บ้านเรือนภายนอกสีขาวสะอาดเงียบสงัด มีเพียงสายลมฤดูฝนพัดพาหยดน้ำมาเอื่อย ๆ และเสียงท้องฟ้าคำรามกึกก้อง ไม้ยืนต้นรอบรั้วปลิวไสวให้ใบไม้เสียดสีกันจนเป็นเสียงชวนน่าหดหู่ ประตูหน้าทางเดินถูกปิดสนิทแน่นด้วยแม่กุญแจเมื่อคราวเจ้าของบ้านเข้ามาถึง หน้าต่างประตูชั้นแรกติดดินไม่มีช่องอากาศเข้าไปด้านใน เหลือแต่เพียงบริเวณชั้นสองที่ยังคงเปิดโล่ง ทว่าภายในกลับไร้ซึ่งแสงไฟแสงเทียน
รองเท้า ณ ชานพักบันไดเหลือรองเท้าหนังสีดำขลับเพียงคู่เดียวที่ถูกถอดอย่างลวก ๆ เวลาผ่านไปทั้งหน้ากระไดและราวจับเริ่มเปื้อนน้ำฝนแสดงให้เห็นถึงสภาพอากาศที่ไม่น่าอภิรมย์เท่าไรนัก
พื้นไม้เนื้อดีบนระเบียงชั้นสองประดับต้นไม้ในกระถางดินเคียงข้างม้านั่งโลหะยาวที่มีกระปุกโหลแตกละเอียดกระจายอยู่จากการปาข้าวของ
เก้าอี้ล้มระเนระนาด ตู้นาฬิกาหล่นลงกระแทกพื้นกระจกแตกเป็นเสี้ยวเล็กเสี้ยวน้อยฝังลงบนร่องไม้กระดานจากแรงกระเทือน เข็มนาฬิกาบิดงอผิดรูปทว่ายังคงพยายามเดินต่อ จนเสียงดีดของเข็มนั้นกระตุกต่อมความรำคาญของนายตำรวจที่นั่งอยู่บนพื้น สุดท้ายมันก็ต้องพังลงด้วยน้ำมือเจ้าของเรือนที่นั่งไม่ห่าง
เรื
“ผมขอมือหน่อยได้ไหมครับ”นายสถานีให้มือซ้ายไปอย่างง่าย ๆ แล้วจึงเห็นอาจารย์เขาจัดท่าจัดทางให้อยู่ในท่าที่ถนัดถนี่ก่อนจะบรรจงใช้ปลายนิ้วตวัดเขียนเส้นสองเส้นลงบนฝ่ามือที่เต็มไปด้วยรอยแผลของเขา“ในญี่ปุ่น เชื่อกันว่าถ้าเขียนตัวอักษรคนบนมือครบสามครั้งแล้วกินเข้าไปจะช่วยให้หายเครียดได้น่ะครับ”เมื่อกล่าวจบก็เขียนตัวอักษรญี่ปุ่นบนมือครบพอดี อาจารย์จึงจับข้อมือของนายสถานีขึ้นแต่ริมฝีปากของเจ้าตัว ทำเอาด้วงตกตะลึงไปไม่เป็น ดีหน่อยที่ผู้คนที่เดินผ่านไปมาไม่ได้สนใจพวกเขามากนัก นี่คุณอุ่นเขาไม่อายคนเลยหรือไร“การกินตัวอักษรคนเข้าไปสื่อว่าคนพวกนั้นไม่เกี่ยวข้องกับผู้เขียน ไม่ว่ามันจะเป็นใครก็ไม่คู่ควรกับความวิตกกังวลของคุณหรอกนะครับ”คนสวมแว่นกล่าวพลางก้มมองฝ่ามือที่ถนอมจับอยู่ เกลี่ยปลายนิ้วปลอบประโลมเท่าที่สถานะในตอนนี้จะทำได้ด้วงมองการกระทำอันแสนจะน่ารักก็ยกยิ้มเอ็นดูพยักหน้าส่งเสียงในลำคอเป็นการเข้าใจพร้อมผลิยิ้มจนตาที่เศร้าอยู่ยกขึ้น เป็นที่โล่งใจแก่อาจารย์ชาวญี่ปุ่นนักพวกเขาทั้งสองโบกมือลา เห็นว่าครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายที
