื่อได้ยินว่าพี่-น้องกำลังชอบพอในเชิงชู้สาว เขาจึงจำต้องกลืนคำพวกนั้นลงไปทั้งหมด เรื่องนี้ต่อให้ปั้นแต่งคำสวยหรูออกมาอย่างไรแต่ความจริงที่ว่าพี่ชายกำลังรุกล้ำผู้เป็นน้องก็ไม่อาจปฏิเสธได้
ด้วงเหลือบมองนาฬิกาเรือนโตใจกลางโดมกระจกของสถานีบอกเวลาเที่ยงตรง ไม่นานเขาต้องเตรียมตัวเก็บกระเป๋ารีบกลับไปทานมื้อกลางวันที่บ้าน เมื่อเช้าเขาลางานกับหัวหน้าเอาไว้แล้วว่าภาคบ่ายจะต้องไปรับหลานชายที่โรงเรียน
“คุยอะไรกันอยู่เหรอจ๊ะ!”
นายสถานี
“ ‘เหมือนกัน’ ที่แกหมายถึง...คืออะไร”เขาเปล่งเสียงถามอย่างเป็นไปเอง ทว่าคนด้านในกลับไม่ตอบ เมื่อได้ยินก็ทำเพียงแต่ผินหน้ามามองเหมือนรู้อะไรบางอย่างแล้วจึงหันกลับไปให้ความสนใจกับสิ่งของภายในห้องเขาไม่มีความคิดที่จะต่อบทสนทนากับนักโทษตั้งแต่แรก เมื่อสักครู่เป็นเพียงอารมณ์ชั่ววูบเท่านั้น ทว่าทำอย่างไรมันก็ไม่ยอมออกไปจากหัวไกรวิชญ์เดินออกมาจากทางเดินยาวปิดประตูด้วยความรวดเร็วคิดจะรีบพาตัวเองออกจากที่แห่งนี้ให้ได้เร็วที่สุดเพราะไม่อยากคิดวนอยู่แต่กับเรื่องไม่เป็นเรื่อง ทว่าเมื่อขึ้นรถมาสมองมันดันวิตกขึ้นมาอีกนายตำรวจนั่งไขว่ห้างกอดอกอยู่ ณ เบาะหลังตำแหน่งเดิมพยายามมองออกไปยังทิวทัศน์รอบข้างทว่ามันกลับมีแต่ป่ารกและเถาวัลย์ที่พันกันเป็นทางยาวยิ่งทำให้ความรู้สึกเขายุ่งเหยิงขึ้นไปอีก นี่เขาไม่พอใจกะอีคำพูดลอย ๆ จากนักโทษไร้การศึกษาขนาดนั้นเลยหรือไร“คุณดูเครียด ๆ นะครับ”เสียงของนายแพทย์ที่คราวนี้ย้ายมานั่งเบาะหลังทักขึ้น ส่งผลให้ไกรวิชญ์กลับมามีสติหันหน้ามามองคุณหมอเจ้าของไข้นักโทษ“ช่วงนี้ผมงานล้นมือน่ะครับ
บ้านเรือนภายนอกสีขาวสะอาดเงียบสงัด มีเพียงสายลมฤดูฝนพัดพาหยดน้ำมาเอื่อย ๆ และเสียงท้องฟ้าคำรามกึกก้อง ไม้ยืนต้นรอบรั้วปลิวไสวให้ใบไม้เสียดสีกันจนเป็นเสียงชวนน่าหดหู่ ประตูหน้าทางเดินถูกปิดสนิทแน่นด้วยแม่กุญแจเมื่อคราวเจ้าของบ้านเข้ามาถึง หน้าต่างประตูชั้นแรกติดดินไม่มีช่องอากาศเข้าไปด้านใน เหลือแต่เพียงบริเวณชั้นสองที่ยังคงเปิดโล่ง ทว่าภายในกลับไร้ซึ่งแสงไฟแสงเทียนรองเท้า ณ ชานพักบันไดเหลือรองเท้าหนังสีดำขลับเพียงคู่เดียวที่ถูกถอดอย่างลวก ๆ เวลาผ่านไปทั้งหน้ากระไดและราวจับเริ่มเปื้อนน้ำฝนแสดงให้เห็นถึงสภาพอากาศที่ไม่น่าอภิรมย์เท่าไรนักพื้นไม้เนื้อดีบนระเบียงชั้นสองประดับต้นไม้ในกระถางดินเคียงข้างม้านั่งโลหะยาวที่มีกระปุกโหลแตกละเอียดกระจายอยู่จากการปาข้าวของเก้าอี้ล้มระเนระนาด ตู้นาฬิกาหล่นลงกระแทกพื้นกระจกแตกเป็นเสี้ยวเล็กเสี้ยวน้อยฝังลงบนร่องไม้กระดานจากแรงกระเทือน เข็มนาฬิกาบิดงอผิดรูปทว่ายังคงพยายามเดินต่อ จนเสียงดีดของเข็มนั้นกระตุกต่อมความรำคาญของนายตำรวจที่นั่งอยู่บนพื้น สุดท้ายมันก็ต้องพังลงด้วยน้ำมือเจ้าของเรือนที่นั่งไม่ห่างเรื
