“วันนี้คุณดลรวีก็มาช้าเหรอครับ?”
ดันกิเดินมาสนทนากับเจ้าแผนที่คุณดลรวีเล่าให้ฟังว่าเป็นเพื่อนคนสนิท เขาซึ่งมาที่นี่ทุกเช้าก็มักจะได้สนทนากับนายสถานียิ้มเก่งคนนั้นเป็นประจำ ได้ยินว่าเจ้าตัวเจอคนที่รอมาตลอดแล้วไม่รู้แน่ชัดว่ามันจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เจ้าตัวมาช้ากว่าปกติหรือเปล่า
“เปล่าครับ มาเช้ากว่าใครเพื่อนเลย นู่นนั่งอยู่นู่น”
แผนกอดอกบุ้ยคางยังเจ้าเพื่อนที่นั่งเหงาเหม่อมองทางรถไฟมาตั้งแต่ย่ำค่ำ ทำเอาเขาสงสัยไม่ใช่น้อย ว่าเจอก็เจอแล้วทำไมยังนั่งเป็นหมาหงอยอยู่อีก
“ขอบคุณครับ”
แผนมองแผ่นหลังของคุณครูชาวญี่ปุ่นวิ่งต้อย ๆ ไปทางเจ้าเพื่อนรักก็นึกอิจฉา เขาสิไม่รู้ทำไมไม่ได้คนสติดี ๆ มาเดินตามบ้าง
ดันกิสาวเท้าด้วยความเร็วก่อนจะค่อย ๆ ชะลอลงเมื่อเข้าใกล้เก้าอี้ไม้ข้างเสา เขาหอบเอาลมหายใจเข้าปอดพลางสังเกตสีหน้าของคุณดลรวี แต่ไม่รู้ทำไมวันนี้มันถึงได้ดูหม่นหมองไม่ต่างจากท้องฟ้ายามมีเมฆฝน
“คุณอุ่น มาตั้งแต่เมื่อไหร่เหรอครับ ผมไม่รู้ตัวเลย”
“ผมพึ่งมา ทำไมวันนี้คุณถึงดูเศร้า ๆ ล่ะครับ”
“มันอธิบายค่อนข้างยากน่ะครับ...”
“เรื่องส่วนตัวใช่ไหมครับ”
ด้วงไม่ตอบเป็นคำพูด ทำเพียงหลบเลี่ยงสายตาและพยักหน้าเบา ๆ เขาจึงเริ่มเล่าเรื่องที่เขาเจอมาให้ฟังโดยสังเขป ไม่คาดคิดเลยว่าคนที่เขารักจะมีเจ้าของหัวใจแล้ว แต่กาลเวลาผ่านมาป่านนี้ไม่มีสิแปลก ทั้งทหารคนนั้นก็ดูจะหึงหวงเจ้าแก้วมากด้วย
“ถึงจะไม่รู้ว่าเป็นเรื่องอะไร แต่ผมเสียใจด้วยนะครับ”
“ฮ่า ๆ คุณนี่คล้ายกับพี่ชายผมเลยนะครับ”
“ตรงไหนเหรอครับ?”
