ด้วงสูดลมหายใจเข้าเมื่อวิ่งมาถึงยังหน้าชานชาลาในการดูแล อีกไม่นานรถไฟขบวนแรกจากชุมพรก็จะเข้าเทียบ เขาต้องมีสมาธิจดจ่อกับหน้าที่และผู้คนเพื่อมองหาใครคนนั้นให้เจอ
ทว่าเหมือนที่เขาแกล้งหัวเราะอาจารย์แกไปเมื่อครู่จะโดนเอาคืน เพราะจู่ ๆ หมวกประจำตำแหน่งก็ถูกถอดออกทำให้เขาต้องหันไปมองจนเห็นว่าเป็นคุณอุ่นที่ยืนถือหมวกเขาอยู่ก่อนจะรีบเดินเข้ามาสวมหมวกให้เหมือนเดิมเมื่อเห็นสีหน้าอันไม่พอใจ
“ผมแกล้งหนักไปเหรอครับ?”
“ถามมาได้”
นายสถานีเม้มปากไม่พอใจ เขาหัวเราะนิดเดียวเองดันมาแกล้งถึงเนื้อถึงตัวกันเสียได้ ไหนเจ้าตัวบอกคนญี่ปุ่นเรียบร้อยตามขนบอย่างไรเล่า
“วันนี้ขอให้โชคดีนะครับ”
สิ่งที่อาจารย์กล่าวก่อนจะขึ้นตู้สื่อถึงคนที่เขากำลังเฝ้าตามหาอยู่ ถึงเขาจะไม่ได้ป่าวประกาศว่ากำลังตามหาคนแต่ก็ไม่ได้ปิดเป็นความลับแก่คนใกล้ชิด
ด้วงถอนหายใจเฮือกใหญ่ ดึงสติกลับมาอยู่กับเนื้อกับตัว กระชับปีกหมวกประจำตำแหน่งให้เข้าที่เพราะอีกไม่ถึงนาทีจะถึงเวลารถไฟรอบแรกของวันเข้าเทียบ นัยน์ตาสีดำประกายม่วงไร้แวว มองหัวรถจักร สดับฟังเรียงหวูดอย่างเหม่อลอย เสียงพูดคุยเซ็งแซ่โอื้ออึงอยู่ในหัวผนวกกับเสียงเดินของผู้คนนับสิบนับร้อยซึ่งเดินขวักไขว่ ตรงข้ามกับเขาที่ยืนมองภาพตรงหน้าด้วยสายตาเรียบเฉย
แม้จะรู้สึกสิ้นหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่าในทุกเย็นเมื่อไม่เห็นคนผู้นั้นก้าวเดินลงมาจากตู้รถไฟ แต่เมื่อรุ่งอรุณมาถึง จิตใจเขาจะไม่ยอมแพ้และเฝ้ารอต่อไป โดยหวังว่าสักวันความปรารถนาของเขาจะเป็นจริง
แต่คนแล้วคนเล่า ที่เดินถือกระเป๋าลงมาไม่ว่าจะมาแต่เพียงผู้เดียวหรือเป็นหมู่คณะก็ไม่มีคนหน้าคล้ายเลยสักนิด เขามั่นใจว่าหน้าตาตั้งแต่สมัยวัยเยาว์ของบุคคลนั้นเมื่อโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่จะยังคงไว้ซึ่งความงามชวนเสน่หา
ทว่าสงสัยวันนี้มันคงเป็นดังเช่นทุกวัน
จะไม่มีเสียงอันไพเราะน่าฟัง
ไม่มีรอยยิ้มอันน่ามอง
ไม่มี...
"นพ เดี๋ยวครูนั่งรอตรงนี้นะ"
เสียงทุ้มหวานแว่วผสมปนเปมากับเสียงจ้อกแจ้กของคนรอบข้าง ไอบรรยากาศอันคุ้นหู จังหวะการพูดอันเนิบช้าชวนคิดถึงดึงให้นายสถานีหันไปยังต้นเสียง ทันใดนั้นดวงตาจึงสะท้อนภาพของร่างผอมเพรียวในเสื้อแขนยาวกางเกงสีกรมท่า ดวงตากลมดำประกายแสงภายใต้กรอบแว่น และเส้นผมยาวจับเป็นช่อนั้นเขายังคงจำมันได้ดี แม้ทรวดทรง ดวงหน้าจะเปลี่ยนไปเล็กน้อยแต่องค์รวมกลับยังคงเหมือนภาพในอดีตไม่มีผิด
ขายาวก้าวไปข้างหน้าอย่างเป็นไปเองก่อนจะเร่งความเร็วขึ้น เขาไม่กล้าแม้แต่จะกะพริบตาเพราะกลัวว่าคนตรงหน้าจะอันตรธานหายไป
รองเท้าหนังสีดำด้านหยุดลงหน้าม้านั่งที่มีโฉมงามนั่งก้มหน้าก้มตาดูสัมภาระอยู่แต่เพียงผู้เดียว ก่อนจะพยายามเค้นเนื้อเสียงเอ่ยชื่อบุคคลในความทรงจำ
"ไอ้แก้ว..."
ด้วงเอ่ยเรียกนามอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ โดยคาดหวังให้คนตรงหน้าเป็นเพื่อนสมัยเด็กของตน จนเมื่อเจ้าของหางม้ายาวเริ่มหันซ้ายหันขวา ความคาดหวังของเขาก็ยิ่งเพิ่มขึ้นเป็นเท่าทวี สุดท้ายเมื่อสบสายตากัน คนบนเก้าอี้จึงได้ตัวกระตุกตกใจตาเบิกโพลง
ยิ่งเขามองความใคร่คิดถึง ความเป็นห่วง และความโล่งใจก็พวยพุ่งขึ้นมาเป็นน้ำสีใสที่เอ่อรอบดวงตา
"ไอ้ด้วง..."