“ผมขอมือหน่อยได้ไหมครับ”นายสถานีให้มือซ้ายไปอย่างง่าย ๆ แล้วจึงเห็นอาจารย์เขาจัดท่าจัดทางให้อยู่ในท่าที่ถนัดถนี่ก่อนจะบรรจงใช้ปลายนิ้วตวัดเขียนเส้นสองเส้นลงบนฝ่ามือที่เต็มไปด้วยรอยแผลของเขา“ในญี่ปุ่น เชื่อกันว่าถ้าเขียนตัวอักษรคนบนมือครบสามครั้งแล้วกินเข้าไปจะช่วยให้หายเครียดได้น่ะครับ”เมื่อกล่าวจบก็เขียนตัวอักษรญี่ปุ่นบนมือครบพอดี อาจารย์จึงจับข้อมือของนายสถานีขึ้นแต่ริมฝีปากของเจ้าตัว ทำเอาด้วงตกตะลึงไปไม่เป็น ดีหน่อยที่ผู้คนที่เดินผ่านไปมาไม่ได้สนใจพวกเขามากนัก นี่คุณอุ่นเขาไม่อายคนเลยหรือไร“การกินตัวอักษรคนเข้าไปสื่อว่าคนพวกนั้นไม่เกี่ยวข้องกับผู้เขียน ไม่ว่ามันจะเป็นใครก็ไม่คู่ควรกับความวิตกกังวลของคุณหรอกนะครับ”คนสวมแว่นกล่าวพลางก้มมองฝ่ามือที่ถนอมจับอยู่ เกลี่ยปลายนิ้วปลอบประโลมเท่าที่สถานะในตอนนี้จะทำได้ด้วงมองการกระทำอันแสนจะน่ารักก็ยกยิ้มเอ็นดูพยักหน้าส่งเสียงในลำคอเป็นการเข้าใจพร้อมผลิยิ้มจนตาที่เศร้าอยู่ยกขึ้น เป็นที่โล่งใจแก่อาจารย์ชาวญี่ปุ่นนักพวกเขาทั้งสองโบกมือลา เห็นว่าครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายที
คุณครูที่โรงเรียนประถมเคยกล่าวเอาไว้ในคาบเรียนวิชาใดวิชาหนึ่งว่า ‘เด็กนั้นความจำดี’ ทีแรกเขานั้นไม่เชื่อ ตัวอักษรแต่ละตัวในหนังสือกว่าเขาจะจำได้ต้องอ่านแทบเป็นแทบตาย ทว่ายิ่งกาลเวลาผ่านไปประโยคนั้นกลับค่อย ๆ กลายเป็นความจริงบ้านไม้หลังเก่าสีน้ำตาลดำโบราณตั้งเด่นท่ามกลางหมู่บ้านในกลางเมืองต่างจังหวัด รายล้อมไปด้วยเสาไฟเชื่อมบ้านแต่ละหลังเข้าด้วยกัน เสียงนกกาเหว่าคลอประสานมากับสายลมที่พัดมวลไม้รอบเรือนให้พลิ้วปลิวไกรวิชญ์ในวัยสิบขวบกว่านั่งอยู่ ณ ใจกลางเรือนโอ่อ่าท่ามกลางเหล่าผู้คนที่เข้ามาแสดงความยินดีเนื่องด้วยบิดาของเขา เกริก ก้องภัชรกุล ได้เลื่อนขั้นเป็นนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ เป็นที่นับหน้าถือตาเนื่องจากแรกเริ่มเดิมที พวกเขาสืบสกุลมาจากต้นตระกูลขุนนางในวังหลวง คุณปู่เคยรับหน้าที่ใหญ่โตในราชสำนักและอื่น ๆ ที่ยากเกินกว่าสมองน้อย ๆ ของเด็กชายจะจดจำสิ่งที่พวกคนแก่เล่าให้ฟังได้เด็กชายผมสั้นเป็นลอนหยักศกถูกแม่บ้านจับแต่งกายในเสื้อขาวแขนสั้นเข้าคู่กับเอี๊ยมกางเกงสีกรมท่า เป็นที่น่ารักน่าเอ็นดูแก่ญาติสนิทมิตรสหายและเพื่อ
