หลังจากที่กรเข้าไปรับการโจมตีปริศนาด้วยลูกธนูยักษ์จากทศกัณฑ์ เพื่อไม่ให้มีอาและเมอร์ลินได้รับดาเมจที่อาจทำให้เสียชีวิตได้ในครั้งเดียว ทั้งที่อุตส่าห์ลบลูกธนูที่ว่าให้หายไปได้ ก็กลับเป็นตัวกรเองที่ต้องรับดาเมจทางจิตใจอันหนักหน่วงอย่างคาดไม่ถึง
〝อ้ากกกก!!!!!!!——————〞
เสียงร้องโหยหวนอันเกิดจากความเจ็บปวดทางจิตใจระดับที่เรียกได้ว่ามหาศาลของกร ยังคงลากยาวอย่างต่อเนื่องโดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเลยซักนิด
〝กร!〞
〝กะ เกิดบ้าอะไรขึ้นกับหมอนี่อีกเนี่ย!〞
ทั้งมีอาและเมอร์ลินที่อยู่ห่างออกไปเล็กน้อย ก็ได้แต่ตกตะลึงและเบิกตาโพลงกับสถานการณ์ตรงหน้าด้วยความงุนงง แต่ก็พอเข้าใจได้ว่าตัวกรในตอนนี้กำลังรับภาระอะไรบางอย่างจนทรมานอย่างไม่ต้องสงสัย แต่เพราะทั้งสองคนถูกจำกัดการเคลื่อนไหวด้วยเวทย์แรงโน้มถ่วงจนขยับเข้าไปใกล้กรไม่ได้เลยซักนิด ทั้งสองคนจึงทำได้แค่ดูและเรียกหากรที่กำลังเจ็บปวดโดยที่ทำอะไรไม่ได้เพียงเท่านั้น
ตุ๊บ!
และด้วยเพราะกรถูกการโจมตีทางจิตใจเข้าไปโดยที่ไม่ทันตั้งตัว ผลของสกิล『แขนยักษา』จึงได้คลายออกโดยอัตโนมัติทำให้ผลกระทบด้านลบของมันเริ่มทำงาน ผลลัพธ์ก็คือตัวของกรแข็งทื่อและปลายประสาทด้านชาชั่วขณะ แล้วก็ล้มลงคว่ำหน้าลงไปกับพื้นทั้งอย่างงั้น และแน่นอนว่าตัวกรไม่ได้รู้สึกถึงอาการชาเลยซักนิด เพราะสติของเขายังคงจดจ่ออยู่กับความเจ็บปวดทางจิตใจนั่นเอง
แต่เทพธิดาของชัยชนะก็ยังไม่ได้เบือนหน้าหนีจากพวกกรอย่างสมบูรณ์ ทันทีที่กรล้มคว่ำลงไป มือซ้ายที่ยังคงผลของสกิล『ดูดซับทุกสิ่ง』ไว้อยู่ ก็ได้ทำการดูดซับเวทย์โน้มถ่วงจนเวทย์มนต์ที่ว่าสลายหายไป ทั้งนี้ทั้งนั้นแล้ว เหตุผลก็มาจากความบริสุทธิ์ของพลังเวทย์ในตัวของกรที่ผ่านการจุติมาแล้วถึง 3 ครั้งนั่นแหล่ะ
〝กร!!!!!!!〞
มีอาตะโกนเรียกหากรด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยคราบน้ำตา และทำการถีบพื้นจนระยะห่างระหว่างทั้งสองคนถูกย่นลงในเวลาเพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้น รวมถึงเมอร์ลินที่พุ่งตามมาในเวลาไล่เรี่ยกันก็ตามมาสมทบหลังจากนั้นเพียง 1 วินาทีนั้น
〝กร! ฉันอยู่ข้างๆนายแล้ว ได้ยินฉันไหม!〞
〝บ้าชิบ! 〞
มีอารีบประคองกรขึ้นมาในท่านั่ง แล้วทำการเรียกสติของเขาในทันที แต่ก็เท่านั้นเอง เพราะปฏิกิริยาของกรนั้นยังคงโอดครวญอยู่ในลำคอเบาๆ ด้วยเสียงที่แหบกร้านอย่างทรมานเท่านั้น
〖อืม... นี่แหล่ะถึงจะเป็นปฏิกิริยาปกติ 〗
ทศกัณฑ์ทำการเก็บคันธนูและยืนอยู่ในท่าทางสบายๆ พร้อมทั้งพูดแบบนั้นออกมาด้วยน้ำเสียงดูแคลน และพอใจกับผลลัพธ์ที่ออกมาอย่างออกนอกหน้า
〝นี่แก! ทำอะไรหมอนี่กัน!〞
ในขณะที่มีอายังคงเรียกสติของกรอย่างต่อเนื่อง เมอร์ลินก็เป็นคนเปิดประเด็นขึ้นมาก่อนด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด
〖หืม... มันไม่ใช่ธุระหรือกงการอะไรที่ต้องบอกพวกเจ้านี่นา...... โอ๊ะ! ไม่สิ 〗
〝อะไร!〞
〖คงอยากรู้สินะ ว่าความเจ็บปวดที่จริงๆแล้ว 『ควรจะเป็นเจ้า ที่ต้องรับผล』 นั้นเป็นยังไง…… 〗
〝………….〞
ทศกัณฑ์ยิ้มออกมาอย่างน่ารังเกียจอีกครั้งนึง ก่อนที่จะเปลี่ยนคำพูดของตัวเองพร้อมๆกับใบหน้าเยาะเย้ยยิ่งกว่าเดิม ก่อนที่จะตอบข้อสงสัยแก่เมอร์ลินเพื่อหวังให้เธอศูนย์เสียความเยือกเย็น
〝แกหน่ะ... หูหนวกรึไง!〞
ด้วยคำพูดดูถูกที่ผสมปนเปกับความไม่พอใจอย่างที่สุดออกมาจากปากของเมอร์ลิน พร้อมทั้งสายตาที่ไม่หวั่นไหวซักนิดของเธอ เลยทำให้ทศกัณฑ์แปลกใจเป็นอย่างมาก แล้วก็ถอนหายใจออกมาดังๆอย่างเสียมารยาท แต่นั่นก็เป็นเพราะเจ้ายักษ์ใหญ่ตนนี้ไม่รู้ว่าสาวแว่นจอมเวทย์คนนี้ผ่านอะไรมาบ้างนั่นแหล่ะ ทศกัณฑ์ที่เสียความอดทนไปเสียเองเพราะใช้เล่ห์เหลี่ยมไม่สำเร็จ ก็เริ่มเผยความจริงอันโหดร้ายให้ทั้งสองคนได้ยิน
〖หึ! งั้นตอนนี้คงพอดีเลย.... ลองฟังดูดีๆสิ เสียงโอดครวญของเจ้าหนุ่มนั่นหน่ะ! 〗
〝อะไรนะ!〞
〝!!!!!〞
ทศกัณฑ์ทำการชี้ไปที่ตัวกรด้วยมือขวาทั้ง 10 ในขณะที่พูดแบบนั้น เมอร์ลินที่ได้ยินแบบนั้นก็รีบหันกลับไปมองกรในทันที ส่วนมีอาที่กำลังประคองกรพลางเรียกเขาทั้งน้ำตา ก็รีบยื่นใบหน้าเข้าไปใกล้ตัวเขาด้วยเช่นกัน และด้วยการรำพึงเบาๆในลำคอของกรเนื่องจากอาการชาจากผลกระทบของสกิล『แขนยักษา』ยังไม่หายไปนั่น ก็ต้องทำให้ทั้งสองคนเบิกตาโพลงอีกครั้งหนึ่ง
〝โก หก... ริน... ชน อลิซ... มีอา ทาง.... เมอร์ลิน————〞
การรำพึงด้วยเสียงที่แหบแห้งของกร ไม่สามารถแปลความหมายได้อย่างชัดเจน แต่ภายในนั้นมีสิ่งหนึ่งที่แน่ชัดก็คือ ทั้งมีอาและเมอร์ลินต่างก็ถูกเรียกด้วยชื่อ และจากที่กรพูดถึงนามเฉพาะอีก 2 อย่างก่อนหน้า พวกเธอก็พอจะเดาได้ว่าทั้งหมดนั้น น่าจะเป็นชื่อของคนรู้จักกรเหมือนกัน
〝กะ เกิดอะไรขึ้น!〞
〝ทะ ทำไงดี... เมอร์ลิน กรเป็นอะไร! เกิดอะไรขึ้นกับเค้ากันแน่!〞
〝อึก!〞
เพราะดูท่าไม่ดี มีอาจึงหันมาขอความช่วยเหลือจากเมอร์ลินที่มีความรู้มากกว่าแทน แต่ด้วยสีหน้าเคล้าน้ำตาและน้ำเสียงที่จริงจังของมีอา ทำให้เมอร์ลินที่มีส่วนผิดเริ่มรู้สึกเคืองตัวเองขึ้นมา แม้ว่าจะพอรู้คำตอบก็ตามที แต่เมอร์ลินก็ไม่กล้าเอ่ยออกมาในจังหวะนี้
〖ท่าจะแย่กว่าที่คิดนะเนี่ย....〗
〝คุณหมา!? ระ รู้ใช่ไหมว่าเกิดอะไรขึ้นกับกรหน่ะ!〞
〖............〗
เพราะกลัวว่าเวลาจะเสียไปอย่างเปล่าประโยชน์ เคลเบรอสที่ห้อยอยู่ข้างหลังกรจึงเป็นฝ่ายตอบคำถามนั้นแทนเมอร์ลินที่พูดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ
〖ดูจากความแปรปรวนของพลังเวทย์บริเวณศีรษะ.... เวทย์ที่ไอ้หนูกำลังเผชิญอยู่ก็คงเป็นเวทย์ลวงตาที่สร้างความเสียหายทางจิตใจชนิดนึงหล่ะมั้ง?〗
〝อืม...〞
〝อะ... อะไรกัน!!!〞
เคลเบรอสวิเคราะห์เวทย์ที่กรโดนได้อย่างเฉียบขาด พร้อมกับเน้นย้ำกับเมอร์ลินเพื่อเพิ่มความมั่นใจในคำตอบ เลยทำให้คำตอบอันโหดร้ายที่มีความสมเหตุสมผลออกมาเป็นผลสำเร็จ ก็ยิ่งทำให้มีอาตกตะลึงมากยิ่งขึ้นไปอีก
〝ฮึก! อ้ากกกกกกก!!!!〞
〝กร!〞
หนนี้ ความทรมานของกรแสดงออกมาในรูปของของเหลว แม้ตอนนี้ใบหน้าของกรจะถูกผมด้านหน้าปรกอยู่ แต่น้ำตาของเขาก็ไหลออกมาไม่หยุดเป็นทางยาวไปจนถึงคางเลยทีเดียว ทั้งยังกลับมาร้องโหยหวนด้วยความทรมานอีกครั้ง แถมทั่วทั้งร่างยังสั่นเทิมไปด้วยความหวาดกลัวไปเสียอีก เมอร์ลินที่เห็นกรเป็นฝ่ายทรมานแทนตนทำได้แค่กัดฟันจนแน่น ถึงกระนั้นไม่ได้เผยความร้อนใจออกมาให้คนอื่นเห็น แต่ในใจของเธอตอนนี้ก็กังวลและร้อนรุ่มไม่แพ้มีอาเลยเช่นกัน
อนึ่ง เวทย์หยุดเวลาในครั้งก่อนเป็นการเซฟสภาพวัตถุโดยรอบ โดยคงสภาพสิ่งแวดล้อมไว้ในสภาพเดิม... หากแต่เพราะกรที่ยังไม่ได้สติหรืออาจถึงขั้นเสียสตินี้ถูกจัดอยู่ในสภาพแวดล้อมเนื่องจากสูญเสียความสามารถในการตัดสินใจด้วยตัวเองไป... หากใช้เวทย์ที่ว่าไป กรก็ไม่ได้เข้าไปในมิตินั้นด้วย... นั่นจึงทำให้เมอร์ลินคิดไม่ตกว่าจะเอายังไงต่อดี
ครั้นจะขอความช่วยเหลือจากฟรังซ์ที่เป็นดันเจี้ยนมาสเตอร์ก็ทำไม่ได้ เพราะการสร้างดันเจี้ยนมันมีองค์ประกอบที่จับต้องไม่ได้หลายอย่าง.... แม้จะเป็นผู้สร้าง แต่เพราะตั้งค่าให้ดันเจี้ยนเติบโตเอง เลยทำให้การจัดการอยู่นอกเหนือการควบคุม เพราะเธอเองก็เป็นหนึ่งในผู้สร้างดันเจี้ยน เรื่องนี้เธอจึงรู้ดีที่สุด... แต่นั่นก็ยิ่งเจ็บปวดเข้าไปอีก เมื่อรู้ว่าทางช่วยลดลงไปทีละอย่างแบบนี้...
