Share

บทที่ ๔ ส่อแวว (๕๐%)

“วันนี้คุณดลรวีก็มาช้าเหรอครับ?”

ดันกิเดินมาสนทนากับเจ้าแผนที่คุณดลรวีเล่าให้ฟังว่าเป็นเพื่อนคนสนิท เขาซึ่งมาที่นี่ทุกเช้าก็มักจะได้สนทนากับนายสถานียิ้มเก่งคนนั้นเป็นประจำ ได้ยินว่าเจ้าตัวเจอคนที่รอมาตลอดแล้วไม่รู้แน่ชัดว่ามันจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เจ้าตัวมาช้ากว่าปกติหรือเปล่า

“เปล่าครับ มาเช้ากว่าใครเพื่อนเลย นู่นนั่งอยู่นู่น”

แผนกอดอกบุ้ยคางยังเจ้าเพื่อนที่นั่งเหงาเหม่อมองทางรถไฟมาตั้งแต่ย่ำค่ำ ทำเอาเขาสงสัยไม่ใช่น้อย ว่าเจอก็เจอแล้วทำไมยังนั่งเป็นหมาหงอยอยู่อีก

“ขอบคุณครับ”

แผนมองแผ่นหลังของคุณครูชาวญี่ปุ่นวิ่งต้อย ๆ ไปทางเจ้าเพื่อนรักก็นึกอิจฉา เขาสิไม่รู้ทำไมไม่ได้คนสติดี ๆ มาเดินตามบ้าง

ดันกิสาวเท้าด้วยความเร็วก่อนจะค่อย ๆ ชะลอลงเมื่อเข้าใกล้เก้าอี้ไม้ข้างเสา เขาหอบเอาลมหายใจเข้าปอดพลางสังเกตสีหน้าของคุณดลรวี แต่ไม่รู้ทำไมวันนี้มันถึงได้ดูหม่นหมองไม่ต่างจากท้องฟ้ายามมีเมฆฝน

“คุณอุ่น มาตั้งแต่เมื่อไหร่เหรอครับ ผมไม่รู้ตัวเลย”

“ผมพึ่งมา ทำไมวันนี้คุณถึงดูเศร้า ๆ ล่ะครับ”

“มันอธิบายค่อนข้างยากน่ะครับ...”

“เรื่องส่วนตัวใช่ไหมครับ”

ด้วงไม่ตอบเป็นคำพูด ทำเพียงหลบเลี่ยงสายตาและพยักหน้าเบา ๆ เขาจึงเริ่มเล่าเรื่องที่เขาเจอมาให้ฟังโดยสังเขป ไม่คาดคิดเลยว่าคนที่เขารักจะมีเจ้าของหัวใจแล้ว แต่กาลเวลาผ่านมาป่านนี้ไม่มีสิแปลก ทั้งทหารคนนั้นก็ดูจะหึงหวงเจ้าแก้วมากด้วย

“ถึงจะไม่รู้ว่าเป็นเรื่องอะไร แต่ผมเสียใจด้วยนะครับ”

“ฮ่า ๆ คุณนี่คล้ายกับพี่ชายผมเลยนะครับ”

“ตรงไหนเหรอครับ?”

“ก็ตรงที่...ชอบทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่”

พี่ไกรมักเอาใจใส่เขาเสมอแม้แต่เรื่องขี้ปะติ๋วอย่างการหกล้มได้แผลถลอกยังเคยโวยวายวิ่งวุ่นหาน้ำยาทาเสียยกใหญ่ พอมาเรื่องน้องชายอกหักก็นั่งปลอบจนถึงเที่ยงคืน แล้วมันจะไปต่างจากคุณอุ่นที่แค่เล่าเรื่องให้ฟังยังทำหน้าเศร้าเสียยิ่งกว่าเจ้าของเรื่องตรงไหนกัน

เมื่อกล่าวไปเช่นนั้นเขาก็โดนคุณอุ่นใช้นิ้วยันหน้าผากไปทีหนึ่ง ถึงมันจะแค่เบา ๆ เพราะเจ้าของมือยั้งแรงเอาไว้แต่คุณอุ่นก็ดูจะไม่พอใจนักที่โดนแซวแบบนั้น

