เพราะอย่างนั้นในระยะเวลาพักเที่ยงหนึ่งชั่วโมงเขาจึงต้องเดินมาสน.ใกล้สถานีเพื่อเอาเข้ากล่องข้าวสองชั้นมาให้เจ้าพี่ และต้องเข้ามาเจออีกฝ่ายในสภาพที่เขาไม่คิดไม่ฝันว่าจะได้เห็นมาก่อน
สีหน้าท่าทางอันโกรธเกรี้ยวคล้ายยักษ์มองไปยังนักโทษชายวัยกลางคนถูกมือเปล่าบีบรัดคอตรึงไว้กับซี่ลูกกรง กลิ่นสนิมโชยมาเตะจมูกชวนน่าคลื่นไส้ ก่อนที่คนในเครื่องแบบตำรวจภูมิฐานจะหันมาสบตากับตัวเขาที่ยืนอยู่หน้าประตู ทันใดนั้นท่าที่ดังกล่าวก็เปลี่ยนไปประหนึ่งพลิกฝ่ามือ แววตาน่ากลัวกลับมาอบอุ่น มือหยาบกร้านสีนวลผ่องละจากลำคอแข็งเกร็งของนักโทษ ฝีเท้าหนักก้าวมุ่งตรงมาทางเขา ทว่าเมื่อจะก้าวถอยบานประตูไม้ที่แง้มปิดอยู่เมื่อครู่ก็ดันเข้าล็อกปิดสนิทพอดี
“ด้วง เรามาหาพี่มีเรื่องอะไรเหรอ”
“ผม...คือ...”
นัยน์ตาสีม่วงแก่สั่นไหว เงยมองใบหน้าคมเปื้อนหยดของเหลวสีแดงฉานของผู้เป็นพี่ พลันย้อนนึกไปยังฝันร้ายในอดีตท่อนขาก็ไร้เรี่ยวแรงจะตั้งตรง เขาไม่คิดมาก่อนว่าพี่ชายผู้มีภาพลักษณ์แสนดีมาตลอดจะกระทำรุนแรงต่อเพื่อนมนุษย์ได้ลงคอโดยไม่มีสีหน้าแห่งความรู้สึกผิดเลยสักนิด
“อะ...อึก...แคก
“เลขที่ ๓”“…”“เลขที่ ๓ เด็กชายกันต์ธีร์!”“คะ... ครับ!”“เหม่ออะไรอยู่ อ่านต่อจากเพื่อนเมื่อครู่”“ครับ!... เอ่อ...วาย ดู ยู ไล้ ยัว อังเคิ้น...”กันต์ธีร์ยืนขึ้นอ่านบทสนทนาบนหน้ากระดาษท่ามกลางสายตาของเพื่อนและคุณครูประจำวิชาในห้องเรียนขนาดย่อม เขาอ่านมันไปเรื่อย ๆ โดยไร้ซึ่งความมั่นใจ มองอักษรอัลฟาเบทตัวไหนก็งงงวยไปหมด เขาจึงทำได้แต่มองคำอ่านภาษาไทยด้านล่างทั้งที่เรียนมาจนจะสอบกลางภาค เพื่อนคนอื่นอ่านได้กันหมดแล้วมีแต่เขาคนเดียวที่เดินตามหลังอยู่“ฮี อิส อะ คาย เพอ เซิ่น...”“นั่งลง ยังต้องฝึกอีกเยอะนะเรา เอ้า เลขที่ต่อไปยืน”“…”เด็กชายนั่งลงด้วยสีหน้าหม่นหมอง ส่วนหนึ่งเป็นเรื่องการเรียนและอีกส่วนใหญ่คือสถานการณ์ครอบครัวตอนนี้ ไม่รู้ทำไมเขาถึงได้วิตกกับมันมากมายนัก ทั้งที่นั่นเป็นเรื่องของผู้ใหญ่ ไม่ใช่สิ่งที่เด็กจะเข้าไปยุ่มย่ามแต่เขาก็อดเป็นห่วงอาด้วงไม่ได้จริง ๆ ใช่ว่าคุณอาจะไม่สังเกตท่าทีหลานชายอย่างเขา ไม่ต้องไปไหนไกลตัวอย่างก็แต่มื้อเช้าของวันนี้“กันต์รีบกินข้าวเร็
