คุณครูที่โรงเรียนประถมเคยกล่าวเอาไว้ในคาบเรียนวิชาใดวิชาหนึ่งว่า ‘เด็กนั้นความจำดี’ ทีแรกเขานั้นไม่เชื่อ ตัวอักษรแต่ละตัวในหนังสือกว่าเขาจะจำได้ต้องอ่านแทบเป็นแทบตาย ทว่ายิ่งกาลเวลาผ่านไปประโยคนั้นกลับค่อย ๆ กลายเป็นความจริง
บ้านไม้หลังเก่าสีน้ำตาลดำโบราณตั้งเด่นท่ามกลางหมู่บ้านในกลางเมืองต่างจังหวัด รายล้อมไปด้วยเสาไฟเชื่อมบ้านแต่ละหลังเข้าด้วยกัน เสียงนกกาเหว่าคลอประสานมากับสายลมที่พัดมวลไม้รอบเรือนให้พลิ้วปลิว
ไกรวิชญ์ในวัยสิบขวบกว่านั่งอยู่ ณ ใจกลางเรือนโอ่อ่าท่ามกลางเหล่าผู้คนที่เข้ามาแสดงความยินดีเนื่องด้วยบิดาของเขา เกริก ก้องภัชรกุล ได้เลื่อนขั้นเป็นนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ เป็นที่นับหน้าถือตาเนื่องจากแรกเริ่มเดิมที พวกเขาสืบสกุลมาจากต้นตระกูลขุนนางในวังหลวง คุณปู่เคยรับหน้าที่ใหญ่โตในราชสำนักและอื่น ๆ ที่ยากเกินกว่าสมองน้อย ๆ ของเด็กชายจะจดจำสิ่งที่พวกคนแก่เล่าให้ฟังได้
เด็กชายผมสั้นเป็นลอนหยักศกถูกแม่บ้านจับแต่งกายในเสื้อขาวแขนสั้นเข้าคู่กับเอี๊ยมกางเกงสีกรมท่า เป็นที่น่ารักน่าเอ็นดูแก่ญาติสนิทมิตรสหายและเพื่อ
ความอ่อนแอของเขาถูกตอกย้ำเมื่อคราวอายุย่างสิบแปดที่พ่อจำต้องย้ายไปปฏิบัติงานที่พระนคร ที่อยู่อาศัย ผู้คนรอบข้าง สิ่งแวดล้อมล้วนแปลกตาไปเสียหมด นครปฐมที่รายล้อมด้วยแมกไม้ช่างต่างจากเมืองหลวงอันมากมายด้วยผู้คนและสิ่งปลูกสร้างอย่างตะวันตก ถนนหนทางหาได้กว้างขวางเท่าหน้าโรงเรียนนายร้อยที่เขาจบมา ทีแรกก็ว่าอึดอัดแต่อยู่ ๆ ไปก็พอคุ้นชินขึ้นมาได้บ้างใครก็ไม่รู้กล่าวไว้ว่าเกิดเป็นผู้ชายต้องบวชอย่างน้อยหนึ่งพรรษา ส่วนเหตุผลนั้นเพราะมันไม่ได้สลักสำคัญเขาจึงลืมมันไปโดยง่าย ดีเสียกว่าจำได้และมัวแต่ครุ่นคิดให้รำคาญใจคงเพราะทำกรรมมาเยอะคราวนี้บิดาจึงยกตนเป็นเจ้าภาพออกเงินบวชสามเณรหนึ่งร้อยคน และเหมือนจะได้ผลดีเสียด้วย เนื่องจากเหตุผลนั้นชื่อของบิดาก็ดังกระฉ่อนไปทั่วทั้งเขต เป็นที่เชิดชูภายในไม่ถึงเดือนเต็ม เขาในระหว่างที่รอเข้าสน. จึงขอเวลาสามเดือนมาบวชไกรวิชญ์เหนื่อยหน่ายจะอยู่ท่ามกลางผู้คนจึงปลีกตัวมานั่งบนม้าหินใต้ร่มไม้ เขาเห็นว่ามีม้วนผ้าวางพิงโต๊ะอยู่คงจะมีใครสักคนนำมาวางพักไว้แต่หาใช่เรื่องที่จำเป็นต้องใส่ใจ สูดอากาศไอเย็นเข้าปอดหลังต้องฝืนยืนตากแดดข้าง