ความอ่อนแอของเขาถูกตอกย้ำเมื่อคราวอายุย่างสิบแปดที่พ่อจำต้องย้ายไปปฏิบัติงานที่พระนคร ที่อยู่อาศัย ผู้คนรอบข้าง สิ่งแวดล้อมล้วนแปลกตาไปเสียหมด นครปฐมที่รายล้อมด้วยแมกไม้ช่างต่างจากเมืองหลวงอันมากมายด้วยผู้คนและสิ่งปลูกสร้างอย่างตะวันตก ถนนหนทางหาได้กว้างขวางเท่าหน้าโรงเรียนนายร้อยที่เขาจบมา ทีแรกก็ว่าอึดอัดแต่อยู่ ๆ ไปก็พอคุ้นชินขึ้นมาได้บ้างใครก็ไม่รู้กล่าวไว้ว่าเกิดเป็นผู้ชายต้องบวชอย่างน้อยหนึ่งพรรษา ส่วนเหตุผลนั้นเพราะมันไม่ได้สลักสำคัญเขาจึงลืมมันไปโดยง่าย ดีเสียกว่าจำได้และมัวแต่ครุ่นคิดให้รำคาญใจคงเพราะทำกรรมมาเยอะคราวนี้บิดาจึงยกตนเป็นเจ้าภาพออกเงินบวชสามเณรหนึ่งร้อยคน และเหมือนจะได้ผลดีเสียด้วย เนื่องจากเหตุผลนั้นชื่อของบิดาก็ดังกระฉ่อนไปทั่วทั้งเขต เป็นที่เชิดชูภายในไม่ถึงเดือนเต็ม เขาในระหว่างที่รอเข้าสน. จึงขอเวลาสามเดือนมาบวชไกรวิชญ์เหนื่อยหน่ายจะอยู่ท่ามกลางผู้คนจึงปลีกตัวมานั่งบนม้าหินใต้ร่มไม้ เขาเห็นว่ามีม้วนผ้าวางพิงโต๊ะอยู่คงจะมีใครสักคนนำมาวางพักไว้แต่หาใช่เรื่องที่จำเป็นต้องใส่ใจ สูดอากาศไอเย็นเข้าปอดหลังต้องฝืนยืนตากแดดข้าง
“วันนี้เราจะไปล่าเจ้าผีร้ายกัน!”“เย่!!”เด็กชายร่างผอมผิวสีน้ำผึ้งซึ่งดูเหมือนจะเป็นผู้นำยืนชูกิ่งไม้ขนาดจิ๋วขึ้น ดวงตากลมสีม่วงหม่นฉายแววมุ่งมั่นออกคำสั่งแก่เหล่าเด็กน้อยอายุราวห้าหกขวบซึ่งนั่งกอดเข่าเงยหน้ามองพี่โตสุดด้วยความนับถือ เพราะว่าวันนี้เป็นฤกษ์งามยามดีที่พวกเขาจะได้ทำหน้าที่แทนหลวงตาเจ้าอาวาสซึ่งออกไปทำกิจของสงฆ์ช่วงนี้น้อง ๆ หลายคนบอกว่ามักเห็นไอควันลอยฟุ้งรูปร่างคล้ายวิญญาณคนตายวนเวียนอยู่แถวเจดีย์เก็บอัฐิ ดังนั้นในวันนี้พวกเขาขบวนการนักปราบปีศาจจะไปตามล่าเก็บพวกมันลงไหกักวิญญาณไม่ให้ไปหลอกใครได้อีก!เด็ก ๆ จำนวนสามสี่คนซึ่งเป็นเด็กวัดบ้างลูกชาวบ้านใกล้เคียงบ้างเดินจับชายเสื้อด้านหลังพี่ใหญ่สุดอย่างพี่ด้วงกันเป็นขบวนผ่านผู้คนที่แวะเวียนเข้ามาทำบุญพบปะพระท่าน จินตนาการของเด็ก ๆ และกิจกรรมดังกล่าวช่างชวนน่าอมยิ้มเสียจริง“พะ...พี่ด้วง ถ้าเราเจอมะ...มันจะไม่ตามมาหลอกเราเหรอ?”เด็กชายผู้อยู่รองจากผู้นำชะเง้อคอพลางกระตุกชายเสื้อกล้ามตัวเก่าของเจ้าพี่ ด้วงจึงหันมาฉีกยิ้มเพิ่มความมั่นใจแก่เด็กชายขี้กลัว“ไม่แน่น