หงุดหงิด หงุดหงิดที่สุด ทำไมต้องมาดวงซวยเอาวันนี้ด้วย เมื่อเที่ยงก็ถูกด้วงมาเห็นในสภาพแบบนั้น ไหนจะต้องกลับดึก ๆ ดื่น ๆ ไม่รู้วันนี้อีกฝ่ายจะยังอยู่รอหรือเปล่าอีกวันนี้จะเป็นวันเผด็จศึกสองชุมเสือที่เริ่มทำคดีมากกว่าสองเดือน กว่าพูนจะตีสนิทเข้าไปหาหัวหน้าทั้งเสือขามและเสือแหงนที่เป็นพันธมิตรกันได้ก็กินเวลาโข จนบทสรุปมาลงเอยเอาวันนี้ ที่งานเลี้ยงซึ่งถูกจัดฉากขึ้นโดยมีพูนเป็นคนชักจูงโจรให้มาปล้นนับว่าเข้าแผนอย่างจัง ดังนั้นในตอนนี้พวกเขาตำรวจนับสิบกำลังตะลุมบอนเข้าจับกุมโจรทุกคนที่อยู่ ณ ที่แห่งนี้ในขณะที่เขาคิด มือก็พลอยจับโกร่งไกปืนตั้งท่ายิงท่ามกลางสมรภูมิรบอยู่ ทุกฝีก้าวที่วิ่งเข้าไปประจันหน้ากับศัตรูเขาไม่ได้มีสติเลยสักนิด ปล่อยให้แขนขาขยับไปตามสัญชาตญาณ และเอาเวลามาครุ่นคิดถึงปัญหาชีวิต‘ไอ้ไกร!! เฮ้ย!’ไม่รู้ป่านนี้ด้วงจะเอาเรื่องนี้ไปบอกกันต์ธีร์หรือยัง หากลูกเขารู้ขึ้นมายิ่งเป็นเด็กอ่อนไหวง่ายไม่รู้จะกระทบปัจจัยรอบข้างมากแค่ไหน‘ไอ้ไกร!’ด้วงจะมองเขาเป็นคนอย่างไรต่อจากนี้เมื่อเขาพาตัวเองกลับไปถึงบ้าน สายตาคู่นั้นจะสั่นเ
พูนผู้ซึ่งรอบรู้และช่างสังเกตเรื่องชาวบ้าน ในตอนนี้กำลังยืนจกข้าวเหนียวหมูฝอยห่อใบตองพลางลอบมองหน้าผู้กำกับการที่หน้าบูดเป็นแกงกะทิค้างคืน เขาไม่อาจทราบได้ว่าเจ้าตัวไปผจญเรื่องอะไรมาเพราะน้องแผนจ๋าก็ไม่ได้มีเรื่องมาถามให้เป็นข้อสงสัยแต่ถ้าให้เดาคงมีสาเหตุมาจากคุณน้องชายเขาเคยเจอหน้าน้องด้วงมาก่อน แน่นอนว่าเพราะเป็นเพื่อนของน้องแผนจ๋าทว่าไม่ได้ใกล้ชิดสนิทอะไรถึงขั้นรู้นิสัยใจคอ นอกเสียจากหน้านิ่ง ๆ เวลาอยู่แถวทางรถไฟ กระนั้นก็ได้ยินข้อโต้แย้งมาจากน้องแผนว่าแท้จริงเจ้าตัวนิสัยดี ทั้งยังยิ้มเก่งเป็นที่หนึ่ง เมื่อวานก่อนที่เอาปิ่นโตมาให้พี่ชายตอนเที่ยงก็เห็นพูดจาไพเราะมีมารยาท และคล้ายจะรู้จักมักจี่กับคนในสน.นี้เป็นอย่างมากจนสารวัตรอาวุโสอนุญาตให้เดินเข้าไปได้ตามสบายดูจากสถานการณ์เมื่อวันนั้นก็ไม่เห็นจะมีอะไรผิดปกติ ที่จะทำให้คุณตำรวจน้ำดีคนนี้เคร่งเครียดจนกดปากกากระดาษแทบเป็นรู“ไกร”“อะไร?”“ทำหน้าอย่างกับคนปวดขี้”“เอ็งอยากโดนปากกาทิ่มตารึ”นั่น แซวนิดแซวหน่อยไม่ได้เลยพ่อคนนี้พูนยืนพิงวงกบประตู ค่อย ๆ ละ
แม้จะคิดเช่นนั้นแต่ความจริงในทุกเย็นเมื่อหมดหน้าที่เขาก็ต้องพาตัวเองกลับมายังเรือนเศวตอยู่ดี เขาไม่ได้เกลียดบ้านหลังนี้ เพียงแต่มันน่าอึดอัดใจที่ทุกย่างก้าวบนพื้นไม้เดี๋ยวนี้มันช่างแตกต่างจากในอดีตอันแสนชื่นมื่นสงบสุข เพราะเพียงได้ก้าวผ่านประตูรั้วกลิ่นอายความกดดันก็เข้าโอบล้อมร่างแม้เจ้าของเรือนตัวจริงจะยังไม่กลับก็ตาม“อาด้วง! กลับมาแล้วเหรอครับ!”