“วันนี้เราจะไปล่าเจ้าผีร้ายกัน!”“เย่!!”เด็กชายร่างผอมผิวสีน้ำผึ้งซึ่งดูเหมือนจะเป็นผู้นำยืนชูกิ่งไม้ขนาดจิ๋วขึ้น ดวงตากลมสีม่วงหม่นฉายแววมุ่งมั่นออกคำสั่งแก่เหล่าเด็กน้อยอายุราวห้าหกขวบซึ่งนั่งกอดเข่าเงยหน้ามองพี่โตสุดด้วยความนับถือ เพราะว่าวันนี้เป็นฤกษ์งามยามดีที่พวกเขาจะได้ทำหน้าที่แทนหลวงตาเจ้าอาวาสซึ่งออกไปทำกิจของสงฆ์ช่วงนี้น้อง ๆ หลายคนบอกว่ามักเห็นไอควันลอยฟุ้งรูปร่างคล้ายวิญญาณคนตายวนเวียนอยู่แถวเจดีย์เก็บอัฐิ ดังนั้นในวันนี้พวกเขาขบวนการนักปราบปีศาจจะไปตามล่าเก็บพวกมันลงไหกักวิญญาณไม่ให้ไปหลอกใครได้อีก!เด็ก ๆ จำนวนสามสี่คนซึ่งเป็นเด็กวัดบ้างลูกชาวบ้านใกล้เคียงบ้างเดินจับชายเสื้อด้านหลังพี่ใหญ่สุดอย่างพี่ด้วงกันเป็นขบวนผ่านผู้คนที่แวะเวียนเข้ามาทำบุญพบปะพระท่าน จินตนาการของเด็ก ๆ และกิจกรรมดังกล่าวช่างชวนน่าอมยิ้มเสียจริง“พะ...พี่ด้วง ถ้าเราเจอมะ...มันจะไม่ตามมาหลอกเราเหรอ?”เด็กชายผู้อยู่รองจากผู้นำชะเง้อคอพลางกระตุกชายเสื้อกล้ามตัวเก่าของเจ้าพี่ ด้วงจึงหันมาฉีกยิ้มเพิ่มความมั่นใจแก่เด็กชายขี้กลัว“ไม่แน่น
“ไม่ต้องทำหรอก ถ้ามาช่วยทำงานของวัดแล้วจะเอาเวลาที่ไหนไปดูแลแม่ล่ะ มาเอาเงินกับตานี่มา”“จริงเหรอจ๊ะ!?”ด้วงดีใจจนล้นเอ่อ เมื่อหลวงตาเอื้อมมือไปหยิบกล่องไม้มาวางไว้บนหน้าตักของเขาหยิบซองปัจจัยขึ้นมาให้ดู ด้วงจับมือเหี่ยวย่นด้วยความตื้นตันพิงหลังมองจำนวนเงินที่ตนจะได้ไปซื้อยาโอสถมาให้มารดา เขาดีใจนักที่ยังได้รับการเอื้อเอ็นดู แม้จะโตขึ้นมามากแล้ว“ได้แล้วก็เอาไปซื้อยา อย่าเอาไปซื้อขนมจนหมดล่ะ”“หลานไม่ซื้อขนมหรอกจ้ะ เปลืองตังค์”“ฮ่า ๆ เด็ก ๆ กินขนมบ้างก็ได้ อะนี่ ข้าได้มา เอาไปกินซะสิ”ชายแก่หยิบห่อขนมสามห่อโต ๆ มายื่นให้เด็กชายบนตัก เจ้าตัวดูจะตื่นตาตื่นใจกับมันมาก รีบดึงไม้กลัดออกเปิดให้เห็นเป็นเนื้อแป้งสีเหลืองอร่ามโรยหน้าด้วยเนื้อมะพร้าวขูด เป็นขนมฟักทองที่เขาไม่เคยกินมาก่อน แม้ส่วนตัวจะไม่คุ้นเคยกับของหวานจนกลายเป็นไม่ถนัดทาน แต่หากมีเจ้ามะพร้าวเค็ม ๆ ก็พอกินได้“เมื่อวานมีคนเอาม้วนผ้ามาถวาย แต่พวกข้ามีกันไม่กี่รูป เห็นเอ็งใส่แต่ผ้าเก่า ๆ เอาไปตัดทำเครื่องนุ่งห่มไป”“ขอบคุณจ๊ะ!”“เอ้อ ๆ เอ็งนั่งกินขนมต
ท้ายที่สุดเขาต้องยอมไปบวชเรียนเป็นคนที่หนึ่งร้อยหนึ่งด้วยเหตุผลประหลาด ๆ ที่เขาถูกกันออกมาจากผู้ใหญ่ทั้งสองและพี่อีกหนึ่งคน ทว่าอย่างไรเสียคนที่กันเขาก็เป็นตาลุงนั่น เพราะเขากับแม่มักจะเล่าเรื่องสู่กันฟังอย่างตรงไปตรงมาเสมอ มารดาหลังจากพูดคุยกันจนถึงเวลาทุ่มเศษจึงนำเรื่องราวข้อตกลงมาเล่าให้ฟัง“เฮ้อ...”