ด้วงสูดลมหายใจเข้าเมื่อวิ่งมาถึงยังหน้าชานชาลาในการดูแล อีกไม่นานรถไฟขบวนแรกจากชุมพรก็จะเข้าเทียบ เขาต้องมีสมาธิจดจ่อกับหน้าที่และผู้คนเพื่อมองหาใครคนนั้นให้เจอ
ทว่าเหมือนที่เขาแกล้งหัวเราะอาจารย์แกไปเมื่อครู่จะโดนเอาคืน เพราะจู่ ๆ หมวกประจำตำแหน่งก็ถูกถอดออกทำให้เขาต้องหันไปมองจนเห็นว่าเป็นคุณอุ่นที่ยืนถือหมวกเขาอยู่ก่อนจะรีบเดินเข้ามาสวมหมวกให้เหมือนเดิมเมื่อเห็นสีหน้าอันไม่พอใจ
“ผมแกล้งหนักไปเหรอครับ?”
“ถามมาได้”
นายสถานีเม้มปากไม่พอใจ เขาหัวเราะนิดเดียวเองดันมาแกล้งถึงเนื้อถึงตัวกันเสียได้ ไหนเจ้าตัวบอกคนญี่ปุ่นเรียบร้อยตามขนบอย่างไรเล่า
“วันนี้ขอให้โชคดีนะครับ”
สิ่งที่อาจารย์กล่าวก่อนจะขึ้นตู้สื่อถึงคนที่เขากำลังเฝ้าตามหาอยู่ ถึงเขาจะไม่ได้ป่าวประกาศว่ากำลังตามหาคนแต่ก็ไม่ได้ปิดเป็นความลับแก่คนใกล้ชิด
ด้วงถอนหายใจเฮือกใหญ่ ดึงสติกลับมาอยู่กับเนื้อกับตัว กระชับปีกหมวกประจำตำแหน่งให้เข้าที่เพราะอีกไม่ถึงนาทีจะถึงเวลารถไฟรอบแรกของวันเข้าเทียบ นัยน์ตาสีดำประกายม่วงไร้แวว มองหัวรถจักร สดับฟังเรียงหวูดอย่างเหม่อลอย เสียงพูดคุยเซ็งแซ่โอื้ออึงอยู่ในหัวผนวกกับเสียงเดินของผู้คนนับสิบนับร้อยซึ่งเดินขวักไขว่ ตรงข้ามกับเขาที่ยืนมองภาพตรงหน้าด้วยสายตาเรียบเฉย
แม้จะรู้สึกสิ้นหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่าในทุกเย็นเมื่อไม่เห็นคนผู้นั้นก้าวเดินลงมาจากตู้รถไฟ แต่เมื่อรุ่งอรุณมาถึง จิตใจเขาจะไม่ยอมแพ้และเฝ้ารอต่อไป โดยหวังว่าสักวันความปรารถนาของเขาจะเป็นจริง
แต่คนแล้วคนเล่า ที่เดินถือกระเป๋าลงมาไม่ว่าจะมาแต่เพียงผู้เดียวหรือเป็นหมู่คณะก็ไม่มีคนหน้าคล้ายเลยสักนิด เขามั่นใจว่าหน้าตาตั้งแต่สมัยวัยเยาว์ของบุคคลนั้นเมื่อโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่จะยังคงไว้ซึ่งความงามชวนเสน่หา
ทว่าสงสัยวันนี้มันคงเป็นดังเช่นทุกวัน
จะไม่มีเสียงอันไพเราะน่าฟัง
ไม่มีรอยยิ้มอันน่ามอง
ไม่มี...
"นพ เดี๋ยวครูนั่งรอตรงนี้นะ"
เสียงทุ้มหวานแว่วผสมปนเปมากับเสียงจ้อกแจ้กของคนรอบข้าง ไอบรรยากาศอันคุ้นหู จังหวะการพูดอันเนิบช้าชวนคิดถึงดึงให้นายสถานีหันไปยังต้นเสียง ทันใดนั้นดวงตาจึงสะท้อนภาพของร่างผอมเพรียวในเสื้อแขนยาวกางเกงสีกรมท่า ดวงตากลมดำประกายแสงภายใต้กรอบแว่น และเส้นผมยาวจับเป็นช่อนั้นเขายังคงจำมันได้ดี แม้ทรวดทรง ดวงหน้าจะเปลี่ยนไปเล็กน้อยแต่องค์รวมกลับยังคงเหมือนภาพในอดีตไม่มีผิด
ขายาวก้าวไปข้างหน้าอย่างเป็นไปเองก่อนจะเร่งความเร็วขึ้น เขาไม่กล้าแม้แต่จะกะพริบตาเพราะกลัวว่าคนตรงหน้าจะอันตรธานหายไป
รองเท้าหนังสีดำด้านหยุดลงหน้าม้านั่งที่มีโฉมงามนั่งก้มหน้าก้มตาดูสัมภาระอยู่แต่เพียงผู้เดียว ก่อนจะพยายามเค้นเนื้อเสียงเอ่ยชื่อบุคคลในความทรงจำ
"ไอ้แก้ว..."