“ก็ตรงที่...ชอบทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่”
พี่ไกรมักเอาใจใส่เขาเสมอแม้แต่เรื่องขี้ปะติ๋วอย่างการหกล้มได้แผลถลอกยังเคยโวยวายวิ่งวุ่นหาน้ำยาทาเสียยกใหญ่ พอมาเรื่องน้องชายอกหักก็นั่งปลอบจนถึงเที่ยงคืน แล้วมันจะไปต่างจากคุณอุ่นที่แค่เล่าเรื่องให้ฟังยังทำหน้าเศร้าเสียยิ่งกว่าเจ้าของเรื่องตรงไหนกัน
เมื่อกล่าวไปเช่นนั้นเขาก็โดนคุณอุ่นใช้นิ้วยันหน้าผากไปทีหนึ่ง ถึงมันจะแค่เบา ๆ เพราะเจ้าของมือยั้งแรงเอาไว้แต่คุณอุ่นก็ดูจะไม่พอใจนักที่โดนแซวแบบนั้น
เขาจำได้ว่าคุยกับอาจารย์แกล่าสุดเห็นจะเป็นเมื่อสองสัปดาห์ก่อน ไม่ใช่เวลาที่นานแต่ก็ไม่ใช่เวลาที่สั้น พอได้กลับมาคุยเขาจึงรู้ว่าเวลาที่ได้สนทนากับเจ้าตัวไม่ว่าจะเรื่องมีสาระหรือไร้สาระ เพียงแค่ไม่กี่สิบนาทีก็สามารถทำให้เขารู้สึกโปร่งโล่งสบายขึ้นมาอย่างน่าฉงน
แต่มันยังมีอีกเรื่องที่เขาหนักใจและไม่สามารถเล่าให้คุณอุ่น ไอ้แผน หรือแม้แต่พี่ไกรฟังได้ เพราะมันคือเรื่องของตัว ‘พี่ไกร’ เอง
เขาสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายแปลก ๆ เวลาอยู่กับพี่สองต่อสอง
พวกเขาโดยพื้นฐานตั้งแต่คุณพ่อท่านรับอุปการะเขามาเป็นบุตรบุญธรรมก็สนิทชิดเชื้อเล่นถึงเนื้อถึงตัวกันมาตลอด การกอดหรือการจับมือจึงไม่ใช่เรื่องผิดแผกในสายตาเขา แต่มาพักนี้เจ้าพี่เริ่มเข้าหามากขึ้นแม้แต่ยามปกติสนทนากันก็พลอยหาช่องจับมือถือแขน ทีแรกเขาก็ว่าคิดไปเอง แต่ยิ่งใช้ชีวิตไปเรื่อย ๆ มันยิ่งหนักข้อขึ้นจนเขาเริ่มไม่สบายใจ ดังเช่นเหตุการณ์ที่พึ่งเกิดขึ้นเมื่อเช้า
“น้องกันต์ สะพายกระเป๋าลงไปรอข้างล่างได้เลยนะ เดี๋ยวอาถือของทำกระทงตามลงไป”
ด้วยช่วงนี้เขาไม่มีความจำเป็นจะต้องไปสถานีแต่เช้าอีกแล้ว แต่ด้วยติดนิสัยตื่นเช้าจึงอาสาเดินไปส่งหลานชายที่โรงเรียนนับจากนี้
ในตอนนั้นเขากำลังตรวจทานสัมภาระในกระเป๋าตัวเองทันใดนั้นก็มีมือเข้าคล้องเอวกระชับกอดหลวมจากทางด้านหลัง เป็นพี่ไกรที่เข้ามาแนบชิด
เขาพยายามทำทุกอย่างให้เป็นธรรมดาปกติทว่ายิ่งอยู่เฉย ๆ เหมือนอีกฝ่ายจะยิ่งรุกล้ำขึ้นไปเรื่อย ๆ
“พี่...ทำอะไรน่ะ”
“กอดเราไงครับ”
“ปล่อย มันไม่ดี”
เมื่อเขาออกปากปฏิเสธนั่นจึงเป็นจังหวะที่เจ้าตัวร่นถอยไป และทำประหนึ่งว่าเรื่องเมื่อครู่มันไม่เคยเกิดขึ้น ทั้งยังกล่าวประโยคให้ชวนคิดออกมา
‘พี่ดีใจที่เราไม่ไปเดินตามคนคนนั้นแล้ว’
‘เรามาอยู่กับพี่ดีกว่า’
ทั้งหมดแม้ผิวเผินจะดูเป็นการพูดฉบับครอบครัวสามัญแต่เมื่อผนวกรวมกับพฤติกรรมดังกล่าว เขาไม่อาจคิดว่ามันจะเป็นรูปประโยคที่พี่ชายพูดกับน้องชายได้
แต่ต่อจะให้น่าคิดอย่างไร มันก็ไม่ควรเพราะในสายตาเขามันผิดศีลธรรม พวกเขาเติบโตมาฉันพี่ฉันน้องการเปลี่ยนรูปแบบความสัมพันธ์เป็นอื่นนั้นเขาทำใจยอมรับไม่ได้
“เฮ้อ...”
