สี่ปีที่แสนยาวนานสิ้นสุดลงเมื่อดยุคเอสเตบัน จัดการสังหารองค์ราชาของชนเผ่าทะเลทรายได้สำเร็จเสียงโห่ร้องยินดีของเหล่าทหารกล้าทำให้เอสเตบันรู้สึกเหมือนกับว่าเขากำลังฝันไป
เขาติดอยู่ที่นี่ยาวนานมากเหลือเกิน ในทะเลทรายที่แห้งแล้งและร้อนอบอ้าว เลลานี่ผ่อนลมหายใจยาวผ่านทางจมูก บรรยากาศสดชื่นหลั่งไหลเข้ามาในหัวใจ สิ้นสุดแล้วสินะ สงครามที่ยาวนานแสนน่าเบื่อนี่ จบลงได้สักที! ทหารของจักรวรรดิเองก็บาดเจ็บไม่น้อย อีกทั้งเรายังไม่สามารถเดินทางกลับได้ในทันทีเพราะเมืองทางใต้เสียหายหนักมากพอสมควร อีกทั้งทหารในกองทัพของเราก็ไม่พร้อมที่จะเดินทางด้วย “เจ้าต้องเป็นคนส่งข่าวกลับไปลุควิค..ว่ากองทัพของเราชนะสงครามแล้ว และทหาร เหล่าขุนนางทุกคนที่อยู่ที่นี่จะเดินทางกลับในระยะเวลาไม่เกินหนึ่งปี” ถึงแม้ว่าสงครามจะสิ้นสุดแต่สิ่งที่เป็นปัญหายืดเยื้อมานานคือสุขภาพที่ย่ำแย่ของเขาและทุกคนที่อยู่ที่นี่ เอสเตบันบาดเจ็บร้ายแรงมากพอสมควร และเขาอาจจะต้องใช้เวลาในการพักฟื้นยาวนานหลายเดือน เขาอยากจะกลับไปที่จักรวรรดิใจจะขาด แต่ทว่าเขาไม่อยากกลับไปด้วยสภาพเช่นนี้ ไม่อยากจะให้ท่านแม่เป็นห่วงและ..ไม่อยากให้เธอคนนั้นมองเขาด้วยแววตาสั่นไหว ผ่านมาแล้วสี่ปีอย่างนั้นสินะ เช่นนั้นแล้วเจ้าตัวเล็กที่อยู่ในท้องของแมดดี้น่าจะอายุ3ขวบแล้วใช่ไหม “เป็นบุตรีครับท่านดยุค เป็นเด็กที่เกิดมาในวันแรกของฤดูร้อน นางแผดเสียงร้องจ้าและมีเส้นผมสีเงินที่แสนจะโดดเด่น ดวงตาสีฟ้าน้ำทะเล..” เขายังจำได้ดีถึงจดหมายที่กอนส่งมาให้ เด็กที่แมดดี้คลอดออกมาเป็นเด็กผู้หญิงล่ะ..น่าคงจะงดงามมากๆ เหมือนมารดาของนาง “ข้าไม่ไป..เลล่าอยู่ที่นี่ข้าก็จะอยู่ที่นี่เหมือนกัน” ลุควิคเองก็ยังคงดื้อดึงเหมือนเคย ส่วนเลล่า..เขาไม่รู้เหมือนกันว่าอะไรกันที่ทำให้นางมองลุควิคด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้เหมือนว่านางจะหลงรักลุควิค..หรือว่าเขาพลาดอะไรไปกันนะ “เช่นนั้นข้าจะส่งทหารของข้าไปเอง หากเจ้ายังเหนื่อยล้าจากการทำสงคราม เช่นนั้นก็พักเถอะลุควิค” เลล่ากล่าวพร้อมกับแย่งจดหมายมาจากมือของลุควิคเพื่อไปส่งให้ทหารของเธอ จดหมายที่มีตราประทับของตระกูลวีไซร์ เนื้อความในนั่นบอกกล่าวถึงองค์จักรพรรดิว่าสงครามจบสิ้นลงและเราเป็นฝ่ายชนะ “ข้าคิดว่าเจ้ากับนางจะไปได้ราบรื่นมากกว่านี้ซะอีก” เดิมทีเราคือสหาย แต่เอสเตบันมีนิสัยชอบการเอาชนะ เพราะแบบนั้นเขาจึงมอง ลุควิคเป็นคู่แข่งเสมอมา แต่ทว่าเมื่อเราผ่านความเป็นความตายมาด้วยกัน หลายๆอย่างก็ทำให้เขาคิดได้ว่าลุควิคเป็นคนที่เชื่อถือได้มากพอสมควร และหมอนี่เองก็หลงรักเลล่าจนหัวปักหัวปำ “ข้า..ไม่รู้เหมือนกันว่ามันผิดพลาดตรงไหน นางหลีกเลี่ยงข้ามานานหลายปีและระหว่างเรามันไม่เหมือนเดิม ถึงแม้ว่าจะไม่มีเจ้า แต่นางก็ยังคงไม่มองข้าอยู่ดี..มันเกิดอะไรขึ้นกันนะเอส” เรื่องนั้นเขาเองก็ไม่ได้เก่งกาจขนาดที่จะเดาใจสตรีได้ “ทหาร..เจ้าไปเรียกอาดาลมาที่นี่หน่อยสิ” ในเมื่อเขาไม่สามารถให้คำปรึกษาแก่ลุควิคได้ เช่นนั้นก็ต้องขอคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญเรื่องสตรีเป็นพิเศษอย่าง อาดาล เอสเตบันแตะปลายนิ้วลงบนหน้าท้องของเขาที่เลือดกำลังไหลซึมออกมา เขาล้มตัวนอนลงในขณะที่อาดาลเดินเข้ามา “ปัญหาหัวใจ..