“ไม่ต้องทำหรอก ถ้ามาช่วยทำงานของวัดแล้วจะเอาเวลาที่ไหนไปดูแลแม่ล่ะ มาเอาเงินกับตานี่มา”“จริงเหรอจ๊ะ!?”ด้วงดีใจจนล้นเอ่อ เมื่อหลวงตาเอื้อมมือไปหยิบกล่องไม้มาวางไว้บนหน้าตักของเขาหยิบซองปัจจัยขึ้นมาให้ดู ด้วงจับมือเหี่ยวย่นด้วยความตื้นตันพิงหลังมองจำนวนเงินที่ตนจะได้ไปซื้อยาโอสถมาให้มารดา เขาดีใจนักที่ยังได้รับการเอื้อเอ็นดู แม้จะโตขึ้นมามากแล้ว“ได้แล้วก็เอาไปซื้อยา อย่าเอาไปซื้อขนมจนหมดล่ะ”“หลานไม่ซื้อขนมหรอกจ้ะ เปลืองตังค์”“ฮ่า ๆ เด็ก ๆ กินขนมบ้างก็ได้ อะนี่ ข้าได้มา เอาไปกินซะสิ”ชายแก่หยิบห่อขนมสามห่อโต ๆ มายื่นให้เด็กชายบนตัก เจ้าตัวดูจะตื่นตาตื่นใจกับมันมาก รีบดึงไม้กลัดออกเปิดให้เห็นเป็นเนื้อแป้งสีเหลืองอร่ามโรยหน้าด้วยเนื้อมะพร้าวขูด เป็นขนมฟักทองที่เขาไม่เคยกินมาก่อน แม้ส่วนตัวจะไม่คุ้นเคยกับของหวานจนกลายเป็นไม่ถนัดทาน แต่หากมีเจ้ามะพร้าวเค็ม ๆ ก็พอกินได้“เมื่อวานมีคนเอาม้วนผ้ามาถวาย แต่พวกข้ามีกันไม่กี่รูป เห็นเอ็งใส่แต่ผ้าเก่า ๆ เอาไปตัดทำเครื่องนุ่งห่มไป”“ขอบคุณจ๊ะ!”“เอ้อ ๆ เอ็งนั่งกินขนมต
ท้ายที่สุดเขาต้องยอมไปบวชเรียนเป็นคนที่หนึ่งร้อยหนึ่งด้วยเหตุผลประหลาด ๆ ที่เขาถูกกันออกมาจากผู้ใหญ่ทั้งสองและพี่อีกหนึ่งคน ทว่าอย่างไรเสียคนที่กันเขาก็เป็นตาลุงนั่น เพราะเขากับแม่มักจะเล่าเรื่องสู่กันฟังอย่างตรงไปตรงมาเสมอ มารดาหลังจากพูดคุยกันจนถึงเวลาทุ่มเศษจึงนำเรื่องราวข้อตกลงมาเล่าให้ฟัง“เฮ้อ...”เพราะนอนไม่หลับขึ้นมาจึงเดินมาที่สวนตั้งตะเกียงก่อนจะหยิบขนมจากเมื่อเช้าที่เหลืออีกหนึ่งห่อมานั่งแกะกินต่อให้หมดก่อนมันจะเสีย เนื่องจากเป็นเวลากลางคืนพื้นที่หลังบ้านแม้จะรายล้อมด้วยป่าแต่ก็มีลานพืชผักกว้างพอจะให้ลมหนาวพัดผ่าน เด็กชายจึงสุมกิ่งไม้จุดไฟผิงไปพลาง เขาเผลอใช้ไม้ขีดจุดอีกแล้ว หากแม่มารู้ว่าเขาใช้ของสิ้นเปลืองคงจะโดนตำหนิเป็นแน่แก้มตอบตอนนี้อวบอิ่มไปด้วยเนื้อขนมสีเหลืองภายใน ดวงตากลมฉายแววเศร้าหมอง จิตใจห่อเหี่ยวจนอยากจะถอนหายใจออกมาอีกรอบถ้าไม่มีขนมอยู่ในปากเขาเห็นสายตามารดาเมื่อยามกลับมา มันฉายทั้งความรู้สึกเป็นสุข และความทุกข์ปนเปกัน เจ้าหล่อนไม่คิดจะปิดบัง พาลูกชายหัวแก้วหัวแหวนมานั่งจับเข่าคุย‘ในขณะที่เขากำลังบวช ฝ่าย