หลานชายผู้น่ารักวิ่งแท้ด ๆ มาเกาะระเบียงชั้นสองตะโกนเรียกคุณอานายสถานีด้วยความสดใส ก่อนจะพาตัวเองในเสื้อผ้าชุดนอนตัวโคร่งวิ่งลงมาสวมรองเท้าโผเข้ากอดเอวแน่นกันต์ธีร์ดีอกดีใจยกใหญ่เพราะวันนี้คุณอากลับบ้านไว ปกติแล้วต้องฟ้ามืดถึงจะได้ยินเสียงไขประตูรั้วทว่าตอนนี้ยังเป็นเวลาเพียงห้าโมงเศษ ๆ นับเป็นเรื่องดีที่เขาจะได้ใช้เวลาอยู่กับคุณอามากขึ้นกว่าปกติด้วงอมยิ้มอ่อนเมื่อเห็นว่าหลานรักยังสามารถมีความสุขไปกับสิ่งเล็ก ๆ ในชีวิตประจำวันได้ แบบนี้เขาจึงพอลดความเป็นห่วงลงมาได้บ้างหลังจากลงกลอนประตูคุณอานายสถานีก็ช้อนอุ้มหลานรักมาไว้ในอ้อมกอด หยอกล้อเล่นกันเล็กน้อยพลางเดินขึ้นไปยังชั้นสองของบ้าน
เช้าวันนี้ถือเป็นโชคดีที่ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น หรือเพราะว่าเขาเคยชินกับบรรยากาศน่าอึดอัดในบ้านไปแล้วก็ไม่รู้เหมือนกัน กระนั้นมันกลับทำให้ช่วงเวลาที่เขามีความสุขเด่นชัดขึ้นมาโดยปริยาย“กันต์ วันนี้สอบวันสุดท้ายแล้วใช่ไหม?”“ครับ!”“เราอยากกินอะไรหรือเปล่า ฉลองหลังสอบเสร็จไง ดีไหม?”“ผมอยากกินไก่ทอดน้ำปลา”“แค่อย่างเดียวเองเหรอ อาอุตส่าห์บอกลุงแดงให้เตรียมทำกุ้งเผาเอาไว้ให้ สงสัยคงต้องไปบอกยกเลิกแล้วมั้ง”“เอาด้วยครับ เอาด้วย!”“ของหวานก็เอาเป็น...”“ขนมปังสังขยา!”“ฮ่า ๆ กินเป็นอยู่อย่างเดียวรึ ฮึ?”กันต์ยิ้มแฉ่งขณะเดินคู่ไปกับคุณอาหลังลงจากรถราง ด้วงเองก็ยังคงทำหน้ายิ้มรับเช่นเคย ตลอดหนึ่งสัปดาห์มานี้เด็กชายจมปลักอยู่แต่ในห้อง วันหยุดที่โรงเรียนสั่งให้นักเรียนพักอ่านหนังสือแม้จะบอกว่าอยู่ที่บ้าน แต่เจ้าตัวตลอดทั้งวันไม่ออกมาจากห้องเลยสักนิดเพราะลุงแดงก็เอามื้อเช้ากลางวันเย็นวางไว้หน้าห้อง ห้องน้ำก็อยู่ด้านใน เรียกได้เต็มปากว่าเจ้าตัวอ่านหนังสือแบบไม่เห็นเดือนเห็นตะวันเสียยิ่งกว่าสมัยก่อนที่เขาต้องทำอี
ไกรวิชญ์เดินกลับมาถึงห้องก็คว้าเสื้อคลุมที่พาดอยู่มาปั้นเป็นหมอนก่อนจะโยนมันไปยังหัวม้านั่งยาวตามด้วยโยนร่างที่เหนื่อยล้าของตัวตามลงไปแขนหนายกขึ้นก่ายหน้าผากบังแสงที่เข้ามาทางหน้าต่างให้สายตามองเห็นเพียงความมืด จิตตั้งมั่นพยายามข่มใจหลับทว่าสิ่งถัดไปที่ผุดขึ้นมาฟุ้งซ่านในหัวคือ น้องชายเขาคิดจนแทบบ้าไม่ต่างจากนักโทษในกรงขังนั่นทว่ากลับคิดหาวิถีทางที่จะเอ่ยกล่าวกับด้วงให้เจ้าตัวกลับมาทำตัวปกติกับเขาไม่ออกเลยสักนิด“เฮ้อ...”*แอ๊ด* เสียงบานประตูไม้หนาค่อย ๆ แง้มเปิดสะกิดหูนายตำรวจที่สะลึมสะลือใกล้หลับให้หันสมาธิมาสนใจทว่าก็ยังไม่ได้เปลี่ยนท่าทางการนอนแต่อย่างใด คงจะเป็นเจ้าแผนที่กลับเข้ามานั่งเล่นอีกตามเคย“ไม่คิดว่าคนอย่างแกจะนอนกลางวันกับเขาด้วยนะ” เสียงอย่างชายชราคุ้นหูเอ่ยขึ้นทำให้เขาต้องรีบหยัดตัวลุกขึ้นโดยไม่ดูทรงผมของตัวเองที่กระเซอะกระเซิง เมื่อสบตาผู้กำกับการหนุ่ม ชายสูงอายุจึงอมยิ้มกับหน้าอ่อนเยาว์ที่อ้าปากหวอด้วยความปฏิบัติตัวไม่ถูก“ท่าน...สวัสดีครับ”ไกรวิชญ์เอ่ยทักทายพร้อมรีบลุกขึ้น
