๒
หมายหัว
ไร่รุ่งอรุณ & ฟาร์มสายรุ้งมีเนื้อที่ทั้งหมด 2000 ไร่โดยแยกเป็นสวนองุ่น สวนส้ม สวนสตรอว์เบอร์รี่ สวนลิ้นจี่และพื้นที่สำหรับปลูกข้าว โดยแยกสัดส่วนตามความเหมาะสม ผลไม้ขึ้นชื่อของไร่จะผลัดเปลี่ยนตามฤดูกาล หากช่วงหน้าหนาวคนก็จะชอบมาเที่ยวที่ไร่เก็บสตรอว์เบอร์รี่สดๆ จากสวน ช่วงที่ส้มออกผลก็เปิดให้นั่งรถรางชมสวน หรือองุ่นออกผลเต็มต้นนักท่องเที่ยวก็สามารถเข้ามาตัดได้ถึงต้น
และไร่พืชผักที่ปลูกก็เอาไปขายตลาดหรือไม่ก็ทำการวิจัยเพื่อเพาะพันธุ์ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เป็นผักที่ปลอดสารพิษแต่ขายในราคาถูกกว่าท้องตลาด
ฟาร์มสายรุ้งจะเน้นที่สัตว์เนื้อส่งออก กลุ่มสัตว์เนื้อที่เลี้ยงก็มีวัวและหมู ทำกำไรให้ฟาร์มได้มากพอๆกับสวนผลไม้ เมื่อไม่นานมานี้ทางฟาร์มก็ได้นำม้ามาเลี้ยง มีทั้งม้าสำหรับขี่ชมสวนหรือคนที่ต้องการหัดขี่ม้าและม้าสำหรับแข่งใช้งบประมาณไปหลายล้านบาทเพื่อซื้อตัวเจ้าแห่งความเร็วจากต่างประเทศ
รถมอเตอร์ไซค์กลางเก่ากลางใหม่แล่นไปตามทางดินลูกรังซึ่งมีต้นสักทอดยาวให้ร่มเงาตลอดเส้นทางไปหน้าไร่ ร่างบางที่ซ้อนหลังพยายามจับตะกร้าไม่ให้ตกแล้วยังต้องจับหมวกตนเองไม่ให้ปลิวตกรถแล้วในใจก็ก่นด่าคนขับตลอดทาง จนลืมไปเสียสนิทว่าตนเองอยู่ในชุดและใบหน้าที่ไม่พร้อมไปเจอใคร กว่าจะนึกได้รถก็แล่นมาถึงหน้าไร่ซึ่งเป็นจุดวางขายผลไม้และอาหารแปรรูปเสียแล้ว
“เดี๋ยวก่อนสิ! ฉันไม่ไปได้ไหม ฉันไม่พร้อมจะไป ฉันไม่พร้อมจะเจอใคร” บุลลาเอ่ยขณะที่ร่างสูงกำลังจะเลี้ยวเข้าถนนใหญ่เพื่อตรงไปยังสำนักงานเกษตรอำเภอ
เขาเอี้ยวหน้ามามองคนซ้อนเล็กน้อย สายตาเต็มไปด้วยความรำคาญอย่างปิดไม่มิด
“ไม่พร้อมก็ต้องไป” เมื่อไม่มีรถยนต์แล่นผ่านจึงค่อยๆ ขับมอเตอร์ไซค์ออกจากไร่ด้วยความเร็วที่มากกว่าเดิม ถนนโล่งขนาดนี้ราวกับเขาเป็นเจ้าของพื้นลาดยางจนต้องยิ้มมุมปาก เหลือบมองกระจกหลังที่เห็นคนซ้อนหน้ามุ่ยจับทั้งหมวกอีกมือก็ยึดตะกร้าเอาไว้ไม่ให้ตก
พณณกร วิจิตรประภาหรือที่คนในไร่รู้จักในนามหมอเอิร์ธ สัตวแพทย์หนุ่มผู้เคร่งขรึมแต่จริงใจทำงานหามรุ่งหามค่ำ ทั้งยังชอบดื่มสุรายาดองกับคนงานเป็นประจำแทบทุกคืน บางครั้งก็มาทำงานด้วยใบหน้าแดงก่ำเพราะยังไม่สร่างเมา เป็นเพื่อนสนิทกับเจ้าของไร่จึงได้มาประจำที่ไร่แห่งนี้โดยไม่มีใครรู้เลยว่า
เขาคือเจ้าของไร่อีกคน!
ระหว่างทางบุลลาแทบจะสบถคำหยาบออกมาหลายครั้งเพราะการขับรถที่เร็วจนตนแทบจะปลิวไปตามลม ฉวัดเฉวียนไปมาจนแทบอ้วกใส่แผ่นหลังหนา ก่อนที่ทุกอย่างจะหยุดเมื่อมาถึงสำนักงานอันเป็นปลายทางของการเข้าอำเภอครั้งนี้
ร่างบางก้าวลงจากรถ ไม่สนตะกร้าว่าจะหกหรือไม่ พร้อมเดินไปที่ต้นไม้โก่งคออาเจียนอย่างไม่อายใคร วินาทีนี้ขอแค่เอาอาการคลื่นไส้ออกให้หมดเป็นพอแล้ว
พณณกรมองแล้วแสยะยิ้มมุมปากอย่างสะใจที่เห็นคนถือดีหมดสภาพ พนักงานรักษาความปลอดภัยที่อยู่ป้อมหน้าประตูเห็นก็เป็นห่วง จึงเอาขวดน้ำเปล่ายื่นให้หญิงสาวจนรีบคว้าเอามาล้างปาก
“ผมฝากผู้หญิงคนนี้หน่อยนะลุง ต้องเข้าไปคุยกับท่านเกษตรอำเภอ”
ยามที่ค่อนข้างมีอายุรับคำแล้วหันไปมองบุลลาที่นั่งลงกับพื้น หอบหายใจในขณะที่ดวงตาเลื่อนลอย ไม่น่าเชื่อว่าระยะทางกว่า 30 กิโลเมตร สัตวแพทย์หนุ่มจะใช้เวลาเพียงแค่ 15 นาทีก็ถึงยังจุดหมาย เขาแทบจะลอยมาด้วยซ้ำ
..ว่าแต่ตอนนี้เธอยังมีชีวิตอยู่ใช่ไหม
หล่อนจับตามร่างกายแล้วพบว่ายังมีเลือดเนื้อไม่ได้กลายเป็นอากาศก็ถอนหายใจโล่งอก หันมามองคุณลุงที่เดินไปเอาพัดที่แจกฟรีตามร้านค้ามายื่นให้ ก็ยกมือขอบคุณก่อนรับมาถือเอาไว้ ตอนนี้ไม่มีแรงจะทำอะไรทั้งนั้น สมองยังคิดถึงเหตุการณ์เมื่อครู่
..สาบานได้เลยว่า ต่อจากนี้จะไม่ไปไหนกับผู้ชายคนนั้นเด็ดขาด!
คิดแล้วก็มองเข้าไปในสำนักงาน ส่งผ่านสายตาที่เหมือนมีเปลวเพลิงเข้าไปราวต้องการเผาไหม้ตัวต้นเหตุที่ทำให้อดีตพริตตี้คนสวยหมดสภาพได้ขนาดนี้
ไม่รู้ว่ารอนานเท่าไหร่กว่าจะเห็นร่างสูงปรากฏกายด้วยใบหน้ายิ้มแย้มพร้อมยกมือไหว้คนที่คาดว่าเป็นหัวหน้าระดับสูง
บอกลากันเสร็จใบหน้าคมจึงหันมาสบดวงตากลมหวานที่เหมือนมีไฟอยู่ในนั้นและมันกำลังบอกว่าต้องการเผาเขาให้ตายทั้งเป็น
“กลับได้แล้ว”
ร่างบางเดินเข้ามาด้วยแววตามาดหมายแล้วเตะเข้าที่หน้าแข้งของสัตวแพทย์เต็มแรง จนอีกฝ่ายสะดุ้งโหยงจับขาของตนเองเพราะรู้สึกเจ็บ เงยหน้ามองคนทำด้วยความรู้สึกโมโห
“โอ๊ย! ยายบ้าทำอะไรของเธอ” เขากระโดดไปมาก่อนจะยืนตรงไม่วายลูบหน้าแข้งตนเองหวังคลายความเจ็บ
ในขณะที่ใบหน้าหวานยกยิ้มมุมปาก เห็นอีกฝ่ายเจ็บก็รู้สึกว่าความโกรธได้รับการปลดปล่อยบ้างแล้ว
“เตะนายไง ฉันรู้นะว่าที่นายขับรถเร็วเพราะต้องการแกล้งฉันใช่ไหม” ขึ้นเสียงแล้วเดินเข้ามาจ้องหน้าเขา ไม่สนว่าคนที่เดินผ่านไปมาจะหันมอง เพราะตอนนี้อารมณ์โกรธอยู่เหนือความอายทุกอย่างแล้ว คนอย่างบุลลาไม่เคยยอมใคร ร้ายมาก็ต้องโดนกลับเป็นสองเท่า “ไอ้คนเลว นิสัยไม่ดี ที่บ้านไม่สั่งไม่สอนเหรอว่าห้ามแกล้งผู้หญิงที่สวยและน่าทะนุถนอมอย่างฉัน!” ชี้หน้าด่าอย่างเหลืออด
จนคนฟังขบกรามแน่น เขาคว้ามือเธอแล้วกระชากร่างที่แรงน้อยกว่าเข้ามาปะทะแผงอก จนสัมผัสได้ถึงหน้าอกแน่นซึ่งผ่านการออกกกำลังกายมาอย่างหนักของคนตัวโต
“อย่ามาลามไปถึงบ้านของฉัน ถ้าจะด่าก็ด่าแค่ฉัน แต่ขอบอกไว้ก่อนเลยนะถ้าเธอพูดอะไรให้ระคายหูฉันอีกคำเดียว ฉันไม่ปล่อยไว้แน่” กดเสียงต่ำให้ดูดุดัน
จนบุลลาเริ่มกลัว ทว่าก็ไม่แสดงออกให้เขาได้ใจว่าหนูอย่างเธอจะกลัวราชสีห์อย่างเขา หล่อนเชิดหน้าขึ้นมองเข้าไปในแววตาคมต้องการท้าทายอำนาจมืด
“ไอ้ชั่ว ไอ้บ้า ไอ้หมอปากหมา ไอ้..อื้อ!”