ใครก็ให้คำปรึกษาไม่ได้เท่าข้าอีกแล้วครับท่านดยุค ว่าแต่ท่านไปหลงรักสตรีคนไหน..” เอสเตบันถอนหายใจ “ไม่ใช่ข้าอาดาล ข้าหลงรักสตรีใดมิได้อีกแล้ว คนที่ต้องการคำปรึกษาจากเจ้าคือลุควิคต่างหาก” อาดาลดีดนิ้วในทันที “เดมเลล่าใช่ไหมครับ” ลุควิคพยักหน้า “ข้า..ไม่เคยรักใครเท่านางมาก่อนเลย” “ปริมาณความรักมันไม่มีความหมายหรอกนะครับ สตรีไม่ได้มองว่าท่านรักนางมากหรือว่ารักนางน้อย แต่นางมองที่ความจริงใจต่างหาก ยิ่งเดมเป็นสตรีที่เก่งกาจเพราะแบบนั้นเรื่องราวมันเลยยากขึ้นเรื่อยๆ ในความคิดนางต่อให้ไม่มีบุรุษนางก็สามารถอยู่ได้อย่างสบายๆ” ลุควิคพยักหน้า เรื่องนั้นเขาเองก็คิดเอาไว้เหมือนกัน “แต่ในบางทีนางก็..แสดงออกว่าเป็นห่วงข้านะ อย่างเช่นในยามที่ข้าป่วย แต่ทำไมนางถึงไม่ยอมแต่งงานกับข้ากันล่ะ ข้าขอนางแต่งงานไปหลายรอบทีเดียว..” อาดาลส่งยิ้มให้กับท่านเคาน์ “เพราะเดมกำลังหวาดกลัวครับ นางกำลังหวาดกลัวว่าอิสรภาพของนางจะลดน้อยลงเมื่อนางแต่งงานเข้าตระกูลแบล็ค นางชื่นชอบการเดินในเส้นทางอัศวินที่ทรงเกียรติมิใช่เส้นทางของเลดี้ชนชั้นสูง..หากว่าท่านรักนางก็ทำให้นางเชื่อมั่นสิครับว่าท่านจะเคารพในความชอบและไม่พยายามเปลี่ยนแปลงสิ่งที่นางเป็นอยู่..” เมื่อได้ฟังที่อาดาลพูดออกมาลุควิคก็เข้าใจความคิดของเลล่ามากยิ่งขึ้น “ที่ผ่านมาข้ามองเพียงแค่ในมุมของตัวเองเท่านั้น ไม่ได้มองในมุมของนางเลย..เป็นแบบนี้เองสินะ ขอบคุณเจ้ามากนะอาดาล” ลุควิคจับลงบนบ่าของอาดาลเบาๆ “ด้วยความยินดีครับ” อันที่จริงเขาไม่ได้อยากจะมาร่วมกองทัพนี่เท่าไหร่นัก แต่เพราะทางพระราชวังประกาศออกมาว่าขุนนางที่อายุยังไม่ถึง30ปีจะต้องมาช่วยท่านดยุคออกรบสู้ศึกกับชนเผ่าทะเลทราย เพราะแบบนั้นเขาถึงมาอยู่ที่นี่ทั้งๆ ที่ไม่ได้รู้สึกเต็มใจอะไรเลย แต่มันก็จบแล้วล่ะ สงครามที่ยาวนานจบสิ้นลงและเขาจะได้กลับไปใช้ชีวิตในฐานะของบุรุษเจ้าสำราญอีกสักที อาดาลมองท่านดยุคที่กำลังนอนเจ็บอยู่ “ดูท่าว่าอีกนานเลยนะครับกว่าท่านจะฟื้นตัว หากข้ากลับไปที่จักรวรรดิก่อน ข้าจะไปหาหลานตัวน้อยก่อนท่านแล้วส่งจดหมายมาบอกท่านนะครับ” เอสเตบันหัวเราะเบาๆ “ไม่เป็นไรอาดาล ข้าจะไปหานางเอง..” ทั้งลูกของเขา และว่าที่ภรรยาของเขานั้นเขาจะกลับไปหานางด้วยตัวเอง เอสเตบันจะทวงคืนทุกสิ่งทุกอย่างที่มันควรจะเป็นของเขากลับมาสู้อ้อมกอดของเขาอีกครั้ง เขาจะไม่สนใจท่านบารอนโอทีสอีกต่อไปว่าท่านจะขัดขวางหรือว่ามีสีหน้าแบบไหน เขาจะไปที่เรเซเดนแล้วลักพาตัวแมดดี้ออกมาจากที่นั่นเพื่อพานางไปเป็นดัชเชสวีไซร์ คิดถึงจังเลย..คิดถึงจนจะตายอยู่แล้ว!! หากไม่ติดว่าเขาเจ็บหนักเขาอาจจะใช้เครื่องมือเวทเพื่อเดินทางไปหานางและลูกสาวของเราก่อนแล้ว.. “ท่านเปลี่ยนไปเยอะเลยนะครับ..ช่างเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ท่านหญิงไดอาน่าจะต้องตื้นตันจนน้ำตาไหลอย่างแน่นอน” เอสเตบันยกยิ้มขึ้นมาเมื่ออาดาลกล่าวถึงมารดาของเขา “ท่านแม่จะต้องตื้นตันอยู่แล้ว เพราะว่าข้าสามารถมีทายาทสืบทอดตระกูลวีไซร์ให้ท่านได้แล้วนี่” อาดาลหรี่ตาลงเล็กน้อย เรื่องนั้นก็ยังไม่แน่เพราะท่านบารอนเรเซเดนไม่น่าจะยินยอมง่ายๆ“....