ด้วงที่ลงมาหยิบนมในตู้แช่เย็นได้ยินเสียงพูดคุยจ้อกแจ้กแว่วลงมาจากด้านบนบวกกับเสียงกลอนประตูเมื่อสักครู่จึงคิดจะอุ่นชาหอมขึ้นไปให้พี่ชายที่น่าจะกลับมาแล้วด้วย
ในระหว่างที่ตั้งเตาอุ่นนมก็จัดแจงคีบถ่านจุดไฟวางกาน้ำร้อน ก่อนจะผละไปเปิดตู้กับข้าวมองหาถุงชาที่ได้รับเป็นของฝากเมื่อเดือนก่อน เพียงนานเครื่องดื่มอุ่นก็พร้อมใส่แก้ว
พอเดินขึ้นมาก็เห็นว่าพ่อลูกกำลังนั่งคุยกันอยู่ แต่เหมือนน้องกันต์จะดูอาการไม่ค่อยดีเมื่อได้สนทนากับผู้เป็นพ่อ เขาจึงรีบเดินอ้อมหลังไปมอบแก้วนมให้เจ้าตัวรีบดื่มจะได้หนีออกไปจากความอึดอัดได้ ส่วนเขาพาตัวเองมานั่งตรงข้ามพี่ชายพร้อมวางแก้วชาหอมไว้ตรงหน้า
“ของเราไม่มีเหรอ?”
“วันนี้ผมไม่ค่อยอยากกินอะไร”
เขาพูดพลางชำเลืองมองหลานชายที่ค่อย ๆ จิบนมดูเหมือนเขาจะอุ่นร้อนจนเกินไป
“วันนี้เราเป็นอะไร ดูเหม่อ ๆ นะ”
“ปะ...เปล่า แค่มีเรื่องให้ต้องคิดนิดหน่อย”
ตอนนี้เขาระแวงเหลือเกินว่าพี่ไกรจะทำอย่างเมื่อเช้าต่อหน้าลูกชายตัวเอง แต่ตอนนี้เขาจะออกอาการไม่ได้จึงทำเพียงเก็บไม้เก็บมือให้ห่างจากกลางโต๊ะลงมาประสานอยู่บนตัก
“ผมไปนอนก่อนนะครับ”
“น้องกันต์เอาแก้ววางไว้ตรงนี้แหละ เดี๋ยวอาเก็บให้เอง”
“ครับ ราตรีสวัสดิ์ครับอาด้วงราตรีสวัสดิ์ครับคุณพ่อ”
“ราตรีสวัสดิ์จ้ะ”
ด้วงกล่าวฝันดีพลางโบกมือน้อย ๆ ส่งเด็กชายกลับเข้าห้องนอนส่วนตัว ไม่นานบรรยากาศก็เต็มไปด้วยความเงียบงัน ด้วงจึงนึกเรื่องที่จะพูดกับคนเป็นพ่อขึ้นมาได้
“พี่ คือ...”
“มีอะไรครับ?”