เพราะนอนไม่หลับขึ้นมาจึงเดินมาที่สวนตั้งตะเกียงก่อนจะหยิบขนมจากเมื่อเช้าที่เหลืออีกหนึ่งห่อมานั่งแกะกินต่อให้หมดก่อนมันจะเสีย เนื่องจากเป็นเวลากลางคืนพื้นที่หลังบ้านแม้จะรายล้อมด้วยป่าแต่ก็มีลานพืชผักกว้างพอจะให้ลมหนาวพัดผ่าน เด็กชายจึงสุมกิ่งไม้จุดไฟผิงไปพลาง เขาเผลอใช้ไม้ขีดจุดอีกแล้ว หากแม่มารู้ว่าเขาใช้ของสิ้นเปลืองคงจะโดนตำหนิเป็นแน่แก้มตอบตอนนี้อวบอิ่มไปด้วยเนื้อขนมสีเหลืองภายใน ดวงตากลมฉายแววเศร้าหมอง จิตใจห่อเหี่ยวจนอยากจะถอนหายใจออกมาอีกรอบถ้าไม่มีขนมอยู่ในปากเขาเห็นสายตามารดาเมื่อยามกลับมา มันฉายทั้งความรู้สึกเป็นสุข และความทุกข์ปนเปกัน เจ้าหล่อนไม่คิดจะปิดบัง พาลูกชายหัวแก้วหัวแหวนมานั่งจับเข่าคุย‘ในขณะที่เขากำลังบวช ฝ่าย
“อย่ามาใส่ร้ายคนอื่นนะ!”ด้วงเปล่งเสียงดัง ทำไมพวกเขาจะไม่ใช่คนดี พวกเขาเป็นพระที่อยู่ในศีลในธรรมนะ แม่เขาก็พร่ำสอนมาตลอดว่าให้เคารพพระสงฆ์องค์เจ้า ทั้งพ่อเขาก็ดำรงพระธรรมอยู่ที่นี่จนลมหายใจสุดท้ายของชีวิตโดยไม่มีเรื่องราวเสียหาย การบอกให้เขาปฏิเสธคนที่มีพระคุณ คอยเป็นเพื่อน เป็นผู้ใหญ่ที่ไว้ใจไม่ต่างอะไรกับการดูถูกความเชื่อของเขาและมารดาสักนิดยิ่งคิดมากสมองก็โยงใยไปถึงเรื่องของตาลุงคนนั้นที่เข้าหาแม่เพราะจะเอาไปทำเมีย เขาไม่ชอบในสิ่งที่แม่ไม่ชอบ เพียงเพราะเข้าตาจน พวกเขาจึงไม่มีสิทธิ์เลือกเขาเกลียดที่สุด พอได้เริ่มตั้งคำถาม ในหัวมันก็รู้สึกปั่นป่วนไปหมด แม่กำลังป่วยแต่หลังจากนั้นก็มีคนมาช่วยเพราะหวังผล ต้องมานั่งเรียนกับว่าที่พี่ชายถึงแม้ใจจะรู้สึกสนิทขึ้นมาบ้างแล้วทว่ายังไม่อาจเปิดใจได้ทั้งหมด ต้องมารับฟังว่าเหล่าคนที่เขาเชื่อใจมาตลอดเป็นคนไม่ดีจากปากคนอื่น ไหนจะอนาคตที่ไม่รู้เขาและแม่จะสามารถหาเงินมาใช้คืนตำรวจคนนั้นได้หรือเปล่า หากไม่ได้แม่จะต้องทำในสิ่งที่ใจไม่ได้ปรารถนา เขาจะต้องปรับตัว จะต้องทำสิ่งที่ต่างออกไปจากตอนนี้ จะต้องเข้าไปอยู่ในที
ด้วงเมื่อได้รับรู้ความจริงจากปากคนที่มองเข้ามาอย่างพี่ไกรก็เก็บมานั่งวิตก ไม่น่าเชื่อว่าทั้งสองคนนั้นจะกระทำสิ่งที่ผิดจารีต เด็กชายนั่งกอดเข่าครุ่นคิดอยู่มุมกระท่อมน้อยด้วยสายตาเหม่อลอย แม้จะเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งแต่ร่างกายเขาดันออกตัวปฏิเสธกับคนเหล่านั้นไปเสียแล้วหลังจากบรรพชาแม้จะหลอกตัวเองว่าตนสนิทกับไอ้ทอง หรือหลวงตาขนาดไหนแต่เพราะเขาหันไปอยู่กับพี่ไกรมากกว่าการสุงสิงกับกลุ่มพี่เก่า‘ด้วง ไปกวาดลานตรงนั้นกันไหม’‘ฉะ...ฉันกวาดตรงนี้นี่แหละ’เขาเลือกที่จะยืนอยู่ข้างว่าที่พี่ชายตั้งใจก้มหน้าจับไม้กวาดทางมะพร้าวลาดปัดเศษใบไม้ เพราะไม่อยากมองหน้าสบตาพี่ทองที่คล้ายจะมองออกว่าเขากำลังตีตัวออกหาก ทว่าทำอย่างไรดี ความคิดภายในใจของเขามันดันสวนทางกัน เขาอยากสนิทกับทุกคนเหมือนเดิม แต่อบายมุขเหล่านั้นเป็นของต้องห้าม‘พี่ทอง...คือว่ายาสูบน่ะ มันไม่ดีนะ”เมื่อเขาทำใจกล้าจับมือพี่คนสนิทมาพูดคุยเป็นการส่วนตัวพร้อมโพล่งประโยคนั้นออกไป เจ้าตัวก็หาได้มีทีท่าตกอกตกใจ แต่กลับส่งยิ้มมาทางเขาย่อตัวยกมือขึ้นลูบศีรษะแผ่วเบา‘ข้าเป็นพระ ใช้ข
