ท้ายที่สุดเขาต้องยอมไปบวชเรียนเป็นคนที่หนึ่งร้อยหนึ่งด้วยเหตุผลประหลาด ๆ ที่เขาถูกกันออกมาจากผู้ใหญ่ทั้งสองและพี่อีกหนึ่งคน ทว่าอย่างไรเสียคนที่กันเขาก็เป็นตาลุงนั่น เพราะเขากับแม่มักจะเล่าเรื่องสู่กันฟังอย่างตรงไปตรงมาเสมอ มารดาหลังจากพูดคุยกันจนถึงเวลาทุ่มเศษจึงนำเรื่องราวข้อตกลงมาเล่าให้ฟัง
“เฮ้อ...”
เพราะนอนไม่หลับขึ้นมาจึงเดินมาที่สวนตั้งตะเกียงก่อนจะหยิบขนมจากเมื่อเช้าที่เหลืออีกหนึ่งห่อมานั่งแกะกินต่อให้หมดก่อนมันจะเสีย เนื่องจากเป็นเวลากลางคืนพื้นที่หลังบ้านแม้จะรายล้อมด้วยป่าแต่ก็มีลานพืชผักกว้างพอจะให้ลมหนาวพัดผ่าน เด็กชายจึงสุมกิ่งไม้จุดไฟผิงไปพลาง เขาเผลอใช้ไม้ขีดจุดอีกแล้ว หากแม่มารู้ว่าเขาใช้ของสิ้นเปลืองคงจะโดนตำหนิเป็นแน่
แก้มตอบตอนนี้อวบอิ่มไปด้วยเนื้อขนมสีเหลืองภายใน ดวงตากลมฉายแววเศร้าหมอง จิตใจห่อเหี่ยวจนอยากจะถอนหายใจออกมาอีกรอบถ้าไม่มีขนมอยู่ในปาก
เขาเห็นสายตามารดาเมื่อยามกลับมา มันฉายทั้งความรู้สึกเป็นสุข และความทุกข์ปนเปกัน เจ้าหล่อนไม่คิดจะปิดบัง พาลูกชายหัวแก้วหัวแหวนมานั่งจับเข่าคุย
‘ในขณะที่เขากำลังบวช ฝ่าย
“อย่ามาใส่ร้ายคนอื่นนะ!”ด้วงเปล่งเสียงดัง ทำไมพวกเขาจะไม่ใช่คนดี พวกเขาเป็นพระที่อยู่ในศีลในธรรมนะ แม่เขาก็พร่ำสอนมาตลอดว่าให้เคารพพระสงฆ์องค์เจ้า ทั้งพ่อเขาก็ดำรงพระธรรมอยู่ที่นี่จนลมหายใจสุดท้ายของชีวิตโดยไม่มีเรื่องราวเสียหาย การบอกให้เขาปฏิเสธคนที่มีพระคุณ คอยเป็นเพื่อน เป็นผู้ใหญ่ที่ไว้ใจไม่ต่างอะไรกับการดูถูกความเชื่อของเขาและมารดาสักนิดยิ่งคิดมากสมองก็โยงใยไปถึงเรื่องของตาลุงคนนั้นที่เข้าหาแม่เพราะจะเอาไปทำเมีย เขาไม่ชอบในสิ่งที่แม่ไม่ชอบ เพียงเพราะเข้าตาจน พวกเขาจึงไม่มีสิทธิ์เลือกเขาเกลียดที่สุด พอได้เริ่มตั้งคำถาม ในหัวมันก็รู้สึกปั่นป่วนไปหมด แม่กำลังป่วยแต่หลังจากนั้นก็มีคนมาช่วยเพราะหวังผล ต้องมานั่งเรียนกับว่าที่พี่ชายถึงแม้ใจจะรู้สึกสนิทขึ้นมาบ้างแล้วทว่ายังไม่อาจเปิดใจได้ทั้งหมด ต้องมารับฟังว่าเหล่าคนที่เขาเชื่อใจมาตลอดเป็นคนไม่ดีจากปากคนอื่น ไหนจะอนาคตที่ไม่รู้เขาและแม่จะสามารถหาเงินมาใช้คืนตำรวจคนนั้นได้หรือเปล่า หากไม่ได้แม่จะต้องทำในสิ่งที่ใจไม่ได้ปรารถนา เขาจะต้องปรับตัว จะต้องทำสิ่งที่ต่างออกไปจากตอนนี้ จะต้องเข้าไปอยู่ในที
