๑
คนนี้แหละใช่เลย
แสงแดดจากภายนอกส่องเข้ามาถึงเตียงกว้างที่มีหญิงสาวร่างบางยังคงนอนหลับอยู่ในห้วงนิทราอย่างมีความสุข เธอฝันว่ากำลังเดินเล่นท่ามกลางทุ่งหญ้าสีเขียว มีแกะอยู่รายรอบ เดินเข้ามาดมกลิ่นแล้วก็เลียมือราวกับว่ามันคือของกิน จนอดจั๊กจี้ไม่ได้ ใบหน้าหวานแย้มยิ้มมีความสุขหลังจากนั้นก็มีแกะนอกคอกตัวหนึ่งพุ่งเข้าหาเธอ หมายจะเอาชีวิตเสียให้ได้
ดวงตาของมันจ้องมาที่ร่างบางเขม็งจนรู้สึกชาวาบไปทั่วร่าง หุ่นของมันจากตัวเล็กค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งกลายเป็นคนที่หน้าตาชั่วร้ายราวโจรห้าร้อย หล่อนก้าวขาถอยหลัง ส่ายหน้าไปมาภายในใจก็ภาวนาให้คุณพระ คุณเจ้าได้โปรดช่วยลูกด้วย
ทว่าดูเหมือนสิ่งที่ขอจะไม่เป็นผลเพราะมันวิ่งเข้าหาเธออีกทั้งในมือมีแสงเงาวับจากมีดซึ่งง้างขึ้นเหนือหัวหมายจะแทงมาที่หน้าอกข้างซ้าย วินาทีนั้นคิดแล้วว่าอย่างไรก็ไม่รอดเป็นแน่ เธอหันหน้าหนี หลับตาแน่นสนิทโดยมีน้ำตาไหลออกมาด้วยความกลัว
แต่แล้วกลับมีอ้อมกอดหนึ่งคว้าเธอเข้าที่เอวให้ลอยขึ้นไปบนหลังม้าด้วยกัน
..เขามาตั้งแต่เมื่อไหร่ เขาเป็นใคร
“ย๊า ย๊า”
แรงกระตุกที่บังเหียนทั้งเสียงที่เปล่งออกจากปากทำเอาร่างกายของหล่อนอ่อนระทวย ความกลัวจากเหตุการณ์สักครู่ถูกลดลงจนเหลือเพียงความรู้สึกอบอุ่นเมื่อตกอยู่ในอ้อมกอดของชายปริศนา ดวงตากลมโตไล่มองตามแขนหนาที่มีเส้นเลือดปูดขึ้นมาตามการใช้แรง ใบหน้าหวานเอี้ยวไปมองหวังจะเห็นดวงหน้าคม แต่แล้วกลับมีลำแสงทาบทับใบหน้าเขาจนต้องหลบสายตา ไม่อาจสู้แสงเจิดจ้านั้นได้
และดูเหมือนแสงนั้นจะไม่หยุดแม้จะพยายามหลบก็ตาม มันทาบทับไปทั่วบริเวณจนไม่อาจต้านทานได้ จึงต้องยกมือขึ้นมาบังพร้อมหลับตาแน่น
“จะนอนกินบ้านกินเมืองไปถึงไหนแม่คุณ มันสิบเอ็ดโมงแล้วนะยะ ไม่คิดจะลุกมาทำงานทำการเลยหรือไง” คนเข้ามาใหม่มองบุตรสาวแล้วส่ายศีรษะเหนื่อยใจ ขนาดเปิดผ้าม่านให้แสงผ่านเข้ามาก็ไม่สามารถปลุกตัวขี้เกียจประจำบ้านให้ตื่นขึ้นมาได้
หล่อนลุกขึ้นนั่งทั้งที่ตายังปิดสนิท แสนเสียดายที่คนเป็นแม่เข้ามาทำลายความฝันของตนที่อยู่กับหนุ่มหล่อ
เขาเป็นผู้ชายขี่ม้าขาว..เอ๊ะ ไม่ใช่ม้าสีขาวสิ ม้าตัวนั้นเป็นสีน้ำตาลเข้มไปทั้งตัว แต่ก็นั่นแหละ แม่เข้ามาทำลายจนอดเห็นใบหน้าคนที่คาดว่าต้องเป็นเนื้อคู่ในอนาคตอย่างแน่นอน
“แค่สิบเอ็ดโมงเอง ถ้าหนูตื่นบ่ายสามค่อยมาบ่น” ขยี้ตาพลางบิดขี้เกียจไปมา ไล่ความเมื่อยขบแล้วลุกขึ้นจากเตียงเดินออกจากห้องไปเข้าห้องน้ำที่มีเพียงห้องเดียวภายในบ้านหลังเล็กหนึ่งชั้นซึ่งอยู่กันเพียงสามคนแม่ลูกและหลานสาว
บุลลา เพลงดนัยอดีตพริตตี้สาวทรงเสน่ห์บัดนี้เหลือเพียงแค่ชื่อให้ได้จดจำกันเท่านั้น เธอจากเมืองกรุงที่ศิวิไลซ์มุ่งกลับมาบ้านที่มองไปทางไหนก็มีแต่ต้นไม้ใบหญ้า ไม่เจริญหูเจริญตาสักนิด เพียงแค่หนึ่งทุ่มแต่ละบ้านก็พากันปิดไฟเหมือนใครนอนดึกกว่านี้จะต้องโดนสวรรค์ลงโทษ
คนที่ยังไม่ชินอย่างเธอจึงนั่งดูละครเป็นเพื่อนมารดาจนดึกดื่นโดยในมือก็ถือขนมที่เคยหลีกเลี่ยงจะกินเพราะกลัวอ้วน
..แต่ในเมื่อตอนนี้ไม่ได้ทำอะไรที่ต้องใช้รูปร่างแล้วเรื่องอ้วนจึงไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป เธอจะกินมันทุกอย่างที่ขวางหน้า!
“แล้วดูสิ เดินออกจากห้องก็ไม่รู้จักเก็บที่นอนเป็นสาวเป็นแส้ทำอะไรไม่เคยเรียบร้อยกับเขาเลย”
ได้ยินเสียงมารดาแว่วมาจากห้องแต่หล่อนก็ไม่ได้สนใจเท่าไหร่นัก บีบยาสีฟันแล้วเริ่มแปรงฟันอย่างช้าๆ
หลังจากล้างหน้าเสร็จก็หยิบกระดาษทิชชูขึ้นมาซับหน้า ทิ้งลงถังขยะที่อยู่ในห้องน้ำ บ้านหลังนี้เพิ่งสร้างเสร็จเมื่อสองปีก่อนเพราะเงินของบุลลาส่งมาให้ มารดาจึงได้ทำการเปลี่ยนโฉมบ้านไม้สองชั้นที่ผุพังกลายเป็นบ้านไม้สีขาวชั้นเดียวล้อมรอบด้วยต้นไม้และพืชผักสวนครัว ดูน่ารักและอบอุ่นเหลือเกิน
“แม่จะเก็บให้ทำไม เดี๋ยวหนูก็เข้ามาเก็บเองนั่นแหละ กลับมาเหนื่อยๆ ไปพักเถอะ” เข้าห้องนอนของตนก็พบมารดากำลังเก็บผ้าห่มให้เข้าที่ด้วยการปูคลุมเตียงขนาดห้าฟุตแล้วจัดให้เรียบราวพักโรงแรมห้าดาว บุลลารีบเข้าไปดึงแขนมารดาออกจากห้องจนท่านต้องจับแขนลูกสาวเอาไว้
“ก็ลูกสาวตัวดีไม่ทำน่ะสิ แม่เลยต้องทำให้” คุณบานเย็นเอ่ยเสียงเหนื่อยอ่อนแล้วนั่งลงตรงกลางบ้านหน้าทีวี
ลูกสาวจัดการเปิดทีวีและพัดลมให้แม่ ส่วนตนก็เดินเข้าครัวไปเปิดตู้อาหารดูว่ามีอะไรให้รับประทานบ้างเพราะท้องที่ร้องประท้วงตั้งแต่ตื่น
ผมยาวถึงกลางหลังถูกมัดขึ้นอย่างลวกๆ เป็นมวยกลางกระหม่อมก่อนจะเอาต้มปลานิลกับแกงสายบัวออกมาอุ่น เธอเสียบสายหม้อหุงข้าวอุ่นให้ร้อน ระหว่างนั้นจึงเดินไปหยิบแตงโมซึ่งหั่นชิ้นขนาดพอดีคำแช่ไว้ในตู้เย็นออกไปให้มารดา โดยวางที่โต๊ะอาหารญี่ปุ่น
“ใส่เสื้อผ้าให้มันยาวกว่านี้ไม่ได้หรือไง” มองร่างเล็กซึ่งอยู่ในชุดเสื้อขนาดใหญ่กว่าตัวยาวเลยหน้าขามาเพียงคืบแทบไม่ปกปิดอะไรอย่างระอา
บุลลาก้มมองตนเองพลางทำหน้าสงสัย
“ก็มันชุดนอนไงแม่ หรือว่าแม่ต้องการให้หนูใส่เดรสยาวนอนเหรอ” ว่าพลางเดินเข้าครัวไปตักอาหารใส่ถ้วยใส่ถาดออกมาเสิร์ฟมารดาและตนเอง แต่ก่อนข้าวสวยตักแค่หนึ่งทัพพีก็ต้องอิ่มกลัวอ้วน ส่วนตอนนี้น่ะหรือเธอตักตามใจปรารถนาจนล้นจาน
“ดูตักมา เยอะขนาดนี้จะกินหมดได้ไง” บานเย็นมองแล้วเอ่ยถาม
บุตรสาวซึ่งทำเพียงยักไหล่
“แม่คอยดูแล้วกัน”
สองแม่ลูกนั่งรับประทานอาหารด้วยกัน โดยที่บุตรสาวไม่พูดอะไรอีกเลยเนื่องจากรวบข้าวเช้าและข้าวเที่ยงเป็นมื้อเดียวกัน จานที่มีข้าวพูนจานของบุลลาหมดเกลี้ยงไม่เหลือสักเม็ด จนคุณบานเย็นมองด้วยความทึ่ง
บรรยากาศยามเที่ยงของฤดูหนาว กลับไม่ได้หนาวอย่างที่คิดเอาไว้ แสงแดดยังคงส่องสว่างไปทั่วเพื่อแสดงฤทธิ์ให้รู้ว่า ถึงแม้จะไม่ใช่ฤดูกาลของมัน แต่ช่วงกลางวันก็ยังคงเป็นเวลาของดวงอาทิตย์อยู่ดี
บุลลาล้างจานพลางเช็ดเหงื่อที่ไหลตามใบหน้ากระทั่งจานทุกใบถูกคว่ำอย่างเรียบร้อยจึงหันมาเช็ดมือแล้วออกจากห้องครัว
“พรุ่งนี้ตื่นเช้าแต่งตัวให้เรียบร้อยด้วยล่ะ แม่จะพาไปสมัครงานที่ไร่”
นั่งลงตูดยังไม่ทันจะร้อนมารดาก็หาเรื่องปวดหัวให้เสียแล้ว ใบหน้าหวานงอง้ำทันทีพลางทำปากยื่นปากยาวอย่างน่าตี
“ไม่เอาหรอกแม่ งานไร่พวกนั้นใครจะทำ ดำกันพอดีสิ” ว่าพลางส่ายหน้ายกใหญ่
..แค่คิดก็ขนลุกแล้วจะให้ผู้หญิงสวยอย่างบุลลาไปทำงานไร่ท่ามกลางแดดร้อนเปรี้ยง ใส่เสื้อผ้าลายสก็อตไร้รสนิยมน่ะหรือ เมินเสียเถอะ!