〝คุณหมา กรทรมานมากเลยนะ ทำยังไงดี ไม่มีวิธีแก้เลยรึไงกัน!〞
〖เรื่องนั้น————〗
〖ไม่ง่ายแบบนั้นหรอกนะ! 〗
มีอาที่ทำอะไรไม่ได้พยายามเค้นหาวิธีช่วยกรจนสมองแทบระเบิด แต่ทางเลือกต่างๆนานาก็ถูกปิดลงไปด้วยคำพูดสบายๆของทศกัณฑ์อีกครั้งหนึ่ง
〝แก!!! เป็นเพราะแก กรถึง!!!〞
และด้วยใบหน้าเย้ยหยันอันแสดงถึงการคุกคามที่เหนือกว่าขณะที่มันพูดแบบนั้นออกมา กลับทำให้มีอาที่สลดมาตลอดเริ่มบันดาลโทสะทั้งน้ำตา สายตาของมีอาที่เดิมทีมักจะสดใสและร่าเริง ถูกลบประกายให้หายไปในพริบตา และถูกเปลี่ยนให้คมกริบราวกับพญาอินทรีที่จ้องจะตะครุบเหยื่อ ไม่สิ... จ้องจะฆ่าล้างบางศัตรูตรงหน้าไม่ให้เหลือซากเสียมากกว่า จิตสังหารที่เล็ดรอดออกมาจากนัยน์ตาของเธอ มันหนักหน่วงเสียจนทำให้มอนสเตอร์ระดับสูงในดันเจี้ยน รวมถึงเคลเบรอสที่อยู่ใกล้ๆต้องขวัญหนีดีฝ่อไปตามๆกันเลยทีเดียว
〝จะ... ต้องฆ่าแก———〞
〝ใจเย็นก่อนมีอา!〞
ทันทีที่มีอาเตรียมตัวจะพุ่งเข้าใส่ทศกัณฑ์ด้วยโทสะ ตามเล่ห์เหลี่ยมที่มันจงใจสร้าง ก็ถูกเมอร์ลินห้ามไว้ทันที มีอาจึงหันมามองค้อนเมอร์ลินด้วยสายตาเย็นชา ราวกับไม่เห็นเธออยู่ในสายตา และเตรียมตัวที่จะพุ่งไปฆ่าทศกัณฑ์อย่างดื้อรั้นเช่นเดิม
〝ถ้าฆ่ามันได้... ผลของเวทย์ก็จะหายไป〞
〝ก็ถึงบอกให้ใจเย็นอยู่นี่ไง! ถ้ามันง่ายอย่างงั้น คนที่แกร่งที่สุดอย่างหมอนี่ก็ทำไปแล้ว! แล้วเธอหน่ะ เป็นภรรยาของเค้าไม่ใช่รึไง! เวลาแบบนี้ไม่ใช่เหรอที่ต้องคอยอยู่เคียงข้างหมอนี่หน่ะ!〞
〝………..〞
มีอาได้สติแทบจะทันทีที่เมอร์ลินชักจูง เนื่องด้วยความเจ็บปวดที่สูญเสียครอบครัว และความทรมานที่สั่งสมมานานถึง 3 ปีในฐานะทาสของศาสนจักร... มีอารู้สึกจากใจเลยว่า ตอนนี้เธอไม่อยากเสียคนที่เธอรักไปอีกแล้ว
พอมีอาคิดแบบนั้น ความคิดจึงกลับมาเยือกเย็นและจัดลำดับความสำคัญได้ดังเดิม ด้วยทักษะการปรับตัวของเธอ มีอาจึงทำตามที่เมอร์ลินบอกแต่โดยดี พร้อมทั้งเปลี่ยนสถานะต่อสู้ไปเป็นปกป้องกรสุดกำลังอย่างรวดเร็วโดยการสวมกอดกรที่กำลังตัวสั่นด้วยความหวาดกลัวไว้ในอ้อมแขนของตัวเองอย่างแนบแน่นเพื่อหวังให้เขาผ่อนคลายลงซักนิดก็ยังดี
〖อะไรกัน! เวทย์นั่นมีผลแค่ 13 วินาทีเท่านั้นเอง เพียงแต่ว่า... 〗
เป็นอีกครั้งที่ทศกัณฑ์พูดโพล่งออกมาอย่างไร้มารยาทด้วยความจงใจ เพื่อต้องการให้มีอาและเมอร์ลินสูญเสียความเยือกเย็นอีกครั้ง แต่พวกเธอในตอนนี้ก็ไม่ได้แสดงอาการตระหนกเพิ่มขึ้นแต่อย่างใด เพราะให้ความสำคัญกับการปกป้องกรเป็นอันดับแรก เลยไม่ทันนึกเลยว่าความหมายที่แท้จริงของคำพูดทศกัณฑ์ที่บ่งบอกสรรพคุณของตนอย่างโอ้อวดนั้น ต้องทำให้กรทรมานมากกว่าที่คิดไว้มหาศาล
〖.....สำหรับเจ้าหนูนั่น จะผ่านไปนานขนาดไหนกันนะ 〗
❖❖❖❖❖
หลังจากที่กรและรินทักทายแม่ของกร พร้อมกับออกจากบ้านเพื่อเดินทางไปโรงเรียนด้วยกัน ก็ผ่านมาได้ซักพักนึงแล้ว อนึ่ง ทางที่ทั้งคู่ใช้เดินทางก็คือ ทางเท้าสูงกว่าระดับพื้นถนนโดยที่ข้างๆมีถนนสองเลนขนานไปกับทางที่ทั้งคู่เดิน
ระยะห่างจากตัวบ้านของกรถึงโรงเรียนนั้นแค่ประมาณ 1 กิโลเมตรเท่านั้น ซึ่งจากที่ทั้งคู่เดินเท้าเป็นประจำ เลยทำให้พอรู้เวลาเดินทางเฉลี่ย ซึ่งอยู่ราวๆ 10 นาทีเท่านั้นเอง ทั้งคู่เลยไม่ค่อยรีบร้อนเท่าไรนัก
〝เฮ้อ!〞
〝คุณรินครับ... นี่ถอนหายใจรอบที่เก้าแล้วนะครับ〞
〝กะ ก็เพราะแม่ของกรนั่นแหล่ะ ที่พูดแบบนั้นออกมาหน่ะ!〞
〝แล้วทำไมต้องโมโหใส่ฉันด้วยหล่ะเนี่ย〞
และในระหว่างการเดินทาง รินเอาแต่ถอนหายใจออกมาตลอดริมทางเท้าทาง แม้จะรู้คำตอบอยู่แล้ว แต่กรก็ยังคงพูดเป็นเชิงถามออกไปเพื่อแสดงความเป็นห่วง
〝ไม่เอาน่า... แม่ก็เป็นแบบนี้อยู่แล้วนี่นา ไม่ใช่ครั้งแรกซักหน่อยนี่นาที่ถูกแซวหน่ะ〞
〝แต่ว่า———〞
〝แล้วเพราะเราเป็นเพื่อนสมัยเด็กกัน... ที่โรงเรียนประถมจนถึง ม.ต้น เองก็ถูกล้อมาตลอดไม่ใช่เหรอ ชินซักทีเถอะน่า〞
〝งือ〜 เพราะงั้นแหล่ะ ฉันถึงไม่ชอบถูกแซวไง〞
ด้วยความสนิทสนมแบบพิเศษของทั้งห้าคนอันประกอบด้วย กร ริน อลิซ โชติและชาญ เนื่องจากว่าทุกๆคนรู้จักกันมาตั้งแต่สมัยเด็ก มันคงข้ามหน้าข้ามตาเกินไปสำหรับเด็กหนุ่มเด็กสาวในวัยเดียวกัน และแน่นอนว่าสิ่งที่ตามมาก็คือการถูกล้อเนื่องจากโดดเด่นเกิน
สาเหตุหลักนั้นมาจากความสามารถอันโดดเด่นของกรที่มีสุดยอดการประมวลผล และใช้มันได้อย่างแนบเนียนในสังคมปกติ แต่ในสายตาของคนทั่วไปคงจะมองเห็นกรเป็นเด็กหนุ่มสุดเพอร์เฟคที่เก่งไปหมดทั้งการเรียนแล้วก็กีฬา ส่วนรินเองก็เป็นเด็กสาวน่ารักและเรียบร้อยสมเป็นกุลสตรีไทย เรียกได้ว่าแค่เดินผ่าน ไม่มีผู้ชายคนไหนไม่หยุดยืนมองแน่นอน บวกกับความสนิทข้างต้นเลยทำให้ไม่มีใครกล้าเข้ามาจีบคนในกลุ่มของกรเลยซักนิด เลยทำได้แค่สร้างข่าวลือไปเองต่างๆนานาตามประสาเด็กทั่วไป
〝ก็เพราะงั้นแหล่ะ... ฉันถึงบอกไงว่าให้เว้นระยะห่างกันบ้าง〞
〝เอ๋! มะ ไม่เห็นต้องทำแบบนั้นเลยนี่!〞
รินที่หยุดยืนอย่างกะทันหันส่งเสียงไม่พอใจออกมาอย่างชัดเจน เลยทำให้กรที่เดินนำหน้าไปเล็กน้อยพลอยหยุดเดินตามไปด้วย
จะว่าที่ฉันพูดออกไปนี่เป็นการแก้ปัญหาก็คงไม่ถูก... มันเหมือนเป็นการตัดปัญหาซะมากกว่า
แต่ถ้าไม่อยากให้ถูกพูดถึงในทางผิดๆ วิธีก็คือ การไม่สร้างเรื่องให้เข้าใจไปเองตั้งแต่แรก... พอเป็นแบบนั้น รินจะได้ไม่ต้องมาระแวงสายตาคนอื่น
เพราะโดยพื้นฐานแล้ว รินหน่ะเป็นคนขี้อายแบบสุดๆ... นอกจากเพื่อนสนิทสาวที่โรงเรียนกับพวกฉันทั้ง 5 คน ก็ไม่เคยคุยกับคนอื่นเลยซักนิด
เพราะงั้นแหล่ะ… ฉันเองก็ไม่อยากให้รินตกอยู่ในสถานการณ์ตึงเครียด(สำหรับตัวเธอเอง) นานๆหรอก
แต่แบบนั้นรินเองก็คงไม่ยอมเหมือนกันอีกนั่นแหล่ะ...
แต่จะว่าไปแล้วมันก็ยังมีอีกวิธีนึงนี่นา ที่จะสามารถแก้ปัญหาได้พร้อมกับทั้งอยู่ด้วยกันได้หน่ะ.... แต่แบบนั้นมันออกจะ——
〝ถะ ถ้างั้นหล่ะก็... พะ พวกเรา...〞
〝หืม?〞
รินที่หยุดยืนอยู่ตรงหน้ากรที่หันกลับมา เริ่มก้มหน้าลงหลบสายตากรด้วยความเขินอาย แล้วตัวยังสั่นระริกอีกต่างหาก หลังจากที่พูดแบบนั้นออกมาอย่างกล้าๆกลัวๆ แต่ปากของเธอกลับไม่สามารถเปล่งเสียงเพื่อสื่อใจความสำคัญสุดท้ายออกไปได้ กรที่เห็นรินทำปากพะงาบๆอยู่แบบนั้น จึงเป็นฝ่ายพูดออกมาแทนเสียเลย
〝งั้นริน... เรามาคบกันไปเลยดีไหมหล่ะ?〞
〝เอ๋! มะ เมื่อกี้พูดว่าอะไรนะกร... ชะ ฉันว่าฉันต้องหูฝาดไปแน่ๆ〞
รินที่ก่อนหน้านี้ก้มหน้าด้วยความอาย เงยหน้าขึ้นมาราวกับติดสปริงเพื่อถามย้ำถึงสิ่งที่ตัวเองได้ยิน
〝ก็บอกว่า... คบ-กัน-ไหม ไงหล่ะ? ชัดพอรึยัง〞
〝เอ๋! เอ๋!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!〞
แล้วก็เป็นไปตามที่กรคาดไว้ แต่ดูเหมือนว่าจะมากเกินไปหน่อย ก็ตรงที่เธอตะโกนออกมาดังลั่นต่อหน้าประชาชีนั่นแหล่ะ รินที่เพิ่งรู้สึกตัวว่าตัวเองทำอะไรลงไปต่อหน้าสาธารณะชน ก็รับยกมือทั้งสองข้างมาปิดปากด้วยท่าทางน่ารักน่าชังในทันที แต่ดวงตาของเธอก็ยังคงเบิกโพลงอยู่กับคำตอบของกรไม่เปลี่ยนอยู่ดี
〝ถ้าไม่อยากให้พวกนั้นลือกันเสียๆหายๆ..... ก็คบกันจริงๆไปซะเลยสิ... แค่นี้ก็ไม่มีอะไรแปลกแล้วนี่จริงไหม?〞
〝อา〜 ตะ แต่ว่าแบบนั้นมัน〞
〝หืม... มีอะไรไม่พอใจรึไง...〞
〝ไม่ใช่... แต่ คือว่า....〞
〝?〞
กรเองก็ไม่ได้ซื่อบื้อ ถึงขนาดจะไม่รู้ว่ารินที่เป็นเพื่อนสมัยเด็กแอบชอบตัวเอง รวมถึงตัวเขาเองก็มีความรู้สึกดีๆให้กับรินเช่นเดียวกัน แต่เพราะปล่อยให้มันค้างคามาเสียนานตั้งแต่ที่เริ่มสนิทกันตั้งแต่ประถม จนถึง ม.5 ซึ่งเป็นเวลาปัจจุบันนี้
แถมการขอคบกันของกรยังฟังเหมือนกับว่าพูดล้อเล่นพอเป็นพิธีเสียอีก แต่ที่สื่อออกไปยังริน นั่นเป็นความรู้สึกจริงๆของเขาแน่นอน ซึ่งแน่นอนว่ารินเองก็สัมผัสถึงมันได้เช่นกัน เธอถึงได้ประหลาดใจมากที่กรคิดเหมือนกับเธอ
〝ทำไม... ถึงเป็นฉันกันหล่ะ?〞
〝หมายความว่าไง?〞
〝กะ ก็นายหน่ะ.... เป็นคนที่สุดยอด ขนาดนั้นเลย... แล้วทำไมถึง... กับฉัน ไม่เข้าใจเลย...〞
〝..............〞
ที่ขอบตาของรินเริ่มมีน้ำตาปริ่มออกมาเพราะความรู้สึกหลายๆอย่างผสมปนเปกัน พลางช้อนตามองกรด้วยสายตาราวกับต้องการอะไรบางอย่าง
ด้วยความรู้สึกที่เป็นอยู่ สิ่งที่พูดออกไปเป็นความรู้สึกจริง 100 เปอร์เซ็นต์แน่นอน เพียงแต่การสื่อออกมาด้วยข้อความนั้น คงเป็นสิ่งที่ยากเกินไปสำหรับสถานการณ์ในตอนนี้
〝ยัยบ้าเอ๊ย!〞
〝!!!!〞
〝เรื่องเหตุผล... มันไม่สำคัญแล้วนี่จริงไหม.... เธอยังชอบฉันได้ แล้วทำไมฉันจะชอบเธอบ้างไม่ได้กันหล่ะ?〞
〝กร.....〞
〝คนที่อยู่ข้างฉันมาตลอดก็คือเธอนะริน... เพราะงั้น… การที่ฉันอยากจะอยู่ข้างเธอไปตลอดด้วยเหมือนกัน มันก็ไม่เห็นจะแปลกนี่นา!〞
ในขณะที่เผยความในใจด้วยวาจา กรก็ใช้การกระทำเสริมเข้าไปด้วยการเดินเข้าไปทางรินแล้วจัดการเอามือวางบนหัวของเธอเบาๆ แต่ดูเหมือนจะกะทันหันเกินไปสำหรับริน เพราะทันทีที่กรสัมผัสเธอ รินก็ถึงกับร่างกระตุกเพราะไม่ทันตั้งตัวเลยทีเดียว
〝อยู่ด้วยกันมาตั้งนานแต่เพิ่งมาบอกเอาป่านนี้ นึกว่าจะสายไปแล้วซะอีก...〞
〝ไม่มีทางหรอก.... ฉันเองก็รอมาตลอด.... เหมือนกันนั่นแหล่ะ!〞
ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ที่ธารกำนันเริ่มที่จะเบาบางลง ทำให้บรรยากาศระหว่างกรและรินเรียกได้ว่าเป็นการส่วนตัวสำหรับการที่ทั้งคู่เพิ่งจะสื่อความในใจออกมา น้ำตาแห่งความปิติของรินจึงไหลออกมาจากหางตาทั้งสองข้างอย่างช่วยไม่ได้ ในขณะที่ตอบคำพูดของกรกลับไปด้วยน้ำเสียงสั่นๆเล็กน้อยพร้อมกับยิ้มทั้งน้ำตาด้วยความดีใจ กรก็เอื้อมมือขวาของตัวเองไปจับมือซ้ายของรินเบาๆ ก่อนที่จะเรียกหาเธออีกครั้งอย่างอ่อนโยน
〝โทษทีนะ จริงๆก็อยากจะสารภาพในที่ๆมันโรแมนติกกว่านี้เหมือนกัน... แต่บรรยากาศมันพาไปก็เลย———〞
〝ไม่เห็นรู้เลยว่ากรจะละเอียดอ่อนกับเขาเป็นด้วย〞
〝มะ มันก็ต้องมีบ้างแหล่ะน่า ถือว่าขอขมาเรื่องเมื่อเช้าไง เนอะ!〞
〝หุหุ! นายเนี่ยน้า... แต่จริงๆเมื่อกี้ ถ้านายปฏิเสธคำสารภาพของฉัน ก็กะจะใช้สัญญานั่นเป็นข้ออ้างอยู่แล้วเชียว〞
〝แหง่ะ! แบบนั้นเกินไปหน่อยมั้งริน〞
〝ล้อเล่นหรอกน่า〞
〝ฮะฮ่ะ!... กะแล้วเชียว〞
กรยกมือซ้ายขึ้นมาเกาที่แก้มเพื่อกลบเกลื่อนความอายหลังสารภาพรัก ก่อนที่ทั้งสองคนจะหัวเราะให้กันเบาๆ แล้วก็ยิ้มให้กันอย่างอบอุ่นอีกครั้ง ก่อนที่กรที่ยืนนำอยู่จะเป็นคนจูงมือของรินให้เดินหน้าไปด้วยกันต่อ
〝จะ จะว่าไปแล้วนะกร... เรายังอยู่ระหว่างเดินไปโรงเรียนไม่ใช่เหรอ?〞
〝อ๊ะ! แย่แล้ว ลืมซะสนิทเลยนี่หว่า!!!〞
ร่างของกรสะดุ้งโหยงทันทีที่รินกระตุ้นเขาอีกครั้งด้วยคำพูด ทำให้เด็กหนุ่มคนนี้เพิ่งมาตระหนักได้ว่าตัวเองกำลังอยู่ในช่วงเร่งรีบว่าจะสายแหล่ไม่สายแหล่อยู่รอมร่อ
หลังจากที่ออกเดินทางมาจากบ้านตอน 7.41 น. จนถึงตอนนี้ทั้งคู่ใช้เวลาเดินทางไปแล้วประมาณ 15 นาที หรือก็คือตอนนี้ เหลือเวลาอีกเพียง 4 นาทีในการไปเข้าแถวให้ทันเท่านั้น สำหรับกรที่ไม่เคร่งเรื่องกฎระเบียบเท่าไหร่นั้นไม่มีปัญหา แต่เพราะที่อยู่ด้วยนั้นคือนักเรียนดีเด่นอย่างริน กรเลยไม่อยากทำให้เธอเสียประวัติไปด้วย อนึ่ง แม้กรจะเป็นคนตื่นสายยังไง แต่ก็ไม่เคยทำให้รินไปโรวงเรียนสายเลยซักครั้งเดียว
〝ไม่รีบไป เดี๋ยวได้โดนจดชื่อแหงๆ เลย!!!〞
〝ฮะฮ่ะ! เพิ่งมานึกได้เหรอเนี่ย นายเนี่ยไม่ได้เปลี่ยนไปเลยจริงๆน้า...〞
รินหัวเราะให้กับท่าทางลุกลี้ลุกลนของกรอย่างสุภาพเรียบร้อย พลางเช็ดน้ำตาแห่งความสุขที่ปริ่มออกมาจากหางตาอีกครั้ง ก่อนที่จะถูกกรดึงมือแล้ววิ่งไปโรงเรียนด้วยกัน แต่แล้ว...