“หลายวันก่อนน้องกันต์เขามาปรึกษาผม บอกว่าเขาไม่ได้อยากทำงานเป็นตำรวจ”
“…”
ด้วงชะงักเมื่อเงยหน้าขึ้นมาสบมองแววตาอันเรียบนิ่งของพี่ชาย ไกรวิชญ์ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ก่อนจะวางแก้วกระเบื้องลงบนโต๊ะ ลุกขึ้นจากเก้าอี้เดินมาทางเขา ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าตอนนี้ในใจเขากำลังกลัวบางสิ่งบางอย่างอยู่
ฝ่ามือสีน้ำผึ้งกำแน่น ผินใบหน้าเลือกที่จะไม่สบตากับนายตำรวจผู้พี่ แม้เขาพอจะรู้ว่าสถานการณ์มันคงน่าอึดอัดใจแบบนี้ทว่าคราวนี้มันกลับให้ความรู้สึกที่ต่างออกไป มัน...น่าขนลุก
“ด้วง พี่วางแผนเรื่องของกันต์มาดีแล้ว”
ขณะพูดฝ่ามือหยาบกร้านก็ค่อย ๆ ลูบไปตามสัดส่วนจับสัมผัสเนื้อแขนเนื้อไหล่ลามลงไปถึงช่วงเอวคอดอย่างถือวิสาสะ ต่อให้ด้วงอยากจะปัดป้องมากแค่ไหนแต่การสร้างประเด็นร้าวฉานขณะกำลังคุยเรื่องของหลานผู้เป็นที่รักอยู่คงไม่เป็นการดี
“ตะ...แต่กันต์เขาบอกว่าไม่อยากเป็น”
“แล้วเราจะไปเชื่อคำของเด็กมันทำไม โตมาเดี๋ยวก็รู้ว่าสิ่งที่พี่เตรียมไว้ให้มันดีที่สุดแล้ว”
“พี่จะบังคับลูกแบบนี้ไม่ได้”
“ลูกของพี่ทำไมพี่จะทำไม่ได้”
“แต่กันต์ธีร์ก็หลานผมเหมือนกัน!”
ด้วงพยายามกลั้นใจเงยหน้าสบตานายตำรวจด้านหลัง ทั้งที่ในใจกลัวจนอยากจะลุกหนี ทว่าสายตาครั้งนี้กลับดูไร้แววจดจ้องมองลงมาที่เขาอย่างไม่สามารถคาดเดาอารมณ์ได้ คิ้วไม่ได้กดลง มุมปากไม่ได้ยกขึ้นหรือคว่ำลงกลับกันมันกลับเรียบนิ่งคล้ายผืนทะเลยามก่อนคลื่นยักษ์ซัดเข้าฝั่ง
“ด้วง ต้องให้พี่ทำยังไงเราถึงจะหยุดพูดเรื่องนี้สักที”
อารมณ์ระหว่างผู้ใหญ่ทั้งสองคุกรุ่นขึ้นเรื่อย ๆ โดยไม่รู้เลยว่ามีสายตาคู่น้อยกำลังจับจ้องผ่านช่องประตูที่แง้มเปิด กันต์ธีร์เห็นคุณอาสีหน้าซีดเซียวก็อยากจะเข้าไปช่วยแต่เขาเป็นเด็ก ทั้งยังเป็นบุตรของคนที่คุณอากำลังมีปากเสียงด้วย
“ก็อนุญาตให้กันต์เรียนในสิ่งที่ชอบ-อึก!”
“ไร้สาระ”
กรอบหน้ากลมถูกจับเข้าอย่างจังจนเนื้อเสียงกระตุก แรงของนายสถานีแม้มีมัดกล้ามเนื้อแต่ไม่อาจสู้แรงของตำรวจที่ถูกฝึกมาได้เลย
ด้วยความเกรงกลัวที่เพิ่มขึ้นไม่หยุดตั้งแต่โดนเข้าประชิดตัวจึงทำให้ด้วงไม่กล้าแม้แต่จะต่อปากต่อคำ แววตามุ่งมั่นเปลี่ยนเป็นผวาหวั่นโดยพลัน ทว่าเมื่อไกรวิชญ์รู้สึกตัวว่าตนกระทำสิ่งใดลงไปก็จึงปล่อยมือ และเข้าประคองคนน้อง
“พี่ขอโทษ เรากลัวหรือเปล่า เรื่องนี้พี่ว่าเอาไว้เราคุยกันวันอื่น...”