แมดดี้ แม่เคารพในทุกการตัดสินใจของลูกนะ”เดวากล่าวออกมาด้วยความรู้สึกมากมายที่หลั่งไหล เธอเข้าใจลูกสาวมากทีเดียวที่แมดดี้ต้องการจะพามิก้าไปอยู่ที่แกรนด์ดัชชีเป็นการชั่วคราว จนกว่าจะถึงวัยที่มิก้าสามารถเข้าเรียนที่อคาเด็มมี่ถึงจะพากลับมา แน่นอนว่าในใจของเธอซึ่งเป็นยายนั้นย่อมมีความเป็นห่วงทั้งแมดดี้และมิก้าแต่ทว่าที่ผ่านมา เธอเลี้ยงลูกด้วยความผิดพลาดมาตลอด เพราะมีบุตรสาวเพียงคนเดียวเท่านั้นเธอและโอทีสหวงแหนแมดดี้ยิ่งว่าสิ่งใดบนโลกใบนี้และการห่วงที่มากมายนั้นมันทำให้แมดดี้ไม่ได้มองเห็นโลกอีกมุมที่แสนโหดร้าย อันที่จริงหากย้อนเวลากลับไปได้ เดวาอยากจะย้อนเวลาไปแก้ไขเรื่องการเลี้ยงลูกของเธอ เธอควรจะให้อิสระกับแมดดี้มากกว่านี้ให้โอกาสในการตัดสินใจและให้โอกาสอีกหลายๆ อย่างที่แมดดี้ไม่ได้ทำมันเพราะอย่างนั้นถึงแม้ว่าเธอจะไม่ได้มองเห็นหลานสาวตัวน้อยเติบโตก็ไม่เป็นไร เธออยากให้มิก้ามีอิสระที่แมดดี้ไม่มี และเดวาคิดว่ามแมดดี้เองก็คงอยากจะเลี้ยงลูกของนางด้วยการพาเด็กน้อยไปเปิดหูเปิดตาเพื่อเรียนรู้โลกภายนอก“แต่แมดดี้..”เดวายกมือขึ้นมาตีลงไปบนหลังของสามีที่กำลังทำท่าทางราวกับจะร้องไห้ออกมา
เมื่อได้ฟังคำกล่าวที่เต็มไปด้วยความมั่นใจของแมเดอลีนแล้ว ท่านหญิงไดอาน่าก็ยกยิ้มขึ้นมาเธอเคยลงสนามต่อสู้กับราชวงศ์มากมายที่พระราชวัง ถึงแม้ว่าจะเป็นเพียงองค์หญิงปลายแถวแต่ทว่าไดอาน่าก็เหมือนกับลูกธนูที่ถูกลับคมครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อให้ความคิดของเธอเฉียบแหลมอยู่เสมอในอนาคตไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม ลูกสะใภ้ของเธอ นายหญิงและดัชเชสของวีไซร์จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากแมเดอลีน“ข้าไม่มีสิทธิ์จะห้ามเจ้าอยู่แล้วแมเดอลีน ขอให้เจ้าเดินทางอย่างสวัสดิภาพ และขอให้มิก้าเติบโตขึ้นอย่างมีความสุข.."แมเดอลีนโล่งใจในทันที เธอคิดเอาไว้ว่าท่านหญิงอาจจะรั้งเธอเอาไว้ แต่พอได้ยินคำกล่าวที่เต็มไปด้วยความอบอุ่นของท่านหญิงแล้ว..นั่นทำให้เธอวางใจอย่างแท้จริง“หวังว่าท่านหญิงจะสุขภาพแข็งแรงและมีความสุขเช่นกันนะคะ”ไดอาน่าพยักหน้าเบาๆ หลังจากนั้นเราพูดคุยเรื่องราวมากมายด้วยกัน จนมิก้าตื่นขึ้นมาแมเดอลีนก็บอกลาไดอาน่าพร้อมกับกล่องชูครีมที่ท่านหญิงทำเอง“จะปล่อยไปเช่นนี้อย่างนั้นหรือคะท่านหญิง โอกาสที่จะได้พบเจอและสานสัมพันธ์กับเลดี้แมเดอลีนและคุณหนูมิก้ากำลังหลุดลอยออกไปเรื่อยๆ ..”สาวใช้ข้างกายของไดอาน่ากล่าวออกมาด
ผ่านมาแล้วสามเดือนหลังจากที่สงครามสิ้นสุดลง ลุควิคกำลังเดินตรวจตราบริเวณรอบๆ กองทัพ ทหารจำนวนหนึ่งเดินทางกลับไปแล้ว และในยามนี้หลงเหลือทหารที่ค่ายชั่วคราวแห่งนี้ไม่ถึงสองร้อยด้วยซ้ำ อาการบาดเจ็บของทุกคนดีขึ้นรวมทั้งอาการบาดเจ็บของเอสด้วย“ขอบคุณนะคะ..ท่านลุง”ลุควิคมองเอสที่กำลังส่งขนมปังให้กับเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่อายุไม่น่าจะเกิน5ขวบ นางคือลูกของชาวบ้านแถวนี้ที่ได้รับผลกระทบจากสงคราม สภาพความเป็นอยู่เลยไม่ดีเท่าไหร่นัก“เอานี่ไปให้พ่อและแม่ของเจ้านะ..”เอสเตบันวางเหรียญทอง3เหรียญลงบนมือน้อยๆ ที่เปรอะเปื้อนไปด้วยเศษดินของเด็กน้อย“ขอบคุณนะคะ ท่านจะไปแล้วอย่างนั้นหรือ?”เด็กน้อยมองทหารที่กำลังเก็บกระโจมและรื้อรั้วของค่ายทหารเมื่อได้ยินคำถามที่แสนน่ารักน่าชังนั่น เอสเตบันก็ลูบผมของเด็กน้อยเบาๆ“ใช้แล้ว ข้าจะต้องกลับแล้วล่ะ ใช้ชีวิตของเจ้าให้ดีนะเด็กน้อย..”นางจะตัวเท่านี้รึเปล่านะ หรือว่าจะตัวเล็กมากกว่านี้ โชคดีเหลือเกินที่ดวงตาคู่นั้นของนางเป็นสีฟ้าเหมือนกับแม่ เพราะนั่นคงจะทำให้นางดูน่ารักน่าชังในแบบที่ใครเห็นก็ต้องตกหลุมรักอย่างแน่นอน…ลูกสาวของเขาน่ะเมื่อเด็กผู้นั้นวิ่งออกไป ลุควิ