ด้วงเมื่อได้รับรู้ความจริงจากปากคนที่มองเข้ามาอย่างพี่ไกรก็เก็บมานั่งวิตก ไม่น่าเชื่อว่าทั้งสองคนนั้นจะกระทำสิ่งที่ผิดจารีต เด็กชายนั่งกอดเข่าครุ่นคิดอยู่มุมกระท่อมน้อยด้วยสายตาเหม่อลอย แม้จะเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งแต่ร่างกายเขาดันออกตัวปฏิเสธกับคนเหล่านั้นไปเสียแล้วหลังจากบรรพชาแม้จะหลอกตัวเองว่าตนสนิทกับไอ้ทอง หรือหลวงตาขนาดไหนแต่เพราะเขาหันไปอยู่กับพี่ไกรมากกว่าการสุงสิงกับกลุ่มพี่เก่า‘ด้วง ไปกวาดลานตรงนั้นกันไหม’‘ฉะ...ฉันกวาดตรงนี้นี่แหละ’เขาเลือกที่จะยืนอยู่ข้างว่าที่พี่ชายตั้งใจก้มหน้าจับไม้กวาดทางมะพร้าวลาดปัดเศษใบไม้ เพราะไม่อยากมองหน้าสบตาพี่ทองที่คล้ายจะมองออกว่าเขากำลังตีตัวออกหาก ทว่าทำอย่างไรดี ความคิดภายในใจของเขามันดันสวนทางกัน เขาอยากสนิทกับทุกคนเหมือนเดิม แต่อบายมุขเหล่านั้นเป็นของต้องห้าม‘พี่ทอง...คือว่ายาสูบน่ะ มันไม่ดีนะ”เมื่อเขาทำใจกล้าจับมือพี่คนสนิทมาพูดคุยเป็นการส่วนตัวพร้อมโพล่งประโยคนั้นออกไป เจ้าตัวก็หาได้มีทีท่าตกอกตกใจ แต่กลับส่งยิ้มมาทางเขาย่อตัวยกมือขึ้นลูบศีรษะแผ่วเบา‘ข้าเป็นพระ ใช้ข
เนื่องด้วยเสียงตะโกนของเขาเมื่อครู่จึงทำให้ผู้คนโดยรอบหันมาสนใจ เขาและแม่จึงไม่มีทางเลือกต้องกลับมาสงบเสงี่ยมเพราะการที่ออกมาขายนอกพื้นที่ตลาดวางของขวางทางคนเดินแบบนี้มันผิดกฎหมายตามที่ตาลุงนั่นว่าจริงเด็กชายถูกจับจูงมาพูดคุยกันในจุดอับสายตาผู้คน ทำให้ด้วงไม่อาจลอบมองสถานการณ์ระหว่างแม่กับชายคนนั้นได้อย่างเต็มที่ เขาอยากจะเข้าไปเอากระจาดฟาดหัวตาแก่นั่นเหลือเกินแต่เพราะครอบครัวเขาได้รับการดูแลทั้งเรื่องการรักษาไข้มารดาและการบวชเรียนของเขาจึงขยับตัวไม่ได้มากประหนึ่งถูกกรงขังที่เรียกว่าหนี้บุญคุณครอบเอาไว้“พี่ พาน้องมาที่นี่ทำไม?”ด้วงเอ่ยถามแต่ไม่ได้มีสมาธิสักเท่าไรนักเพราะอยากให้ความสนใจ ณ มารดาด้านหลังรั้วเหล็กมากกว่า“ปล่อยให้ผู้ใหญ่เขาคุยกัน”“ทำไมพี่ต้องยอมผู้ชายคนนั้นไปซะทุกเรื่องเลย”“พี่...”ไกรวิชญ์นิ่งค้าง เขาไม่รู้จะตอบคำถามนั้นว่าอย่างไรไปนอกจากคำว่า ‘ขี้ขลาด’ กระนั้นหากพูดมันออกไป เขาจะกลายเป็นลูกแหง่ตัวหนึ่งที่ไม่แม้จะออกปากห้ามปรามสิ่งอันไม่เหมาะสม“แม่เขา...ไม่ได้อยากแต่งงานกับพ่อพี่”“เรื่อ
“พี่ด้วง ๆ! ได้ยินว่ามีเด็กคนใหม่มาอยู่ด้วยล่ะ!”เด็กจิ๋วคนหนึ่งตะโกนขึ้นเรียกพี่โตสุดในกลุ่ม ผ่านมาเพียงครึ่งปีร่างกายของด้วงก็เติบใหญ่จนไม่สามารถใช้คำว่าเด็กชายได้อีกต่อไปกายสูงโปร่งผิวสีน้ำผึ้งมือชะงักจากการต้มทำยาหม้อเงยหน้าขึ้นสบตาเด็กชายตัวเล็กเท่าเอวซึ่งวิ่งเข้ามาหา คำรายงานสถานการณ์ทำให้แววตาเป็นประกายด้วยความตื่นเต้นเพราะนั่นเป็นสัญญาณว่าเขากำลังจะมีเพื่อนใหม่ใบหน้าอ่อนเปื้อนคราบดินดอนยกยิ้มก่อนจะจัดการข้าวของร้อนตรงหน้าให้พอเหมาะ หันไปสนทนากับเด็กจิ๋วคนสนิท“เป็นใครเหรอ!?”