“…”
ด้วงหลบตาไม่ตอบคำถามนั้นแต่อย่างใด เลือกที่จะรวบผ้ารวบผ่อนลุกขึ้นจากเก้าอี้คว้าแก้วทั้งสองใบลงไปเก็บยังชั้นล่าง ทิ้งนายตำรวจเอาไว้กลางโถงชั้นสองแต่เพียงผู้เดียว
ไกรวิชญ์เมื่อเห็นแผ่นหลังนั้นเดินลับสายตาไปจึงได้แต่หัวเสียขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน กรามตัดขึ้นเส้นเลือดปูดโปน ไม่พอใจถึงท่าทีปฏิเสธนั้นเป็นทุนเดิมดันต้องเอาเรื่องลูกชายมาคิดอยู่ในหัวอีก นี่กะจะปั่นประสาทเขาเล่นหรืออย่างไรกัน ทำไมถึงอยู่กันดี ๆ ไม่ได้ ไม่มีอะไรได้ดั่งใจสักอย่าง!
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
ด้วงหาจังหวะขึ้นมาเมื่อเห็นว่าพี่ไกรรอเขาจนเข้าห้องนอนของตัวเองไปแล้ว เมื่อเข้ามาในห้องแรงจะพยุงตัวก็หายไปจนสิ้น ขาทั้งสองในชุดเครื่องนอนทรุดลงไปกับพื้น เมื่อครู่เขากลัวจนอยากวิ่งหนี เจ้าพี่ไม่เคยปฏิบัติตัวคุกคามเช่นนี้มาก่อน ยิ่งนึกถึงสัมผัสรุกล้ำเมื่อครู่เขายิ่งกระอักกระอ่วนไม่รู้จะต้องทำอย่างไรในสถานการณ์เช่นนั้น
“...”
เขาเครียดเหลือเกิน มีหลายเรื่องให้เขาคิดเหลือเกิน หากบ้านนี้มีแม่กลับมาอยู่ด้วยกันเขาคงมีที่ปรึกษาไว้เป็นที่พึ่งทางจิตใจ แต่เมื่อคิดว่าจะต้องเอาเรื่องหนักอกนี้ไปปรึกษาแม่ก็เกรงเจ้าหล่อนจะเศร้าหมองลงไปยิ่งกว่าเดิม เนื่องด้วยสุขภาพร่างกายที่ทรุดโทรมลงไปตามกาลเวลา ไหนจะสภาวะจิตใจที่ไม่สมบูรณ์พร้อมเพราะต้องเสียทั้งสามีอันเป็นที่รักและสะใภ้ไปในเวลาไล่เลี่ยกัน
การนำเรื่องราวแบบนี้ลงไปสุมเพิ่ม ไม่ต่างจากการเผาเชื้อไฟให้หมดไวขึ้น เขาไม่อยากให้แม่ต้องทุกข์ระทมไปมากกว่านี้แล้ว
ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่เขาผล็อยหลับไป ทว่าตื่นอีกทีเขาก็มานอนซุกผ้าห่มอยู่บนเตียงประหนึ่งมีใครพาขึ้นมา
“พี่ทำเราตื่นหรือเปล่า?”
“พี่...!”
คนบนเตียงเมื่อรู้ว่ามีอีกคนอยู่ในห้องก็รีบหยัดตัวลุกขึ้นมองเจ้าพี่ที่นั่งข้างเตียงด้วยแววตาระแวดระวังไม่ไว้ใจ อาจเพราะเขาลืมล็อกประตูพี่จึงสามารถเข้ามาได้โดยง่าย
“พี่...ขอโทษ เมื่อกี้เราคงกลัวพี่มากเลยใช่ไหม...”
“…”
ไกรแทนที่จะเข้าสวมกอดจึงเลือกส่งมือไปลูบกลุ่มผมสั่นอย่างแผ่วเบาเป็นการปลอบขวัญ ด้วงที่กำลังสั่นกลัวจึงค่อย ๆ ผ่อนปรนกำแพงลง
“เรื่องนี้พี่ขอเวลาสักนิด พี่คิดมาตลอดว่าถ้ามีลูกชายก็อยากส่งเรียนนายร้อย ดังนั้นเมื่อกี้ที่เราจะให้พี่เปลี่ยนปุบปับเลยพี่คงทำไม่ได้”
“…”
“เอาไว้เราสามคนค่อยมาคุยเรื่องนี้เมื่อถึงเวลาดีไหมครับ?”
