Home / LGBTQ+ / ดลรวีที่รัก / บทที่ ๑ คนในความทรงจำ (๑๐๐%)

Share

บทที่ ๑ คนในความทรงจำ (๑๐๐%)

last update Last Updated: 2024-10-29 18:10:04

ด้วงเดินทางมาไม่นานก็ถึงสถานีกรุงเทพ เพราะบ้านหลักอยู่ห่างจากที่ทำงานเพียงข้ามถนนสองเส้น จึงเดินทางมาได้โดยง่ายไม่ต้องนั่งรถรางให้ยุ่งยาก

เวลานี้ท้องฟ้ายังมืดสนิทเห็นดวงจันทร์แจ่มชัด ผู้คน รถบนถนนบางตา ฝนที่ตกปรอย ๆ เมื่อคืนเมื่อสัมผัสกับผืนดินผืนหญ้าส่งกลิ่นหอมธรรมชาติโชยมาแตะจมูกชวนให้ใจสงบเงียบท่ามกลางบรรยากาศยามไร้ผู้คนในเวลาเช้าตรู่

ขาสูงยาวก้าวอย่างมั่นคงบนทางเท้า มองเหล่าแมลงซึ่งสะท้อนแสงจากโคมไฟรายทางที่พวกมันตอม พลางคิดเรื่องซ้ำ ๆ เดิม ๆ ที่วนอยู่ในหัวเขามาร่วมสิบปี

เขารักคนคนหนึ่ง

รักมาตลอดตั้งแต่วันที่จากลากัน

ทีแรกเขาไม่รู้สึกถึงมัน แต่เมื่อถึงเวลาที่เจ้าตัวไม่สามารถอยู่ที่แห่งนั้นได้อีกต่อไป นั่นจึงเป็นเขาเองที่ต้องพาเจ้าตัวหนีขึ้นรถไฟจากไอ้พวกคนจัญไรเหล่านั้น

ย้อนนึกไปเท่าไรก็รู้สึกเจ็บปวด ภาพทุกภาพหวนคืนเข้ามาในห้วงความคิดอย่างไม่อาจหักห้ามได้

เรือนไม้สีเข้มเก่าแก่สะท้อนแสงจันทร์ขาวนวลยามค่ำคืน สายลมเย็นยะเยือกพัดผ่านกระทบผิว เหล่าก้านไม้ใบไม้เสียดสีกันชวนให้ค่ำคืนสุดท้ายในที่แห่งนั้นน่าขนลุก และเสียงแปร่งหูของอดีตเพื่อนคนสนิทที่เล็ดลอดออกมาจากเรือนของไอ้โสโครกนั่น

ว่าแล้วมือทั้งก็ยกขึ้นกุมอย่างเป็นไปเอง รอยแผลขีดข่วนจากของมีคมเมื่อนานมาแล้วยิ่งพาให้นึกถึงการกระทำของกลุ่มคนอันเลวทรามที่กระทำต่อเขา

แม้เวลาจะผ่านมาจวนจะยี่สิบปี ความเจ็บปวดของโลหะคมยามมันบาดลึกลงไปบนเนื้อมือยังคงจดจำได้ไม่มีวันลืม รอยฟกช้ำจากการรุมซ้อมทุบตีทุกวันนี้แม้จะหายสนิทแต่เมื่อส่องกระจก จิตสำนึกมันยังคงฉายภาพรอยพวกนั้นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน เป็นบุญของเขากับแม่แล้วที่หนีออกมาจากที่แห่งนั้นได้ทันทีเมื่อเกิดเรื่อง ทั้งยังมีคนรับอุปการะ

ดวงตากลมประกายสีม่วงกลาโหมส่อแววเศร้าหมองก้มมองลายบล็อกอิฐบนพื้นถนน รู้ตัวอีกทีเขาก็มาถึงที่ทำงานเสียแล้ว เดินเข้ามาถึงข้างในสิ่งที่เขามองเป็นอย่างแรกคือหน้าปัดนาฬิกาเพื่อตรวจสอบให้แน่ใจว่าเขาไม่ได้มาทำงานสายแล้วจึงเดินไปยังเคาน์เตอร์ตอกบัตรเข้างาน

จุดจำหน่ายตั๋วแต่ก่อนเปิดหกโมงถึงบ่ายเพราะไม่สามารถเดินรถในช่วงกลางคืนได้เนื่องจากระหว่างการเดินรถนั้นไม่มีไฟรายทางอย่างทางเท้าพระนครบรรยากาศมืดครึ้มเกรงว่าเดินทางผ่านป่าเขาจะเกิดอันตราย แต่เดี๋ยวนี้เข้าใกล้ปีห้าร้อยเทคโนโลยีดีขึ้นโขเมื่อเทียบกับสมัยเขายังอยู่ในวัยเยาว์ ทำให้บางเส้นทางสามารถเดินทางในเวลาพลบค่ำได้แล้ว จุดจำหน่ายตั๋วจึงถูกปรับเป็นหกโมงเช้าถึงสองทุ่ม

นี่ก็ใกล้เวลาที่รถไฟขบวนแรกจะเข้าเทียบชานชาลา ผู้คนที่พักค้างคืน ณ โรงแรมราชธานีต่างพากันส่งสัมภาระลงมาจากอาคารตะวันตกเก่าแก่กว่าหลายสิบปี เป็นสิ่งแวดล้อมที่ดูจะครึกครื้นตั้งแต่ไก่ยังไม่ขัน

ขณะที่ผู้โดยสารพูดคุยถึงจุดหมายปลายทางอย่างมีความสุขในทางกลับกันเมื่อเขามองไปตามแนวหมอนรางจนสุดสายตากลับมีแต่ความเศร้าหมอง ไม่ใช่ว่าเขาไม่มีความสุขที่ได้มาทำงานนี้ แต่นี่คือสถานที่สุดท้ายที่เขาบอกให้บุคคลอันเป็นที่รักหนีมา

เขาคาดหวังอยู่ในทุกวันที่ก้าวเท้าเข้ามาทำงาน หวังให้คนคนนั้นเดินลงมาจากตู้รถไฟเมื่อเสียงหวูดหยุดลง หรือหวังให้มีคนคนนั้นเดินสวนทางขึ้นตู้แต่มันกลับไม่มีเลย ไม่มีใครหน้าคุ้น ไม่มีใครจะเทียบเท่าคนคนนั้นได้เพียงสักนิด

"ไอ้ด้วง มาเช้าอีกแล้วนะเอ็ง พักบ้างก็ได้ ฮ่า ๆ "

เสียงเจี๊ยวจ๊าวคุ้นหูของเพื่อนคนสนิทเข้ามาคล้องคอทักทายด้วยความสดใสร่าเริง ใบหน้าธรรมดาทั่วไปผิวสีเปลือกไข่ส่วนสูงพอกับเขา กลับกันเมื่อเทียบกับเขาที่พี่ชายบอกว่ายิ้มเก่งแล้วเจ้าตัวยิ้มได้ทั้งวัน พูดได้ทั้งวัน สนิทกับคนไปทั่ว และต่อบทสนทนาได้อย่างลื่นไหล เป็นคนที่มีมนุษยสัมพันธ์ดีเกินมนุษย์

“เอ็งอย่ามาจับน่า รำคาญ”

ด้วงกล่าวอย่างภาษาคนสนิท พวกเขารู้จักกันมาตั้งแต่สมัยเรียนช่างกลทั้งยังพร้อมใจมาสมัครงานในตำแหน่งเดียวกัน จะมีอะไรเหมาะเจาะไปมากกว่านี้

"กะจะเก็บไว้ให้เมียจับอย่างเดียวเลยสิ!"