ไดอาน่าเบนสายตามองไปรอบๆ งานเลี้ยงน้ำชาของท่านหญิงแบล็ค ที่จัดขึ้นมาเป็นงานแรกหลังจากที่สงครามสิ้นสุดลง เจตนาของท่านหญิงก็เพื่อเรียกขวัญและกำลังใจให้แก่เหล่าภริยาของทหารกล้าในวันนี้ที่เธอมาที่นี่ไม่ใช่เพราะอยากจะมาเข้าร่วมงานเลี้ยงที่แสนวุ่นวาย แต่เพราะว่าไดอาน่ามีจุดประสงค์ต่างหากเธอเดินเจ้าไปหาบารอนเนสที่กำลังนั่งพูดคุยอยู่กับภริยาของชนชั้นสูงด้วยกัน“ท่านหญิง..ยินดีที่ได้พบค่ะ”เดวาย่อตัวลงเพื่อทำความเคารพท่านหญิงไดอาน่าแห่งตระกูลวีไซร์“เจ้าสบายดีใช่ไหมบารอนเนส งานเลี้ยงแรกหลังจากที่สงครามสิ้นสุดให้ความรู้สึกเหมือนกับว่าฤดูร้อนเวียนกลับมาอีกครั้ง งานเทศกาลมากมายที่กำลังจะจัดขึ้นและเสียงหัวเราะของผู้คน”เดวาพยักหน้า เธอเห็นด้วยกับความคิดของท่านหญิงมากทีเดียว“น่าเสียดายที่งานเลี้ยงเช่นนี้ทั้งแมเดอลีนและมิก้าไม่ได้มาด้วย ไม่อย่างนั้นมิก้าคงจะกำลังวิ่งเล่นอยู่กับเด็กพวกนั้น”สายตาของไดอาน่ามองไปที่กลุ่มเด็กเล็กๆ ที่เป็นบุตรและบุตรีของขุนนางกำลังวิ่งเล่นกันอย่างมีความสุข เสียงหัวเราะของเด็กน้อยทำให้บรรยากาศในงานเลี้ยงแห่งนี้คึกคักขึ้นมา“นั่นสินะคะ..”ไดอาน่ายื่นมือไปจับแขนของเดวาเอ
มิก้ากะพริบตาปริบๆ มองหน้าท่านลุงที่ดูน่ากลัว..“มัง..ฝยั่ง”“อ่า..เจ้ามาที่นี่เพื่อขายเจ้ามันหัวนี้อย่างนั้นหรือ?”มิก้าพยักหน้า“เช่นนั้นเจ้าขายมันราคาเท่าไหร่กันล่ะ”มิก้าเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะชูนิ้วชี้และนิ้วกลางขึ้นมาสองนิ้วท่านลุงคนนั้นพยักหน้า“สองเหรียญสินะ นั่นเป็นราคาที่ค่อนข้างแพงมากไปหน่อย แต่ถ้าหากว่าเจ้าให้ข้าอุ้ม ข้าจะซื้อมันฝรั่งหัวนั้นพร้อมกับพาเจ้ากลับบ้านด้วยดีไหม?”ท่านแม่เคยสอนว่าอย่างไว้ใจคนแปลกหน้า แต่ทว่าท่านลุงคนนั้นไม่ได้แค่ยื่นเงินให้มิก้าเพียงอย่างเดียว แต่ในมือของท่านลุงที่ไม่น่าไว้ใจมีลูกกวาดสีสวยอยู่ในนั้นด้วยมิก้าลังเลเล็กน้อย แต่สุดท้ายเด็กน้อยที่ไร้เดียงสาก็พ่ายแพ้ให้กับขนมในมือของคุณลุงที่ไม่น่าไว้ใจมิก้าไม่ได้เห็นแก่กิน แต่มิก้าเหนื่อยเกินที่จะเดินกลับบ้านแล้วต่างหาก!!เอสเตบันอุ้มเด็กน้อยขึ้นมาในอ้อมแขน เขาหลับตาลงก่อนจะโอบกอดเด็กหญิงตัวน้อยในอ้อมแขนเอาไว้แน่น เขาซบใบหน้าลงไปบนไหล่เล็กนั่นด้วยความรู้สึกที่เอ่อล้นขึ้นมาในใจเขากำลังตามหาคฤหาสน์ของเจ้าเมืองเลเซิน แต่ก็ต้องมาสะดุดตรงที่เขามองเห็นเด็กน้อยที่มีเส้นผมสีเงินและดวงตาสีฟ้าอ่อน นางสวมชุดที
แมดเดอลีนมีอาการประหม่าอย่างเห็นได้ชัดเจน เธอเดินนำเอสเตบันเข้ามาด้านในบ้านหลังน้อยที่ปกติแล้วเธอจะอยู่ที่นี่กับลูกสาวเท่านั้น ของเล่นที่ทำจากไม้วางเกลื่อนอยู่บนพื้น พร้อมกับภาพวาดที่เด็กสาวตัวน้อยคงจะสร้างสรรค์มันขึ้นมาจากมือเล็กๆที่ไร้เดียงสา ในภาพวาดนั้นมีผู้หญิงที่มีเส้นผมสามเส้น และเด็กน้อยกำลังยืนจับมือกันเอสเตบันหยิบกระดาษแผ่นนั้นขึ้นมาดูด้วยความรู้สึกมากมายในใจ มีกระดาษหลายแผ่นทีเดียวที่วาดภาพเดิมซ้ำๆ ที่เปลี่ยนไปคงจะเป็นสีของชุดบ้างล่ะ ทรงผมบ้างล่ะ แต่ทว่าในทุกรูปจะมีแค่มิก้าและท่านแม่เท่านั้น..ไม่มีรูปไหนเลยที่มีท่านพ่อหรือว่าผู้ชายสักคนอยู่ในภาพวาดของมิก้าเขาตระหนักได้ถึงความรู้สึกเจ็บปวดที่เสียดแทงเข้ามาในใจ เขาไม่โทษทั้งมิก้าและแมดดี้ ที่ในระหว่างเส้นทางที่แสนสวยงามในการเติบโตของลูกสาว มันไม่มีเขาอยู่ในนั้นในมุมมองของเอสเตบัน บางทีแมดดี้อาจจะกลัว มีหลายอย่างที่อาจจะทำให้เธอรู้สึกไม่มั่นใจในความสัมพันธ์ของเรา หลายอย่างมากทีเดียวที่ทำให้เธอรู้สึกหวาดกลัว..ทั้งระยะทาง เวลาที่เราห่างกันมากมายขนาดนั้นเขาไม่ได้ส่งจดหมายไปหาเธอเลยแม้แต่ฉบับเดียว ส่วนเธอเองก็ไม่ได้ส่งจดหมายมา