ด้วงถอนหายใจระบายความหนักอก ดีหน่อยที่วันนี้รอบรถเยอะแม้จะเหนื่อยกายสักหน่อยแต่การเดินไปมาคิดแต่เรื่องงานกับสัญญาณรถไฟก็ช่วยไม่ให้เขาจมปลักอยู่กับห้วงความคิดบ้า ๆ นี่ เอาเป็นว่าวันนี้ก็ตั้งใจทำงาน และกำจัดปัญหาไม่เป็นเรื่องออกไปจากหัวเสีย
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
*แกร๊ง* เสียงโลหะกระทบกับห้องขังดังขึ้นเมื่อประตูกรงขังแง้มปิดลงอย่างไม่เบาแรงนัก ภายในห้องปรากฏเป็นภาพนักโทษในสภาพฟกช้ำดำเขียว แต่ผู้คุมกลับไม่ยี่หระปล่อยปละคนในตะรางนอนแผ่อยู่เช่นนั้นก่อนจะเดินออกมาล้างคราบของเหลวสีแดงสกปรกบริเวณข้อนิ้ว
เมื่อวานด้วงพึ่งทำแผลให้แท้ ๆ มีรอยเพิ่มอีกแล้ว
“อ้าว ผู้กำกับ ไอ้คนนั้นมันอาละวาดอีกแล้วเหรอ?”
“ใช่”
“ทั้งสน. ก็มีแต่คุณนั่นแหละที่แก้ปัญหานี้ได้”
“อือ”
“เอ้อ เห็นว่าพวกเขาจะไปกันแล้วนะครับ”
เพื่อนร่วมงานเดินเข้ามาในห้องสุขาพลางถามหัวหน้าทีมที่จะไปร่วมปราบโจรผู้ร้ายด้วยกัน
“เดี๋ยวตามไป”
วันนี้เป็นวันที่เขาต้องออกไปปฏิบัติการตามแผนที่วางเอาไว้โดยการวางหมากแสดงละครสร้างภาพให้พูนเป็นโจรเพียงคนเดียวที่สามารถกำราบตำรวจนครบาลลงได้พร้อมขโมยทรัพย์สมบัติมากองรวมกันในคฤหาสน์เศรษฐีชัยฤกษ์เพื่อประกาศความสามารถขอเข้าร่วมชุมเสือขามที่ชัดแล้วว่ามีแผนบุกปล้นในวันนี้เวลาประมาณสี่ทุ่ม
หากไม่สำเร็จหรือโดนจับได้ พวกเขา ณ ที่ตรงนั้นแค่เข้าจับกุมดึงตัวพวกมันมาเค้นคอสอบปากคำ ถึงจะแย่กว่าแผนแรกตรงที่โจรกลุ่มอื่น ๆ จะรู้ถึงการขยับตัวของตำรวจก็ตาม ดังนั้นทางที่ดีคือการตั้งใจทำแผนแรกให้สำเร็จ
ดังนั้นในตอนนี้นายตำรวจทุกคนจึงเข้าประจำจุด และเริ่มส่งเสียงตะโกนโวยวายเมื่อหน่วยติดตามให้สัญญาณถึงการมาของกลุ่มโจรก่อนที่ทุกอย่างจะเงียบลงเมื่อรถของเสือขามแล่นมาจอดหน้าประตูทางเข้า
ไกรวิชญ์แอบหลบสังเกตการณ์อยู่บริเวณมุมอับข้างบันไดโดยมีเจ้าพูนตัวเอกนั่งรอเสือขามอยู่บนกองเงินกองทองที่เขาขอยืมมาจากส่วนกลาง
*ตึก* เสียงรองเท้าหนังคู่เก่ากระทบพื้นไม้เคลือบเงาเดินกระชับโกร่งไกปืนเข้ามา พลางเหยียดมองตำรวจที่นอนจมกองเลือดเป็นทางไปจนถึงหน้าบันได ทว่าสิ่งที่สะดุดตาที่สุด ณ ที่นี้คืออ้ายอีที่มันนั่งขัดสมาธิยิ้มสบายใจอยู่บนกองทองคำ
“มึงเป็นใคร?”