เขาจำได้ว่าคุยกับอาจารย์แกล่าสุดเห็นจะเป็นเมื่อสองสัปดาห์ก่อน ไม่ใช่เวลาที่นานแต่ก็ไม่ใช่เวลาที่สั้น พอได้กลับมาคุยเขาจึงรู้ว่าเวลาที่ได้สนทนากับเจ้าตัวไม่ว่าจะเรื่องมีสาระหรือไร้สาระ เพียงแค่ไม่กี่สิบนาทีก็สามารถทำให้เขารู้สึกโปร่งโล่งสบายขึ้นมาอย่างน่าฉงน

แต่มันยังมีอีกเรื่องที่เขาหนักใจและไม่สามารถเล่าให้คุณอุ่น ไอ้แผน หรือแม้แต่พี่ไกรฟังได้ เพราะมันคือเรื่องของตัว ‘พี่ไกร’ เอง

เขาสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายแปลก ๆ เวลาอยู่กับพี่สองต่อสอง

พวกเขาโดยพื้นฐานตั้งแต่คุณพ่อท่านรับอุปการะเขามาเป็นบุตรบุญธรรมก็สนิทชิดเชื้อเล่นถึงเนื้อถึงตัวกันมาตลอด การกอดหรือการจับมือจึงไม่ใช่เรื่องผิดแผกในสายตาเขา แต่มาพักนี้เจ้าพี่เริ่มเข้าหามากขึ้นแม้แต่ยามปกติสนทนากันก็พลอยหาช่องจับมือถือแขน ทีแรกเขาก็ว่าคิดไปเอง แต่ยิ่งใช้ชีวิตไปเรื่อย ๆ มันยิ่งหนักข้อขึ้นจนเขาเริ่มไม่สบายใจ ดังเช่นเหตุการณ์ที่พึ่งเกิดขึ้นเมื่อเช้า

“น้องกันต์ สะพายกระเป๋าลงไปรอข้างล่างได้เลยนะ เดี๋ยวอาถือของทำกระทงตามลงไป”

ด้วยช่วงนี้เขาไม่มีความจำเป็นจะต้องไปสถานีแต่เช้าอีกแล้ว แต่ด้วยติดนิสัยตื่นเช้าจึงอาสาเดินไปส่งหลานชายที่โรงเรียนนับจากนี้

ในตอนนั้นเขากำลังตรวจทานสัมภาระในกระเป๋าตัวเองทันใดนั้นก็มีมือเข้าคล้องเอวกระชับกอดหลวมจากทางด้านหลัง เป็นพี่ไกรที่เข้ามาแนบชิด

เขาพยายามทำทุกอย่างให้เป็นธรรมดาปกติทว่ายิ่งอยู่เฉย ๆ เหมือนอีกฝ่ายจะยิ่งรุกล้ำขึ้นไปเรื่อย ๆ

“พี่...ทำอะไรน่ะ”

“กอดเราไงครับ”

“ปล่อย มันไม่ดี”

เมื่อเขาออกปากปฏิเสธนั่นจึงเป็นจังหวะที่เจ้าตัวร่นถอยไป และทำประหนึ่งว่าเรื่องเมื่อครู่มันไม่เคยเกิดขึ้น ทั้งยังกล่าวประโยคให้ชวนคิดออกมา

‘พี่ดีใจที่เราไม่ไปเดินตามคนคนนั้นแล้ว’

‘เรามาอยู่กับพี่ดีกว่า’

ทั้งหมดแม้ผิวเผินจะดูเป็นการพูดฉบับครอบครัวสามัญแต่เมื่อผนวกรวมกับพฤติกรรมดังกล่าว เขาไม่อาจคิดว่ามันจะเป็นรูปประโยคที่พี่ชายพูดกับน้องชายได้

แต่ต่อจะให้น่าคิดอย่างไร มันก็ไม่ควรเพราะในสายตาเขามันผิดศีลธรรม พวกเขาเติบโตมาฉันพี่ฉันน้องการเปลี่ยนรูปแบบความสัมพันธ์เป็นอื่นนั้นเขาทำใจยอมรับไม่ได้

“เฮ้อ...”

ด้วงถอนหายใจระบายความหนักอก ดีหน่อยที่วันนี้รอบรถเยอะแม้จะเหนื่อยกายสักหน่อยแต่การเดินไปมาคิดแต่เรื่องงานกับสัญญาณรถไฟก็ช่วยไม่ให้เขาจมปลักอยู่กับห้วงความคิดบ้า ๆ นี่ เอาเป็นว่าวันนี้ก็ตั้งใจทำงาน และกำจัดปัญหาไม่เป็นเรื่องออกไปจากหัวเสีย

. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . 