จบการบรรยายภาคบ่าย เนื่องจากคนน้อยลงไปกว่าครึ่งเวลาที่ใช้ไปจึงมีประสิทธิภาพและไม่เกินแผนที่วางเอาไว้ กันต์แม้ฟังอะไรไม่ออกแต่เนื่องจากเป็นหัวข้อเดียวกันจึงพยายามจับคำจำไว้ในหัวและบอกว่าจะเอาไปถามอาจารย์ดูว่ามันแปลว่าอะไรหลานชายเปิดใจจนความคิดเขาเริ่มโอนอ่อน ทีแรกเขาคิดไว้ว่าหลังจากจบการบรรยายนี้ในหนึ่งสัปดาห์นั้นเขาจะลองไปหาครูคนอื่น ๆ มาสัมภาษณ์เผื่อไว้เป็นตัวเลือก ทว่าปฏิเสธไม่ได้ว่าความจริงแล้วเขาเทใจไปให้ใคร ให้ตายสิ เขาไม่อยากดูเป็นคนลำเอียงเลือกที่รักมักที่ชังเลยจบการบรรยายแน่นอนว่าคุณอุ่นอาสาตัวเองนำทางเขาไปส่งยังหน้าวิทยาลัย ระหว่างทางก็บรรยายที่นี่ให้ฟัง แต่ไม่ใช่เพราะตนเรียนจบจากที่นี่หรือเป็นอาจารย์ของที่นี่ ทว่าเพราะก่อนหน้านั้นนอกจากเจ้าตัวจะเตรียมการบรรยายแล้วยังสอบถามพื้นที่ประวัติและนักเรียนของที่นี่เพื่อเตรียมมาเป็นมัคคุเทศก์ให้พวกเขา สมเป็นคุณอุ่นจริง ๆ“ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้วเราไปทานมื้อเย็นด้วยกันเลยไหมครับ?”เนื่องจากเส้นทางเดินเป็นการเดินกลับกึ่งเที่ยวมากกว่าจึงค่อนข้างกินเวลา จนตอนนี้ก็สามเกือบสี่โมงแล้ว แต่ว่าหากรีบเดิน
จากกระดาษที่คุณอุ่นเคยจดชื่อและแผนที่วิทยาลัยที่จะไปทำการบรรยายพิเศษไว้ให้ เขาตั้งใจว่าจะพาน้องกันต์ไปชมด้วยกัน อย่างไรเสียมันก็เป็นเสาร์ที่โรงเรียนมัธยมปิดวันหยุด ทั้งเขายังจะได้ใช้เวลาร่วมกับหลานรักอีกด้วยคุณอาในชุดไปรเวทสีสว่างตัดผิวเดินสะพายกระเป๋าเดินคู่หลานชายวัยสิบสามย่างสิบสี่บนทางเดินอิฐปู เมื่อหยิบกระดาษใบน้อยขึ้นมาดูจึงพอทราบว่าระยะทางเหลืออีกไม่ไกลหลังลงสถานีปลายทาง อาจารย์เจ้าที่แม้จะพูดภาษาไทยได้แต่เขียนไทยยังไม่คล่องก็อุตส่าห์พยายามและวาดรูปให้คนอ่านเข้าใจง่าย ทั้งยังมีตัวอักษรยึกยือมุมขวาล่างเขียนไว้ว่า ‘หวังว่าเราจะได้เจอกันนะครับ’ แม้ทีแรกจะต้องเพ่งสมาธิอ่านเพราะประโยคนั้นไม่ได้เขียนโดยเจ้าของภาษา แต่เขาก็รู้สึกปลื้มที่อาจารย์เจ้าพยายามตวัดเขียนซ้ำแล้วซ้ำเล่าดูจากรอยยางลบกับรอยยับของกระดาษ แผนที่อันนี้คงถูกตระเตรียมมาเป็นอย่างดีเพียงเพื่อมาชวนเขาไปดูการบรรยายภาคเช้า ช่างน่าเอ็นดูเหลือเกินในกระดาษเขียนถึงเส้นทางและระยะเวลาการเดินไว้อย่างละเอียด‘๕ นาที เห็นอาคานสีขาว’ด้วงยกยิ้มมุมปากหัวเราะในลำคอ
ไกรวิชญ์เคยคิดว่าช่วงเวลานี้จะเป็นช่วงเวลาที่เศร้าที่สุดในชีวิต บิดาและภรรยาเขาเสียไปในช่วงเวลาไล่เลี่ยกันเนื่องด้วยเหตุรถชนใจกลางเมืองหลวงขณะออกไปซื้อของ แต่มันเทียบไม่ได้เลยกับตอนที่เขาเสียมารดาไปในวัยเด็กนายตำรวจอนาคตไกลเจ้าภาพพิธีศพสวมชุดดำทางการยืนต้อนรับแขกญาติพี่น้องของทั้งสองคนเข้ามาเคารพศพ เขามองน้องชายและลูกในวัยสิบกว่าขวบนั่งด้วยกันโดยที่กันต์กำลังนอนร้องไห้เศร้าโศกเสียใจอยู่บนตักของคุณอาตลอดมาเป็นพี่เลี้ยงที่ดูแลกันต์จนหย่านมก่อนจะยกเลิกสัญญาจ้างกันไป