“เมียอะไรไอ้แผน กูไม่คิดจะมี”

เจ้าของชื่อทำหน้ามุ่ย นั่งยองลงกับพื้นเงยหน้าสบตาพ่อหนุ่มหน้ายักษ์ แรกเริ่มเดิมทีจนถึงการเป็นพนักงานฝ่ายปฏิบัติก็ไม่เห็นเจ้าตัวจะใฝ่รักหญิงสักคน ทั้ง ๆ ที่มันเองก็ใช่ว่าจะไม่มีสาวมาวอแว กลับกันเห็นแบบนี้เพื่อนเขาเป็นคนน้ำจิตน้ำใจดี เห็นใครเดือดร้อนเป็นไม่ได้ต้องเข้าไปช่วยเหลือตรงข้ามกับหน้าตาที่ใครก็ต่างกลัว

"แล้วคนที่เอ็งรอเขากลับมาอยู่เนี่ย ไม่ได้กะจะเอามาทำเมียรึ?"

"เงียบได้แล้ว คนอื่นเขามอง"

"แหม เนียนเลยนะ"

แผนลากเสียงยาวยกมือป้องปากแซะแซวเพื่อนขี้เก๊ก เขามองไปรอบ ๆ แต่ละคนที่ลงมาจากโรงแรมไม่นั่งกินมื้อเช้าก็นั่งสัปหงกกันทั้งนั้นจะมีใครมาสนใจบทสนทนาฉันเพื่อนระหว่างพวกเขากันเล่า

ด้วงบ่ายเบี่ยงไม่ตอบ เบนหน้าเมินสายตาของเพื่อนร่วมงานที่จ้องมา นายสถานีมาดเข้มลุกขึ้นกระชับปีกหมวกประจำตำแหน่งให้เข้าที่เพราะอีกไม่กี่นาทีจะถึงเวลารถไฟรอบแรกของวันเข้าเทียบ

สีดำดุจปีกกาหมองสนิทไร้แวว มองหัวรถจักร สดับฟังเรียงหวูดอย่างเหม่อลอย เสียงพูดคุยเซ็งแซ่อื้ออึงอยู่ในหัวผนวกกับเสียงเดินของผู้คนนับสิบนับร้อยซึ่งเดินขวักไขว่ ไม่ใช่แค่คนไทยแต่หลังจากรัฐบาลไทยเข้าร่วมเป็นพันธมิตรกับญี่ปุ่นเมื่อปีที่แล้ว ก็มีชาวญี่ปุ่นเดินพลุกพล่านกันมากขึ้นโดยเฉพาะทหารไม่ว่าจะนอกเครื่องแบบหรือในเครื่องแบบก็ตาม แต่ก็ยังมีอีกประเภทที่เข้ามาพักอาศัยประกอบอาชีพในประเทศก่อนหน้านั้นอยู่

“คุณดลรวี อรุณสวัสดิ์ครับ”

เสียงทุ้มต่ำกล่าวประโยคสำเนียงติดภาษาบ้านเกิดสะท้อนบุคลิกภาพภูมิฐานจิตใจเอื้ออารีของผู้เป็นอาจารย์ได้ดีเทียบเท่าแว่นกรอบสี่เหลี่ยมบนใบหน้าคมสันรวมไปถึงทรงผมดำขลับหวีจนเนี้ยบ และกระเป๋าเอกสารห้อยป้ายชื่อ ‘暖機’ (ดันกิ) อาจารย์แกเคยบอกกับเขาว่าชื่อนี้ในภาษาไทยแปลว่าความอบอุ่น แต่เพราะเขาบอกว่าพูดคำภาษาต่างประเทศแล้วไม่คุ้นปากจึงสามารถเรียกว่าคุณอุ่นได้

“อรุณสวัสดิ์ครับคุณอุ่น รถไฟจะออกอีกประมาณ ๑๕ นาทีเชิญนั่งพักก่อนนะครับ”

ชายสัญชาติญี่ปุ่นพยักหน้ารับคำก่อนจะเดินไปนั่งตามคำของนายสถานีผิวสีน้ำผึ้ง ในตอนที่เขามาที่นี่แรก ๆ ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร จะเดินทางไปไหนคนเดียวก็ลำบาก ยิ่งในสถานีที่ผู้คนวุ่นวายเขาก็ไม่รู้จะถามใคร เพราะแค่เห็นว่าเป็นคนญี่ปุ่นก็โดนเหยียดหยาม ไม่ก็ถูกมองด้วยสายตาอันไม่เป็นมิตร แต่กับนายสถานีคนนี้กลับไม่ใช่

ตอนนั้นเขาไม่รู้ว่าจะขึ้นลงสถานีไหน จึงตระเวนถือกระดาษเขียนด้วยลายมือภาษาไทยเข้าไปถามแต่เจ้าหน้าที่บางคนก็ไม่อยากคุย บางคนก็วิ่งหนี จะมีก็แค่คุณดลรวีที่พยายามสื่อสารหาทางช่วยแม้ว่าตอนนั้นเขาจะยังพูดภาษาไทยไม่คล่องก็ตาม

“อาจารย์เดินทางบ่อยจังเลยนะครับ”

ด้วงประสานงานกับเพื่อนร่วมงานเสร็จเมื่อเห็นว่าเหลือเพียงแต่นั่งรอเวลาก็รวบธงแดงเขียวมานั่งสนทนาข้าง ๆ ฆ่าเวลาเสียเลย

“มหาวิทยาลัยผมอยู่ห่างจากที่นี่ครึ่งชั่วโมง”

“ผมได้ยินว่าเขาเริ่มเรียนกันตอนช่วงสาย ทำไมถึงออกจากบ้านตั้งแต่หกโมงล่ะครับ?”

“ผมต้องไปเตรียมแผนการสอน เอกสารส่วนใหญ่ผมก็อยู่ที่นู่น สะดวกกว่าเอากลับมาทำที่บ้านครับ”

“อ๋อ”

นายสถานีหนุ่มอ้าปากร้องอ๋อ ทำหน้าทำตาสนอกสนใจคิดไตร่ตรองตามทำให้ผู้เป็นคุณครูยกยิ้มขึ้นตามด้วยความเอื้อเอ็นดูอย่างเป็นไปเอง

“แล้วสรุปที่ผมให้ไปครั้งก่อนได้ใช้บ้างไหมครับ?”