น้ำเสียงทุ้มหวานที่เอ่ยเรียกชื่อยิ่งพิสูจน์ให้เขาเห็นว่าตลอดนานนับสิบปีที่เขาได้แต่เฝ้ารอเหมือนคนโง่ ในที่สุดความพยายามของเขาก็เห็นผล
"ไอ้แก้ว...ไอ้แก้วจริง ๆ ใช่ไหม"
ด้วงพร่ำไถ่ถามคนตรงหน้าเพื่อยืนยันว่าสิ่งที่เขากำลังเห็นอยู่ไม่ได้เป็นเพียงห้วงฝัน
"ใช่ ทำไมเอ็ง-*ฟึบ*
เพียงพยางค์แรกที่ถูกเอ่ย คนในชุดเครื่องแบบก็โผเข้ากอดแม่นางรำอย่างไม่อายว่าจะมีใครมองมา ทว่าคนบนเก้าอี้ที่ยังคงทำตัวไม่ถูกก็ได้แต่อ้ำ ๆ อึ้ง ๆ
"ฉันคิดถึงเอ็ง...คิดถึงเอ็งมาตลอดสิบปี ดีใจมากเลยที่ได้มาเห็นเอ็งยังอยู่ดีแบบนี้"
"อะ...ไอ้ด้วงเอ็ง- ปล่อยก่อน"
ตรีศูลเห็นเพื่อนในเก่าเข้ามาแนบชิดตกอกตกใจ เขาไม่คิดว่าจู่ ๆ คนแข็งกร้าวอย่างเพื่อนคนนี้จะเข้ามาส่งเสียงสะอื้นไห้
*พลั่ก!*
"ไอ้โรคจิต แกจะทำอะไรอาจารย์น่ะ!"
เสียงเด็กจิ๋วโพล่งขึ้นมาพร้อมแรงผลักดันสีข้างส่งให้ตัวเขาเซลงไปนั่งทักทายพื้นกระเบื้อง และด้วยเสียงที่ดังจึงทำให้ผู้คนรอบข้างหันมาให้ความสนใจกับสถานการณ์ดังกล่าว พร้อมกับเจ้าหน้าที่กำลังพุ่งตัวเข้ามาคุมสถานการณ์ ทว่าไม่นานเจ้าของชื่อ ‘แก้ว’ ก็รีบคว้ามือคนบนพื้นให้กลับมายืนดังเดิม
"เกิดอะไรขึ้นครับ?"
แผนที่อยู่กะเดียวกันเดินเข้ามาถามก่อนจะสังเกตเห็นถึงเพื่อนสนิทตัวเองซึ่งกำลังถูกใครบางคนพยุงตัวขึ้น
"ไม่มีอะไร เอ็งไปทำงานเถอะ"
"ดะ...เดี๋ยว!? ไอ้ด้วงนี่เอ็ง!"
คนเป็นเพื่อนงงงวย จู่ ๆ มันพูดอะไรออกมา
เจ้าแผนยิ้มแห้งปนอึ้ง เขาไม่เคยเห็นเพื่อนเป็นแบบนี้มาก่อน เห็นมันยิ้มปากแทบฉีกถึงรูหูแล้วก็ขนลุกซู่ ถ้าไม่ติดว่าที่นี่เป็นที่ทำงานเขาจะถือว่ามันปกติ แต่เวลาอยู่สถานีใคร ๆ ก็รู้ว่านายดลรวี ก้องภัชรกุลจะเป็นคนจริงจัง ตั้งใจทำงาน ตอนอยู่กับใคร ๆ มักจะทำหน้าดุเป็นยักษ์ กระทั่งผู้โดยสารมาถามทางมันยังทำหน้าถมึงทึงใส่แต่นี่อะไร คุยไปยิ้มไปอย่างกับคนบ้า
"เอ็งเป็นอย่างไรบ้าง"
ด้วงไม่สนใจสายตาของไอ้แผนที่มองมา รวมไปถึงเสียงเจี๊ยวจ๊าวของเจ้านพที่กระโดดโหยงเหยงโวยวายอยู่ทั้งสองข้าง ดวงตาคมกริบจดจ้องไปที่โฉมงามตรงหน้าแต่เพียงอย่างเดียว
"ก็...สบายดี"
คล้ายว่าเจ้าตัวจะยังคงจับต้นชนปลายไม่ถูก จู่ ๆ ก็มาเจอเพื่อนสนิทที่ห่างกันไปนานแสนนาน ทำตัวไม่ถูกถือเป็นเรื่องสามัญและเขาพึ่งมารู้ตัวว่าตนอุกอาจเกินควรจึงถอนมือที่จับถือแขนออกมายืนอย่างเก้ ๆ กัง ๆ
"ฉันขอโทษ เอ็งยังกลัวอยู่หรือเปล่า"
เขาย้อนนึกไปถึงอดีต มันคงจะไม่ง่ายหากเจ้าตัวที่เคยประสบเรื่องร้ายมาจะปรับตัวได้ทันท่วงทีในสถานการณ์แบบนี้
"ไม่กลัว แล้วตอนนี้เอ็งเป็นอย่างไรบ้าง"
"กะ...ก็สบายดี"
"ฮ่า ๆ อย่าลอกคำตอบกันสิ"
คู่สนทนาหัวเราะเสียงใส เป็นที่ชื่นใจของนายสถานี ยิ่งมองยิ่งคิดถึง คุ้มแล้วกับสิบปีที่รอมาตลอด
"แก้ว... เอ็งไปกับฉั-
"อาจารย์ ไปกันได้แล้วนะ"
เสียงของเจ้าเด็กปากแจ๋วพูดขึ้นพร้อมกระตุกข้อมือของอาจารย์เจ้าตัวให้เดินออกรั้วกั้นตามกันไป
"ฉันต้องไปแล้ว ลาก่อนนะ"
ด้วงไม่ชอบคำนี้เอาเสียเลย ประหนึ่งว่าการพบกันครั้งนี้มันจะเป็นครั้งสุดท้าย เขาไม่อยากให้มันจบลงเท่านี้ เขาอยากสานสัมพันธ์ต่อ อยากพูดคุยให้มากกว่านี้
"เราจะยังได้เจอกันอยู่ใช่ไหม!?"