พูนกระตุกยิ้ม ก่อนจะหยัดตัวลุกขึ้นกระโดดลงมายืนข้างทองคำแท่งสูงเท่าเอว
“เป็นโจร เหมือนพวกคุณนั่นแหละ”
ไกรวิชญ์ที่ถือปืนเตรียมพร้อมอยู่ยืนเก๊กซิม จะไปพูดสุภาพกับมันทำไมล่ะวะ!
“คิดจะหักหน้าข้ารึไง”
“เปล่าครับ แค่...มาแสดงความสามารถให้ลูกพี่ดู เผื่อจะรับน้องชายคนนี้เข้ากลุ่ม”
พูนเดินเข้าไปใกล้อย่างใจเย็น เล่นหูเล่นตาให้สมกับเป็นโจรในมายาคติแล้วจึงหยุดยืนค้ำโต๊ะประจันหน้ากับชายสูงอายุ หัวหน้าชุมเสือขาม
“สมบัติพวกนั้นผมยกให้ทั้งหมด”
“เป็นคนไม่รู้จักหัวนอนปลายตีน คิดว่ากูจะให้มึงเข้าชุมรึ”
“ก็รู้จักซะสิ รู้จักว่าผมสามารถล้มตำรวจได้ทั้งกอง ขนสมบัติออกมาตั้งพะเนินกลางบ้านได้ แค่นี้...ยังไม่พอเหรอครับ?”
ในตอนนี้ตำรวจทุกนายต่างพากันเคร่งเครียดไม่รู้ว่าการเดิมพันครั้งนี้จะสำเร็จผล เพราะหากพวกมันรู้ตัวขึ้นมาละก็ไม่ใช่แค่โจรผู้ร้ายจะระแวดระวังมากขึ้น แต่พวกเขาจะเสียตำรวจที่ใช้สอดแนมได้ไปเสียเปล่า
“ไอ้มิ่ง”
“ครับ!”
“เก็บของขึ้นรถ ส่วนไอ้หน้าอ่อนนี่...เดี๋ยวกูคุยเอง”
สำเร็จ!
พูนเดินตามหลังผ่านโจรคนอื่นไป แม้จะถูกจับจ้องด้วยสายตาไม่เป็นมิตร แต่ก็ช่างมันปะไร เป็นเพื่อนกันครู่เดียวเขาก็ต้องกลับไปใส่เครื่องแบบตำรวจยืนส่งยิ้มให้พวกมันผ่านลูกกรงอยู่แล้ว
เนื่องจากพูนต้องขึ้นรถของพวกมันไป จึงเป็นส่วนของตำรวจส่วนภูมิภาคซึ่งชำนาญพื้นที่ขับรถแอบตามเพื่อหาพิกัดแหล่งกบดาน
หลังจากจบภารกิจขั้นตอนแรกเหล่าตำรวจจึงต่างพากันแยกย้ายกันไปตามเส้นทางที่เขียนเอาไว้เพื่อไม่ให้เป็นที่สังเกต แน่นอนว่าเขาหลังจากเดินพ้นถนนสายหลักก็ตรงดิ่งกลับบ้านในทันที เพราะกว่าสถานการณ์เมื่อครู่จะสิ้นสุดก็ปาไปห้าทุ่ม ป่านนี้ด้วงไม่รู้จะยังอยู่รอเขาหรือเปล่า
ทว่าเมื่อวิ่งตรงมาถึงหน้าเรือนไม้สีขาวกลับเห็นว่าบริเวณชั้นสองยังคงเปิดไฟสว่างโร่อยู่ ไกรวิชญ์จึงผลิยิ้มบางควักกุญแจขึ้นไขประตูรั้วก่อนจะรีบล็อกปิดให้แน่น วิ่งขึ้นบันไดมาด้วยความผาสุกกะจะเห็นหน้าน้องชายให้ชื่นใจ
ทว่าเขากลับเห็นเจ้าลูกชายนั่งแกว่งขาอยู่
“กันต์ ทำไมป่านนี้แล้วลูกยังไม่นอน”
“ผมนอนไม่หลับ อาด้วงเลยบอกว่าจะลงไปอุ่นนมมาให้ครับ”
“เรียนเป็นยังไงบ้าง”
ไหน ๆ ก็ต้องนั่งรอแล้ว หาเรื่องถามสารทุกข์สุกดิบของลูกชายเอาไว้เสียหน่อย
“ปกติดีครับ แต่ผมไม่ค่อยเข้าใจวิชาภาษาอังกฤษ”
“ไม่เป็นไร เราพึ่งขึ้นปีแรก ไว้เดี๋ยวพ่อหาครูมาสอนให้ที่บ้าน”
“ครับ...”