‘วันนี้คุณผู้ชายฝากมาบอกว่าจะไปดื่มกับเพื่อนนะ’นั่นเป็นสิ่งที่ลุงแดงกล่าวเมื่อเขากลับมาถึงบ้านก่อนเจ้าตัวจะผละออกไปเก็บงานทำความสะอาดให้เรียบร้อยและขอตัวกลับบ้าน ทั้งที่ปกติพี่ไกรช่วงนี้ก็กลับเย็นกลับหัวค่ำแต่สงสัยที่มาบอกครั้งนี้คงจะกลับดึกมากจริง ๆด้วงคุยกับตัวเองในหัวขณะเดินขึ้นไปบนบ้าน ด้วยช่วงนี้ฟ้ามืดเร็วดวงไฟบนเพดานจึงเปิดสว่างโร่ แต่เขากลับไม่เห็นเด็กชาย สงสัยคงจะอาบน้ำอาบท่าไม่ก็ทำการบ้านอยู่ในห้องทว่าเมื่อมารู้ว่าวันนี้จะได้มีเวลาอยู่คนเดียวมากขึ้นรายการเรื่องที่ยังค้างคาก็แล่นเข้ามาในหัวการงาน/การเรียนในอนาคตของกันต์ธีร์ ตอนนี้แม้เจ้าตัวจะยังหาอาชีพในฝันไม่ได้ รู้แต่เพียงปฏิเสธการเป็นตำรวจ กระนั้นเรื่องนี้ก็ยังสามารถเลื่อนเวลาออกไปได้ อย่างไรเสียอายุของเด็กชายก็พึ่งพ้นเลขหลักเดียวมาไม่เท่าไร ส่วนเรื่องที่ใกล้เข้ามาหน่อยอย่างการเรียนพิเศษ เขาลองเอามาขึ้นมาคิดดูอีกครั้งเมื่อนึกย้อนกลับไปพี่ไกรก็มีส่วนที่พูดถูก เขาไม่ควรเอาอารมณ์เป็นที่ตั้งมากจนเกินไป ทว่าอย่างน้อยหากจะเรียนก็อยากให้หลานรักได้มีสิทธิ์ออกความเห็นบ้าง และอีกเรื่อง.
ด้วงหลังจากทานมื้อเย็นเสร็จก็ยกจานชามลงมาทำความสะอาด แม้น้ำประปาในตอนกลางคืนจะเย็นโดยธรรมชาติแต่เมื่อเข้าฤดูฝนคล้ายว่ามันจะเย็นเป็นพิเศษ อีกไม่กี่เดือนคงเย็นจากฤดูหนาวจนต้องรีบหาอะไรมาอุ่นมือ เมื่อคิดดังนั้นเสียงฟ้าร้องก็ดังกระหึ่มโดยพลัน อีกไม่ถึงชั่วโมงฝนคงตก หวังว่าพี่ไกรจะกลับมาทันก่อนฝนลงเม็ดปกติพี่เจ้าไม่ใช่คนช่างเที่ยว ไปกินดื่มครั้งนี้คงไปกับคณะหรือไม่ก็เพื่อนสนิทอย่างพี่พูน เจ้าตัวยิ่งคออ่อนอยู่ด้วย แม้ลึก ๆ แล้วจะยังรู้สึกระแวงแต่ในฐานะน้องชายก็อดเป็นห่วงไม่ได้เลยด้วงเช็ดไม้เช็ดมือแล้วจึงดึงแขนเสื้อสีขาวลงมาปิดแขนกันลมหนาว เดินไปปิดไฟถือตะเกียงส่องตรวจตราความเรียบร้อยบริเวณชั้นหนึ่งก่อนขึ้นไปจบที่หน้าห้องของเด็กชาย ช่วงนี้เห็นเจ้าตัวดูเหนื่อยเป็นพิเศษไม่รู้ว่าเวลาเกือบสองทุ่มจะเข้านอนไปหรือยัง*ก๊อก ก๊อก ก๊อก*“กันต์นอนหรือยัง อาขอเข้าไปได้ไหม?”‘ได้ครับ’ เสียงเล็กกล่าวอนุญาต คุณอาจึงเปิดประตูเข้าไปเมื่อไขกลอนเปิดแล้วจึงเห็นว่าเด็กชายกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่โดยมีเพียงตะเกียงหัวโต๊ะเป็นจุดกำเนิดแสง