ด้วงเอ่ยเรียกนามอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ โดยคาดหวังให้คนตรงหน้าเป็นเพื่อนสมัยเด็กของตน จนเมื่อเจ้าของหางม้ายาวเริ่มหันซ้ายหันขวา ความคาดหวังของเขาก็ยิ่งเพิ่มขึ้นเป็นเท่าทวี สุดท้ายเมื่อสบสายตากัน คนบนเก้าอี้จึงได้ตัวกระตุกตกใจตาเบิกโพลง
ยิ่งเขามองความใคร่คิดถึง ความเป็นห่วง และความโล่งใจก็พวยพุ่งขึ้นมาเป็นน้ำสีใสที่เอ่อรอบดวงตา
"ไอ้ด้วง..."
น้ำเสียงทุ้มหวานที่เอ่ยเรียกชื่อยิ่งพิสูจน์ให้เขาเห็นว่าตลอดนานนับสิบปีที่เขาได้แต่เฝ้ารอเหมือนคนโง่ ในที่สุดความพยายามของเขาก็เห็นผล
"ไอ้แก้ว...ไอ้แก้วจริง ๆ ใช่ไหม"
ด้วงพร่ำไถ่ถามคนตรงหน้าเพื่อยืนยันว่าสิ่งที่เขากำลังเห็นอยู่ไม่ได้เป็นเพียงห้วงฝัน
"ใช่ ทำไมเอ็ง-*ฟึบ*
เพียงพยางค์แรกที่ถูกเอ่ย คนในชุดเครื่องแบบก็โผเข้ากอดแม่นางรำอย่างไม่อายว่าจะมีใครมองมา ทว่าคนบนเก้าอี้ที่ยังคงทำตัวไม่ถูกก็ได้แต่อ้ำ ๆ อึ้ง ๆ
"ฉันคิดถึงเอ็ง...คิดถึงเอ็งมาตลอดสิบปี ดีใจมากเลยที่ได้มาเห็นเอ็งยังอยู่ดีแบบนี้"
"อะ...ไอ้ด้วงเอ็ง- ปล่อยก่อน"
ตรีศูลเห็นเพื่อนในเก่าเข้ามาแนบชิดตกอกตกใจ เขาไม่คิดว่าจู่ ๆ คนแข็งกร้าวอย่างเพื่อนคนนี้จะเข้ามาส่งเสียงสะอื้นไห้
*พลั่ก!*
"ไอ้โรคจิต แกจะทำอะไรอาจารย์น่ะ!"
เสียงเด็กจิ๋วโพล่งขึ้นมาพร้อมแรงผลักดันสีข้างส่งให้ตัวเขาเซลงไปนั่งทักทายพื้นกระเบื้อง และด้วยเสียงที่ดังจึงทำให้ผู้คนรอบข้างหันมาให้ความสนใจกับสถานการณ์ดังกล่าว พร้อมกับเจ้าหน้าที่กำลังพุ่งตัวเข้ามาคุมสถานการณ์ ทว่าไม่นานเจ้าของชื่อ ‘แก้ว’ ก็รีบคว้ามือคนบนพื้นให้กลับมายืนดังเดิม
"เกิดอะไรขึ้นครับ?"
แผนที่อยู่กะเดียวกันเดินเข้ามาถามก่อนจะสังเกตเห็นถึงเพื่อนสนิทตัวเองซึ่งกำลังถูกใครบางคนพยุงตัวขึ้น
"ไม่มีอะไร เอ็งไปทำงานเถอะ"
"ดะ...เดี๋ยว!? ไอ้ด้วงนี่เอ็ง!"