คุณครูที่โรงเรียนประถมเคยกล่าวเอาไว้ในคาบเรียนวิชาใดวิชาหนึ่งว่า ‘เด็กนั้นความจำดี’ ทีแรกเขานั้นไม่เชื่อ ตัวอักษรแต่ละตัวในหนังสือกว่าเขาจะจำได้ต้องอ่านแทบเป็นแทบตาย ทว่ายิ่งกาลเวลาผ่านไปประโยคนั้นกลับค่อย ๆ กลายเป็นความจริงบ้านไม้หลังเก่าสีน้ำตาลดำโบราณตั้งเด่นท่ามกลางหมู่บ้านในกลางเมืองต่างจังหวัด รายล้อมไปด้วยเสาไฟเชื่อมบ้านแต่ละหลังเข้าด้วยกัน เสียงนกกาเหว่าคลอประสานมากับสายลมที่พัดมวลไม้รอบเรือนให้พลิ้วปลิวไกรวิชญ์ในวัยสิบขวบกว่านั่งอยู่ ณ ใจกลางเรือนโอ่อ่าท่ามกลางเหล่าผู้คนที่เข้ามาแสดงความยินดีเนื่องด้วยบิดาของเขา เกริก ก้องภัชรกุล ได้เลื่อนขั้นเป็นนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ เป็นที่นับหน้าถือตาเนื่องจากแรกเริ่มเดิมที พวกเขาสืบสกุลมาจากต้นตระกูลขุนนางในวังหลวง คุณปู่เคยรับหน้าที่ใหญ่โตในราชสำนักและอื่น ๆ ที่ยากเกินกว่าสมองน้อย ๆ ของเด็กชายจะจดจำสิ่งที่พวกคนแก่เล่าให้ฟังได้เด็กชายผมสั้นเป็นลอนหยักศกถูกแม่บ้านจับแต่งกายในเสื้อขาวแขนสั้นเข้าคู่กับเอี๊ยมกางเกงสีกรมท่า เป็นที่น่ารักน่าเอ็นดูแก่ญาติสนิทมิตรสหายและเพื่อ
ความอ่อนแอของเขาถูกตอกย้ำเมื่อคราวอายุย่างสิบแปดที่พ่อจำต้องย้ายไปปฏิบัติงานที่พระนคร ที่อยู่อาศัย ผู้คนรอบข้าง สิ่งแวดล้อมล้วนแปลกตาไปเสียหมด นครปฐมที่รายล้อมด้วยแมกไม้ช่างต่างจากเมืองหลวงอันมากมายด้วยผู้คนและสิ่งปลูกสร้างอย่างตะวันตก ถนนหนทางหาได้กว้างขวางเท่าหน้าโรงเรียนนายร้อยที่เขาจบมา ทีแรกก็ว่าอึดอัดแต่อยู่ ๆ ไปก็พอคุ้นชินขึ้นมาได้บ้างใครก็ไม่รู้กล่าวไว้ว่าเกิดเป็นผู้ชายต้องบวชอย่างน้อยหนึ่งพรรษา ส่วนเหตุผลนั้นเพราะมันไม่ได้สลักสำคัญเขาจึงลืมมันไปโดยง่าย ดีเสียกว่าจำได้และมัวแต่ครุ่นคิดให้รำคาญใจคงเพราะทำกรรมมาเยอะคราวนี้บิดาจึงยกตนเป็นเจ้าภาพออกเงินบวชสามเณรหนึ่งร้อยคน และเหมือนจะได้ผลดีเสียด้วย เนื่องจากเหตุผลนั้นชื่อของบิดาก็ดังกระฉ่อนไปทั่วทั้งเขต เป็นที่เชิดชูภายในไม่ถึงเดือนเต็ม เขาในระหว่างที่รอเข้าสน. จึงขอเวลาสามเดือนมาบวชไกรวิชญ์เหนื่อยหน่ายจะอยู่ท่ามกลางผู้คนจึงปลีกตัวมานั่งบนม้าหินใต้ร่มไม้ เขาเห็นว่ามีม้วนผ้าวางพิงโต๊ะอยู่คงจะมีใครสักคนนำมาวางพักไว้แต่หาใช่เรื่องที่จำเป็นต้องใส่ใจ สูดอากาศไอเย็นเข้าปอดหลังต้องฝืนยืนตากแดดข้าง
“วันนี้เราจะไปล่าเจ้าผีร้ายกัน!”“เย่!!”เด็กชายร่างผอมผิวสีน้ำผึ้งซึ่งดูเหมือนจะเป็นผู้นำยืนชูกิ่งไม้ขนาดจิ๋วขึ้น ดวงตากลมสีม่วงหม่นฉายแววมุ่งมั่นออกคำสั่งแก่เหล่าเด็กน้อยอายุราวห้าหกขวบซึ่งนั่งกอดเข่าเงยหน้ามองพี่โตสุดด้วยความนับถือ เพราะว่าวันนี้เป็นฤกษ์งามยามดีที่พวกเขาจะได้ทำหน้าที่แทนหลวงตาเจ้าอาวาสซึ่งออกไปทำกิจของสงฆ์ช่วงนี้น้อง ๆ หลายคนบอกว่ามักเห็นไอควันลอยฟุ้งรูปร่างคล้ายวิญญาณคนตายวนเวียนอยู่แถวเจดีย์เก็บอัฐิ ดังนั้นในวันนี้พวกเขาขบวนการนักปราบปีศาจจะไปตามล่าเก็บพวกมันลงไหกักวิญญาณไม่ให้ไปหลอกใครได้อีก!