“ตื่นมาก็ทำงานเลยหรือ?”องค์กษัตริย์ไถ่ถามมเหสี ที่เคยนอนด้วยกันปกติจะเป็นเขาที่ออกมาทันทีหลังแต่งองค์ทรงเครื่องเสร็จเนื่องจากมีราชกิจกับเหล่าเสนาบดี แต่วันนี้เนื่องจากเป็นวันดีที่จะได้ไปส่งมเหสีขึ้นเกี้ยวกลับไปเยี่ยมมารดาพวกเขาจึงตื่นสายหน่อยและให้เวลาส่วนตัวแก่มเหสีคนใหม่ จึงมาอาบน้ำด้วยตัวเอง“ข้าไม่คิดว่าท่านจะทำได้จึงมีงานวังหลังเหลืออยู่”“เช่นนั้นเจ้าก็เลือกสนมรองขึ้นมาช่วยงานสิ งานบัญชีเยอะเช่นนี้เจ้าทำคนเดียวไม่ไหวหรอก”“หากข้าเลือกขึ้นมาแล้วท่านสัญญาได้ไหมว่าจะปันเวลาให้พวกนาง”เขาไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์แบบเดิมซ้ำสอง อย่างไรพระสนมส่วนใหญ่ถึงบางรายอาจไม่แสดงออกแต่ลึก ๆ ทุกคนล้วนต้องการความรักจากองค์จักรพรรดิทั้งสิ้น“ข้าทำไม่ได้มเหสี”“เช่นนั้นก็สมควรแล้วที่ข้าจำต้องตื่นแต่เช้ามาทำงานแต่เพียงผู้เดียว”ว่าแล้วอดีตพระสนมจึงวางพู่กันลงลุกขึ้นจากเบาะรองนั่งเดินตรงไปยังส่วนอาบน้ำโดยไม่แม้แต่จะสบตาพระสวามีผู้ทำทุกอย่างเพื่อให้ตนเองได้ปิ่นปักผมหงส์กนกมาครองแม้วันนี้พวกเขาจะมีนัดไปเยี่ยมมารดาแต่ก็ยังคงตื่
“ท่านพี่ ท่านพี่เพคะ ท่านพี่ว่าปิ่นปักผมชิ้นนี้เข้ากับน้องไหมเพคะ?”เสียงเจื้อยแจ้วของเด็กหญิงในชุดผ้าแพรยาวสีสันสดใสพร้อมด้วยสองมวยผมที่จับมักเป็นมวยกลมตกแต่งด้วยดอกไม้หยกห้อยระย้าประดับกรอบหน้างามอย่างคุณหนูลูกสาวขุนนางใหญ่ เธอหยิบปิ่นปักผมดอกกล้วยไม้ขึ้นมาทาบศีรษะกล่าวถามเด็กหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกันที่ปลอมตัวเป็นคนรวยเข้ามาเดินเล่นในชุมชนในกลางเมืองเด็กหนุ่มผมหยักศกสีน้ำตาลผินใบหน้าแววตาเหยียดมองคู่หมั้นที่ติดสอยห้อยตามเขามาด้วย ทำเอาเสียอารมณ์ไม่ใช่น้อย แทนที่จะได้เดินดูทุกข์ราษฎรแล้วเอาไปเขียนรายงานส่งท่านอาจารย์กลายเป็นต้องมาดูแลประคบประหงมลูกคุณหนูเสียอย่างนั้น“กระจกก็มีเจ้าไม่ส่องดูเอาเองล่ะ”ไร้ซึ่งความเห็นใจ เด็กหนุ่มตอบเสียงแข็งเดินสะบัดก้นหนีจนองครักษ์ซึ่งติดตามมาด้วยถึงกับทำตัวไม่ถูกเฉกเช่นเดียวกับพระคู่หมั้นที่ยืนตัวแข็งทื่อไปแล้วองค์รัชทายาทในวัยสิบสองขวบปีเดินกระชับปีกหมวกคล้องลูกปัดหลบเลี่ยงมายังตรอกซอกซอยหนึ่งโดยมีองครักษ์ในชุดชาวบ้านเดินติดสอยห้อยตามมาคุ้มครองด้วย‘เดินถัดจากตลาดมานิดเดียวก็เจอศพคนตายแล้ว’