เนื่องด้วยเสียงตะโกนของเขาเมื่อครู่จึงทำให้ผู้คนโดยรอบหันมาสนใจ เขาและแม่จึงไม่มีทางเลือกต้องกลับมาสงบเสงี่ยมเพราะการที่ออกมาขายนอกพื้นที่ตลาดวางของขวางทางคนเดินแบบนี้มันผิดกฎหมายตามที่ตาลุงนั่นว่าจริงเด็กชายถูกจับจูงมาพูดคุยกันในจุดอับสายตาผู้คน ทำให้ด้วงไม่อาจลอบมองสถานการณ์ระหว่างแม่กับชายคนนั้นได้อย่างเต็มที่ เขาอยากจะเข้าไปเอากระจาดฟาดหัวตาแก่นั่นเหลือเกินแต่เพราะครอบครัวเขาได้รับการดูแลทั้งเรื่องการรักษาไข้มารดาและการบวชเรียนของเขาจึงขยับตัวไม่ได้มากประหนึ่งถูกกรงขังที่เรียกว่าหนี้บุญคุณครอบเอาไว้“พี่ พาน้องมาที่นี่ทำไม?”ด้วงเอ่ยถามแต่ไม่ได้มีสมาธิสักเท่าไรนักเพราะอยากให้ความสนใจ ณ มารดาด้านหลังรั้วเหล็กมากกว่า“ปล่อยให้ผู้ใหญ่เขาคุยกัน”“ทำไมพี่ต้องยอมผู้ชายคนนั้นไปซะทุกเรื่องเลย”“พี่...”ไกรวิชญ์นิ่งค้าง เขาไม่รู้จะตอบคำถามนั้นว่าอย่างไรไปนอกจากคำว่า ‘ขี้ขลาด’ กระนั้นหากพูดมันออกไป เขาจะกลายเป็นลูกแหง่ตัวหนึ่งที่ไม่แม้จะออกปากห้ามปรามสิ่งอันไม่เหมาะสม“แม่เขา...ไม่ได้อยากแต่งงานกับพ่อพี่”“เรื่อ
“พี่ด้วง ๆ! ได้ยินว่ามีเด็กคนใหม่มาอยู่ด้วยล่ะ!”เด็กจิ๋วคนหนึ่งตะโกนขึ้นเรียกพี่โตสุดในกลุ่ม ผ่านมาเพียงครึ่งปีร่างกายของด้วงก็เติบใหญ่จนไม่สามารถใช้คำว่าเด็กชายได้อีกต่อไปกายสูงโปร่งผิวสีน้ำผึ้งมือชะงักจากการต้มทำยาหม้อเงยหน้าขึ้นสบตาเด็กชายตัวเล็กเท่าเอวซึ่งวิ่งเข้ามาหา คำรายงานสถานการณ์ทำให้แววตาเป็นประกายด้วยความตื่นเต้นเพราะนั่นเป็นสัญญาณว่าเขากำลังจะมีเพื่อนใหม่ใบหน้าอ่อนเปื้อนคราบดินดอนยกยิ้มก่อนจะจัดการข้าวของร้อนตรงหน้าให้พอเหมาะ หันไปสนทนากับเด็กจิ๋วคนสนิท“เป็นใครเหรอ!?”น้ำเสียงซึ่งพึ่งเริ่มทุ้มต่ำถามด้วยความรู้สึกกระปรี้กระเปร่า จะเป็นคนที่เด็กกว่า รุ่นราวคราวเดียวกัน หรือแก่กว่ากันแน่นะ“เห็นว่าหนีออกจากบ้านแล้วไม่มีที่ไป... ได้ข่าวว่าเป็นลูกเศรษฐีด้วยนะ”เด็กน้อยกล่าวประโยคสุดท้ายพร้อมยกมือป้องปากกระซิบกระซาบ แล้วจึงเล่าความต่อว่าเจ้าตัวมีรูปพรรณสัณฐานอย่างไร นั่นยิ่งทำเขาสนอกสนใจเข้าไปใหญ่ลูกคุณหนูอย่างนั้นเหรอ ไม่ว่าจะเป็นใครถ้าจะได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของที่นี่แล้วละก็ เขาอยากจะทำความรู้จักด้ว