น้ำเสียงซึ่งพึ่งเริ่มทุ้มต่ำถามด้วยความรู้สึกกระปรี้กระเปร่า จะเป็นคนที่เด็กกว่า รุ่นราวคราวเดียวกัน หรือแก่กว่ากันแน่นะ“เห็นว่าหนีออกจากบ้านแล้วไม่มีที่ไป... ได้ข่าวว่าเป็นลูกเศรษฐีด้วยนะ”เด็กน้อยกล่าวประโยคสุดท้ายพร้อมยกมือป้องปากกระซิบกระซาบ แล้วจึงเล่าความต่อว่าเจ้าตัวมีรูปพรรณสัณฐานอย่างไร นั่นยิ่งทำเขาสนอกสนใจเข้าไปใหญ่ลูกคุณหนูอย่างนั้นเหรอ ไม่ว่าจะเป็นใครถ้าจะได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของที่นี่แล้วละก็ เขาอยากจะทำความรู้จักด้ว
ด้วงเดินมาด้อม ๆ มอง ๆ เงยหน้าจากพื้นมองขึ้นไปยังหน้าต่างกุฏิเก่าด้วยความตื่นเต้น เมื่อคล้ายว่าได้ยินคำกล่าวลาเขาจึงเดินไปแอบแถวหลังพุ่มไม้ส่วนหน้าเรือน เห็นว่าเด็กคนนั้นเดินลงมาคนเดียวพร้อมกล่องเครื่องไม้เครื่องมือ จึงอาศัยจังหวะนี้เดินเข้าไปทักทาย“นี่เอ็งน่ะ!”“เฮือก!!... นายเป็นใคร!”เมื่อหันมามองหน้าชัด ๆ และได้ฟังเสียงที่เริ่มทุ้มต่ำไม่ต่างกันยิ่งยืนยันว่าเป็นรุ่นราวคราวเดียวกันน่าจะเข้ากันได้ ทว่าสีหน้าแววตาที่ถึงจะสะสวยน่ารักแต่คิ้วกลับขมวดจ้องเขาอย่างกับเป็นศัตรูคู่แค้นมาแต่ชาติปางไหน“เอ่อ...ข้าชื่อด้วง เป็นเด็กวัดที่นี่ แล้วเอ็งชื่ออะไร”“แก้ว”อีกฝ่ายตอบเสียงแข็ง แสดงออกว่าไม่อยากคบหาสมาคมด้วยเป็นที่สุด โฉมงามกอดตะกร้าสานในมือแน่นยืนเก็บเนื้อเก็บตัวแต่แววตายังคงมุ่งร้าย จนด้วงทำตัวไม่ถูกเข้าไปใหญ่“เอ็งเป็นลูกคุณหนูไม่ใช่เหรอ แล้วมาอยู่ที่นี่ทำไม?”เขาถามออกไปตามสิ่งที่อยู่ในหัวทว่าคู่สนทนากลับไม่พอใจยิ่งกว่าเดิม ขบเม้มริมฝีปากและคราวนี้คล้ายจะน้ำตาคลอเบ้าอีกเสียด้วย“ฮึก! เป็นใครก็ไม่รู้ ยะ...ย
เวลาไหลผ่านมาจวบจนเข้าปีที่สาม ตำรวจคนนั้นก็ยังไม่ยอมลดราวาศอกกับผู้เป็นมารดาเสียทีทั้งยังคงยืนกรานว่าแม่เขาน่ะ ไม่สามารถฝืนโชคชะตาได้หรอกด้วงนำมันมาคิดแล้วก็ได้แต่กัดฟัน หากโชคชะตามีจริงทำไมต้องเล่นตลกกับพวกเขาสองแม่ลูกได้ถึงขนาดนี้ ใจเขาไม่ได้เกลียดพี่ไกรแม้สักนิดกลับมีแต่ความรู้สึกดีให้กันเสียด้วยซ้ำแต่สำหรับตาแก่นั่นแค่เขาเห็นก็อยากจะเข้าไปปะทะให้หน้าหงายเด็กหนุ่มในเสื้อผ้าเย็บใหม่ออกมานั่งปาหินเล่นที่ริมลำธารพลอยนึกถึงเมื่อหลายปีก่อนที่ตนเองได้รับโอกาสบรรพชาอย่างบ้านอื่นเขา ทิวทัศน์ลำธารใสฝั่งตรงข้ามฉายภาพตึกรามบ้านช่องเรียงเป็นแนวยาวโดยมีท่าเรือน้อยใหญ่ให้เห็นประปราย ผืนน้ำสะท้อนแสงระยิบระยับยิ่งชวนให้หน้าเจ้าพี่ลอยเข้ามา เขาไม่เข้าใจเอาเสียเลยว่าเมื่อใดที่เป็นทุกข์เพียงนึกถึงก็รู้สึกอุ่นใจขึ้นมาได้เสียอย่างนั้นด้วงนั่งเอาเท้าจุ่มน้ำแกว่งรับความเย็นผ่านผิวกาย บัดนี้ผ่านมาหลักปีเด็กหนุ่มแม้เมื่อเทียบกับคนเมืองจะยังดูผอมกะหร่องทว่าหากเทียบเมื่อครั้งอดีตกลับอุดมสมบูรณ์ขึ้นผิดหูผิดตา ยามแตกเนื้อหนุ่มย่อมมีสิวมีกระขึ้นเป็นบางจุดกระนั้นผ่านไปเพี