ชนชั้นในสถานที่อันปวงประชาภายนอกรั้วมองเข้ามาล้วนบอกเป็นเสียงเดียวกันถึงสิ่งปลูกสร้างอันประณีตงดงาม สวนดอกไม้อันเขียวชอุ่มและอาหารเลิศรสที่สามัญชนแม้เฝ้าเก็บเงินมาทั้งชีวิตก็ไม่สามารถลิ้มลองจานของโอรสสวรรค์ได้ท่ามกลางความอู้ฟู่โอฬารเหล่านั้น ภาพสวยหรูที่ใครต่อใครซึ่งพรายกระซิบกันมาผ่านกำแพงสูงกลับถูกสกัดด้วยมุมมืดของวังหลวงแห่งนี้พระราชโอรสได้ขึ้นดำรงตำแหน่งเป็นกษัตริย์เมื่อพระราชบิดาสิ้นอายุขัย พระคู่หมั้นเข้าพิธีอภิเษกสมรสและได้ครอบครองปิ่นปักผมหงส์กนกซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของพระมารดาแห่งแผ่นดิน ทั้งสองปกครองเคียงคู่กันมาจนให้กำเนิดองค์รัชทายาท เป็นที่รักใคร่เอ็นดูต่อเหล่านางกำนัลน้อยใหญ่พระราชโอรสชาญฉลาดนัก ใฝ่เรียนใฝ่รู้ทุกสิ่งรอบตัวเป็นอาจิณ กระนั้นยังคงไว้ซึ่งประกายสดใสในแววตาเปล่งปลั่ง ประหนึ่งดวงตะวันน้อยที่ค่อย ๆ เจริญเติบโตและกลายมาเป็นที่พึ่งพิงของผืนฟ้าจนมาวันหนึ่ง ท่ามกลางโต๊ะไม้สักลายมังกรวางเรียงรายด้วยจานอาหาร เมื่อพระมเหสีได้ตักเนื้อข้าวเสวยเข้าไปเพียงคำเดียว เสียงช้อนเงินซึ่งค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นสีดำร่วงหล่น
"กันต์มาทำงานใกล้บ้านไม่ได้เหรอ อาไม่อยากให้เราไปอยู่ที่ไหนนาน ๆ เลย”“ผมไปอยู่นั่นแค่ปีเดียว เดี๋ยวก็ได้ย้ายมาศูนย์พระนครแล้วครับ”จนแล้วจนรอดคุณอาที่เลี้ยงดูหลานชายมาตั้งแต่ยังแบเบาะจนยามนี้มีงานมีการทำก็ยังเป็นห่วงแล้วเป็นห่วงอีก กลับมาบ้านครั้งหนึ่งก็จัดอาหารชุดใหญ่เอาไว้ให้เสียอลังการ พอจะกลับไปวิทยาลัยอาเจ้าก็เอาของกินใส่ปิ่นโตมาให้ทั้งยังหาอาหารที่เก็บได้นาน ๆ จัดใส่กระเป๋าเอาไว้ กลัวว่าหลานชายจะไม่มีอะไรกินเมื่ออยู่ที่นั่นตอนนี้กันต์ธีร์โตเป็นหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาได้พ่อ กำลังเรียนต่อชั้นป.โทจากทุนที่ได้มาทันทีหลังจบป.ตรี ขณะเดียวกันก็ทำหน้าที่เป็นหนึ่งในนักวิจัยพรรณพืชของวิทยาลัยแม้เป็นที่ภาคภูมิใจของคนในครอบครัว ทว่าคุณอาไม่ชอบใจเท่าไรที่ที่เรียนที่ทำงานไกลจากบ้านเหลือเกิน เขาอดใจรอหลานเรียนจบ หวังจะได้กลับมาเห็นหน้าค่าตาทุกวันเหมือนวันวานกลายเป็นต้องเหินห่างกันเหมือนเดิมไปอีกหนึ่งปีเสียได้“เดี๋ยวผมจะพยายามกลับมาให้ได้ทุกสัปดาห์นะครับ”“มันจะไม่รบกวนเราไปใช่ไหมกันต์?”เดินทางครั้งหนึ่งนอกจากจะมีค่าใช้จ่ายแล้วยั
กันต์ธีร์ × อาจารย์น้ำหวานคุณอานายสถานีในวัยสามสิบสี่ย่างสามสิบห้านั่งปักผ้าเตรียมทำถุงหอมให้พี่ชายคนรักและกันต์ธีร์ที่จะกลับมาเยี่ยมบ้านในสัปดาห์นี้ โดยมีพี่ชายนั่งกกกอดอยู่ด้านหลังซุกไซ้ใบหน้าไปมาตามกิจวัตรอยู่บนเตียงนุ่ม แทนที่จะเรียกว่าเอือมระอาให้เรียกว่าชินชาเสียมากกว่า ทว่าอย่างไร ณ จุดจุดนี้อ้อมกอดของพี่ก็ไม่ได้ทำให้เขาปักผ้าลำบากขึ้นมากนักหรอกเห็นว่ามหาวิทยาลัยกันต์ธีร์อยู่ไกลจึงจำต้องไปอาศัยพักหอในที่ทางมหาวิทยาลัยจัดเอาไว้ให้ ดีที่เจ้าตัวเก่งพอจะได้ทุนการศึกษา ค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่จึงไม่ได้หนักหนาอะไรมาก เผลอ ๆ อาจราคาพอกันกับสมัยมัธยมเลยกระมังทว่าแม้จะผ่านมาครบหนึ่งปีที่หลานชายที่รักต้องออกไปใช้ชีวิตคนเดียวก็ยังมีเรื่องที่คุณอาคนนี้กังวลใจอยู่ไม่หาย“เฮ้อ...”