*แกร๊ง* เสียงโลหะกระทบกับห้องขังดังขึ้นเมื่อประตูกรงขังแง้มปิดลงอย่างไม่เบาแรงนัก ภายในห้องปรากฏเป็นภาพนักโทษในสภาพฟกช้ำดำเขียว แต่ผู้คุมกลับไม่ยี่หระปล่อยปละคนในตะรางนอนแผ่อยู่เช่นนั้นก่อนจะเดินออกมาล้างคราบของเหลวสีแดงสกปรกบริเวณข้อนิ้ว

เมื่อวานด้วงพึ่งทำแผลให้แท้ ๆ มีรอยเพิ่มอีกแล้ว

“อ้าว ผู้กำกับ ไอ้คนนั้นมันอาละวาดอีกแล้วเหรอ?”

“ใช่”

“ทั้งสน. ก็มีแต่คุณนั่นแหละที่แก้ปัญหานี้ได้”

“อือ”

“เอ้อ เห็นว่าพวกเขาจะไปกันแล้วนะครับ”

เพื่อนร่วมงานเดินเข้ามาในห้องสุขาพลางถามหัวหน้าทีมที่จะไปร่วมปราบโจรผู้ร้ายด้วยกัน

“เดี๋ยวตามไป”

วันนี้เป็นวันที่เขาต้องออกไปปฏิบัติการตามแผนที่วางเอาไว้โดยการวางหมากแสดงละครสร้างภาพให้พูนเป็นโจรเพียงคนเดียวที่สามารถกำราบตำรวจนครบาลลงได้พร้อมขโมยทรัพย์สมบัติมากองรวมกันในคฤหาสน์เศรษฐีชัยฤกษ์เพื่อประกาศความสามารถขอเข้าร่วมชุมเสือขามที่ชัดแล้วว่ามีแผนบุกปล้นในวันนี้เวลาประมาณสี่ทุ่ม

หากไม่สำเร็จหรือโดนจับได้ พวกเขา ณ ที่ตรงนั้นแค่เข้าจับกุมดึงตัวพวกมันมาเค้นคอสอบปากคำ ถึงจะแย่กว่าแผนแรกตรงที่โจรกลุ่มอื่น ๆ จะรู้ถึงการขยับตัวของตำรวจก็ตาม ดังนั้นทางที่ดีคือการตั้งใจทำแผนแรกให้สำเร็จ

ดังนั้นในตอนนี้นายตำรวจทุกคนจึงเข้าประจำจุด และเริ่มส่งเสียงตะโกนโวยวายเมื่อหน่วยติดตามให้สัญญาณถึงการมาของกลุ่มโจรก่อนที่ทุกอย่างจะเงียบลงเมื่อรถของเสือขามแล่นมาจอดหน้าประตูทางเข้า

ไกรวิชญ์แอบหลบสังเกตการณ์อยู่บริเวณมุมอับข้างบันไดโดยมีเจ้าพูนตัวเอกนั่งรอเสือขามอยู่บนกองเงินกองทองที่เขาขอยืมมาจากส่วนกลาง

*ตึก* เสียงรองเท้าหนังคู่เก่ากระทบพื้นไม้เคลือบเงาเดินกระชับโกร่งไกปืนเข้ามา พลางเหยียดมองตำรวจที่นอนจมกองเลือดเป็นทางไปจนถึงหน้าบันได ทว่าสิ่งที่สะดุดตาที่สุด ณ ที่นี้คืออ้ายอีที่มันนั่งขัดสมาธิยิ้มสบายใจอยู่บนกองทองคำ

“มึงเป็นใคร?”

พูนกระตุกยิ้ม ก่อนจะหยัดตัวลุกขึ้นกระโดดลงมายืนข้างทองคำแท่งสูงเท่าเอว

“เป็นโจร เหมือนพวกคุณนั่นแหละ”

ไกรวิชญ์ที่ถือปืนเตรียมพร้อมอยู่ยืนเก๊กซิม จะไปพูดสุภาพกับมันทำไมล่ะวะ!