ในวันรุ่งขึ้นด้วงซึ่งพึ่งเดินกลับมาจากการทำงานก็วิ่งแทด ๆ มุ่งตรงเข้ามาในกระท่อมเพื่อล้างหน้าล้างตัวและเหงื่อไคลจากการทำงานตลอดครึ่งวัน แล้วจึงมุ่งตรงไปหยิบเจ้าถุงหอมถุงน้อยขึ้นมาดมตรวจทานกลิ่น เมื่อเห็นเป็นแม่นเหมาะจึงพาตัวเองออกมาคีบรองเท้าแตะเดินหาเจ้าแก้วหวังจะให้สิ่งนี้เพื่อเป็นตัวเชื่อมความสัมพันธ์นั่งรออยู่ที่ม้าหินเขตลานวัด มองไปยังศาลาการเปรียญเห็นเหล่าเด็กน้อยวิ่งไล่จับกันสนุกสนานเขาในฐานะคนเป็นพี่ใหญ่จึงยกยิ้มมุมปากขึ้นมาอย่างเป็นไปเอง พอโตขึ้นเพียงได้มองภาพเด็ก ๆ วิ่งเล่นยิ้มแย้มกันเขาก็รู้สึกสนุกไปด้วยแล้ว นี่หรือช่วงเวลาที่เขากำลังค่อย ๆ โตเป็นผู้ใหญ่ไม่นานเพื่อนโฉมงามก็เดินผ่านซุ้มประตูวัดเข้ามาพร้อมกับตะกร้าของฝากที่คงจะเป็นสิ่งของจากเหล่าพี่สาวพี่ชายชาวลิเกแก้วเดินยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เข้ามาก่อนจะต้องหยุดเดิน จากที่ทำหน้าตาดี ๆ อยู่ก็ต้องหุบยิ้มเพราะเจอเจ้าด้วง ซึ่งส่วนตัวแล้วเคมีไม่ค่อยถูกกันสักเท่าไรนักเพราะเจ้าตัวชอบเข้าหาเขาแบบแปลก ๆ ทำหน้าทำตาเหมือนคนปวดท้องถ่ายอยู่ตลอดเวลา กล่าววาจาก็โผงผางไม่รื่นหูสักนิด“แก้ว”“
ลูกชายของเธอขวัญเสียอยู่นานหลักวัน ไม่กล้าเดินออกจากกระท่อมสุ่มสี่สุ่มห้าหากไม่ใช่เวลาเข้างาน หกโมงเช้ามักมีท่าทีระแวดระวังเป็นพิเศษเธอกลับมาตอนเที่ยง ๆ บ่าย ๆ ลูกเธอก็ไม่ออกไปช่วยกิจของทางวัดอย่างเคย แม่มาลีเห็นบุตรชายที่ตกบ่ายมาก็ยังนั่งขลุกช่วยหล่อนตำยาสมุนไพรก็นึกสงสัยขึ้นมาเป็นครั้งที่เท่าไรแล้วก็ไม่รู้ ไม่ว่าจะถามไถ่ว่าไปเจออะไรมา ด้วงก็มักจะหลีกเลี่ยงไม่ตอบเสียทุกครั้ง‘มันไม่มีอะไรหรอก’‘สงสัยฉันคงคิดไปเอง’‘ฉันโตแล้วนะ แม่ไม่ต้องเป็นห่วงฉันหรอก’ลูกเธอเป็นคนโกหกไม่เป็น หรือต่อให้พูดโป้ปดก็เป็นคนเผยพิรุธออกมาอย่างชัดเจน เจ้าตัวคงรู้ดีว่าหากโกหกแม่จะรู้ได้ทันทีจึงใช้วิธีหนีจากคำตอบนั้นแม่มาลีนั่งหั่นตะไคร้ใบมะกรูดเมื่อแล้วเสร็จจึงกวาดพวกมันลงถาดสังกะสี พลอยมองเจ้าลูกจอมดื้อโขลกเครื่องแกงอยู่ข้าง ๆ สีหน้านั้นเคร่งเครียดเรียบนิ่งผิดปกติประหนึ่งคนคิดอะไรอยู่ตลอดเวลา คราวอยากจะรู้อีกฝ่ายก็ไม่ปริปากบอกจนเธอเริ่มมีความคิดจะเค้นคอถามหากลูกคนนี้ไม่นำเรื่องมาปรึกษาแม่แท้ ๆ“ด้วง เอ็งออกไปช่วยพระท่านกวาดลานพระธรรมไป”“แต่ว