ดาเนียอุ้มมิก้าในอ้อมแขน เธอหอมแก้มสลับกับจุมพิตลงไปบนเส้นผมของหลานสาวตัวน้อยด้วยความแผ่วเบา“ท่านน้า..ทำไมท่านป้อของมิก้าถึงมาช้าจัง”คำถามที่เต็มไปด้วยความใสซื่อและไร้เดียงสาราวกับเด็กๆ นั้นทำให้ดาเนียอดที่จะหัวเราะออกมาด้วยความรู้สึกเอ็นดูไม่ได้“มิก้า..เพราะว่าทุกคนต่างก็มีเหตุผลของตัวเอง ท่านพ่อของมิก้าไม่ได้อยู่กับมิก้าก็จริงแต่ว่าท่านพ่อของมิก้าเป็นฮีโร่ที่ช่วยคนอื่นที่กำลังทุกข์ยากจากสภาวะของสงคราม.."มิก้าขมวดคิ้วเล็กน้อย“สงคราม คืออะไยคะท่านน้า”นั่นสินะ คงยังเร็วไปที่จะบอกกล่าวทุกอย่างกับเด็กน้อยในวัยสามขวบเช่นนี้“เอาเป็นว่าในยามนี้พ่อของหลานกลับมาแล้ว นั่นคือเรื่องที่น่ายินดีไม่ใช่รึไง มิก้าเองก็..ควรจะดีใจกับการกลับมาของท่านพ่อนะ”มิก้าหยักยิ้มขึ้นมาที่มุมปาก“มิก้ามีท่านป้อเหมือนเพื่อนคนอื่นแล้ว..คอยดูเถอะในวันพรุ่งนี้ มิก้าจะพาท่านป้อไปอวดเพื่อน!”ดาเนียพยักหน้า“นั่นคือสิ่งที่ถูกต้องที่สุดเลยล่ะ ใครที่เคยล้อมิก้าของน้าต้องสมควรที่จะถูกจัดการ วันพรุ่งนี้หลานพาท่านพ่อของหลานไปจัดการสั่งสอนเด็กคนนั้นเลยเข้าใจไหม”มิก้าพยักหน้าด้วยใบหน้าที่จริงจังมากกว่าครั้งไหนๆ“ได้เยย
ใบหน้าหวานของแมเดอลีนขึ้นเป็นสีแดงระเรื่อ เมื่อท่านดยุคถอดเสื้อตัวนอกของเขาออก ตามมาด้วยเสื้อตัวในและกางเกงที่เขาสวมเธอจัดเตรียมน้ำอุ่นเอาไว้ในอ่างเรียบร้อยแล้ว และแมเดอลีนกำลังก้มหน้าลงเพื่อรอคอยให้ท่านดยุคที่ไม่ได้สวมใส่เสื้อผ้าสักชิ้นเดินลงไปในอ่างน้ำที่ทำจากไม้ ที่นี่ไม่ได้สะดวกสบายเหมือนกับคฤหาสน์หลังใหญ่ที่เขาเคยอยู่ เพราะแบบนั้นเธอก็เลยคิดว่าเขาจะไม่ได้รับความสะดวกเท่าที่ควร“อายอะไรกัน มิใช่ว่าทุกส่วนบนร่างกายของข้านั้น เจ้าเคยเห็นมาแล้วอย่างนั้นหรือ?”เธอเคยเห็นมาแล้วก็จริงแต่ทว่ามันเป็นในช่วงเวลายามราตรีที่ทั่วทั้งห้องไม่มีแสงไฟสักดวง ในคืนนั้นมีแค่แสงจันทร์เท่านั้นที่ส่องสว่างและเป็นพยานให้เรา..เมื่อเอสเตบันเห็นว่าแมเดอลีนเงียบไป เขาก็เดินเข้าไปหาเธอ บอกตามตรงว่าเขาชื่นชอบบ้านหลังนี้มากทีเดียว เพราะทุกสิ่งทุกอย่างมันถูกย่อส่วนไปหมด ห้องอาบน้ำเล็กๆ อ่างน้ำเล็กๆ ที่เข้าไปนั่งสองคนคงจะอึดอัด..มือของเอสเตนบันเอื้อมไปที่ด้านหลังก่อนที่เขาจะดึงรั้งผ้ากันเปื้อนออกจากเอวของแมดดี้“ข้าคิดถึงเจ้ามาโดยตลอด..”เธอช้อนสายตามองหน้าเขา“ข้าจะมั่นใจได้อย่างไรว่านั่นไม่ใช่คำลวงแสนหวานที่
การปฏิเสธเขาคงยากมากพอๆ กับที่ห้ามตัวเองไม่ให้หายใจ มือทั้งสองข้างของเธอจับเข้าที่เรือนผมสีเงินของเขาอย่างลืมตัวแมเดอลีนนั่งอยู่บนขอบอ่าง แผ่นหลังของเธอแนบชิดติดกับกำแพง เรียวขาขาวเนียนถูกจับแยกออก ก่อนที่เขาจะมุดใบหน้าเข้าไปในซอกขาที่กางออกและสั่นเล็กน้อยจากอากาศที่หนาวเย็นในยามค่ำคืน เธอขบกัดริมฝีปากแน่นพร้อมกับร้องครางออกมาเสียงดัง ลิ้นของเขาตวัดเลียอย่างชำนาญและหิวกระหายมองจากมุมนี้ เธอมองเห็นเพียงเส้นผมของเขาเท่านั้น และในความรู้สึกฉายชัดถึงความสุขสมที่เหนือคำบรรยาย มันแตกต่างอย่างสิ้นเชิง ปลายลิ้นร้อนของเขาให้ความรู้สึกสุขสมที่แตกต่างจากนิ้วมือพอเขาละใบหน้าออกมาจากตรงนั้น มุมปากของเขาก็เลอะคราบน้ำหวาน เอสเตบันกำแก่นกายที่พร้อมนานแล้วดันเข้าไปอย่างไม่รอช้า การสอดแทรกรวดเร็วป่าเถื่อนเหมือนกับที่เขาละเลงลิ้นเมื่อครู่“อะ..อ่า..ช้า..ช้าลงหน่อยค่ะ!”หลังของเธอกระแทกกำแพงอยู่หลายครั้ง น่าแปลกที่ไม่มีความรู้สึกเจ็บปวดปรากฏให้เห็น มีแต่ความสุขสมที่แผ่ซ่านขึ้นมาในร่างกายเขาก้มหน้าลงแล้วงับยอดอกที่กำลังชูชันของเธอเบาๆ เสียงดูดดึงดังขึ้นมาจนแมเดอลีนรู้สึกเขินอายไม่น้อยเธอยกขาขึ้นมาเกี