“แล้วแกจะทำอะไร นอนไปวันๆ แบบนี้น่ะหรือ”
พยักหน้ารับแล้วหยิบแตงโมขึ้นมากัด
“ใช่ จะนอนไปทั้งวันแบบนี้แหละ” หล่อนไม่อยากทำอะไรทั้งนั้น แค่คิดว่าจะต้องทำงานใช้หนี้ที่ไม่ได้ก่อแต่เสียรู้เพราะความโง่
..อ่า ใช้คำว่ารู้เท่าไม่ถึงการณ์จะดีกว่า
เสียรู้เพราะความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ใจมันก็เดือดเหมือนน้ำร้อน จนไม่อาจสะกดกลั้นอารมณ์เอาไว้ได้อยากนั่งรถไปกรุงเทพฯ เพื่อจะตะบันหน้าแฟนหนุ่มและเพื่อนรักที่มันกล้าทำกันได้ลงคอ เอาเงินไปเสวยสุขแล้วปล่อยให้เธอทุกข์เพียงลำพัง
ดีนะก่อนมาได้จัดการยายเพื่อนหน้าเนื้อใจเสือ ชกเข้าที่จมูกโด่งจนอีกฝ่ายต้องกลับไปแก้หน้าที่เกาหลีอีกรอบ สะใจดี แต่ก็มารับรู้ทีหลังว่าเงินพวกนั้นก็คือเงินที่เธอสมควรจะได้รับ!
คิดแล้วก็เจ็บใจจนต้องหาทางเบี่ยงเบนความสนใจไปเรื่องอื่น
“ไม่ได้ ฉันบอกคุณดนัยให้แล้วว่าพรุ่งนี้แกจะไปสมัครงาน นอนทั้งวันแบบนี้ได้อืดตายกันพอดี”
เรื่องทั้งหมดยังไม่ถูกเล่าให้มารดาฟัง ท่านจึงรู้เพียงว่าบุตรสาวลาออกจากงานและกลับมาที่บ้านเพราะทนความคิดถึงไม่ไหว
แม้จะไม่เชื่อแต่ก็ไม่อยากซักไซ้อะไรให้มากความ ทำเพียงปล่อยผ่านจนเวลาล่วงเลยมากว่าหนึ่งสัปดาห์ ความอดทนสิ้นสุด ไม่อาจทนมองบุตรสาวนอนเล่นหายใจทิ้งปล่อยเวลาให้ผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์ได้อีกต่อไป
“ไม่ไป ไม่รู้แหละ ยังไงหนูก็ไม่มีทางไปเด็ดขาด” เอามือกอดอกเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อยอย่างถือดี
จนคนเป็นแม่ปวดหัวกับท่าทีดื้อรั้นของบุตรสาว
“แกต้องไป ถ้าไม่ไปฉันไล่ออกจากบ้าน”
ยื่นคำขาดให้ทำเอาหล่อนอ้าปากหวอ ไม่คิดว่ามารดาจะใช้ไม้นี้กับตน คนสูงวัยกว่าลุกขึ้นไปหยิบหมวกสานขึ้นมาสวมแล้วเดินออกไปนอกบ้านไม่รอฟังคำตอบใดของบุลลาอีก
“ทำข้าวเย็นไว้ด้วยนะ วันนี้แม่อาจจะกลับค่ำ เดี๋ยวต้องแวะบ้านนังปราณีมันก่อน” ไม่วายหันมาสั่งบุตรสาวที่ยังคงนั่งท่าเดิม ไม่มีการตอบรับทว่าก็รับรู้ บานเย็นส่ายหน้าระอาคนที่อายุ 24 ปีแต่ทำตัวเหมือนเด็กไม่รู้จักโตเสียที
บานเย็นเดินไปที่บ้านข้างๆ นั่งซ้อนมอเตอร์ไซค์ไปยังไร่ที่ตนทำงานหาเลี้ยงชีพ
ลับหลังมารดา บุตรสาวเพียงคนเดียวก็ดิ้นพราดไปมาราวโดนน้ำร้อนลวก
ไม่ไปหรอก! ไม่มีทางเด็ดขาด จะให้พริตตี้สาวสวยอย่างเธอไปทำงานไร่งกๆ เพียงเพื่อนเงินไม่กี่พันหรือ หัวเด็ดตีนขาดก็ไม่ไป ต่อให้เอาช้างมาลากหรือเอาม้ามาฉุด นางสาวบุลลาคนนี้ก็จะไม่ออกจากบ้านไปไร่บ้าบอนั่นเด็ดขาด!
แต่แล้วทำไมเธอต้องมายืนหน้าไร่ด้วยเสื้อผ้าลายสก็อตของมารดาด้วยเล่า!