〝!!!!!!!!!?〞
ห่างออกไป 500 เมตรทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ซึ่งก็คือถนนจากอีกเลนหนึ่งซึ่งอยู่ตรงข้ามกับที่กรและรินเดินเท้าอยู่ กรได้สังเกตเห็นความผิดปกติของรถตู้คันหนึ่งจากการใช้ความสามารถสุดยอดการประมวลผล ซึ่งการที่เขาทำการตรวจสอบสภาพแวดล้อมในรัศมี 500 เมตรอยู่ตลอดนั้น เป็นเรื่องที่กรทำเป็นประจำอยู่แล้วจากการที่คุณแม่ของเขาสั่งสอนมา
เนื่องจากตัวรถค่อนข้างเลี้ยวเอนไปเอนมาหลายครั้งอย่างผิดปกติ แถมพร้อมที่จะพุ่งขึ้นมาบนฟุตบาทได้ทุกเมื่อ พร้อมด้วยความเร็วที่มากเกินไปในเขตตัวเมืองแออัด และเวลาในยามเช้าที่คนเริ่มไปทำงานซึ่งควรจะใช้ความเร็วต่ำ พอใช้ทั้งหูและตาชี้เฉพาะเจาะรายละเอียดกับรถที่ว่าโดยตรง ก็พบว่า คนขับกำลังหลับในอย่างชัดเจน แล้วพอคำนวณความเป็นไปได้ถัดไป กรก็พบว่าจุดที่รถจะพุ่งเข้ามาในอีก 9 วินาที ก็ดันเป็นจุดที่ทั้งสองคนยืนอยู่...
...งั้นเหรอ? ก็นะ ถึงเรื่องที่กำลังจะเกิดนี่จะน่ากลัวก็จริง... แต่ถ้ารู้ก่อนเวลาเกิดตั้ง 9 วินาทีหล่ะก็ หลบเลี่ยงได้สบาย
เอ๋? กำลังคิดอยู่สินะว่าทำไมฉันถึงใจเย็นได้ขนาดนี้? ก็แหม... นี่ไม่ใช่ครั้งแรกซักหน่อยนี่นาที่เกิดเรื่องคล้ายแบบนี้
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเรื่องแบบนี้มันเกิดขึ้นเป็นประจำหรอกนะ... รู้สึกว่าจะแค่ 4 ครั้งเองมั้งที่เกิดเรื่องทำนองนี้
ก็มีทั้งวิ่งราว... สตอกเกอร์... บลาๆ ...น่ากลัวชะมัดเลยแฮะคนสมัยนี้เนี่ย
แล้วส่วนหนึ่งก็ต้องขอบคุณคุณแม่ด้วยแหล่ะนะที่ทำให้การตอบสนองต่อเรื่องไม่คาดฝันของฉันสูงกว่าคนทั่วไป(แบบสุดๆ) เวลาคับขันแบบนี้ถึงได้รับมือได้อย่างไร้กังวล...
ว่าแต่ไอ้คุณคนขับรถนี่... ทำลำบากแต่เช้าเลยนะครับผม
ทั้งที่วันนี้เป็นวันที่กระผมสารภาพรักกับผู้หญิงที่ชอบออกไปแล้วทั้งที ดันต้องมาอยู่ในสภาพเสี่ยง(นิดหน่อย)กับอุบัติเหตุซะงั้น...
ให้ตายเหอะ วันนี้มันวันอะไรกันแน่ฟ่ะ! หรือจะเป็นเพราะวันนี้โชคดีเกินไป ก็เลยมีต้องมีโชคร้ายเกิดขึ้นให้สมดุลกัน? คงไม่หรอกมั้ง... นะ?
〝เอ่อริน รีบออกไปจากตรงนี้กัน———!!!!?〞
กึก!
ชั่วพริบตาที่กรเตรียมตัวจะเปลี่ยนตำแหน่งไปอยู่ในจุดที่ปลอดภัยพร้อมกับริน ร่างกายของเขาก็หยุดกึกราวกับฟันเฟืองทั่วร่างได้หยุดหมุนอย่างไม่มีสาเหตุ แถมความสามารถสุดยอดการประมวลผลเองก็กลับไม่ทำงาน เลยทำให้ภาพทุกอย่างกลับมาเคลื่อนไหวด้วยความเร็วในอัตราปกติไปเสียอย่างงั้น และเพราะอัตราเวลาถูกปรับให้กลับมาปกติ ระยะห่าง 9 วินาทีจึงถูกร่นมาเป็นชั่วพริบตาจนกรตั้งตัวไม่ทัน...
นั่นเลยทำให้กรต้องมาเสียใจภายหลัง... ว่าสิ่งที่ตัวเองกำลังคิด มันง่ายเกินไป...
โครม!!!!!
เพียงชั่วพริบตาเดียว ที่ร่างของหญิงสาวอันเป็นที่รักของเด็กหนุ่มหายออกไปจากสายตาของเขา... ร่างของรินถูกรถตู้คันที่กรสังเกตก่อนหน้าชนเข้าอย่างจัง... โลหิตสีแดงฉานของหญิงสาวกระเด็นเปื้อนใบหน้าของกรที่อยู่ใกล้ๆ
รถยังคงพุ่งต่อไปจนไปชนเข้ากับร้านสะดวกซื้อที่อยู่ตรงข้าม สิ่งที่ปรากฏตรงสายตาของกรในตอนนี้ มีเพียงร่างของรินที่ชุ่มโชกไปด้วยเลือด นอนอยู่ใต้ท้องรถอย่างน่าสลดเพียงเท่านั้น...
〝อึก! อ่า........
อ้ากกกกกกกกกกก!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!〞
สิ่งที่กรจะทำได้หลังจากที่เห็นผู้หญิงที่ตัวเองรักตายลงไปต่อหน้าต่อตานั้นไม่มีอีกแล้ว... นอกเสียจากการร้องโหยหวนออกมาด้วยความทรมานอย่างไร้ประโยชน์ จนกระทั่งหมดสติลงไปตรงจุดที่ยืนอยู่ทั้งอย่างงั้น... แล้วพอรู้สึกตัวอีกที สติของเขาก็ถูกเคลื่อนย้ายมาอยู่ในห้องสีขาวพร้อมกับบุคคลปริศนาไปเสียแล้ว
❖❖❖❖❖
หลังจากที่ได้สติอีกครั้ง ตอนนี้ตัวกรนั่งบนเก้าอี้ไม้ ซึ่งชิดอยู่กับโต๊ะไม้ยาววัสดุเดียวกับเก้าอี้ในห้องสีขาวที่ไร้ซึ่งหน้าต่างหรือประตูใดๆ.... หรือเดิมทีนี่อาจจะไม่ใช่ห้องด้วยซ้ำ แต่เพราะไม่มีรอยตัดเลยซักนิด เลยทำให้ไม่สามารถวิเคราะห์ขนาดโดยรวมได้
〝แฮ่ก! แฮ่ก! แฮ่ก! แฮ่ก! แฮ่ก! ———〞
เสียงหายใจหอบของกรยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่องหลังจากได้สติอีกครั้งแทบจะทันที ทำให้จิตใจของกรแทบๆไม่มีเวลาพักจากอาการช็อกก่อนหน้าเลยซักนิด แต่พอปรับจังหวะหายใจได้จนเกือบจะเป็นปกติแล้ว เลยทำให้พอเรียบเรียงความคิดใหม่ได้อย่างรวดเร็ว
เมื่อกี้นี้มันอะไรกัน!? ทั้งหมดที่เกิดขึ้นเมื่อกี้มันไม่ใช่ความทรงจำของเราแท้ๆ!
แต่ทำไม.... ทำไมเราถึงรู้สึกคุ้นเคย.... ทั้งที่มันเป็นแค่ความฝันแท้ๆ
ไม่สิ...ก่อนอื่น เรื่องก่อนหน้านั้น....
ก่อนหน้านี้เราโดนลูกธนูของไอ้ทศกัณฑ์เข้าไป แล้วจากนั้นพอรู้สึกตัวอีกที... ก็มานั่งอยู่ในห้องนี้แล้ว...
แต่ความทรงจำเมื่อกี้เราในตอนนี้ก็จำได้...
แต่ทำไมตัวเราก่อนหน้าถึงจำเรื่องที่เกิดก่อนถูกยิงลูกศรไม่ได้เลยกัน!!!?
ให้ตายสิไม่เข้าใจเลยซักนิด! นี่มันเกิดบ้าอะไรขึ้นกันแน่ว่ะ!!!!!!
〝โห้! อยากรู้งั้นสินะ...〞
〝!!!!?〞
ในขณะที่กรบ่นอยู่ในใจด้วยความหงุดหงิด เพราะรู้สึกเหมือนกับถูกใครบางคนกำลังเล่นตลกกับความรู้สึกของตัวเอง ก็มีเสียงของคนๆนึงดังมาจากฝั่งตรงข้ามของโต๊ะไม้ยาว
เสียงค่อนข้างทุ้มต่ำ เลยทำให้รู้ว่าเป็นผู้ชาย... แต่พอสังเกตดูดีแล้ว เขามีส่วนสูงและขนาดตัวไม่แตกต่างไปจากกรเลย... ผมที่ปรกหน้าของเขาเป็นสีขาว แต่ผิวกายกลับดำสนิทราวกับท้องฟ้าที่ไร้แสงดาว ทั่วทั้งร่างของเด็กหนุ่มนี้มีเพียงแค่สีขาวกับดำเท่านั้นราวกับเป็นร่างที่ถูกถ่ายด้วยเอกสารขาว-ดำ แล้วพอกรลองพินิจพิเคราะห์ดูอีกที ก็พบว่าชายที่นั่งอยู่ตรงข้ามตัวเองเป็น...
〝แก... ตัวฉันงั้นเหรอ?〞
〝โอ้ว้าว! รู้ได้ในทันทีเลยเหรอเนี่ย… แต่ยังไงเราก็เป็นคนๆเดียวกันอยู่แล้วนี่นา จะดูออกในทันทีก็ไม่แปลกหรอกเนอะ〞
ตัวกรอีกคนนึงพูดติดตลกกลบเกลื่อนด้วยท่าทีขี้เล่น แต่แน่นอนว่าคนที่เพิ่งเจอเหตุการณ์สะเทือนขวัญมาเมื่อครู่อย่างกรไม่ตลกไปด้วย
〝หมายความว่าไง! ไอ้เรื่องบ้าเมื่อกี้มันคืออะไร... ทำไมฉันถึงมาอยู่ที่นี่… 〞
〝เล่นถามรัวเป็นชุดแบบนี้ ใครมันจะไปตอบทันหล่ะครับผม〞
ตัวกรอีกคนส่ายหน้าไปมา พั่บๆ พร้อมกับถอนหายใจออกมาเบาๆ เพราะช่วยไม่ได้ ก่อนที่จะเริ่มอธิบายให้กรฟังราวกับเตรียมสคริปต์มาแล้วเป็นอย่างดี
〝ที่นี่คือในจิตใจของนาย... เวทย์ที่นายโดนไปก็คือ เวทย์มนต์ที่จะสร้างความทรงจำที่ทำให้นายเจ็บปวดทรมานที่สุด โดยจะทำการรีเซ็ทความทรงจำของนายใหม่ในโลกเสมือน... แล้วเริ่มใช้ชีวิตพร้อมกับผูกสัมพันธ์อย่างลึกซึ้งกับคนที่นายรัก... นายจะคิดว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในนั้นเป็นเรื่องจริง.... และไม่มีทางรู้ว่านั่นเป็นความฝัน... นายจะไม่มีทางรู้ว่าตัวนายคือตัวนายจริงๆ จนกว่าคนที่นายรักจะจบชีวิตลง... แล้วกลับมาที่นี่อีกครั้ง พร้อมกับความทรงจำที่ถูกสร้างขึ้นมาทั้งหมดนั่น〞
〝วะ ว่ายังไงนะ!〞
แป๊ะ!
ราวกับเครื่องจักรที่ถูกใส่โปรแกรมไว้ เมื่อถึงเวลาที่ถูกกำหนดไว้ ตัวกรอีกคนก็ไม่เปิดโอกาสให้กรถามคำถามใดๆกับเขาอีกเลย พร้อมกับตบมือเสียงดังหนึ่งครั้งเพื่อเป็นสัญญาณจบบทสนทนาอย่างรวบรัด
〝อาวหล่ะ หมดเวลาถามคำถามแล้ว! ถ้าอยากจะถามก็ค่อยถามเอาครั้งหน้าแล้วกัน... เพียงแต่ว่า…
〞
แล้วตัวกรอีกคนนึงก็เริ่มพูดตัดบททันที ก่อนที่จะปล่อยคำพูดตัวเองให้ค้างคาหัวใจของกรว่า
〝ตัวนายในตอนที่กลับมาครั้งต่อๆไป จะยังเป็นตัวนายในตอนนี้อยู่รึเปล่านา…〞
เพี๊ยะ!
ชั่วพริบตาที่ตัวกรอีกคนดีดนิ้วเสียงดัง สติของกรก็หายไปอีกครั้ง โดยจิตใจที่แบกรับความเครียดในครั้งแรกยังไม่หายไปซักนิดเดียว เลยทำให้กรต้องเผชิญกับนรกบนดินอย่างต่อเนื่องและไร้จุดสิ้นสุดอีกหลายต่อหลายครั้ง...
❖❖❖❖❖
ตัดมาทางฝั่งพวกมีอาและเมอร์ลินที่เปลี่ยนรูปแบบเป็นตั้งรับเพื่อรอความหวังอันแสนน้อยนิดในการกลับมาของกร เพราะเมอร์ลินได้วิเคราะห์แล้วว่า กำลังรบเพียงสองคน ยังไงก็ไม่มีปัญญาโค่นยักษ์สูงร่วม 150 เมตรนี้ได้
〖…….เอาหล่ะ มาต่อยกสองกันได้แล้วมั้ง! 〗
〝ฮึ่ม!〞
ทศกัณฑ์ที่เป็นฝ่ายประกาศศึกพูดออกมาด้วยท่าทีหยิ่งยโสอีกครั้ง เลยทำให้เมอร์ลินสบถออกมาด้วยความไม่พอใจปนกังวล ที่ยังคิดแผนการต่อจากนี้ไม่ออก
〝【เวทย์อัญเชิญระดับสูงสุด•ขบวนร้อยอสูรรัตติกาล!!!!】〞
ทันทีที่การประกาศใช้เวทย์สิ้นสุดลง ก็ได้เกิดวงเวทย์ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 100 เมตรขึ้นใต้พื้นเท้าของเมอร์ลิน จากนั้นเงาสีดำสนิทก็พวยพุ่งขึ้นมาจากวงเวทย์อย่างหนาแน่น แล้วก็ประกอบรูปร่างเป็นอสูรปีศาจ หลากหลายขนาดและรูปแบบกว่า 100 ประเภทตามตำนานพื้นบ้านของญี่ปุ่น อัดแน่นกันอยู่ในวงเวทย์อย่างสะเปะสะปะ เพราะถูกเรียกอย่างกะทันหันด้วยจำนวนที่มากเกินไป
ตัวที่ขนาดเล็กสุดมีส่วนสูงแค่พื้นถึงข้อเท้า ส่วนตัวที่สูงที่สุดก็เกือบจะถึงครึ่งหนึ่งของตัวทศกัณฑ์ บวกกับจำนวนที่มากกว่าร้อยตน จึงไม่แปลกที่จะดูน่าเกรงขาม มีอาที่อยู่ด้านหลังเมอร์ลินเองก็ตะลึงกับรูปลักษณ์อันแปลกประหลาดที่ไม่เคยเห็นนั่นเช่นกัน
〝พวกนาย ช่วยถ่วงเวลาให้ด้วย!〞
〝〝〝〝〝ขอรับนายหญิง———โอ้วววววววววววววววววววว!!!!〞〞〞〞〞
เหล่านักรบอสูรกว่า 100 ตน ต่างขนาดและรูปร่างโห่ร้องซ้องชัยอย่างฮึกเหิม ก่อนที่ทั้งหมดจะพุ่งตัวเข้าไปทางทศกัณฑ์ ที่เรียกได้ว่าสูงเสียดฟ้าเป็นแถวหน้ากระดานหลายระลอกอย่างมีขบวนราวกับกลุ่มทหารเจนศึก โดยมีปีศาจสวมชุดเกราะญี่ปุ่น 3 ตน ปีศาจสวมชุดฮากามะรูปร่างอ้วนท้วมจนพุงเล็ดรอดออกมาแบกขวานขนาดใหญ่ไว้ที่ไหล่ซ้าย แล้วก็ชายหนุ่มสวมชุดนักพรตอีก 2 คนที่ปิดบังใบหน้าด้วยผ้าพันแผลเป็นทัพหน้า
〖เธอเองก็น่าสนุก ไม่เลวเหมือนกันนี่นา... เข้ามาเลย!!!!〗
เพื่อตอบสนองต่อแรงฮึกเหิมของเหล่าขบวนร้อยอสูร ทวนขนาดใหญ่กว่าตัวมันถึงเท่าตัวปรากฏในมือขวาทั้งสิบของทศกัณฑ์ พร้อมกับมือข้างซ้ายทั้งสิบก็มีง้าวปรากฏออกมาเช่นเดียวกัน
〝〝〝〝〝โอ้วววววว!!—————〞〞〞〞〞
ฉั๊ว!!!!