ใบหน้าหวานของแมเดอลีนขึ้นเป็นสีแดงระเรื่อ เมื่อท่านดยุคถอดเสื้อตัวนอกของเขาออก ตามมาด้วยเสื้อตัวในและกางเกงที่เขาสวมเธอจัดเตรียมน้ำอุ่นเอาไว้ในอ่างเรียบร้อยแล้ว และแมเดอลีนกำลังก้มหน้าลงเพื่อรอคอยให้ท่านดยุคที่ไม่ได้สวมใส่เสื้อผ้าสักชิ้นเดินลงไปในอ่างน้ำที่ทำจากไม้ ที่นี่ไม่ได้สะดวกสบายเหมือนกับคฤหาสน์หลังใหญ่ที่เขาเคยอยู่ เพราะแบบนั้นเธอก็เลยคิดว่าเขาจะไม่ได้รับความสะดวกเท่าที่ควร“อายอะไรกัน มิใช่ว่าทุกส่วนบนร่างกายของข้านั้น เจ้าเคยเห็นมาแล้วอย่างนั้นหรือ?”เธอเคยเห็นมาแล้วก็จริงแต่ทว่ามันเป็นในช่วงเวลายามราตรีที่ทั่วทั้งห้องไม่มีแสงไฟสักดวง ในคืนนั้นมีแค่แสงจันทร์เท่านั้นที่ส่องสว่างและเป็นพยานให้เรา..เมื่อเอสเตบันเห็นว่าแมเดอลีนเงียบไป เขาก็เดินเข้าไปหาเธอ บอกตามตรงว่าเขาชื่นชอบบ้านหลังนี้มากทีเดียว เพราะทุกสิ่งทุกอย่างมันถูกย่อส่วนไปหมด ห้องอาบน้ำเล็กๆ อ่างน้ำเล็กๆ ที่เข้าไปนั่งสองคนคงจะอึดอัด..มือของเอสเตนบันเอื้อมไปที่ด้านหลังก่อนที่เขาจะดึงรั้งผ้ากันเปื้อนออกจากเอวของแมดดี้“ข้าคิดถึงเจ้ามาโดยตลอด..”เธอช้อนสายตามองหน้าเขา“ข้าจะมั่นใจได้อย่างไรว่านั่นไม่ใช่คำลวงแสนหวานที่
ดาเนียอุ้มมิก้าในอ้อมแขน เธอหอมแก้มสลับกับจุมพิตลงไปบนเส้นผมของหลานสาวตัวน้อยด้วยความแผ่วเบา“ท่านน้า..ทำไมท่านป้อของมิก้าถึงมาช้าจัง”คำถามที่เต็มไปด้วยความใสซื่อและไร้เดียงสาราวกับเด็กๆ นั้นทำให้ดาเนียอดที่จะหัวเราะออกมาด้วยความรู้สึกเอ็นดูไม่ได้“มิก้า..เพราะว่าทุกคนต่างก็มีเหตุผลของตัวเอง ท่านพ่อของมิก้าไม่ได้อยู่กับมิก้าก็จริงแต่ว่าท่านพ่อของมิก้าเป็นฮีโร่ที่ช่วยคนอื่นที่กำลังทุกข์ยากจากสภาวะของสงคราม.."มิก้าขมวดคิ้วเล็กน้อย“สงคราม คืออะไยคะท่านน้า”นั่นสินะ คงยังเร็วไปที่จะบอกกล่าวทุกอย่างกับเด็กน้อยในวัยสามขวบเช่นนี้“เอาเป็นว่าในยามนี้พ่อของหลานกลับมาแล้ว นั่นคือเรื่องที่น่ายินดีไม่ใช่รึไง มิก้าเองก็..ควรจะดีใจกับการกลับมาของท่านพ่อนะ”มิก้าหยักยิ้มขึ้นมาที่มุมปาก“มิก้ามีท่านป้อเหมือนเพื่อนคนอื่นแล้ว..คอยดูเถอะในวันพรุ่งนี้ มิก้าจะพาท่านป้อไปอวดเพื่อน!”ดาเนียพยักหน้า“นั่นคือสิ่งที่ถูกต้องที่สุดเลยล่ะ ใครที่เคยล้อมิก้าของน้าต้องสมควรที่จะถูกจัดการ วันพรุ่งนี้หลานพาท่านพ่อของหลานไปจัดการสั่งสอนเด็กคนนั้นเลยเข้าใจไหม”มิก้าพยักหน้าด้วยใบหน้าที่จริงจังมากกว่าครั้งไหนๆ“ได้เยย
แมดเดอลีนมีอาการประหม่าอย่างเห็นได้ชัดเจน เธอเดินนำเอสเตบันเข้ามาด้านในบ้านหลังน้อยที่ปกติแล้วเธอจะอยู่ที่นี่กับลูกสาวเท่านั้น ของเล่นที่ทำจากไม้วางเกลื่อนอยู่บนพื้น พร้อมกับภาพวาดที่เด็กสาวตัวน้อยคงจะสร้างสรรค์มันขึ้นมาจากมือเล็กๆที่ไร้เดียงสา ในภาพวาดนั้นมีผู้หญิงที่มีเส้นผมสามเส้น และเด็กน้อยกำลังยืนจับมือกันเอสเตบันหยิบกระดาษแผ่นนั้นขึ้นมาดูด้วยความรู้สึกมากมายในใจ มีกระดาษหลายแผ่นทีเดียวที่วาดภาพเดิมซ้ำๆ ที่เปลี่ยนไปคงจะเป็นสีของชุดบ้างล่ะ ทรงผมบ้างล่ะ แต่ทว่าในทุกรูปจะมีแค่มิก้าและท่านแม่เท่านั้น..