Share

บทที่ ๑ คนในความทรงจำ (๑๐๐%)

ด้วงเดินทางมาไม่นานก็ถึงสถานีกรุงเทพ เพราะบ้านหลักอยู่ห่างจากที่ทำงานเพียงข้ามถนนสองเส้น จึงเดินทางมาได้โดยง่ายไม่ต้องนั่งรถรางให้ยุ่งยาก

เวลานี้ท้องฟ้ายังมืดสนิทเห็นดวงจันทร์แจ่มชัด ผู้คน รถบนถนนบางตา ฝนที่ตกปรอย ๆ เมื่อคืนเมื่อสัมผัสกับผืนดินผืนหญ้าส่งกลิ่นหอมธรรมชาติโชยมาแตะจมูกชวนให้ใจสงบเงียบท่ามกลางบรรยากาศยามไร้ผู้คนในเวลาเช้าตรู่

ขาสูงยาวก้าวอย่างมั่นคงบนทางเท้า มองเหล่าแมลงซึ่งสะท้อนแสงจากโคมไฟรายทางที่พวกมันตอม พลางคิดเรื่องซ้ำ ๆ เดิม ๆ ที่วนอยู่ในหัวเขามาร่วมสิบปี

เขารักคนคนหนึ่ง

รักมาตลอดตั้งแต่วันที่จากลากัน

ทีแรกเขาไม่รู้สึกถึงมัน แต่เมื่อถึงเวลาที่เจ้าตัวไม่สามารถอยู่ที่แห่งนั้นได้อีกต่อไป นั่นจึงเป็นเขาเองที่ต้องพาเจ้าตัวหนีขึ้นรถไฟจากไอ้พวกคนจัญไรเหล่านั้น

ย้อนนึกไปเท่าไรก็รู้สึกเจ็บปวด ภาพทุกภาพหวนคืนเข้ามาในห้วงความคิดอย่างไม่อาจหักห้ามได้

เรือนไม้สีเข้มเก่าแก่สะท้อนแสงจันทร์ขาวนวลยามค่ำคืน สายลมเย็นยะเยือกพัดผ่านกระทบผิว เหล่าก้านไม้ใบไม้เสียดสีกันชวนให้ค่ำคืนสุดท้ายในที่แห่งนั้นน่าขนลุก และเสียงแปร่งหูของอดีตเพื่อนคนสนิทที่เล็ดลอดออกมาจากเรือนของไอ้โสโครกนั่น

ว่าแล้วมือทั้งก็ยกขึ้นกุมอย่างเป็นไปเอง รอยแผลขีดข่วนจากของมีคมเมื่อนานมาแล้วยิ่งพาให้นึกถึงการกระทำของกลุ่มคนอันเลวทรามที่กระทำต่อเขา

แม้เวลาจะผ่านมาจวนจะยี่สิบปี ความเจ็บปวดของโลหะคมยามมันบาดลึกลงไปบนเนื้อมือยังคงจดจำได้ไม่มีวันลืม รอยฟกช้ำจากการรุมซ้อมทุบตีทุกวันนี้แม้จะหายสนิทแต่เมื่อส่องกระจก จิตสำนึกมันยังคงฉายภาพรอยพวกนั้นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน เป็นบุญของเขากับแม่แล้วที่หนีออกมาจากที่แห่งนั้นได้ทันทีเมื่อเกิดเรื่อง ทั้งยังมีคนรับอุปการะ

ดวงตากลมประกายสีม่วงกลาโหมส่อแววเศร้าหมองก้มมองลายบล็อกอิฐบนพื้นถนน รู้ตัวอีกทีเขาก็มาถึงที่ทำงานเสียแล้ว เดินเข้ามาถึงข้างในสิ่งที่เขามองเป็นอย่างแรกคือหน้าปัดนาฬิกาเพื่อตรวจสอบให้แน่ใจว่าเขาไม่ได้มาทำงานสายแล้วจึงเดินไปยังเคาน์เตอร์ตอกบัตรเข้างาน