การสะบัดง้าวและทวนพร้อมกัน เกิดเสียงดังและแรงกระแทกจนกลบเสียงโห่ร้องของพวกอสูรที่บุกรวดเข้าไปในทันที หากแต่ที่เสียงเงียบไปไม่ใช่แค่นั้น นั่นเพราะทัพหน้าของอสูรทั้ง 6 ตนถูกปลายใบมีดของอาวุธขนาดยักษ์ทั้งสองผ่าในแนวขนานกับพื้น ร่างของอสูรทั้ง 6 ถูกแยกเป็นสามส่วนอย่างายดายราวกับเต้าหู้ที่ถูกมีดเฉือนผ่านเบาๆ
〖แต่แบบนี้ ถ่วงเวลาไม่ได้นานหรอกนะ!〗
〝อึก! ไม่ต้องเข้าต่อสู้!!! พยายามเลี่ยงการปะทะให้ได้มากที่สุด... เบี่ยงการโจมตีที่เล็ดรอดมาได้ไปทางอื่นด้วยถ้าเป็นไปได้!!!〞
〝〝〝〝〝โอ้วววววววววววววววววววว!!!!〞〞〞〞〞
แม้จะเสียพวกพวกพ้องไปจำนวนหนึ่งแต่กำลังใจโดยรวมก็ไม่ได้ลดลงเลยแม้แต่น้อย
แต่ถึงแม้ขวัญกำลังใจจะไม่ได้ลดลง ความแข็งแกร่งก็ไม่ได้เพิ่มขึ้นเช่นกัน ทศกัณฑ์ที่พอจัดการกลุ่มแรกได้แล้ว ก็เริ่มทำการเชือดเฉือนกองทัพกลุ่มต่อไปทั้งหมดพร้อมกับเดินเข้ามาทางพวกกรด้วยท่าทีสบายๆเช่นเคย จนจำนวนตอนแรกที่มีอยู่ร้อยตน ตอนนี้เหลือเพียงไม่ถึงครึ่งไปแล้ว
〝【เวทย์อัญเชิญระดับสูงสุด•ขบวนร้อยอสูรรัตติกาล!!!!】〞
เมอร์ลินไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเพิ่มจำนวนทหารทั้งที่รู้ดีอยู่แก่ใจอยู่แล้วว่ามันเปล่าประโยชน์ พร้อมกับคิดแผนการรับมือในหัวไปด้วย แต่ถึงแบบนั้นก็ยังหาวิธีดีๆไม่ได้ ครั้นจะใช้มหาเวทย์แบบที่ใช้กับกรในตอนที่สู้กันที่ชั้น 75 ก็ไม่รู้ว่าห้องนี้จะทนไหวไหม เพราะผลกระทบในครั้งก่อนยังอยู่ในขอบเขตที่เธอดูแล
แล้วก็มีความจริงอยู่หนึ่งข้อแฝงอยู่ในสิ่งที่เธอจะทำ คือ ถ้าไม่จัดการทศกัณฑ์ให้ได้ยังไงก็ตายอยู่ดี... เพราะงั้นก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเสี่ยงดู แต่เมอร์ลินในตอนนี้กลับไม่ยอมรับความเสี่ยงที่ว่า เพียงเพราะที่ตรงนี้มีพวกพ้องของเธออยู่ถึง 2 คน เธอเลยทำได้กำหมัดแน่นด้วยความเจ็บใจและโมโหในความอ่อนหัดและใจอ่อนของตัวเอง
〖อืม... เอาแต่ถ่วงเวลาแบบนี้มันก็น่ารำคาญเหมือนกันนะ... 〗
ในขณะที่พูดแบบนั้นออกมา ที่มือขวาข้างบนสุดของทศกัณฑ์ก็มีสังข์ขนาดเหมาะมือกับมันปรากฏขึ้นมา พอมันเอาปากทาบแล้วเป่าลมเข้าไปก็เกิดสายลมแทรกออกมาจากช่องว่างจนเกิดเสียงแหลมๆแสบแก้วหู จนเมอร์ลินและมีอาถึงกับต้องปิดหูปิดตาไปพริบตานึง แล้วพอลืมตาขึ้นมาก็ต้องพบกับเรื่องน่าตกใจเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้อีกครั้ง
〝ไม่จริง...〞
〝โกหก... ใช่ไหมเนี่ย!〞
พอรู้สึกตัวอีกที เมอร์ลินและมีอา รวมถึงขบวนร้อยอสูรของเมอร์ลินต่างก็ถูกล้อมกรอบด้วยทศกัณฑ์ขนาดเท่ากับมนุษย์สูงประมาณ 180 เซนติเมตร ด้วยจำนวนที่เหนือกว่าอย่างชัดเจนราวๆ 300 คน ทั้งหมดมีสีของเครื่องแต่งกายแตกต่างกันทั้งดำ ม่วง แดง เขียว น้ำเงิน... แต่ที่เหมือนกันก็คือ ความแข็งแกร่งที่จำลองมาจากร่างต้นถึง 1 ใน 4
ด้วยการโจมตีเพียงสองครั้งก็สามารถทำลายร่างของอสูรในบัญชาของเมอร์ลินได้ ทั้งยังจำนวนที่มากกว่าโดยสิ้นเชิง เมอร์ลินจึงทำการเรียกขบวนร้อยอสูรมากอีกกลุ่ม พร้อมกับเพิ่มเวทย์เสริมความแข็งแกร่งให้อีกจำนวนมากโดยไม่คิดว่านั่นเป็นการสิ้นเปลืองพลังเวทย์แม้แต่น้อย
〖อืมๆ... จะทำยังไงต่อดีหล่ะคุณผู้หญิงทั้งสอง?〗
ทศกัณฑ์ยิ้มออกมาด้วยใบหน้าหยิ่งยโสอีกครั้ง พร้อมกับพูดจาด้วยน้ำเสียงดูถูกออกมาอีกครั้ง
ด้วยสถานการณ์ที่สิ้นหวังลงเรื่อยๆอย่างไม่หยุดหย่อน ทั้งสองคนได้แต่กัดฟันสู้ เพื่อรอความหวังอันน้อยนิดให้คนที่แข็งแกร่งที่สุดอย่างกรฟื้นขึ้นมาจากหุบเหวแห่งความสิ้นหวังยิ่งกว่า
กร..... ขอร้องหล่ะ รีบฟื้นขึ้นมาซักทีเถอะ!
ต่อความสิ้นหวังที่อยู่ตรงหน้า ทั้งสองคนได้แต่ภาวนาแบบนั้นอยู่ในใจ เพื่อหวังให้กรที่กลายเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจในตอนนี้กลับมาให้เร็วที่สุด แม้จะรู้อยู่แก่ใจอยู่แล้วว่ามันแทบเป็นไปไม่ได้ก็ตาม...
❖❖❖❖❖
ลูปที่ 3...
มีอา... เพื่อนสมัยเด็กของฉัน... วันเกิดครบรอบ 17 ปี
พวกเราฉลองวันเกิด ด้วยกันที่บ้านของเธอ... วันนั้นอยู่ดีๆ บ้านของเพื่อนบ้านข้างๆก็เกิดเพลิงไหม้ขึ้นอย่างไม่มีสาเหตุ... แล้วก็ลามมาที่บ้านที่มีอาอยู่หลังจากที่ฉันกลับไปแล้ว
พอรู้เรื่องฉันก็รีบไปที่โรงพยาบาลทันที แต่ว่า...
ไม่ทัน... ร่างกายของเธอถูกไฟเผามากกว่า 80% แถมปอดยังถูกทำลายทั้งสองข้าง จนระบบหายใจทั้งหมดล้มเหลว...
ตอนที่คุณหมอบอกว่าหมดหวังแล้ว... ตัวฉันก็คุกเข่าลงกับพื้นทั้งอย่างงั้นเลย
〝มีอา... มีอา... มีอา...〞 ฉันเรียกชื่อของมีอาหลายต่อหลายครั้งในขณะที่กุมมือของเธอไว้แน่น ทั้งที่เธอยังนอนทรมานอยู่บนเตียงฉุกเฉิน
ที่มีอาทำได้ก็แค่ส่งสายตากลับมาอย่างอ่อนแรงเท่านั้น เธอยิ้มให้กับฉันเบาๆ ก่อนที่จะพูดคำว่า
〝กร... รัก... ที่สุดเลย...〞กลับมาทั้งน้ำตา
แล้วมือของมีอาข้างที่ถูกฉันกุมอยู่ก็ผลอยตกลงกับพื้นเตียง และเรี่ยวแรงเฮือกสุดท้ายก็หมดลงไปพร้อมๆกัน... แล้วก็เป็นพริบตาเดียวกับที่หัวใจดวงเล็กๆของเธอหยุดเต้นลง... ตลอดกาล...
.
.
.
.
.
ลูปที่ 17
อลิซ... คนรักหรือก็คือแฟนของฉัน... พวกเรากำลังอยู่ในขณะเดินทางไปทัศนศึกษาที่เขาใหญ่ด้วยรถทัวร์สองชั้น
ระหว่างทางขึ้น-ลงเขาที่ลาดชัน... ได้เกิดพายุฝนขึ้นอย่างกระทันหัน...
แรงเสียดทานบนพื้นยางมะตอยลดลงทันที... บวกกับจังหวะลงเขาเป็นทางเลี้ยวโค้ง...
รถทัวร์ของห้องฉันแหกโค้งทันทีจากแรงเหวี่ยงหนีศูนย์กลางขณะเข้าโค้ง แล้วไปกระแทกเข้ากับขอบกั้นถนน จนกลิ้งลงเขาหลายตลบ...
นักเรียนครึ่งนึงเสียชีวิตทันทีเพราะไม่ได้คาดเข็มขัดนิรภัย... ส่วนอลิซและฉันเป็นอีกครึ่งที่รอดมาได้... แต่ก็เท่านั้น... เพราะว่าฉันถูกเศษหลังคาหล่นลงมาทับส่วนขาไว้ เลยทำให้ขยับไปไหนไม่ได้
เพราะคิดว่าตัวเองแค่โดนทับขา ไม่ได้มีแผลฉกรรจ์ใหญ่โตอะไร เลยคิดว่าอลิซที่อยู่ข้างๆคงไม่เป็นไรเหมือนกัน
แต่ว่า... พอหันไปทางที่นั่งด้านข้างที่อลิซนั่งอยู่ ฉันก็ต้องเบิกตาโพลง นั่นเพราะ... อลิซ...
เธอถูกแท่งเหล็กยาวขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางขนาด 1 นิ้วแทงทะลุอกจากด้านหลังตั้ง 3 แท่ง.....
มันเป็นแท่งเหล็กเกลียวที่ใช้ทำเสาในการก่อสร้าง ซึ่งตามหลักแล้วมันเป็นไปไม่ได้ที่จะมาอยู่ในรถทัวร์... แต่ประเด็นมันไม่ใช่ตรงนั้น...
〝แค่ก!!!〞 อลิซเริ่มกระอักเลือดออกมาทางปาก เลือดเองก็ไหลออกมาเรื่อยๆ ยังกับก็อกแตกตรงบริเวณปากแผล
ตัวฉันที่อยู่ใกล้ๆกลับทำอะไรไม่ได้... แม้แต่การทำปฐมพยาบาลยังช่วยไม่ได้เลยซักนิด ที่ทำได้ก็แค่บอกอลิซว่า〝เข้มแข็งไว้นะ ฉันอยู่ข้างๆเธอนี่แหล่ะ!!!〞 เท่านั้น
ผ่านไปครึ่งชั่วโมง... ผิวสีขาวของอลิซซึ่งได้มาจากพ่อที่เป็นชาวยุโรปเริ่มฝาดลงอย่างเห็นได้ชัด
ขอบตาเริ่มดำคล้ำ... การหายใจเริ่มถี่และติดขัดขึ้นเรื่อยๆ... ตัวฉันพยายามเอาเศษเหล็กที่ทับขาอยู่ออกมาตลอดจนขาทั้งสองข้างมีแต่แผลถลอก...
แต่เพราะอลิซที่นั่งอยู่ข้างๆต้องทรมานกว่าแน่นอน...ฉันเลยไม่สนซักนิดว่าตัวเองจะเจ็บขนาดไหน ถ้ามีของมีคม ก็คงตัดขาทิ้งไปแล้วด้วยซ้ำ...
เพล้ง! เสียงกระจกหลังของรถทัวร์แตก หลังจากที่ฉันพยายามอยู่นานสองนาน...
ต่อจากนั้นเสียงไซเรนของรถพยาบาลก็ดังตามมา อันเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าความช่วยเหลือได้มาถึงแล้ว ฉันจึงหันกลับมาหาอลิซที่อยู่ใกล้ ๆพร้อมกับพูดว่า〝สำเร็จแล้ว อลิซ เรารอดแล้ว!!!〞 แต่ว่า...
เธอไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับเลยซักนิด... บริเวณหน้าอก ก็ไม่มีการยุบพองแต่อย่างใด... ใช่...เธอจากไปแล้ว
แล้วฉันก็ร้องโหยหวนออกมาอย่างบ้าคลั่งข้างๆร่างไร้วิญญาณของอลิซที่นั่งหลับตาลงอยู่ข้างๆราวกับเจ้าหญิงนิทรา... แต่ที่แตกต่างจากในนิทานก็คือ... เธอไม่มีวันตื่นขึ้นมาอีกตลอดกาล...
.
.
.
.
.
ลูปที่ 53
เมอร์ลิน... ภรรยาของฉัน...
ในตอนที่รู้ว่าเธอป่วยหนักก็คือ... เมื่อประมาณ 2 ปีก่อน ซึ่งเป็นตอนที่อายุของพวกเราเพิ่งย่างเข้า 25 ปีเท่านั้นเอง
โรคที่เมอร์ลินกำลังต่อสู้อยู่ก็คือ... โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว แถมยังเป็นแบบพิเศษที่มีแค่ไม่กี่เคสในโลก...
การประคับประคองชีวิตของเธอเป็นไปอย่างยากลำบาก... ทุกๆครั้งที่มาเยี่ยมเธอก็ยิ้มให้อยู่บนเตียง พร้อมกับวางท่าราวกับหญิงแก่นจอมซ่าเพื่อไม่ให้ฉันเป็นห่วง... แต่ฉันรู้อยู่แล้วว่าลับหลังเธอกำลังทรมานมาก...
โรงพยาบาลคือบ้านของเราสองคน... ถึงฉันจะย้ายมาอยู่ด้วยไม่ได้ แต่นอกจากเวลานอนกับทำงานเพื่อหาเงินค่ารักษาแล้ว ฉันก็จะมาอยู่ข้างๆเมอร์ลินตลอด...
การรักษาให้หายดีจำเป็นต้องใช้เงินจำนวนมหาศาล... แต่ฉันก็ไม่ใช่เศรษฐีที่ไหน....
อาการของเธอก็หนักขึ้นทุกวี่ทุกวัน... ความหวังที่เธอจะรอดเลือนลานลงเรื่อยๆ แต่แล้ว...
วันหนึ่ง... บริษัติต้นสังกัดที่ทำงานด้านซอร์ฟแวร์คอมพิวเตอร์ซึ่งฉันทำงานอยู่ ได้ให้โอกาสฉันทำงานโปรเจ็คขนาดยักษ์ชิ้นนึง...
หากทำสำเร็จหล่ะก็ เงินจำนวนมหาศาลจะเข้ามาอยู่ในกระเป๋าของฉันทันที... ซึ่งก็แน่นอนว่านั่นเป็นจำนวนที่เหลือเฟือทีเดียว ขนาดจะย้ายเธอไปยังโรงพยาบาลในต่างประเทศที่ดีที่สุดยังทำได้เลย...
ฉันทำงานที่ว่านั่นอย่างอดตาหลับขับตานอน... ออกบ่อยไปที่ไม่ได้นอนติดกันสามวัน... ด้วยเวลาที่จำกัดเลยทำให้ฉันไม่ได้ไปเยี่ยมเมอร์ลิน แต่ด้วยความพยายามที่ทำมาตลอด งานที่ว่าประสบความสำเร็จอย่างงดงาม...
ในวันที่ทำงานชิ้นใหญ่เสร็จ... ฉันก็รีบแจ้นไปที่โรงพยาบาลเพื่อหวังเซอร์ไพรซ์ภรรยาสุดที่รักเป็นคนแรก...
ทันทีที่ฉันเข้ามาในห้องผู้ป่วยของเมอร์ลิน ก็พบว่ามีคุณหมอกับพยาบาล 5 คนยืนอยู่ล้อมรอบเตียงของเมอร์ลิน...
ด้วยความสงสัยและรีบร้อน ฉันรีบวิ่งไปที่เตียงแล้วก็พบเข้ากับภาพสะเทือนใจเข้า...