ท่ามกลางผู้คนที่เดินผ่านไปมา พณณกรไม่สนใจสายตาของใครเขาก้มลงไปกัดปากของบุลลาอย่างรวดเร็วจนไม่คิดว่าสัตวแพทย์หนุ่มจะกล้าทำการอุกอาจอยู่หน้าสำนักงานเกษตรอำเภอเช่นนี้
ดวงตากลมโตเบิกกว้างขึ้นเหมือนตัวจะชาไปทั่วร่าง
เขากัดปากเธอ!
ใช่มันคือการกัดปากไม่ใช่จุมพิตแต่อย่างใด เขาใช้ฟันขบที่ริมฝีปากบนและล่างพร้อมทั้งจับข้อมือของคนตัวเล็กเอาไว้แน่นก่อนจะผลักเธอออกเมื่อเห็นว่าเสียงเงียบไปแล้ว
ไม่ใช่แค่เสียงที่เงียบเพราะตอนนี้หล่อนรู้สึกเหมือนวิญญาณออกจากร่างด้วยซ้ำ
“นี่แค่บทเรียน ถ้าเธอยังกล้าต่อว่าฉันด้วยคำหยาบคายแบบนั้นอีก เธอเจอดีกว่านี้แน่” ว่าจบก็เดินไปคร่อมรถมอเตอร์ไซค์
ปล่อยหล่อนให้ยืนอึ้งอยู่ที่เดิมไม่ขยับเขยื้อนก่อนจะสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงสตาร์ตมอเตอร์ไซค์
“จะกลับไหมไร่น่ะ ถ้าจะกลับก็รีบขึ้นมา” ตะโกนถามไม่สะทกสะท้านกับเหตุการณ์เมื่อครู่สักนิด
จนบุลลาที่เจ็บใจจนน้ำตาคลอต้องกำหมัดแน่น อยากตรงไปชกหน้าไอ้คนป่าเถื่อนแต่ก็ไม่อาจทำได้ ไม่อยากกลับด้วยสักนิดแต่เพราะไม่มีเงินติดตัวสักบาทจึงไม่มีทางเลือกอื่น
จำต้องเดินไปซ้อนท้ายรถมอเตอร์ไซค์แล้วหันมองทางอื่นที่ไม่ใช่แผ่นหลังหนา
พนักงานรักษาความปลอดภัยมองตามรถของพณณกรไปพลางส่ายหน้าอย่างระอา ไม่คิดว่าหนุ่มสาวสมัยนี้จะใจกล้าถึงขนาดมากอดจูบกันหน้าสำนักงาน ดีที่ไม่มีใครยกกล้องขึ้นถ่ายรูปหรืออัดคลิปวิดีโอเอาไว้ไม่อย่างนั้นคงฉาวกว่านี้แน่ เพราะแค่นี้ก็คงมีคนเอาไปพูดปากต่อปากแล้ว
ระหว่างทางกลับไร่ ชายหนุ่มผ่อนความเร็วลงเพราะสงสารคนที่นั่งตาแดงบังคับไม่ให้น้ำตาไหลทั้งที่เจ็บใจเสียเหลือเกิน
มือเล็กยกขึ้นมาถูปากจนบวมช้ำ นึกรังเกียจชายหนุ่มที่กัดปากต่อหน้าผู้คน ไม่ให้เกียรติเธอเลยสักนิด ป่านนี้คนอื่นจะมองว่าหล่อนเป็นผู้หญิงอย่างไรเล่า
คิดก็พาลตื้อในอก อยากเร่งเวลาให้ไปถึงไร่รุ่งอรุณโดยเร็วที่สุดแต่เหมือนสัตวแพทย์หนุ่มจะแกล้งขับรถช้า กินลมชมวิวข้างทางจนอดทุบแผ่นหลังกว้างไม่ได้
“โอ๊ย มันเจ็บนะเว้ย” รถส่ายไปมาเพราะคนขับเสียหลักจังหวะหนึ่ง ดีที่ขับเลียบทางตรงเลนของมอเตอร์ไซค์จึงไม่เป็นอันตราย
ดวงตากลมโตวาวโรจน์เม้มริมฝีปากแน่น
“รีบขับสิ! ขามาแทบจะบิน ทำไมขากลับคลานเหมือนเต่าแบบนี้ ขับไปเร็วๆ เลยนะไอ้บ้า!” อดไม่ไหวต้องตะโกนด่าระบายอารมณ์อัดแน่นและเชื่อว่าตอนนี้เขาคงไม่สามารถตอบโต้ตนเองได้ ซึ่งก็จริงเพราะชายหนุ่มทำได้เพียงแค่ยกยิ้มมุมปากแล้วเร่งความเร็วขึ้นตามใจผู้โดยสาร
“อยากให้ขับเร็วใช่ไหม ได้ เดี๋ยวจัดให้”
หลังจากนั้นบุลลาก็แทบไม่ได้ลืมตาอีกเลย เอาแต่คว้าเอวหนาเป็นเกราะไม่ให้ตัวเองปลิวไปตามลม ใบหน้าหวานซบลงที่แผ่นหลังกว้างแล้วหลับตาแน่น สวดมนต์ภายในใจขอให้ถึงไร่โดยสวัสดิภาพ
ส่วนคนขับก็มีความสุขกับการแกล้งเสียเหลือเกิน เขายิ้มกว้างในรอบหลายปี
ไม่อยากยอมรับหรอกว่าที่จริงเธอก็เป็นผู้หญิงน่ารักตามแบบฉบับที่ชอบ ใบหน้าหวานจิ้มลิ้ม ปากนิดจมูกหน่อย รูปร่างไม่สูงจนเกินไป มีน้ำมีนวลไม่ผอมแห้ง ทั้งผิวที่ขาวนวลน่าสัมผัสจนครั้งแรกที่เห็นก็แอบชมในใจแต่พอเจอฤทธิ์อาละวาดของหญิงสาว เขาก็ล่าถอยทันที
ยิ่งดูจากการกระทำที่พยายามอ่อยชลธี เขาก็ตัดสินใจได้ในทันทีว่าเธอก็แค่ผู้หญิงหิวเงินเท่านั้น นิยมชมชอบคนรวย ไม่ได้มีค่าพอจะชายตามองด้วยซ้ำ ทว่าเหตุการณ์เมื่อครู่ที่หน้าสำนักงานเกษตรอำเภอก็ทำให้พณณกรอยากชกตัวเองสักทีสองทีทั้งที่บอกว่าไม่ชอบแต่พอเห็นริมฝีปากบางเอื้อนเอ่ยวาจาไม่น่าฟัง กลับรู้สึกได้ถึงแรงดึงดูด จนเผลอกัดปากจิ้มลิ้มเข้าให้
ไอ้เอิร์ธมึงเป็นหมาหรอวะ!