"อื้อ ได้สิ เดี๋ยวพรุ่งนี้ฉันมาหา"
เสียงใสตอบรับก่อนจะผละมือออกแล้วเปลี่ยนมาเป็นโบกมือลาง่าย ๆ ดวงหน้ากลมเผยรอยยิ้มสดใสเจิดจ้า
ด้วงยืนโบกมือส่งคนงามไปจนลับสายตา นัยน์ตาดำมืดยังคงจับจ้องไปยังทางเดินเรียบอันว่างเปล่าด้วยความคะนึงหา แววเนตรเหม่อลอยคล้ายคนไร้สติจนเพื่อนอย่างเจ้าแผนที่แอบซุ่มมองสถานการณ์มาสักพักเข้ามาทัก
"ไอ้ด้วง"
แผนพูดเสียงปกติทว่าไอ้เพื่อนยากก็ดูจะไม่มีปฏิกิริยาตอบรับเอาแต่มองทางข้างหน้าอย่างเหม่อลอย
"ไอ้ด้วง!!"
"เอ็งจะตะโกนทำไม"
"ก็เอ็งมัวแต่เหม่อ"
"เฮ้อ ไปทำงานได้แล้วไป"
ด้วงทอดถอนหายใจออกมาก่อนจะนึกถึงคำของแม่คนงามเมื่อครู่ที่กล่าวว่า 'เดี๋ยวพรุ่งนี้ฉันมาหา' แล้วจึงคิดเรื่องดี ๆ ออก
"วันนี้ฉันลา พรุ่งนี้ก็ด้วย"
"เอ้า?"
คนเป็นเพื่อนอย่างแผนงงกับท่าทีอันผิดแผกของไอ้ด้วง นับตั้งแต่ใช้ชีวิตเป็นเพื่อนกันมาเขาไม่เคยได้ยินคำว่า ลา ออกมาจากปาก เป็นอะไรของมันวะ หรือเมื่อกี้ลื่นล้มจนสมองกลับไปแล้วหรือ? แต่เมื่อคิดดี ๆ ที่มันยิ้มหน้าบานเป็นกระด้งต่อหน้าสุดสวยคนนั้น ถ้าไม่ใช่ว่าที่เมียมันแล้วจะเป็นใครได้
!!!
ไอ้ด้วงมันเจอคนที่มันรอแล้วเหรอ!?ผู้ชายคนนั้นน่ะนะ!
ด้วงเดินออกมาด้วยความดีใจ ในที่สุดเขาก็เจอแล้วในเมื่อแก้วบอกว่าจะมาหาเขาวันพรุ่ง เช่นนั้นวันนี้เขาจะตะลอนหาที่นั่งสบาย ๆ รอบพระนครตระเตรียมแผนการเดินทางให้โฉมงามเพื่อนสมัยเด็กได้ประทับใจรวมไปถึงการบอกเรื่องนี้กับพี่ไกร เพราะเจ้าตัวเมื่อเช้าดูจะเป็นกังวลในเรื่องนี้มากโข ไว้เดี๋ยวคืนนี้เขาจะอยู่รอนั่งเล่าให้ฟัง ในเมื่อเป้าหมายในชีวิตเขาสำเร็จแล้ว คุณพี่ชายจะได้ไม่ต้องมาหนักใจในเรื่องไม่เป็นเรื่องอีก. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .“ผู้กำกับ เหม่ออีกแล้วนะครับเมื่อคืนนอนน้อยรึหรือไง?”“มาค้ง มาครับอะไรไอ้พูน เรียกชื่อฉันเหมือนเดิมเถอะ แสลงหู”พูนเพื่อนร่วมงานบุ้ยปาก ไอ้เขาก็อยากทำตัวมีมารยาทกับพ่อพันตำรวจเอกผู้เป็นที่เชิดหน้าชูตาแก่สน.เสียหน่อย ดันมาขัดขากันได้“ตกลงกันว่าจะเริ่มคดีเสือขามวันนี้ใช่ไหม?”“นอกเรื่อง”“กำลังจะเข้าเรื่อง”พูนกอดอกกลอกตามองบน เขาล่ะหน่ายใจกับท่าทีเก๊กขรึมข
ตกเย็นใกล้พลบค่ำด้วงรีบกลับบ้านมา วันนี้เขาอารมณ์ดีนัก ตั้งแต่รู้ว่าจะได้กลับไปพูดคุยกับแก้วอีกครั้งเขาก็ดีใจจนเนื้อเต้น คุณอาในชุดลำลองเสื้อโปโลสีเนยกางเกงน้ำตาลเดินเข้ามาด้วยรอยยิ้มประดับใบหน้าพลางยกเสื้อผ้าที่พนักงานแนะนำมา มีตั้งหลายตัวแต่ไปแค่พรุ่งนี้วันเดียวไม่รู้จะใส่ตัวไหน สงสัยคงต้องถามพี่ไกรเสียแล้ว“ด้วง วันนี้ไปไหนมาครับ”เสียงเข้มแว่วมาจากระเบียงชั้นสอง เป็นเจ้าของบ้านที่ยืนค้ำราวไม้ทักทายลงมา เจ้าตัวคงจะกลับบ้านมาสักพักแล้วจึงได้อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสียเรียบร้อย“ผมไปซื้อของที่ห้างมา”“ไหนเอาขึ้นมาให้พี่ดูซิ”จากประสบการณ์สอบปากคำตลอดหลายสิบปี หากอยากได้คำตอบที่ชัดเจน อย่าตั้งแง่กับผู้ต้องสงสัย ค่อย ๆ ใจเย็นตะล่อมถาม หากร้อนใจขึ้นประเดี๋ยวลูกไก่ในมือจะวิ่งหนีไปเสียฉิบ“เราลางานกะทันหันแบบนี้ ไม่กระทบเพื่อน ๆ ที่ทำงานเหรอ?”“วันนี้รอบรถถี่แค่ช่วงสาย ตกบ่ายมาก็น้อยแล้ว”“แล้วไม่กลัวโดนหักเงินเดือนเหรอ?”“ผมมีเงินเก็บเยอะ ไม่กลัวเรื่องแบบนั้นหรอก”“พี่เห็นเรายิ้มไม่หุบมาสักพักแล้ว