“อือ...”
คุณอาตอบรับพร้อมพยักหน้าหงึก ๆ เป็นอันเข้าใจกัน คนเป็นพี่ชายจึงพลอยโล่งใจผลิยิ้มกล่าวราตรีสวัสดิ์ส่งน้องชายเข้านอน อย่างน้อยวันนี้ก็จัดการปัญหาเฉพาะหน้าภายในครอบครัวไปได้
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
แม้จะดื่มนมอุ่นแล้วแต่เมื่อได้ฟังบทสนทนาระหว่างคุณอาและคุณพ่อตัวเขาก็เก็บเอามาคิดไม่หยุด ต่อให้จะข่มตานอนอย่างไรก็ไม่รู้สึกง่วงเลยสักนิด เมื่อเขาได้ยินเสียงเอี๊ยดอ๊าดของบานประตูห้องฝั่งตรงข้ามซึ่งเป็นห้องของคุณพ่อจึงนึกสงสัยว่าเที่ยงคืนดึกดื่นเจ้าตัวตื่นมาทำสิ่งใด
เด็กชายในชุดเสื้อนอนรุ่มร่ามค่อย ๆ ขยับตัวลุกขึ้นไม่ให้เกิดเสียง แง้มเปิดประตูห้องสอดส่องสายตาภายใต้ความมืดเพื่อมองหาตัวคุณพ่อที่น่าจะเดินอยู่สักบริเวณบนโถงชั้นสองจนเห็นว่าเจ้าตัวเปิดประตูเดินเข้าไปในห้องคุณอา
ด้วยความใคร่รู้ผสมปนเปกับความไม่น่าไว้วางใจกันต์ธีร์จึงก้าวเดินออกมาจากห้องช้า ๆ แล้วจึงไปแอบมองผ่านช่องบานประตูที่แง้มเปิดอยู่
!!!
ภาพที่เขาเห็นทำให้เขาต้องรีบพาตัวเองกลับเข้าห้อง เพราะไม่อาจยอมรับในสิ่งที่บิดาทำกับคุณอาที่เขารักได้
ในขณะที่คนบนเตียงกำลังหลับ ฝ่ามือหยาบหนาล้วงลึกเข้าไปใต้เสื้อผ้ายาวโคร่งเปิดให้เห็นผิวเนื้อภายใน เมื่อแสงจันทร์สอดส่องลงมาในองศาที่เขามองเห็นได้ชัดเจน ใบหน้าของบิดาก็ก้มลงไปแนบชิดกับคุณอาที่นอนอยู่บนเตียงอย่างไม่รู้อีโหน่อีเหน่
เด็กชายนอนมองเพดานด้วยความสับสน ภาพนั้นมันยังคงติดตาไม่หายจนเขาข่มตานอนไม่หลับเสียยิ่งกว่า ใจหนึ่งก็หวาดกลัวผู้เป็นพ่อ ใจหนึ่งก็เป็นห่วงคุณอาที่อุตส่าห์ออกปากช่วย
เขาควรจะทำอย่างไรต่อกับเหตุการณ์เมื่อครู่ดี
1. นิยายเรื่องนี้อิงประวัติศาสตร์ในช่วงเวลาปีพ.ศ.2485 ทุกตัวละคร และ'บาง'สถานการณ์ที่เอ่ยถึงกล่าวถึงเป็นเพียงจินตนาการของผู้แต่งแต่เพียงเท่านั้น ซึ่งไม่มีเจตนาดูหมิ่นไม่ว่าจะในเชิงส่วนบุคคลหรือสถาบันเลยแม้แต่น้อย ผู้เขียนหาข้อมูล และเกลาเนื้อหาขึ้นด้วยความเคารพในประวัติศาสตร์อย่างแท้จริง2. บางส่วนของนิยายอาจมีเนื้อหาเกินความเป็นจริงเพื่ออรรถรสในการอ่าน3. นิยายเรื่องนี้เหมาะสำหรับนักอ่านที่ชื่นชอบ/สนใจคู่ที่มีอายุ (วัยทำงาน) , เคะกล้ามหนุบหนับ และความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องต่างสายเลือด4. บางส่วนในนิยายมีการกล่าวถึงองค์กรศาสนา, ความรุนแรง, สภาวะผิดปกติทางจิต, Fetish(BDSM)*ที่ผิดหลัก และสิ่งเสพติด/อบายมุขโปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .จำนวนตอนหลัก 35+10 ตอนจำนวนตอนพิเศษ 11+3 ตอนรวมทั้งหมด 59 ตอน***พิสูจน์อักษร 2 ครั้ง***อัปเดตครั้งล่าสุด 10/07/2024#
“อาด้วงออกไปทำงานแต่เช้าตลอดเลยนะครับ”เสียงเด็กชายวัยมัธยมต้นกล่าวทักญาติคนสนิทที่แม้ตอนนี้หน้าปัดนาฬิกาจะบอกเวลาตีสี่สี่สิบห้า กระนั้นคุณอาชายที่แปะชื่อนายสถานีก็ยังขยันขันแข็งสะพายกระเป๋าเป้ใบเดิมคว้ากุญแจเตรียมออกจากบ้าน ทั้งเมื่อครู่พวกเขานั่งทานมื้อเช้าด้วยกันสามคน วางจานอาหารพร้อมกัน แต่เจ้าตัวกลับทานหมดคนแรกทั้งที่ข้าวพูนจานกว่าใครแท้ ๆคุณอาเมื่อได้ยินเสียงบ่นพึมพำของหลานชายจึงใช้ฝ่ามือสีน้ำผึ้งยีเส้นผมสีน้ำตาลธรรมชาติกระเซิงด้วยความมันเขี้ยว“แซวอาได้ทุกวันนะกันต์”“ผมพูดจริงนี่ครับ อาด้วงไปแต่เช้าทุกวัน ทิ้งผมกับคุณพ่อให้กินข้าวต่อกันสองคน บางครั้งกันต์ก็อยากเดินออกจากบ้านพร้อมกันบ้างนะครับ”กันต์ธีร์พูดไปอมข้าวไป กล่าวถึงพฤติกรรมอันไม่เป็นที่พอใจของตัวเขาสักเท่าไรนัก เนื่องจากเขาสนิทกับคุณอามากที่สุดในบ้าน แม้ทีแรกใคร ๆ จะบอกว่าอาด้วงน่ากลัวเพราะมีรอยบากที่หางคิ้ว ลำคอ จะมีฝ่ามือที่เต็มไปด้วยรอยแผลเก่า หรือแม้ยามปกติอีกฝ่ายจะชอบทำหน้านิ่งแต่ใครรู้ว่าแท้จริงเจ้าตัวจิตใจดี ทั้งยังชอบพาเขาทำก
ด้วงเดินทางมาไม่นานก็ถึงสถานีกรุงเทพ เพราะบ้านหลักอยู่ห่างจากที่ทำงานเพียงข้ามถนนสองเส้น จึงเดินทางมาได้โดยง่ายไม่ต้องนั่งรถรางให้ยุ่งยากเวลานี้ท้องฟ้ายังมืดสนิทเห็นดวงจันทร์แจ่มชัด ผู้คน รถบนถนนบางตา ฝนที่ตกปรอย ๆ เมื่อคืนเมื่อสัมผัสกับผืนดินผืนหญ้าส่งกลิ่นหอมธรรมชาติโชยมาแตะจมูกชวนให้ใจสงบเงียบท่ามกลางบรรยากาศยามไร้ผู้คนในเวลาเช้าตรู่ขาสูงยาวก้าวอย่างมั่นคงบนทางเท้า