คุณอุ่นหมายถึงสมุดจดประโยคสำเร็จรูปสำหรับใช้สื่อสารกับชาวต่างชาติ มีทั้งจีน อังกฤษแล้วก็ญี่ปุ่น

“ได้ใช้เยอะกว่าที่คิดครับ ปกติจะพูดแต่ละคำต้องวิ่งถามคนอื่น ๆ พัลวัน ขอบคุณอาจารย์จริง ๆ นะครับ”

“พัน...ละวัน?”

“แปลว่าวุ่นวายครับ เพราะผมต้องวิ่งหาศัพท์ไปมา สวนทางคนนู้น วิ่งผ่านคนนี้ก็เลยวุ่นวาย”

“ผมไม่เคยได้ยินนักศึกษาใช้คำนี้”

“คงเพราะผมเริ่มแก่แล้วมั้งครับ วัยรุ่นสมัยนี้ใช้คำแปลกใหม่ขึ้นเยอะ”

“ผมเห็นด้วยครับ”

“คุณอุ่นเห็นด้วยที่ผมแก่ หรือเห็นด้วยที่ผมบอกว่าวัยรุ่นสมัยนี้ใช้คำไม่คุ้นหูกันครับ”

“มะ...หมายถึงอย่างที่สองต่างหากล่ะครับ ผมจะไปบอกว่าคุณแก่ได้ยังไง”

คุณครูชาวญี่ปุ่นล่กไปไม่เป็นไม่รู้เก็บมือไม้ไว้ตรงไหน เขาไม่พูดทักเรื่องอายุกับคนรุ่นราวคราวเดียวกันหรอก

“ฮ่าฮ่าฮ่า ผมแค่ล้อเล่นเอง ไม่ต้องพูดขนาดนั้นก็ได้”

ด้วงส่งเสียงหัวคิกคักต่อการกระทำอันน่าเอ็นดูของอาจารย์ แม้เจ้าตัวจะแก่กว่าเขาถึงห้าปีแต่ก็ยังมีมุมน่าขบขันโผล่ออกมาให้เห็นเสมอ

“ถ้าเป็นนักศึกษาของผม คุณคงโดนหักคะแนนจิตพิสัยไปแล้วนะครับ”

“แค่เพราะผมหัวเราะคุณน่ะเหรอ?”

“เพราะคุณทำผมอายต่างหาก”

“น่าอายตรงไหน น่ารักจะตาย”

ด้วงยังคงพูดไปกลั้วหัวเราะไปไม่หยุด ดันกิเห็นคนเด็กกว่าไม่ยอมเลิกจึงคิดจะดีดหน้าผากนั้นเบา ๆ สักที แต่เจ้าตัวดันหูตาไว รีบรวบก้านธงลุกออกไปจากที่นั่งเสียก่อน ทำเอาเขาต้องกระชับกรอบแว่นถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ สิ่งที่เหมือนกันระหว่างนักศึกษากับนายสถานีคนนี้คงจะเป็นความแก่นซนกระมัง

และเมื่อคิดกลับไปยังบทสนทนาเมื่อครู่ หากเขาใช้คำว่า ‘เขิน’ น่าจะสื่อสารได้ตรงจิตตรงใจมากกว่า ไว้คราวหน้าหากมีโอกาสค่อยพูดก็แล้วกัน

Related chapters

  • ดลรวีที่รัก   บทที่ ๒ สนธยาช้ำใจ (๕๐%)

    ด้วงสูดลมหายใจเข้าเมื่อวิ่งมาถึงยังหน้าชานชาลาในการดูแล อีกไม่นานรถไฟขบวนแรกจากชุมพรก็จะเข้าเทียบ เขาต้องมีสมาธิจดจ่อกับหน้าที่และผู้คนเพื่อมองหาใครคนนั้นให้เจอทว่าเหมือนที่เขาแกล้งหัวเราะอาจารย์แกไปเมื่อครู่จะโดนเอาคืน เพราะจู่ ๆ หมวกประจำตำแหน่งก็ถูกถอดออกทำให้เขาต้องหันไปมองจนเห็นว่าเป็นคุณอุ่นที่ยืนถือหมวกเขาอยู่ก่อนจะรีบเดินเข้ามาสวมหมวกให้เหมือนเดิมเมื่อเห็นสีหน้าอันไม่พอใจ“ผมแกล้งหนักไปเหรอครับ?”“ถามมาได้”นายสถานีเม้มปากไม่พอใจ เขาหัวเราะนิดเดียวเองดันมาแกล้งถึงเนื้อถึงตัวกันเสียได้ ไหนเจ้าตัวบอกคนญี่ปุ่นเรียบร้อยตามขนบอย่างไรเล่า“วันนี้ขอให้โชคดีนะครับ”สิ่งที่อาจารย์กล่าวก่อนจะขึ้นตู้สื่อถึงคนที่เขากำลังเฝ้าตามหาอยู่ ถึงเขาจะไม่ได้ป่าวประกาศว่ากำลังตามหาคนแต่ก็ไม่ได้ปิดเป็นความลับแก่คนใกล้ชิดด้วงถอนหายใจเฮือกใหญ่ ดึงสติกลับมาอยู่กับเนื้อกับตัว กระชับปีกหมวกประจำตำแหน่งให้เข้าที่เพราะอีกไม่ถึงนาทีจะถึงเวลารถไฟรอบแรกของวันเข้าเทียบ นัยน์ตาสีดำประกายม่วงไร้แวว มองหัวรถจักร สดับฟังเรียงหวูดอย่างเหม่อลอย เสียงพ

    Last Updated : 2024-10-29
  • ดลรวีที่รัก   บทที่ ๒ สนธยาช้ำใจ (๑๐๐%)

    ด้วงเดินออกมาด้วยความดีใจ ในที่สุดเขาก็เจอแล้วในเมื่อแก้วบอกว่าจะมาหาเขาวันพรุ่ง เช่นนั้นวันนี้เขาจะตะลอนหาที่นั่งสบาย ๆ รอบพระนครตระเตรียมแผนการเดินทางให้โฉมงามเพื่อนสมัยเด็กได้ประทับใจรวมไปถึงการบอกเรื่องนี้กับพี่ไกร เพราะเจ้าตัวเมื่อเช้าดูจะเป็นกังวลในเรื่องนี้มากโข ไว้เดี๋ยวคืนนี้เขาจะอยู่รอนั่งเล่าให้ฟัง ในเมื่อเป้าหมายในชีวิตเขาสำเร็จแล้ว คุณพี่ชายจะได้ไม่ต้องมาหนักใจในเรื่องไม่เป็นเรื่องอีก. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .“ผู้กำกับ เหม่ออีกแล้วนะครับเมื่อคืนนอนน้อยรึหรือไง?”“มาค้ง มาครับอะไรไอ้พูน เรียกชื่อฉันเหมือนเดิมเถอะ แสลงหู”พูนเพื่อนร่วมงานบุ้ยปาก ไอ้เขาก็อยากทำตัวมีมารยาทกับพ่อพันตำรวจเอกผู้เป็นที่เชิดหน้าชูตาแก่สน.เสียหน่อย ดันมาขัดขากันได้“ตกลงกันว่าจะเริ่มคดีเสือขามวันนี้ใช่ไหม?”“นอกเรื่อง”“กำลังจะเข้าเรื่อง”พูนกอดอกกลอกตามองบน เขาล่ะหน่ายใจกับท่าทีเก๊กขรึมข