ใบหน้าหวานบูดบึ้งตั้งแต่โดนบังคับออกจากบ้าน เดินตามแรงจูงของบานเย็นที่หันมาส่งเสียงไม่พอใจในลำคอใส่บุตรสาวที่แสนจะพูดยากของตนเอง
“ก็บอกว่าไม่อยากทำ ไม่อยากทำไงแม่” แทบจะกลายเป็นตะโกนบอก
มารดาซึ่งหันมาเอ็ดบุตรสาวเสียงเขียว
“พูดมาก ตามมา”
ร่างบางทำท่ากระฟัดกระเฟียดเดินตามหลังบานเย็นไปพร้อมมองชุดที่ดูไร้รสนิยมอย่างอึดอัด ที่จริงก่อนมาก็เลือกชุดของตนแต่ก็ตัดใจไม่ใส่เพราะกลัวเสื้อผ้าราคาเป็นพันเปื้อนฝุ่นเปื้อนดิน
บุลลาทำใจไม่ได้ที่เห็นของรักต้องมาเปรอะเปื้อนดินโคลน จำต้องใส่เสื้อผ้าของมารดาแม้จะดูไม่เป็นตนเองก็ตาม
ดวงตากลมโตมองไปรอบไร่เป็นครั้งแรกระหว่างเดินไปห้องทำงานของผู้จัดการซึ่งดูแลไร่แห่งนี้ ‘ไร่รุ่งอรุณ&ฟาร์มสายรุ้ง’ ถือเป็นไร่ขึ้นชื่อของจังหวัดแห่งนี้ มีพื้นที่กว่าสามพันไร่ มีทั้งปลูกพืชผักผลไม้และเลี้ยงสัตว์สี่เท้าคือม้ากับวัว คาดคะเนจากสายตาแล้วก็อดชื่นชมเจ้าของไร่ในใจไม่ได้ว่ามีวิสัยทัศน์กว้างไกล แต่ก่อนเธอเห็นที่ดินตรงนี้เป็นเพียงพื้นที่โล่งเตียนคงไม่สามารถสร้างประโยชน์อะไรได้ ใครจะคิดว่าหลายปีต่อมาจะสามารถสร้างรายได้ให้ชาวบ้านที่อยู่ละแวกนี้จนไม่ต้องเข้าไปทำงานในเมืองหลวง
ระหว่างทางก็ผ่านไร่ผักปลอดสารสารเคมีซึ่งมีบรรดาคุณลุงคุณป้านั่งทำงานอย่างขยันขันแข็งเอ่ยทักมารดาของตน บุลลาก็หันไปไหว้ตามมารยาท พยายามปั้นหน้ายิ้ม ทว่าเมื่อพ้นสายตาเหล่านั้นก็กลับมาทำหน้าบึ้งดังเดิม
การมาทำงานในไร่ไม่ใช่สิ่งที่ชอบสักนิด คนอย่างบุลลาต้องเฉิดฉายในเมืองหลวง ทำงานอยู่ห้องแอร์เย็นสิ แต่ดูที่ไร่แห่งนี้ต้องยกมือขึ้นมาบังทั้งที่ใส่หมวกแต่แดดก็แรงจ้าไม่ปรานีคนหาเช้ากินค่ำสักนิด
ระหว่างเดินตามบานเย็นบุลลาก็ก้มหน้าก้มตากระทั่งชนแผ่นหลังของมารดาเข้าหล่อนจึงเอ่ยถามเสียงแข็ง
“อะ แม่หยุดทำไม”
“คุณนัยคะ น้าพาลูกสาวมาสมัครงาน” ไม่ได้ตอบลูกสาวคนเดียวแต่กลับโต้ตอบบทสนทนากับผู้จัดการไร่ที่ท่าทางนอบน้อมคนหนึ่ง
บุลลาเงยหน้าขึ้นไปมองแล้วยกมือไหว้ เขาค่อนข้างมีอายุ หากคะเนด้วยสายตาคงสามสิบกว่า ใบหน้ามีแววใจดี ในดวงตาไม่มีความเจ้าชู้อย่างที่เห็นบ่อยในเมืองกรุงยามมองมาที่เธอ
“นี่หรือครับลูกสาวน้าเย็น” ผู้จัดการไร่รับไหว้คนตัวเล็กก่อนเอ่ยถามเสียงทุ้มที่ทำเอาสาวในไร่หลายคนหลงเสน่ห์
ทว่าใช้ไม่ได้กับบุลลา สเปกของเธอค่อนข้างสูง ผู้ชายในไร่ที่กินเงินเดือนหมื่นกว่าบาทไม่มีสิทธิ์เอื้อมถึงดาวแสนสวยดวงนี้หรอก
“ค่ะ ชื่อบัว ฝากคุณนัยด้วยนะคะ จะให้ทำอะไรหรือเรียกใช้งานตอนไหนก็ได้ ไม่ต้องเกรงใจค่ะ”
บุลลาจับแขนแม่ที่พูดเกินไป จนกลัวว่าชายหนุ่มจะทำจริงตามคำของมารดา
ดนัยหัวเราะร่วนมองใบหน้าหวานเล็กน้อยแล้วแอบประเมินอีกฝ่ายในใจ
ดูแล้วหากให้ทำงานกลางแจ้งคงไม่ไหวแน่ เก็บส้มหรือตัดองุ่นก็คงไม่รอด ถ้าอย่างนั้นควรให้ผู้หญิงผิวขาวใบหน้าสวยคนนี้ทำอะไรภายในไร่ดี สำนักงานของเขาก็มีตำแหน่งครบหมดแล้ว จะให้เข้าแทรกก็เห็นทีจะไม่ดี หรือจะส่งไปฟาร์ม..
ไม่เด็ดขาด ได้ถูกคุณพณณกรไล่ตะเพิดตั้งแต่เดินเข้าไปน่ะสิ
ดนัยส่ายศีรษะ คิดไม่ตกว่าจะส่งบุลลาไปที่ใด กระทั่งมีชายร่างสูงเดินเข้ามาหาเสียก่อน
“คุณนัยครับ เดี๋ยวผมจะเข้าไปในเมืองท่านนายอำเภอเรียกตัว คุณสะดวกไปกับผมไหม”
ผู้ชายที่เข้ามาใหม่เรียกความสนใจจากบุลลาได้เป็นอย่างดี ดวงตากลมโตเบิกกว้างขึ้นเพียงแค่มองใบหน้าหล่อสะอาดสะอ้านที่ไม่ค่อยได้เห็นบ่อยนักในไร่เช่นนี้ รูปร่างสูงโปร่งผิวพรรณนวลละเอียดเสียยิ่งกว่าผู้หญิง หน้าก็หล่อคมคาย ดวงตากลมโตมีขนตายาวเป็นแพ คิ้วหนาดกดำ จมูกโด่งเป็นสันดูธรรมชาติ รับกับริมฝีปากรูปกระจับที่เธอชอบนักหนา เคยอยากไปทำกับหมอศัลยกรรมเสียแต่ว่ากลัวเจ็บจึงต้องยกเลิกไป
สรุปแล้วในใจ ‘โอ้โห หล่อจัง’
“ได้ครับคุณธี แต่ผมขอเวลาสักครู่นะครับ พอดีน้าบานเย็นพาลูกสาวมาทำงานที่ไร่ เลยกำลังคิดว่าจะให้เธอลงที่ไหน” เนื่องจากงานในไร่แบ่งสัดส่วนค่อนข้างชัดเจนและมีหน้าที่หลากหลาย มีทั้งงานไร่พืชผัก ไร่ผลไม้ ฟาร์มสัตว์และร้านขายของหน้าไร่
ร่างสูงหันมามองผู้หญิงที่อายุน้อยกว่าตนด้วยแววตาเอ็นดู เธออยู่ในชุดเสื้อลายสก็อตค่อนข้างเก่าสวมหมวกปีกกว้างซึ่งบดบังใบหน้าไปกว่าครึ่ง รูปร่างดีเหมือนดารานางแบบมากกว่าจะมาทำงานในไร่กระทั่งใบหน้าหวานเงยขึ้นสบตากับเขา ชายหนุ่มก็ได้ข้อสรุปในใจว่า
..ลูกสาวของคุณบานเย็นสวยไม่เบาเหมือนกัน
“สวัสดีค่ะ”
น้ำเสียงก็หวานไพเราะจนคนที่ไม่เคยสนทนาด้วยไม่รู้สักนิดว่าบุลลาตั้งใจดัดเสียงให้ฟังน่าเอ็นดู
บานเย็นหันมามองบุตรสาวเห็นนัยน์ตาหวานเชื่อมก็ถอนหายใจเสียงเบา
..มาอีหรอบนี้คงไม่พ้นตั้งใจหว่านเสน่ห์แน่นอน
“แม่แนะนำหนูสิ” เห็นชลธีพยักหน้ายิ้มเธอก็รีบกระซิบมารดาเสียงเบา พยายามปั้นหน้ายิ้มอ่อนหวานเหมือนเดิม
“เอ่อ คุณธีคะ นี่ลูกสาวน้าเองค่ะชื่อบุลลาเรียกว่าบัวก็ได้ มันพึ่งกลับมาจากกรุงเทพฯ เลยอยากหางานให้ทำที่นี่จะได้อยู่ด้วยกัน”
บุลลาแทบจะอยากปรบมือให้แม่ที่กล่าวเปิดได้ดีขนาดนี้ก่อนจะมองใบหน้าคมที่ยิ้มตลอดเวลา
ทำไมสว่างไสวยิ่งกว่าพระอาทิตย์แบบนี้นะ..
“ดีนะครับ ครอบครัวจะได้เป็นครอบครัว ถ้ายังไงก็ให้คุณนัยจัดการแล้วกัน มีปัญหาอะไรก็บอกกันได้ ยินดีต้อนรับนะครับคุณบัว” ใบหน้าคมหันมาส่งยิ้มให้พร้อมเอ่ยต้อนรับ
ทำเอาร่างบางใจอ่อนระทวย แขนขาเหมือนคนไร้เรี่ยวแรง จนต้องเกาะมารดาเอาไว้เป็นหลักพิง
เขาเดินออกไปแล้วแต่ยังเหลือกลิ่นอายแห่งแสงเจิดจ้าไว้ บุลลาแทบอยากจะลงไปดิ้นบนพื้นพร้อมบอกแม่ว่า
..หนูจะเอาผู้ชายคนนี้ ช่างเพียบพร้อมเหลือเกิน ดูก็รู้ว่าไม่ใช่คนงานธรรมดาแน่นอน อย่างมากตำแหน่งก็ต้องผู้จัดการ เทียบเท่าคุณดนัยหรือไม่ก็...
เจ้าของไร่!
หลังได้งานบุลลาก็โดนแม่ไล่กลับบ้านให้มาเริ่มงานวันพรุ่งนี้ แม้ใจจะไม่อยากกลับเพราะสายตาคอยแต่มองหาชายหนุ่มรูปหล่อ ทว่าก็ไม่อาจสู้สายตาของแม่ได้ จำต้องขับมอเตอร์ไซค์คันเก่ามารอที่บ้านตนเอง ระหว่างนั้นก็ไม่ได้นิ่งเฉย จัดการเตรียมวัตถุดิบเพื่อทำอาหารเย็น ทั้งออกไปรดน้ำต้นไม้และดูแลพืชผักสวนครัวซึ่งปลูกไว้หลังบ้านด้วยจิตใจล่องลอย
แม่กลับมาเมื่อไหร่คงต้องถามให้รู้เรื่องเสียแล้วว่าผู้ชายคนนั้นเป็นใคร มีตำแหน่งอะไร หากเป็นเจ้าของไร่ดังที่คิดไว้จริงละก็..
ริมฝีปากบางยกยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์
..ไม่รอดมือไอ้บัวคนนี้หรอก จะจับเสียให้อยู่หมัดเลย ขอเอาเกียรติอดีต พริตตี้อันดับหนึ่งเมื่อสามปีที่แล้วเป็นประกัน!
แดดเริ่มอ่อนได้เวลากลับบ้านของบานเย็น แต่ไม่ว่าจะชะเง้อคอมองสักเท่าไหร่ก็ไม่เห็นมารดากลับบ้านเสียที กระทั่งหลานสาวตัวน้อยเดินแกมวิ่งด้วยใบหน้ายิ้มแย้มเปิดประตูรั้วไม้ที่สูงเพียงอก ฮัมเพลงอย่างมีความสุข
“พี่บัวสวัสดีจ้า” เด็กหญิงในชุดนักเรียนยกมือไหว้แล้วย่ออย่างสวยงามสมกับที่ไปประกวดมารยาทไทยคว้ารางวัลรองชนะเลิศอันดับหนึ่งหรือพูดให้ง่ายว่าได้ที่สองนั่นเอง
บุลลารับไหว้ด้วยความเอ็นดู
“มีอะไรกินไหมพี่ หนูหิวมากเลย” เดินเข้าบ้านก็บ่นพร้อมกับลูบท้องไปมาแสดงให้เห็นว่าหิวจริง
“ยังไม่ได้ทำ แต่ถ้าอยากกินพี่จะปอกผลไม้ให้ก่อน เอาไหม”
พยักหน้าทันทีพร้อมฉีกยิ้มกว้างจนเห็นฟันหลอ รีบเดินเข้าไปกอดเอวพี่สาวคนสวยด้วยท่าทีสนิทสนม ถึงไม่เจอกันนานแต่ก็จำได้ว่าทุกครั้งที่พี่บัวกลับบ้านมักมีของฝากให้เธอเสมอ จึงรักพี่คนนี้มาก
“กินจ้า เดี๋ยวหนูไปเปลี่ยนชุดแล้วจะออกมากินนะ”เด็กหญิงบุรณี เพลงดนัยหรือมะลิ เดินเข้าห้องเพื่อจัดการถอดชุดนักเรียน เปลี่ยนเป็นชุดใส่เล่นแล้วนำเสื้อผ้าของตนใส่ตะกร้าสำหรับซักพรุ่งนี้ เดินออกมานอกห้องก็พบจานผลไม้ถูกจัดวางสวยงาม “พี่บัวจะไปไหน” เห็นร่างบางเดินผ่านหน้าตนพร้อมถือกระเป๋าสตางค์ใบเล็กก็ร้องทักเสียงหลง
“จะไปซื้อของร้านยายดี ผงชูรสกับน้ำปลาหมด ร้องเสียงดังอย่างกับพี่จะหนีไปไหน กินได้แล้วเดี๋ยวพี่มา”
บุรณีถอนหายใจโล่งอกกลัวว่าพี่สาวจะกลับไปทำงานที่กรุงเทพฯ อีก เธออยากให้บุลลาอยู่ด้วยกันที่นี่ไม่ต้องไปไหนแบบนี้ มีความสุขดีจะตาย คิดแล้วก็อมยิ้ม เดินมานั่งกินผลไม้อย่างเอร็ดอร่อยเพื่อเพิ่มพลังก่อนเตรียมตัวไปเล่นกับเพื่อน
ร่างบางเดินออกจากบ้านตรงไปร้านค้าประจำหมู่บ้านที่เป็นเหมือนโชว์ห่วยทั่วไป เสียดายหากมีเซเว่น อีเลฟเว่นก็คงจะดี อาจสะดวกกว่านี้ ทว่าหมู่บ้านเธอความเจริญยังเข้าไม่ถึง จึงต้องพึ่งร้านค้าของคนภายในชุมชนซึ่งใช้พื้นที่โล่งข้างล่างของบ้านเป็นร้านขายของ
“อ้าวบัว กลับมาบ้านแล้วเหรอ คราวนี้จะอยู่นานไหม” ยายดีเป็นเจ้าของร้านโชว์ห่วยแห่งนี้มีอายุเจ็ดสิบปีแต่ยังดูแข็งแรงเหมือนพึ่งหกสิบ ท่านรู้จักเธอตั้งแต่เด็ก มักถามไถ่เสมอ
บุลลาหันไปยิ้มให้ก่อนจะตอบไม่เต็มเสียงนัก
“สักพักจ้ะ”
ร่างบางเดินเลี่ยงไปเลือกของไม่ค่อยอยากสนทนากับท่านเท่าไหร่
“แล้วไปอยู่นู่นมีผัวหรือยัง จะแต่งงานตอนไหนก็ชวนข้าด้วยนะ แต่ถ้าเอ็งแต่งที่กรุงเทพฯ ข้าก็คงไม่ได้ไปหรอก เดินเหินลำบาก คนแก่ก็เป็นอย่างนี้แหละ...”
หญิงสาวแทบจะคว้าของที่ต้องการให้เร็วที่สุดเพราะไม่อยากฟังเจ้าของร้านพูดจาถามไถ่อย่างไร้มารยาทให้อารมณ์เสียไปมากกว่า
คำถามยอดฮิตที่มักจะเจอเมื่อเรียนจบคือทำงานที่ไหนและมันควรจะจบตั้งแต่บอกสถานที่ทำงานทว่าอีกฝ่ายกลับถามต่อถึงเรื่องแฟน ลามไปถึงการแต่งงานจนไม่อาจรู้ได้ว่าต้องทำอย่างไรจึงจะเป็นการสิ้นสุดบทสนทนาที่ไม่ต้องการเริ่ม
“อ้าวหมอเอิร์ธ มาซื้ออะไรเหรอ”
คงมีคนเข้าร้านยายดีจึงได้หันไปทักทายลูกค้าคนใหม่ ปล่อยให้บุลลาได้เลือกของอย่างที่ต้องการ
“บุหรี่ครับ”
ร่างบางหยิบของที่ต้องการก็รีบนำไปคิดเงินที่โต๊ะหน้าร้านโดยมียายดีนั่งประจำเพื่อทอนเงินให้ลูกค้า
“หนูเอาแค่นี้แหละ/ผมเอาบุหรี่กล่องนะ”
สองเสียงเอ่ยขึ้นพร้อมกันจนหญิงสาวต้องหันไปมองคนที่แทรกขึ้นมากลางปล้อง
ดวงตากลมโตเบิกขึ้นเล็กน้อยก่อนจะรีบเก็บอาการเอาไว้
..คุณพระคุณเจ้าช่วยลูกด้วย ทำไมผู้ชายคนนี้ถึงได้หล่อมาดแมนจนพระเอกในละครชิดซ้ายขนาดนี้ ถึงจะมีหนวดเคราขึ้นแต่ก็ไม่สามารถบดบังดวงหน้าคมอันมีเสน่ห์ได้เลย
“ของหมอเอิร์ธก่อนแล้วกัน” ยายดีเอ่ยขึ้น กำลังจะคิดเงินให้ชายหนุ่ม
แต่ก็ต้องชะงักเมื่อบุลลากล่าวเสียงสะบัด
“ได้ไงยาย หนูมาก่อนนะ” คนไม่ยอมเอ่ยขึ้นด้วยใบหน้างอ
..ในเมื่อเธอมาก่อน ทำไมถึงให้ผู้ชายคนนี้จ่ายเงินก่อน มันไม่ยุติธรรมสักนิด
อาการชื่นชมในตัวเขาเมื่อครู่หายไปทันที สัมผัสได้ถึงความไม่เท่าเทียม ทั้งยังสรรพนามที่เอ่ยอีกฝ่ายว่าหมอด้วยน้ำเสียงนุ่มอีกด้วย บุลลารู้สึกเดือดในใจแล้วแสดงออกโดยไม่ยั้งคิด
จนร่างสูงหันมามองด้วยแววตานิ่ง
“แต่ของผมไม่ต้องทอน” เขาวางเงินลงที่โต๊ะก่อนจะคว้าบุหรี่ไปทันทีถอนหายใจเสียงดังราวกับรำคาญเธอหนักหนา
จนร่างบางอ้าปากค้างหันไปมองร่างสูงใหญ่เดินขึ้นรถมอเตอร์ไซค์ก่อนขับออกไปจากที่ตรงนั้นด้วยความรวดเร็ว
“มาๆ เดี๋ยวข้าคิดให้” สถานการณ์กลับไปเป็นปกติยายดีจึงเอาของใส่ถุงให้ลูกค้าเก็บเงินจากบุลลาแล้วขายของให้คนต่อไปโดยไม่ได้เอาเรื่องเมื่อครู่เก็บมาเป็นอารมณ์
ต่างจากหญิงสาวที่เข่นเขี้ยวในใจเพียงลำพัง
..เห็นว่าเป็นหมอก็ใช้อภิสิทธิ์เหนือคนอื่น จะแทรกคิวหรือทำอะไรก็ได้อย่างนั้นหรือ
“หึ ก็แค่หมอบ้านนอก” ปรามาสในใจแล้วเดินลงส้นเท้าเข้าบ้าน
จนบานเย็นที่พึ่งกลับมา หันมองอย่างสงสัย
“ไปกินรังแตนมาจากไหนล่ะบัว”
เมื่อได้ยินเสียงมารดาเอ่ยถาม เรื่องของหมอคนนั้นก็เลือนหายไปทันที ร่างบางรีบเดินมานั่งข้างมารดาพลางบีบนวดให้อย่างประจบประแจง จนผู้ให้กำเนิดมองลูกสาวฉงน
..ร้อยวันพันปีไม่เคยอ้อนแบบนี้
“แม่จ๋าแม่บานเย็นของบัว ผู้ชายที่ชื่อคุณธี เขาเป็นใครเหรอจ๊ะ” เริ่มประโยคสนทนาทันทีไม่มีอ้อมค้อม
บานเย็นถอนหายใจ ส่ายหน้าระอาบุตรสาว คิดไว้แล้วไม่มีผิด แค่เห็นแววตาที่บุลลามองเจ้านายก็พอจะเข้าใจเจตนาของคนที่ตนเลี้ยงมากับมือตั้งแต่ยังเด็ก
บ้าผู้ชายไม่มีใครเกินจริงๆ..