เสียงนกร้องภายนอกแว่วเข้ามาผ่านช่องเล็กช่องน้อยภายในห้องนอนขนาดย่อม เครื่องเรือน เครื่องนอนล้วนถูกคัดสรรมาอย่างเหมาะสมให้เขากับผู้อยู่อาศัย แต่เพราะเจ้าของห้องไม่ได้ฟุ้งเฟ้อ จึงมีแต่ของใช้จำเป็นเพียงโต๊ะ ตู้ เตียง และม่านมุ้งห้อยจากเพดานกันแมลงในตอนกลางคืนทว่าวันนี้นาฬิกาปลุกถูกตั้งให้ช้ากว่าปกติเพราะนี่นับเป็นวันแรกที่คนบนเตียงจะได้ออกไปใช้ชีวิตกับเพื่อนที่รอมานานนับสิบปี จนเมื่อเสียงกริ๊งดังไม่ทันใดมันก็ถูกกดหยุดลงพร้อมนายสถานีร่างโปร่งที่ลุกขึ้นมาบิดกายยืดเส้น ดวงหน้าอิ่มเอิบประดับรอยยิ้ม แต่เช้าตรู่พลางมองเสื้อผ้าของวันนี้ที่ถูกแขวนเตรียมไว้ตั้งแต่เมื่อคืนด้วงสูดลมหายใจเข้าระหว่างนั่งเล่นให้ร่างกายตื่นเต็มตา แล้วจึงกระเด้งตัวออกจากเตียงไปผลัดผ้าผลัดผ่อนบ้านหลังนี้กว้างโอ่อ่าพอจะทำห้องส่วนตัวให้แก่ทุกคนรวมไปถึงห้องอาบน้ำในทุกห้องนอนเช่นกัน เพิ่มความสะดวกสบายให้สมาชิกในบ้านที่ต้องทำกิจในเวลาไล่เลี่ยกันกระจกบานเล็กหน้าโต๊ะสะท้อนร่างสูงโปร่งประดับลอนกล้ามเนื้อสีเข้มกระนั้นก็พอมีช่วงเอวไม่ตีบตันไร้สัดส่วนด้วงรีบเข้าไปรดน้ำทำความสะ
“วันนี้คุณดลรวีก็มาช้าเหรอครับ?”ดันกิเดินมาสนทนากับเจ้าแผนที่คุณดลรวีเล่าให้ฟังว่าเป็นเพื่อนคนสนิท เขาซึ่งมาที่นี่ทุกเช้าก็มักจะได้สนทนากับนายสถานียิ้มเก่งคนนั้นเป็นประจำ ได้ยินว่าเจ้าตัวเจอคนที่รอมาตลอดแล้วไม่รู้แน่ชัดว่ามันจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เจ้าตัวมาช้ากว่าปกติหรือเปล่า“เปล่าครับ มาเช้ากว่าใครเพื่อนเลย นู่นนั่งอยู่นู่น”แผนกอดอกบุ้ยคางยังเจ้าเพื่อนที่นั่งเหงาเหม่อมองทางรถไฟมาตั้งแต่ย่ำค่ำ ทำเอาเขาสงสัยไม่ใช่น้อย ว่าเจอก็เจอแล้วทำไมยังนั่งเป็นหมาหงอยอยู่อีก“ขอบคุณครับ”แผนมองแผ่นหลังของคุณครูชาวญี่ปุ่นวิ่งต้อย ๆ ไปทางเจ้าเพื่อนรักก็นึกอิจฉา เขาสิไม่รู้ทำไมไม่ได้คนสติดี ๆ มาเดินตามบ้างดันกิสาวเท้าด้วยความเร็วก่อนจะค่อย ๆ ชะลอลงเมื่อเข้าใกล้เก้าอี้ไม้ข้างเสา เขาหอบเอาลมหายใจเข้าปอดพลางสังเกตสีหน้าของคุณดลรวี แต่ไม่รู้ทำไมวันนี้มันถึงได้ดูหม่นหมองไม่ต่างจากท้องฟ้ายามมีเมฆฝน“คุณอุ่น มาตั้งแต่เมื่อไหร่เหรอครับ ผมไม่รู้ตัวเลย”“ผมพึ่งมา ทำไมวันนี้คุณถึงดูเศร้า ๆ ล่ะครับ”“มันอธิบายค่อนข้างยากน่ะครับ...”
ด้วงที่ลงมาหยิบนมในตู้แช่เย็นได้ยินเสียงพูดคุยจ้อกแจ้กแว่วลงมาจากด้านบนบวกกับเสียงกลอนประตูเมื่อสักครู่จึงคิดจะอุ่นชาหอมขึ้นไปให้พี่ชายที่น่าจะกลับมาแล้วด้วยในระหว่างที่ตั้งเตาอุ่นนมก็จัดแจงคีบถ่านจุดไฟวางกาน้ำร้อน ก่อนจะผละไปเปิดตู้กับข้าวมองหาถุงชาที่ได้รับเป็นของฝากเมื่อเดือนก่อน เพียงนานเครื่องดื่มอุ่นก็พร้อมใส่แก้วพอเดินขึ้นมาก็เห็นว่าพ่อลูกกำลังนั่งคุยกันอยู่ แต่เหมือนน้องกันต์จะดูอาการไม่ค่อยดีเมื่อได้สนทนากับผู้เป็นพ่อ เขาจึงรีบเดินอ้อมหลังไปมอบแก้วนมให้เจ้าตัวรีบดื่มจะได้หนีออกไปจากความอึดอัดได้ ส่วนเขาพาตัวเองมานั่งตรงข้ามพี่ชายพร้อมวางแก้วชาหอมไว้ตรงหน้า“ของเราไม่มีเหรอ?”“วันนี้ผมไม่ค่อยอยากกินอะไร”เขาพูดพลางชำเลืองมองหลานชายที่ค่อย ๆ จิบนมดูเหมือนเขาจะอุ่นร้อนจนเกินไป“วันนี้เราเป็นอะไร ดูเหม่อ ๆ นะ”“ปะ...เปล่า แค่มีเรื่องให้ต้องคิดนิดหน่อย”ตอนนี้เขาระแวงเหลือเกินว่าพี่ไกรจะทำอย่างเมื่อเช้าต่อหน้าลูกชายตัวเอง แต่ตอนนี้เขาจะออกอาการไม่ได้จึงทำเพียงเก็บไม้เก็บมือให้ห่างจากกลางโต๊ะลงมาประสานอยู่บนต