ด้วงที่ลงมาหยิบนมในตู้แช่เย็นได้ยินเสียงพูดคุยจ้อกแจ้กแว่วลงมาจากด้านบนบวกกับเสียงกลอนประตูเมื่อสักครู่จึงคิดจะอุ่นชาหอมขึ้นไปให้พี่ชายที่น่าจะกลับมาแล้วด้วยในระหว่างที่ตั้งเตาอุ่นนมก็จัดแจงคีบถ่านจุดไฟวางกาน้ำร้อน ก่อนจะผละไปเปิดตู้กับข้าวมองหาถุงชาที่ได้รับเป็นของฝากเมื่อเดือนก่อน เพียงนานเครื่องดื่มอุ่นก็พร้อมใส่แก้วพอเดินขึ้นมาก็เห็นว่าพ่อลูกกำลังนั่งคุยกันอยู่ แต่เหมือนน้องกันต์จะดูอาการไม่ค่อยดีเมื่อได้สนทนากับผู้เป็นพ่อ เขาจึงรีบเดินอ้อมหลังไปมอบแก้วนมให้เจ้าตัวรีบดื่มจะได้หนีออกไปจากความอึดอัดได้ ส่วนเขาพาตัวเองมานั่งตรงข้ามพี่ชายพร้อมวางแก้วชาหอมไว้ตรงหน้า“ของเราไม่มีเหรอ?”“วันนี้ผมไม่ค่อยอยากกินอะไร”เขาพูดพลางชำเลืองมองหลานชายที่ค่อย ๆ จิบนมดูเหมือนเขาจะอุ่นร้อนจนเกินไป“วันนี้เราเป็นอะไร ดูเหม่อ ๆ นะ”“ปะ...เปล่า แค่มีเรื่องให้ต้องคิดนิดหน่อย”ตอนนี้เขาระแวงเหลือเกินว่าพี่ไกรจะทำอย่างเมื่อเช้าต่อหน้าลูกชายตัวเอง แต่ตอนนี้เขาจะออกอาการไม่ได้จึงทำเพียงเก็บไม้เก็บมือให้ห่างจากกลางโต๊ะลงมาประสานอยู่บนต
1. นิยายเรื่องนี้อิงประวัติศาสตร์ในช่วงเวลาปีพ.ศ.2485 ทุกตัวละคร และ'บาง'สถานการณ์ที่เอ่ยถึงกล่าวถึงเป็นเพียงจินตนาการของผู้แต่งแต่เพียงเท่านั้น ซึ่งไม่มีเจตนาดูหมิ่นไม่ว่าจะในเชิงส่วนบุคคลหรือสถาบันเลยแม้แต่น้อย ผู้เขียนหาข้อมูล และเกลาเนื้อหาขึ้นด้วยความเคารพในประวัติศาสตร์อย่างแท้จริง2. บางส่วนของนิยายอาจมีเนื้อหาเกินความเป็นจริงเพื่ออรรถรสในการอ่าน3. นิยายเรื่องนี้เหมาะสำหรับนักอ่านที่ชื่นชอบ/สนใจคู่ที่มีอายุ (วัยทำงาน) , เคะกล้ามหนุบหนับ และความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องต่างสายเลือด4. บางส่วนในนิยายมีการกล่าวถึงองค์กรศาสนา, ความรุนแรง, สภาวะผิดปกติทางจิต, Fetish(BDSM)*ที่ผิดหลัก และสิ่งเสพติด/อบายมุขโปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .จำนวนตอนหลัก 35+10 ตอนจำนวนตอนพิเศษ 11+3 ตอนรวมทั้งหมด 59 ตอน***พิสูจน์อักษร 2 ครั้ง***อัปเดตครั้งล่าสุด 10/07/2024#