จุดจำหน่ายตั๋วแต่ก่อนเปิดหกโมงถึงบ่ายเพราะไม่สามารถเดินรถในช่วงกลางคืนได้เนื่องจากระหว่างการเดินรถนั้นไม่มีไฟรายทางอย่างทางเท้าพระนครบรรยากาศมืดครึ้มเกรงว่าเดินทางผ่านป่าเขาจะเกิดอันตราย แต่เดี๋ยวนี้เข้าใกล้ปีห้าร้อยเทคโนโลยีดีขึ้นโขเมื่อเทียบกับสมัยเขายังอยู่ในวัยเยาว์ ทำให้บางเส้นทางสามารถเดินทางในเวลาพลบค่ำได้แล้ว จุดจำหน่ายตั๋วจึงถูกปรับเป็นหกโมงเช้าถึงสองทุ่ม

นี่ก็ใกล้เวลาที่รถไฟขบวนแรกจะเข้าเทียบชานชาลา ผู้คนที่พักค้างคืน ณ โรงแรมราชธานีต่างพากันส่งสัมภาระลงมาจากอาคารตะวันตกเก่าแก่กว่าหลายสิบปี เป็นสิ่งแวดล้อมที่ดูจะครึกครื้นตั้งแต่ไก่ยังไม่ขัน

ขณะที่ผู้โดยสารพูดคุยถึงจุดหมายปลายทางอย่างมีความสุขในทางกลับกันเมื่อเขามองไปตามแนวหมอนรางจนสุดสายตากลับมีแต่ความเศร้าหมอง ไม่ใช่ว่าเขาไม่มีความสุขที่ได้มาทำงานนี้ แต่นี่คือสถานที่สุดท้ายที่เขาบอกให้บุคคลอันเป็นที่รักหนีมา

เขาคาดหวังอยู่ในทุกวันที่ก้าวเท้าเข้ามาทำงาน หวังให้คนคนนั้นเดินลงมาจากตู้รถไฟเมื่อเสียงหวูดหยุดลง หรือหวังให้มีคนคนนั้นเดินสวนทางขึ้นตู้แต่มันกลับไม่มีเลย ไม่มีใครหน้าคุ้น ไม่มีใครจะเทียบเท่าคนคนนั้นได้เพียงสักนิด

"ไอ้ด้วง มาเช้าอีกแล้วนะเอ็ง พักบ้างก็ได้ ฮ่า ๆ "

เสียงเจี๊ยวจ๊าวคุ้นหูของเพื่อนคนสนิทเข้ามาคล้องคอทักทายด้วยความสดใสร่าเริง ใบหน้าธรรมดาทั่วไปผิวสีเปลือกไข่ส่วนสูงพอกับเขา กลับกันเมื่อเทียบกับเขาที่พี่ชายบอกว่ายิ้มเก่งแล้วเจ้าตัวยิ้มได้ทั้งวัน พูดได้ทั้งวัน สนิทกับคนไปทั่ว และต่อบทสนทนาได้อย่างลื่นไหล เป็นคนที่มีมนุษยสัมพันธ์ดีเกินมนุษย์

“เอ็งอย่ามาจับน่า รำคาญ”

ด้วงกล่าวอย่างภาษาคนสนิท พวกเขารู้จักกันมาตั้งแต่สมัยเรียนช่างกลทั้งยังพร้อมใจมาสมัครงานในตำแหน่งเดียวกัน จะมีอะไรเหมาะเจาะไปมากกว่านี้

"กะจะเก็บไว้ให้เมียจับอย่างเดียวเลยสิ!"

“เมียอะไรไอ้แผน กูไม่คิดจะมี”

เจ้าของชื่อทำหน้ามุ่ย นั่งยองลงกับพื้นเงยหน้าสบตาพ่อหนุ่มหน้ายักษ์ แรกเริ่มเดิมทีจนถึงการเป็นพนักงานฝ่ายปฏิบัติก็ไม่เห็นเจ้าตัวจะใฝ่รักหญิงสักคน ทั้ง ๆ ที่มันเองก็ใช่ว่าจะไม่มีสาวมาวอแว กลับกันเห็นแบบนี้เพื่อนเขาเป็นคนน้ำจิตน้ำใจดี เห็นใครเดือดร้อนเป็นไม่ได้ต้องเข้าไปช่วยเหลือตรงข้ามกับหน้าตาที่ใครก็ต่างกลัว

"แล้วคนที่เอ็งรอเขากลับมาอยู่เนี่ย ไม่ได้กะจะเอามาทำเมียรึ?"