วันนี้เป็นวันที่ไกรวิชญ์อารมณ์ที่ดีที่สุดในรอบหลายปี ไม่ว่าเรื่องอะไรหรือปัญหาแบบไหนล้วนผ่านไปได้ด้วยดีเหลือเกินนายตำรวจในผ้านุ่งเปลือยท่อนบนเดินเช็ดผมออกมาจากห้องน้ำ เสียงพรูลมหายใจเพราะความโล่งสบายถูกขับออกมาเมื่อเจ้าของห้องเดินมาพาดผ้าขนหนูกับราวไม้ในห้องตอนนี้เรียกได้ว่าเขาได้โอกาสกลับมาแล้วได้ไหมนะ... ตลอดมาด้วงปฏิเสธเขาตัวโยน ทั้งเขายังเผลอทำอะไรไม่ยั้งคิดลงไปตั้งหลายครั้ง ไม่รู้ป่านนี้เขาจะได้รับการให้อภัยแล้วรึยัง*ก๊อก ก๊อก*‘ผมเอง’เพียงแค่สองพยางค์ไกรวิชญ์ละมือจากราวผ้าเช็ดตัวเดินไปเปิดประตูให้ในทันทีโดยลืมไปว่าตัวเองลืมสวมเสื้อ แต่ด้วงนั้นไม่ได้คิดอะไรเดินเข้ามาแบบสบายใจพร้อมกล่าวหัวข้อการสนทนา โดยเป็นไกรวิชญ์เองที่ล่กเอื้อมมือไปหยิบเสื้อที่พาดอยู่มาสวมแทบไม่ทัน“พี่รู้เรื่องครูอุ่นเขารึยัง?”“หมายถึงเรื่องที่เขาเป็นทหารเหรอ?”“ใช่”ไกรวิชญ์เก็บสีหน้าเพราะเหมือนด้วงจะเข้ามาคุยเรื่องอนาคตการเรียนของลูกชายเขา ไกรวิชญ์จึงเดินไปเร่งไฟตะเกียงหัวเตียงให้สว่างพอที่จะทำการสนทนาอย่างเป็นกิจจะล
การกระทำที่ไม่เป็นตัวเองล้วนเกิดมาจากความกลัวภายใต้จิตสำนึกโดยที่เจ้าของร่างไม่อาจควบคุมได้ เหมือนกับการพยายามเปล่งเสียงตะโกนขอร้องความช่วยเหลือในกล่องมืดที่ไร้ซึ่งผู้คน น้องชายเขาคงเป็นเช่นนี้มาตลอด บอกใครไม่ได้เพราะกลัว หนีไม่ได้เพราะใจยังห่วง ทว่ากลับอ่อนแอจนไม่อาจมีแรงยืนหยัด ดังนั้นหนทางเดียวคือการสร้างเกราะ กีดกันทุกอย่างที่จิตใต้สำนึกสั่งให้เอาออกไปจากชีวิต‘แค่พูดคำไม่กี่คำ...’นั่นคือสาเหตุว่าทำไมน้องชายถึงได้ปฏิเสธเขาหนักหนา ด้วยแรงกดดันอันมหาศาลและสถานการณ์อันบีบคั้นส่งผลให้เด็กคนนั้นจำฝังใจมาจนถึงทุกวันนี้รักกันไม่ได้เพราะกลัวมารดาจะเป็นอันตรายรักกันไม่ได้เพราะกลัวทำครอบครัวคนอื่นแตกแยกรักกันไม่ได้เพราะกลัวหลานชายที่กำเนิดมาจะผิดหวังมันเป็นปัญหาลูกโซ่ที่สืบเนื่องมาจากคำขู่ไม่กี่คำในวัยเยาว์ ค่อย ๆ ซึมลึกลงไปยังก้นบึ้ง แตกหน่อออกผลตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาอย่างเงียบ ๆ กัดกินจิตใจเป็นอาหาร ประหนึ่งมีดคมที่ค่อย ๆ เฉือนเนื้อออกไปทีละนิดอย่างประณีตบรรจงเสียงร่ำไห้ที่เขาได้ยินเหมือนมันเป็นความโศกเศร้าตลอดร่วมสิบปี