“อาด้วงออกไปทำงานแต่เช้าตลอดเลยนะครับ”เสียงเด็กชายวัยมัธยมต้นกล่าวทักญาติคนสนิทที่แม้ตอนนี้หน้าปัดนาฬิกาจะบอกเวลาตีสี่สี่สิบห้า กระนั้นคุณอาชายที่แปะชื่อนายสถานีก็ยังขยันขันแข็งสะพายกระเป๋าเป้ใบเดิมคว้ากุญแจเตรียมออกจากบ้าน ทั้งเมื่อครู่พวกเขานั่งทานมื้อเช้าด้วยกันสามคน วางจานอาหารพร้อมกัน แต่เจ้าตัวกลับทานหมดคนแรกทั้งที่ข้าวพูนจานกว่าใครแท้ ๆคุณอาเมื่อได้ยินเสียงบ่นพึมพำของหลานชายจึงใช้ฝ่ามือสีน้ำผึ้งยีเส้นผมสีน้ำตาลธรรมชาติกระเซิงด้วยความมันเขี้ยว“แซวอาได้ทุกวันนะกันต์”“ผมพูดจริงนี่ครับ อาด้วงไปแต่เช้าทุกวัน ทิ้งผมกับคุณพ่อให้กินข้าวต่อกันสองคน บางครั้งกันต์ก็อยากเดินออกจากบ้านพร้อมกันบ้างนะครับ”กันต์ธีร์พูดไปอมข้าวไป กล่าวถึงพฤติกรรมอันไม่เป็นที่พอใจของตัวเขาสักเท่าไรนัก เนื่องจากเขาสนิทกับคุณอามากที่สุดในบ้าน แม้ทีแรกใคร ๆ จะบอกว่าอาด้วงน่ากลัวเพราะมีรอยบากที่หางคิ้ว ลำคอ จะมีฝ่ามือที่เต็มไปด้วยรอยแผลเก่า หรือแม้ยามปกติอีกฝ่ายจะชอบทำหน้านิ่งแต่ใครรู้ว่าแท้จริงเจ้าตัวจิตใจดี ทั้งยังชอบพาเขาทำก
ด้วงเดินทางมาไม่นานก็ถึงสถานีกรุงเทพ เพราะบ้านหลักอยู่ห่างจากที่ทำงานเพียงข้ามถนนสองเส้น จึงเดินทางมาได้โดยง่ายไม่ต้องนั่งรถรางให้ยุ่งยากเวลานี้ท้องฟ้ายังมืดสนิทเห็นดวงจันทร์แจ่มชัด ผู้คน รถบนถนนบางตา ฝนที่ตกปรอย ๆ เมื่อคืนเมื่อสัมผัสกับผืนดินผืนหญ้าส่งกลิ่นหอมธรรมชาติโชยมาแตะจมูกชวนให้ใจสงบเงียบท่ามกลางบรรยากาศยามไร้ผู้คนในเวลาเช้าตรู่ขาสูงยาวก้าวอย่างมั่นคงบนทางเท้า มองเหล่าแมลงซึ่งสะท้อนแสงจากโคมไฟรายทางที่พวกมันตอม พลางคิดเรื่องซ้ำ ๆ เดิม ๆ ที่วนอยู่ในหัวเขามาร่วมสิบปีเขารักคนคนหนึ่งรักมาตลอดตั้งแต่วันที่จากลากันทีแรกเขาไม่รู้สึกถึงมัน แต่เมื่อถึงเวลาที่เจ้าตัวไม่สามารถอยู่ที่แห่งนั้นได้อีกต่อไป นั่นจึงเป็นเขาเองที่ต้องพาเจ้าตัวหนีขึ้นรถไฟจากไอ้พวกคนจัญไรเหล่านั้นย้อนนึกไปเท่าไรก็รู้สึกเจ็บปวด ภาพทุกภาพหวนคืนเข้ามาในห้วงความคิดอย่างไม่อาจหักห้ามได้เรือนไม้สีเข้มเก่าแก่สะท้อนแสงจันทร์ขาวนวลยามค่ำคืน สายลมเย็นยะเยือกพัดผ่านกระทบผิว เหล่าก้านไม้ใบไม้เสียดสีกันชวนให้ค่ำคืนสุดท้ายในที่แห่งนั้นน่าขนลุก และเสียงแปร่ง