คนเป็นเพื่อนงงงวย จู่ ๆ มันพูดอะไรออกมา
เจ้าแผนยิ้มแห้งปนอึ้ง เขาไม่เคยเห็นเพื่อนเป็นแบบนี้มาก่อน เห็นมันยิ้มปากแทบฉีกถึงรูหูแล้วก็ขนลุกซู่ ถ้าไม่ติดว่าที่นี่เป็นที่ทำงานเขาจะถือว่ามันปกติ แต่เวลาอยู่สถานีใคร ๆ ก็รู้ว่านายดลรวี ก้องภัชรกุลจะเป็นคนจริงจัง ตั้งใจทำงาน ตอนอยู่กับใคร ๆ มักจะทำหน้าดุเป็นยักษ์ กระทั่งผู้โดยสารมาถามทางมันยังทำหน้าถมึงทึงใส่แต่นี่อะไร คุยไปยิ้มไปอย่างกับคนบ้า
"เอ็งเป็นอย่างไรบ้าง"
ด้วงไม่สนใจสายตาของไอ้แผนที่มองมา รวมไปถึงเสียงเจี๊ยวจ๊าวของเจ้านพที่กระโดดโหยงเหยงโวยวายอยู่ทั้งสองข้าง ดวงตาคมกริบจดจ้องไปที่โฉมงามตรงหน้าแต่เพียงอย่างเดียว
"ก็...สบายดี"
คล้ายว่าเจ้าตัวจะยังคงจับต้นชนปลายไม่ถูก จู่ ๆ ก็มาเจอเพื่อนสนิทที่ห่างกันไปนานแสนนาน ทำตัวไม่ถูกถือเป็นเรื่องสามัญและเขาพึ่งมารู้ตัวว่าตนอุกอาจเกินควรจึงถอนมือที่จับถือแขนออกมายืนอย่างเก้ ๆ กัง ๆ
"ฉันขอโทษ เอ็งยังกลัวอยู่หรือเปล่า"
เขาย้อนนึกไปถึงอดีต มันคงจะไม่ง่ายหากเจ้าตัวที่เคยประสบเรื่องร้ายมาจะปรับตัวได้ทันท่วงทีในสถานการณ์แบบนี้
"ไม่กลัว แล้วตอนนี้เอ็งเป็นอย่างไรบ้าง"
"กะ...ก็สบายดี"
"ฮ่า ๆ อย่าลอกคำตอบกันสิ"
คู่สนทนาหัวเราะเสียงใส เป็นที่ชื่นใจของนายสถานี ยิ่งมองยิ่งคิดถึง คุ้มแล้วกับสิบปีที่รอมาตลอด
"แก้ว... เอ็งไปกับฉั-
"อาจารย์ ไปกันได้แล้วนะ"
เสียงของเจ้าเด็กปากแจ๋วพูดขึ้นพร้อมกระตุกข้อมือของอาจารย์เจ้าตัวให้เดินออกรั้วกั้นตามกันไป
"ฉันต้องไปแล้ว ลาก่อนนะ"
ด้วงไม่ชอบคำนี้เอาเสียเลย ประหนึ่งว่าการพบกันครั้งนี้มันจะเป็นครั้งสุดท้าย เขาไม่อยากให้มันจบลงเท่านี้ เขาอยากสานสัมพันธ์ต่อ อยากพูดคุยให้มากกว่านี้
"เราจะยังได้เจอกันอยู่ใช่ไหม!?"
"อื้อ ได้สิ เดี๋ยวพรุ่งนี้ฉันมาหา"
เสียงใสตอบรับก่อนจะผละมือออกแล้วเปลี่ยนมาเป็นโบกมือลาง่าย ๆ ดวงหน้ากลมเผยรอยยิ้มสดใสเจิดจ้า
ด้วงยืนโบกมือส่งคนงามไปจนลับสายตา นัยน์ตาดำมืดยังคงจับจ้องไปยังทางเดินเรียบอันว่างเปล่าด้วยความคะนึงหา แววเนตรเหม่อลอยคล้ายคนไร้สติจนเพื่อนอย่างเจ้าแผนที่แอบซุ่มมองสถานการณ์มาสักพักเข้ามาทัก
"ไอ้ด้วง"
แผนพูดเสียงปกติทว่าไอ้เพื่อนยากก็ดูจะไม่มีปฏิกิริยาตอบรับเอาแต่มองทางข้างหน้าอย่างเหม่อลอย
"ไอ้ด้วง!!"