เด็ก ๆ จำนวนสามสี่คนซึ่งเป็นเด็กวัดบ้างลูกชาวบ้านใกล้เคียงบ้างเดินจับชายเสื้อด้านหลังพี่ใหญ่สุดอย่างพี่ด้วงกันเป็นขบวนผ่านผู้คนที่แวะเวียนเข้ามาทำบุญพบปะพระท่าน จินตนาการของเด็ก ๆ และกิจกรรมดังกล่าวช่างชวนน่าอมยิ้มเสียจริง“พะ...พี่ด้วง ถ้าเราเจอมะ...มันจะไม่ตามมาหลอกเราเหรอ?”เด็กชายผู้อยู่รองจากผู้นำชะเง้อคอพลางกระตุกชายเสื้อกล้ามตัวเก่าของเจ้าพี่ ด้วงจึงหันมาฉีกยิ้มเพิ่มความมั่นใจแก่เด็กชายขี้กลัว“ไม่แน่น
“ไม่ต้องทำหรอก ถ้ามาช่วยทำงานของวัดแล้วจะเอาเวลาที่ไหนไปดูแลแม่ล่ะ มาเอาเงินกับตานี่มา”“จริงเหรอจ๊ะ!?”ด้วงดีใจจนล้นเอ่อ เมื่อหลวงตาเอื้อมมือไปหยิบกล่องไม้มาวางไว้บนหน้าตักของเขาหยิบซองปัจจัยขึ้นมาให้ดู ด้วงจับมือเหี่ยวย่นด้วยความตื้นตันพิงหลังมองจำนวนเงินที่ตนจะได้ไปซื้อยาโอสถมาให้มารดา เขาดีใจนักที่ยังได้รับการเอื้อเอ็นดู แม้จะโตขึ้นมามากแล้ว“ได้แล้วก็เอาไปซื้อยา อย่าเอาไปซื้อขนมจนหมดล่ะ”“หลานไม่ซื้อขนมหรอกจ้ะ เปลืองตังค์”“ฮ่า ๆ เด็ก ๆ กินขนมบ้างก็ได้ อะนี่ ข้าได้มา เอาไปกินซะสิ”ชายแก่หยิบห่อขนมสามห่อโต ๆ มายื่นให้เด็กชายบนตัก เจ้าตัวดูจะตื่นตาตื่นใจกับมันมาก รีบดึงไม้กลัดออกเปิดให้เห็นเป็นเนื้อแป้งสีเหลืองอร่ามโรยหน้าด้วยเนื้อมะพร้าวขูด เป็นขนมฟักทองที่เขาไม่เคยกินมาก่อน แม้ส่วนตัวจะไม่คุ้นเคยกับของหวานจนกลายเป็นไม่ถนัดทาน แต่หากมีเจ้ามะพร้าวเค็ม ๆ ก็พอกินได้“เมื่อวานมีคนเอาม้วนผ้ามาถวาย แต่พวกข้ามีกันไม่กี่รูป เห็นเอ็งใส่แต่ผ้าเก่า ๆ เอาไปตัดทำเครื่องนุ่งห่มไป”“ขอบคุณจ๊ะ!”“เอ้อ ๆ เอ็งนั่งกินขนมต
ท้ายที่สุดเขาต้องยอมไปบวชเรียนเป็นคนที่หนึ่งร้อยหนึ่งด้วยเหตุผลประหลาด ๆ ที่เขาถูกกันออกมาจากผู้ใหญ่ทั้งสองและพี่อีกหนึ่งคน ทว่าอย่างไรเสียคนที่กันเขาก็เป็นตาลุงนั่น เพราะเขากับแม่มักจะเล่าเรื่องสู่กันฟังอย่างตรงไปตรงมาเสมอ มารดาหลังจากพูดคุยกันจนถึงเวลาทุ่มเศษจึงนำเรื่องราวข้อตกลงมาเล่าให้ฟัง“เฮ้อ...”เพราะนอนไม่หลับขึ้นมาจึงเดินมาที่สวนตั้งตะเกียงก่อนจะหยิบขนมจากเมื่อเช้าที่เหลืออีกหนึ่งห่อมานั่งแกะกินต่อให้หมดก่อนมันจะเสีย เนื่องจากเป็นเวลากลางคืนพื้นที่หลังบ้านแม้จะรายล้อมด้วยป่าแต่ก็มีลานพืชผักกว้างพอจะให้ลมหนาวพัดผ่าน เด็กชายจึงสุมกิ่งไม้จุดไฟผิงไปพลาง เขาเผลอใช้ไม้ขีดจุดอีกแล้ว หากแม่มารู้ว่าเขาใช้ของสิ้นเปลืองคงจะโดนตำหนิเป็นแน่แก้มตอบตอนนี้อวบอิ่มไปด้วยเนื้อขนมสีเหลืองภายใน ดวงตากลมฉายแววเศร้าหมอง จิตใจห่อเหี่ยวจนอยากจะถอนหายใจออกมาอีกรอบถ้าไม่มีขนมอยู่ในปากเขาเห็นสายตามารดาเมื่อยามกลับมา มันฉายทั้งความรู้สึกเป็นสุข และความทุกข์ปนเปกัน เจ้าหล่อนไม่คิดจะปิดบัง พาลูกชายหัวแก้วหัวแหวนมานั่งจับเข่าคุย‘ในขณะที่เขากำลังบวช ฝ่าย
“อย่ามาใส่ร้ายคนอื่นนะ!”ด้วงเปล่งเสียงดัง ทำไมพวกเขาจะไม่ใช่คนดี พวกเขาเป็นพระที่อยู่ในศีลในธรรมนะ แม่เขาก็พร่ำสอนมาตลอดว่าให้เคารพพระสงฆ์องค์เจ้า ทั้งพ่อเขาก็ดำรงพระธรรมอยู่ที่นี่จนลมหายใจสุดท้ายของชีวิตโดยไม่มีเรื่องราวเสียหาย การบอกให้เขาปฏิเสธคนที่มีพระคุณ คอยเป็นเพื่อน เป็นผู้ใหญ่ที่ไว้ใจไม่ต่างอะไรกับการดูถูกความเชื่อของเขาและมารดาสักนิดยิ่งคิดมากสมองก็โยงใยไปถึงเรื่องของตาลุงคนนั้นที่เข้าหาแม่เพราะจะเอาไปทำเมีย เขาไม่ชอบในสิ่งที่แม่ไม่ชอบ เพียงเพราะเข้าตาจน พวกเขาจึงไม่มีสิทธิ์เลือกเขาเกลียดที่สุด พอได้เริ่มตั้งคำถาม ในหัวมันก็รู้สึกปั่นป่วนไปหมด แม่กำลังป่วยแต่หลังจากนั้นก็มีคนมาช่วยเพราะหวังผล ต้องมานั่งเรียนกับว่าที่พี่ชายถึงแม้ใจจะรู้สึกสนิทขึ้นมาบ้างแล้วทว่ายังไม่อาจเปิดใจได้ทั้งหมด ต้องมารับฟังว่าเหล่าคนที่เขาเชื่อใจมาตลอดเป็นคนไม่ดีจากปากคนอื่น ไหนจะอนาคตที่ไม่รู้เขาและแม่จะสามารถหาเงินมาใช้คืนตำรวจคนนั้นได้หรือเปล่า หากไม่ได้แม่จะต้องทำในสิ่งที่ใจไม่ได้ปรารถนา เขาจะต้องปรับตัว จะต้องทำสิ่งที่ต่างออกไปจากตอนนี้ จะต้องเข้าไปอยู่ในที
ด้วงเมื่อได้รับรู้ความจริงจากปากคนที่มองเข้ามาอย่างพี่ไกรก็เก็บมานั่งวิตก ไม่น่าเชื่อว่าทั้งสองคนนั้นจะกระทำสิ่งที่ผิดจารีต เด็กชายนั่งกอดเข่าครุ่นคิดอยู่มุมกระท่อมน้อยด้วยสายตาเหม่อลอย แม้จะเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งแต่ร่างกายเขาดันออกตัวปฏิเสธกับคนเหล่านั้นไปเสียแล้วหลังจากบรรพชาแม้จะหลอกตัวเองว่าตนสนิทกับไอ้ทอง หรือหลวงตาขนาดไหนแต่เพราะเขาหันไปอยู่กับพี่ไกรมากกว่าการสุงสิงกับกลุ่มพี่เก่า‘ด้วง ไปกวาดลานตรงนั้นกันไหม’‘ฉะ...ฉันกวาดตรงนี้นี่แหละ’เขาเลือกที่จะยืนอยู่ข้างว่าที่พี่ชายตั้งใจก้มหน้าจับไม้กวาดทางมะพร้าวลาดปัดเศษใบไม้ เพราะไม่อยากมองหน้าสบตาพี่ทองที่คล้ายจะมองออกว่าเขากำลังตีตัวออกหาก ทว่าทำอย่างไรดี ความคิดภายในใจของเขามันดันสวนทางกัน เขาอยากสนิทกับทุกคนเหมือนเดิม แต่อบายมุขเหล่านั้นเป็นของต้องห้าม‘พี่ทอง...คือว่ายาสูบน่ะ มันไม่ดีนะ”เมื่อเขาทำใจกล้าจับมือพี่คนสนิทมาพูดคุยเป็นการส่วนตัวพร้อมโพล่งประโยคนั้นออกไป เจ้าตัวก็หาได้มีทีท่าตกอกตกใจ แต่กลับส่งยิ้มมาทางเขาย่อตัวยกมือขึ้นลูบศีรษะแผ่วเบา‘ข้าเป็นพระ ใช้ข