ไม่มีรูปไหนเลยที่มีท่านพ่อหรือว่าผู้ชายสักคนอยู่ในภาพวาดของมิก้าเขาตระหนักได้ถึงความรู้สึกเจ็บปวดที่เสียดแทงเข้ามาในใจ เขาไม่โทษทั้งมิก้าและแมดดี้ ที่ในระหว่างเส้นทางที่แสนสวยงามในการเติบโตของลูกสาว มันไม่มีเขาอยู่ในนั้นในมุมมองของเอสเตบัน บางทีแมดดี้อาจจะกลัว มีหลายอย่างที่อาจจะทำให้เธอรู้สึกไม่มั่นใจในความสัมพันธ์ของเรา หลายอย่างมากทีเดียวที่ทำให้เธอรู้สึกหวาดกลัว..ทั้งระยะทาง เวลาที่เราห่างกันมากมายขนาดนั้นเขาไม่ได้ส่งจดหมายไปหาเธอเลยแม้แต่ฉบับเดียว ส่วนเธอเองก็ไม่ได้ส่งจดหมายมา
มิก้ากะพริบตาปริบๆ มองหน้าท่านลุงที่ดูน่ากลัว..“มัง..ฝยั่ง”“อ่า..เจ้ามาที่นี่เพื่อขายเจ้ามันหัวนี้อย่างนั้นหรือ?”มิก้าพยักหน้า“เช่นนั้นเจ้าขายมันราคาเท่าไหร่กันล่ะ”มิก้าเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะชูนิ้วชี้และนิ้วกลางขึ้นมาสองนิ้วท่านลุงคนนั้นพยักหน้า“สองเหรียญสินะ นั่นเป็นราคาที่ค่อนข้างแพงมากไปหน่อย แต่ถ้าหากว่าเจ้าให้ข้าอุ้ม ข้าจะซื้อมันฝรั่งหัวนั้นพร้อมกับพาเจ้ากลับบ้านด้วยดีไหม?”ท่านแม่เคยสอนว่าอย่างไว้ใจคนแปลกหน้า แต่ทว่าท่านลุงคนนั้นไม่ได้แค่ยื่นเงินให้มิก้าเพียงอย่างเดียว แต่ในมือของท่านลุงที่ไม่น่าไว้ใจมีลูกกวาดสีสวยอยู่ในนั้นด้วยมิก้าลังเลเล็กน้อย แต่สุดท้ายเด็กน้อยที่ไร้เดียงสาก็พ่ายแพ้ให้กับขนมในมือของคุณลุงที่ไม่น่าไว้ใจมิก้าไม่ได้เห็นแก่กิน แต่มิก้าเหนื่อยเกินที่จะเดินกลับบ้านแล้วต่างหาก!!เอสเตบันอุ้มเด็กน้อยขึ้นมาในอ้อมแขน เขาหลับตาลงก่อนจะโอบกอดเด็กหญิงตัวน้อยในอ้อมแขนเอาไว้แน่น เขาซบใบหน้าลงไปบนไหล่เล็กนั่นด้วยความรู้สึกที่เอ่อล้นขึ้นมาในใจเขากำลังตามหาคฤหาสน์ของเจ้าเมืองเลเซิน แต่ก็ต้องมาสะดุดตรงที่เขามองเห็นเด็กน้อยที่มีเส้นผมสีเงินและดวงตาสีฟ้าอ่อน นางสวมชุดที
ไดอาน่าเบนสายตามองไปรอบๆ งานเลี้ยงน้ำชาของท่านหญิงแบล็ค ที่จัดขึ้นมาเป็นงานแรกหลังจากที่สงครามสิ้นสุดลง เจตนาของท่านหญิงก็เพื่อเรียกขวัญและกำลังใจให้แก่เหล่าภริยาของทหารกล้าในวันนี้ที่เธอมาที่นี่ไม่ใช่เพราะอยากจะมาเข้าร่วมงานเลี้ยงที่แสนวุ่นวาย แต่เพราะว่าไดอาน่ามีจุดประสงค์ต่างหากเธอเดินเจ้าไปหาบารอนเนสที่กำลังนั่งพูดคุยอยู่กับภริยาของชนชั้นสูงด้วยกัน“ท่านหญิง..ยินดีที่ได้พบค่ะ”เดวาย่อตัวลงเพื่อทำความเคารพท่านหญิงไดอาน่าแห่งตระกูลวีไซร์“เจ้าสบายดีใช่ไหมบารอนเนส งานเลี้ยงแรกหลังจากที่สงครามสิ้นสุดให้ความรู้สึกเหมือนกับว่าฤดูร้อนเวียนกลับมาอีกครั้ง งานเทศกาลมากมายที่กำลังจะจัดขึ้นและเสียงหัวเราะของผู้คน”เดวาพยักหน้า เธอเห็นด้วยกับความคิดของท่านหญิงมากทีเดียว“น่าเสียดายที่งานเลี้ยงเช่นนี้ทั้งแมเดอลีนและมิก้าไม่ได้มาด้วย ไม่อย่างนั้นมิก้าคงจะกำลังวิ่งเล่นอยู่กับเด็กพวกนั้น”สายตาของไดอาน่ามองไปที่กลุ่มเด็กเล็กๆ ที่เป็นบุตรและบุตรีของขุนนางกำลังวิ่งเล่นกันอย่างมีความสุข เสียงหัวเราะของเด็กน้อยทำให้บรรยากาศในงานเลี้ยงแห่งนี้คึกคักขึ้นมา“นั่นสินะคะ..”ไดอาน่ายื่นมือไปจับแขนของเดวาเอ