รถมอเตอร์ไซค์ขับเข้ามาภายในไร่ตามถนนลูกรังก่อนเจอทางแยกระหว่างไร่รุ่งอรุณและฟาร์มสายรุ้ง เขาแสยะยิ้มนึกแผนการในใจแล้วเลี้ยวทางขวาซึ่งแน่นอนว่ามันคือทางไปฟาร์มที่บุลลาไม่เคยแม้แต่จะย่างก้าวเข้าใกล้
ร่างบางที่เอาแต่หลับตา ไม่รับรู้ว่าภัยกำลังมาถึงตัว กระทั่งรถจอดลง ดวงตากลมโตจึงลืมขึ้นมองไปโดยรอบ ก้าวลงจากรถมอเตอร์ไซค์หันซ้ายหันขวาก่อนจะรู้ตัวว่า..
นี่มันไม่ใช่ไร่ของเธอ!
ดวงหน้าหวานหันไปมองคนร่างสูงซึ่งลงมายืนกอดอกมองหล่อนด้วยสีหน้าเยาะเย้ย
“ฉันต้องการกลับไร่! นายพาฉันมาที่นี่ทำไม!” ตะโกนจนสุดเสียงด้วยความไม่พอใจ
“ก็กลับไปสิ ถ้าเธอเดินจากฟาร์มไปที่ไร่ก็คงสักสามกิโลได้ แต่ถ้าเดินลัดเลาะไปหน่อยก็สองกิโล”
สถานที่ซึ่งบุลลากำลังยืนอยู่คือหน้าคอกม้า มีคนงานกำลังจูงม้าออกจากคอกเพื่อทำการอาบน้ำและพาไปเดินเล่น
“นายต้องไปส่งฉัน นายเป็นคนพาฉันไปเองนะ”
“แต่ฉันไม่ได้อยากพาเธอไปสักหน่อย ไอ้ธีมันสั่ง” ปัดความรับผิดชอบทันทีแล้วมองดูว่าเธอจะตัดสินใจทำอย่างไรด้วยแววตาสนุก ทั้งที่ริมฝีปากเหยียดตรง
บุลลากำมือแน่นกระทืบเท้าอย่างขัดใจ วันนี้มันเป็นวันซวยของเธอหรืออย่างไร เจอชลธีก็แทบไม่ได้พูดคุย ที่เจ็บใจสุดคงไม่พ้นโดนหมากัดปากโดยไม่สามารถทำอะไรอีกฝ่ายได้เลยสักนิด
ดวงตากลมโตมีน้ำคลอเบ้าอย่างน่าสงสาร
แต่พณณกรกลับรู้สึกสนุกที่ได้แกล้งผู้หญิงตรงหน้า
“ที่จริงฉันไปส่งเธอก็ได้นะ” คนตัวโตคลายแขนที่กอดอกออกแล้วเอามือล้วงกระเป๋ากางเกงเดินเข้าไปใกล้ร่างบางมากกว่าเดิม
ขณะที่หล่อนก็ก้าวถอยหลังไม่ไว้ใจว่าอีกฝ่ายจะมาไม้ไหนกันแน่
“แต่ถ้าให้ไปส่งมันก็ต้องมีข้อแลกเปลี่ยนหน่อย”
ไม่น่าไว้ใจเลยสักนิด..
บุลลาคิดแล้วมองใบหน้าคมยกยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์
“อะไร”
..หนูติดกับนายพรานเสียแล้ว
มือหนายื่นไปคว้าเอวเล็กอย่างรวดเร็วดึงเข้าหาตนแล้วยื่นใบหน้าเข้าใกล้
เอวเล็กชะมัดเลย แค่แขนข้างเดียวก็โอบรอบแล้ว..
“จูบฉันสิ แล้วจะยอมไปส่ง” เสียงทุ้มกระซิบใกล้จนดังก้องในหู ดวงตาคมพราวระยับราวมีดาวนับล้านดวงอยู่ในนั้น
จนเธอตาพร่าไปหมด
ใบหน้าคมยื่นเข้ามาใกล้กว่าเดิม ไม่รอให้หล่อนได้ตอบรับหรือปฏิเสธเพราะเขาจะเป็นคนตัดสินใจเอาเอง
“ไม่นะ!” เบี่ยงหน้าหลบก่อนริมฝีปากของชายหนุ่มจะสัมผัสปากตนเอง ใจดวงน้อยเต้นรัว ถึงเธอจะไม่ชอบเขาแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าใบหน้าหล่อเหลาทำเอาใจสั่น หล่อนกระทืบเท้าคนตัวโตเสียแรง
จนสะดุ้งปล่อยร่างเล็กออกจากอ้อมกอด
“อย่ามาทำอะไรบ้าๆ แบบนี้อีก ฉันไม่ได้ชอบนาย ฉันเกลียดนาย!” บุลลาตะโกนเสียงดังลั่นก่อนจะสะบัดหน้าหนีไปทางอื่น ตัดสินใจเดินกลับไร่ ไม่อยากพึ่งพาคนที่ดีแต่ฉวยโอกาส
พณณกรมองตามด้วยความคับแค้น
..สองรอบแล้ว เธอทำร้ายเขามาสองรอบแล้ว! ครั้งหน้าอย่าหวังเลยว่าจะยอมให้เดินจากไปแบบนี้
รู้จักไอ้เอิร์ธน้อยไปแล้ว
มองแผ่นหลังบางเดินออกไปจนสุดสายตาก่อนลูกน้องที่เห็นเหตุการณ์จะผิวปากแซว
“ไม่เบาเลยนะนาย ไหนบอกไม่กินเด็กในไร่ไง” เดินเข้ามาหาคนเป็นเจ้านาย ทำแววตาล้อเลียนเพราะอีกฝ่ายเคยลั่นวาจาไว้ ไม่เอาคนงานในไร่แม้จะสวยหยาดฟ้ามาดินแค่ไหนก็ตาม
แต่จากที่เห็นเหตุการณ์เมื่อสักครู่ ไม่น่าจะทำได้อย่างที่พูดเอาไว้
“เสือกอะไรกับกู จะเอาไม่เอาก็เรื่องของกู” ผลักคนงานออกแล้วเดินไปดูม้าตัวโปรด หวังขี่มันเพื่อคลายอารมณ์หงุดหงิดที่เกิดขึ้น ปล่อยให้สองหนุ่มที่ล้อเลียนต้องมองตากันอย่างรู้ทัน
“กูวางสองร้อยคนนี้เสร็จนายแน่” หนุ่มหน้าตาสะอาดสะอ้านแต่ผิวเข้มพูดขึ้นในขณะที่คนตัวเท่ากันทว่าไว้เคราครึ้มก็ยกยิ้มมุมปาก
“กูว่าไม่ นายไม่เอาคนในไร่หรอก”
“ได้ แล้วมาดูกันว่านายจะกลืนน้ำลายตัวเองหรือเปล่า” นักพนันชั่วคราวแปะมือกันราวเป็นคำสัญญา มองตามร่างสูงที่เดินไปหาลูกรัก
งานนี้นายที่สาวทั้งไร่หมายปองไม่น่ารอด ดูจากแววตาฟันธงได้เลยว่าหลงเสน่ห์แม่ดอกบัวผิวนวลแล้วเป็นแน่
พณณกรเดินหัวเสียมาหา ‘อดัม’ ม้าพันธุ์ฟรีเชี่ยน (Friesian) จากประเทศฮอลแลนด์ซึ่งเป็นลูกรักในขณะนี้ มันเป็นม้าเพศผู้ รูปร่างองอาจดูสง่างาม ค่อนข้างเชื่อง ลำตัวสีดำเลื่อมมีขนที่แผงคอสีเดียวกับผิวยาวสวยเป็นเส้น เขาลูบหัวมันพลางนึกถึงประโยคเมื่อสักครู่ของบุลลา
‘ฉันไม่ได้ชอบนาย ฉันเกลียดนาย’
หึ ต้องรวยแบบไอ้ธีใช่ไหมเธอถึงจะชอบ
คิดแล้วก็ยกยิ้มมุมปากด้วยความดูแคลน
..ไม่น่ารู้สึกเลยว่าผู้หญิงคนนั้นน่าเอ็นดู ก็แค่อยากเกาะคนรวยเท่านั้นแหละ
คิดว่าเกลียดเป็นคนเดียวหรือไง ฉันก็เกลียดเธอเหมือนกันนั้นแหละ!