"เอ็งจะตะโกนทำไม"
"ก็เอ็งมัวแต่เหม่อ"
"เฮ้อ ไปทำงานได้แล้วไป"
ด้วงทอดถอนหายใจออกมาก่อนจะนึกถึงคำของแม่คนงามเมื่อครู่ที่กล่าวว่า 'เดี๋ยวพรุ่งนี้ฉันมาหา' แล้วจึงคิดเรื่องดี ๆ ออก
"วันนี้ฉันลา พรุ่งนี้ก็ด้วย"
"เอ้า?"
คนเป็นเพื่อนอย่างแผนงงกับท่าทีอันผิดแผกของไอ้ด้วง นับตั้งแต่ใช้ชีวิตเป็นเพื่อนกันมาเขาไม่เคยได้ยินคำว่า ลา ออกมาจากปาก เป็นอะไรของมันวะ หรือเมื่อกี้ลื่นล้มจนสมองกลับไปแล้วหรือ? แต่เมื่อคิดดี ๆ ที่มันยิ้มหน้าบานเป็นกระด้งต่อหน้าสุดสวยคนนั้น ถ้าไม่ใช่ว่าที่เมียมันแล้วจะเป็นใครได้
!!!
ไอ้ด้วงมันเจอคนที่มันรอแล้วเหรอ!?ผู้ชายคนนั้นน่ะนะ!
ด้วงเดินออกมาด้วยความดีใจ ในที่สุดเขาก็เจอแล้วในเมื่อแก้วบอกว่าจะมาหาเขาวันพรุ่ง เช่นนั้นวันนี้เขาจะตะลอนหาที่นั่งสบาย ๆ รอบพระนครตระเตรียมแผนการเดินทางให้โฉมงามเพื่อนสมัยเด็กได้ประทับใจรวมไปถึงการบอกเรื่องนี้กับพี่ไกร เพราะเจ้าตัวเมื่อเช้าดูจะเป็นกังวลในเรื่องนี้มากโข ไว้เดี๋ยวคืนนี้เขาจะอยู่รอนั่งเล่าให้ฟัง ในเมื่อเป้าหมายในชีวิตเขาสำเร็จแล้ว คุณพี่ชายจะได้ไม่ต้องมาหนักใจในเรื่องไม่เป็นเรื่องอีก. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .“ผู้กำกับ เหม่ออีกแล้วนะครับเมื่อคืนนอนน้อยรึหรือไง?”“มาค้ง มาครับอะไรไอ้พูน เรียกชื่อฉันเหมือนเดิมเถอะ แสลงหู”พูนเพื่อนร่วมงานบุ้ยปาก ไอ้เขาก็อยากทำตัวมีมารยาทกับพ่อพันตำรวจเอกผู้เป็นที่เชิดหน้าชูตาแก่สน.เสียหน่อย ดันมาขัดขากันได้“ตกลงกันว่าจะเริ่มคดีเสือขามวันนี้ใช่ไหม?”“นอกเรื่อง”“กำลังจะเข้าเรื่อง”พูนกอดอกกลอกตามองบน เขาล่ะหน่ายใจกับท่าทีเก๊กขรึมข
ตกเย็นใกล้พลบค่ำด้วงรีบกลับบ้านมา วันนี้เขาอารมณ์ดีนัก ตั้งแต่รู้ว่าจะได้กลับไปพูดคุยกับแก้วอีกครั้งเขาก็ดีใจจนเนื้อเต้น คุณอาในชุดลำลองเสื้อโปโลสีเนยกางเกงน้ำตาลเดินเข้ามาด้วยรอยยิ้มประดับใบหน้าพลางยกเสื้อผ้าที่พนักงานแนะนำมา มีตั้งหลายตัวแต่ไปแค่พรุ่งนี้วันเดียวไม่รู้จะใส่ตัวไหน สงสัยคงต้องถามพี่ไกรเสียแล้ว“ด้วง วันนี้ไปไหนมาครับ”เสียงเข้มแว่วมาจากระเบียงชั้นสอง เป็นเจ้าของบ้านที่ยืนค้ำราวไม้ทักทายลงมา เจ้าตัวคงจะกลับบ้านมาสักพักแล้วจึงได้อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสียเรียบร้อย“ผมไปซื้อของที่ห้างมา”“ไหนเอาขึ้นมาให้พี่ดูซิ”จากประสบการณ์สอบปากคำตลอดหลายสิบปี หากอยากได้คำตอบที่ชัดเจน อย่าตั้งแง่กับผู้ต้องสงสัย ค่อย ๆ ใจเย็นตะล่อมถาม หากร้อนใจขึ้นประเดี๋ยวลูกไก่ในมือจะวิ่งหนีไปเสียฉิบ“เราลางานกะทันหันแบบนี้ ไม่กระทบเพื่อน ๆ ที่ทำงานเหรอ?”“วันนี้รอบรถถี่แค่ช่วงสาย ตกบ่ายมาก็น้อยแล้ว”“แล้วไม่กลัวโดนหักเงินเดือนเหรอ?”“ผมมีเงินเก็บเยอะ ไม่กลัวเรื่องแบบนั้นหรอก”“พี่เห็นเรายิ้มไม่หุบมาสักพักแล้ว