ตอนนี้เขากำลังเข้าตาจน ร่างกายไม่อาจประมวลความคิดได้ทันท่วงทีอย่างเคย คนในชุดนายสถานีพร้อมข้าวกล่องใบน้อยในมือยืนสั่นกลัวอยู่หน้าประตูกรงขัง แววตาผวาหวั่นมองผู้มีศักดิ์เป็นพี่ชายยืนข้างนักโทษซึ่งมีสภาพสะบักสะบอมประหนึ่งถูกซ้อมอย่างรุนแรง“พี่...ทำอะไรน่ะ”คล้ายว่าเวลาได้หยุดลงเขามองน้องชายด้วยความตกตะลึง หยดเลือดสดใหม่บริเวณข้อนิ้วหลั่งไหลผ่านฝ่ามือก่อนจะหยดลงพื้นกองรวมกับคราบเลือดก่อนหน้า ไม่รู้ว่าเมื่อสักครู่จะซ่อนมือไพล่หลังทันหรือเปล่าเอาแล้วไง. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .“คุณดลรวีเดินกลับไปทานมื้อเที่ยงที่บ้านทุกวันเลยเหรอครับ ผมอิจฉามากเลย”อาจารย์วิทยาลัยคนสนิทกล่าวเมื่อได้ทราบว่านายสถานีมีเรือนพักอาศัยห่างจากที่ทำงานไปเพียถนนสองเส้น“แล้วปกติคุณอุ่นทานข้าวเที่ยงที่ไหนเหรอครับ?”“โรงอาหารวิทยาลัย ไม่ก็ร้านแถว ๆ นั้นครับ”“แล้วแถวนั้นอาหารไม่อร่อยเหรอครับ?”“อร่อยครับ แต่กินแถวนี้...อร
เพราะอย่างนั้นในระยะเวลาพักเที่ยงหนึ่งชั่วโมงเขาจึงต้องเดินมาสน.ใกล้สถานีเพื่อเอาเข้ากล่องข้าวสองชั้นมาให้เจ้าพี่ และต้องเข้ามาเจออีกฝ่ายในสภาพที่เขาไม่คิดไม่ฝันว่าจะได้เห็นมาก่อนสีหน้าท่าทางอันโกรธเกรี้ยวคล้ายยักษ์มองไปยังนักโทษชายวัยกลางคนถูกมือเปล่าบีบรัดคอตรึงไว้กับซี่ลูกกรง กลิ่นสนิมโชยมาเตะจมูกชวนน่าคลื่นไส้ ก่อนที่คนในเครื่องแบบตำรวจภูมิฐานจะหันมาสบตากับตัวเขาที่ยืนอยู่หน้าประตู ทันใดนั้นท่าที่ดังกล่าวก็เปลี่ยนไปประหนึ่งพลิกฝ่ามือ แววตาน่ากลัวกลับมาอบอุ่น มือหยาบกร้านสีนวลผ่องละจากลำคอแข็งเกร็งของนักโทษ ฝีเท้าหนักก้าวมุ่งตรงมาทางเขา ทว่าเมื่อจะก้าวถอยบานประตูไม้ที่แง้มปิดอยู่เมื่อครู่ก็ดันเข้าล็อกปิดสนิทพอดี“ด้วง เรามาหาพี่มีเรื่องอะไรเหรอ”“ผม...คือ...”นัยน์ตาสีม่วงแก่สั่นไหว เงยมองใบหน้าคมเปื้อนหยดของเหลวสีแดงฉานของผู้เป็นพี่ พลันย้อนนึกไปยังฝันร้ายในอดีตท่อนขาก็ไร้เรี่ยวแรงจะตั้งตรง เขาไม่คิดมาก่อนว่าพี่ชายผู้มีภาพลักษณ์แสนดีมาตลอดจะกระทำรุนแรงต่อเพื่อนมนุษย์ได้ลงคอโดยไม่มีสีหน้าแห่งความรู้สึกผิดเลยสักนิด“อะ...อึก...แคก
“เลขที่ ๓”“…”“เลขที่ ๓ เด็กชายกันต์ธีร์!”“คะ... ครับ!”“เหม่ออะไรอยู่ อ่านต่อจากเพื่อนเมื่อครู่”“ครับ!... เอ่อ...วาย ดู ยู ไล้ ยัว อังเคิ้น...”กันต์ธีร์ยืนขึ้นอ่านบทสนทนาบนหน้ากระดาษท่ามกลางสายตาของเพื่อนและคุณครูประจำวิชาในห้องเรียนขนาดย่อม เขาอ่านมันไปเรื่อย ๆ โดยไร้ซึ่งความมั่นใจ มองอักษรอัลฟาเบทตัวไหนก็งงงวยไปหมด เขาจึงทำได้แต่มองคำอ่านภาษาไทยด้านล่างทั้งที่เรียนมาจนจะสอบกลางภาค เพื่อนคนอื่นอ่านได้กันหมดแล้วมีแต่เขาคนเดียวที่เดินตามหลังอยู่“ฮี อิส อะ คาย เพอ เซิ่น...”“นั่งลง ยังต้องฝึกอีกเยอะนะเรา เอ้า เลขที่ต่อไปยืน”“…”เด็กชายนั่งลงด้วยสีหน้าหม่นหมอง ส่วนหนึ่งเป็นเรื่องการเรียนและอีกส่วนใหญ่คือสถานการณ์ครอบครัวตอนนี้ ไม่รู้ทำไมเขาถึงได้วิตกกับมันมากมายนัก ทั้งที่นั่นเป็นเรื่องของผู้ใหญ่ ไม่ใช่สิ่งที่เด็กจะเข้าไปยุ่มย่ามแต่เขาก็อดเป็นห่วงอาด้วงไม่ได้จริง ๆ ใช่ว่าคุณอาจะไม่สังเกตท่าทีหลานชายอย่างเขา ไม่ต้องไปไหนไกลตัวอย่างก็แต่มื้อเช้าของวันนี้“กันต์รีบกินข้าวเร็