“ตื่นมาก็ทำงานเลยหรือ?”องค์กษัตริย์ไถ่ถามมเหสี ที่เคยนอนด้วยกันปกติจะเป็นเขาที่ออกมาทันทีหลังแต่งองค์ทรงเครื่องเสร็จเนื่องจากมีราชกิจกับเหล่าเสนาบดี แต่วันนี้เนื่องจากเป็นวันดีที่จะได้ไปส่งมเหสีขึ้นเกี้ยวกลับไปเยี่ยมมารดาพวกเขาจึงตื่นสายหน่อยและให้เวลาส่วนตัวแก่มเหสีคนใหม่ จึงมาอาบน้ำด้วยตัวเอง“ข้าไม่คิดว่าท่านจะทำได้จึงมีงานวังหลังเหลืออยู่”“เช่นนั้นเจ้าก็เลือกสนมรองขึ้นมาช่วยงานสิ งานบัญชีเยอะเช่นนี้เจ้าทำคนเดียวไม่ไหวหรอก”“หากข้าเลือกขึ้นมาแล้วท่านสัญญาได้ไหมว่าจะปันเวลาให้พวกนาง”เขาไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์แบบเดิมซ้ำสอง อย่างไรพระสนมส่วนใหญ่ถึงบางรายอาจไม่แสดงออกแต่ลึก ๆ ทุกคนล้วนต้องการความรักจากองค์จักรพรรดิทั้งสิ้น“ข้าทำไม่ได้มเหสี”“เช่นนั้นก็สมควรแล้วที่ข้าจำต้องตื่นแต่เช้ามาทำงานแต่เพียงผู้เดียว”ว่าแล้วอดีตพระสนมจึงวางพู่กันลงลุกขึ้นจากเบาะรองนั่งเดินตรงไปยังส่วนอาบน้ำโดยไม่แม้แต่จะสบตาพระสวามีผู้ทำทุกอย่างเพื่อให้ตนเองได้ปิ่นปักผมหงส์กนกมาครองแม้วันนี้พวกเขาจะมีนัดไปเยี่ยมมารดาแต่ก็ยังคงตื่
“ท่านพี่ ท่านพี่เพคะ ท่านพี่ว่าปิ่นปักผมชิ้นนี้เข้ากับน้องไหมเพคะ?”เสียงเจื้อยแจ้วของเด็กหญิงในชุดผ้าแพรยาวสีสันสดใสพร้อมด้วยสองมวยผมที่จับมักเป็นมวยกลมตกแต่งด้วยดอกไม้หยกห้อยระย้าประดับกรอบหน้างามอย่างคุณหนูลูกสาวขุนนางใหญ่ เธอหยิบปิ่นปักผมดอกกล้วยไม้ขึ้นมาทาบศีรษะกล่าวถามเด็กหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกันที่ปลอมตัวเป็นคนรวยเข้ามาเดินเล่นในชุมชนในกลางเมืองเด็กหนุ่มผมหยักศกสีน้ำตาลผินใบหน้าแววตาเหยียดมองคู่หมั้นที่ติดสอยห้อยตามเขามาด้วย ทำเอาเสียอารมณ์ไม่ใช่น้อย แทนที่จะได้เดินดูทุกข์ราษฎรแล้วเอาไปเขียนรายงานส่งท่านอาจารย์กลายเป็นต้องมาดูแลประคบประหงมลูกคุณหนูเสียอย่างนั้น“กระจกก็มีเจ้าไม่ส่องดูเอาเองล่ะ”ไร้ซึ่งความเห็นใจ เด็กหนุ่มตอบเสียงแข็งเดินสะบัดก้นหนีจนองครักษ์ซึ่งติดตามมาด้วยถึงกับทำตัวไม่ถูกเฉกเช่นเดียวกับพระคู่หมั้นที่ยืนตัวแข็งทื่อไปแล้วองค์รัชทายาทในวัยสิบสองขวบปีเดินกระชับปีกหมวกคล้องลูกปัดหลบเลี่ยงมายังตรอกซอกซอยหนึ่งโดยมีองครักษ์ในชุดชาวบ้านเดินติดสอยห้อยตามมาคุ้มครองด้วย‘เดินถัดจากตลาดมานิดเดียวก็เจอศพคนตายแล้ว’