“คิดจะหักหน้าข้ารึไง”

“เปล่าครับ แค่...มาแสดงความสามารถให้ลูกพี่ดู เผื่อจะรับน้องชายคนนี้เข้ากลุ่ม”

พูนเดินเข้าไปใกล้อย่างใจเย็น เล่นหูเล่นตาให้สมกับเป็นโจรในมายาคติแล้วจึงหยุดยืนค้ำโต๊ะประจันหน้ากับชายสูงอายุ หัวหน้าชุมเสือขาม

“สมบัติพวกนั้นผมยกให้ทั้งหมด”

“เป็นคนไม่รู้จักหัวนอนปลายตีน คิดว่ากูจะให้มึงเข้าชุมรึ”

“ก็รู้จักซะสิ รู้จักว่าผมสามารถล้มตำรวจได้ทั้งกอง ขนสมบัติออกมาตั้งพะเนินกลางบ้านได้ แค่นี้...ยังไม่พอเหรอครับ?”

ในตอนนี้ตำรวจทุกนายต่างพากันเคร่งเครียดไม่รู้ว่าการเดิมพันครั้งนี้จะสำเร็จผล เพราะหากพวกมันรู้ตัวขึ้นมาละก็ไม่ใช่แค่โจรผู้ร้ายจะระแวดระวังมากขึ้น แต่พวกเขาจะเสียตำรวจที่ใช้สอดแนมได้ไปเสียเปล่า

“ไอ้มิ่ง”

“ครับ!”

“เก็บของขึ้นรถ ส่วนไอ้หน้าอ่อนนี่...เดี๋ยวกูคุยเอง

สำเร็จ!

พูนเดินตามหลังผ่านโจรคนอื่นไป แม้จะถูกจับจ้องด้วยสายตาไม่เป็นมิตร แต่ก็ช่างมันปะไร เป็นเพื่อนกันครู่เดียวเขาก็ต้องกลับไปใส่เครื่องแบบตำรวจยืนส่งยิ้มให้พวกมันผ่านลูกกรงอยู่แล้ว

เนื่องจากพูนต้องขึ้นรถของพวกมันไป จึงเป็นส่วนของตำรวจส่วนภูมิภาคซึ่งชำนาญพื้นที่ขับรถแอบตามเพื่อหาพิกัดแหล่งกบดาน

หลังจากจบภารกิจขั้นตอนแรกเหล่าตำรวจจึงต่างพากันแยกย้ายกันไปตามเส้นทางที่เขียนเอาไว้เพื่อไม่ให้เป็นที่สังเกต แน่นอนว่าเขาหลังจากเดินพ้นถนนสายหลักก็ตรงดิ่งกลับบ้านในทันที เพราะกว่าสถานการณ์เมื่อครู่จะสิ้นสุดก็ปาไปห้าทุ่ม ป่านนี้ด้วงไม่รู้จะยังอยู่รอเขาหรือเปล่า

ทว่าเมื่อวิ่งตรงมาถึงหน้าเรือนไม้สีขาวกลับเห็นว่าบริเวณชั้นสองยังคงเปิดไฟสว่างโร่อยู่ ไกรวิชญ์จึงผลิยิ้มบางควักกุญแจขึ้นไขประตูรั้วก่อนจะรีบล็อกปิดให้แน่น วิ่งขึ้นบันไดมาด้วยความผาสุกกะจะเห็นหน้าน้องชายให้ชื่นใจ

ทว่าเขากลับเห็นเจ้าลูกชายนั่งแกว่งขาอยู่

“กันต์ ทำไมป่านนี้แล้วลูกยังไม่นอน”

“ผมนอนไม่หลับ อาด้วงเลยบอกว่าจะลงไปอุ่นนมมาให้ครับ”

“เรียนเป็นยังไงบ้าง”

ไหน ๆ ก็ต้องนั่งรอแล้ว หาเรื่องถามสารทุกข์สุกดิบของลูกชายเอาไว้เสียหน่อย

“ปกติดีครับ แต่ผมไม่ค่อยเข้าใจวิชาภาษาอังกฤษ”

“ไม่เป็นไร เราพึ่งขึ้นปีแรก ไว้เดี๋ยวพ่อหาครูมาสอนให้ที่บ้าน”

“ครับ...”

Related chapter

Latest chapter

DMCA.com Protection Status