สองชายหนุ่มคนหนึ่งเป็นตำรวจคนหนึ่งเป็นอาจารย์พากันมานั่งรอรับยาหน้าโรงพยาบาล เพราะหลังจากเมื่อคืนที่ตากฝนกันไปร่วมชั่วโมงก็พลอยทำให้เชื้อหวัดลงปอดไอกะด้อกะเดี้ย น้ำมูกไหลจมูกแดงไปตาม ๆ กันไกรวิชญ์รู้เรื่องจากปากอาจารย์เจ้าว่าวันนั้นได้ทำอะไรกับน้องชายเขาไปบ้างก็มีน้ำโห กล้าทำกับผิวอันบอบบางแบบนั้นไปได้อย่างไรถึงมันจะเป็นการแสดงเพื่อให้ด้วงเลิกกับตัวเองก็เถอะดันกิเองเมื่อจัดการศัตรูที่เข้ามาและฝังกลบดินไปแล้วก็หันมามองเขม่นใส่นายตำรวจคนที่คุณดลรวีหลงนักหลงหนาแล้วมาใช้เขาเป็นตัวแทนเพื่อตัดใจ“ผมโคตรอยากต่อยคุณเลย”“เอาเข้าจริงผมก็อยากต่อยคุณเหมือนกัน”“…”“…”“สนใจมาแลกกันคนละหมัดไหม?”“ผมก็คิดอยู่แต่แบบนั้นคุณดลรวีน่าจะไม่ชอบ”“ผมก็ว่างั้น”‘ขอเชิญหมายเลข ๒๒๓ รับยาที่ช่องเจ็ดค่ะ’ ดันกิถอนหายใจออกมาพลางลุกขึ้นไปรับยาพร้อมถือกระเป๋าติดตัวไปด้วย เมื่อรับยาเสร็จทีแรกที่คุยกับไกรวิชญ์เขาว่าจะขึ้นไปเยี่ยมคุณดลรวีด้วยกัน แต่พอมาคิด ๆ ดูแล้วคนที่ไม่สามารถปกป้องเจ้าตัวได้อย่างเขาไม่มีสิทธิ์ไ
เสียงพื้นรองเท้ากระทบฝนยังคงไม่หายไปแม้เวลาจะล่วงเลยมาเกือบหนึ่งชั่วโมงนับตั้งแต่ที่ไกรวิชญ์ได้รับโทรศัพท์มาจากแม่เลี้ยงแล้วก็ตาม แน่นอนว่าเขาไม่มีกะจิตกะใจแม้แต่จะเปลี่ยนเสื้อผ้า ยังคงสวมเครื่องแบบตำรวจวิ่งตามหาไปทั่วอยู่อย่างนั้น รวมไปถึงอาจารย์ชาวญี่ปุ่นด้วยเช่นกันชายสองคนวิ่งกลับมาเจอกัน ณ หน้าจุดนัดพบหน้าบ้านเมื่อแยกกันไปหาคนละทางแต่ยังไม่พบวี่แววของคนน้องแม้สักนิด ยิ่งเวลาผ่านไปเรื่อย ๆ ยิ่งทำให้ทั้งนายตำรวจและอาจารย์เป็นห่วงขึ้นไปอีก“ผม...ขอโทษ”ดันกิกล่าวขออภัยด้วยใจรู้สึกผิด หากเขาไม่ทำแบบนั้นบางทีคุณดลรวีคงจะกลับบ้านอย่างปลอดภัยหรือไม่หากเขาทำหน้าหนาตามมาส่งสักหน่อยเรื่องแบบนี้อาจไม่เกิดขึ้นก็เป็นได้“คำนั้นเอาไว้พูดหลังหาด้วงเจอก็แล้วกัน”ไกรวิชญ์พูดด้วยความร้อนรน พลางมองหาเบาะแสที่เขาอาจพลาดไป เมื่อสักครู่เขาแยกไปดูยังเส้นทางอื่นที่น้องชายสามารถเดินกลับบ้านได้แต่ก็ไม่เจอ จึงคิดจะวกกลับไปดูอีกครั้งยังทางเข้าหลักหน้าหมู่บ้านเป็นครั้งที่สองนายตำรวจก้าวขาเดินออกไปโดยไม่ได้บอกกล่าวอาจารย์ที่อาสาตามหาเจ้าน้องด้วยกัน ทว
เนื่องจากตำรวจยังไม่สามารถตามจับกุมนักโทษที่หลบหนีได้ทั้งหมด แม้มันจะเหลือเพียงส่วนน้อยแล้วก็ตามแต่อย่างไรเพื่อความปลอดภัยของผู้คนในเขตนั้น ๆ เมื่อได้เบาะแสอะไรมาพวกเขาจึงต้องเอามาร่วมพิจารณา ยิ่งไปกว่านั้นคดีที่ค้างคาอยู่ก็ยังต้องนำมาพูดถึงเป็นลำดับไปสำหรับการวางแผนในอนาคตอีก“ขอบคุณทุกคนมาก กลับบ้านได้”เป็นไกรวิชญ์ที่กล่าวประโยคนั้น แม้เพื่อนร่วมงานสน.นี้จะขยันขันแข็งกันขนาดไหน แต่เขาก็เข้าใจหัวอกบางคนที่มีลูกมีเมียอยู่บ้าน หากเขารั้งไว้คงจะไม่เป็นการดีนัก“ไอ้ไกร วันนี้ไม่ใช่เวรเอ็งไม่ใช่เหรอ?”