จากกระดาษที่คุณอุ่นเคยจดชื่อและแผนที่วิทยาลัยที่จะไปทำการบรรยายพิเศษไว้ให้ เขาตั้งใจว่าจะพาน้องกันต์ไปชมด้วยกัน อย่างไรเสียมันก็เป็นเสาร์ที่โรงเรียนมัธยมปิดวันหยุด ทั้งเขายังจะได้ใช้เวลาร่วมกับหลานรักอีกด้วยคุณอาในชุดไปรเวทสีสว่างตัดผิวเดินสะพายกระเป๋าเดินคู่หลานชายวัยสิบสามย่างสิบสี่บนทางเดินอิฐปู เมื่อหยิบกระดาษใบน้อยขึ้นมาดูจึงพอทราบว่าระยะทางเหลืออีกไม่ไกลหลังลงสถานีปลายทาง อาจารย์เจ้าที่แม้จะพูดภาษาไทยได้แต่เขียนไทยยังไม่คล่องก็อุตส่าห์พยายามและวาดรูปให้คนอ่านเข้าใจง่าย ทั้งยังมีตัวอักษรยึกยือมุมขวาล่างเขียนไว้ว่า ‘หวังว่าเราจะได้เจอกันนะครับ’ แม้ทีแรกจะต้องเพ่งสมาธิอ่านเพราะประโยคนั้นไม่ได้เขียนโดยเจ้าของภาษา แต่เขาก็รู้สึกปลื้มที่อาจารย์เจ้าพยายามตวัดเขียนซ้ำแล้วซ้ำเล่าดูจากรอยยางลบกับรอยยับของกระดาษ แผนที่อันนี้คงถูกตระเตรียมมาเป็นอย่างดีเพียงเพื่อมาชวนเขาไปดูการบรรยายภาคเช้า ช่างน่าเอ็นดูเหลือเกินในกระดาษเขียนถึงเส้นทางและระยะเวลาการเดินไว้อย่างละเอียด‘๕ นาที เห็นอาคานสีขาว’ด้วงยกยิ้มมุมปากหัวเราะในลำคอ
ไกรวิชญ์เคยคิดว่าช่วงเวลานี้จะเป็นช่วงเวลาที่เศร้าที่สุดในชีวิต บิดาและภรรยาเขาเสียไปในช่วงเวลาไล่เลี่ยกันเนื่องด้วยเหตุรถชนใจกลางเมืองหลวงขณะออกไปซื้อของ แต่มันเทียบไม่ได้เลยกับตอนที่เขาเสียมารดาไปในวัยเด็กนายตำรวจอนาคตไกลเจ้าภาพพิธีศพสวมชุดดำทางการยืนต้อนรับแขกญาติพี่น้องของทั้งสองคนเข้ามาเคารพศพ เขามองน้องชายและลูกในวัยสิบกว่าขวบนั่งด้วยกันโดยที่กันต์กำลังนอนร้องไห้เศร้าโศกเสียใจอยู่บนตักของคุณอาตลอดมาเป็นพี่เลี้ยงที่ดูแลกันต์จนหย่านมก่อนจะยกเลิกสัญญาจ้างกันไป กระนั้นผู้เป็นแม่กลับไม่ดูดำดูดีปล่อยให้คนอื่นในบ้านเลี้ยงเป็นส่วนใหญ่ แล้วพาตัวเองไปออกงานสังคมลุงแดง คุณน้ามาลีและด้วงจึงเป็นสามคนที่คอยประคบประหงมกันต์แทนเขาที่งานล้นมือตลอดเวลาไกรวิชญ์ชำเลืองมองไปยังป้ายชื่อหน้าโลงสีขาวสะอาดก่อนจะได้อ่านชื่อภรรยาที่อยู่ใกล้สายตามากที่สุด‘กุหลาบ’ คือชื่อของหล่อนอย่างนั้นเหรอ... เขาในฐานะสามีมาตระหนักถึงนามของภรรยาเอาตอนที่เจ้าตัวจากไป ช่างน่าขายหน้าเสียจริง นึกแล้วก็แค่นหัวเราะ เขาที่พยายามบอกตัวเองไม่ให้เอาอย่างบิดา ทว่าตลอดมาตัวเขาเ
วันนี้เป็นวันที่เขาจะได้ถอดสายน้ำเกลือและเก็บข้าวเก็บของออกจากโรงพยาบาลหลังจากอาศัยอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมแคบ ๆ นี้มาเป็นเวลาสองเดือนเต็มด้วงในชุดไปรเวทเสื้อยืดกางเกงขายาวตัวใหม่เอี่ยมตรวจทานตัวเองหน้ากระจกห้องน้ำก่อนจะเปิดประตูออกมากะพูดคุยปรึกษาอาการตนเองกับพยาบาลสักครู่แล้วค่อยถือถุงเสื้อผ้ากลับ“เหมาะกับเรามากครับ”“ขอบคุณที่อุตส่าห์ซื้อให้น้องนะ”ด้วงยิ้มมุมปากก่อนจะรีบเดินไปคว้ากระเป๋าเสื้อผ้าในมือเจ้าพี่แล้วจึงเดินออกมา เขารู้ว่าบางทีมันอาจเสียมารยาทไปสักหน่อยแต่เขาอยากสร้างระยะห่างระหว่างตัวเขากับพี่ไกรให้มากที่สุดเพราะเจ้าตัวแต่งงานจดทะเบียนสมรสแล้ว น่าเสียดายไม่น้อยที่ช่วงเวลานั้นเขายังไม่ได้รับอนุญาตให้ออกจากโรงพยาบาลด้วยว่าหลังสลบคาเตียงเพราะหายใจไม่ออกไปคราวนั้นก็โดนเลื่อนวันออกไปอีก จนในที่สุดวันนี้ก็จะได้กลับไปใช้ชีวิตใหม่เสียทีพี่ไกรหลังจากเรื่องราววันนั้นก็มาหาเขาน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด แต่พอใกล้จะกลับอีกฝ่ายก็มาถี่หรือมาแทบทุกเย็น เพราะช่วงที่ห่างไปนั้นอีกฝ่ายต้องตระเตรียมงานแต่งให้โอ่อ่าสมฐานะ ทว่าคิดอีกทีเขาก็ดีใจที่ไ