มองเหล่าแมลงซึ่งสะท้อนแสงจากโคมไฟรายทางที่พวกมันตอม พลางคิดเรื่องซ้ำ ๆ เดิม ๆ ที่วนอยู่ในหัวเขามาร่วมสิบปีเขารักคนคนหนึ่งรักมาตลอดตั้งแต่วันที่จากลากันทีแรกเขาไม่รู้สึกถึงมัน แต่เมื่อถึงเวลาที่เจ้าตัวไม่สามารถอยู่ที่แห่งนั้นได้อีกต่อไป นั่นจึงเป็นเขาเองที่ต้องพาเจ้าตัวหนีขึ้นรถไฟจากไอ้พวกคนจัญไรเหล่านั้นย้อนนึกไปเท่าไรก็รู้สึกเจ็บปวด ภาพทุกภาพหวนคืนเข้ามาในห้วงความคิดอย่างไม่อาจหักห้ามได้เรือนไม้สีเข้มเก่าแก่สะท้อนแสงจันทร์ขาวนวลยามค่ำคืน สายลมเย็นยะเยือกพัดผ่านกระทบผิว เหล่าก้านไม้ใบไม้เสียดสีกันชวนให้ค่ำคืนสุดท้ายในที่แห่งนั้นน่าขนลุก และเสียงแปร่ง
ด้วงสูดลมหายใจเข้าเมื่อวิ่งมาถึงยังหน้าชานชาลาในการดูแล อีกไม่นานรถไฟขบวนแรกจากชุมพรก็จะเข้าเทียบ เขาต้องมีสมาธิจดจ่อกับหน้าที่และผู้คนเพื่อมองหาใครคนนั้นให้เจอทว่าเหมือนที่เขาแกล้งหัวเราะอาจารย์แกไปเมื่อครู่จะโดนเอาคืน เพราะจู่ ๆ หมวกประจำตำแหน่งก็ถูกถอดออกทำให้เขาต้องหันไปมองจนเห็นว่าเป็นคุณอุ่นที่ยืนถือหมวกเขาอยู่ก่อนจะรีบเดินเข้ามาสวมหมวกให้เหมือนเดิมเมื่อเห็นสีหน้าอันไม่พอใจ“ผมแกล้งหนักไปเหรอครับ?”“ถามมาได้”นายสถานีเม้มปากไม่พอใจ เขาหัวเราะนิดเดียวเองดันมาแกล้งถึงเนื้อถึงตัวกันเสียได้ ไหนเจ้าตัวบอกคนญี่ปุ่นเรียบร้อยตามขนบอย่างไรเล่า“วันนี้ขอให้โชคดีนะครับ”สิ่งที่อาจารย์กล่าวก่อนจะขึ้นตู้สื่อถึงคนที่เขากำลังเฝ้าตามหาอยู่ ถึงเขาจะไม่ได้ป่าวประกาศว่ากำลังตามหาคนแต่ก็ไม่ได้ปิดเป็นความลับแก่คนใกล้ชิดด้วงถอนหายใจเฮือกใหญ่ ดึงสติกลับมาอยู่กับเนื้อกับตัว กระชับปีกหมวกประจำตำแหน่งให้เข้าที่เพราะอีกไม่ถึงนาทีจะถึงเวลารถไฟรอบแรกของวันเข้าเทียบ นัยน์ตาสีดำประกายม่วงไร้แวว มองหัวรถจักร สดับฟังเรียงหวูดอย่างเหม่อลอย เสียงพ