ชนชั้นในสถานที่อันปวงประชาภายนอกรั้วมองเข้ามาล้วนบอกเป็นเสียงเดียวกันถึงสิ่งปลูกสร้างอันประณีตงดงาม สวนดอกไม้อันเขียวชอุ่มและอาหารเลิศรสที่สามัญชนแม้เฝ้าเก็บเงินมาทั้งชีวิตก็ไม่สามารถลิ้มลองจานของโอรสสวรรค์ได้ท่ามกลางความอู้ฟู่โอฬารเหล่านั้น ภาพสวยหรูที่ใครต่อใครซึ่งพรายกระซิบกันมาผ่านกำแพงสูงกลับถูกสกัดด้วยมุมมืดของวังหลวงแห่งนี้พระราชโอรสได้ขึ้นดำรงตำแหน่งเป็นกษัตริย์เมื่อพระราชบิดาสิ้นอายุขัย พระคู่หมั้นเข้าพิธีอภิเษกสมรสและได้ครอบครองปิ่นปักผมหงส์กนกซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของพระมารดาแห่งแผ่นดิน ทั้งสองปกครองเคียงคู่กันมาจนให้กำเนิดองค์รัชทายาท เป็นที่รักใคร่เอ็นดูต่อเหล่านางกำนัลน้อยใหญ่พระราชโอรสชาญฉลาดนัก ใฝ่เรียนใฝ่รู้ทุกสิ่งรอบตัวเป็นอาจิณ กระนั้นยังคงไว้ซึ่งประกายสดใสในแววตาเปล่งปลั่ง ประหนึ่งดวงตะวันน้อยที่ค่อย ๆ เจริญเติบโตและกลายมาเป็นที่พึ่งพิงของผืนฟ้าจนมาวันหนึ่ง ท่ามกลางโต๊ะไม้สักลายมังกรวางเรียงรายด้วยจานอาหาร เมื่อพระมเหสีได้ตักเนื้อข้าวเสวยเข้าไปเพียงคำเดียว เสียงช้อนเงินซึ่งค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นสีดำร่วงหล่น
"กันต์มาทำงานใกล้บ้านไม่ได้เหรอ อาไม่อยากให้เราไปอยู่ที่ไหนนาน ๆ เลย”“ผมไปอยู่นั่นแค่ปีเดียว เดี๋ยวก็ได้ย้ายมาศูนย์พระนครแล้วครับ”จนแล้วจนรอดคุณอาที่เลี้ยงดูหลานชายมาตั้งแต่ยังแบเบาะจนยามนี้มีงานมีการทำก็ยังเป็นห่วงแล้วเป็นห่วงอีก กลับมาบ้านครั้งหนึ่งก็จัดอาหารชุดใหญ่เอาไว้ให้เสียอลังการ พอจะกลับไปวิทยาลัยอาเจ้าก็เอาของกินใส่ปิ่นโตมาให้ทั้งยังหาอาหารที่เก็บได้นาน ๆ จัดใส่กระเป๋าเอาไว้ กลัวว่าหลานชายจะไม่มีอะไรกินเมื่ออยู่ที่นั่นตอนนี้กันต์ธีร์โตเป็นหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาได้พ่อ กำลังเรียนต่อชั้นป.โทจากทุนที่ได้มาทันทีหลังจบป.ตรี ขณะเดียวกันก็ทำหน้าที่เป็นหนึ่งในนักวิจัยพรรณพืชของวิทยาลัยแม้เป็นที่ภาคภูมิใจของคนในครอบครัว ทว่าคุณอาไม่ชอบใจเท่าไรที่ที่เรียนที่ทำงานไกลจากบ้านเหลือเกิน เขาอดใจรอหลานเรียนจบ หวังจะได้กลับมาเห็นหน้าค่าตาทุกวันเหมือนวันวานกลายเป็นต้องเหินห่างกันเหมือนเดิมไปอีกหนึ่งปีเสียได้“เดี๋ยวผมจะพยายามกลับมาให้ได้ทุกสัปดาห์นะครับ”“มันจะไม่รบกวนเราไปใช่ไหมกันต์?”เดินทางครั้งหนึ่งนอกจากจะมีค่าใช้จ่ายแล้วยั
กันต์ธีร์ × อาจารย์น้ำหวานคุณอานายสถานีในวัยสามสิบสี่ย่างสามสิบห้านั่งปักผ้าเตรียมทำถุงหอมให้พี่ชายคนรักและกันต์ธีร์ที่จะกลับมาเยี่ยมบ้านในสัปดาห์นี้ โดยมีพี่ชายนั่งกกกอดอยู่ด้านหลังซุกไซ้ใบหน้าไปมาตามกิจวัตรอยู่บนเตียงนุ่ม แทนที่จะเรียกว่าเอือมระอาให้เรียกว่าชินชาเสียมากกว่า ทว่าอย่างไร ณ จุดจุดนี้อ้อมกอดของพี่ก็ไม่ได้ทำให้เขาปักผ้าลำบากขึ้นมากนักหรอกเห็นว่ามหาวิทยาลัยกันต์ธีร์อยู่ไกลจึงจำต้องไปอาศัยพักหอในที่ทางมหาวิทยาลัยจัดเอาไว้ให้ ดีที่เจ้าตัวเก่งพอจะได้ทุนการศึกษา ค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่จึงไม่ได้หนักหนาอะไรมาก เผลอ ๆ อาจราคาพอกันกับสมัยมัธยมเลยกระมังทว่าแม้จะผ่านมาครบหนึ่งปีที่หลานชายที่รักต้องออกไปใช้ชีวิตคนเดียวก็ยังมีเรื่องที่คุณอาคนนี้กังวลใจอยู่ไม่หาย“เฮ้อ...”