จบการบรรยายภาคบ่าย เนื่องจากคนน้อยลงไปกว่าครึ่งเวลาที่ใช้ไปจึงมีประสิทธิภาพและไม่เกินแผนที่วางเอาไว้ กันต์แม้ฟังอะไรไม่ออกแต่เนื่องจากเป็นหัวข้อเดียวกันจึงพยายามจับคำจำไว้ในหัวและบอกว่าจะเอาไปถามอาจารย์ดูว่ามันแปลว่าอะไรหลานชายเปิดใจจนความคิดเขาเริ่มโอนอ่อน ทีแรกเขาคิดไว้ว่าหลังจากจบการบรรยายนี้ในหนึ่งสัปดาห์นั้นเขาจะลองไปหาครูคนอื่น ๆ มาสัมภาษณ์เผื่อไว้เป็นตัวเลือก ทว่าปฏิเสธไม่ได้ว่าความจริงแล้วเขาเทใจไปให้ใคร ให้ตายสิ เขาไม่อยากดูเป็นคนลำเอียงเลือกที่รักมักที่ชังเลยจบการบรรยายแน่นอนว่าคุณอุ่นอาสาตัวเองนำทางเขาไปส่งยังหน้าวิทยาลัย ระหว่างทางก็บรรยายที่นี่ให้ฟัง แต่ไม่ใช่เพราะตนเรียนจบจากที่นี่หรือเป็นอาจารย์ของที่นี่ ทว่าเพราะก่อนหน้านั้นนอกจากเจ้าตัวจะเตรียมการบรรยายแล้วยังสอบถามพื้นที่ประวัติและนักเรียนของที่นี่เพื่อเตรียมมาเป็นมัคคุเทศก์ให้พวกเขา สมเป็นคุณอุ่นจริง ๆ“ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้วเราไปทานมื้อเย็นด้วยกันเลยไหมครับ?”เนื่องจากเส้นทางเดินเป็นการเดินกลับกึ่งเที่ยวมากกว่าจึงค่อนข้างกินเวลา จนตอนนี้ก็สามเกือบสี่โมงแล้ว แต่ว่าหากรีบเดิน
จากกระดาษที่คุณอุ่นเคยจดชื่อและแผนที่วิทยาลัยที่จะไปทำการบรรยายพิเศษไว้ให้ เขาตั้งใจว่าจะพาน้องกันต์ไปชมด้วยกัน อย่างไรเสียมันก็เป็นเสาร์ที่โรงเรียนมัธยมปิดวันหยุด ทั้งเขายังจะได้ใช้เวลาร่วมกับหลานรักอีกด้วยคุณอาในชุดไปรเวทสีสว่างตัดผิวเดินสะพายกระเป๋าเดินคู่หลานชายวัยสิบสามย่างสิบสี่บนทางเดินอิฐปู เมื่อหยิบกระดาษใบน้อยขึ้นมาดูจึงพอทราบว่าระยะทางเหลืออีกไม่ไกลหลังลงสถานีปลายทาง อาจารย์เจ้าที่แม้จะพูดภาษาไทยได้แต่เขียนไทยยังไม่คล่องก็อุตส่าห์พยายามและวาดรูปให้คนอ่านเข้าใจง่าย ทั้งยังมีตัวอักษรยึกยือมุมขวาล่างเขียนไว้ว่า ‘หวังว่าเราจะได้เจอกันนะครับ’ แม้ทีแรกจะต้องเพ่งสมาธิอ่านเพราะประโยคนั้นไม่ได้เขียนโดยเจ้าของภาษา แต่เขาก็รู้สึกปลื้มที่อาจารย์เจ้าพยายามตวัดเขียนซ้ำแล้วซ้ำเล่าดูจากรอยยางลบกับรอยยับของกระดาษ แผนที่อันนี้คงถูกตระเตรียมมาเป็นอย่างดีเพียงเพื่อมาชวนเขาไปดูการบรรยายภาคเช้า ช่างน่าเอ็นดูเหลือเกินในกระดาษเขียนถึงเส้นทางและระยะเวลาการเดินไว้อย่างละเอียด‘๕ นาที เห็นอาคานสีขาว’ด้วงยกยิ้มมุมปากหัวเราะในลำคอ