เสียงนกร้องภายนอกแว่วเข้ามาผ่านช่องเล็กช่องน้อยภายในห้องนอนขนาดย่อม เครื่องเรือน เครื่องนอนล้วนถูกคัดสรรมาอย่างเหมาะสมให้เขากับผู้อยู่อาศัย แต่เพราะเจ้าของห้องไม่ได้ฟุ้งเฟ้อ จึงมีแต่ของใช้จำเป็นเพียงโต๊ะ ตู้ เตียง และม่านมุ้งห้อยจากเพดานกันแมลงในตอนกลางคืนทว่าวันนี้นาฬิกาปลุกถูกตั้งให้ช้ากว่าปกติเพราะนี่นับเป็นวันแรกที่คนบนเตียงจะได้ออกไปใช้ชีวิตกับเพื่อนที่รอมานานนับสิบปี จนเมื่อเสียงกริ๊งดังไม่ทันใดมันก็ถูกกดหยุดลงพร้อมนายสถานีร่างโปร่งที่ลุกขึ้นมาบิดกายยืดเส้น ดวงหน้าอิ่มเอิบประดับรอยยิ้ม แต่เช้าตรู่พลางมองเสื้อผ้าของวันนี้ที่ถูกแขวนเตรียมไว้ตั้งแต่เมื่อคืนด้วงสูดลมหายใจเข้าระหว่างนั่งเล่นให้ร่างกายตื่นเต็มตา แล้วจึงกระเด้งตัวออกจากเตียงไปผลัดผ้าผลัดผ่อนบ้านหลังนี้กว้างโอ่อ่าพอจะทำห้องส่วนตัวให้แก่ทุกคนรวมไปถึงห้องอาบน้ำในทุกห้องนอนเช่นกัน เพิ่มความสะดวกสบายให้สมาชิกในบ้านที่ต้องทำกิจในเวลาไล่เลี่ยกันกระจกบานเล็กหน้าโต๊ะสะท้อนร่างสูงโปร่งประดับลอนกล้ามเนื้อสีเข้มกระนั้นก็พอมีช่วงเอวไม่ตีบตันไร้สัดส่วนด้วงรีบเข้าไปรดน้ำทำความสะ
“วันนี้คุณดลรวีก็มาช้าเหรอครับ?”ดันกิเดินมาสนทนากับเจ้าแผนที่คุณดลรวีเล่าให้ฟังว่าเป็นเพื่อนคนสนิท เขาซึ่งมาที่นี่ทุกเช้าก็มักจะได้สนทนากับนายสถานียิ้มเก่งคนนั้นเป็นประจำ ได้ยินว่าเจ้าตัวเจอคนที่รอมาตลอดแล้วไม่รู้แน่ชัดว่ามันจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เจ้าตัวมาช้ากว่าปกติหรือเปล่า“เปล่าครับ มาเช้ากว่าใครเพื่อนเลย นู่นนั่งอยู่นู่น”แผนกอดอกบุ้ยคางยังเจ้าเพื่อนที่นั่งเหงาเหม่อมองทางรถไฟมาตั้งแต่ย่ำค่ำ ทำเอาเขาสงสัยไม่ใช่น้อย ว่าเจอก็เจอแล้วทำไมยังนั่งเป็นหมาหงอยอยู่อีก“ขอบคุณครับ”แผนมองแผ่นหลังของคุณครูชาวญี่ปุ่นวิ่งต้อย ๆ ไปทางเจ้าเพื่อนรักก็นึกอิจฉา เขาสิไม่รู้ทำไมไม่ได้คนสติดี ๆ มาเดินตามบ้างดันกิสาวเท้าด้วยความเร็วก่อนจะค่อย ๆ ชะลอลงเมื่อเข้าใกล้เก้าอี้ไม้ข้างเสา เขาหอบเอาลมหายใจเข้าปอดพลางสังเกตสีหน้าของคุณดลรวี แต่ไม่รู้ทำไมวันนี้มันถึงได้ดูหม่นหมองไม่ต่างจากท้องฟ้ายามมีเมฆฝน“คุณอุ่น มาตั้งแต่เมื่อไหร่เหรอครับ ผมไม่รู้ตัวเลย”“ผมพึ่งมา ทำไมวันนี้คุณถึงดูเศร้า ๆ ล่ะครับ”“มันอธิบายค่อนข้างยากน่ะครับ...”