“ถ้าเหนื่อยก็พักก่อนก็ได้ครับ ค่อยเย็บใหม่วันพรุ่งนี้”“น้องไม่ได้เหนื่อยเรื่องนั้น น้องแค่เป็นห่วงน้องกันต์”“กันต์โตเป็นหนุ่มแล้ว ปล่อยให้เขามีชีวิตเป็นของตัวเองบ้างก็ได้ ไว้มีปัญหาพี่เชื่อว่ากันต์จะมาบอก
“ด้วง เรามาโกนหนวดให้พี่ได้ไหมครับ?”ไกรวิชญ์ในทุกอาทิตย์มักจะเข้ามาอ้อนขอน้องชายถึงสิ่งนี้เป็นประจำ บางครั้งด้วงก็งงงวยว่าทำไมเจ้าพี่เมื่อก่อนก็จัดการเคราบนหน้าได้เองตามปกติแต่ทำไมหลังจากที่เขาโกนให้ครั้งแรกถึงได้ติดอกติดใจนัก“พี่เตรียมของไว้นะ เดี๋ยวผมตามเข้าไป”ด้วงซึ่งอาสาเช็ดโต๊ะทานอาหารหลังมื้อเช้าเสร็จบอกดังนั้นก่อนจะเห็นพี่ไกรเดินเข้าห้องอย่างอารมณ์ดี หากเทียบตัวตนของพี่ไกรวิชญ์เมื่อปีที่เรื่องราวเกิดขึ้นล้านแปดแล้วเหมือนเป็นคนละคนตอนนั้นเขามองหน้าพี่แทบไม่ติดคล้ายจะมีรังสีความน่ากลัวแผ่ออกมาตลอด คุยกันครั้งหนึ่งต้องมีทะเลาะเบาะแว้งไม่ลงรอย แต่มาเดี๋ยวนี้พี่เจ้าแค่มองหน้าเขาก็ยิ้มร่า มักจะชอบวิ่งเข้าหามาช่วยเขาไม่ว่าเรื่องนั้นเป็นเรื่องเล็กแค่ไหน จนบางครั้งก็เหมือนได้เห็นภาพซ้อนของกันต์ธีร์ในวัยเยาว์อย่างไรอย่างนั้น คิดแล้วก็ขำกับตัวเอง นี่เขาเห็นพี่มีนิสัยเหมือนเด็กเล็กอย่างนั้นหรือด้วงคิดสะระตะก่อนเดินไปพาดตากผ้าขี้ริ้วกับระเบียงด้านนอก จัดแจงเก้าอี้ให้เข้าที่แล้วจึงพาตัวเองเดินเข้าห้องนอนไปทำตามที่พี่เจ้าร้องขอไว้
“ไอ้ไกร ยังหมัดหนักเหมือนเดิมเลยนะ”“ขอบคุณครับ”ไกรวิชญ์รู้สึกว่าตัวเองห่างหายจากการซ้อมมวยมานานจำได้ว่าครั้งล่าสุดที่มาเห็นจะเป็นเมื่อต้นปีที่แล้วก่อนที่จะเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นจนเขาไม่มีเวลามากพอจะมาให้เวลากับการฝึกซ้อมที่นี่เป็นลานอเนกประสงค์ซึ่งตำรวจในพื้นที่หากมีเวลาก็จะมานั่งสังสรรค์พักผ่อนจากการทำงานในกรณีวันไหนไม่อยากกลับไปเจอหน้าเมีย (ไอ้พูนที่ก๊งเหล้าประจำนั้นเป็นคนบอกมา) ทว่าสำหรับเขาแล้วที่นี่เหมือนเป็นที่ออกกำลังเสียมากกว่า แถมทำไมเขาจะไม่อยากกลับเจอหน้าคนรักเล่าไกรวิชญ์ซึ่งปลดเสื้อเครื่องแบบออกเหลือเพียงเสื้อกล้ามสีขาวเปื้อนเหงื่อเดินกลับมานั่งพักบนแคร่ไม้ไผ่พลางถอดผ้าพันข้อมือ เขาค่อนข้างภาคภูมิใจมากที่วันนี้ข้อนิ้วเขาไม่ได้รับบาดเจ็บจนถลอกจากการต่อยถุงทราย ทั้งยังสภาพการณ์ดีขึ้นเยอะ แบบนี้ด้วงก็ไม่ต้องมาสละเวลานั่งทายาให้แล้ว“โอ๊ย ๆ ปวดไหล่จังเว้ย ไอ้ไกรเอ็งเมื่อก่อนมาซ้อมทุกวันเลยดิ”พูนเดินกลับมาจากลานหลังลองวัดฝีมือกับชาวบ้านในวงท่านหนึ่ง เพราะอยากรู้ว่าตัวเองอยู่ในระดับไหน แต่เอาเข้าจริงเขาที่ถนัดลอบเร้นม