ไกรวิชญ์เคยคิดว่าช่วงเวลานี้จะเป็นช่วงเวลาที่เศร้าที่สุดในชีวิต บิดาและภรรยาเขาเสียไปในช่วงเวลาไล่เลี่ยกันเนื่องด้วยเหตุรถชนใจกลางเมืองหลวงขณะออกไปซื้อของ แต่มันเทียบไม่ได้เลยกับตอนที่เขาเสียมารดาไปในวัยเด็กนายตำรวจอนาคตไกลเจ้าภาพพิธีศพสวมชุดดำทางการยืนต้อนรับแขกญาติพี่น้องของทั้งสองคนเข้ามาเคารพศพ เขามองน้องชายและลูกในวัยสิบกว่าขวบนั่งด้วยกันโดยที่กันต์กำลังนอนร้องไห้เศร้าโศกเสียใจอยู่บนตักของคุณอาตลอดมาเป็นพี่เลี้ยงที่ดูแลกันต์จนหย่านมก่อนจะยกเลิกสัญญาจ้างกันไป กระนั้นผู้เป็นแม่กลับไม่ดูดำดูดีปล่อยให้คนอื่นในบ้านเลี้ยงเป็นส่วนใหญ่ แล้วพาตัวเองไปออกงานสังคมลุงแดง คุณน้ามาลีและด้วงจึงเป็นสามคนที่คอยประคบประหงมกันต์แทนเขาที่งานล้นมือตลอดเวลาไกรวิชญ์ชำเลืองมองไปยังป้ายชื่อหน้าโลงสีขาวสะอาดก่อนจะได้อ่านชื่อภรรยาที่อยู่ใกล้สายตามากที่สุด‘กุหลาบ’ คือชื่อของหล่อนอย่างนั้นเหรอ... เขาในฐานะสามีมาตระหนักถึงนามของภรรยาเอาตอนที่เจ้าตัวจากไป ช่างน่าขายหน้าเสียจริง นึกแล้วก็แค่นหัวเราะ เขาที่พยายามบอกตัวเองไม่ให้เอาอย่างบิดา ทว่าตลอดมาตัวเขาเ
วันนี้เป็นวันที่เขาจะได้ถอดสายน้ำเกลือและเก็บข้าวเก็บของออกจากโรงพยาบาลหลังจากอาศัยอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมแคบ ๆ นี้มาเป็นเวลาสองเดือนเต็มด้วงในชุดไปรเวทเสื้อยืดกางเกงขายาวตัวใหม่เอี่ยมตรวจทานตัวเองหน้ากระจกห้องน้ำก่อนจะเปิดประตูออกมากะพูดคุยปรึกษาอาการตนเองกับพยาบาลสักครู่แล้วค่อยถือถุงเสื้อผ้ากลับ“เหมาะกับเรามากครับ”“ขอบคุณที่อุตส่าห์ซื้อให้น้องนะ”ด้วงยิ้มมุมปากก่อนจะรีบเดินไปคว้ากระเป๋าเสื้อผ้าในมือเจ้าพี่แล้วจึงเดินออกมา เขารู้ว่าบางทีมันอาจเสียมารยาทไปสักหน่อยแต่เขาอยากสร้างระยะห่างระหว่างตัวเขากับพี่ไกรให้มากที่สุดเพราะเจ้าตัวแต่งงานจดทะเบียนสมรสแล้ว น่าเสียดายไม่น้อยที่ช่วงเวลานั้นเขายังไม่ได้รับอนุญาตให้ออกจากโรงพยาบาลด้วยว่าหลังสลบคาเตียงเพราะหายใจไม่ออกไปคราวนั้นก็โดนเลื่อนวันออกไปอีก จนในที่สุดวันนี้ก็จะได้กลับไปใช้ชีวิตใหม่เสียทีพี่ไกรหลังจากเรื่องราววันนั้นก็มาหาเขาน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด แต่พอใกล้จะกลับอีกฝ่ายก็มาถี่หรือมาแทบทุกเย็น เพราะช่วงที่ห่างไปนั้นอีกฝ่ายต้องตระเตรียมงานแต่งให้โอ่อ่าสมฐานะ ทว่าคิดอีกทีเขาก็ดีใจที่ไ
“เมื่อกี้เรา...พูดว่าอะไรนะ?”“น้องบอกว่า น้องไม่ได้คิดเรื่องแบบนั้นกับพี่”“เดี๋ยวสิ เรื่องแบบนั้นมันคือ-“น้องไม่ได้รักพี่แล้ว” ไกรวิชญ์หน้าชา นี่เป็นบทสนทนาแรกระหว่างเขากับด้วงที่ตื่นขึ้นมาบนเตียงคนไข้ ทว่าจู่ ๆ อีกฝ่ายกลับพาเข้าเรื่องความสัมพันธ์จากนั้นก็โยงเข้าเรื่องนี้อย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย“ด้วง เราแกล้งอะไรพี่อยู่รึเปล่า?”