ร่างของเมอร์ลินที่นอนราบกับพื้น... ถูกถอดแว่นตาตัวเก่งออกมาวางไว้ข้างศีรษะ ส่วนใบหน้าของเธอก็ถูกปิดด้วยผ้าจนมองไม่เห็นใบหน้าที่ฉันถวิลหามาตลอด...
〝ต้องขอโทษด้วยครับ... จู่ๆอาการของเธอก็ทรุดหนัก... แล้วก็เพิ่งจะจากไปอย่าสงบเมื่อ 3 นาทีที่แล้วนี่เองครับ〞 นั่นคือคำตอบที่ฉันได้ยินจากปากของหมอ....
3 นาที... นี่ก็หมายความว่าเพิ่งจะเสียตอนที่ฉันเหยียบขึ้นลิฟต์ของโรงพยาบาลนี่เองไม่ใช่เหรอ...
พระเจ้าช่างเล่นตลก... ฉันทำได้แค่คิดแบบนั้นอยู่ในใจ... ต่อเรื่องที่เกิดขึ้นกับฉันซึ่งมันยิ่งกว่าละครน้ำเน่าหลังข่าวซะอีก... แต่พอมาเจอกับตัวเอง มันพูดไม่ออกเลยซักนิด...
〝ขอโทษนะที่รัก... ฉันเนี่ย... ล้มเหลวในฐานะภรรยาจริงๆ〞 นั่นคือคำพูดสุดท้ายที่ออกมาจากปากของภรรยาสุดที่รักของฉัน
〝ฮึก! ถ้าเธอล้มเหลวในฐานะภรรยา ฉันเองก็... ล้มเหลวในฐานะสามีเหมือนกันนั่นแหล่ะ!!!〞 หลังจากที่หมอและพยาบาลออกไปจากห้องผู้ป่วย ตัวฉันก็ตะโกนแบบนั้นออกมาทั้งน้ำตา ในขณะที่คุกเข่า แล้วเอาใบหน้าไปซุกที่เตียง... ข้างๆร่างของภรรยาที่ไร้วิญญาณ
ฉันมันเลวจริงๆ... เวลาที่สำคัญที่สุดกลับไม่ได้อยู่ด้วย...
เวลาที่ภรรยาต้องการ ฉันกลับไม่ได้อยู่เคียงข้าง...
ถึงจะบอกว่าทำงานเพื่อเธอ... แต่ก็สูญเปล่าไปแล้ว ทั้งหมดเลย...
แล้วยังปล่อยให้เมอร์ลินที่เป็นภรรยาตายเพียงลำพังอีก
〝ฮึก! สารเลวเอ๊ย!!!〞
สิ่งที่ทำได้ตอนนี้ก็มีแค่การก่นด่าตัวเองต่อหน้าภรรยาที่เขายอมทำทุกอย่างเพื่อให้เธอกลับมามีรอยยิ้มที้เปี่ยมไปด้วยความสุขอีกครั้งมันได้สลายหายไปหมดแล้ว
ความหวังสุดท้าย... ที่จะนำรอยยิ้มนั่นกลับมา... ไม่มีอีกแล้ว...
.
.
.
.
.
หลักการทำงานของเวทย์นั้นเรียกได้ว่า ไร้กฎเกณฑ์...
บางครั้งก็จะย้อนเวลากลับไปจากจุดเกิดเหตุ 3 ปี... หรือนานสุดคือตั้งแต่ที่เราเกิด...
ทั้งนี้ก็คงเพื่อให้เราผูกสัมพันธ์แล้วสร้างความเจ็บปวดให้มากขึ้นเป็นทวีคูณนั่นแหล่ะ
แถมยุคสมัยก็ยังไม่แน่นอน... บางครั้งก็เป็นยุคกลาง... ยุคก่อนประวัติศาสตร์... หรือกระทั่งอนาคตในอีก 100 ปีก็ยังมี...
เรื่องยุคสมัยที่ว่าคาดเดาไม่ได้แล้ว.. ก็ยังมีเรื่องที่น่าเหลือเชื่ออีก...
นั่นเพราะแม้เรื่องจะเกิดในยุคปัจจุบัน... แต่ก็เกิดการผันแปรอย่างไม่น่าเชื่อจากความเป็นจริงได้...
ยกตัวอย่างเช่น เอเลี่ยนบุกโลก... ซอมบี้เดินเพ่นพ่านไปทั่วท้องถนนเหมือนในหนังเอง ก็มีปรากฏให้เห็น..
แต่นั่นมันไม่สำคัญอีกแล้ว เพราะจุดร่วมของทุกลูปก็คือ พวกเธอทุกคนตาย....
แถมทุกๆครั้ง ยังเป็นการตาย ราวกับจัดฉากเล่นตลกของพระผู้เป็นเจ้า...
เมื่อทุกคนจะถึงฆาต ความหวังอันน้อยนิดก็จะปรากฏออกมาให้ไขว่คว้าอยู่เสมอๆ แต่ชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น... ความหวังก็ถูกเปลี่ยนให้เป็นความสิ้นหวังที่ล้ำลึกยิ่งกว่าเดิม
.
.
.
ทุกๆครั้งที่กลับมาที่ห้องสีขาว... ฉันก็พยายามคิดว่าทั้งหมดไม่ใช่ความจริงเพื่อประคองสติ...
แต่แล้วถ้างั้น... ถ้าทั้งหมดมันเป็นเรื่องโกหก... แล้วทำไมฉันถึงเจ็บปวดทรมานหล่ะ?
ไม่สิ... เดิมทีแล้ว... ความจริงมันคือ อะไรกันหล่ะ...
เป็นสิ่งที่จับต้องได้และต้องมีตัวตนงั้นเหรอ... หลังจากผ่านเรื่องพรรค์นี้มามาก ฉันก็เริ่มสงสัยแล้วว่ามันไม่ใช่...
แค่รู้สึกว่ามันมีตัวตน นั่นก็เรียกว่าความจริงแล้ว... นั่นแหล่ะคือความจริง...
แต่ยิ่งคิดแบบนั้นก็ยิ่งทรมานหลังจากกลับมาที่ห้องสีขาว...
แต่ความรู้สึกไม่ใช่เรื่องที่จะฝืนได้... แถมความสามารถสุดยอดการประมวลก็ยังใช้ไม่ได้... ไม่สิ... ด้วยกระแสเวลาที่ช้ากว่าด้านนอกเพราะคิดว่า เวลาในนี้ผ่านไปตั้ง 5 ปี ข้างนอกคงไม่ผ่านไปนานขนาดนั้นหรอก
งั้นก็แสดงว่าไม่ใช่ว่าไม่ได้ใช้สุดยอดการประมวลผล... แต่เป็นไปได้ว่าเวทย์นี่มันบังคับใช้สุดยอดการประมวลให้อยู่ในระดับสูงสุด เพื่อสร้างความเจ็บปวดจำนวนมากในเวลาอันสั้นก็เป็นได้
เพราะงั้นแหล่ะ ถึงต้องรอเท่านั้น... จนกว่ามันจะจบลงไปเอง... นรกบนดินที่สุดแสน จะทรมานนี่หน่ะ... แต่เมื่อไหร่มันถึงจะจบกันหล่ะ...
ถึงจะโดนเรื่องพวกนี้สุมใส่หัวทุกครั้งที่กลับมา ก็ไม่มีท่าทีว่าจะชินชาเลยซักนิด
หลังผ่านลูปครั้งที่หนึ่งร้อย... รู้สึกเหมือนหัวจะหนักๆ... แล้วก็เริ่มรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัว...
หลังผ่านลูปครั้งที่สามร้อย... ฉันเริ่มรู้สึกเฉยชาขึ้นมาจริงๆซะแล้ว... ไม่ใช่ความด้านชาเมื่อพวกเธอตาย... เรื่องแบบนั้นไม่มีวันชินหรอก... งั้นคงเป็นความด้านชาต่อทุกสิ่งนอกเหนือจากนั้นแทนหล่ะมั้ง
แถมร่างของตัวฉันอีกคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามก็จางลงเรื่อยๆ... แล้วตัวฉันก็รู้สึกอ้างว้างขึ้นเรื่อยๆเช่นกัน...
หลังผ่านลูปครั้งที่ห้าร้อย... ตรงอกรู้สึกเหมือนถูกไฟเผาอยู่ตลอดเวลา แต่ไม่สามารถอาเจียนออกมาได้... แต่เดิมแล้วก็เริ่มไม่อยากจะอาเจียนแล้วหล่ะ
อนึ่ง ตอนนี้ร่างของตัวฉันอีกคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามหายไปแล้ว แถมพอมองดูที่ร่างตัวเอง... ก็กลับกลายเป็นสี-ขาวดำแบบเดียวกับมันไปแล้ว... นี่หรือว่าตัวเรากลายเป็นตัวมันไปแล้ว...
ไม่สิ... เรื่องนั้นไม่เห็นจะสน... จะยังไงก็ได้ไม่ใช่เหรอ เรื่องนั้นหน่ะ....
หลังผ่านลูปครั้งที่หนึ่งพัน... ทัศนะคติของฉันเปลี่ยนไปมาก...ไม่รู้ว่าเข็มทิศคุณธรรมกำลังชี้ไปทางไหน... แต่บอกได้ว่าถ้าเกิดมีใครคิดแตะต้องพวกเธอแม้แต่ปลายก้อยอีก... ฉันก็พร้อมจะคลุ้มคลั่งและกลายเป็นสัตว์อสูรในทันที
...ซึ่งนี่คงเป็นครั้งสุดท้ายที่ตัวฉันยังคงความเป็นตัวเองไว้ได้แล้วมั้ง เพราะรู้สึกว่าในอกมันเริ่มบลวงโก๋แล้วสิ
หลังผ่านลูปครั้งที่สองพัน... รู้สึกเหมือนได้ยินเสียงคนกระซิบอยู่ในหูตลอดเวลาว่า 〝ฆ่ามันซะ ฆ่ามันเลย!〞 อยู่ตลอดเวลา...
หลังผ่านลูปครั้งที่ห้าพัน... ฉันรู้สึกเหมือนทำอะไรบางอย่างหายไป... บางทีมันคงจะเป็นเหตุผลหรือตรรกะต่ออะไรบางอย่างหล่ะมั้ง... แต่ไม่รู้สึกอย่างเก็บไว้เลยแฮะ งั้นทิ้งไปนั่นแหล่ะดีแล้ว
หลังผ่านลูปครั้งที่ 6000... รู้สึก... เอ๋! ความรู้สึกนี่คือยังไงน้อ... นึกไม่ออกเลยแฮะ
หลังผ่านลูปครั้งที่ 7000... ............
หลังผ่านลูปครั้งที่ 8000... .....................................?
หลังผ่านลูปครั้งที่ 9000... เหตุผลถูกเป่าหายไปจากสมอง... ที่ยังมีอยู่ก็แค่... ความทรงจำ... ถึงพวกเพื่อนๆทั้ง 4 มีอา... เมอร์ลิน... น้องของอลิซและพี่สาวเท่านั้น...
หลังผ่านลูปครั้งที่ 9900... ความรู้สึกเกือบทั้งหมดด้านชา... เหลืออยู่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น... ที่เป็นการยืนยันความเป็นมนุษย์... นั่นคือ... ความรัก? ต่ออะไรบางอย่าง ซึ่งอะไรบางอย่างนั่นก็เหมือนจะเลือนรางลงทุกที...
หลังผ่านลูปครั้งที่ 9999... คำศัพท์ที่น่าจะสำคัญหลายอย่าง หายไปจากสาระบบของฉัน... ความเจ็บปวด... ความทรมาน... ความชั่ว... สิทธิมนุษย์ชน... จริยธรรม... คุณธรรม... ฯลฯ
เยอะเกินไปแล้ว... สงสัยนับอันที่เหลือจะง่ายกว่ามั้ง...
ที่เหลืออยู่มีแค่....
การสังหาร... ความเด็ดขาด... แล้วก็...
....การทำทุกอย่างเพื่อช่วยชีวิตคนที่ฉันรัก
ฮะฮ่ะ! น่ายินดีจริงๆที่ยังเหลือความเป็นมนุษย์ไว้ให้
เหลือแค่นั้นไม่มีหน้ามาเรียกตัวเองว่ามนุษย์หรอก... นั่นคือความจริงที่ฉันไม่ได้ตระหนัก... เพราะตอนนี้... ฉันไม่เข้าใจอีกแล้วว่าความเป็นมนุษย์ใช้อะไรเป็นเกณฑ์
แต่เรื่องนั้นเป็นยังไงก็ได้ไม่ใช่เหรอ?
มันไม่สำคัญอีกแล้วนี่นา เพราะเหตุผลเพียงหนึ่งที่สลักในจิตใจของฉันตอนนี้มันมีแค่อย่างเดียวนี่นา นั่นก็คือ.....
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
ความตายของไอ้พวกห่าแตะต้องยัยพวกนี้ยังไงหล่ะ!
ใครมาแย่งของๆฉันก็ฆ่า.... ใครมาทำให้ฉันเจ็บฉันก็ฆ่า แค่นั้นเองนี่นา
ใครมาขวางก็ฆ่า
ใครมาขวางก็ฆ่า
ใครที่ทำให้รินเจ็บจะฆ่าแม่ง
ใครที่ทำให้อลิซปวดก็จะฆ่า... ตัดเนื้อเถือหนังมันมา แล้วป้ายเกลือใส่มัน แล้วก็โยนมันลงบ่อลาวา ให้มันร้องขอชีวิตอย่างน่าเวทนา แล้วก็จะบั่นคอมันอย่างไร้ความปราณี
ฆ่า ฆ่า ฆ่า ฆ่า ฆ่า ฆ่า ฆ่า ฆ่า ฆ่า ฆ่า ฆ่า ฆ่า
ฆ่า ฆ่า ฆ่า ฆ่า ฆ่า ฆ่า ฆ่า ฆ่า ฆ่า ฆ่า ฆ่า ฆ่า
ใครมาแตะมีอาก็จะฆ่า
ใครมาต้องเมอร์ลินฉันก็จะฆ่า
จะจัดการให้หมด... จะฆ่าไม่ให้เหลือ... ไม่ให้ไอ้ตัวไหนมาแตะต้องพวกเธอ
จะฆ่า จะฆ่า จะฆ่า จะฆ่า จะฆ่า จะฆ่า จะฆ่า จะฆ่า
ฆ่าแม่ง ฆ่าแม่ง ฆ่าแม่ง ฆ่าแม่ง ฆ่าแม่ง ฆ่าแม่งให้หมด
จนกว่า『พวกมัน』จะถูกลบหายไปจากเอกภพ...
กูจะตามล่า『พวกมัน』จนถึงสุดขอบจักรวาล...
จนกว่า『พวกมัน』จะตายห่ากันแม่งให้หมด...
.
.
.
.
หึหึ!!! ฮะฮะฮ่ะ ฮะฮะฮ่ะ ฮะฮะฮ่ะ!!!!!!!!!!!
เด็กหนุ่มนามว่ากร หัวเราะอย่างบ้าคลั่งในความคิดของตัวเองที่จิตใจแหลกสลายเป็นครั้งที่สามในชีวิต ทำให้ความรู้สึกทั้งหมดถูกปิดผนึกในความมืดมิดไปตลอดกาล
【ยินดีด้วย! คุณผ่านเงื่อนไขในการได้รับฉายาใหม่แล้ว!!!】
.
.
.
【『อุษณกร วัชรวิรุฬห์ 』ได้รับฉายา….. 〘The arks enDs〙แล้ว!!!】
เสียงประกาศที่ไม่ทราบเพศดังขึ้นในสติของกร เป็นสัญญาณว่ากรผ่านเงื่อนไขบางอย่าง แต่ก็ไม่สามารถส่งผ่านไปยังสมองของกรได้ เพราะที่กรกำลังคิดอยู่มีเพียงการฆ่าฟันเพื่ออะไรบางอย่างที่เขาลืมไปแล้วเท่านั้น...
แต่โชคยังดี?ที่เด็กหนุ่มได้คำสาปติดตัวกลับไปถึงสองอย่างจากเหตุการณ์ในครั้งนี้... อย่างแรกก็คือฉายาปริศนาที่ไม่มีคำอธิบายเช่นเคย... และอย่างหนึ่งก็คือ ผลลัพธ์อันเกิดจากการผูกสัมพันธ์กับสาวๆ มาหลายครั้ง ซึ่งรวมเวลาแล้วนั้นมากกว่าแสนปีเสียอีก นั่นคือ...
การแสดงความรู้สึกอย่างตรงไปตรงมาและคงความเป็นตัวเองบางส่วนได้ ก็ต่อเมื่ออยู่ต่อหน้าของคนที่ตัวเองรักได้เพียงเท่านั้นเอง....
❖❖❖❖❖
ฉั๊ว!!!!