ย้อนกลับไปวันที่ทุกคนจะไม่อยู่บ้านเนื่องจากคุณแม่ที่กลับมาอยู่บ้านหลักสักพักก็คิดจะย้ายกลับมาอย่างเต็มตัว ยิ่งไปกว่านั้นก็อยากพาเจ้าหมึกมาพระนครด้วย ทั้งกันต์ธีร์นัดกับเพื่อนว่าจะไปนอนค้างคืนเล่นอะไรตามประสาในช่วงวันศุกร์-เสาร์ ทำให้เขาและพี่ไกรเหลือกันอยู่สองคนในบ้าน เพราะลุงแดงก็อาสาตามไปช่วยขนสัมภาระกับพี่ชมพู่เมื่อรู้ดังนั้นพวกเขาเลยตกลงกันว่าจะออกไปเที่ยวกันสองคน พี่ไกรจึงเสนอว่าจะพาไปขับรถเล่นหลังจากปล่อยรถนอนในอู่มานานหลายปีจนต้องมีล้างทำความสะอาดไล่ฝุ่นกันนิดหน่อย เมื่อลองเปิดปิดใช้งานเครื่องยนต์ก็ยังสามารถทำงานได้ดีเหมือนเดิมพี่ไกรบอกว่าจะกลับมาขับรถให้มากขึ้น เวลาพาครอบครัวไปไหนมาไหนจะได้ไม่ต้องรอระบบขนส่งสาธารณะไกรวิชญ์ในชุดพร้อมเที่ยวเปิดประตูหน้าคนขับเข้ามาในรถ เมื่อเห็นว่าเครื่องปรับอากาศทำงานได้ดีไม่ร้อนอบอ้าวเขาจึงเดินขึ้นไปตามด้วงให้ลงมา“ไปวันเดียวเอง เราขนอะไรไปเยอะจัง”“ผมไม่ชินเลย ไปกันแค่สองคน”ปกติหากไปเที่ยวจะไปกันทั้งครอบครัว หรืออย่างน้อยก็จะมีกันต์ธีร์มาด้วยอีกคนเสมอ แต่ครั้งนี้เพราะเป็นครั้งแรกมัน
ด้วงเข้าใจดีว่าพี่ชายเป็นตำรวจก็มีล้มลุกคลุกคลานบ้างเวลาไล่ตามโจรผู้ร้ายน้องชายในชุดเครื่องแบบนายสถานีพึ่งเลิกงานมาหมาด ๆ นั่งมองพี่ชายบนเตียงคนไข้ตาเขม็งโดยที่ไกรวิชญ์ไม่สามารถปฏิเสธข้อกล่าวหาได้เป็นพี่พูนที่เอาความมาเล่าสู่กันฟังกับเจ้าแผนและเขาที่สถานีรถไฟ เห็นว่าคราวนี้งานไม่ยากเย็นอะไรเพราะได้ข้อมูลครบถ้วนสมบูรณ์ ตัวพี่เองไม่ต้องลงไปอยู่ในสนามรบเองก็ได้ ทั้งพี่พูนเห็นว่าช่วงนี้พี่ไกรมีปัญหาด้านสายตา เริ่มมองระยะไกลๆ ไม่ค่อยชัด จะเอื้อมหยิบเอกสารที่อยู่ห่างออกไปสักหน่อยก็หยิบผิด ๆ ถูก ๆ เพ่งสายตามองนานเป็นนาทีก็ยังอ่านตัวอักษรบนกระดานไม่ออกซึ่งพี่พูนก็ปรามแล้วแต่พี่ไกรก็ยังดื้อแพ่งจับปืนไปลงพื้นที่โดยเมินคำเตือนเหล่านั้นจนได้กระสุนฝังหน้าขามาจนได้ แบบนี้เขาขอหยิกให้เนื้อเขียวหน่อยเถอะ“หายแล้วพี่ไปตัดแว่นใส่เลยนะ”“ไว้ค่อยรอช่างมาตัดให้แม่รอบหน้า-“ไม่ต้องเลย แล้วก็พากันต์ไปด้วย เผื่อมันส่งต่อทางพันธุกรรม”“ครับ...”ไกรวิชญ์เย็นวันนั้นกลับมาบ้านขากะเผลกจนต้องให้น้องชายช่วยประคอง ทั้งที่เมื่อก่อนสมัยยี