ผ่านมาแล้วสามเดือนหลังจากที่สงครามสิ้นสุดลง ลุควิคกำลังเดินตรวจตราบริเวณรอบๆ กองทัพ ทหารจำนวนหนึ่งเดินทางกลับไปแล้ว และในยามนี้หลงเหลือทหารที่ค่ายชั่วคราวแห่งนี้ไม่ถึงสองร้อยด้วยซ้ำ อาการบาดเจ็บของทุกคนดีขึ้นรวมทั้งอาการบาดเจ็บของเอสด้วย“ขอบคุณนะคะ..ท่านลุง”ลุควิคมองเอสที่กำลังส่งขนมปังให้กับเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่อายุไม่น่าจะเกิน5ขวบ นางคือลูกของชาวบ้านแถวนี้ที่ได้รับผลกระทบจากสงคราม สภาพความเป็นอยู่เลยไม่ดีเท่าไหร่นัก“เอานี่ไปให้พ่อและแม่ของเจ้านะ..”เอสเตบันวางเหรียญทอง3เหรียญลงบนมือน้อยๆ ที่เปรอะเปื้อนไปด้วยเศษดินของเด็กน้อย“ขอบคุณนะคะ ท่านจะไปแล้วอย่างนั้นหรือ?”เด็กน้อยมองทหารที่กำลังเก็บกระโจมและรื้อรั้วของค่ายทหารเมื่อได้ยินคำถามที่แสนน่ารักน่าชังนั่น เอสเตบันก็ลูบผมของเด็กน้อยเบาๆ“ใช้แล้ว ข้าจะต้องกลับแล้วล่ะ ใช้ชีวิตของเจ้าให้ดีนะเด็กน้อย..”นางจะตัวเท่านี้รึเปล่านะ หรือว่าจะตัวเล็กมากกว่านี้ โชคดีเหลือเกินที่ดวงตาคู่นั้นของนางเป็นสีฟ้าเหมือนกับแม่ เพราะนั่นคงจะทำให้นางดูน่ารักน่าชังในแบบที่ใครเห็นก็ต้องตกหลุมรักอย่างแน่นอน…ลูกสาวของเขาน่ะเมื่อเด็กผู้นั้นวิ่งออกไป ลุควิ
เมื่อได้ฟังคำกล่าวที่เต็มไปด้วยความมั่นใจของแมเดอลีนแล้ว ท่านหญิงไดอาน่าก็ยกยิ้มขึ้นมาเธอเคยลงสนามต่อสู้กับราชวงศ์มากมายที่พระราชวัง ถึงแม้ว่าจะเป็นเพียงองค์หญิงปลายแถวแต่ทว่าไดอาน่าก็เหมือนกับลูกธนูที่ถูกลับคมครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อให้ความคิดของเธอเฉียบแหลมอยู่เสมอในอนาคตไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม ลูกสะใภ้ของเธอ นายหญิงและดัชเชสของวีไซร์จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากแมเดอลีน“ข้าไม่มีสิทธิ์จะห้ามเจ้าอยู่แล้วแมเดอลีน ขอให้เจ้าเดินทางอย่างสวัสดิภาพ และขอให้มิก้าเติบโตขึ้นอย่างมีความสุข.."แมเดอลีนโล่งใจในทันที เธอคิดเอาไว้ว่าท่านหญิงอาจจะรั้งเธอเอาไว้ แต่พอได้ยินคำกล่าวที่เต็มไปด้วยความอบอุ่นของท่านหญิงแล้ว..นั่นทำให้เธอวางใจอย่างแท้จริง“หวังว่าท่านหญิงจะสุขภาพแข็งแรงและมีความสุขเช่นกันนะคะ”ไดอาน่าพยักหน้าเบาๆ หลังจากนั้นเราพูดคุยเรื่องราวมากมายด้วยกัน จนมิก้าตื่นขึ้นมาแมเดอลีนก็บอกลาไดอาน่าพร้อมกับกล่องชูครีมที่ท่านหญิงทำเอง“จะปล่อยไปเช่นนี้อย่างนั้นหรือคะท่านหญิง โอกาสที่จะได้พบเจอและสานสัมพันธ์กับเลดี้แมเดอลีนและคุณหนูมิก้ากำลังหลุดลอยออกไปเรื่อยๆ ..”สาวใช้ข้างกายของไดอาน่ากล่าวออกมาด
“....แมดดี้ แม่เคารพในทุกการตัดสินใจของลูกนะ”เดวากล่าวออกมาด้วยความรู้สึกมากมายที่หลั่งไหล เธอเข้าใจลูกสาวมากทีเดียวที่แมดดี้ต้องการจะพามิก้าไปอยู่ที่แกรนด์ดัชชีเป็นการชั่วคราว จนกว่าจะถึงวัยที่มิก้าสามารถเข้าเรียนที่อคาเด็มมี่ถึงจะพากลับมา แน่นอนว่าในใจของเธอซึ่งเป็นยายนั้นย่อมมีความเป็นห่วงทั้งแมดดี้และมิก้าแต่ทว่าที่ผ่านมา เธอเลี้ยงลูกด้วยความผิดพลาดมาตลอด เพราะมีบุตรสาวเพียงคนเดียวเท่านั้นเธอและโอทีสหวงแหนแมดดี้ยิ่งว่าสิ่งใดบนโลกใบนี้และการห่วงที่มากมายนั้นมันทำให้แมดดี้ไม่ได้มองเห็นโลกอีกมุมที่แสนโหดร้าย อันที่จริงหากย้อนเวลากลับไปได้ เดวาอยากจะย้อนเวลาไปแก้ไขเรื่องการเลี้ยงลูกของเธอ เธอควรจะให้อิสระกับแมดดี้มากกว่านี้ให้โอกาสในการตัดสินใจและให้โอกาสอีกหลายๆ อย่างที่แมดดี้ไม่ได้ทำมันเพราะอย่างนั้นถึงแม้ว่าเธอจะไม่ได้มองเห็นหลานสาวตัวน้อยเติบโตก็ไม่เป็นไร เธออยากให้มิก้ามีอิสระที่แมดดี้ไม่มี และเดวาคิดว่ามแมดดี้เองก็คงอยากจะเลี้ยงลูกของนางด้วยการพาเด็กน้อยไปเปิดหูเปิดตาเพื่อเรียนรู้โลกภายนอก“แต่แมดดี้..”เดวายกมือขึ้นมาตีลงไปบนหลังของสามีที่กำลังทำท่าทางราวกับจะร้องไห้ออกมา