〝หนอย!〞
กองทัพของเมอร์ลินถูกตีแตกเข้ามาเรื่อยๆ ความต่างด้านจำนวนถูกแทนที่ด้วยพลัง เพียงพริบตาเดียวขบวนร้อยอสูรก็สิ้นท่า แล้วทศกัณฑ์ขนาดเท่ามนุษย์ก็ยืนห้อมล้อมมีอาและเมอร์ลินด้วยจำนวน 300 ตัวเท่าเดิม
นั่นคือผลการต่อสู้... พวกเมอร์ลินเสียกำลังรบไปทั้งหมด ส่วนทศกัณฑ์ไม่มีตัวไหนหายไปซักตัวเดียว...
ในด้านฝีมือ เมอร์ลินสามารถทำให้พวกมันหายไปได้ แม้จะยาก แต่ก็ไม่เกินความสามารถ.... แต่ด้วยภาระทางจิตใจในตอนนี้ ตัวเธอไม่ได้มีความคิดแบบนั้นอีกแล้ว
ตึง! ตึง!
ทศกัณฑ์ขนาดย่อส่วนเดินเข้ามาใกล้ทั้งสองคน พลางเงื้อดาบขึ้นเหนือศีรษะ แล้วฟาดลงอย่างแรงพร้อมๆกัน แต่ก็ถูกกันไว้ด้วยเกราะเวทย์ของเมอร์ลิน และออร่าของมีอา
ทศกัณฑ์ที่เห็นว่าเกราะเป็นเรื่องน่ารำคาญ ทำการบัฟสเตตัสให้กับทศกัณฑ์จิ๋วทั้งหมด แล้วก็เดินเข้ามาทางเมอร์ลินพร้อมๆกับสมุน 300 ตัว แต่ทั้งสองคนก็ไม่ได้กังวลเลยซักนิด พร้อมทั้งเชื่อใจว่ากรต้องกลับมาได้ จนถึงตอนนี้แม้จะไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับ
กรต้องต่อสู้อยู่กับอะไรบางอย่างอยู่แน่นอน เพราะงั้นถึงคิดว่าจะต้องรอ คอยปกป้อง... ตัวกรที่ต่อสู้อยู่เพียงลำพังให้ได้ แต่พวกเธอไม่ได้รู้เลย... ว่าการคิดแบบนั้นมันง่ายเกินไป
〖สายตาแบบนั้น... หึหึ! นี่ยังคิดว่าเจ้าหนุ่มนั่นจะกลับมาได้อยู่งั้นเหรอ? 〗
〝ต้องกลับมาแน่นอน!〞
มีอาตอบกลับคำสบประมาทของทศกัณฑ์กลับไปโดยที่ไม่ต้องคิด ด้วยความเชื่อมั่นสุดหัวใจ แต่แล้วประโยคต่อไป ก็ต้องทำให้ทั้งคู่รู้สึกถึงความสิ้นหวังอีกครั้งอย่างเลี่ยงไม่ได้
〖อ้าว! แต่นี่มันก็ครบ 13 วินาทีแล้วนะ.... เหตุใดเจ้าหนุ่มถึงยังไม่ได้สติกันหนอ?〗
เพราะเอาแต่ปกป้อง จนไม่ได้ดูเวลาที่ผ่านไปเลยซักนิด ว่าเวลามันครบกำหนดไปแล้ว...
กรยังคงแน่นิ่งไม่ไหวติง... ถึงจะหายใจแต่เรียกไม่ได้ว่ามีชีวิตอยู่... กรในตอนนี้เหมือนกับตุ๊กตาไม้ที่มีรูปลักษณ์ภายนอกเป็นมนุษย์เสียมากกว่าอีก
〖แหมๆ... ก็เห็นภาพคนที่ตัวเองรักตายเป็นร้อยเป็นพันครั้งนี่นา... จะกลายเป็นแบบนั้นก็ไม่แปลกหรอกนะ〗
〝!!!!!〞
ทศกัณฑ์ตอบความสงสัยแก่ทั้งสองคนที่เบิกตาโพลง... ในจังหวะที่ได้ยินคำตอบ จิ๊กซอทั้งหมดก็ต่อเป็นรูปร่าง... พวกเธอเข้าใจได้ในทันทีว่าทำไมถึงถูกเรียกชื่อ แล้วกรถึงทรมานอย่างไม่ได้สติ ในจังหวะนั้นหัวใจของพวกเธอหล่นวูบลงไปอยู่ตาตุ่มด้วยความใจหาย และเป็นอีกครั้งที่ความหวังถูกเป่าให้หายไปอย่างสิ้นเชิง
〝กรกำลังทรมานแบบนั้นอยู่คนเดียว... แต่ฉันกลับช่วยอะไรไม่ได้... ทั้งที่อุตส่าห์ถูกกรยอมรับ แถมยังถูกรักทั้งที่ไม่มีอะไรดีแท้ๆ แต่กลับตอบสนองความรู้สึกของกรไม่ได้〞
〝คนที่เจ็บปวดมันน่าจะเป็นฉัน หมอนี่ต้องแบกรับความทรมานมากขนาดนี้แทนฉันงั้นเหรอ?〞
ความคิดของทั้งสองคนวนเวียนแบบนั้นอยู่ในหัวหลายต่อหลายครั้ง จนทำให้หมดขวัญกำลังใจในการต่อสู้ ไร้เรี่ยวแรงกายและใจ... หมดสิ้นความหวัง...
ในจังหวะที่สายตาของทั้งสองคนเปลี่ยนไปเป็นไร้ประกาย แล้วก้มหน้าลงยอมรับสภาพ ทศกัณฑ์ที่เดินเข้ามาประชิดตัวก็ทำการเรียกทวนมาอยู่ในมือขวาทั้งสิบอีกครั้ง เพื่อหวังจะปลิดชีพทั้งสอง ไม่สิ... สามคนด้วยตัวเอง
พอเห็นว่าได้ที ทศกัณฑ์ก็ยิ้มออกมาอย่างน่ารังเกียจเป็นครั้งสุดท้าย... ก่อนที่จะฟาดทวนลงไปยังจุดที่ทั้งสามคนอยู่อย่างแรงจนเกิดเสียงดังสนั่นลั่นห้อง จนทั้งสามถึงแก่ความตาย...
...ความจริงแล้วมันน่าจะเป็นแบบนั้น...
.
.
.
〝〝!!!!!〞〞
กรลืมตาขึ้นมาในเสี้ยววินาทีก่อนที่ทวนจะถูกฟาดลงมา แล้วจัดการโอบเอวของมีอาและเมอร์ลินไว้ข้างลำตัวของตัวเองด้วยความเร็วที่เหลือเชื่อ... ก่อนที่จะถีบพื้นลอยขึ้นไปในแนวทแยงพร้อมกับหิ้วทั้งสองคนไปด้วยกัน ทำให้การโจมตีของทศกัณฑ์หวดลมไปโดนพื้นเปล่าๆ จนเกิดเสียงดังลั่นและพื้นดันเจี้ยนแตกแขนงไปทั่ว จากนั้นก็แลนดิ้งลงพื้นอย่างสวยงามด้วยการตอบสนองระดับสุดยอด ในระยะที่อยู่ห่างจากทศกัณฑ์ร่างหลักราวๆ 200 เมตร
〝ไม่ได้เจอกันนานโคตรเลยนี่หว่า〞
〖โกหก... เจ้าหนุ่ม แกกลับมาได้... เป็นไปไม่ได้!!!〗
รอยยิ้มจางหายไปจากใบหน้าของทศกัณฑ์เหลือไว้เพียงแค่ความตกตะลึง
นี่เรา... ยังไม่ตายงั้นเหรอ...
นั่นคือสิ่งแรกที่มีอาและเมอร์ลินคิด หลังจากจำความได้ว่าครั้งล่าสุด น่าจะถูกทวนของทศกัณฑ์ฟาดลงมาอย่างแรงจนตายคาที่ไปแล้ว... แต่พอรู้สึกตัวอีกที ตัวเองกลับลอยอยู่บนอากาศ ไม่สิ... ถูกอุ้มอยู่ต่างหาก... โดยใครบางคน พอสงสัยว่าคือใคร ก็ลองมองช้อนขึ้นไป แล้วก็พบเข้ากับคนที่เฝ้าหวังและโหยหาเสียที
〝〝กร!!!!!〞〞
ทั้งสองคนตะโกนออกมาดังลั่น.... สายตาถูกเปลี่ยนให้เป็นความหวังอีกครั้งพร้อมกับประกายและร้อยยิ้มที่สว่างไสวดุจดั่งดวงอาทิตย์กลับมาบนใบหน้าของทั้งสอง
กรคิดอยู่ในใจว่า ในที่สุดก็ได้เห็นอีกครั้ง... รอยยิ้มจริงๆของทั้งสองคน... พลางประคองทั้งสองคนลงยืนกับพื้น
แล้วมีอาก็โผเข้าไปกอดตัวกรที่เพิ่งกลับมาได้... อันที่จริงมันควรจะเป็นแบบนั้น
〝ง่า!!!!!!!! ยั้งยองฮนนนนนน ยึกว่าจะไม่ไย่ เยอกันแย้วยะอีก!!!!!!!!!!!!!!!〞
กรโผเข้าไปล็อคคอทั้งมีอาและเมอร์ลินไว้จากด้านหน้าของทั้งสอง ดึงใบหน้าของทั้งสองที่อยู่ในอ้อมแขนมาแนบไว้กับแก้มตัวเอง ร้องไห้น้ำมูกโป่งพลางเอาแก้มทั้งสองข้างของตัวเองถูไปที่ใบหน้าของทั้งสองคนทั้งน้ำตา
แม้จะยังตกใจ แต่ทั้งสองคนที่รู้ว่ากรน่าจะเจออะไรมาบ้างก็กอดกรกลับไปอย่างอ่อนโยนเช่นกัน
ตามปกติแล้วเมอร์ลินน่าจะพูดออกมาว่า〝แบบนี้มันน่าขยะแขยงนะ ออกไปไกลๆเลยไป〞 แต่ด้วยความรู้สึกเจ็บปวดตรงอก ที่คิดว่า กรไปเจออะไรมาแล้ว หัวใจก็แทบจะถูกฉีกกระชาก เลยทำให้พูดไม่ออก... แล้วในจังหวะที่กรได้สติแล้วโผเข้ากอดตน ความรู้สึกบางอย่างก็ก่อตัวขึ้นในหัวใจดวงน้อยๆของเธอ...
ความหวังงั้นเหรอ? โล่งใจ... หรือว่าความรู้สึกผิด... ไม่สำคัญเลย... เพราะเธอได้รับสัมผัสแห่งความสุขที่ไม่ได้สัมผัสมานาน เธอจึงดื่มด่ำกับมันอย่างเต็มที่โดยเพิ่งมาทำความเข้าใจทีหลังว่านั่นคือ....
........ความรัก
〖เป็นไปได้ยังไง!!!!!?〗
ทศกัณฑ์ถามออกมาด้วยความตกตะลึงต่อหน้ากรที่ฟื้นสติได้อย่างปาฏิหาริย์
กรทำเมินไม่ได้ยินเสียงของยักษ์สีเขียวที่กำลังหงุดหงิด พลางเช็ดน้ำตาแล้วก็ผละตัวออกมาจากทั้งสองคนแล้วยิ้มให้อย่างอ่อนโยน ทั้งสองคนยิ้มตอบกลับมาโดยอัตโนมัติ กรจึงเผลอลูบหัวทั้งมีอาและเมอร์ลินกลับไปโดยไม่ได้ตั้งใจ จากความสนิทสนมฝ่ายเดียวที่สั่งสมมาร่วมแสนปีในกระแสเวลาสมมติ แต่ทั้งสองคนก็ไม่ได้รู้สึกรังเกียจแต่อย่างใด
〖ไม่ได้ยินเรอะ!!!!!! ข้าถามว่าเจ้ากลับมาได้ยังไงเจ้าหนุ่ม〗
〝บลา บลา บลา... มึงนี่น่ารำคาญจริงๆ〞
กรหันกลับมาเผชิญหน้ากับทศกัณฑ์ด้วยสายตาและสรรพนามที่ใช้เรียกมันเปลี่ยนไป ทำให้มีอาและเมอร์ลินตกใจพอสมควร แต่พวกเธอก็เข้าใจได้อยู่เนืองๆว่า กรในตอนนี้ได้เปลี่ยนไปแล้ว...
〝ทำกับกูไว้แสบมากนะมึง...〞
ไม่มีเหตุผลที่ต้องกลัวมด... ทศกัณฑ์ที่มองลงมายังพื้น ผสานกับสายตาของกรที่ตัวเล็กกว่า 100 เท่าด้วยความสงสัย... แต่กระนั้น จิตสังหารของกรกลับเป็นสิ่งที่น่าหวาดหวั่นอย่างมาก... ทศกัณฑ์ไม่มั่นใจเลยว่าตัวเองกำลังเผชิญหน้ากับอะไร... และที่ตัวเองทำลงไปก่อนหน้ากลับให้ผลตรงข้าม...
〖เอาเถอะ... ถึงเจ้าจะกลับมาได้ แต่เรื่องที่พวกเจ้าต้องตายอยู่ที่นี่ก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปหรอก...〗
〝ให้ตายสิ... มึงนี่มันโง่บรมเลยจริงๆพับผ่าสิ〞
〖ว่าไงนะ!!!〗
〝งั้นก็แคะหูให้โล่งๆ แล้วก็ตั้งใจฟังดีๆหล่ะไอ้ยักษ์เวร...〞
หลังจากยั่วโมโหยักษ์ที่มีความสามารถแฝงสุดหยั่งถึงตนนี้แล้ว กรก็ก้าวออกมาข้างหน้าสองก้าวอย่างมั่นคง
〝คนที่จะตายหน่ะ... มีแค่มึงตัวเดียว〞
แล้วก็ยกมือขวาขึ้นมาชูนิ้วกลางใส่หน้าทศกัณฑ์ แล้วก็ตอบกลับไปด้วยเสียงที่ดังฟังชัดอีกครั้งนึง ด้วยเสียงที่เย็นชาและว่างเปล่าพร้อมกับรอยยิ้มที่ฉีกเสียจนกว้างอย่างน่ากลัว จนเป็นอีกครั้งที่มีอาและเมอร์ลินที่ตะลึงอยู่ข้างหลังคิดขึ้นมาว่ากรได้เปลี่ยนไปแล้วอีกครั้ง แต่ว่านั่นมันผิดถนัด... ทำไมงั้นเหรอ?