ด้วงที่ลงมาหยิบนมในตู้แช่เย็นได้ยินเสียงพูดคุยจ้อกแจ้กแว่วลงมาจากด้านบนบวกกับเสียงกลอนประตูเมื่อสักครู่จึงคิดจะอุ่นชาหอมขึ้นไปให้พี่ชายที่น่าจะกลับมาแล้วด้วยในระหว่างที่ตั้งเตาอุ่นนมก็จัดแจงคีบถ่านจุดไฟวางกาน้ำร้อน ก่อนจะผละไปเปิดตู้กับข้าวมองหาถุงชาที่ได้รับเป็นของฝากเมื่อเดือนก่อน เพียงนานเครื่องดื่มอุ่นก็พร้อมใส่แก้วพอเดินขึ้นมาก็เห็นว่าพ่อลูกกำลังนั่งคุยกันอยู่ แต่เหมือนน้องกันต์จะดูอาการไม่ค่อยดีเมื่อได้สนทนากับผู้เป็นพ่อ เขาจึงรีบเดินอ้อมหลังไปมอบแก้วนมให้เจ้าตัวรีบดื่มจะได้หนีออกไปจากความอึดอัดได้ ส่วนเขาพาตัวเองมานั่งตรงข้ามพี่ชายพร้อมวางแก้วชาหอมไว้ตรงหน้า“ของเราไม่มีเหรอ?”“วันนี้ผมไม่ค่อยอยากกินอะไร”เขาพูดพลางชำเลืองมองหลานชายที่ค่อย ๆ จิบนมดูเหมือนเขาจะอุ่นร้อนจนเกินไป“วันนี้เราเป็นอะไร ดูเหม่อ ๆ นะ”“ปะ...เปล่า แค่มีเรื่องให้ต้องคิดนิดหน่อย”ตอนนี้เขาระแวงเหลือเกินว่าพี่ไกรจะทำอย่างเมื่อเช้าต่อหน้าลูกชายตัวเอง แต่ตอนนี้เขาจะออกอาการไม่ได้จึงทำเพียงเก็บไม้เก็บมือให้ห่างจากกลางโต๊ะลงมาประสานอยู่บนต
1. นิยายเรื่องนี้อิงประวัติศาสตร์ในช่วงเวลาปีพ.ศ.2485 ทุกตัวละคร และ'บาง'สถานการณ์ที่เอ่ยถึงกล่าวถึงเป็นเพียงจินตนาการของผู้แต่งแต่เพียงเท่านั้น ซึ่งไม่มีเจตนาดูหมิ่นไม่ว่าจะในเชิงส่วนบุคคลหรือสถาบันเลยแม้แต่น้อย ผู้เขียนหาข้อมูล และเกลาเนื้อหาขึ้นด้วยความเคารพในประวัติศาสตร์อย่างแท้จริง2. บางส่วนของนิยายอาจมีเนื้อหาเกินความเป็นจริงเพื่ออรรถรสในการอ่าน3. นิยายเรื่องนี้เหมาะสำหรับนักอ่านที่ชื่นชอบ/สนใจคู่ที่มีอายุ (วัยทำงาน) , เคะกล้ามหนุบหนับ และความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องต่างสายเลือด4. บางส่วนในนิยายมีการกล่าวถึงองค์กรศาสนา, ความรุนแรง, สภาวะผิดปกติทางจิต, Fetish(BDSM)*ที่ผิดหลัก และสิ่งเสพติด/อบายมุขโปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .จำนวนตอนหลัก 35+10 ตอนจำนวนตอนพิเศษ 11+3 ตอนรวมทั้งหมด 59 ตอน***พิสูจน์อักษร 2 ครั้ง***อัปเดตครั้งล่าสุด 10/07/2024#