กระนั้นผู้เป็นแม่กลับไม่ดูดำดูดีปล่อยให้คนอื่นในบ้านเลี้ยงเป็นส่วนใหญ่ แล้วพาตัวเองไปออกงานสังคมลุงแดง คุณน้ามาลีและด้วงจึงเป็นสามคนที่คอยประคบประหงมกันต์แทนเขาที่งานล้นมือตลอดเวลาไกรวิชญ์ชำเลืองมองไปยังป้ายชื่อหน้าโลงสีขาวสะอาดก่อนจะได้อ่านชื่อภรรยาที่อยู่ใกล้สายตามากที่สุด‘กุหลาบ’ คือชื่อของหล่อนอย่างนั้นเหรอ... เขาในฐานะสามีมาตระหนักถึงนามของภรรยาเอาตอนที่เจ้าตัวจากไป ช่างน่าขายหน้าเสียจริง นึกแล้วก็แค่นหัวเราะ เขาที่พยายามบอกตัวเองไม่ให้เอาอย่างบิดา ทว่าตลอดมาตัวเขาเ
วันนี้เป็นวันที่เขาจะได้ถอดสายน้ำเกลือและเก็บข้าวเก็บของออกจากโรงพยาบาลหลังจากอาศัยอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมแคบ ๆ นี้มาเป็นเวลาสองเดือนเต็มด้วงในชุดไปรเวทเสื้อยืดกางเกงขายาวตัวใหม่เอี่ยมตรวจทานตัวเองหน้ากระจกห้องน้ำก่อนจะเปิดประตูออกมากะพูดคุยปรึกษาอาการตนเองกับพยาบาลสักครู่แล้วค่อยถือถุงเสื้อผ้ากลับ“เหมาะกับเรามากครับ”“ขอบคุณที่อุตส่าห์ซื้อให้น้องนะ”ด้วงยิ้มมุมปากก่อนจะรีบเดินไปคว้ากระเป๋าเสื้อผ้าในมือเจ้าพี่แล้วจึงเดินออกมา เขารู้ว่าบางทีมันอาจเสียมารยาทไปสักหน่อยแต่เขาอยากสร้างระยะห่างระหว่างตัวเขากับพี่ไกรให้มากที่สุดเพราะเจ้าตัวแต่งงานจดทะเบียนสมรสแล้ว น่าเสียดายไม่น้อยที่ช่วงเวลานั้นเขายังไม่ได้รับอนุญาตให้ออกจากโรงพยาบาลด้วยว่าหลังสลบคาเตียงเพราะหายใจไม่ออกไปคราวนั้นก็โดนเลื่อนวันออกไปอีก จนในที่สุดวันนี้ก็จะได้กลับไปใช้ชีวิตใหม่เสียทีพี่ไกรหลังจากเรื่องราววันนั้นก็มาหาเขาน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด แต่พอใกล้จะกลับอีกฝ่ายก็มาถี่หรือมาแทบทุกเย็น เพราะช่วงที่ห่างไปนั้นอีกฝ่ายต้องตระเตรียมงานแต่งให้โอ่อ่าสมฐานะ ทว่าคิดอีกทีเขาก็ดีใจที่ไ
“เมื่อกี้เรา...พูดว่าอะไรนะ?”“น้องบอกว่า น้องไม่ได้คิดเรื่องแบบนั้นกับพี่”“เดี๋ยวสิ เรื่องแบบนั้นมันคือ-“น้องไม่ได้รักพี่แล้ว” ไกรวิชญ์หน้าชา นี่เป็นบทสนทนาแรกระหว่างเขากับด้วงที่ตื่นขึ้นมาบนเตียงคนไข้ ทว่าจู่ ๆ อีกฝ่ายกลับพาเข้าเรื่องความสัมพันธ์จากนั้นก็โยงเข้าเรื่องนี้อย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย“ด้วง เราแกล้งอะไรพี่อยู่รึเปล่า?”