นั่นเพราะตัวกรในตอนนี้ได้เปลี่ยนไปแล้ว.... อย่างสิ้นเชิง ยังไงหล่ะ
หลังจากที่กรได้สติจากการหลับใหลในเวลาสมมติอย่างทรมานเกือบๆแสนปี ภายในหัวตอนนี้มีแค่เรื่องเดียวเท่านั้น...〝อาวหล่ะทีนี้... จะจัดการยังไงดีน้า!?〞กร๊อบ! กรหักนิ้วมือทั้งสิบของตัวเอง พลางคิดแผนการ ฆ่า ทศกัณฑ์อยู่ในหัว มีอาและเมอร์ลินที่ยืนอยู่ข้างหลังก็ขยับเข้ามาใกล้กร เพื่อที่จะปรึกษาแผนการ〖แก... ท่าทางหยิ่งยโสแบบนั้นมันอะไร!? เจ้าหนุ่ม แกทำข้าโมโหนัก!!!!〗 กับผลลัพธ์ที่ตรงกันข้ามกับที่หวังไว้ว่า กรที่โดนเวทย์เข้าไป ต้องจิตใจแหลกสลายแล้วกลายเป็นเจ้าชายนิทราตลอดกาล นั่นเลยทำให้ทศกัณฑ์ตกตะลึงและหงุดหงิดถึงที่สุด〝มีอาคุ้มกันด้วย.... เมอร์ลินยื่นหูมาทีสิ〞 กรหันกลับไปด้านหลังทำเมินทศกัณฑ์อีกครั้ง แล้วกวักมือเรียกทั้งสองคนก่อนที่จะออกคำสั่งตามลำดับ มีอาขยับขึ้นมาข้างหน้าบังกรไว้ ส่วนเมอร์ลินก็ขยับหูเข้ามาใกล้ เพื่อที่กรจะได้แอบกระซิบอะไรบางอย่างได้สะดวก〝นะ นี่นาย! แบบนั้นไม่ไหวหรอก!〞〝!〞 เมอร์ลินตะโกนออกมาด้วยน้ำเสียงไม่พอใจทันทีที่กรกระซิบบอกแผนการ นั่นทำให้มีอาที่คอยดูท่าทีทศกัณฑ์อยู่เยื้องไปข้างหน้าเล็กน้อย ร่างกระตุกเบาๆเช่น
สายลมฤดูร้อนพัดผ่านเข้ามาทางหน้าต่าง ทำให้ผ้าม่านในห้องพยาบาลสำหรับทหารในกองอัศวินโบกสะบัด แล้วพอลมสงบ ก็ปรากฏร่างของเด็กสาวนั่งเหยียดขาตรงอย่างเรียบร้อยอยู่ใต้ผ้าห่ม เอนหลังพิงกับหัวเตียง มองออกไปทางหน้าต่างที่เพิ่งมีลมพัดผ่านโดยไม่แม้แต่จะกระพริบตาซักนิด เด็กสาวที่แม้จะเพิ่งตื่นจากการหลับใหล อยู่ในชุดเดรสติดระบายสีขาวหลวมๆ แต่เนื้อผ้าไม่ได้โปร่งถึงขนาดจะส่องเห็นเนื้อหนังมังสาได้ เด็กสาวที่ได้รับการกระทบกระเทือนทางจิตใจ ถึงจะไม่มากนัก แต่ก็ทำให้บรรยากาศรอบตัวเปลี่ยนไปนิดหน่อย แต่เดิมที่ขี้อาย ก็ค่อนข้างเงียบขรึมและเยือกเย็นขึ้นมา แม้ลมจะพัดเข้ามาเป็นครั้งที่สองของวัน มากระทบกับเปลือกตา แต่เธอก็ยังไม่ยอมหลับตา และจ้องมองออกไปยังอีกฟากหนึ่งของท้องฟ้า เพื่อรอคอยการกลับมาของชายที่ตัวเองรักด้วยความรู้สึกหลายๆอย่างทับถมกันอยู่ในอก อย่างกระวนกระวายและทรมานก๊อกๆๆ!〝ริน! พวกเราเข้าไปนะ! 〞〝อื้ม!〞 หลังสิ้นคำขออนุญาตด้วนน้ำเสียงที่ฟังแล้วสุภาพและค่อนข้างเป็นทางการ ชาญที่เป็นต้นเสียง อลิซและโชตก็เดินเข้ามาในห้องพยาบาลส่วนตัวที่มีแค่รินอยู่ข้างในตามลำดับ แ
หลังจากกองทหารของฮันซี่กลับมาจากภารกิจค้นหาตัวกรที่ถูกวาร์ปเข้าไปในมหาดันเจี้ยนโบราณ ก็ผ่านมาแล้วถึงหนึ่งสัปดาห์ ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่กรชนะทศกัณฑ์และเคลียร์ดันเจี้ยนสุดหฤโหดได้พอดิบพอดี... หากปล่อยไว้นานนักเรียนผู้กล้าทุกคนจะยิ่งระสับระส่าย ดังนั้นพอทุกอย่างเข้าที่เข้าทาง ฮันซี่จึงเรียกรวมตัวทุกคนแล้วประกาศเรื่องที่กรเสียชีวิตไปแล้วในดันเจี้ยนอย่างเป็นทางการในทันที และแน่นอนว่านั่นทำให้ทุกคนช็อคมาก แต่ไม่ได้หมายความถึงว่าตกตะลึงเมื่อเพื่อนร่วมโรงเรียนอย่างกรตาย เพราะนักเรียนส่วนใหญ่ไม่ได้ชอบกรมากนัก... แต่เป็นความตกตะลึงจากการที่มีคนตายจากอุบัติเหตุในการฝึก ทำให้ตระหนักได้ว่าตอนนี้ตัวเองไม่ได้อยู่ในโลกที่สงบสุขอีกต่อไปแล้ว และกำลังถูกฝึกเพื่อเป็นทหารไปสู้รบกับเผ่าอื่น เนื่องจากนั่นเป็นทางเดียวที่จะได้กลับบ้าน แถมนั่นยังเป็นแค่เรื่องแต่งของพระราชาอีกต่างหาก นั่นจึงทำให้ทุกคนหดหู่ไปนานมากเลยทีเดียว แต่ฮันซี่ก็ไม่ใจร้ายไส้ระกำขนาดที่จะบังคับนักเรียนที่ไม่มีกระจิตกระใจฝึก เขาจึงปล่อยให้ทุกคนจัดการความคิดของตัวเองอยู่นานพอสมควร จนกว่าที่งานศพของกรจะจบลง...❖
ในชั้นลึกสุดของดันเจี้ยนใต้ชั้นที่ 100... มันคือพื้นที่กว้าง มีลักษณะเป็นป่าโปร่ง ที่มีต้นไม้น้อยใหญ่สีเขียวขจีเรียงรายกันอยู่นับไม่ถ้วน มีแม่น้ำ ลำคลองเล็กใหญ่แซมอยู่ระหว่างทาง ลึกเข้าไปอีกพอประมาณก็จะพบเข้ากับรั้วของคฤหาสน์หลังใหญ่ ถูกล้อมรอบไปด้วยป่าโปร่งรอบด้านราวกับใช้แทนป้อมปราการ ถัดจากรั้วเข้าไป มันคือสวนหย่อมที่ถูกประดับด้วยดอกไม้นานาชนิด และสิ่งปลูกสร้างมากมายไม่ว่าจะเป็นน้ำพุ รูปปั้น หรือมีแม้กระทั่งโต๊ะน้ำชากลางแจ้งที่มีม่านจากต้นไม้บดบังแสงอาทิตย์ดูร่มรื่นไม่ใช่น้อย และลึกเข้าไปอีกในคฤหาสน์ ทางเดินถูกปูด้วยพรมสีแดงราวกับพระราชวัง มีโคมระย้าแขวนห่างกันเป็นช่วงๆ และไม่ดูรกเกินไป อีกฝั่งหนึ่งคือกระจกบานยักษ์ที่ใช้มองดูวิวนอกคฤหาสน์ ส่วนอีกฝั่งหนึ่งมีประตูห้องต่างๆ เรียงเป็นแนวยาวตามปกติ ราวกับห้องเรียนที่อยู่ชิดติดระเบียงยังไงอย่างงั้น จนถึงสุดทางเดิน มีประตูของห้องๆหนึ่ง เปิดแง้มออกมา โดยมีแสงอาทิตย์ยามเช้าเล็ดรอดออกมาพร้อมกัน ภายในนั้นได้รับการตกแต่งอย่างโอ่อ่า ไม่ว่าจะโคมระย้าสีทองอร่ามที่แขวนอยู่กลางห้อง หรือว่าจะเป็นพวกเครื่องเรือ
หลังจากที่กรสามารถเคลียร์หนึ่งในมหาดันเจี้ยนโบราณ ที่มีระดับความยากสูงที่สุดในโลกได้สำเร็จ กรจึงได้รับรู้ถึงความจริงของโลก.... ไม่สิ ของจักรวาลจากปากของผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์โดยตรงซึ่งก็คือฟรังซ์ ออลเดลที่เป็นดันเจี้ยนมาสเตอร์ของมหาดันเจี้ยนแห่งนี้ จอมมารยังคงมีชีวิตอยู่ และถูกผนึกไว้เท่านั้น แถมผนึกที่ว่ายังอยู่ได้อย่างน้อยอีกแค่ 6 เดือน... นั่นคือ ความเป็นจริงที่น่าหวาดหวั่น... พลังของจอมมารนั้น มีมากมายมหาศาลถึงขนาดที่ว่าทำให้ดวงดาวหลายสิบดวงแตกสลาย รวมถึงยังทำให้ดาวของพวกเทพล่มสลายลงได้อีก... แทบจะไม่ต้องคิด... เมื่ออยู่ในสถานการณ์ดังกล่าว กรจึงตัดสินใจที่จะปกป้องสิ่งสำคัญที่อยู่ในมือก่อนเหนือสิ่งอื่นใด และตัดสินใจเป็นคนรับหน้าเพื่อปราบจอมมารในทันที เพราะหากไม่เป็นเช่นนั้น ทุกอย่างที่สำคัญรวมถึงจักรวาลแห่งนี้ คงจะล่มสลายลงด้วยน้ำมือของจอมมารเป็นแน่.......ผั๊ว! ผั๊ว! ผั๊ว! ผั๊ว!——————— เสียงแปลกๆที่เกิดจากวัตถุบางอย่างกระทบกัน ดังขึ้นอย่างต่อเนื่องมาจากชั้นใต้ดินของคฤหาสน์หลังใหญ่ที่ตั้งอยู่ใจกลางชั้นที่ 101 ซึ่งเป็นอยู่พักอาศัยข
〝『ค่าสิทธ์』 เหรอ?〞 พอกรเลื่อนหน้าต่างที่ดูน่าสงสัยนี้มาอยู่ตรงกลางทัศนวิสัย เมอร์ลินที่มองเห็นได้อย่างชัดเจนเพราะถูกเลื่อนมาอยู่ในขอบเขตที่เธอมองเห็นได้ จึงถามออกมาด้วยความสงสัยเช่นกัน แล้วไม่รอช้า... กรรวมถึงมีอาและเมอร์ลิน... แม้แต่เคลเบรอสและฟรังซ์ที่ยื่นหน้าเข้ามาดูจากทางด้านหลังเองก็ทำการอ่านรายละเอียดที่เขียนอยู่บนหน้าต่างนี้ในทันทีเช่นกัน... หน้าต่างค่าสิทธ์1 - ???????????2 - ?????, ดาวเคราะห์3 - พระเจ้า ดันเจี้ยนมาสเตอร์ มอนสเตอร์และบอสในดันเจี้ยน (ระดับ SS ขึ้นไป)4 – เผ่าเทพเจ้าและตัวตนระดับสูง (เช่น เทพตกสวรรค์ วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ปีศาจ)5 – มอนสเตอร์ในดันเจี้ยน (ระดับ A ขึ้นไป แต่ไม่ถึงระดับ SS)6 - มอนสเตอร์และบอสนอกดันเจี้ยนทั้งหมด (ระดับ A ลงไป)7 - ผู้ปกครองแผ่นดิน8 - สิ่งมีชีวิตทรงปัญญาทุกประเภท9 – ทาสและสิ่งมีชีวิตไร้สติปัญญา*หมายเหตุ : การตั้งค่าทุกอย่าง ถูกขยายขอบเขตให้สามารถตั้งค่าบุคคลอื่นในแบบเดียวกับที่ตั้งค่าให้กับตัวเองได้ทุกอย่างปล. สีเขียว คือ กลุ่มที่มีค่าสิทธิ์ต่ำกว่าผู้ใช้ เป็นกลุ่มที่สามารถตั้งค่าได้ทุกอย่าง
เรื่องราวของแม่ทัพคนที่ 7 งั้นเหรอ?จะว่าไปแล้ว เรื่องที่ฟรังซ์ ออลเดลเล่าครั้งแรกนั่นก็มีกล่าวถึงเหมือนกันนี่... ถึงจะพูดถึงแค่ครั้งเดียวเองก็เถอะถ้าจำไม่ผิด... เจ้านั่นบอกว่าแม่ทัพที่สู้กับจอมมารหน่ะมี 7 คน แล้วต่อมา 6 ใน 7 คน ได้กลายเป็นมหานักปราชญ์....เราเองก็คาใจมาตลอดว่าอีกคนนึงคือใคร... เพราะจาก 6 คน ก็มีพระเจ้าคนนึง กับดันเจี้ยนมาสเตอร์อีก 5...เราเองก็หาหนังสือแบบเดียวกันมาตลอด แต่ไม่มีถูกกล่าวถึงเลยซักนิด เหมือนกับมีคนจงใจลบข้อมูลส่วนนั้นออกไปเลย...แต่ถือวิสาสะเอามาอ่านเองแบบนี้นี่ ยัยนั่น.... เมอร์ลินจะโกรธรึเปล่าเนี่ย... แถมในส่วนลึกของจิตใจ เรากลับรู้สึกว่า ไม่ควรไปแตะต้องมันซะนี่... กรที่กำลังลังเล พยายามก้าวเท้าขวาเข้าไปข้างในห้องแต่ก็ต้องชักเท้ากลับออกมาเพราะรู้สึกผิดอยู่ในใจ แต่แล้วความอยากรู้อยากเห็นก็เข้าครอบงำอีกครั้งเขาจึงก้าวเท้าเข้าไปอีก แล้วพอมาคิดดูว่าเมอร์ลินจะรู้สึกยังไงที่โดนรุกล้ำเข้าพื้นที่ส่วนตัวโดยไม่ได้รับอนุญาติ กรก็ชักเท้าหนีอีกจนไม่ได้เข้าไปเสียที จนแม้จะผ่านไปถึง 5 นาทีเขาก็ยังคงทำแบบนั้นอยู่ด้านหน้าห้องของเมอร์ลิน จนกระทั่ง...〝ทำอะไร
——— 3 วันต่อมา กิจวัตรประจำวันเมื่ออยู่คฤหาสน์ของกรยังคงดำเนินต่อไป ด้วยตารางการฝึกของฟรังซ์เพื่อ『การเพิ่มขีดจำกัดด้วยออร่า』 ด้วยความสามารถในการเรียนรู้อย่างรวดเร็วของกร... บัดนี้เขาสามารถควบคุมจินตนาการได้จนเกือบสำเร็จแล้ว ซึ่งถือเป็นความก้าวหน้าอย่างดีเยี่ยมเลยทีเดียว ส่วนผลลัพธ์ที่เห็นได้ชัดเลยก็คือ....ฉั๊ว! ฉั๊ว! ฉั๊ว! ฉั๊ว! ฉั๊ว! ฉั๊ว! 〝อ้าว ๆ !!! คราวนี้ลองรับดาบข้าดูเจ้าหนู!〞 กรในตอนนี้กำลังต่อสู้กับวิชาดาบสุดร้ายกาจของเคลเบรอสในร่างลุงวัยกลางคนสวมชุดพ่อบ้านเช่นเคย สเต็ปการก้าวเท้าหลบของกรนั้นช่างลื่นไหลราวกับกำลังเต้นลีลาศด้วยการกระหน่ำโจมตีของเคลเบรอส แต่ด้วยความร้ายกาจของเคลเบรอสทำให้มีวิถีดาบจำนวนหนึ่งเล็ดรอดออกมาได้ กรจึงใช้มือปัดป้องออกอย่างง่ายดาบราวกับเป็นเพียงของเล่น กรที่อยู่ในชุดฝึกนั้นเรียกได้ว่าไร้อาวุธอย่างแท้จริง จะมีก็แต่ร่างกายที่ถูกคลุมด้วยออร่าสีขาวบริสุทธิ์เท่านั้น ที่ใช้แทนกันได้... แม้จะเป็นการต่อสู้แบบหนึ่งต่อหนึ่งก็ยังพอสูสีได้ เพียงแต่ว่า...ปั้ง! ปั้ง! ปั้ง! ปั้ง! ปั้ง! ปั้ง! 〖อย่าลืมว่าย