“อาด้วงออกไปทำงานแต่เช้าตลอดเลยนะครับ”เสียงเด็กชายวัยมัธยมต้นกล่าวทักญาติคนสนิทที่แม้ตอนนี้หน้าปัดนาฬิกาจะบอกเวลาตีสี่สี่สิบห้า กระนั้นคุณอาชายที่แปะชื่อนายสถานีก็ยังขยันขันแข็งสะพายกระเป๋าเป้ใบเดิมคว้ากุญแจเตรียมออกจากบ้าน ทั้งเมื่อครู่พวกเขานั่งทานมื้อเช้าด้วยกันสามคน วางจานอาหารพร้อมกัน แต่เจ้าตัวกลับทานหมดคนแรกทั้งที่ข้าวพูนจานกว่าใครแท้ ๆคุณอาเมื่อได้ยินเสียงบ่นพึมพำของหลานชายจึงใช้ฝ่ามือสีน้ำผึ้งยีเส้นผมสีน้ำตาลธรรมชาติกระเซิงด้วยความมันเขี้ยว“แซวอาได้ทุกวันนะกันต์”“ผมพูดจริงนี่ครับ อาด้วงไปแต่เช้าทุกวัน ทิ้งผมกับคุณพ่อให้กินข้าวต่อกันสองคน บางครั้งกันต์ก็อยากเดินออกจากบ้านพร้อมกันบ้างนะครับ”กันต์ธีร์พูดไปอมข้าวไป กล่าวถึงพฤติกรรมอันไม่เป็นที่พอใจของตัวเขาสักเท่าไรนัก เนื่องจากเขาสนิทกับคุณอามากที่สุดในบ้าน แม้ทีแรกใคร ๆ จะบอกว่าอาด้วงน่ากลัวเพราะมีรอยบากที่หางคิ้ว ลำคอ จะมีฝ่ามือที่เต็มไปด้วยรอยแผลเก่า หรือแม้ยามปกติอีกฝ่ายจะชอบทำหน้านิ่งแต่ใครรู้ว่าแท้จริงเจ้าตัวจิตใจดี ทั้งยังชอบพาเขาทำก
ด้วงเดินทางมาไม่นานก็ถึงสถานีกรุงเทพ เพราะบ้านหลักอยู่ห่างจากที่ทำงานเพียงข้ามถนนสองเส้น จึงเดินทางมาได้โดยง่ายไม่ต้องนั่งรถรางให้ยุ่งยากเวลานี้ท้องฟ้ายังมืดสนิทเห็นดวงจันทร์แจ่มชัด ผู้คน รถบนถนนบางตา ฝนที่ตกปรอย ๆ เมื่อคืนเมื่อสัมผัสกับผืนดินผืนหญ้าส่งกลิ่นหอมธรรมชาติโชยมาแตะจมูกชวนให้ใจสงบเงียบท่ามกลางบรรยากาศยามไร้ผู้คนในเวลาเช้าตรู่ขาสูงยาวก้าวอย่างมั่นคงบนทางเท้า มองเหล่าแมลงซึ่งสะท้อนแสงจากโคมไฟรายทางที่พวกมันตอม พลางคิดเรื่องซ้ำ ๆ เดิม ๆ ที่วนอยู่ในหัวเขามาร่วมสิบปีเขารักคนคนหนึ่งรักมาตลอดตั้งแต่วันที่จากลากันทีแรกเขาไม่รู้สึกถึงมัน แต่เมื่อถึงเวลาที่เจ้าตัวไม่สามารถอยู่ที่แห่งนั้นได้อีกต่อไป นั่นจึงเป็นเขาเองที่ต้องพาเจ้าตัวหนีขึ้นรถไฟจากไอ้พวกคนจัญไรเหล่านั้นย้อนนึกไปเท่าไรก็รู้สึกเจ็บปวด ภาพทุกภาพหวนคืนเข้ามาในห้วงความคิดอย่างไม่อาจหักห้ามได้เรือนไม้สีเข้มเก่าแก่สะท้อนแสงจันทร์ขาวนวลยามค่ำคืน สายลมเย็นยะเยือกพัดผ่านกระทบผิว เหล่าก้านไม้ใบไม้เสียดสีกันชวนให้ค่ำคืนสุดท้ายในที่แห่งนั้นน่าขนลุก และเสียงแปร่ง