“ถามทำไม” ไหล่ที่ปวดเมื่อยบัดนี้มีลูกสาวมาบีบนวดให้ก็พอคลายเหนื่อยได้บ้าง ยกน้ำขึ้นดื่มให้สดชื่นอีกทั้งเอื้อมตัวจะเปิดพัดลม แต่ช้ากว่าบุลลาซึ่งบริการดีเหลือเกินเอื้อมมือไปเปิดพัดลมเบอร์แรงสุดจนผมของนางปลิวลม
“แหมแม่ก็..บัวก็แค่อยากรู้ เห็นท่าทางเขาสะอาดสะอ้านมาดผู้ดี เขาไม่ใช่คนงานธรรมดาเหมือนเราใช่ไหม”
วิเคราะห์เรียบร้อย จนโดนบานเย็นมองค้อน
..ทีอย่างนี้มองทะลุปรุโปร่งเชียว
“อือ คุณชลธีเป็นเจ้าของไร่รุ่งอรุณ”
เพียงแค่คำว่าเจ้าของไร่ถูกกล่าวออกมา บุลลาก็แทบเก็บอาการไม่อยู่ ลุกขึ้นเต้นอย่างดีใจแล้วรีบเข้ามากอดมารดาจนแน่น ทำเอาหายใจแทบไม่ออกต้องตบหลังบอกให้บุตรสาวปล่อย
ร่างบางดิ้นไปมาราวโดนน้ำร้อนลวกก่อนนั่งพับเพียบตรงหน้าบานเย็น จับมือเหี่ยวย่นของแม่เอาไว้ส่งสายตาจริงจังให้คนแก่วัยกว่า
“แม่ หนูถามจริงนะ คุณชลธีมีเมียหรือยัง แต่งงานหรือยัง แม่พอจะรู้ไหม”
นางนิ่งคิดไปครู่ใหญ่ เท่าที่ทำงานอยู่ไร่รุ่งอรุณมา แทบไม่เคยเห็นหรือได้ยินเรื่องราวของคนรักเจ้าของไร่ จนคนทั้งไร่ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าคุณชลธีโสดสนิท
“ไม่เห็นแกจะมีใครเลย วันๆ เอาแต่ทำงานไม่ยุ่งเรื่องผู้หญิง บุหรี่ก็ไม่สูบ เหล้าก็ไม่ดื่ม พวกนังหวานนังฟ้ามุ่ยจ้องตาเป็นมันเลยละ”
หล่อนยิ้มร่าเมื่อได้ฟังคำพูดของมารดา แค่ได้ยินว่าโสดก็เป็นที่น่าพอใจแล้ว ยิ่งได้รู้ว่าไม่ดื่มเหล้าไม่สูบบุหรี่ ใจของบุลลาก็พองโตเข้าไปอีก
..คราวนี้แหละหล่อนจะเลือกลูกเขยที่ดีตามแบบฉบับให้มารดา ไม่เอาแล้วพวกดีแต่หน้าทว่าข้างในเหลาะแหละกลวงโบ๋ เข็ดจนวันตาย แค่ต้องใช้หนี้ทั้งที่ไม่ได้ก่อก็สร้างความคับแค้นใจจนอยากเอาไฟไปเผาบ้านพวกนั้นให้ย่อยยับ
“อย่าไปยุ่งกับคุณธีเลยบัวเอ๊ย เรากับเขามันคนละชั้นกัน” จับมือบุตรสาวแล้วลูบเบาๆ
ทว่าร่างบางกลับทำใบหน้างอปากคว่ำลงทันทีเมื่อมารดากล่าวไม่ถูกใจ
“ก็ถ้าบัวได้เขาเป็นผัว เราก็ชั้นเดียวกันแล้วแม่” ไม่ปล่อยให้บานเย็นได้กล่าวต่อว่า บุลลาก็ลุกขึ้นหยิบของเข้าครัวเพื่อทำอาหารเย็นสำหรับครอบครัวที่มีเพียงสามคน
ผู้ให้กำเนิดได้แต่มองตามบุตรสาวไปอย่างหนักใจ มองเข้าไปในดวงตากลมก็พอจะรู้ว่าครั้งนี้ลูกคงเอาจริง
นางไม่ห่วงบุลลาหรอก จะห่วงก็แต่คุณชลธีว่าจะหนีรอดจากปากเสือสาวตัวนี้ได้หรือไม่ คนเข้าตาจนย่อมทำในสิ่งที่คาดไม่ถึงได้เสมอและผลลัพธ์ก็มักจะสำเร็จเสียด้วย
หลังจากที่หมายมั่นเอาไว้ในใจว่าจะต้องปฏิบัติการหาลูกเขยให้แม่ผ่านไปกว่าหนึ่งสัปดาห์ที่มาทำงานภายในไร่รุ่งอรณด้วยตำแหน่งเก็บเมล็ดผักเพื่อนำไปแพ็กใสถุงบรรจุภัณฑ์อย่างดีส่งขายให้ตลาด บุลลาก็ไม่เห็นคุณชลธีเจ้าของไร่สุดหล่ออีกเลย พยายามเดินป้วนเปี้ยนไปยังสวนส้ม ก็ไร้ซึ่งเงา อาสาไปเอาเอกสารให้คุณดนัยก็ไม่เห็นจนเริ่มท้อใจเสียแล้ว
“มาทำอะไรที่นี่ยะ งานของเธออยู่ที่สวนพริกไม่ใช่เหรอ”
..มารมาขัดขวางอีกแล้ว
ร่างบางถอนหายใจพลางหันหน้ามาเผชิญกับหญิงรุ่นราวคราวเดียวกันมีชื่อที่เรียกขานว่าฟ้ามุ่ย อดีตเป็นไม้เบื่อไม้เมากันอย่างไรโตมาก็ไม่ต่างนัก
อีกฝ่ายคิดว่าตนสวยสุดในรุ่น จึงพยายามกีดกันบุลลาทุกอย่าง โดยไม่ดูสารรูปหรือส่องกระจกเลยว่าใกล้เคียงคำว่าตุ่มเข้าไปทุกที
“ฉันเอาเมล็ดพันธ์มาส่ง แหกตาดูบ้างสิ” หล่อนกอดตะกร้าเอาไว้ก่อนส่งสายตาเอือมระอาให้คู่อริที่ด้อยกว่า
จนฟ้ามุ่ยรู้สึกเหมือนควันออกหู คนสวยของไร่มองบุลลาตาขวาง ยิ่งเห็นผิวพรรณของอีกฝ่าย ไหนจะคำเยินยอของผู้ชายในไร่ต่างหลงเสน่ห์แม่นี่กันแทบทุกคน อกก็แทบระเบิด
“เอาวางไว้แล้วก็ไปสิ หัดทำหน้าที่ให้คุ้มเงินเดือนบ้างไม่ใช่เอ้อระเหยลอยชาย”
..คนอย่างฟ้ามุ่ยจะต้องเจอฝ่ามือหล่อนสักครั้งถึงจะสำนึก
วางตะกร้าไว้ที่พื้นห้องสำนักงานที่เครื่องปรับอากาศทำงานจนเย็นฉ่ำจนอิจฉาเหล่าพนักงานที่ได้นั่งตากแอร์สบายอุรา ต่างจากตนที่สัมผัสถึงไอแดดตลอดเวลา
ฟ้ามุ่ยเหมือนจะรับรู้ความรู้สึกของอีกฝ่ายจึงทำสีหน้าเยาะเย้ยเพราะตนเองเป็นถึงแม่บ้านทำความสะอาดห้องสำนักงานจึงไม่ต้องไปตากแดดตากลมอยู่ข้างนอก
“ออกไปสิ อยู่นานเปลืองอากาศ”
..สาบานได้เลยว่าถ้าเจอข้างนอก หญิงร่างท้วมคนนี้จะต้องโดนเธอตบสั่งสอนเป็นแน่ เข่นเขี้ยวในใจแล้วเดินไปที่ประตูผลักออกอย่างแรงหวังระบายความโกรธ
ทว่ายังไม่ทันจะได้ผลักออกประตูบานนั้นก็ถูกผลักเข้ามาเสียก่อนจะชนเข้ากับหน้าผากได้รูปอย่างแรง
บุลลาเซถอยหลังร้องโอดครวญแล้วจับหน้าผากของตนเองทันที คนที่นั่งทำงานลุกขึ้นจากเก้าอี้ดูสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
ดวงตากลมโตช้อนขึ้นมองคนที่ทำให้เธอต้องเจ็บตัวก่อนจะกำหมัดแน่นเพราะคือคนเดียวกับเมื่อสัปดาห์ก่อนซึ่งจ่ายเงินตัดหน้าหล่อน
..ไอ้หมอไร้มารยาท!