บุลลาเดินตามถนนดินลูกรัง พลางกระทืบเท้าด้วยความขัดใจ ไม่เคยรู้สึกเกลียดผู้ชายคนไหนขนาดนี้มาก่อนเลย นอกจากจะฉวยโอกาสกับเธอแล้วยังปล่อยให้เดินกลับไร่ด้วยระยะทางกว่าสามกิโลเมตรอีก
..ไอ้ผู้ชายเฮงซวย! ชาตินี้ทั้งชาติก็อย่าหวังว่าจะญาติดีด้วยเลย
เตะก้อนหินแถวนั้นหวังระบายอารมณ์แต่เตะสูงมากเกินไปทำให้ทรงตัวไม่อยู่ล้ม ก้นกระแทกพื้นทำเอาระบมไปทั่วบั้นท้าย
“โอ๊ย! ทำไมมันซวยแบบนี้” ลุกขึ้นก็ปัดฝุ่นออกแล้วเดินกะเผลกเข้าไร่ ตอนนี้บ่ายสองยังไม่เลิกงาน จึงไม่มีใครผ่านมาทางนี้เลย มองข้างทางก็เห็นแต่ทุ่งหญ้าไกลสุดลูกหูลูกตาจนรู้สึกท้อที่จะเดิน มือเล็กยกขึ้นปาดเหงื่อบริเวณใบหน้า
ยังไม่ถึงครึ่งทางด้วยซ้ำ อยากจะนั่งลงแล้วร้องไห้แต่ทำอย่างนั้นก็ไม่ช่วยให้ถึงเร็วขึ้น จึงกัดฟันฝืนเดินไปตามทาง ภายในใจก็ยังสาปแช่งพณณกรไม่เลิก อันที่จริงเขาและเธอยังไม่รู้จักกันอย่างเป็นทางการด้วยซ้ำ ชื่อแซ่ก็รู้เท่าที่คนอื่นเรียก ท่าทางดูไม่แยแสใคร หน้าตาหล่อเหลาที่เคร่งขรึมราวชีวิตพบพานแต่ความทุกข์
ขอให้อมทุกข์ตายไปเลย!
ในระหว่างที่เดินก็ได้ยินเสียงม้าวิ่งมาทางนี้ บุลลาจึงหันกลับไปมอง ก็พบคนที่ตนแช่งอยู่ในใจควบม้าสีดำเลื่อมมุ่งตรงมาตามทางจนฝุ่นตลบ ดวงตาหวานเบิกขึ้นเมื่อเห็นว่าเขาบังคับม้าให้วิ่งมาหาเธอด้วยความรวดเร็ว
เพียงชั่วพริบตาเหมือนอยู่ในความฝันเพราะคนตัวสูงโน้มมาคว้าเอวเล็กแล้วใช้แรงทั้งหมดกระชากให้บุลลาขึ้นไปนั่งบนอานม้าโดยมีเขาซ้อนหลัง หัวใจดวงน้อยเต้นไม่เป็นจังหวะเพราะความกลัวผสมกับความรู้สึกตื่นเต้นราวกำลังถ่ายภาพยนตร์แอ็กชันระดับโลก
เธอไม่ได้ฝันไปใช่ไหม แทบจะยกมือขึ้นตบหน้าตนเองถ้าไม่ติดที่ว่าลำแขนหนาโอบกอดเธอเอาไว้เพราะเขาต้องจับบังเหียน และเพราะเหตุนี้ทำให้สองร่างแนบชิดกัน จนเธอสัมผัสได้ถึงแผ่นอกหนาและหน้าท้องแข็งแกร่งยิ่งกว่าเสื้อเกราะกันกระสุนเสียอีก
..คนเราจะมีรูปร่างที่ดีขนาดนี้เลยหรือ
“หายใจบ้างก็ได้ กลัวจะขาดอากาศตาย” ร่างสูงกระซิบข้างหูเสียงแหบพร่า
จนรู้สึกขนลุกไปทั่วร่าง บุลลาไม่กล้าขยับมากเพราะแค่รับรู้ถึงลมหายใจ ที่รดใบหูก็รู้สึกแปลกอย่างไม่เคยเป็น เหมือนมีผีเสื้อบินวนอยู่ในท้อง ร่างกายแข็งทื่อเป็นหิน
เหมือนกับว่าตอนนี้นอกจากม้าและเขายังควบคุมเธออีกด้วย
พณณกรยกยิ้มมุมปาก ไม่เข้าใจตนเองเหมือนกันว่าทำไมต้องพาอดัมมาวิ่งเล่นทางเข้าไร่ด้วยทั้งที่ปกติมักจะพาเจ้าแห่งความเร็วไปวิ่งที่ทุ่งหญ้ากว้าง อาจเพราะเห็นแผ่นหลังบางมีแต่เหงื่อเปียกชุ่มก็อดสงสารไม่ได้
ใช่ มันก็แค่ความสงสารนั่นแหละ..
สรุปเองในใจแล้วลอบสูดดมกลิ่นกายหอมไม่ให้เจ้าของร่างรู้ตัว อดัมมีฝีเท้าที่เร็วเพราะจัดเป็นประเภทม้าแข่ง ใช้เวลาไม่นานก็มาส่งร่างบางถึงไร่พืชผักโดยมีสายตาของคนงานนับสิบมองมา
ไม่เว้นแม้บานเย็นผู้เป็นมารดาตาแทบถลนออกจากเบ้า
“ปล่อยได้แล้ว คนอื่นมอง” ม้าหยุดแล้วแต่ดูเหมือนเจ้าของมันจะยังคงโอบกอดเอวเล็กเอาไว้ไม่ปล่อย จนหล่อนต้องควานหาเสียงตนเอง กระซิบบอกเสียงเข้ม
“อ้าวเหรอ ขอโทษแล้วกัน” ปล่อยแขนออกจากบังเหียนม้าแล้วลงมายืนข้างล่าง ช่วยบุลลาลงจากหลังม้าด้วยการจับเอวบาง ใช้แรงยกหญิงสาวลงจากหลังม้าโดยไม่สนสายตาหลายคู่ที่กำลังจ้องมองด้วยความสนใจ
ร้อยวันพันปีสัตวแพทย์หนุ่มเคยสนใจสาวในไร่เสียที่ไหน ครั้งนี้มาแปลกถึงกับพาคนงานใหม่มาส่งถึงที่
ไม่ธรรมดาเสียแล้ว
“เดี๋ยว ไม่ขอบคุณหน่อยหรือไง”
หลังจากลงมายืนได้ หล่อนก็ตัดสินใจจะเดินหนี ไม่อยากยืนเสวนากับเขาให้ตกเป็นขี้ปากของชาวไร่
“ขอบคุณ” กระแทกเสียงใส่พร้อมทำหน้าบึ้ง
จนพณณกรมองด้วยความไม่ชอบใจ โดยไม่รู้เลยว่าที่จริงเธอกำลังพยายามเก็บอาการใจเต้นแรงที่เกิดขึ้นกับผู้ชายคนนี้ต่างหาก
..ไม่ได้นะบัว คนที่เธอควรตื่นเต้นเมื่ออยู่ใกล้คือคุณชลธีเจ้าของไร่เท่านั้น หมอนี่ก็แค่สัตวแพทย์เงินเดือนไม่กี่หมื่น อย่าเอามาทำพันธุ์เชียว ไม่อย่างนั้นคงได้คลุกน้ำปลากินกับข้าว
ส่ายศีรษะพยายามสะกดจิตแล้วมองร่างสูงด้วยแววตาเรียบนิ่ง
“ถ้าไม่อยากพูดขนาดนั้นก็ไม่ต้องพูดหรอก” ใบหน้าคมที่แต้มยิ้มกลับเรียบเฉย ก่อนขึ้นควบม้าบังคับให้มันวิ่งออกไปอย่างรวดเร็วทิ้งไว้เพียงฝุ่นตลบ
เมื่อลับหลังเจ้าของม้าแสนสวย คนงานก็เดินแกมวิ่งเข้ามาจับแขนเล็กด้วยสีหน้าแตกตื่น
“บัวมันเกิดอะไรขึ้นทำไมหมอเขาได้มาส่งแก” บานเย็นถามเสียงตื่นเต้น ไม่เคยคิดว่าคนที่ใหญ่พอๆ กับคุณชลธีจะมาสนใจบุตรสาวของตน
คนในไร่รู้ดี ถึงแม้ว่าพณณกรจะไม่ใช่เจ้าของไร่ ทว่าก็ดูแลฟาร์มจนแทบจะเป็นหุ้นส่วนกับชลธี คนงานจึงให้ความเคารพสองหนุ่มแทบไม่ต่างกัน อีกทั้งคุณหมอของเหล่าสัตว์เข้าถึงคนงาน ชอบเฮฮาสังสรรค์แต่เวลางานก็จริงจังจนไม่มีใครกล้าเล่น
“ก็คุณธีให้ไปในอำเภอกับหมอนั่น ก็เลยได้มาด้วยกันแค่นั้นแหละ” อธิบายอย่างรวบรัดไม่อยากลงรายละเอียดมากกว่านั้น