ด้วงเดินออกมาด้วยความดีใจ ในที่สุดเขาก็เจอแล้วในเมื่อแก้วบอกว่าจะมาหาเขาวันพรุ่ง เช่นนั้นวันนี้เขาจะตะลอนหาที่นั่งสบาย ๆ รอบพระนครตระเตรียมแผนการเดินทางให้โฉมงามเพื่อนสมัยเด็กได้ประทับใจรวมไปถึงการบอกเรื่องนี้กับพี่ไกร เพราะเจ้าตัวเมื่อเช้าดูจะเป็นกังวลในเรื่องนี้มากโข ไว้เดี๋ยวคืนนี้เขาจะอยู่รอนั่งเล่าให้ฟัง ในเมื่อเป้าหมายในชีวิตเขาสำเร็จแล้ว คุณพี่ชายจะได้ไม่ต้องมาหนักใจในเรื่องไม่เป็นเรื่องอีก. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .“ผู้กำกับ เหม่ออีกแล้วนะครับเมื่อคืนนอนน้อยรึหรือไง?”“มาค้ง มาครับอะไรไอ้พูน เรียกชื่อฉันเหมือนเดิมเถอะ แสลงหู”พูนเพื่อนร่วมงานบุ้ยปาก ไอ้เขาก็อยากทำตัวมีมารยาทกับพ่อพันตำรวจเอกผู้เป็นที่เชิดหน้าชูตาแก่สน.เสียหน่อย ดันมาขัดขากันได้“ตกลงกันว่าจะเริ่มคดีเสือขามวันนี้ใช่ไหม?”“นอกเรื่อง”“กำลังจะเข้าเรื่อง”พูนกอดอกกลอกตามองบน เขาล่ะหน่ายใจกับท่าทีเก๊กขรึมข
ตกเย็นใกล้พลบค่ำด้วงรีบกลับบ้านมา วันนี้เขาอารมณ์ดีนัก ตั้งแต่รู้ว่าจะได้กลับไปพูดคุยกับแก้วอีกครั้งเขาก็ดีใจจนเนื้อเต้น คุณอาในชุดลำลองเสื้อโปโลสีเนยกางเกงน้ำตาลเดินเข้ามาด้วยรอยยิ้มประดับใบหน้าพลางยกเสื้อผ้าที่พนักงานแนะนำมา มีตั้งหลายตัวแต่ไปแค่พรุ่งนี้วันเดียวไม่รู้จะใส่ตัวไหน สงสัยคงต้องถามพี่ไกรเสียแล้ว“ด้วง วันนี้ไปไหนมาครับ”เสียงเข้มแว่วมาจากระเบียงชั้นสอง เป็นเจ้าของบ้านที่ยืนค้ำราวไม้ทักทายลงมา เจ้าตัวคงจะกลับบ้านมาสักพักแล้วจึงได้อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสียเรียบร้อย“ผมไปซื้อของที่ห้างมา”“ไหนเอาขึ้นมาให้พี่ดูซิ”จากประสบการณ์สอบปากคำตลอดหลายสิบปี หากอยากได้คำตอบที่ชัดเจน อย่าตั้งแง่กับผู้ต้องสงสัย ค่อย ๆ ใจเย็นตะล่อมถาม หากร้อนใจขึ้นประเดี๋ยวลูกไก่ในมือจะวิ่งหนีไปเสียฉิบ“เราลางานกะทันหันแบบนี้ ไม่กระทบเพื่อน ๆ ที่ทำงานเหรอ?”“วันนี้รอบรถถี่แค่ช่วงสาย ตกบ่ายมาก็น้อยแล้ว”“แล้วไม่กลัวโดนหักเงินเดือนเหรอ?”“ผมมีเงินเก็บเยอะ ไม่กลัวเรื่องแบบนั้นหรอก”“พี่เห็นเรายิ้มไม่หุบมาสักพักแล้ว