“เปิดประตูไม่ดูตาม้าตาเรือ ไม่เห็นเหรอว่าคนเขากำลังจะออกไป” อารมณ์โมโหปะทุขึ้นอย่างรวดเร็วราวไฟลามทุ่ง ยิ่งดวงหน้าคมมองมาราวกับรำคาญ ก็เหมือนเพิ่มเชื้อไฟเข้าไปในกองเพลิง
จนคนแถวนั้นมองหน้ากันเลิ่กลั่กกลัวว่าจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น
พณณกรยิ่งเป็นคนเดาอารมณ์ยากอยู่ด้วย ดีไม่ดีคนห้ามอาจถูกตะเพิด
“ไม่เห็น มันเป็นประตูไม้ฉันไม่ได้มีตาทิพย์จะได้มองทะลุเนื้อไม้หนาขนาดนี้ได้”
น้ำเสียงราบเรียบพร้อมความอึมครึมที่โอบล้อมกายสูง ทำเอาฟ้ามุ่ยรีบถอยหลังไปยืนรวมกลุ่มกับพนักงานสามคนในออฟฟิศ ไม่กล้าสู้แววตาคมกร้าวซึ่งพร้อมระเบิดได้ทุกเมื่อ อดนับถือใจบุลลาไม่ได้ที่ยังจ้องตาราชสีห์ตัวนี้ตาไม่กะพริบ
“ทีหลังก็หัดเคาะประตูถามก่อนซะบ้าง”
“แล้วเธอเป็นใครมาสั่งฉัน เมียเจ้าของไร่เหรอ” ร่างสูงย่างสามขุมเข้ามาหา
ท่าทางเอาเรื่องจนคนตัวเล็กเริ่มกลัว แอบก้าวถอยหลังทีละนิด แต่ใบหน้าก็เชิดขึ้นไม่ยอมแพ้
ก่อนทุกคนจะหันไปสนใจบุคคลที่เข้ามาใหม่ซึ่งเปรียบดังแสงสว่างในหน้าหนาว
“เกิดอะไรขึ้นหรือครับ”
น้ำเสียงคุ้นเคยที่อยากได้ยินเข้ามาในโสตประสาทของบุลลา ทำเอาละสายตาจากผู้ชายตรงหน้าไปหาคนที่เปิดประตูเข้ามา พลางทำหน้าสงสัยเพราะเห็นพนักงานไปยืนออกันอยู่ด้านหลัง
ใบหน้าหวานที่เคยบึ้งตึง ฉีกยิ้มกว้างไม่เก็บอาการอะไรทั้งสิ้นแล้วรีบเดินเลี่ยงชายหนุ่มหน้าตาเหมือนโจรห้าร้อยไปยืนเคียงข้างเจ้าของไร่นามชลธี
“คือว่าผู้ชายคนนี้เขาเปิดประตูกระแทกหน้าบัวน่ะค่ะ คุณธีดูให้หน่อยได้ไหมคะว่าเป็นรอยหรือเปล่า มันเจ็บมากเลย” ไม่ปล่อยให้โอกาสหลุดมือ บุลลารีบทำคะแนนด้วยการเอ่ยน้ำเสียงออดอ้อนทั้งการเขยิบเข้าไปใกล้ชลธี
ทำเอาคนที่โดนกล่าวหาต้องถอนหายใจ เอามือเท้าสะเอวอย่างหาเรื่อง
“แค่แดงครับ ผมว่าทายาก็คงหาย” มองดูหน้าผากก็ไม่ได้แตกแค่ออกสีแดงเล็กน้อย
บุลลาถอนหายใจโล่งอกแล้วส่งยิ้มหวานหวังโปรยเสน่ห์ ทำเอาฟ้ามุ่ยมองด้วยความหมั่นไส้ แต่ไม่กล้าเข้าไปขัดเพราะสัตวแพทย์หนุ่มประจำไร่ยืนหน้ายักษ์อยู่หน้าห้อง
“อะแฮ่ม”
เสียงกระแอมพอจะเรียกสติสองหนุ่มสาวได้บ้าง จึงหันมามองคนที่ยืนเท้าสะเอวทำหน้านิ่งไม่สบอารมณ์
ชลธียิ้มให้เพื่อนก่อนจะผละจากบุลลาไปทันที ทำเอาร่างบางหน้าหงอยลง
“หาตัวตั้งนาน ถ้าฉันไม่ให้เด็กไปตามคงไม่เห็นนาย” ส่ายศีรษะอย่างอ่อนใจที่เพื่อนหาตัวยากจนแทบไม่เห็นหน้าค่าตา
“เข้าเรื่องเลยที่เรียกมามีอะไร”
เมื่อเหตุการณ์สงบคนที่เหลือจึงเริ่มแยกย้ายกลับไปนั่งประจำโต๊ะตนเองแต่ก็คอยสอดส่องว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือเปล่า
ต่างจากบุลลาที่ปักหลักไม่ไปไหนเพราะสงสัยในความสนิทสนมของสองคนนี้
..ผู้ชายที่เธอเกลียดขี้หน้าเป็นใครทำไมถึงได้สนิทกับเจ้าของไร่
“ฉันอยากให้นายเข้าไปในอำเภอหน่อย เอาเมล็ดพันธุ์พืชไปแจกท่านเกษตรอำเภอแล้วก็บรรยายเกี่ยวกับผักที่เรากำลังทำการวิจัย พอดีฉันต้องรีบลงกรุงเทพฯ ฝากด้วยแล้วกันนะ” ตบบ่าหนาก่อนจะหันมาเห็นร่างบางที่ยังยืนนิ่งไม่ไปไหน
“อ้อ คุณบัวอยากไปด้วยไหมครับเผื่อจะช่วยอะไรเจ้าเอิร์ธได้ ดีเหมือนกันนะถ้าอย่างนั้นฉันฝากคุณบัวไปด้วยแล้วกัน เธอพึ่งเข้ามา มีอะไรนายจะได้บอกได้สอน” สรุปเองเสร็จสรรพไม่ถามสองหนุ่มสาวสักคำ
หล่อนเผยอปากเล็กน้อยไม่คิดว่าชลธีจะจับตนเองใส่พานถวายให้ผู้ชายหน้าตาสกปรกอย่างไม่อาจปฏิเสธได้
“เฮ้ยไอ้ธีไม่เอานะเว้ย ไอ้ธีกลับมาก่อน!”
หลังก่อเรื่องชลธีก็รีบเดินออกจากสำนักงานไปอย่างรวดเร็ว ขับรถปิกอัพคันโตเคลื่อนตัวออกจากไร่แทบไม่เห็นฝุ่น ปล่อยให้คนที่เพิ่งมีเรื่องบาดหมางมองหน้ากันราวต้องการหยั่งเชิง
“เดินไปสิ ฉันรู้ว่าตัวเองหล่อไม่ต้องมองขนาดนั้นหรอก” ว่าแล้วก็เดินนำออกไปก่อน ไม่ลืมหยิบตะกร้าซึ่งบรรจุเมล็ดพันธุ์ผักเอาไว้ออกไปด้วย
บุลลามองตามก่อนจะกระทืบเท้าด้วยความขัดใจ ทำเอาเหล่าพนักงานมองตามอย่างอกสั่นขวัญแขวน
ฟ้ามุ่ยรีบเดินไปดูคู่อรินั่งซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์ของสัตวแพทย์หนุ่มหล่อด้วยความเจ็บใจ
..เธอหรืออุตส่าห์มองมาหลายปี แค่มือก็ยังไม่ได้จับ แล้วนังนั่นมันมีสิทธิ์อะไรถึงขนาดได้นั่งซ้อนท้าย
คิดแล้วก็เจ็บใจจนกำไม้กวาดที่ถือในมือแน่น
..คอยดูเถอะวันพระไม่ได้มีหนเดียว เธอจะต้องทำให้คุณพณณกรหันมาสนใจให้ได้..แม้เขาจะค่อนข้างน่าหวาดกลัวก็เถอะ
บุลลาถอนหายใจหลายรอบเพราะความขัดใจที่ต้องมาซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์คันเก่าทั้งยังต้องถือตะกร้าขนาดกลางไว้บนตักอีกด้วย การเดินทางค่อนข้างลำบากทั้งแดดร้อนไหนจะฝุ่นระหว่างทางแล้วคนขับก็ไม่ได้นึกถึงเธอเลยสักนิดว่าจะตกรถหรือไม่ ขับเร็วเสียจนนึกว่าจะไปแข่ง
..ขัดใจจริง!