    Last Updated : 2024-10-29
  • ดลรวีที่รัก   บทที่ ๓ สบโอกาส (๕๐%)

    ตกเย็นใกล้พลบค่ำด้วงรีบกลับบ้านมา วันนี้เขาอารมณ์ดีนัก ตั้งแต่รู้ว่าจะได้กลับไปพูดคุยกับแก้วอีกครั้งเขาก็ดีใจจนเนื้อเต้น คุณอาในชุดลำลองเสื้อโปโลสีเนยกางเกงน้ำตาลเดินเข้ามาด้วยรอยยิ้มประดับใบหน้าพลางยกเสื้อผ้าที่พนักงานแนะนำมา มีตั้งหลายตัวแต่ไปแค่พรุ่งนี้วันเดียวไม่รู้จะใส่ตัวไหน สงสัยคงต้องถามพี่ไกรเสียแล้ว“ด้วง วันนี้ไปไหนมาครับ”เสียงเข้มแว่วมาจากระเบียงชั้นสอง เป็นเจ้าของบ้านที่ยืนค้ำราวไม้ทักทายลงมา เจ้าตัวคงจะกลับบ้านมาสักพักแล้วจึงได้อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสียเรียบร้อย“ผมไปซื้อของที่ห้างมา”“ไหนเอาขึ้นมาให้พี่ดูซิ”จากประสบการณ์สอบปากคำตลอดหลายสิบปี หากอยากได้คำตอบที่ชัดเจน อย่าตั้งแง่กับผู้ต้องสงสัย ค่อย ๆ ใจเย็นตะล่อมถาม หากร้อนใจขึ้นประเดี๋ยวลูกไก่ในมือจะวิ่งหนีไปเสียฉิบ“เราลางานกะทันหันแบบนี้ ไม่กระทบเพื่อน ๆ ที่ทำงานเหรอ?”“วันนี้รอบรถถี่แค่ช่วงสาย ตกบ่ายมาก็น้อยแล้ว”“แล้วไม่กลัวโดนหักเงินเดือนเหรอ?”“ผมมีเงินเก็บเยอะ ไม่กลัวเรื่องแบบนั้นหรอก”“พี่เห็นเรายิ้มไม่หุบมาสักพักแล้ว

    Last Updated : 2024-10-29
  • ดลรวีที่รัก   บทที่ ๓ สบโอกาส (๑๐๐%)

    เสียงนกร้องภายนอกแว่วเข้ามาผ่านช่องเล็กช่องน้อยภายในห้องนอนขนาดย่อม เครื่องเรือน เครื่องนอนล้วนถูกคัดสรรมาอย่างเหมาะสมให้เขากับผู้อยู่อาศัย แต่เพราะเจ้าของห้องไม่ได้ฟุ้งเฟ้อ จึงมีแต่ของใช้จำเป็นเพียงโต๊ะ ตู้ เตียง และม่านมุ้งห้อยจากเพดานกันแมลงในตอนกลางคืนทว่าวันนี้นาฬิกาปลุกถูกตั้งให้ช้ากว่าปกติเพราะนี่นับเป็นวันแรกที่คนบนเตียงจะได้ออกไปใช้ชีวิตกับเพื่อนที่รอมานานนับสิบปี จนเมื่อเสียงกริ๊งดังไม่ทันใดมันก็ถูกกดหยุดลงพร้อมนายสถานีร่างโปร่งที่ลุกขึ้นมาบิดกายยืดเส้น ดวงหน้าอิ่มเอิบประดับรอยยิ้ม แต่เช้าตรู่พลางมองเสื้อผ้าของวันนี้ที่ถูกแขวนเตรียมไว้ตั้งแต่เมื่อคืนด้วงสูดลมหายใจเข้าระหว่างนั่งเล่นให้ร่างกายตื่นเต็มตา แล้วจึงกระเด้งตัวออกจากเตียงไปผลัดผ้าผลัดผ่อนบ้านหลังนี้กว้างโอ่อ่าพอจะทำห้องส่วนตัวให้แก่ทุกคนรวมไปถึงห้องอาบน้ำในทุกห้องนอนเช่นกัน เพิ่มความสะดวกสบายให้สมาชิกในบ้านที่ต้องทำกิจในเวลาไล่เลี่ยกันกระจกบานเล็กหน้าโต๊ะสะท้อนร่างสูงโปร่งประดับลอนกล้ามเนื้อสีเข้มกระนั้นก็พอมีช่วงเอวไม่ตีบตันไร้สัดส่วนด้วงรีบเข้าไปรดน้ำทำความสะ

    Last Updated : 2024-10-29
  • ดลรวีที่รัก   บทที่ ๔ ส่อแวว (๕๐%)

    “วันนี้คุณดลรวีก็มาช้าเหรอครับ?”ดันกิเดินมาสนทนากับเจ้าแผนที่คุณดลรวีเล่าให้ฟังว่าเป็นเพื่อนคนสนิท เขาซึ่งมาที่นี่ทุกเช้าก็มักจะได้สนทนากับนายสถานียิ้มเก่งคนนั้นเป็นประจำ ได้ยินว่าเจ้าตัวเจอคนที่รอมาตลอดแล้วไม่รู้แน่ชัดว่ามันจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เจ้าตัวมาช้ากว่าปกติหรือเปล่า“เปล่าครับ มาเช้ากว่าใครเพื่อนเลย นู่นนั่งอยู่นู่น”แผนกอดอกบุ้ยคางยังเจ้าเพื่อนที่นั่งเหงาเหม่อมองทางรถไฟมาตั้งแต่ย่ำค่ำ ทำเอาเขาสงสัยไม่ใช่น้อย ว่าเจอก็เจอแล้วทำไมยังนั่งเป็นหมาหงอยอยู่อีก“ขอบคุณครับ”แผนมองแผ่นหลังของคุณครูชาวญี่ปุ่นวิ่งต้อย ๆ ไปทางเจ้าเพื่อนรักก็นึกอิจฉา เขาสิไม่รู้ทำไมไม่ได้คนสติดี ๆ มาเดินตามบ้างดันกิสาวเท้าด้วยความเร็วก่อนจะค่อย ๆ ชะลอลงเมื่อเข้าใกล้เก้าอี้ไม้ข้างเสา เขาหอบเอาลมหายใจเข้าปอดพลางสังเกตสีหน้าของคุณดลรวี แต่ไม่รู้ทำไมวันนี้มันถึงได้ดูหม่นหมองไม่ต่างจากท้องฟ้ายามมีเมฆฝน“คุณอุ่น มาตั้งแต่เมื่อไหร่เหรอครับ ผมไม่รู้ตัวเลย”“ผมพึ่งมา ทำไมวันนี้คุณถึงดูเศร้า ๆ ล่ะครับ”“มันอธิบายค่อนข้างยากน่ะครับ...”