"เงียบได้แล้ว คนอื่นเขามอง"

"แหม เนียนเลยนะ"

แผนลากเสียงยาวยกมือป้องปากแซะแซวเพื่อนขี้เก๊ก เขามองไปรอบ ๆ แต่ละคนที่ลงมาจากโรงแรมไม่นั่งกินมื้อเช้าก็นั่งสัปหงกกันทั้งนั้นจะมีใครมาสนใจบทสนทนาฉันเพื่อนระหว่างพวกเขากันเล่า

ด้วงบ่ายเบี่ยงไม่ตอบ เบนหน้าเมินสายตาของเพื่อนร่วมงานที่จ้องมา นายสถานีมาดเข้มลุกขึ้นกระชับปีกหมวกประจำตำแหน่งให้เข้าที่เพราะอีกไม่กี่นาทีจะถึงเวลารถไฟรอบแรกของวันเข้าเทียบ

สีดำดุจปีกกาหมองสนิทไร้แวว มองหัวรถจักร สดับฟังเรียงหวูดอย่างเหม่อลอย เสียงพูดคุยเซ็งแซ่อื้ออึงอยู่ในหัวผนวกกับเสียงเดินของผู้คนนับสิบนับร้อยซึ่งเดินขวักไขว่ ไม่ใช่แค่คนไทยแต่หลังจากรัฐบาลไทยเข้าร่วมเป็นพันธมิตรกับญี่ปุ่นเมื่อปีที่แล้ว ก็มีชาวญี่ปุ่นเดินพลุกพล่านกันมากขึ้นโดยเฉพาะทหารไม่ว่าจะนอกเครื่องแบบหรือในเครื่องแบบก็ตาม แต่ก็ยังมีอีกประเภทที่เข้ามาพักอาศัยประกอบอาชีพในประเทศก่อนหน้านั้นอยู่

“คุณดลรวี อรุณสวัสดิ์ครับ”

เสียงทุ้มต่ำกล่าวประโยคสำเนียงติดภาษาบ้านเกิดสะท้อนบุคลิกภาพภูมิฐานจิตใจเอื้ออารีของผู้เป็นอาจารย์ได้ดีเทียบเท่าแว่นกรอบสี่เหลี่ยมบนใบหน้าคมสันรวมไปถึงทรงผมดำขลับหวีจนเนี้ยบ และกระเป๋าเอกสารห้อยป้ายชื่อ ‘暖機’ (ดันกิ) อาจารย์แกเคยบอกกับเขาว่าชื่อนี้ในภาษาไทยแปลว่าความอบอุ่น แต่เพราะเขาบอกว่าพูดคำภาษาต่างประเทศแล้วไม่คุ้นปากจึงสามารถเรียกว่าคุณอุ่นได้

“อรุณสวัสดิ์ครับคุณอุ่น รถไฟจะออกอีกประมาณ ๑๕ นาทีเชิญนั่งพักก่อนนะครับ”

ชายสัญชาติญี่ปุ่นพยักหน้ารับคำก่อนจะเดินไปนั่งตามคำของนายสถานีผิวสีน้ำผึ้ง ในตอนที่เขามาที่นี่แรก ๆ ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร จะเดินทางไปไหนคนเดียวก็ลำบาก ยิ่งในสถานีที่ผู้คนวุ่นวายเขาก็ไม่รู้จะถามใคร เพราะแค่เห็นว่าเป็นคนญี่ปุ่นก็โดนเหยียดหยาม ไม่ก็ถูกมองด้วยสายตาอันไม่เป็นมิตร แต่กับนายสถานีคนนี้กลับไม่ใช่

ตอนนั้นเขาไม่รู้ว่าจะขึ้นลงสถานีไหน จึงตระเวนถือกระดาษเขียนด้วยลายมือภาษาไทยเข้าไปถามแต่เจ้าหน้าที่บางคนก็ไม่อยากคุย บางคนก็วิ่งหนี จะมีก็แค่คุณดลรวีที่พยายามสื่อสารหาทางช่วยแม้ว่าตอนนั้นเขาจะยังพูดภาษาไทยไม่คล่องก็ตาม

“อาจารย์เดินทางบ่อยจังเลยนะครับ”

ด้วงประสานงานกับเพื่อนร่วมงานเสร็จเมื่อเห็นว่าเหลือเพียงแต่นั่งรอเวลาก็รวบธงแดงเขียวมานั่งสนทนาข้าง ๆ ฆ่าเวลาเสียเลย

“มหาวิทยาลัยผมอยู่ห่างจากที่นี่ครึ่งชั่วโมง”

“ผมได้ยินว่าเขาเริ่มเรียนกันตอนช่วงสาย ทำไมถึงออกจากบ้านตั้งแต่หกโมงล่ะครับ?”