พูนกลับมาจากโต๊ะประชุมพร้อมเพื่อนในขณะที่เขาเก็บของลงกระเป๋า แต่ไกรมันกลับนั่งลงหยิบสำนวนขึ้นมาเปิดไปมาเสียอย่างนั้น“ขอทำความเข้าใจตรงนี้ก่อน”“ขี้เกียจบ้างเถอะพ่อคุณ”“ไว้ค่อยทีหลัง”“แบบนี้น้องไม่ห่วงแย่แล้วรึ?”“ด้วงจะมาห่วงอะไรฉัน”“ใช่ว่าเขามีชิ้นแล้วจะเมินเอ็งสักหน่อย”“ช่างฉันเถอะน่ะ”เพราะรำคาญเสียงจ้อกแจ้กของเพื่อนจึงบอกปัดไป ก่อนจะต่างฝ่ายต่างโบกมือลา ไกรวิชญ์จึงได้กลับมาตั้งสมาธิก
“แหม ถือร่มมารับเลยนะครับ”“ก็ฝนตกมาตั้งแต่เช้าแล้วนี่ครับ”แผนซึ่งมาโบกธงเจอหน้าคนรักของเพื่อนพอดีจึงถือโอกาสสนทนาระหว่างด้วงมันกลับมาจากห้องน้ำ หลังจากวันที่ไอ้ด้วงเป็นลม อาจารย์คนนี้คล้ายจะประคบประหงมเป็นพิเศษเพราะรถไฟพึ่งออกและยังอยากตากลมเย็นจึงนั่งบนเก้าอี้รอไอ้ด้วงเป็นเพื่อนอาจารย์ชาวญี่ปุ่น เรื่องราวที่เขาเข้าใจกับที่เกิดขึ้นมันย้อนแย้งกันไปคนละทิศละทาง แต่อย่างไรก็โต ๆ กันแล้ว หากเพื่อนเขาตัดสินใจแบบไหนเขาก็ตามนั้นไม่ได้เป็นปัญหาอะไรหรอกเพียงแต่...เขาในฐานะเพื่อนจริง ๆ ก็คอยจับสังเกตมาตลอด เคยลองเซ้าซี้ทว่ามันกลับเอาแต่บอกว่าไม่มีอะไร ไม่นู่น ไม่นี่จนเขาเหนื่อยหน่าย ทำได้เพียงมองเมียงกลัวมันจะเป็นอะไรเข้าในสักวัน และก็เป็นไปตามคาดจริง ๆ ไม่รู้มันไปเอาความเครียดมาจากไหนเยอะแยะจนแต่ละวันน้อยครั้งนักที่จะเห็นมันยิ้มออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ ขนาดคนรักเจ้าตัวมาพูดคุยด้วยก็ยังคงทำหน้านิ่งเฉย ต่างจากสมัยยังเป็นเพื่อนผู้โดยสารลิบลับ“ขอโทษที่ต้องให้รอนะครับ”“ไม่เป็นไรครับ”แผนโบกมือลาเจ้าเพื่อนเป็นครั้งสุดท้ายของวันเพรา
“ขี้เกียจทำงานแล้ว...เฮ้อ”เสียงบ่นอิดออดนั่นออกมาจากปากเพื่อนเพียงคนเดียวของไกรวิชญ์อย่างเจ้าพูนที่ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ไร้เรี่ยวแรงจะทำงาน ไกรวิชญ์ซึ่งชินชากับนิสัยนั้นแล้วจึงก้มหน้าก้มตาทำงานต่อไปหลังไม่ได้แตะปากกากับกระดาษมานานหลักเดือนพันโทหรี่ตามองคุณพ่อตำรวจทำงานไฟลุกด้วยหน้าตาอันเรียบเฉย ถ้าเป็นเขาโดนหักเงินเดือนคงไม่มานั่งตั้งใจทำงานเกินค่าจ้างแบบนี้หรอก ว่าแล้วก็ถอนหายใจอีกครั้งเป็นการพ่นความเครียดที่ไม่มีอยู่จริงออกมา‘เมื่อไหร่จะจับพวกมันให้หมดสักที รู้ไหมพวกฉันกังวลแค่ไหน!?’‘ทำงานให้มันดี ๆ หน่อย!’‘ถ้าจะชักช้ายืดยาดแบบนี้ก็ไม่ต้องเป็นหรอกตำรวจน่ะ!!’พูนได้ยินเสียงโวยวายของชาวบ้านแว่วมาจากทางด้านนอกก็เอือมระอา ในตอนที่ไกรมันไม่อยู่ก็เป็นเขาที่บากหน้าออกไปรับคำดุด่าว่ากล่าวแทน เอาเข้าจริงใช่ว่าพวกเขาตลอดทั้งเดือนที่พยายามสืบหากันมาก็ทยอยจับมาได้เรื่อย ๆ แต่เพราะนี่เป็นข่าวใหญ่ที่ยังลงสื่อวิทยุและหนังสือพิมพ์ทางการ ไม่แปลกที่ผู้คนจะให้ความสนใจและเพ่งเล็งผู้พิทักษ์สันติราษฎร์อย่างพวกเขาขนาดนี้“เมื่อวานก็มา พวกป้