    Last Updated : 2024-10-30
  • ดลรวีที่รัก   บทที่ ๔ ส่อแวว (๑๐๐%)

    ด้วงที่ลงมาหยิบนมในตู้แช่เย็นได้ยินเสียงพูดคุยจ้อกแจ้กแว่วลงมาจากด้านบนบวกกับเสียงกลอนประตูเมื่อสักครู่จึงคิดจะอุ่นชาหอมขึ้นไปให้พี่ชายที่น่าจะกลับมาแล้วด้วยในระหว่างที่ตั้งเตาอุ่นนมก็จัดแจงคีบถ่านจุดไฟวางกาน้ำร้อน ก่อนจะผละไปเปิดตู้กับข้าวมองหาถุงชาที่ได้รับเป็นของฝากเมื่อเดือนก่อน เพียงนานเครื่องดื่มอุ่นก็พร้อมใส่แก้วพอเดินขึ้นมาก็เห็นว่าพ่อลูกกำลังนั่งคุยกันอยู่ แต่เหมือนน้องกันต์จะดูอาการไม่ค่อยดีเมื่อได้สนทนากับผู้เป็นพ่อ เขาจึงรีบเดินอ้อมหลังไปมอบแก้วนมให้เจ้าตัวรีบดื่มจะได้หนีออกไปจากความอึดอัดได้ ส่วนเขาพาตัวเองมานั่งตรงข้ามพี่ชายพร้อมวางแก้วชาหอมไว้ตรงหน้า“ของเราไม่มีเหรอ?”“วันนี้ผมไม่ค่อยอยากกินอะไร”เขาพูดพลางชำเลืองมองหลานชายที่ค่อย ๆ จิบนมดูเหมือนเขาจะอุ่นร้อนจนเกินไป“วันนี้เราเป็นอะไร ดูเหม่อ ๆ นะ”“ปะ...เปล่า แค่มีเรื่องให้ต้องคิดนิดหน่อย”ตอนนี้เขาระแวงเหลือเกินว่าพี่ไกรจะทำอย่างเมื่อเช้าต่อหน้าลูกชายตัวเอง แต่ตอนนี้เขาจะออกอาการไม่ได้จึงทำเพียงเก็บไม้เก็บมือให้ห่างจากกลางโต๊ะลงมาประสานอยู่บนต

    Last Updated : 2024-10-31
  • ดลรวีที่รัก   บทที่ ๕ กล่องข้าวน้อยเป็นเหตุ (๕๐%)

    ตอนนี้เขากำลังเข้าตาจน ร่างกายไม่อาจประมวลความคิดได้ทันท่วงทีอย่างเคย คนในชุดนายสถานีพร้อมข้าวกล่องใบน้อยในมือยืนสั่นกลัวอยู่หน้าประตูกรงขัง แววตาผวาหวั่นมองผู้มีศักดิ์เป็นพี่ชายยืนข้างนักโทษซึ่งมีสภาพสะบักสะบอมประหนึ่งถูกซ้อมอย่างรุนแรง“พี่...ทำอะไรน่ะ”คล้ายว่าเวลาได้หยุดลงเขามองน้องชายด้วยความตกตะลึง หยดเลือดสดใหม่บริเวณข้อนิ้วหลั่งไหลผ่านฝ่ามือก่อนจะหยดลงพื้นกองรวมกับคราบเลือดก่อนหน้า ไม่รู้ว่าเมื่อสักครู่จะซ่อนมือไพล่หลังทันหรือเปล่าเอาแล้วไง. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .“คุณดลรวีเดินกลับไปทานมื้อเที่ยงที่บ้านทุกวันเลยเหรอครับ ผมอิจฉามากเลย”อาจารย์วิทยาลัยคนสนิทกล่าวเมื่อได้ทราบว่านายสถานีมีเรือนพักอาศัยห่างจากที่ทำงานไปเพียถนนสองเส้น“แล้วปกติคุณอุ่นทานข้าวเที่ยงที่ไหนเหรอครับ?”“โรงอาหารวิทยาลัย ไม่ก็ร้านแถว ๆ นั้นครับ”“แล้วแถวนั้นอาหารไม่อร่อยเหรอครับ?”“อร่อยครับ แต่กินแถวนี้...อร

    Last Updated : 2024-11-01
  • ดลรวีที่รัก   บทที่ ๕ กล่องข้าวน้อยเป็นเหตุ (๑๐๐%)

    เพราะอย่างนั้นในระยะเวลาพักเที่ยงหนึ่งชั่วโมงเขาจึงต้องเดินมาสน.ใกล้สถานีเพื่อเอาเข้ากล่องข้าวสองชั้นมาให้เจ้าพี่ และต้องเข้ามาเจออีกฝ่ายในสภาพที่เขาไม่คิดไม่ฝันว่าจะได้เห็นมาก่อนสีหน้าท่าทางอันโกรธเกรี้ยวคล้ายยักษ์มองไปยังนักโทษชายวัยกลางคนถูกมือเปล่าบีบรัดคอตรึงไว้กับซี่ลูกกรง กลิ่นสนิมโชยมาเตะจมูกชวนน่าคลื่นไส้ ก่อนที่คนในเครื่องแบบตำรวจภูมิฐานจะหันมาสบตากับตัวเขาที่ยืนอยู่หน้าประตู ทันใดนั้นท่าที่ดังกล่าวก็เปลี่ยนไปประหนึ่งพลิกฝ่ามือ แววตาน่ากลัวกลับมาอบอุ่น มือหยาบกร้านสีนวลผ่องละจากลำคอแข็งเกร็งของนักโทษ ฝีเท้าหนักก้าวมุ่งตรงมาทางเขา ทว่าเมื่อจะก้าวถอยบานประตูไม้ที่แง้มปิดอยู่เมื่อครู่ก็ดันเข้าล็อกปิดสนิทพอดี“ด้วง เรามาหาพี่มีเรื่องอะไรเหรอ”“ผม...คือ...”นัยน์ตาสีม่วงแก่สั่นไหว เงยมองใบหน้าคมเปื้อนหยดของเหลวสีแดงฉานของผู้เป็นพี่ พลันย้อนนึกไปยังฝันร้ายในอดีตท่อนขาก็ไร้เรี่ยวแรงจะตั้งตรง เขาไม่คิดมาก่อนว่าพี่ชายผู้มีภาพลักษณ์แสนดีมาตลอดจะกระทำรุนแรงต่อเพื่อนมนุษย์ได้ลงคอโดยไม่มีสีหน้าแห่งความรู้สึกผิดเลยสักนิด“อะ...อึก...แคก