“เมื่อกี้เรา...พูดว่าอะไรนะ?”“น้องบอกว่า น้องไม่ได้คิดเรื่องแบบนั้นกับพี่”“เดี๋ยวสิ เรื่องแบบนั้นมันคือ-“น้องไม่ได้รักพี่แล้ว” ไกรวิชญ์หน้าชา นี่เป็นบทสนทนาแรกระหว่างเขากับด้วงที่ตื่นขึ้นมาบนเตียงคนไข้ ทว่าจู่ ๆ อีกฝ่ายกลับพาเข้าเรื่องความสัมพันธ์จากนั้นก็โยงเข้าเรื่องนี้อย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย“ด้วง เราแกล้งอะไรพี่อยู่รึเปล่า?”ไกรวิชญ์ยังคงตั้งสติคิดว่าเจ้าน้องคงจะหาเรื่องหยอกเขาเล่นเป็นแน่ หากเป็นเช่นนั้นก็เป็นการพูดเล่นที่จุกอกพอสมควร-“น้องไม่ได้แกล้ง”“…”ด้วงมองพี่ชายต่างสายเลือดด้วยสายตาเอาจริงเอาจัง เจ้าตัวเงียบไปพร้อมกับใบหน้านิ่งค้าง ก่อนจะปรับท่าทีเอนหลังสูดลมหายใจเข้าและพ่นมันออกมาอย่างหนักใจ“ทำไมจู่ ๆ เราจึงบอกเรื่องนี้กับพี่ครับ”“เพราะน้องคิดว่าพี่สมควรรู้ไว้”“แล้วเราไม่คิดเห็นใจพี่บ้างเลยเหรอ”“…”“ด้วง...ได้มีใครบังคับเรารึเปล่า?”“น้องคิดว่าเรากำลังจะเป็นพี่น้องกัน ไม่ควรมีเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้น...มันก็เท่านั้น”“พ่อพี
*เพียะ!* ฝ่ามือเหี่ยวย่นฟาดเข้าใบหน้านายตำรวจหนุ่มแน่นอย่างจังโดยที่เจ้าของร่างไม่แม้แต่จะหลบหลีก กลับยืนรับแรงบนหน้าแก้มอย่างจัง“ควบคุมอารมณ์ตัวเองหน่อยไอ้ไกร”“…”เขาทำเกินกว่าเหตุ แม้จะมีข้ออ้างที่พอฟังขึ้นบ้างแต่ก็ไม่ทั้งหมดเพราะมีนิ้วมือทั้งสิบที่หักงอผิดรูปเป็นเครื่องพิสูจน์ แค่หมอมาดูก็บอกได้แล้วว่ามันไม่เกิดจากความบังเอิญกระนั้นเมื่อทุกอย่างมาอยู่ในใต้การควบคุมของบิดามันก็ถูกกฎหมายและทนายคนสนิทช่วยเหลือจนเขาสามารถพ้นผิดมาได้แม้จะถูกชะลอการเลื่อนขั้นและตัดเงินเดือนเป็นระยะเวลาหนึ่งก็ตามนายตำรวจเกริกผู้พ่อเมื่อลงมือสั่งสอนบุตรตนก็ลงมาหย่อนกายนั่งไขว่ห้างจุดบุหรี่สูบพ่นควันออกไปนอกหน้าต่างบ้าน พลางเหยียดหางตามองเจ้าลูกชายที่สุขุมมาตลอด แต่กลับกลายเป็นบ้าเมื่อมีเรื่องเกิดขึ้นกับเด็กคนนั้นแม้ขยะแขยงรสนิยมนั่นทว่าในฐานะตำรวจ ลูกเขายังคงต้องเรียนรู้อีกเยอะ ว่าการจะปกป้องสิ่งสำคัญได้นั้นมันมีรายละเอียดมากไปกว่าการบดทำลายอุปสรรค“หากมีคราวหน้า ฉันจะไม่ส่งทนายไปช่วยอีกเป็นครั้งที่สอง”“…”
“เปลี่ยนชุดซะ แล้วเอาชุดเอ็งมาให้ข้า พวกมันไม่ปล่อยเอ็งไว้แน่”ที่พวกมันวิ่งเข้ามาฉุดถึงในเพิง คงจะพาไปปิดปากไม่ให้เรื่องหยาบโลนนี้แพร่งพรายออกไป และเขาเองหากโดนเจอก็คงมีสภาพไม่ต่างกันหรืออาจจะหนักกว่า แต่อย่างน้อยตอนนี้ขอให้แก้วมันปลอดภัยไปได้สักคนก่อน“อะ...เอ็งจะทำอะไร”“รีบเปลี่ยนเถอะ เราไม่มีเวลาแล้ว!”ด้วงขึ้นเสียงดังสนั่นจนแก้วตกใจกลัว ทว่าช่วงเวลาแบบนี้แม้จะทราบว่ากำลังขวัญเสียแต่คราวจะมานั่งปลอบใจกันคงไม่ทันกาลเพราะตอนนี้พวกเขากำลังเล่นกับความเป็นความตายแก้วรีบผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าแต่งกายปลอมเป็นหญิงคลุมผ้าใหม่ ส่วนผืนเก่าเขานำมาคลุมเอง“สถานีอยู่อีกไม่ไกล เอ็งข้ามสะพาน เลี้ยวซ้ายแล้วตรงไปก็จะเจอนายสถานี เอ็งหนีไปจังหวัดอื่นเลย ยิ่งไกลเท่าไหร่ยิ่งดี เข้าใจไหม?”“แล้วเอ็ง-“ข้าจะอยู่ที่นี่ล่อพวกมัน”“แต่-“พวกนั้นมากันแล้ว เอ็งรีบไป!!”ด้วงผลักร่างโฉมงามเข้าปะปนกับฝูงชน ก่อนจะหันหลังออกตัววิ่งล่อความสนใจพวกมันยังกลางถนน แม้รูปร่างสีผิวของเขากับแก้วจะต่างกันอย่างเห็นได้ชัดแต่เพราะเป็นช่ว