ไกรวิชญ์ยังคงตั้งสติคิดว่าเจ้าน้องคงจะหาเรื่องหยอกเขาเล่นเป็นแน่ หากเป็นเช่นนั้นก็เป็นการพูดเล่นที่จุกอกพอสมควร-“น้องไม่ได้แกล้ง”“…”ด้วงมองพี่ชายต่างสายเลือดด้วยสายตาเอาจริงเอาจัง เจ้าตัวเงียบไปพร้อมกับใบหน้านิ่งค้าง ก่อนจะปรับท่าทีเอนหลังสูดลมหายใจเข้าและพ่นมันออกมาอย่างหนักใจ“ทำไมจู่ ๆ เราจึงบอกเรื่องนี้กับพี่ครับ”“เพราะน้องคิดว่าพี่สมควรรู้ไว้”“แล้วเราไม่คิดเห็นใจพี่บ้างเลยเหรอ”“…”“ด้วง...ได้มีใครบังคับเรารึเปล่า?”“น้องคิดว่าเรากำลังจะเป็นพี่น้องกัน ไม่ควรมีเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้น...มันก็เท่านั้น”“พ่อพี
*เพียะ!* ฝ่ามือเหี่ยวย่นฟาดเข้าใบหน้านายตำรวจหนุ่มแน่นอย่างจังโดยที่เจ้าของร่างไม่แม้แต่จะหลบหลีก กลับยืนรับแรงบนหน้าแก้มอย่างจัง“ควบคุมอารมณ์ตัวเองหน่อยไอ้ไกร”“…”เขาทำเกินกว่าเหตุ แม้จะมีข้ออ้างที่พอฟังขึ้นบ้างแต่ก็ไม่ทั้งหมดเพราะมีนิ้วมือทั้งสิบที่หักงอผิดรูปเป็นเครื่องพิสูจน์ แค่หมอมาดูก็บอกได้แล้วว่ามันไม่เกิดจากความบังเอิญกระนั้นเมื่อทุกอย่างมาอยู่ในใต้การควบคุมของบิดามันก็ถูกกฎหมายและทนายคนสนิทช่วยเหลือจนเขาสามารถพ้นผิดมาได้แม้จะถูกชะลอการเลื่อนขั้นและตัดเงินเดือนเป็นระยะเวลาหนึ่งก็ตามนายตำรวจเกริกผู้พ่อเมื่อลงมือสั่งสอนบุตรตนก็ลงมาหย่อนกายนั่งไขว่ห้างจุดบุหรี่สูบพ่นควันออกไปนอกหน้าต่างบ้าน พลางเหยียดหางตามองเจ้าลูกชายที่สุขุมมาตลอด แต่กลับกลายเป็นบ้าเมื่อมีเรื่องเกิดขึ้นกับเด็กคนนั้นแม้ขยะแขยงรสนิยมนั่นทว่าในฐานะตำรวจ ลูกเขายังคงต้องเรียนรู้อีกเยอะ ว่าการจะปกป้องสิ่งสำคัญได้นั้นมันมีรายละเอียดมากไปกว่าการบดทำลายอุปสรรค“หากมีคราวหน้า ฉันจะไม่ส่งทนายไปช่วยอีกเป็นครั้งที่สอง”“…”
“เปลี่ยนชุดซะ แล้วเอาชุดเอ็งมาให้ข้า พวกมันไม่ปล่อยเอ็งไว้แน่”ที่พวกมันวิ่งเข้ามาฉุดถึงในเพิง คงจะพาไปปิดปากไม่ให้เรื่องหยาบโลนนี้แพร่งพรายออกไป และเขาเองหากโดนเจอก็คงมีสภาพไม่ต่างกันหรืออาจจะหนักกว่า แต่อย่างน้อยตอนนี้ขอให้แก้วมันปลอดภัยไปได้สักคนก่อน“อะ...เอ็งจะทำอะไร”“รีบเปลี่ยนเถอะ เราไม่มีเวลาแล้ว!”ด้วงขึ้นเสียงดังสนั่นจนแก้วตกใจกลัว ทว่าช่วงเวลาแบบนี้แม้จะทราบว่ากำลังขวัญเสียแต่คราวจะมานั่งปลอบใจกันคงไม่ทันกาลเพราะตอนนี้พวกเขากำลังเล่นกับความเป็นความตายแก้วรีบผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าแต่งกายปลอมเป็นหญิงคลุมผ้าใหม่ ส่วนผืนเก่าเขานำมาคลุมเอง“สถานีอยู่อีกไม่ไกล เอ็งข้ามสะพาน เลี้ยวซ้ายแล้วตรงไปก็จะเจอนายสถานี เอ็งหนีไปจังหวัดอื่นเลย ยิ่งไกลเท่าไหร่ยิ่งดี เข้าใจไหม?”“แล้วเอ็ง-“ข้าจะอยู่ที่นี่ล่อพวกมัน”“แต่-“พวกนั้นมากันแล้ว เอ็งรีบไป!!”ด้วงผลักร่างโฉมงามเข้าปะปนกับฝูงชน ก่อนจะหันหลังออกตัววิ่งล่อความสนใจพวกมันยังกลางถนน แม้รูปร่างสีผิวของเขากับแก้วจะต่างกันอย่างเห็นได้ชัดแต่เพราะเป็นช่ว