‘แม่พึ่งถักแล้วซักเสร็จ ลูกเอาไปใส่ด้วยนะ’แม่บอกเขามาเช่นนั้นพร้อมมอบผ้าพันคอไหมพรมสีเทามาให้ ปกติแล้วบ้านเราไม่ค่อยมีของพวกนี้เท่าไรนักเพราะหน้าหนาวประเทศไทยก็ใช่ว่าจะหนาวมากมาย เผลอ ๆ บางวันร้อนเหมือนเตาถ่าน ทว่าวันนี้เพียงตื่นมาก็ต้องขนลุกซู่เพราะลมหวิวที่แทรกเข้ามาตามช่องไม้ เขาจึงปฏิเสธไม่ได้ที่จะรับมันมานายสถานีหลังทานข้าวต้มมื้อเช้าเสร็จก็ผูกผ้าพันคอเดินลงมาสวมรองเท้าคู่ใจออกจากบ้านตามปกติ บรรยากาศวันนี้ค่อนข้างอึมครึมพิกล ทั้งมือเขายังรู้สึกเจ็บแปล๊บ ๆ ทุกครั้งที่ขยับ อาจเพราะความเย็นกัดผิวก็เป็นได้ เขาหวังว่าเจ็ดโมงที่สถานีจะมีคนต้มน้ำอุ่นเอาไว้จิบคลายความหนาวเดินไปเรื่อยจู่ ๆ ก็รู้สึกหิวทั้งที่พึ่งกินมา จะว่าไปเมื่อเช้าแทบไม่ได้แตะอะไรไปเท่าไรนัก ข้าวในถ้วยก็น้อยนิดแต่กว่าจะฝืนกินจนหมดก็นานโข กินอะไรไม่ลงแบบนี้ค่อนข้างส่งผลร้ายต่อร่างกายหลายด้านเลยเชียวยิ่งไปกว่านั้นเมื่อคืนเขาก็ดันฝันถึงเรื่องเดิม ๆ จนสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึกอีกแล้ว ตอนแรกคิดว่าอาจเพราะชอบนอนคุดคู้เอาหน้าซุกผ้าห่มจนหายใจไม่ออกแต่มันไม่ใช่เลย ที่ฝันร้ายนั่นกลับม
“เครื่องแบบไม่มีที่เป็นแขนยาวสำหรับหน้าหนาวเหรอครับ?”“พวกเราใส่แบบเดียวกันตลอดทั้งปี ไม่มีแยกตามฤดูกาลหรอกครับ”“แบบนี้ก็ไม่ดีน่ะสิ”“ฮ่า ๆ ประเทศนี้ถ้าหนาวมาทีก็ถือว่าบุญส่งแล้วครับ ปกติร้อนเกือบทั้งปี”ด้วงรู้สึกว่าตัวเองตอบคำถามไม่ค่อยเป็นธรรมชาติสักเท่าไรเมื่อเทียบกับเมื่อก่อนทั้งตอนนี้คุณอุ่นยังเป็นคนเริ่มบทสนทนาอยู่ฝ่ายเดียว เขากลัวอีกฝ่ายจะตั้งแง่สงสัย อย่างน้อยเขาก็ควรเป็นฝ่ายถามกลับไปบ้าง“ถุงหอมที่ให้ไปเป็นยังไงบ้างครับ?”“หอมผ่อนคลายมากเลยครับ ผมห้อยติดกระเป๋าไว้ตลอดเลย”ว่าแล้วอาจารย์แกก็ยกกระเป๋าถือขึ้นมาให้เขาดู บริเวณโลหะข้อต่อหูกระเป๋ามีตาข่ายถุงหอมห้อยอยู่ ด้วงเห็นแล้วก็สะกิดใจ ทั้งที่มันแขวนให้เขาเห็นมาตลอดแต่กลับไม่ได้สังเกตเลย สงสัยต่อจากนี้เขาควรใส่ใจคุณอุ่นให้มากกว่าที่เป็นอยู่เสียแล้ว“ขอบคุณที่เดินมาส่งถึงหน้าบ้านอีกแล้วนะครับ”“ผมก็ขอบคุณที่ให้ผมเดินมาส่งเช่นกันครับ”ก่อนที่อาจารย์เจ้าจะไป ด้วงก็บังเอิญสังเกตไปยังสีท้องฟ้าวันนี้ แล้วจึงหันมาแอบมองนาฬิกาข้อมือของอาจารย์ ไหน ๆ