“สงสัยอยู่ใช่ไหมล่ะเอ็ง ก็อุตส่าห์เลี้ยงมาตั้งนาน ขอเก็บเกี่ยวหน่อยจะเป็นอะไรไป...ใช่ไหม?” มันพูดปนเสียงขำในลำคอ พูดเรื่องทุเรศแบบนั้นออกมาอย่างไม่รู้สึกรู้สาเนี่ยนะ ด้วงปากสั่นไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาก่นด่าเดรัจฉานพวกนี้ดี กรามฟันกัดกรอดจนกรอบหน้าแข็งเกร็ง เขาต้องหาจังหวะขึ้นไปช่วยไอ้แก้วออกไปจากที่นี่พร้อมกันให้จงได้เด็กหนุ่มคล้ายจะหมดแรงจากการขัดขืนและรอยบอบช้ำที่ได้จากการต่อสู้เมื่อครู่ จึงไม่อาจขัดขืนได้มากมายจนไม่อาจลากจับลากพาขึ้นแคร่เก่าได้อย่างไม่ยากเย็นแขนทั้งสองที่พยายามออกแรงเท่าที่ไหวไม่ได้ทำประโยชน์อะไรให้แก่เจ้าตัวเลยสักนิดนอกจากเพิ่มความกระเส่าเร้าใจให้แก่ชายเบื้องบน จนเมื่อเด็กหนุ่มคงจะสำเหนียกตนได้แล้วว่าไม่มีทางหลุดรอดไปได้จึงยอมละทิ้งร่างกายทั้งหมดให้เป็นที่พอใจ“เหอะ กว่าจะยอมกันได้-*พลั่ก!!*ด้วงใช้โอกาสที่ไอ้ทองชะล่าใจ หยิบคว้าท่อนไม้ที่คงจะหักกลิ้งลงมา และเพราะมันกลืนไปกับดินดอนเมื่ออยู่ในความมืดพวกมันที่ไม่สังเกตจึงมองไม่เห็นด้วงรวบรวมแรงทั้งหมดไว้ที่มืออีกครั
คิดเอาไว้ว่าเป็นเช่นนั้นเอาเข้าจริงการฝืนตื่นขึ้นมากลางดึกแม้เวลาจะผ่านไปแล้วเกือบสามชั่วโมงนับตั้งแต่เขาเข้านอนตอนหกโมงครึ่งมันก็เพลียเอาการรอบข้างภายในกระท่อมมืดสนิทนอกจากเครื่องเรือนอย่างง่ายตามชั้นและพื้นฟากที่เขาห้ามทำให้เกิดเสียงแล้ว ก็ยังต้องเอื้อมมือไปหยิบเชิงเทียนอยู่เหนือศีรษะของผู้เป็นแม่อีก ด้วงเม้มริมฝีปากกลั้นลมหายใจแผ่วค่อย ๆ ชันข้อศอกดันตัวขึ้นอย่างช้า ๆ เพื่อไม่ให้มารดารู้สึกตัว แล้วจึงเอื้อมมือไปจับเชิงเทียนมาไว้ในมือได้สำเร็จ“ด้วง...”“!!!”เจ้าของชื่อสะดุ้งเฮือกก่อนจะก้มมองแล้วเห็นว่ามารดาเพียงพลิกตัวละเมอเอ่ยชื่อเขาขึ้นมาแต่เพียงเท่านั้น ด้วงโล่งใจจากที่เหงื่อตกมาก็นานพอสมควรเขาตั้งใจออกมาจุดเทียนให้แสงสว่างเมื่อเดินออกมาจากกระท่อมได้พอสมควรแล้ว ตอนนี้ภายในบ้านหลังน้อยมีเพียงมารดาที่นอนหลับพักผ่อนกับหมอนและผ้าห่มของเขาที่ระเกะระกะแต่เพียงเท่านั้นอากาศตอนกลางคืนเพราะไม่เคยได้ออกมาจริง ๆ จัง ๆ เขาจึงพึ่งมารู้อายุสิบเจ็ดว่ามันเย็นยะเยือกแม้อยู่ในฤดูร้อน ประกายแสงจากเทียนส่องสะท้อนใบหน้ากลมกลึงจ้องมองเรือนไ
ลูกชายของเธอขวัญเสียอยู่นานหลักวัน ไม่กล้าเดินออกจากกระท่อมสุ่มสี่สุ่มห้าหากไม่ใช่เวลาเข้างาน หกโมงเช้ามักมีท่าทีระแวดระวังเป็นพิเศษเธอกลับมาตอนเที่ยง ๆ บ่าย ๆ ลูกเธอก็ไม่ออกไปช่วยกิจของทางวัดอย่างเคย แม่มาลีเห็นบุตรชายที่ตกบ่ายมาก็ยังนั่งขลุกช่วยหล่อนตำยาสมุนไพรก็นึกสงสัยขึ้นมาเป็นครั้งที่เท่าไรแล้วก็ไม่รู้ ไม่ว่าจะถามไถ่ว่าไปเจออะไรมา ด้วงก็มักจะหลีกเลี่ยงไม่ตอบเสียทุกครั้ง‘มันไม่มีอะไรหรอก’‘สงสัยฉันคงคิดไปเอง’‘ฉันโตแล้วนะ แม่ไม่ต้องเป็นห่วงฉันหรอก’ลูกเธอเป็นคนโกหกไม่เป็น หรือต่อให้พูดโป้ปดก็เป็นคนเผยพิรุธออกมาอย่างชัดเจน เจ้าตัวคงรู้ดีว่าหากโกหกแม่จะรู้ได้ทันทีจึงใช้วิธีหนีจากคำตอบนั้นแม่มาลีนั่งหั่นตะไคร้ใบมะกรูดเมื่อแล้วเสร็จจึงกวาดพวกมันลงถาดสังกะสี พลอยมองเจ้าลูกจอมดื้อโขลกเครื่องแกงอยู่ข้าง ๆ สีหน้านั้นเคร่งเครียดเรียบนิ่งผิดปกติประหนึ่งคนคิดอะไรอยู่ตลอดเวลา คราวอยากจะรู้อีกฝ่ายก็ไม่ปริปากบอกจนเธอเริ่มมีความคิดจะเค้นคอถามหากลูกคนนี้ไม่นำเรื่องมาปรึกษาแม่แท้ ๆ“ด้วง เอ็งออกไปช่วยพระท่านกวาดลานพระธรรมไป”“แต่ว