ไกรวิชญ์ยังคงตั้งสติคิดว่าเจ้าน้องคงจะหาเรื่องหยอกเขาเล่นเป็นแน่ หากเป็นเช่นนั้นก็เป็นการพูดเล่นที่จุกอกพอสมควร-“น้องไม่ได้แกล้ง”“…”ด้วงมองพี่ชายต่างสายเลือดด้วยสายตาเอาจริงเอาจัง เจ้าตัวเงียบไปพร้อมกับใบหน้านิ่งค้าง ก่อนจะปรับท่าทีเอนหลังสูดลมหายใจเข้าและพ่นมันออกมาอย่างหนักใจ“ทำไมจู่ ๆ เราจึงบอกเรื่องนี้กับพี่ครับ”“เพราะน้องคิดว่าพี่สมควรรู้ไว้”“แล้วเราไม่คิดเห็นใจพี่บ้างเลยเหรอ”“…”“ด้วง...ได้มีใครบังคับเรารึเปล่า?”“น้องคิดว่าเรากำลังจะเป็นพี่น้องกัน ไม่ควรมีเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้น...มันก็เท่านั้น”“พ่อพี
*เพียะ!* ฝ่ามือเหี่ยวย่นฟาดเข้าใบหน้านายตำรวจหนุ่มแน่นอย่างจังโดยที่เจ้าของร่างไม่แม้แต่จะหลบหลีก กลับยืนรับแรงบนหน้าแก้มอย่างจัง“ควบคุมอารมณ์ตัวเองหน่อยไอ้ไกร”“…”เขาทำเกินกว่าเหตุ แม้จะมีข้ออ้างที่พอฟังขึ้นบ้างแต่ก็ไม่ทั้งหมดเพราะมีนิ้วมือทั้งสิบที่หักงอผิดรูปเป็นเครื่องพิสูจน์ แค่หมอมาดูก็บอกได้แล้วว่ามันไม่เกิดจากความบังเอิญกระนั้นเมื่อทุกอย่างมาอยู่ในใต้การควบคุมของบิดามันก็ถูกกฎหมายและทนายคนสนิทช่วยเหลือจนเขาสามารถพ้นผิดมาได้แม้จะถูกชะลอการเลื่อนขั้นและตัดเงินเดือนเป็นระยะเวลาหนึ่งก็ตามนายตำรวจเกริกผู้พ่อเมื่อลงมือสั่งสอนบุตรตนก็ลงมาหย่อนกายนั่งไขว่ห้างจุดบุหรี่สูบพ่นควันออกไปนอกหน้าต่างบ้าน พลางเหยียดหางตามองเจ้าลูกชายที่สุขุมมาตลอด แต่กลับกลายเป็นบ้าเมื่อมีเรื่องเกิดขึ้นกับเด็กคนนั้นแม้ขยะแขยงรสนิยมนั่นทว่าในฐานะตำรวจ ลูกเขายังคงต้องเรียนรู้อีกเยอะ ว่าการจะปกป้องสิ่งสำคัญได้นั้นมันมีรายละเอียดมากไปกว่าการบดทำลายอุปสรรค“หากมีคราวหน้า ฉันจะไม่ส่งทนายไปช่วยอีกเป็นครั้งที่สอง”“…”
“เปลี่ยนชุดซะ แล้วเอาชุดเอ็งมาให้ข้า พวกมันไม่ปล่อยเอ็งไว้แน่”ที่พวกมันวิ่งเข้ามาฉุดถึงในเพิง คงจะพาไปปิดปากไม่ให้เรื่องหยาบโลนนี้แพร่งพรายออกไป และเขาเองหากโดนเจอก็คงมีสภาพไม่ต่างกันหรืออาจจะหนักกว่า แต่อย่างน้อยตอนนี้ขอให้แก้วมันปลอดภัยไปได้สักคนก่อน“อะ...เอ็งจะทำอะไร”“รีบเปลี่ยนเถอะ เราไม่มีเวลาแล้ว!”ด้วงขึ้นเสียงดังสนั่นจนแก้วตกใจกลัว ทว่าช่วงเวลาแบบนี้แม้จะทราบว่ากำลังขวัญเสียแต่คราวจะมานั่งปลอบใจกันคงไม่ทันกาลเพราะตอนนี้พวกเขากำลังเล่นกับความเป็นความตายแก้วรีบผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าแต่งกายปลอมเป็นหญิงคลุมผ้าใหม่ ส่วนผืนเก่าเขานำมาคลุมเอง“สถานีอยู่อีกไม่ไกล เอ็งข้ามสะพาน เลี้ยวซ้ายแล้วตรงไปก็จะเจอนายสถานี เอ็งหนีไปจังหวัดอื่นเลย ยิ่งไกลเท่าไหร่ยิ่งดี เข้าใจไหม?”“แล้วเอ็ง-“ข้าจะอยู่ที่นี่ล่อพวกมัน”“แต่-“พวกนั้นมากันแล้ว เอ็งรีบไป!!”ด้วงผลักร่างโฉมงามเข้าปะปนกับฝูงชน ก่อนจะหันหลังออกตัววิ่งล่อความสนใจพวกมันยังกลางถนน แม้รูปร่างสีผิวของเขากับแก้วจะต่างกันอย่างเห็นได้ชัดแต่เพราะเป็นช่ว