ด้วงสูดลมหายใจเข้าเมื่อวิ่งมาถึงยังหน้าชานชาลาในการดูแล อีกไม่นานรถไฟขบวนแรกจากชุมพรก็จะเข้าเทียบ เขาต้องมีสมาธิจดจ่อกับหน้าที่และผู้คนเพื่อมองหาใครคนนั้นให้เจอทว่าเหมือนที่เขาแกล้งหัวเราะอาจารย์แกไปเมื่อครู่จะโดนเอาคืน เพราะจู่ ๆ หมวกประจำตำแหน่งก็ถูกถอดออกทำให้เขาต้องหันไปมองจนเห็นว่าเป็นคุณอุ่นที่ยืนถือหมวกเขาอยู่ก่อนจะรีบเดินเข้ามาสวมหมวกให้เหมือนเดิมเมื่อเห็นสีหน้าอันไม่พอใจ“ผมแกล้งหนักไปเหรอครับ?”“ถามมาได้”นายสถานีเม้มปากไม่พอใจ เขาหัวเราะนิดเดียวเองดันมาแกล้งถึงเนื้อถึงตัวกันเสียได้ ไหนเจ้าตัวบอกคนญี่ปุ่นเรียบร้อยตามขนบอย่างไรเล่า“วันนี้ขอให้โชคดีนะครับ”สิ่งที่อาจารย์กล่าวก่อนจะขึ้นตู้สื่อถึงคนที่เขากำลังเฝ้าตามหาอยู่ ถึงเขาจะไม่ได้ป่าวประกาศว่ากำลังตามหาคนแต่ก็ไม่ได้ปิดเป็นความลับแก่คนใกล้ชิดด้วงถอนหายใจเฮือกใหญ่ ดึงสติกลับมาอยู่กับเนื้อกับตัว กระชับปีกหมวกประจำตำแหน่งให้เข้าที่เพราะอีกไม่ถึงนาทีจะถึงเวลารถไฟรอบแรกของวันเข้าเทียบ นัยน์ตาสีดำประกายม่วงไร้แวว มองหัวรถจักร สดับฟังเรียงหวูดอย่างเหม่อลอย เสียงพ
ด้วงเดินออกมาด้วยความดีใจ ในที่สุดเขาก็เจอแล้วในเมื่อแก้วบอกว่าจะมาหาเขาวันพรุ่ง เช่นนั้นวันนี้เขาจะตะลอนหาที่นั่งสบาย ๆ รอบพระนครตระเตรียมแผนการเดินทางให้โฉมงามเพื่อนสมัยเด็กได้ประทับใจรวมไปถึงการบอกเรื่องนี้กับพี่ไกร เพราะเจ้าตัวเมื่อเช้าดูจะเป็นกังวลในเรื่องนี้มากโข ไว้เดี๋ยวคืนนี้เขาจะอยู่รอนั่งเล่าให้ฟัง ในเมื่อเป้าหมายในชีวิตเขาสำเร็จแล้ว คุณพี่ชายจะได้ไม่ต้องมาหนักใจในเรื่องไม่เป็นเรื่องอีก. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .“ผู้กำกับ เหม่ออีกแล้วนะครับเมื่อคืนนอนน้อยรึหรือไง?”“มาค้ง มาครับอะไรไอ้พูน เรียกชื่อฉันเหมือนเดิมเถอะ แสลงหู”พูนเพื่อนร่วมงานบุ้ยปาก ไอ้เขาก็อยากทำตัวมีมารยาทกับพ่อพันตำรวจเอกผู้เป็นที่เชิดหน้าชูตาแก่สน.เสียหน่อย ดันมาขัดขากันได้“ตกลงกันว่าจะเริ่มคดีเสือขามวันนี้ใช่ไหม?”“นอกเรื่อง”“กำลังจะเข้าเรื่อง”พูนกอดอกกลอกตามองบน เขาล่ะหน่ายใจกับท่าทีเก๊กขรึมข