ทุกอย่างไม่เป็นดังที่คิดเอาไว้เลยสักนิด ไม่เลย!
๒หมายหัวไร่รุ่งอรุณ & ฟาร์มสายรุ้งมีเนื้อที่ทั้งหมด 2000 ไร่โดยแยกเป็นสวนองุ่น สวนส้ม สวนสตรอว์เบอร์รี่ สวนลิ้นจี่และพื้นที่สำหรับปลูกข้าว โดยแยกสัดส่วนตามความเหมาะสม ผลไม้ขึ้นชื่อของไร่จะผลัดเปลี่ยนตามฤดูกาล หากช่วงหน้าหนาวคนก็จะชอบมาเที่ยวที่ไร่เก็บสตรอว์เบอร์รี่สดๆ จากสวน ช่วงที่ส้มออกผลก็เปิดให้นั่งรถรางชมสวน หรือองุ่นออกผลเต็มต้นนักท่องเที่ยวก็สามารถเข้ามาตัดได้ถึงต้นและไร่พืชผักที่ปลูกก็เอาไปขายตลาดหรือไม่ก็ทำการวิจัยเพื่อเพาะพันธุ์ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เป็นผักที่ปลอดสารพิษแต่ขายในราคาถูกกว่าท้องตลาดฟาร์มสายรุ้งจะเน้นที่สัตว์เนื้อส่งออก กลุ่มสัตว์เนื้อที่เลี้ยงก็มีวัวและหมู ทำกำไรให้ฟาร์มได้มากพอๆกับสวนผลไม้ เมื่อไม่นานมานี้ทางฟาร์มก็ได้นำม้ามาเลี้ยง มีทั้งม้าสำหรับขี่ชมสวนหรือคนที่ต้องการหัดขี่ม้าและม้าสำหรับแข่งใช้งบประมาณไปหลายล้านบาทเพื่อซื้อตัวเจ้าแห่งความเร็วจากต่างประเทศรถมอเตอร์ไซค์กลางเก่ากลางใหม่แล่นไปตามทางดินลูกรังซึ่งมีต้นสักทอดยาวให้ร่มเงาตลอดเส้นทางไปหน้าไร่ ร่างบางที่ซ้อนหลังพยายามจับตะกร้าไม่ให้ตกแล้วยังต้องจับหมวกตนเองไม่ให้ปลิวตกรถแล้วในใจก็ก่นด่าคนขับต
๓โรงเก็บหญ้ากับคนเมาพณณกรจอดรถมอเตอร์ไซค์ไว้ริมถนนแล้วเดินมายังลานกลางสนามหญ้าด้วยใบหน้านิ่งขรึมและดวงตาวาวโรจน์ราวมีเปลวเพลิงอยู่ในนั้นผู้หญิงที่ยังสาวและไร้คู่ต่างเมียงมองมาที่หนุ่มสัตวแพทย์อย่างเอียงอาย ไม่กล้าเข้าไปทักกลัวเจอฤทธิ์พ่อเจ้าประคุณเข้าให้“อ้าวนาย ทำไมคราวนี้มาเร็วครับผม” ลูกน้องคนสนิทอย่าง‘โอ้’ เอ่ยถามด้วยแววตากรุ่มกริ่มในขณะที่เพื่อนสนิทอีกคนก็เสริมทัพทันที“ปกติถ้าตะวันไม่ตกดินมีเหรอที่นายจะปรากฏตัว หรือว่า..มาหาใครครับ” กล่าวพลางมองไปโดยรอบหวังให้คนเป็นเจ้านายโดยตรงออกอาการเขินบ้างแต่ดูเหมือนว่า ‘อาร์ต’ จะต้องผิดหวังเพราะนอกจากจะไม่อายแล้วกลับมีความคุกรุ่นอยู่ในแววตานั้นแทน“มาเอาตีนประเคนหน้าพวกมึงนี่ไง”สองหนุ่มดูโอ้หลบแทบไม่ทันเมื่อเท้าของนายพุ่งเข้าหาพร้อมใบหน้าบูดบึ้งมองปราดเดียวก็รู้ว่าอารมณ์เสียร่างสูงหายใจฮึดฮัดมองทุกสิ่งขวางหูขวางตาไปเสียหมด ไม่รู้ทำไมถึงได้ติดใจกับผู้หญิงคนนั้นนักหนาทั้งที่จริงหากเขาต้องการใครสักคนก็แค่ชายตามองคนเหล่านั้นก็แทบจะวิ่งเข้ามาหาโดยไม่ต้องเอ่ยปากด้วยซ้ำ แล้วทำไมบุลลาถึงเอาแต่วิ่งหนีหึ..ถ้ารู้ตัวจริงว่าเขาก็มีเงินไม่ต่างจาก
๔คนซาเบิ่ดบ้าน (ตกเป็นประเด็นคนทั้งหมู่บ้าน)เวลาผ่านไปหลายนาทีร่างบางก็ยังคงนั่งกำชายกระโปรงแน่นโดยที่มืออีกข้างถือชั้นในชิ้นน้อยเอาไว้กัดริมฝีปากจนห้อเลือดเพราะแค้นใจที่ถูกล้วงล้ำเข้ามาภายในกายแม้จะไม่ได้ตกเป็นของเขาร้อยเปอร์เซ็นต์แต่อย่างน้อยคนที่แสนเกลียดขี้หน้าก็ได้เห็นเรือนกายขาวผ่องจนหมดทว่านั่นยังไม่น่าแค้นใจเท่าหัวใจเจ้ากรรมดันคล้อยตามการกระทำนั้นอย่างน่าอับอาย อยากจะแทรกแผ่นดินหนีเหลือเกิน ช่างไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจ ทำตัวราวคนใจง่าย ใครจับจูงไปไหนก็ตามได้ง่ายดวงตากลมโตมีหยาดน้ำใสไหลลงมาก่อนจะรีบเช็ดออกไม่อยากถูกเยาะเย้ย“เลิกร้องไห้แล้วช่วยใส่เสื้อผ้าให้มันมิดชิดสักที เห็นแล้วทุเรศตา” เสียงเข้มเอ่ยขึ้นขณะที่เอนกายพิงก้อนหญ้าอัด ปรายตามองคนที่เอาแต่นั่งหันหลังให้“ไอ้ผู้ชายเฮงซวย” อยากหันไปตะคอกเขาแต่ก็กลัวว่าตนเองจะต้องพบเหตุการณ์น่าอับอายอีกครั้งทำได้เพียงพึมพำในลำคอ แฝงกายอยู่ข้างหลังหญ้าฟางบรรจงใส่บราพร้อมสวมจีสตริงอย่างรวดเร็ว ไม่อาจรู้ว่าผู้ชายคนนั้นจะเกิดอาการบ้าจับเธอปล้ำตอนไหนมันไม่เหมือนที่คิดเอาไว้สักนิด ไม่ใกล้เคียงเลย.. ผู้ชายที่ควรอยู่ที่นี่คือชลธีสิ เจ้าของ
๕คืนเข้าหอบานเย็นมีสีหน้าสดชื่นเมื่อมาทำงาน สร้างความสงสัยแก่คนอื่นทว่าแม้จะเพียรถามถึงสาเหตุก็ไม่ได้รับคำตอบต่างจากพณณกรซึ่งมีสีหน้าซึมกะทือแทบไม่เป็นอันทำงาน จนลูกน้องต้องมองกันด้วยความสงสัย..ขนาดเรื่องที่เขาเล่ากันปากต่อปากยังไม่สะเทือนนาย แล้วมันมีเรื่องอะไรถึงทำให้คนไม่สนโลกต้องมาทำหน้าเบื่อหน่ายด้วยพลบค่ำร่างสูงก็ขี่รถมอเตอร์ไซค์ไปยังบ้านเจ้าของไร่ซึ่งอยู่ไม่ห่างจากสวนส้มเท่าไหร่ ตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางสวนดอกไม้เบื้องหลังมีขุนเขาเป็นฉากประกอบ ตัวบ้านเป็นไม้สองชั้นเคลือบแว็กซ์เงางามราวบ้านในฝันที่มีอยู่จริง เดินเข้ามาภายในก็พบโถงกว้างซึ่งมีโต๊ะสำหรับวางแจกันตั้งไว้อย่างสวยงามทั้งยังปักดอกไม้ซึ่งส่งกลิ่นหอมทั่วบ้านทางด้านขวาเป็นห้องรับแขกและผู้มาเยือนก็เลือกจะเข้าไปรอที่ห้องนั้น พอดีกับมีคนเดินเข้ามาทักทาย“อ้าวคุณเอิร์ธ มารับประทานอาหารเย็นกับคุณธีหรือคะ” ป้าจิตแม่บ้านร่างท้วมท่าทางใจดีมีใบหน้ายิ้มแย้มเป็นนิจ ทำงานเป็นแม่บ้านให้กับตระกูลของเพื่อนสนิทมานับยี่สิบปีก่อนจะย้ายมาอาศัยที่นี่เพื่อคอยรับใช้ชลธีอย่างใกล้ชิดรู้ดีถึงสถานะอันแท้จริงของพณณกรแต่ไม่ได้ปริปากบอกใคร“ครับ