“สงสัยอยู่ใช่ไหมล่ะเอ็ง ก็อุตส่าห์เลี้ยงมาตั้งนาน ขอเก็บเกี่ยวหน่อยจะเป็นอะไรไป...ใช่ไหม?” มันพูดปนเสียงขำในลำคอ พูดเรื่องทุเรศแบบนั้นออกมาอย่างไม่รู้สึกรู้สาเนี่ยนะ ด้วงปากสั่นไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาก่นด่าเดรัจฉานพวกนี้ดี กรามฟันกัดกรอดจนกรอบหน้าแข็งเกร็ง เขาต้องหาจังหวะขึ้นไปช่วยไอ้แก้วออกไปจากที่นี่พร้อมกันให้จงได้เด็กหนุ่มคล้ายจะหมดแรงจากการขัดขืนและรอยบอบช้ำที่ได้จากการต่อสู้เมื่อครู่ จึงไม่อาจขัดขืนได้มากมายจนไม่อาจลากจับลากพาขึ้นแคร่เก่าได้อย่างไม่ยากเย็นแขนทั้งสองที่พยายามออกแรงเท่าที่ไหวไม่ได้ทำประโยชน์อะไรให้แก่เจ้าตัวเลยสักนิดนอกจากเพิ่มความกระเส่าเร้าใจให้แก่ชายเบื้องบน จนเมื่อเด็กหนุ่มคงจะสำเหนียกตนได้แล้วว่าไม่มีทางหลุดรอดไปได้จึงยอมละทิ้งร่างกายทั้งหมดให้เป็นที่พอใจ“เหอะ กว่าจะยอมกันได้-*พลั่ก!!*ด้วงใช้โอกาสที่ไอ้ทองชะล่าใจ หยิบคว้าท่อนไม้ที่คงจะหักกลิ้งลงมา และเพราะมันกลืนไปกับดินดอนเมื่ออยู่ในความมืดพวกมันที่ไม่สังเกตจึงมองไม่เห็นด้วงรวบรวมแรงทั้งหมดไว้ที่มืออีกครั
คิดเอาไว้ว่าเป็นเช่นนั้นเอาเข้าจริงการฝืนตื่นขึ้นมากลางดึกแม้เวลาจะผ่านไปแล้วเกือบสามชั่วโมงนับตั้งแต่เขาเข้านอนตอนหกโมงครึ่งมันก็เพลียเอาการรอบข้างภายในกระท่อมมืดสนิทนอกจากเครื่องเรือนอย่างง่ายตามชั้นและพื้นฟากที่เขาห้ามทำให้เกิดเสียงแล้ว ก็ยังต้องเอื้อมมือไปหยิบเชิงเทียนอยู่เหนือศีรษะของผู้เป็นแม่อีก ด้วงเม้มริมฝีปากกลั้นลมหายใจแผ่วค่อย ๆ ชันข้อศอกดันตัวขึ้นอย่างช้า ๆ เพื่อไม่ให้มารดารู้สึกตัว แล้วจึงเอื้อมมือไปจับเชิงเทียนมาไว้ในมือได้สำเร็จ“ด้วง...”“!!!”เจ้าของชื่อสะดุ้งเฮือกก่อนจะก้มมองแล้วเห็นว่ามารดาเพียงพลิกตัวละเมอเอ่ยชื่อเขาขึ้นมาแต่เพียงเท่านั้น ด้วงโล่งใจจากที่เหงื่อตกมาก็นานพอสมควรเขาตั้งใจออกมาจุดเทียนให้แสงสว่างเมื่อเดินออกมาจากกระท่อมได้พอสมควรแล้ว ตอนนี้ภายในบ้านหลังน้อยมีเพียงมารดาที่นอนหลับพักผ่อนกับหมอนและผ้าห่มของเขาที่ระเกะระกะแต่เพียงเท่านั้นอากาศตอนกลางคืนเพราะไม่เคยได้ออกมาจริง ๆ จัง ๆ เขาจึงพึ่งมารู้อายุสิบเจ็ดว่ามันเย็นยะเยือกแม้อยู่ในฤดูร้อน ประกายแสงจากเทียนส่องสะท้อนใบหน้ากลมกลึงจ้องมองเรือนไ