“แต่ถึงขนาดขี่ม้ามาส่งมันไม่ใช่แล้วนะ ข้าได้ยินว่าคุณหมอหวงม้าจะตาย ไม่มีผู้หญิงได้ขี่สักคน” ป้าคนหนึ่งกล่าวเสียงเข้ม
จนคนอื่นพยักหน้าเห็นด้วยและประโยคนั้นก็เรียกเลือดจนแก้มนวลแดงปลั่งอย่างเขินอาย
“ก็ ก็แค่รถเสียน่ะป้า ถามอะไรก็ไม่รู้ฉันจะไปทำงานแล้ว” หลีกหนีจากกลุ่มคนเดินไปนั่งยังแคร่ใต้ร่มใหญ่ซึ่งเป็นที่ทำงานของคนที่ไร่ผัก ส่วนมากก็มีหน้าที่แตกต่างทั้งดูแลผัก เก็บพืชผล คัดเลือกเมล็ด แพ็กใส่ถุงบรรจุภัณฑ์สำหรับวิจัยและสำหรับขาย
คนอื่นยังคงยืนสนทนาถึงเรื่องเมื่อสักครู่ ไม่เหมือนบานเย็นซึ่งเดินมานั่งข้างลูกสาวของตน พลางใช้สายตาจับผิด
“อะไรแม่ มองหนูแบบนั้นทำไม” อึดอัดกับสายตาราวจะมองทะลุเข้าไปถึงข้างในใจก็เอ่ยถาม
“ไหนบอกว่าชอบคุณธี ทำไมไปหวานกับหมอเอิร์ธได้”
“หวานอะไร เกือบตีกัน แม่สายตาไม่ดีนะเนี่ย” หล่อนส่ายศีรษะแสร้งทำเป็นว่าคำกล่าวของมารดาไม่เป็นจริง
ทว่าไม่อาจรอดพ้นสายตาของคนที่เลี้ยงบุลลามาตั้งแต่เด็กหรอก หากถามต่อก็คิดว่าลูกคงไม่พูดความจริงจึงไม่เอ่ยอะไรอีก ให้เวลาพิสูจน์ทุกอย่างเองดีกว่าจะได้รู้ว่าใครกันจะเป็นลูกเขยของเธอ
ก็หวังว่าลูกสาวจะไม่เอนเอียงไปทางคุณหมอเสน่ห์แรงหรอกนะเพราะรายนั้นร้ายใช่เล่น..ดูจากสายตาก็พอจะรู้แล้วมองบุตรสาวของนางราวกับจะกลืนกินขนาดนั้น
..จะรอดหรือเปล่าลูกเอ๊ย
หลายวันผ่านไปเรื่องราวที่เกิดขึ้นระหว่างคุณหมอแห่งฟาร์มสายรุ้งและบุลลาคนงานใหม่ก็เริ่มซาเพราะมีข่าวใหญ่ให้ตื่นเต้นคือ ไร่รุ่งอรุณได้รับรางวัลจากอำเภอให้เป็นไร่ดีเด่นแห่งปี
ชลธีจึงได้จัดงานเลี้ยงฉลอง เชิญคนงานจำนวนกว่าเจ็ดสิบมาสังสรรค์กัน โดยใช้สถานที่คือทุ่งหญ้ากว้างบนพื้นที่ฟาร์มสายรุ้ง ขณะนี้ผู้ชายกำลังช่วยตั้งเวทีขนาดเล็ก ส่วนผู้หญิงก็เริ่มกางโต๊ะกลมนำเก้าอี้มาวางแล้วใช้ผ้าสีน้ำเงินปูทับ
“คุณธีครับ คือว่าผม” ดนัยเดินเข้ามาหาคนเป็นเจ้านายด้วยใบหน้ากระอักกระอ่วน
จนร่างสูงที่ยืนกอดอกมองคนงานจัดสถานที่อย่างขยันขันแข็งหันมาจ้องด้วยความสนใจ
“มีอะไรก็ว่ามาเถอะครับคุณนัย” เห็นอ้ำอึ้งอยู่นานจึงถามเสียงนุ่มไม่ได้กดดันแต่อย่างใด
“ของรางวัลที่จะจับสลากผมยังไม่ได้ซื้อมาเลยครับ”
ใบหน้าคมที่ติดหวานแย้มยิ้มออกมาทันทีเมื่อมองผู้จัดการไร่ก้มศีรษะลงเพื่อขอโทษ
“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมจะเข้าไปในเมืองพอดีจะแวะซื้อมาให้ คุณนัยไม่ต้องคิดมากเรื่องแค่นี้เองผมก็นึกว่าเรื่องคอขาดบาดตายเสียอีก”
ดนัยได้ยินอย่างนั้นก็ยิ้มออก ไม่น่ากังวลเลยเพราะคุณชลธีไม่เคยจะดุด่าหรือว่ากล่าวสักครั้ง มีเพียงรอยยิ้มละไมมอบให้
บุลลาซึ่งกำลังปูผ้าลงบนโต๊ะหูผึ่งทันทีเมื่อได้ยินอย่างนั้น เธอมองซ้ายแลขวาเห็นว่าคนเยอะเพราะฉะนั้นหากขาดตนไปสักคนก็ไม่เป็นไรหรอก คิดแล้วยิ้มเจ้าเล่ห์เดินแกมวิ่งไปหาร่างสูงที่ผละจากผู้จัดการไร่ไปดักหน้าเขาเอาไว้
“อ้าวคุณบัว มีอะไรหรือเปล่าครับ”
แค่เขาจำชื่อได้หล่อนก็รู้สึกเหมือนตัวจะลอยแล้ว คนงานมีเกือบร้อยทว่าชลธีกลับบันทึกชื่อของเธอไว้ในสมอง
..เขาต้องสนใจเธอเป็นแน่!
“คุณธีจำบัวได้ด้วยเหรอคะ” ร่างสูงพยักหน้า
“ครับ ผมจำชื่อคนงานได้ทุกคนนั่นแหละครับ”
หัวใจที่พองโตแฟบลงทันทีเมื่อเขาใช้คำพูดที่เหมือนเข็มแหลมมาทิ่ม แต่ก็ยังพยายามฝืนยิ้มเอาไว้
..ไม่เป็นไรหรอกอย่างไรก็จำได้นั่นแหละ จะจำทุกคนหรือจำแค่เธอคนเดียวมันไม่สำคัญขนาดนั้นหรอกน่าบุลลา
“ว่าแต่คุณบัวมีธุระกับผมหรือเปล่าครับ”
..แค่น้ำเสียงก็น่าฟังยังจะวิธีการพูดจาที่เหมือนผู้ดีอีก ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเขาอาจมาจากตระกูลผู้ดีมรดกทางบ้านคงไม่ต่ำกว่าร้อยล้าน
แค่คิดใจก็เต้นรัวจินตนาการเห็นเงินปึกหนาลอยมาวางแทบเท้าแล้ว
“บัวต้องเข้าไปซื้อของในเมืองค่ะ เลยจะมาขออนุญาตคุณธีก่อน” บอกเสียงอ่อยพลางทำตาโตให้ดูน่าเอ็นดูขยับเข้าใกล้ร่างสูงเพียงนิดเพราะไม่อยากแสดงออกมากให้ไก่ตื่น จะต้องค่อยตะล่อมไปทีละนิดเสียก่อน
ส่วนของจริงน่ะหรือ...คืนนี้รู้กัน
“พอดีเลยผมก็กำลังจะเข้าเมือง ถ้าอย่างนั้นไปด้วยกันไหมครับ”
..คำนั้นแหละที่ต้องการได้ยิน
บุลลาฉีกยิ้มปากแทบจะถึงหูแล้วกระโจนเข้าไปเกาะแขนหนาทันที
“จริงเหรอคะ คุณธีจะเข้าไปพอดีหรือคะ ถ้าอย่างนั้นบัวขอรบกวนหน่อยนะ” แอบสูดดมกลิ่นหอมจากกายสูงก็โอดครวญในใจ
.. แม้แต่น้ำหอมที่ใช้ยังดูแพงเลย ชีวิตเธอต่อจากนี้จะต้องสุขสบายไปทั้งชาติอยู่บนกองเงินกองทองไปตลอดเป็นแน่ แม่จ้า บัวจะได้ผัวรวยก็คราวนี้แหละ
“ไม่เป็นไรเลยครับ คนกันเองทั้งนั้น ไปกันเถอะ” เขาไม่ได้ว่าอะไรกับการถึงเนื้อถึงตัวของหล่อน ซ้ำยังปล่อยให้เกาะแขนเดินไปขึ้นรถไม่อายสายตาของคนงานหญิงที่มองมาด้วยความดูแคลน