    Last Updated : 2024-11-02

Latest chapter

  • ดลรวีที่รัก   บทที่ ๓๐ เหมือนฝัน (๕๐%)

    การกระทำที่ไม่เป็นตัวเองล้วนเกิดมาจากความกลัวภายใต้จิตสำนึกโดยที่เจ้าของร่างไม่อาจควบคุมได้ เหมือนกับการพยายามเปล่งเสียงตะโกนขอร้องความช่วยเหลือในกล่องมืดที่ไร้ซึ่งผู้คน น้องชายเขาคงเป็นเช่นนี้มาตลอด บอกใครไม่ได้เพราะกลัว หนีไม่ได้เพราะใจยังห่วง ทว่ากลับอ่อนแอจนไม่อาจมีแรงยืนหยัด ดังนั้นหนทางเดียวคือการสร้างเกราะ กีดกันทุกอย่างที่จิตใต้สำนึกสั่งให้เอาออกไปจากชีวิต‘แค่พูดคำไม่กี่คำ...’นั่นคือสาเหตุว่าทำไมน้องชายถึงได้ปฏิเสธเขาหนักหนา ด้วยแรงกดดันอันมหาศาลและสถานการณ์อันบีบคั้นส่งผลให้เด็กคนนั้นจำฝังใจมาจนถึงทุกวันนี้รักกันไม่ได้เพราะกลัวมารดาจะเป็นอันตรายรักกันไม่ได้เพราะกลัวทำครอบครัวคนอื่นแตกแยกรักกันไม่ได้เพราะกลัวหลานชายที่กำเนิดมาจะผิดหวังมันเป็นปัญหาลูกโซ่ที่สืบเนื่องมาจากคำขู่ไม่กี่คำในวัยเยาว์ ค่อย ๆ ซึมลึกลงไปยังก้นบึ้ง แตกหน่อออกผลตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาอย่างเงียบ ๆ กัดกินจิตใจเป็นอาหาร ประหนึ่งมีดคมที่ค่อย ๆ เฉือนเนื้อออกไปทีละนิดอย่างประณีตบรรจงเสียงร่ำไห้ที่เขาได้ยินเหมือนมันเป็นความโศกเศร้าตลอดร่วมสิบปี

  • ดลรวีที่รัก   บทที่ ๒๙ เข็มนาฬิกา (๑๐๐%)

    สองชายหนุ่มคนหนึ่งเป็นตำรวจคนหนึ่งเป็นอาจารย์พากันมานั่งรอรับยาหน้าโรงพยาบาล เพราะหลังจากเมื่อคืนที่ตากฝนกันไปร่วมชั่วโมงก็พลอยทำให้เชื้อหวัดลงปอดไอกะด้อกะเดี้ย น้ำมูกไหลจมูกแดงไปตาม ๆ กันไกรวิชญ์รู้เรื่องจากปากอาจารย์เจ้าว่าวันนั้นได้ทำอะไรกับน้องชายเขาไปบ้างก็มีน้ำโห กล้าทำกับผิวอันบอบบางแบบนั้นไปได้อย่างไรถึงมันจะเป็นการแสดงเพื่อให้ด้วงเลิกกับตัวเองก็เถอะดันกิเองเมื่อจัดการศัตรูที่เข้ามาและฝังกลบดินไปแล้วก็หันมามองเขม่นใส่นายตำรวจคนที่คุณดลรวีหลงนักหลงหนาแล้วมาใช้เขาเป็นตัวแทนเพื่อตัดใจ“ผมโคตรอยากต่อยคุณเลย”“เอาเข้าจริงผมก็อยากต่อยคุณเหมือนกัน”“…”“…”“สนใจมาแลกกันคนละหมัดไหม?”“ผมก็คิดอยู่แต่แบบนั้นคุณดลรวีน่าจะไม่ชอบ”“ผมก็ว่างั้น”‘ขอเชิญหมายเลข ๒๒๓ รับยาที่ช่องเจ็ดค่ะ’ ดันกิถอนหายใจออกมาพลางลุกขึ้นไปรับยาพร้อมถือกระเป๋าติดตัวไปด้วย เมื่อรับยาเสร็จทีแรกที่คุยกับไกรวิชญ์เขาว่าจะขึ้นไปเยี่ยมคุณดลรวีด้วยกัน แต่พอมาคิด ๆ ดูแล้วคนที่ไม่สามารถปกป้องเจ้าตัวได้อย่างเขาไม่มีสิทธิ์ไ

  • ดลรวีที่รัก   บทที่ ๒๙ เข็มนาฬิกา (๕๐%)

    เสียงพื้นรองเท้ากระทบฝนยังคงไม่หายไปแม้เวลาจะล่วงเลยมาเกือบหนึ่งชั่วโมงนับตั้งแต่ที่ไกรวิชญ์ได้รับโทรศัพท์มาจากแม่เลี้ยงแล้วก็ตาม แน่นอนว่าเขาไม่มีกะจิตกะใจแม้แต่จะเปลี่ยนเสื้อผ้า ยังคงสวมเครื่องแบบตำรวจวิ่งตามหาไปทั่วอยู่อย่างนั้น รวมไปถึงอาจารย์ชาวญี่ปุ่นด้วยเช่นกันชายสองคนวิ่งกลับมาเจอกัน ณ หน้าจุดนัดพบหน้าบ้านเมื่อแยกกันไปหาคนละทางแต่ยังไม่พบวี่แววของคนน้องแม้สักนิด ยิ่งเวลาผ่านไปเรื่อย ๆ ยิ่งทำให้ทั้งนายตำรวจและอาจารย์เป็นห่วงขึ้นไปอีก“ผม...ขอโทษ”ดันกิกล่าวขออภัยด้วยใจรู้สึกผิด หากเขาไม่ทำแบบนั้นบางทีคุณดลรวีคงจะกลับบ้านอย่างปลอดภัยหรือไม่หากเขาทำหน้าหนาตามมาส่งสักหน่อยเรื่องแบบนี้อาจไม่เกิดขึ้นก็เป็นได้“คำนั้นเอาไว้พูดหลังหาด้วงเจอก็แล้วกัน”ไกรวิชญ์พูดด้วยความร้อนรน พลางมองหาเบาะแสที่เขาอาจพลาดไป เมื่อสักครู่เขาแยกไปดูยังเส้นทางอื่นที่น้องชายสามารถเดินกลับบ้านได้แต่ก็ไม่เจอ จึงคิดจะวกกลับไปดูอีกครั้งยังทางเข้าหลักหน้าหมู่บ้านเป็นครั้งที่สองนายตำรวจก้าวขาเดินออกไปโดยไม่ได้บอกกล่าวอาจารย์ที่อาสาตามหาเจ้าน้องด้วยกัน ทว