ตกเย็นใกล้พลบค่ำด้วงรีบกลับบ้านมา วันนี้เขาอารมณ์ดีนัก ตั้งแต่รู้ว่าจะได้กลับไปพูดคุยกับแก้วอีกครั้งเขาก็ดีใจจนเนื้อเต้น คุณอาในชุดลำลองเสื้อโปโลสีเนยกางเกงน้ำตาลเดินเข้ามาด้วยรอยยิ้มประดับใบหน้าพลางยกเสื้อผ้าที่พนักงานแนะนำมา มีตั้งหลายตัวแต่ไปแค่พรุ่งนี้วันเดียวไม่รู้จะใส่ตัวไหน สงสัยคงต้องถามพี่ไกรเสียแล้ว“ด้วง วันนี้ไปไหนมาครับ”เสียงเข้มแว่วมาจากระเบียงชั้นสอง เป็นเจ้าของบ้านที่ยืนค้ำราวไม้ทักทายลงมา เจ้าตัวคงจะกลับบ้านมาสักพักแล้วจึงได้อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสียเรียบร้อย“ผมไปซื้อของที่ห้างมา”“ไหนเอาขึ้นมาให้พี่ดูซิ”จากประสบการณ์สอบปากคำตลอดหลายสิบปี หากอยากได้คำตอบที่ชัดเจน อย่าตั้งแง่กับผู้ต้องสงสัย ค่อย ๆ ใจเย็นตะล่อมถาม หากร้อนใจขึ้นประเดี๋ยวลูกไก่ในมือจะวิ่งหนีไปเสียฉิบ“เราลางานกะทันหันแบบนี้ ไม่กระทบเพื่อน ๆ ที่ทำงานเหรอ?”“วันนี้รอบรถถี่แค่ช่วงสาย ตกบ่ายมาก็น้อยแล้ว”“แล้วไม่กลัวโดนหักเงินเดือนเหรอ?”“ผมมีเงินเก็บเยอะ ไม่กลัวเรื่องแบบนั้นหรอก”“พี่เห็นเรายิ้มไม่หุบมาสักพักแล้ว
เสียงนกร้องภายนอกแว่วเข้ามาผ่านช่องเล็กช่องน้อยภายในห้องนอนขนาดย่อม เครื่องเรือน เครื่องนอนล้วนถูกคัดสรรมาอย่างเหมาะสมให้เขากับผู้อยู่อาศัย แต่เพราะเจ้าของห้องไม่ได้ฟุ้งเฟ้อ จึงมีแต่ของใช้จำเป็นเพียงโต๊ะ ตู้ เตียง และม่านมุ้งห้อยจากเพดานกันแมลงในตอนกลางคืนทว่าวันนี้นาฬิกาปลุกถูกตั้งให้ช้ากว่าปกติเพราะนี่นับเป็นวันแรกที่คนบนเตียงจะได้ออกไปใช้ชีวิตกับเพื่อนที่รอมานานนับสิบปี จนเมื่อเสียงกริ๊งดังไม่ทันใดมันก็ถูกกดหยุดลงพร้อมนายสถานีร่างโปร่งที่ลุกขึ้นมาบิดกายยืดเส้น ดวงหน้าอิ่มเอิบประดับรอยยิ้ม แต่เช้าตรู่พลางมองเสื้อผ้าของวันนี้ที่ถูกแขวนเตรียมไว้ตั้งแต่เมื่อคืนด้วงสูดลมหายใจเข้าระหว่างนั่งเล่นให้ร่างกายตื่นเต็มตา แล้วจึงกระเด้งตัวออกจากเตียงไปผลัดผ้าผลัดผ่อนบ้านหลังนี้กว้างโอ่อ่าพอจะทำห้องส่วนตัวให้แก่ทุกคนรวมไปถึงห้องอาบน้ำในทุกห้องนอนเช่นกัน เพิ่มความสะดวกสบายให้สมาชิกในบ้านที่ต้องทำกิจในเวลาไล่เลี่ยกันกระจกบานเล็กหน้าโต๊ะสะท้อนร่างสูงโปร่งประดับลอนกล้ามเนื้อสีเข้มกระนั้นก็พอมีช่วงเอวไม่ตีบตันไร้สัดส่วนด้วงรีบเข้าไปรดน้ำทำความสะ