เสียงนกร้องภายนอกแว่วเข้ามาผ่านช่องเล็กช่องน้อยภายในห้องนอนขนาดย่อม เครื่องเรือน เครื่องนอนล้วนถูกคัดสรรมาอย่างเหมาะสมให้เขากับผู้อยู่อาศัย แต่เพราะเจ้าของห้องไม่ได้ฟุ้งเฟ้อ จึงมีแต่ของใช้จำเป็นเพียงโต๊ะ ตู้ เตียง และม่านมุ้งห้อยจากเพดานกันแมลงในตอนกลางคืนทว่าวันนี้นาฬิกาปลุกถูกตั้งให้ช้ากว่าปกติเพราะนี่นับเป็นวันแรกที่คนบนเตียงจะได้ออกไปใช้ชีวิตกับเพื่อนที่รอมานานนับสิบปี จนเมื่อเสียงกริ๊งดังไม่ทันใดมันก็ถูกกดหยุดลงพร้อมนายสถานีร่างโปร่งที่ลุกขึ้นมาบิดกายยืดเส้น ดวงหน้าอิ่มเอิบประดับรอยยิ้ม แต่เช้าตรู่พลางมองเสื้อผ้าของวันนี้ที่ถูกแขวนเตรียมไว้ตั้งแต่เมื่อคืนด้วงสูดลมหายใจเข้าระหว่างนั่งเล่นให้ร่างกายตื่นเต็มตา แล้วจึงกระเด้งตัวออกจากเตียงไปผลัดผ้าผลัดผ่อนบ้านหลังนี้กว้างโอ่อ่าพอจะทำห้องส่วนตัวให้แก่ทุกคนรวมไปถึงห้องอาบน้ำในทุกห้องนอนเช่นกัน เพิ่มความสะดวกสบายให้สมาชิกในบ้านที่ต้องทำกิจในเวลาไล่เลี่ยกันกระจกบานเล็กหน้าโต๊ะสะท้อนร่างสูงโปร่งประดับลอนกล้ามเนื้อสีเข้มกระนั้นก็พอมีช่วงเอวไม่ตีบตันไร้สัดส่วนด้วงรีบเข้าไปรดน้ำทำความสะ
“วันนี้คุณดลรวีก็มาช้าเหรอครับ?”ดันกิเดินมาสนทนากับเจ้าแผนที่คุณดลรวีเล่าให้ฟังว่าเป็นเพื่อนคนสนิท เขาซึ่งมาที่นี่ทุกเช้าก็มักจะได้สนทนากับนายสถานียิ้มเก่งคนนั้นเป็นประจำ ได้ยินว่าเจ้าตัวเจอคนที่รอมาตลอดแล้วไม่รู้แน่ชัดว่ามันจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เจ้าตัวมาช้ากว่าปกติหรือเปล่า“เปล่าครับ มาเช้ากว่าใครเพื่อนเลย นู่นนั่งอยู่นู่น”แผนกอดอกบุ้ยคางยังเจ้าเพื่อนที่นั่งเหงาเหม่อมองทางรถไฟมาตั้งแต่ย่ำค่ำ ทำเอาเขาสงสัยไม่ใช่น้อย ว่าเจอก็เจอแล้วทำไมยังนั่งเป็นหมาหงอยอยู่อีก“ขอบคุณครับ”แผนมองแผ่นหลังของคุณครูชาวญี่ปุ่นวิ่งต้อย ๆ ไปทางเจ้าเพื่อนรักก็นึกอิจฉา เขาสิไม่รู้ทำไมไม่ได้คนสติดี ๆ มาเดินตามบ้างดันกิสาวเท้าด้วยความเร็วก่อนจะค่อย ๆ ชะลอลงเมื่อเข้าใกล้เก้าอี้ไม้ข้างเสา เขาหอบเอาลมหายใจเข้าปอดพลางสังเกตสีหน้าของคุณดลรวี แต่ไม่รู้ทำไมวันนี้มันถึงได้ดูหม่นหมองไม่ต่างจากท้องฟ้ายามมีเมฆฝน“คุณอุ่น มาตั้งแต่เมื่อไหร่เหรอครับ ผมไม่รู้ตัวเลย”“ผมพึ่งมา ทำไมวันนี้คุณถึงดูเศร้า ๆ ล่ะครับ”“มันอธิบายค่อนข้างยากน่ะครับ...”