  • ดลรวีที่รัก   บทที่ ๒๘ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า (๑๐๐%)

    เนื่องจากตำรวจยังไม่สามารถตามจับกุมนักโทษที่หลบหนีได้ทั้งหมด แม้มันจะเหลือเพียงส่วนน้อยแล้วก็ตามแต่อย่างไรเพื่อความปลอดภัยของผู้คนในเขตนั้น ๆ เมื่อได้เบาะแสอะไรมาพวกเขาจึงต้องเอามาร่วมพิจารณา ยิ่งไปกว่านั้นคดีที่ค้างคาอยู่ก็ยังต้องนำมาพูดถึงเป็นลำดับไปสำหรับการวางแผนในอนาคตอีก“ขอบคุณทุกคนมาก กลับบ้านได้”เป็นไกรวิชญ์ที่กล่าวประโยคนั้น แม้เพื่อนร่วมงานสน.นี้จะขยันขันแข็งกันขนาดไหน แต่เขาก็เข้าใจหัวอกบางคนที่มีลูกมีเมียอยู่บ้าน หากเขารั้งไว้คงจะไม่เป็นการดีนัก“ไอ้ไกร วันนี้ไม่ใช่เวรเอ็งไม่ใช่เหรอ?”พูนกลับมาจากโต๊ะประชุมพร้อมเพื่อนในขณะที่เขาเก็บของลงกระเป๋า แต่ไกรมันกลับนั่งลงหยิบสำนวนขึ้นมาเปิดไปมาเสียอย่างนั้น“ขอทำความเข้าใจตรงนี้ก่อน”“ขี้เกียจบ้างเถอะพ่อคุณ”“ไว้ค่อยทีหลัง”“แบบนี้น้องไม่ห่วงแย่แล้วรึ?”“ด้วงจะมาห่วงอะไรฉัน”“ใช่ว่าเขามีชิ้นแล้วจะเมินเอ็งสักหน่อย”“ช่างฉันเถอะน่ะ”เพราะรำคาญเสียงจ้อกแจ้กของเพื่อนจึงบอกปัดไป ก่อนจะต่างฝ่ายต่างโบกมือลา ไกรวิชญ์จึงได้กลับมาตั้งสมาธิก

  • ดลรวีที่รัก   บทที่ ๒๘ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า (๕๐%)

    “แหม ถือร่มมารับเลยนะครับ”“ก็ฝนตกมาตั้งแต่เช้าแล้วนี่ครับ”แผนซึ่งมาโบกธงเจอหน้าคนรักของเพื่อนพอดีจึงถือโอกาสสนทนาระหว่างด้วงมันกลับมาจากห้องน้ำ หลังจากวันที่ไอ้ด้วงเป็นลม อาจารย์คนนี้คล้ายจะประคบประหงมเป็นพิเศษเพราะรถไฟพึ่งออกและยังอยากตากลมเย็นจึงนั่งบนเก้าอี้รอไอ้ด้วงเป็นเพื่อนอาจารย์ชาวญี่ปุ่น เรื่องราวที่เขาเข้าใจกับที่เกิดขึ้นมันย้อนแย้งกันไปคนละทิศละทาง แต่อย่างไรก็โต ๆ กันแล้ว หากเพื่อนเขาตัดสินใจแบบไหนเขาก็ตามนั้นไม่ได้เป็นปัญหาอะไรหรอกเพียงแต่...เขาในฐานะเพื่อนจริง ๆ ก็คอยจับสังเกตมาตลอด เคยลองเซ้าซี้ทว่ามันกลับเอาแต่บอกว่าไม่มีอะไร ไม่นู่น ไม่นี่จนเขาเหนื่อยหน่าย ทำได้เพียงมองเมียงกลัวมันจะเป็นอะไรเข้าในสักวัน และก็เป็นไปตามคาดจริง ๆ ไม่รู้มันไปเอาความเครียดมาจากไหนเยอะแยะจนแต่ละวันน้อยครั้งนักที่จะเห็นมันยิ้มออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ ขนาดคนรักเจ้าตัวมาพูดคุยด้วยก็ยังคงทำหน้านิ่งเฉย ต่างจากสมัยยังเป็นเพื่อนผู้โดยสารลิบลับ“ขอโทษที่ต้องให้รอนะครับ”“ไม่เป็นไรครับ”แผนโบกมือลาเจ้าเพื่อนเป็นครั้งสุดท้ายของวันเพรา

  • ดลรวีที่รัก   บทที่ ๒๗ เลิกไม่ได้ (๑๐๐%)

    “ขี้เกียจทำงานแล้ว...เฮ้อ”เสียงบ่นอิดออดนั่นออกมาจากปากเพื่อนเพียงคนเดียวของไกรวิชญ์อย่างเจ้าพูนที่ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ไร้เรี่ยวแรงจะทำงาน ไกรวิชญ์ซึ่งชินชากับนิสัยนั้นแล้วจึงก้มหน้าก้มตาทำงานต่อไปหลังไม่ได้แตะปากกากับกระดาษมานานหลักเดือนพันโทหรี่ตามองคุณพ่อตำรวจทำงานไฟลุกด้วยหน้าตาอันเรียบเฉย ถ้าเป็นเขาโดนหักเงินเดือนคงไม่มานั่งตั้งใจทำงานเกินค่าจ้างแบบนี้หรอก ว่าแล้วก็ถอนหายใจอีกครั้งเป็นการพ่นความเครียดที่ไม่มีอยู่จริงออกมา‘เมื่อไหร่จะจับพวกมันให้หมดสักที รู้ไหมพวกฉันกังวลแค่ไหน!?’‘ทำงานให้มันดี ๆ หน่อย!’‘ถ้าจะชักช้ายืดยาดแบบนี้ก็ไม่ต้องเป็นหรอกตำรวจน่ะ!!’พูนได้ยินเสียงโวยวายของชาวบ้านแว่วมาจากทางด้านนอกก็เอือมระอา ในตอนที่ไกรมันไม่อยู่ก็เป็นเขาที่บากหน้าออกไปรับคำดุด่าว่ากล่าวแทน เอาเข้าจริงใช่ว่าพวกเขาตลอดทั้งเดือนที่พยายามสืบหากันมาก็ทยอยจับมาได้เรื่อย ๆ แต่เพราะนี่เป็นข่าวใหญ่ที่ยังลงสื่อวิทยุและหนังสือพิมพ์ทางการ ไม่แปลกที่ผู้คนจะให้ความสนใจและเพ่งเล็งผู้พิทักษ์สันติราษฎร์อย่างพวกเขาขนาดนี้“เมื่อวานก็มา พวกป้

  • ดลรวีที่รัก   บทที่ ๒๗ เลิกไม่ได้ (๕๐%)