“สัปดาห์ก่อนก็หมอเอิร์ธ วันนี้คุณธี มันแรดจริงๆ” ฟ้ามุ่ยสะบัดผ้าคลุมโต๊ะแล้วกระแทกเสียงด้วยความเหยียดหยามให้อริที่ไม่ชอบหน้า
คนอื่นที่อยู่บริเวณนั้นก็พยักหน้าเห็นด้วย
“ใช่ ข้าดูก็รู้ว่ามันอยากจับคุณธี อยากเป็นคุณนายจนตัวสั่น เห็นแล้วหมั่นไส้จริงวุ้ย! ก็แค่อีกาเผยออยากเป็นหงส์ คุณเขาไม่มีวันสนใจมันหรอก” สาลี่จัดเก้าอี้แล้วหันมาเอ่ยสมทบเพราะนึกหมั่นไส้ผู้หญิงที่มาทำงานไม่นานก็เป็นที่กล่าวขานของผู้ชายทั้งไร่ จนหลายคนยกตำแหน่งให้เป็นสาวสวยเลยด้วยซ้ำ
..หึ หน้าตาก็งั้นๆ แหละไม่เห็นจะสวยตรงไหนเลย
การสนทนาที่เต็มไปด้วยความดูแคลนต่อบุลลายังคงไม่สิ้นสุด ขุดมาตั้งแต่สมัยเรียนประถมด้วยกันจนถึงมัธยมศึกษาปีที่หกก่อนร่างบางจะเข้าไปทำงานที่กรุงเทพฯ หวังหารายได้มาจุนเจือครอบครัวเพราะขาดเสาหลักอย่างบิดาไปด้วยโรคร้าย
พณณกรขี่รถมอเตอร์ไซค์ออกจากคอกหมูหวังไปดูสถานที่จัดงานคืนนี้ ใจก็ไพล่นึกถึงใบหน้าหวานที่ไม่ได้เจอนานเพราะเขายุ่งกับงานในฟาร์มจนแทบไม่ได้ไปไหน ตกเย็นคนงานก็ชวนไปลองยาดองสูตรใหม่ เมาหลับจำทางกลับบ้านแทบไม่ถูก
“บ้าแล้วไอ้เอิร์ธ ใครจะไปอยากเห็นผู้หญิงหน้าเงินแบบนั้น” สะบัดศีรษะปฏิเสธใจตนเองทั้งที่ริมฝีปากยังแต้มยิ้ม
ระหว่างทางที่ขับไปเขาก็เห็นรถยนต์สี่ประตูสีดำเงาของเพื่อนขับตรงมาเสียก่อน อาจเป็นเพราะกระจกที่ติดฟิล์มดำจึงไม่เห็นคนที่นั่งด้านใน กระทั่งสวนทางกันเขาจึงหยุดรถและชลธีก็ชะลอก่อนจะใส่เบรกมือเลื่อนกระจกลงฝั่งที่นั่งข้างคนขับเพื่อคุยกับเพื่อนสนิท
ดวงหน้าคมของคุณหมอสัตวแพทย์เคร่งขรึมลงเมื่อสบดวงตากลมโตก่อนที่เธอจะหันหน้าหนีการจ้องมองของเขา
“ฉันฝากนายดูคนในไร่จัดงานเลี้ยงหน่อยนะ พอดีต้องเข้าไปในเมืองแล้วจะรีบกลับมา” คนขับชะโงกหน้ามาทักทายเพื่อนสนิท โดยไม่รู้เลยว่าภายใต้ใบหน้านิ่งขรึมมีลาวาที่ก่อตัวขึ้นพร้อมปะทุหากรถยนต์คันนี้ยังไม่แล่นไป
“อือ จะดูให้”
ชลธีเอ่ยขอบคุณแล้วกดกระจกเลื่อนขึ้นปิดการมองเห็นก่อนรถยนต์จะเคลื่อนตัวออกจากไร่ ทิ้งไว้เพียงอารมณ์ขุ่นมัวของพณณกรจนต้องเร่งเครื่องยนต์เพื่อดับอาการคุกรุ่นที่เกิดขึ้นในใจ เธอเชิดหน้าชูคอไม่หันมาสบตาเขาอีกเลยทำราวกับเป็นคุณนายจนน่าหมั่นไส้
ได้นั่งรถยนต์สมใจแล้วไม่ต้องมาทนนั่งมอเตอร์ไซค์ตากแดดตากลม คิดแล้วก็ยกยิ้มมุมปากอย่างสมเพช ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะสมเพชผู้หญิงคนนั้นหรือสมเพชตนเอง ที่แม้จะมาถึงลานหญ้าแล้วก็ไม่สามารถลืมภาพใบหน้าหวานแสนหยิ่งยโสนั้นได้
ไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนเมินเขามาก่อนเลย...เธอเป็นคนแรกเลยนะบุลลาที่กล้าเมินฉันแบบนี้!
บนรถยนต์ไม่มีใครรู้ว่าหล่อนต้องควบคุมอาการมากแค่ไหนที่จะไม่ให้พณณกรรู้ว่าลึกๆ แล้วก็แอบมองหาเขาอยู่เหมือนกัน ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุผลกลใดทั้งที่ควรเกลียดแต่สายตาก็คอยแต่จะชะเง้อว่าหนุ่มร่างสูงผิวเข้มมีหนวดครึ้มจะโผล่หน้ามาเมื่อไหร่ ทว่าจนแล้วจนรอดก็ยังไม่เห็นเขาในครรลองสายตา
..แล้วใครสนกันเล่า ผู้ชายที่เธอชอบคือชลธีต่างหาก
หล่อนเตือนตนเองให้สลัดเรื่องของหมอปากมอมออกจากหัวแล้วฉีกยิ้มหวานไปทางคนขับรถกิตติมศักดิ์
“คุณธีเป็นคนที่ไหนเหรอคะ ทำไมถึงมาทำไร่อยู่นี่” เริ่มแผนการตีสนิทขั้นแรกเพื่อสร้างสัมพันธไมตรีอันดีต่อกัน
“ผมเป็นคนกรุงเทพฯ ครับ ชอบทำสวน ชอบอยู่กับธรรมชาติตั้งแต่เด็ก ยิ่งมาเห็นที่ตรงนี้ก็รู้สึกชอบเลยซื้อแล้วเริ่มปลูกผักผลไม้เล็กๆ ก่อนจะขยายจนเป็นอย่างที่เห็นเนี่ยแหละครับ” ขณะที่เล่าใบหน้าหล่อก็นึกถึงอดีตซึ่งตนและพณณกรเป็นผู้บุกเบิกไร่แห่งนี้มาด้วยกัน
ทว่าเพื่อนกลับเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ
‘มึงห้ามบอกใครเด็ดขาดว่ากูเป็นเจ้าของไร่อีกคน’
เตือนชลธีเสียงเข้มทั้งแววตาดุดัน
‘ทำไมล่ะ ฉันก็ไม่เห็นว่าจะต้องปิดบังอะไรเลย’
..ไม่เข้าใจสักนิดว่าการเป็นเจ้าของไร่ทำไมจะต้องปกปิดไม่ให้คนภายนอกรู้ด้วย ไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายเสียหน่อย
‘กูไม่อยากให้ใครมานับหน้าถือตาเท่าไหร่ ทำตามที่บอกเถอะน่า’
ชลธีพยักหน้าอย่างไม่เต็มใจเท่าไหร่ และตั้งแต่นั้นมาทุกคนก็รู้เพียงว่าชลธีคือเจ้าของไร่และฟาร์มแห่งนี้โดยมีพณณกรซึ่งเป็นเพื่อนสนิทช่วยเหลือมาตลอด คนงานจึงให้ความนับถือไม่ต่างกันนัก
“เก่งจังเลย แล้วทำไมถึงรู้จักที่ดินตรงนี้คะ มันอยู่ค่อนข้างลึกเลยนะ”
“อ๋อ มันเป็นที่ของพ่อผมครับส่วนที่เหลือก็ซื้อมาจากชาวบ้านละแวกนี้จนพื้นที่เยอะ เดินทีปวดขาไปทั้งวัน”
คนได้ยินก็ตาโตแอบนับเงินการซื้อขายที่อยู่เพียงลำพัง
..เขาจะต้องรวยแค่ไหนถึงมีเงินซื้อที่ดินกว่าพันไร่ได้ ไหนจะกำไรผลผลิตในแต่ละเดือนอีก
งานนี้แหละไอ้บัวเอ๊ย ได้นั่งกินนอนกินสบายไปทั้งชาติ!