๖ปรับตัวความเงียบของห้องทำให้ได้ยินเสียงเครื่องปรับอากาศ อาการตกใจกลัวแปรเปลี่ยนไปทันทีเมื่อมีอาวุธลับของชายหนุ่มดันที่หน้าขา ใบหน้าหวานแดงซ่านทั้งยังเม้มปากแน่น เธอควรจะผละหนีแล้วระดมทุบตีร่างสูงแต่ก็ไม่อาจทำได้เนื่องจากโดนรัดแน่นจากตัวต้นเหตุ..หน้าสิ่วหน้าขวานยังมาคิดลามกอีก“อะ ไอ้บ้ากาม” เสียงเล็กเอ่ยติดขัดแล้วดันแผ่นอกหนาเพื่อเอาตัวออกห่างทว่าสายไปเสียแล้วในเมื่อเสือตื่นมีหรือจะปล่อยให้เหยื่อรอดพ้นไป ได้ง่าย“เธอเป็นฝ่ายกระโดดมาหาฉันเองนะ” กลิ่นสบู่ของหญิงสาวโชยเข้าจมูกอีกครั้ง ปกติเขาก็ไม่ใช่คนที่ไวต่อกลิ่น หากวันนี้ต่างออกไป..ไม่รู้ว่าบุลลาใช้สบู่หรือยาสระผมยี่ห้ออะไรถึงได้ทำให้เป็นบ้าได้ขนาดนี้“ก็ฉันกลัว ใครจะไปรู้ว่านายจะ จะเป็นแบบนี้เล่า!” สัมผัสได้ถึงการขยาย ตัวใหญ่ขึ้นของส่วนนั้นจึงใช้ความพยายามดันตนเองออกโดยไม่รู้เลยว่า ยิ่งดิ้นก็ยิ่งทำให้อารมณ์ของบุรุษเพศเพิ่มขึ้นและตอนนั้นเองที่เขาไม่สามารถกักเก็บความต้องการที่มีต่อหล่อนเอาไว้ได้“เรามาทำคืนเข้าหอให้สมบูรณ์แบบกันเถอะ” ร่างหนาพลิกกายขึ้นทาบทับคนตัวเล็กอย่างรวดเร็วพร้อมถอดเสื้อกล้ามออกแล้วเหวี่ยงไปตกพื้นห้องก่อนจะโน
๗เอาตัวเข้าแลกบนถนนลูกรังทางไปไร่รุ่งอรุณเหมือนจะมีสงครามอารมณ์ขนาดย่อมซึ่งเกิดจากคู่ข้าวใหม่ปลามัน ความร้อนระอุของแดดช่วงเย็นยังไม่อาจสู้ดวงตาที่มีประกายเพลิงส่งให้กัน ทำเอาบุคคลที่สามต้องจอดรถมอเตอร์ไซค์ไว้แล้วยืนมองด้วยความหวั่นใจเธอจะโดนลูกหลงไปด้วยหรือไม่ที่บังอาจพาเมียของสัตวแพทย์หน้านิ่งสมัครงานพาร์ทไทม์ แต่ก็ไม่ได้ชวนสักนิด เป็นหญิงสาวเสนอตัวเองทั้งนั้น เนื้อไม่ได้กินหนังไม่ได้รองนั่งยังเอากระดูกมาแขวนคอ แอบถอนหายใจเสียงเบามองทั้งคู่ยื้อยุดกันไปมา“ฉันไม่ให้ไป กลับบ้าน!” ประกาศิตนั้นชัดเจนทว่าร่างบางไม่ได้กลัวสักนิดจ้องตาเขาแล้วตอบกลับเสียงแข็งไม่แพ้กัน“ฉันจะไปแล้วนายก็ไม่มีสิทธิ์ห้ามด้วย” ขึ้นเสียงเพื่อความเท่าเทียม จะหันหลังเดินไปหานุ่มนิ่มแต่ก็ถูกคว้าแขนเอาไว้อีกครั้ง“อย่าขัดคำสั่งของฉันนะบัว จะวิ่งเร่เข้าไปทำไม งานในไร่ก็มีให้ทำเยอะแยะ ชอบนักหรือไงไอ้พวกงานบริการ” ดึงคนตัวเล็กเข้าหาแล้วถามย้ำด้วยใบหน้าเหยียดหยันจนคนมองต้องข่มอารมณ์ที่โดนเขาดูถูกกลายๆ“แล้วงานไร่มันได้เงินดีไหมล่ะ ทำหลังขดหลังแข็งก็ไม่พอกิน อีกอย่างงานที่ฉันจะไปทำก็เป็นงานสุจริตไม่ได้ไปขโมยใครเขามาเสี
๘แยกกันบ้างตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาพณณกรก็ระมัดระวังตัวมากขึ้นและเมื่อเขาหลุดจากกุญแจมือเหล็กก็จัดการทบต้นทบดอกภรรยาตัวแสบทำเอาวันต่อมาลุกขึ้นแทบไม่ไหว แต่ก็คุ้มเพราะชายหนุ่มอนุญาตให้ไปสมัครงานที่ตัวอำเภอพร้อมนุ่มนิ่ม เพียงแค่ไปสมัครก็ผ่านการสัมภาษณ์อย่างง่ายดายจนยิ้มแก้มปรินำมาบอกกล่าวสามีด้วยน้ำเสียงภาคภูมิใจเหลือเกินการดำเนินชีวิตของคู่แต่งงานผ่านไปอย่างทุลักทุเล หลายเรื่องต้องปรับเข้าหากันนิสัยส่วนตัวที่ไม่พึงประสงค์ก็ต้องเปลี่ยนโดยเฉพาะการถอดเสื้อผ้าซึ่งร่างบางบ่นแทบทุกวัน“มันยากนักหรือไงกับแค่เอาเสื้อไปลงตะกร้าเนี่ย” เดินไปหยิบเสื้อลายสก็อตแล้วโยนลงตะกร้าก่อนจะหันไปมองเขาตาเขียวเพราะอีกฝ่ายไม่มีท่าทีทุกข์ร้อนเลย“ก็เธอเก็บให้แล้วไง” เอนกายลงบนเตียงทั้งที่ยังไม่ได้อาบน้ำจนหล่อนต้องรีบก้าวไปฉุดแขนหนาไว้เสียก่อนพร้อมใบหน้าบูดบึ้ง แต่งงานกันมาเดือนกว่าแล้วชีวิตไม่ได้ดีขึ้นสักเท่าไหร่“ฉันไม่ใช่คนใช้ของนายนะ แล้วฉันก็บอกหลายรอบว่าถ้ายังไม่อาบน้ำห้ามนอนบนเตียงเดี๋ยวกลิ่นมันจะติดที่นอน ถามจริงเป็นเด็กสามขวบหรือไงต้องให้ย้ำตลอดเวลา” ทนไม่ไหวต้องร่ายยาวจนใบหน้าแดงก่ำ หายใจแทบไม่ทันนึ
๙คนที่เหมาะสมการได้พบปลายฟ้าสร้างความหงุดหงิดใจให้แก่พณณกรยิ่งนัก หวนนึกถึงอดีตระหว่างกันไม่ได้อันที่จริงเขารู้จักเธอตั้งแต่อนุบาลเพราะอยู่โรงเรียนเดียวกัน กระทั่งขึ้นมัธยมจึงได้ห่างกันบ้างก่อนพบกันอีกทีที่สถานเริงรมย์ แม้จะอายุไม่ถึงสิบแปดปีแต่อำนาจเงินก็บันดาลได้ทุกอย่างเขาชอบใบหน้าจิ้มลิ้มทั้งยังดูไร้เดียงสาแต่เรื่องบนเตียงร้อนแรงของอีกฝ่ายจนตกลงคบหากัน แต่ความหวานก็มีเพียงสามเดือนแรกเท่านั้นเพราะจากนั้นพณณกรก็แอบไปนอนกับคนอื่น เหมือนกับที่ปลายฟ้าเองก็ทำเช่นเดียวกันแต่ทั้งคู่ต่างไม่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังนอกใจ กระทั่งขึ้นมหาวิทยาลัยเขาจึงเลิกนอกใจหันมาให้ความสำคัญกับแฟนสาว ทุกอย่างดูเหมือนจะไปด้วยดีก่อนทุกอย่างพังทลายชั่วข้ามคืนเพราะมือที่สามคือเพื่อนสนิทแค่คิดก็กำมือแน่น เขาโกรธมัน เกลียดมัน แต่ก็คิดถึงมันเช่นเดียวกัน ช่วงเวลายากลำบากมีกองทัพเคียงข้างเสมอ เคยพูดกันเล่นๆ ว่าจะแบกเป้เที่ยวรอบโลกหลังเรียนจบแต่ก็ยังไม่ได้ทำเพราะมีเรื่องนี้ทำให้ความสัมพันธ์แตกหักมันถึงเวลาแล้วหรือยังที่จะปล่อยวางอดีตที่เคยทำร้ายใจ แล้วลองเริ่มต้นใหม่อีกครั้งถึงเวลาหรือยัง..งานเลี้ยงวันนั้นเขาไปช้ากว่