    ‘แม่พึ่งถักแล้วซักเสร็จ ลูกเอาไปใส่ด้วยนะ’แม่บอกเขามาเช่นนั้นพร้อมมอบผ้าพันคอไหมพรมสีเทามาให้ ปกติแล้วบ้านเราไม่ค่อยมีของพวกนี้เท่าไรนักเพราะหน้าหนาวประเทศไทยก็ใช่ว่าจะหนาวมากมาย เผลอ ๆ บางวันร้อนเหมือนเตาถ่าน ทว่าวันนี้เพียงตื่นมาก็ต้องขนลุกซู่เพราะลมหวิวที่แทรกเข้ามาตามช่องไม้ เขาจึงปฏิเสธไม่ได้ที่จะรับมันมานายสถานีหลังทานข้าวต้มมื้อเช้าเสร็จก็ผูกผ้าพันคอเดินลงมาสวมรองเท้าคู่ใจออกจากบ้านตามปกติ บรรยากาศวันนี้ค่อนข้างอึมครึมพิกล ทั้งมือเขายังรู้สึกเจ็บแปล๊บ ๆ ทุกครั้งที่ขยับ อาจเพราะความเย็นกัดผิวก็เป็นได้ เขาหวังว่าเจ็ดโมงที่สถานีจะมีคนต้มน้ำอุ่นเอาไว้จิบคลายความหนาวเดินไปเรื่อยจู่ ๆ ก็รู้สึกหิวทั้งที่พึ่งกินมา จะว่าไปเมื่อเช้าแทบไม่ได้แตะอะไรไปเท่าไรนัก ข้าวในถ้วยก็น้อยนิดแต่กว่าจะฝืนกินจนหมดก็นานโข กินอะไรไม่ลงแบบนี้ค่อนข้างส่งผลร้ายต่อร่างกายหลายด้านเลยเชียวยิ่งไปกว่านั้นเมื่อคืนเขาก็ดันฝันถึงเรื่องเดิม ๆ จนสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึกอีกแล้ว ตอนแรกคิดว่าอาจเพราะชอบนอนคุดคู้เอาหน้าซุกผ้าห่มจนหายใจไม่ออกแต่มันไม่ใช่เลย ที่ฝันร้ายนั่นกลับม

  • ดลรวีที่รัก   บทที่ ๒๖ ยินดี (๑๐๐%)

    “เครื่องแบบไม่มีที่เป็นแขนยาวสำหรับหน้าหนาวเหรอครับ?”“พวกเราใส่แบบเดียวกันตลอดทั้งปี ไม่มีแยกตามฤดูกาลหรอกครับ”“แบบนี้ก็ไม่ดีน่ะสิ”“ฮ่า ๆ ประเทศนี้ถ้าหนาวมาทีก็ถือว่าบุญส่งแล้วครับ ปกติร้อนเกือบทั้งปี”ด้วงรู้สึกว่าตัวเองตอบคำถามไม่ค่อยเป็นธรรมชาติสักเท่าไรเมื่อเทียบกับเมื่อก่อนทั้งตอนนี้คุณอุ่นยังเป็นคนเริ่มบทสนทนาอยู่ฝ่ายเดียว เขากลัวอีกฝ่ายจะตั้งแง่สงสัย อย่างน้อยเขาก็ควรเป็นฝ่ายถามกลับไปบ้าง“ถุงหอมที่ให้ไปเป็นยังไงบ้างครับ?”“หอมผ่อนคลายมากเลยครับ ผมห้อยติดกระเป๋าไว้ตลอดเลย”ว่าแล้วอาจารย์แกก็ยกกระเป๋าถือขึ้นมาให้เขาดู บริเวณโลหะข้อต่อหูกระเป๋ามีตาข่ายถุงหอมห้อยอยู่ ด้วงเห็นแล้วก็สะกิดใจ ทั้งที่มันแขวนให้เขาเห็นมาตลอดแต่กลับไม่ได้สังเกตเลย สงสัยต่อจากนี้เขาควรใส่ใจคุณอุ่นให้มากกว่าที่เป็นอยู่เสียแล้ว“ขอบคุณที่เดินมาส่งถึงหน้าบ้านอีกแล้วนะครับ”“ผมก็ขอบคุณที่ให้ผมเดินมาส่งเช่นกันครับ”ก่อนที่อาจารย์เจ้าจะไป ด้วงก็บังเอิญสังเกตไปยังสีท้องฟ้าวันนี้ แล้วจึงหันมาแอบมองนาฬิกาข้อมือของอาจารย์ ไหน ๆ

  • ดลรวีที่รัก   บทที่ ๒๖ ยินดี (๕๐%)

    ในคราวแรกเนื่องจากเขาและพี่ไกรต้องออกไปทำงานจึงไม่ได้จ้างอาจารย์เจ้ามาสอนตลอดทั้งสัปดาห์แม้กันต์ธีร์จะต้องการก็ตามเพราะอย่างไรเจ้าตัวก็ถือเป็นคนนอก คนที่อยู่บ้านมีเพียงแม่และลุงแดงพ่อบ้านมีอายุจึงไม่เป็นที่วางใจเท่าไรนัก แต่ในเมื่อตอนนี้พี่ต้องอยู่บ้านตลอดตามคำสั่งศาลพวกเขาจึงตกลงกับครูอุ่นอีกครั้งเรื่องมาสอนทั้งสัปดาห์และหยุดวันอาทิตย์แทนจนกว่าจะจบหนังสือม.๑ ที่หลานรักจำต้องเข้าใจก่อนเลื่อนระดับชั้นทีแรกเขาบอกปากเปียกปากแฉะว่าอยากให้ทั้งอาจารย์ทั้งศิษย์หยุดพักสองวันเสาร์-อาทิตย์ แต่เหมือนยิ่งสนิทยิ่งเข้ากันเป็นปี่ขลุ่ยพูดจาน้ำไหลไฟดับเกลี้ยกล่อมเขาให้ตามใจจนได้ ดังนั้นเมื่อถึงเวลามื้อเที่ยงวันเสาร์เขาจึงอาสาเป็นคนเอาสำรับอาหารไปให้ทั้งสองซึ่งกำลังเรียนอยู่บริเวณโถงชั้นล่างศิษย์อาจารย์นั่งพูดคุยในขณะที่ก้มหน้ามองตัวอักษรในกระดาษ หลานคนเก่งเมื่อได้ฟังก็พยักหน้าเข้าใจบ้าง ถามเมื่อสงสัยบ้าง เป็นบรรยากาศการเรียนการสอนที่ชวนให้อบอุ่นหัวใจ“กันต์ พักมาทานมื้อเที่ยงก่อนมา อาจารย์ก็ด้วยนะครับ”“คร้าบ”“ถ้าคุณไม่ลงมาผมคงลืมเวลาไปแล้วนะเนี่ย”

DMCA.com Protection Status