“ถ้าเหนื่อยก็พักก่อนก็ได้ครับ ค่อยเย็บใหม่วันพรุ่งนี้”“น้องไม่ได้เหนื่อยเรื่องนั้น น้องแค่เป็นห่วงน้องกันต์”“กันต์โตเป็นหนุ่มแล้ว ปล่อยให้เขามีชีวิตเป็นของตัวเองบ้างก็ได้ ไว้มีปัญหาพี่เชื่อว่ากันต์จะมาบอก
“ด้วง เรามาโกนหนวดให้พี่ได้ไหมครับ?”ไกรวิชญ์ในทุกอาทิตย์มักจะเข้ามาอ้อนขอน้องชายถึงสิ่งนี้เป็นประจำ บางครั้งด้วงก็งงงวยว่าทำไมเจ้าพี่เมื่อก่อนก็จัดการเคราบนหน้าได้เองตามปกติแต่ทำไมหลังจากที่เขาโกนให้ครั้งแรกถึงได้ติดอกติดใจนัก“พี่เตรียมของไว้นะ เดี๋ยวผมตามเข้าไป”ด้วงซึ่งอาสาเช็ดโต๊ะทานอาหารหลังมื้อเช้าเสร็จบอกดังนั้นก่อนจะเห็นพี่ไกรเดินเข้าห้องอย่างอารมณ์ดี หากเทียบตัวตนของพี่ไกรวิชญ์เมื่อปีที่เรื่องราวเกิดขึ้นล้านแปดแล้วเหมือนเป็นคนละคนตอนนั้นเขามองหน้าพี่แทบไม่ติดคล้ายจะมีรังสีความน่ากลัวแผ่ออกมาตลอด คุยกันครั้งหนึ่งต้องมีทะเลาะเบาะแว้งไม่ลงรอย แต่มาเดี๋ยวนี้พี่เจ้าแค่มองหน้าเขาก็ยิ้มร่า มักจะชอบวิ่งเข้าหามาช่วยเขาไม่ว่าเรื่องนั้นเป็นเรื่องเล็กแค่ไหน จนบางครั้งก็เหมือนได้เห็นภาพซ้อนของกันต์ธีร์ในวัยเยาว์อย่างไรอย่างนั้น คิดแล้วก็ขำกับตัวเอง นี่เขาเห็นพี่มีนิสัยเหมือนเด็กเล็กอย่างนั้นหรือด้วงคิดสะระตะก่อนเดินไปพาดตากผ้าขี้ริ้วกับระเบียงด้านนอก จัดแจงเก้าอี้ให้เข้าที่แล้วจึงพาตัวเองเดินเข้าห้องนอนไปทำตามที่พี่เจ้าร้องขอไว้
“ไอ้ไกร ยังหมัดหนักเหมือนเดิมเลยนะ”“ขอบคุณครับ”ไกรวิชญ์รู้สึกว่าตัวเองห่างหายจากการซ้อมมวยมานานจำได้ว่าครั้งล่าสุดที่มาเห็นจะเป็นเมื่อต้นปีที่แล้วก่อนที่จะเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นจนเขาไม่มีเวลามากพอจะมาให้เวลากับการฝึกซ้อมที่นี่เป็นลานอเนกประสงค์ซึ่งตำรวจในพื้นที่หากมีเวลาก็จะมานั่งสังสรรค์พักผ่อนจากการทำงานในกรณีวันไหนไม่อยากกลับไปเจอหน้าเมีย (ไอ้พูนที่ก๊งเหล้าประจำนั้นเป็นคนบอกมา) ทว่าสำหรับเขาแล้วที่นี่เหมือนเป็นที่ออกกำลังเสียมากกว่า แถมทำไมเขาจะไม่อยากกลับเจอหน้าคนรักเล่าไกรวิชญ์ซึ่งปลดเสื้อเครื่องแบบออกเหลือเพียงเสื้อกล้ามสีขาวเปื้อนเหงื่อเดินกลับมานั่งพักบนแคร่ไม้ไผ่พลางถอดผ้าพันข้อมือ เขาค่อนข้างภาคภูมิใจมากที่วันนี้ข้อนิ้วเขาไม่ได้รับบาดเจ็บจนถลอกจากการต่อยถุงทราย ทั้งยังสภาพการณ์ดีขึ้นเยอะ แบบนี้ด้วงก็ไม่ต้องมาสละเวลานั่งทายาให้แล้ว“โอ๊ย ๆ ปวดไหล่จังเว้ย ไอ้ไกรเอ็งเมื่อก่อนมาซ้อมทุกวันเลยดิ”พูนเดินกลับมาจากลานหลังลองวัดฝีมือกับชาวบ้านในวงท่านหนึ่ง เพราะอยากรู้ว่าตัวเองอยู่ในระดับไหน แต่เอาเข้าจริงเขาที่ถนัดลอบเร้นม