“ผมต้องไปเตรียมแผนการสอน เอกสารส่วนใหญ่ผมก็อยู่ที่นู่น สะดวกกว่าเอากลับมาทำที่บ้านครับ”

“อ๋อ”

นายสถานีหนุ่มอ้าปากร้องอ๋อ ทำหน้าทำตาสนอกสนใจคิดไตร่ตรองตามทำให้ผู้เป็นคุณครูยกยิ้มขึ้นตามด้วยความเอื้อเอ็นดูอย่างเป็นไปเอง

“แล้วสรุปที่ผมให้ไปครั้งก่อนได้ใช้บ้างไหมครับ?”

คุณอุ่นหมายถึงสมุดจดประโยคสำเร็จรูปสำหรับใช้สื่อสารกับชาวต่างชาติ มีทั้งจีน อังกฤษแล้วก็ญี่ปุ่น

“ได้ใช้เยอะกว่าที่คิดครับ ปกติจะพูดแต่ละคำต้องวิ่งถามคนอื่น ๆ พัลวัน ขอบคุณอาจารย์จริง ๆ นะครับ”

“พัน...ละวัน?”

“แปลว่าวุ่นวายครับ เพราะผมต้องวิ่งหาศัพท์ไปมา สวนทางคนนู้น วิ่งผ่านคนนี้ก็เลยวุ่นวาย”

“ผมไม่เคยได้ยินนักศึกษาใช้คำนี้”

“คงเพราะผมเริ่มแก่แล้วมั้งครับ วัยรุ่นสมัยนี้ใช้คำแปลกใหม่ขึ้นเยอะ”

“ผมเห็นด้วยครับ”

“คุณอุ่นเห็นด้วยที่ผมแก่ หรือเห็นด้วยที่ผมบอกว่าวัยรุ่นสมัยนี้ใช้คำไม่คุ้นหูกันครับ”

“มะ...หมายถึงอย่างที่สองต่างหากล่ะครับ ผมจะไปบอกว่าคุณแก่ได้ยังไง”

คุณครูชาวญี่ปุ่นล่กไปไม่เป็นไม่รู้เก็บมือไม้ไว้ตรงไหน เขาไม่พูดทักเรื่องอายุกับคนรุ่นราวคราวเดียวกันหรอก

“ฮ่าฮ่าฮ่า ผมแค่ล้อเล่นเอง ไม่ต้องพูดขนาดนั้นก็ได้”

ด้วงส่งเสียงหัวคิกคักต่อการกระทำอันน่าเอ็นดูของอาจารย์ แม้เจ้าตัวจะแก่กว่าเขาถึงห้าปีแต่ก็ยังมีมุมน่าขบขันโผล่ออกมาให้เห็นเสมอ

“ถ้าเป็นนักศึกษาของผม คุณคงโดนหักคะแนนจิตพิสัยไปแล้วนะครับ”

“แค่เพราะผมหัวเราะคุณน่ะเหรอ?”

“เพราะคุณทำผมอายต่างหาก”

“น่าอายตรงไหน น่ารักจะตาย”

ด้วงยังคงพูดไปกลั้วหัวเราะไปไม่หยุด ดันกิเห็นคนเด็กกว่าไม่ยอมเลิกจึงคิดจะดีดหน้าผากนั้นเบา ๆ สักที แต่เจ้าตัวดันหูตาไว รีบรวบก้านธงลุกออกไปจากที่นั่งเสียก่อน ทำเอาเขาต้องกระชับกรอบแว่นถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ สิ่งที่เหมือนกันระหว่างนักศึกษากับนายสถานีคนนี้คงจะเป็นความแก่นซนกระมัง

และเมื่อคิดกลับไปยังบทสนทนาเมื่อครู่ หากเขาใช้คำว่า ‘เขิน’ น่าจะสื่อสารได้ตรงจิตตรงใจมากกว่า ไว้คราวหน้าหากมีโอกาสค่อยพูดก็แล้วกัน

Related chapter

Latest chapter

DMCA.com Protection Status