“สงสัยอยู่ใช่ไหมล่ะเอ็ง ก็อุตส่าห์เลี้ยงมาตั้งนาน ขอเก็บเกี่ยวหน่อยจะเป็นอะไรไป...ใช่ไหม?” มันพูดปนเสียงขำในลำคอ พูดเรื่องทุเรศแบบนั้นออกมาอย่างไม่รู้สึกรู้สาเนี่ยนะ ด้วงปากสั่นไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาก่นด่าเดรัจฉานพวกนี้ดี กรามฟันกัดกรอดจนกรอบหน้าแข็งเกร็ง เขาต้องหาจังหวะขึ้นไปช่วยไอ้แก้วออกไปจากที่นี่พร้อมกันให้จงได้เด็กหนุ่มคล้ายจะหมดแรงจากการขัดขืนและรอยบอบช้ำที่ได้จากการต่อสู้เมื่อครู่ จึงไม่อาจขัดขืนได้มากมายจนไม่อาจลากจับลากพาขึ้นแคร่เก่าได้อย่างไม่ยากเย็นแขนทั้งสองที่พยายามออกแรงเท่าที่ไหวไม่ได้ทำประโยชน์อะไรให้แก่เจ้าตัวเลยสักนิดนอกจากเพิ่มความกระเส่าเร้าใจให้แก่ชายเบื้องบน จนเมื่อเด็กหนุ่มคงจะสำเหนียกตนได้แล้วว่าไม่มีทางหลุดรอดไปได้จึงยอมละทิ้งร่างกายทั้งหมดให้เป็นที่พอใจ“เหอะ กว่าจะยอมกันได้-*พลั่ก!!*ด้วงใช้โอกาสที่ไอ้ทองชะล่าใจ หยิบคว้าท่อนไม้ที่คงจะหักกลิ้งลงมา และเพราะมันกลืนไปกับดินดอนเมื่ออยู่ในความมืดพวกมันที่ไม่สังเกตจึงมองไม่เห็นด้วงรวบรวมแรงทั้งหมดไว้ที่มืออีกครั
คิดเอาไว้ว่าเป็นเช่นนั้นเอาเข้าจริงการฝืนตื่นขึ้นมากลางดึกแม้เวลาจะผ่านไปแล้วเกือบสามชั่วโมงนับตั้งแต่เขาเข้านอนตอนหกโมงครึ่งมันก็เพลียเอาการรอบข้างภายในกระท่อมมืดสนิทนอกจากเครื่องเรือนอย่างง่ายตามชั้นและพื้นฟากที่เขาห้ามทำให้เกิดเสียงแล้ว ก็ยังต้องเอื้อมมือไปหยิบเชิงเทียนอยู่เหนือศีรษะของผู้เป็นแม่อีก ด้วงเม้มริมฝีปากกลั้นลมหายใจแผ่วค่อย ๆ ชันข้อศอกดันตัวขึ้นอย่างช้า ๆ เพื่อไม่ให้มารดารู้สึกตัว แล้วจึงเอื้อมมือไปจับเชิงเทียนมาไว้ในมือได้สำเร็จ“ด้วง...”“!!!”เจ้าของชื่อสะดุ้งเฮือกก่อนจะก้มมองแล้วเห็นว่ามารดาเพียงพลิกตัวละเมอเอ่ยชื่อเขาขึ้นมาแต่เพียงเท่านั้น ด้วงโล่งใจจากที่เหงื่อตกมาก็นานพอสมควรเขาตั้งใจออกมาจุดเทียนให้แสงสว่างเมื่อเดินออกมาจากกระท่อมได้พอสมควรแล้ว ตอนนี้ภายในบ้านหลังน้อยมีเพียงมารดาที่นอนหลับพักผ่อนกับหมอนและผ้าห่มของเขาที่ระเกะระกะแต่เพียงเท่านั้นอากาศตอนกลางคืนเพราะไม่เคยได้ออกมาจริง ๆ จัง ๆ เขาจึงพึ่งมารู้อายุสิบเจ็ดว่ามันเย็นยะเยือกแม้อยู่ในฤดูร้อน ประกายแสงจากเทียนส่องสะท้อนใบหน้ากลมกลึงจ้องมองเรือนไ