ย้อนกลับไปวันที่ทุกคนจะไม่อยู่บ้านเนื่องจากคุณแม่ที่กลับมาอยู่บ้านหลักสักพักก็คิดจะย้ายกลับมาอย่างเต็มตัว ยิ่งไปกว่านั้นก็อยากพาเจ้าหมึกมาพระนครด้วย ทั้งกันต์ธีร์นัดกับเพื่อนว่าจะไปนอนค้างคืนเล่นอะไรตามประสาในช่วงวันศุกร์-เสาร์ ทำให้เขาและพี่ไกรเหลือกันอยู่สองคนในบ้าน เพราะลุงแดงก็อาสาตามไปช่วยขนสัมภาระกับพี่ชมพู่เมื่อรู้ดังนั้นพวกเขาเลยตกลงกันว่าจะออกไปเที่ยวกันสองคน พี่ไกรจึงเสนอว่าจะพาไปขับรถเล่นหลังจากปล่อยรถนอนในอู่มานานหลายปีจนต้องมีล้างทำความสะอาดไล่ฝุ่นกันนิดหน่อย เมื่อลองเปิดปิดใช้งานเครื่องยนต์ก็ยังสามารถทำงานได้ดีเหมือนเดิมพี่ไกรบอกว่าจะกลับมาขับรถให้มากขึ้น เวลาพาครอบครัวไปไหนมาไหนจะได้ไม่ต้องรอระบบขนส่งสาธารณะไกรวิชญ์ในชุดพร้อมเที่ยวเปิดประตูหน้าคนขับเข้ามาในรถ เมื่อเห็นว่าเครื่องปรับอากาศทำงานได้ดีไม่ร้อนอบอ้าวเขาจึงเดินขึ้นไปตามด้วงให้ลงมา“ไปวันเดียวเอง เราขนอะไรไปเยอะจัง”“ผมไม่ชินเลย ไปกันแค่สองคน”ปกติหากไปเที่ยวจะไปกันทั้งครอบครัว หรืออย่างน้อยก็จะมีกันต์ธีร์มาด้วยอีกคนเสมอ แต่ครั้งนี้เพราะเป็นครั้งแรกมัน
ด้วงเข้าใจดีว่าพี่ชายเป็นตำรวจก็มีล้มลุกคลุกคลานบ้างเวลาไล่ตามโจรผู้ร้ายน้องชายในชุดเครื่องแบบนายสถานีพึ่งเลิกงานมาหมาด ๆ นั่งมองพี่ชายบนเตียงคนไข้ตาเขม็งโดยที่ไกรวิชญ์ไม่สามารถปฏิเสธข้อกล่าวหาได้เป็นพี่พูนที่เอาความมาเล่าสู่กันฟังกับเจ้าแผนและเขาที่สถานีรถไฟ เห็นว่าคราวนี้งานไม่ยากเย็นอะไรเพราะได้ข้อมูลครบถ้วนสมบูรณ์ ตัวพี่เองไม่ต้องลงไปอยู่ในสนามรบเองก็ได้ ทั้งพี่พูนเห็นว่าช่วงนี้พี่ไกรมีปัญหาด้านสายตา เริ่มมองระยะไกลๆ ไม่ค่อยชัด จะเอื้อมหยิบเอกสารที่อยู่ห่างออกไปสักหน่อยก็หยิบผิด ๆ ถูก ๆ เพ่งสายตามองนานเป็นนาทีก็ยังอ่านตัวอักษรบนกระดานไม่ออกซึ่งพี่พูนก็ปรามแล้วแต่พี่ไกรก็ยังดื้อแพ่งจับปืนไปลงพื้นที่โดยเมินคำเตือนเหล่านั้นจนได้กระสุนฝังหน้าขามาจนได้ แบบนี้เขาขอหยิกให้เนื้อเขียวหน่อยเถอะ“หายแล้วพี่ไปตัดแว่นใส่เลยนะ”“ไว้ค่อยรอช่างมาตัดให้แม่รอบหน้า-“ไม่ต้องเลย แล้วก็พากันต์ไปด้วย เผื่อมันส่งต่อทางพันธุกรรม”“ครับ...”ไกรวิชญ์เย็นวันนั้นกลับมาบ้านขากะเผลกจนต้องให้น้องชายช่วยประคอง ทั้งที่เมื่อก่อนสมัยยี