———— 1 สัปดาห์ต่อมา ชั้นที่ 2 ของมหาดันเจี้ยน『หอคอยแห่งปัญญา』 ณ ดันเจี้ยนชั้นพิเศษ ซึ่งถูกสร้างโดยอาเธนต่อจากชั้นที่ 1 อันเป็นชั้นที่เอาไว้หลอกคนทั่วไป ถูกสร้างขึ้นเพื่อการฝึกฝนและเก็บเลเวลโดยเฉพาะ หากแต่ผู้ที่จะใช้มันได้นั้น มีเพียงแค่กลุ่มของผู้ที่ผ่านการทดสอบที่แท้จริงแล้วเท่านั้นถึงจะเข้ามาในนี้ได้ ที่แห่งนี้ถูกแบ่งออกเป็นสามเขต อันได้แก่ เขตที่พักอาศัย เขตใช้ฝึก『บัญญัติพันประการ』 และสุดท้ายคือเขตที่ใช้สำหรับเก็บเลเวล... หรือก็คือ เขตมอนสเตอร์ทรงภูมิปัญญานั่นเอง ในพื้นที่ของเขตที่สามถูกสร้างให้เป็นพื้นกระเบื้องและเพดานหน้าตัดเรียบส่องแสงสีเขียว (Lime) พื้นที่โดยรอบมีวัตถุโปร่งแสงรูปทรงเรขาคณิต ทั้งสามเลี่ยม สี่เหลี่ยมไปจนถึงรูปทรงหลายเหลี่ยมกระจัดกระจายเต็มไปหมดทำให้ยากแก่การเคลื่อนไหว แต่กลับกันแล้ว มันทำให้ง่ายต่อการดำเนินแผนที่ซับซ้อนและแยบยล และเขตที่สามนี้เอง ที่มีหญิงสาวทั้ง 4 คน อันได้แก่ มีอา ซาช่า เรเชลและริต้า กำลังต่อสู้กับมอนสเตอร์จำนวนเท่ากันอยู่ มอนสเตอร์ทั้งสี่ตัวที่เป็นศัตรู มีหนึ่งตัวที่สวมผ้าคลุมสีดำ มีส่วนหัวเป็น
〝 คุณโรนี่กับราชา... นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่เนี่ย 〞 กรถามออกไปแบบนั้น ในเวลาเดียวกับที่ใช้『รีดดิ้งอายส์』ตรวจสอบบุคคลทั้งสองตรงหน้า แล้วก็ยิ่งประหลาดใจเข้าไปใหญ่เมื่อพบว่าทั้งคู่เป็นตัวจริง...〝 ทำหน้าแบบนั้นคงจะรู้แล้วสินะว่าพวกข้าเป็นตัวจริง... 〞ราชาพูดแทงใจดำพลางยิ้มออกมา ทำให้กรคิ้วกระตุกเพราะคาดการณ์เรื่องตรงหน้าไม่ทัน ในขณะที่กรคิดแบบนั้น ราชาก็เดินเข้ามาทางกร แล้วก็ใช้เวทย์บางอย่างเปลี่ยนใบหน้าตัวเองเป็นคนอื่น ไม่สิ... เปลี่ยนจากคนอื่นกลับมาเป็นตนเองคนเดิมต่างหาก ซึ่งที่เปลี่ยนไปนั้นมีเพียงโครงหน้าเท่านั้น แต่ความสูงอายุและริ้วรอยนั้นแทบไม่ต่างจากเดิมเลย แล้วก็หันไปสบตากับเมอร์ลินเข้า นั่นทำให้เธอเลิกคิ้วขึ้นด้วยความประหลาดใจ...〝 นายมัน อาเธนงั้นเหรอ!!!? 〞เมอร์ลินที่เห็นใบหน้าจริงของชายชราตรงหน้าก็จำได้ทันทีพร้อมทั้งเรียกชื่อจริงของเขาออกมาอย่างสนิทสนม โดยมีสายตางงงวยจากสาวๆคนอื่น แต่พอรู้ว่าคนน่าสงสัยตรงหน้าเป็นคนรู้จักของเมอร์ลิน การ์ดของพวกเธอก็คลายลงพอสมควร〝 แหมๆ ในที่สุดก็จำได้ซักทีนะแม่คุณ... ข้าหล่ะเจ็บช้ำไม่น้อยเลยนะ ตรงที่เจ้าบ
หลังจากเรื่องเมื่อวานเคลียร์กันจบในตอนเย็น กรได้ทำการเพิ่มฟังก์ชั่นหลบหนีฉุกเฉินใส่บัตรนักผจญภัยของเจนนี่ไว้ก่อนด้วย เผื่อในกรณีที่เกิดอันตรายกับเธอ เธอสามารถใช้มันวาร์ปมาหากรได้ทุกเมื่อ รวมถึงพาคนรู้จักอย่างไมน์กับรีเบคก้ามาด้วยก็ยังได้ จากนั้นพวกกรกับพวกไมน์จึงได้แยกกันกลับที่พักของตัวเอง อนึ่ง เจนนี่ตอนนี้นั้นอยู่สถานะของคนชื่อ『เบลนด้า อัลบา』 รูปลักษณ์ภายนอกที่คนอื่นเห็น เป็นคนผิวสีแทน ใบหน้าปานกลางค่อนไปทางแย่(จากความเห็นส่วนใหญ่ในกลุ่มของกร) แต่นั่นก็เพื่อไม่ให้เธอเป็นจุดเด่น เพราะหากจะว่าไปแล้วเจนนี่ในร่างธรรมดานั้นจัดว่าเป็นคนสวยมากเลยทีเดียว และด้วยการใช้บัตรนักผจญภัยอ้างถึงตัวตน ก็สามารถเข้าพักที่เดียวกับพวกไมน์ได้ แต่เธอเลือกที่จะพักคนละห้องแทนเพื่อไม่ให้เกิดข้อสงสัย (แต่สุดท้ายตอนนอนก็ย้ายมานอนห้องเดียวกันอยู่ดี) ส่วนทางด้านของกร พอกลับไปพวกกรก็รีบทำธุระส่วนตัว แล้วเข้านอนในทันที เพื่อสะสมพลังงานให้เต็มอิ่มก่อนที่จะออกรบในดันเจี้ยน『หอคอยแห่งปัญญา』 และเพื่อความไม่ประมาทช่วงเช้าทั้งหมด กรและพรรคพวกจะใช้เวลาไปกับการตร
〝 ไง ทั้งสองคน 〞 ในขณะที่ทุกคนแสดงสีหน้าตกตะลึงยังกับเห็นผีออกมา เจนนี่ก็เริ่มเป็นฝ่ายทักไมน์และรีเบคก้าก่อนด้วยรอยยิ้มในทันที〝 เจนนี่!!! 〞〝 อุ๊ยตาย!? 〞 ไมน์ที่เห็นแบบนั้นไม่รอช้าที่จะพุ่งเข้าไปสวมกอดเจนนี่อย่างเร็ว นั่นเองก็ทำเจ้าตัวอย่างเจนนี่ตกใจไม่น้อยเหมือนกัน〝 เจนนี่! เจนนี่จริงๆใช่ไหมเนี่ย? ไม่ใช่ผีหรือตัวปลอมใช่ไหม!? 〞ไมน์พูดแล้วก็ลูบๆคลำๆเจนนี่ไปทั่ว ทำเอาร่างเธอสั่นนิดหน่อยเพราะจักกะจี๊เลยทีเดียว〝 ยัยบ๊อง! ก็จับตัวกันได้อยู่ไม่ใช่รึไง? แล้วฉันก็ยังจำได้อยู่เลยนะว่าตรงก้นของรีเบคก้ามีไฝอยู่ด้วยหน่ะ 〞 เจนนี่พูดแบบนั้นออกมา ทำให้รีเบคก้าออกอาการหน้าแดง แล้วก็พุ่งเข้ามาสับกะโหลกเจนนี่เหมือนกับที่ผ่านมา〝 ฮึ่ย! ไอ้นิสัยพูดไม่คิดนี่ตัวจริงชัวร์ 〞รีเบคก้าพูดแล้วก็ใช้กำปั้นหมุนๆใส่ศีรษะของเจนนี่〝 โอ้ยๆ! เจ็บอ่ะรีเบคก้า ออมมือให้หน่อยเซ่! 〞 ทั้งสามคนหยอกล้อกันไปมาแบบนั้น ราวกับต้องการจะซึมซับและฟื้นคืนบรรยากาศที่ถูกทำลายไปให้กลับมาเหมือนเดิม แม้จะยังเคลือบแคลงสงสัย แต่ความอบอุ่นของภาพที่อยู่ตรงหน้าก็ทำให้ทุกคนลืมหลายเรื่องที่คิดอ
หลังจากที่งีบหลับไปประมาณ 3 ชั่วโมง ความเหนื่อยล้าทางจิตใจก็ดูจะลดลงไปบ้างเอาจริงๆ ต่อให้ลุยต่อทั้งอย่างงี้ก็ไหวอยู่หรอก แต่แค่นี้ทุกคนก็เป็นห่วงมากพออยู่แล้ว เพราะงั้นทำตามที่ทุกคนแนะนำเป็นการดีที่สุดทางริต้าเองยังคงหลับอยู่เลยปล่อยให้หลับต่อไปก่อนโดยให้เรเชลดูแลอยู่ข้างๆส่วนทุกคนเองดูเหมือนว่าจะไม่ได้หลับเลยในระหว่างที่ฉันพักแต่ก็ต้องขอบคุณในจุดนั้น เพราะในช่วงที่ฉันไปเจรจากับราชา ฉันต้องการที่จะไปคนเดียว...ก็แหม... ฉันไม่อยากให้ทุกคนเห็นท่าทางแย่ๆเท่าไหร่นี่นา〝 เพราะทุกคนเฝ้าฉันมาตลอดคงจะเหนื่อยแย่ ฉันเลยอยากให้พวกเธอพักรอฉันอยู่ที่นี่หน่ะ 〞พูดแบบนั้นออกไปทุกคนก็ทำหน้าถมึงทึงใส่ และแน่นอนว่าทุกคนทำท่าอยากจะไปด้วยกันหมดเลยใช้เวลาเกลี้ยกล่อมตั้งนานกว่าจะยอม แต่ก็เพราะทุกคนเป็นห่วงเรานั่นแหล่ะนะ น่าดีใจแท้ๆแต่ทุกคนก็ไม่อยากตื้อให้เราจนกังวลเกินไปเหมือนกันเพราะงั้นแค่รับปากว่าจะไม่ฝืนฉันก็ขอตัวมาได้แล้วหล่ะนะแล้วจากนั้นก็วาร์ปมาที่เมืองหลวง ในซอกตึกที่นึงใกล้ๆกับทางเข้าพระราชวังโห... มองดูจากตรงนี้ยังเห็นรูที่เจ้าชายมันทำพังไว้อยู่เลย...เดี๋ยวไม่สิ... เราเป็นคนทำนี่หว่า คง
หลังจากที่การแสดงของฉันดำเนินมาได้ซักพัก จุดจบก็มาถึงโดยที่ฉันเป็นคนจัดการปิดคดีได้อย่างดงามถึงช่วงกลางๆจะโดนคุณโรนี่แย่งซีนก็เถอะ แต่ตอนจบก็กู้หน้าคืนมาได้อ่ะนะ...จากนั้นริออนที่ถูกฉันต่อยจนสลบก็ถูกพวกฟรอนกับคาลอสคุมตัวไปส่วนไอ้ปีศาจนั่นฉันปล่อยให้มันหนีไปเองด้วยเหตุผลทางด้านผลประโยชน์ในอนาคตแต่ทางฝั่งนั้นอาจจะกำลังคิดว่าหนีฉันพ้นอยู่ก็ได้หล่ะนะ... แต่ปล่อยให้คิดแบบนั้นก็ดีเหมือนกันแล้วหลังจากเรื่องจบ ฉันก็ไม่อยู่รอดูสถานการณ์หรอกนะเพราะว่าเป็นห่วงทุกคน ฉันเลยรีบผละตัวออกมาในทันทีที่มีโอกาสก่อนหน้าที่จะออกมาก็มีถูกพระราชานัดพบเป็นการส่วนตัวด้วยอยู่ไม่มีเหตุผลให้ปฏิเสธ แล้วก็คงคิดจะคุยถึงเรื่องต่อจากนั้นนั่นแหล่ะเป็นไปตามแผนเลย ฉันคิดจะใช้โอกาสนี้ต่อรองกับราชาอยู่แล้ว…แล้วพอวิ่งออกมาถึงจุดนัดพบในซอกตึกรามบ้านช่อง ก็เจอกับทุกคนโชคดีไป... ดูเหมือนทั้งมีอา เมอร์ลิน ชาลอต ซาช่า จะไม่ได้รับผลกระทบอะไรเลย โล่งอกไปที...กลับกันแล้วพวกเธอเป็นห่วงฉันสุดๆเลยชาลอตก็เอาแต่บอกว่า〝 นายท่านอย่าเสี่ยงไปคนเดียวแบบนั้นอีกเลยนะคะ! 〞ส่วนซาช่าก็〝 ตอนที่นายท่านกระโดดเข้าไปหาลูกบอลแปลกๆนั่น...
〝 อั๊ก!!! 〞 เจ้าชายออริออน... ริออนกุมมือขวาของตัวเองด้วยความเจ็บปวด เพราะได้รับผลกระทบจากการถูกยิง ต้องบอกว่าโชคดีเท่าไหร่แล้วที่อัญมณีรับความเสียหายแทนไปเกือบหมด ไม่งั้นมือของเขาคงขาดไปแล้วด้วยซ้ำ แต่ก็เพราะความเจ็บปวดที่แล่นจากมือขวาไปสู่ทั่วทั้งร่างนี่แหล่ะ ทำให้ริออนดึงสติของตัวเองกลับมาได้อีกครั้งวูม!!!!!!———〝 อะ อา.... 〞 ริออนรำพึงอยู่ในลำคออย่างน่าเวทนา ในตอนที่แสงสีแดงจากวงเวทย์สว่างน้อยลงพร้อมๆกับวงเวทย์ขนาดใหญ่ที่ค่อยๆจางหายไปจากท้องฟ้ายามค่ำคืน จนในที่สุดแสงสว่างสีแดงฉานก็อันตรธานหายไปจากท้องฟ้า เช่นเดียวกับวงเวทย์ขนาดมหึมา ทำให้แสงจันทร์ส่องลงมาถึงพื้นดินอีกครั้ง แต่ยังคงมีเสียงเจี๊ยวจ๊าวเนื่องด้วยความสับสนของชาวเมืองอยู่บ้าง แต่แน่นอนว่าทุกคนปลอดภัยดีแล้ว และไม่มีใครได้รับผลกระทบจนถึงขั้นเสียชีวิตเลยซักคน ความสิ้นหวังเข้าคลุมสติของริออนในพริบตา อย่างที่เขาว่าไว้… เมื่อพริบตาที่ความหวังใกล้จะสัมฤทธิ์ผลถูกทำลายลง นั่นคือความสิ้นหวังอย่างที่สุด... และนั่นก็ทำให้สีหน้าของริออนเปลี่ยนจากสิ้นหวังไปเป็นอาฆาตแค้นแทน แ
〝 น่าตกใจจริงๆ… นี่รู้อยู่แล้วหรอกเหรอว่าข้าเป็นคนร้าย? 〞 เจ้าชายลำดับที่หนึ่ง... เจ้าชายออริออนถามกรออกมาด้วยแววตาและท่าทางหยิ่งยโส พร้อมกับเป็นการยอมรับข้อกล่าวหาไปในตัว ว่าตัวเองคือคนร้ายตัวจริง ในขณะที่มองกรลงมาจากเบื้องบน〝 ก็นะ... เพิ่งจะรู้ตัวเมื่อไม่นานมานี้เองแหล่ะ แสบจริงนะให้ตายสิ... 〞กรพูดออกมาพร้อมกับยิ้มแห้งๆ แล้วก็เดินเข้ามาทางเจ้าชายออริออนมากกว่าเดิม เหล่าสมุนเล็บโลหิตตั้งท่าเตรียมพร้อมโจมตีกันเต็มที่ แต่ยังไม่มีใครกล้าเริ่มโจมตีกรก่อน ทั้งด้วยความกลัวพลังที่ต่อกรกับพวกของตนระหว่างทางได้อย่างง่ายดาย แถมผ่านมาได้อย่างไร้รอยขีดข่วนก็ด้วย แต่ประเด็นสำคัญคือจิตสังหารอันหนักอึ้ง ราวกับถูกน้ำตกซัดสาดนั่นของกรต่างหาก ที่ทำให้พวกเขาไม่กล้าขยับตัว〝 งั้นขอเข้าเรื่องเลยละกัน... 『อุปกรณ์ตัวหลัก』 อยู่ที่ไหน? 〞 กรเปลี่ยนสีหน้าเป็นจริงจังยิ่งกว่าเดิม พร้อมกับน้ำเสียงเย็นยะเยือกจนน่ากลัว นั่นทำให้เหล่าเล็บโลหิตจำนวนเกินครึ่งยืนตัวสั่นได้ ไม่สิ... แม้แต่ชายเผ่าปีศาจที่ยืนอยู่ข้างๆเจ้าชายออริออนยังแอบสั่นเลยด้วยซ้ำ มีเพียงโรนี่ที่ใจเย็
หลังจากที่แอบย่องขึ้นมาบนชั้นสอง แล้วมองลอดเข้าไปในห้องที่จับสัมผัสวิญญาณได้พวกเราก็เจอกับเด็กผู้หญิงกำลังนั่งอยู่บนขอบระเบียงเป็นภาพที่น่าแปลก... เพราะเธอคนนั้นโปร่งแสงจนมองทะลุไปถึงท้องฟ้าที่เป็นฉากหลังเลยเนี่ยสิถ้างั้นก็ไม่ต้องสงสัย... เด็กคนนั้นคือวิญญาณที่กำลังตามหาอยู่แน่นอน กรคิดแบบนั้นพลางมองไปยังเด็กสาว ส่วนทางเด็กสาวนั้นกลับหันมามองทางกรในเวลาเดียวกัน〝 เอ่อ... ไม่ต้องหลบหรอกนะคะ คือหนูเห็นตั้งแต่เข้ามาในคฤหาสน์แล้วหล่ะค่ะ 〞เสียงกังวานของเด็กสาวพูดขึ้นมา โดยในน้ำเสียงมีความเอียงอายเล็กน้อย แล้วพอเด็กสาวพูดแบบนั้น กรก็ให้สัญญาณทุกคนเดินตามหลังเขาเข้ามาในห้องทันที〝 เข้าใจหล่ะ โทษทีนะที่บุกรุกเข้ามา 〞เมื่ออีกฝ่ายพูดอย่างสุภาพ ก็เป็นมารยาทเช่นกันที่กรจะตอบกลับไปแบบเดียวกัน〝 ไม่หรอกค่ะ... เอาจริงๆในรอบ 10 ปีมานี้มีคนเข้ามาในคฤหาสน์นับคนได้เลยหล่ะค่ะ มีคนบ้างแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน 〞เด็กสาวยิ้มตอบกรอย่างเป็นมิตร พร้อมกับลอยตัวจากขอบระเบียงมายืนอยู่ด้านหน้าของพวกกร สภาพแบบนั้นทำเอาพวกกรประหลาดใจไม่น้อย เว้นเสียแต่ซาช่าที่กำลังยืนตัวสั่นอยู่〝 นี่เธอเป