๓โรงเก็บหญ้ากับคนเมาพณณกรจอดรถมอเตอร์ไซค์ไว้ริมถนนแล้วเดินมายังลานกลางสนามหญ้าด้วยใบหน้านิ่งขรึมและดวงตาวาวโรจน์ราวมีเปลวเพลิงอยู่ในนั้นผู้หญิงที่ยังสาวและไร้คู่ต่างเมียงมองมาที่หนุ่มสัตวแพทย์อย่างเอียงอาย ไม่กล้าเข้าไปทักกลัวเจอฤทธิ์พ่อเจ้าประคุณเข้าให้“อ้าวนาย ทำไมคราวนี้มาเร็วครับผม” ลูกน้องคนสนิทอย่าง‘โอ้’ เอ่ยถามด้วยแววตากรุ่มกริ่มในขณะที่เพื่อนสนิทอีกคนก็เสริมทัพทันที“ปกติถ้าตะวันไม่ตกดินมีเหรอที่นายจะปรากฏตัว หรือว่า..มาหาใครครับ” กล่าวพลางมองไปโดยรอบหวังให้คนเป็นเจ้านายโดยตรงออกอาการเขินบ้างแต่ดูเหมือนว่า ‘อาร์ต’ จะต้องผิดหวังเพราะนอกจากจะไม่อายแล้วกลับมีความคุกรุ่นอยู่ในแววตานั้นแทน“มาเอาตีนประเคนหน้าพวกมึงนี่ไง”สองหนุ่มดูโอ้หลบแทบไม่ทันเมื่อเท้าของนายพุ่งเข้าหาพร้อมใบหน้าบูดบึ้งมองปราดเดียวก็รู้ว่าอารมณ์เสียร่างสูงหายใจฮึดฮัดมองทุกสิ่งขวางหูขวางตาไปเสียหมด ไม่รู้ทำไมถึงได้ติดใจกับผู้หญิงคนนั้นนักหนาทั้งที่จริงหากเขาต้องการใครสักคนก็แค่ชายตามองคนเหล่านั้นก็แทบจะวิ่งเข้ามาหาโดยไม่ต้องเอ่ยปากด้วยซ้ำ แล้วทำไมบุลลาถึงเอาแต่วิ่งหนีหึ..ถ้ารู้ตัวจริงว่าเขาก็มีเงินไม่ต่างจาก
๔คนซาเบิ่ดบ้าน (ตกเป็นประเด็นคนทั้งหมู่บ้าน)เวลาผ่านไปหลายนาทีร่างบางก็ยังคงนั่งกำชายกระโปรงแน่นโดยที่มืออีกข้างถือชั้นในชิ้นน้อยเอาไว้กัดริมฝีปากจนห้อเลือดเพราะแค้นใจที่ถูกล้วงล้ำเข้ามาภายในกายแม้จะไม่ได้ตกเป็นของเขาร้อยเปอร์เซ็นต์แต่อย่างน้อยคนที่แสนเกลียดขี้หน้าก็ได้เห็นเรือนกายขาวผ่องจนหมดทว่านั่นยังไม่น่าแค้นใจเท่าหัวใจเจ้ากรรมดันคล้อยตามการกระทำนั้นอย่างน่าอับอาย อยากจะแทรกแผ่นดินหนีเหลือเกิน ช่างไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจ ทำตัวราวคนใจง่าย ใครจับจูงไปไหนก็ตามได้ง่ายดวงตากลมโตมีหยาดน้ำใสไหลลงมาก่อนจะรีบเช็ดออกไม่อยากถูกเยาะเย้ย“เลิกร้องไห้แล้วช่วยใส่เสื้อผ้าให้มันมิดชิดสักที เห็นแล้วทุเรศตา” เสียงเข้มเอ่ยขึ้นขณะที่เอนกายพิงก้อนหญ้าอัด ปรายตามองคนที่เอาแต่นั่งหันหลังให้“ไอ้ผู้ชายเฮงซวย” อยากหันไปตะคอกเขาแต่ก็กลัวว่าตนเองจะต้องพบเหตุการณ์น่าอับอายอีกครั้งทำได้เพียงพึมพำในลำคอ แฝงกายอยู่ข้างหลังหญ้าฟางบรรจงใส่บราพร้อมสวมจีสตริงอย่างรวดเร็ว ไม่อาจรู้ว่าผู้ชายคนนั้นจะเกิดอาการบ้าจับเธอปล้ำตอนไหนมันไม่เหมือนที่คิดเอาไว้สักนิด ไม่ใกล้เคียงเลย.. ผู้ชายที่ควรอยู่ที่นี่คือชลธีสิ เจ้าของ
๕คืนเข้าหอบานเย็นมีสีหน้าสดชื่นเมื่อมาทำงาน สร้างความสงสัยแก่คนอื่นทว่าแม้จะเพียรถามถึงสาเหตุก็ไม่ได้รับคำตอบต่างจากพณณกรซึ่งมีสีหน้าซึมกะทือแทบไม่เป็นอันทำงาน จนลูกน้องต้องมองกันด้วยความสงสัย..ขนาดเรื่องที่เขาเล่ากันปากต่อปากยังไม่สะเทือนนาย แล้วมันมีเรื่องอะไรถึงทำให้คนไม่สนโลกต้องมาทำหน้าเบื่อหน่ายด้วยพลบค่ำร่างสูงก็ขี่รถมอเตอร์ไซค์ไปยังบ้านเจ้าของไร่ซึ่งอยู่ไม่ห่างจากสวนส้มเท่าไหร่ ตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางสวนดอกไม้เบื้องหลังมีขุนเขาเป็นฉากประกอบ ตัวบ้านเป็นไม้สองชั้นเคลือบแว็กซ์เงางามราวบ้านในฝันที่มีอยู่จริง เดินเข้ามาภายในก็พบโถงกว้างซึ่งมีโต๊ะสำหรับวางแจกันตั้งไว้อย่างสวยงามทั้งยังปักดอกไม้ซึ่งส่งกลิ่นหอมทั่วบ้านทางด้านขวาเป็นห้องรับแขกและผู้มาเยือนก็เลือกจะเข้าไปรอที่ห้องนั้น พอดีกับมีคนเดินเข้ามาทักทาย“อ้าวคุณเอิร์ธ มารับประทานอาหารเย็นกับคุณธีหรือคะ” ป้าจิตแม่บ้านร่างท้วมท่าทางใจดีมีใบหน้ายิ้มแย้มเป็นนิจ ทำงานเป็นแม่บ้านให้กับตระกูลของเพื่อนสนิทมานับยี่สิบปีก่อนจะย้ายมาอาศัยที่นี่เพื่อคอยรับใช้ชลธีอย่างใกล้ชิดรู้ดีถึงสถานะอันแท้จริงของพณณกรแต่ไม่ได้ปริปากบอกใคร“ครับ
๖ปรับตัวความเงียบของห้องทำให้ได้ยินเสียงเครื่องปรับอากาศ อาการตกใจกลัวแปรเปลี่ยนไปทันทีเมื่อมีอาวุธลับของชายหนุ่มดันที่หน้าขา ใบหน้าหวานแดงซ่านทั้งยังเม้มปากแน่น เธอควรจะผละหนีแล้วระดมทุบตีร่างสูงแต่ก็ไม่อาจทำได้เนื่องจากโดนรัดแน่นจากตัวต้นเหตุ..หน้าสิ่วหน้าขวานยังมาคิดลามกอีก“อะ ไอ้บ้ากาม” เสียงเล็กเอ่ยติดขัดแล้วดันแผ่นอกหนาเพื่อเอาตัวออกห่างทว่าสายไปเสียแล้วในเมื่อเสือตื่นมีหรือจะปล่อยให้เหยื่อรอดพ้นไป ได้ง่าย“เธอเป็นฝ่ายกระโดดมาหาฉันเองนะ” กลิ่นสบู่ของหญิงสาวโชยเข้าจมูกอีกครั้ง ปกติเขาก็ไม่ใช่คนที่ไวต่อกลิ่น หากวันนี้ต่างออกไป..ไม่รู้ว่าบุลลาใช้สบู่หรือยาสระผมยี่ห้ออะไรถึงได้ทำให้เป็นบ้าได้ขนาดนี้“ก็ฉันกลัว ใครจะไปรู้ว่านายจะ จะเป็นแบบนี้เล่า!” สัมผัสได้ถึงการขยาย ตัวใหญ่ขึ้นของส่วนนั้นจึงใช้ความพยายามดันตนเองออกโดยไม่รู้เลยว่า ยิ่งดิ้นก็ยิ่งทำให้อารมณ์ของบุรุษเพศเพิ่มขึ้นและตอนนั้นเองที่เขาไม่สามารถกักเก็บความต้องการที่มีต่อหล่อนเอาไว้ได้“เรามาทำคืนเข้าหอให้สมบูรณ์แบบกันเถอะ” ร่างหนาพลิกกายขึ้นทาบทับคนตัวเล็กอย่างรวดเร็วพร้อมถอดเสื้อกล้ามออกแล้วเหวี่ยงไปตกพื้นห้องก่อนจะโน
๗เอาตัวเข้าแลกบนถนนลูกรังทางไปไร่รุ่งอรุณเหมือนจะมีสงครามอารมณ์ขนาดย่อมซึ่งเกิดจากคู่ข้าวใหม่ปลามัน ความร้อนระอุของแดดช่วงเย็นยังไม่อาจสู้ดวงตาที่มีประกายเพลิงส่งให้กัน ทำเอาบุคคลที่สามต้องจอดรถมอเตอร์ไซค์ไว้แล้วยืนมองด้วยความหวั่นใจเธอจะโดนลูกหลงไปด้วยหรือไม่ที่บังอาจพาเมียของสัตวแพทย์หน้านิ่งสมัครงานพาร์ทไทม์ แต่ก็ไม่ได้ชวนสักนิด เป็นหญิงสาวเสนอตัวเองทั้งนั้น เนื้อไม่ได้กินหนังไม่ได้รองนั่งยังเอากระดูกมาแขวนคอ แอบถอนหายใจเสียงเบามองทั้งคู่ยื้อยุดกันไปมา“ฉันไม่ให้ไป กลับบ้าน!” ประกาศิตนั้นชัดเจนทว่าร่างบางไม่ได้กลัวสักนิดจ้องตาเขาแล้วตอบกลับเสียงแข็งไม่แพ้กัน“ฉันจะไปแล้วนายก็ไม่มีสิทธิ์ห้ามด้วย” ขึ้นเสียงเพื่อความเท่าเทียม จะหันหลังเดินไปหานุ่มนิ่มแต่ก็ถูกคว้าแขนเอาไว้อีกครั้ง“อย่าขัดคำสั่งของฉันนะบัว จะวิ่งเร่เข้าไปทำไม งานในไร่ก็มีให้ทำเยอะแยะ ชอบนักหรือไงไอ้พวกงานบริการ” ดึงคนตัวเล็กเข้าหาแล้วถามย้ำด้วยใบหน้าเหยียดหยันจนคนมองต้องข่มอารมณ์ที่โดนเขาดูถูกกลายๆ“แล้วงานไร่มันได้เงินดีไหมล่ะ ทำหลังขดหลังแข็งก็ไม่พอกิน อีกอย่างงานที่ฉันจะไปทำก็เป็นงานสุจริตไม่ได้ไปขโมยใครเขามาเสี
๘แยกกันบ้างตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาพณณกรก็ระมัดระวังตัวมากขึ้นและเมื่อเขาหลุดจากกุญแจมือเหล็กก็จัดการทบต้นทบดอกภรรยาตัวแสบทำเอาวันต่อมาลุกขึ้นแทบไม่ไหว แต่ก็คุ้มเพราะชายหนุ่มอนุญาตให้ไปสมัครงานที่ตัวอำเภอพร้อมนุ่มนิ่ม เพียงแค่ไปสมัครก็ผ่านการสัมภาษณ์อย่างง่ายดายจนยิ้มแก้มปรินำมาบอกกล่าวสามีด้วยน้ำเสียงภาคภูมิใจเหลือเกินการดำเนินชีวิตของคู่แต่งงานผ่านไปอย่างทุลักทุเล หลายเรื่องต้องปรับเข้าหากันนิสัยส่วนตัวที่ไม่พึงประสงค์ก็ต้องเปลี่ยนโดยเฉพาะการถอดเสื้อผ้าซึ่งร่างบางบ่นแทบทุกวัน“มันยากนักหรือไงกับแค่เอาเสื้อไปลงตะกร้าเนี่ย” เดินไปหยิบเสื้อลายสก็อตแล้วโยนลงตะกร้าก่อนจะหันไปมองเขาตาเขียวเพราะอีกฝ่ายไม่มีท่าทีทุกข์ร้อนเลย“ก็เธอเก็บให้แล้วไง” เอนกายลงบนเตียงทั้งที่ยังไม่ได้อาบน้ำจนหล่อนต้องรีบก้าวไปฉุดแขนหนาไว้เสียก่อนพร้อมใบหน้าบูดบึ้ง แต่งงานกันมาเดือนกว่าแล้วชีวิตไม่ได้ดีขึ้นสักเท่าไหร่“ฉันไม่ใช่คนใช้ของนายนะ แล้วฉันก็บอกหลายรอบว่าถ้ายังไม่อาบน้ำห้ามนอนบนเตียงเดี๋ยวกลิ่นมันจะติดที่นอน ถามจริงเป็นเด็กสามขวบหรือไงต้องให้ย้ำตลอดเวลา” ทนไม่ไหวต้องร่ายยาวจนใบหน้าแดงก่ำ หายใจแทบไม่ทันนึ
๙คนที่เหมาะสมการได้พบปลายฟ้าสร้างความหงุดหงิดใจให้แก่พณณกรยิ่งนัก หวนนึกถึงอดีตระหว่างกันไม่ได้อันที่จริงเขารู้จักเธอตั้งแต่อนุบาลเพราะอยู่โรงเรียนเดียวกัน กระทั่งขึ้นมัธยมจึงได้ห่างกันบ้างก่อนพบกันอีกทีที่สถานเริงรมย์ แม้จะอายุไม่ถึงสิบแปดปีแต่อำนาจเงินก็บันดาลได้ทุกอย่างเขาชอบใบหน้าจิ้มลิ้มทั้งยังดูไร้เดียงสาแต่เรื่องบนเตียงร้อนแรงของอีกฝ่ายจนตกลงคบหากัน แต่ความหวานก็มีเพียงสามเดือนแรกเท่านั้นเพราะจากนั้นพณณกรก็แอบไปนอนกับคนอื่น เหมือนกับที่ปลายฟ้าเองก็ทำเช่นเดียวกันแต่ทั้งคู่ต่างไม่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังนอกใจ กระทั่งขึ้นมหาวิทยาลัยเขาจึงเลิกนอกใจหันมาให้ความสำคัญกับแฟนสาว ทุกอย่างดูเหมือนจะไปด้วยดีก่อนทุกอย่างพังทลายชั่วข้ามคืนเพราะมือที่สามคือเพื่อนสนิทแค่คิดก็กำมือแน่น เขาโกรธมัน เกลียดมัน แต่ก็คิดถึงมันเช่นเดียวกัน ช่วงเวลายากลำบากมีกองทัพเคียงข้างเสมอ เคยพูดกันเล่นๆ ว่าจะแบกเป้เที่ยวรอบโลกหลังเรียนจบแต่ก็ยังไม่ได้ทำเพราะมีเรื่องนี้ทำให้ความสัมพันธ์แตกหักมันถึงเวลาแล้วหรือยังที่จะปล่อยวางอดีตที่เคยทำร้ายใจ แล้วลองเริ่มต้นใหม่อีกครั้งถึงเวลาหรือยัง..งานเลี้ยงวันนั้นเขาไปช้ากว่
๑๐เปิดหัวใจวันที่ไร้พณณกรมันช่างเหงาเหลือเกิน เตียงที่เคยเล็กกลับกว้างอย่างน่าใจหาย ยกแขนขึ้นมาโอบกอดหมอนข้างซึ่งไม่ได้ให้ความอบอุ่นเท่าอ้อมแขนของเขาแม้แต่น้อย..ป่านนี้จะเป็นอย่างไรบ้างหนอ อีกตั้งหนึ่งวันกว่าชายหนุ่มจะกลับคิดแล้วก็รู้สึกห่อเหี่ยว หากโทรศัพท์ไม่หายป่านนี้คงพอคลายความคิดถึงลงได้บ้างถ้าเขากลับมาเธอจะบอกเรื่องที่เกิดขึ้นดีไหม..อยากให้ชายหนุ่มปลอบปะโลมโอบกอดเอาไว้ทว่าก็กลัวเจอคำสั่งเด็ดขาดไม่อนุญาตให้ไปทำงานที่นั่นอีก ถึงจะเปลี่ยนเป็นภัตตาคารก็ตาม จำต้องเงียบเอาไว้ ไม่ลืมกำชับนุ่มนิ่มและคนที่รู้เรื่องให้สงบปากอย่าได้แพร่งพรายจนสามีหล่อนจับได้เป็นอันขาด งานนี้สร้างเงินเป็นกอบเป็นกำจะทิ้งไปก็แสนเสียดายร่างบางพลิกกายไปมาคิดเห็นเพียงใบหน้าคมจนต้องลุกขึ้นนั่งมองดูรูปคู่แต่งงานซึ่งมารดาอัดกรอบมาไว้ในห้องนอนของหล่อนตั้งแต่เมื่อเดือนที่แล้ว จะว่าไปก็เกือบสองเดือนที่อยู่ในสถานะสามีภรรยาไม่รู้สึกอึดอัดใจอย่างที่คิด ยังสามารถเป็นตัวของตัวเองทำอะไรตามใจได้บ้างในบางเรื่องแต่ก็ยังมีสิ่งที่เขาห้ามเด็ดขาดคือยิ้มให้ผู้ชายคนอื่นพณณกรเป็นบุคคลที่ขี้หึงมาก แค่มีผู้ชายเขาใกล้หรือมองหน้า