หลังจากที่กรสามารถเคลียร์หนึ่งในมหาดันเจี้ยนโบราณ ที่มีระดับความยากสูงที่สุดในโลกได้สำเร็จ กรจึงได้รับรู้ถึงความจริงของโลก.... ไม่สิ ของจักรวาลจากปากของผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์โดยตรงซึ่งก็คือฟรังซ์ ออลเดลที่เป็นดันเจี้ยนมาสเตอร์ของมหาดันเจี้ยนแห่งนี้
จอมมารยังคงมีชีวิตอยู่ และถูกผนึกไว้เท่านั้น แถมผนึกที่ว่ายังอยู่ได้อย่างน้อยอีกแค่ 6 เดือน...
นั่นคือ ความเป็นจริงที่น่าหวาดหวั่น... พลังของจอมมารนั้น มีมากมายมหาศาลถึงขนาดที่ว่าทำให้ดวงดาวหลายสิบดวงแตกสลาย รวมถึงยังทำให้ดาวของพวกเทพล่มสลายลงได้อีก...
แทบจะไม่ต้องคิด... เมื่ออยู่ในสถานการณ์ดังกล่าว กรจึงตัดสินใจที่จะปกป้องสิ่งสำคัญที่อยู่ในมือก่อนเหนือสิ่งอื่นใด และตัดสินใจเป็นคนรับหน้าเพื่อปราบจอมมารในทันที เพราะหากไม่เป็นเช่นนั้น ทุกอย่างที่สำคัญรวมถึงจักรวาลแห่งนี้ คงจะล่มสลายลงด้วยน้ำมือของจอมมารเป็นแน่.......
ผั๊ว! ผั๊ว! ผั๊ว! ผั๊ว!———————
เสียงแปลกๆที่เกิดจากวัตถุบางอย่างกระทบกัน ดังขึ้นอย่างต่อเนื่องมาจากชั้นใต้ดินของคฤหาสน์หลังใหญ่ที่ตั้งอยู่ใจกลางชั้นที่ 101 ซึ่งเป็นอยู่พักอาศัยของฟรังซ์ ออลเดล
ชั้นใต้ดินของคฤหาสน์... มันคือห้องสี่เหลี่ยมทรงลูกบาศก์สีขาวเทาลายตารางขนาดใหญ่พอจะบรรจุคนได้ถึง 500 คน แต่กลับไม่มีเครื่องเรือนหรืออุปกรณ์ใช้สอยใดๆอยู่เลยซักชิ้น
การออกแบบที่เรียบง่ายของห้องไม่ได้มีไว้เพื่อแสดงถึงความสวยงาม และแน่นอนว่านี่ไม่ใช่ห้องที่เอาไว้ผ่อนคลายหรือรับแขกด้วยเช่นกัน... เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เป็นว่าเพราะห้องนี้...
.....ก็คือห้องฝึกฝนนั่นเอง
ผั๊ว! ผั๊ว! ผั๊ว! ผั๊ว!————
〖คุณอุษณกรเร็วได้แค่นี้เองเหรอครับ!!!〗
〝พูดแบบนั้น ระวังจะหน้าแหกตอนโดนต่อยเอานา!!!〞
แล้วคนที่กำลังแลกหมัดกันอยู่กลางห้องฝึกฝนขนาดใหญ่มาตลอดตั้งแต่เมื่อครู่ก็ไม่ใช่ใครอื่น หากแต่เป็นฟรังซ์ ออลเดลกับกรที่อยู่ในชุดรัดรูปสำหรับฝึกนั่นเอง...
ที่คลอบคลุมร่างของทั้งสองคนนั้นก็คือ ออร่าสีขาวบริสุทธิ์ สัญลักษณ์อย่างหนึ่งของเผ่าเทพเจ้าในขณะที่ทำการฝึก... ทั้งสองคนจะต้องใช้ออร่านี้อยู่ตลอด เหตุผลนั่นก็คือ... เพื่อยกระดับความสามารถจินตนาการของกร ให้ใช้ออร่าได้อย่างอิสระ เหมือนกับฟรังซ์นั่นเอง
และที่ทั้งสองคนกำลังฝึกอยู่ก็คือ... การก้าวข้ามขีดจำกัดของสเตตัสด้วยการคลุมร่างด้วยออร่าไว้ทั้งตัว แล้วอิมเมจว่าตัวเองทั้งแข็งแรงและรวดเร็วที่สุดนั่นเอง
〖อิมเมจถึงความเร็วกับพลังในขณะโจมตีให้มากกว่านี้หน่อยครับ!〗
〝ทำอยู่! แต่แกมันจะเร็วไปหน่อยแล้ว!〞
ในขณะที่กำลังปะทะกัน ฟรังซ์ก็แนะนำบางอย่างกับกรในขณะที่กรชกหมัดซ้ายมาที่สีข้างของเขาอย่างแรง แต่ก็หวดลมไป กรจึงเล็งไปที่กลางลำตัวบ้าง แต่ก็โดนปัดป้องออกไปได้ ในจังหวะเดียวกันกรก็ถูกหมัดของฟรังซ์ที่ย่นระยะเข้ามาที่ใบหน้าด้วยความคล่องตัวที่มากกว่าเนื่องมาจากขนาดตัวที่แตกต่างกัน แต่เขาก็สามารถปัดป้องออกไปได้เช่นเดียวกัน....
〖แหม! ก็โดนต่อยมันเจ็บนี่ครับ〗
〝เออ! จะต่อยให้โดนจังๆซักหมัดแน่!〞
〖หึหึ! มันต้องแบบนี้สิครับ!〗
ฟรังซ์ยังคงล้อเล่นกับกร แม้จะถูกกรระดมหมัดใส่ด้วยความเร็วและจำนวนที่สุดยอดก็ตาม
แต่แม้กรจะโจมตีไปมากและรุนแรง ถึงขนาดสร้างภาพติดตาได้มากกว่าสามสิบหมัดในครั้งเดียว แต่ก็ยังไม่สามารถโจมตีโดนฟรังซ์จังๆเสียที กรจึงเริ่มหงุดหงิดเล็กน้อยทั้งที่ใบหน้ายังคงนิ่งอยู่เช่นเคย
〖โอ๊ะ! เกือบไปๆ〗
ในการระดมการโจมตีเป็นระลอกที่สาม กรพยายามโจมตีหลอกล่อถึง 10 ครั้งซ้อน นั่นทำให้หมัดซ้ายของกรแฉลบผ่านแก้มของฟรังซ์ได้สำเร็จ แม้จะเกิดแค่รอยถากเล็กๆ แต่ก็ถือเป็นการพัฒนาครั้งใหญ่เลยทีเดียวสำหรับสิ่งที่กรกำลังฝึกฝนอยู่...
〖คิดถูกจริงๆนะครับเนี่ยที่สอนวิชานี้ให้คุณ〗
〝แน่อยู่แล้ว! ความสามารถในการจินตนาการ คือพลังพิเศษของโอตาคุยังไงหล่ะ!〞
〖หะห่ะ! คุณนี่น่าสนุกจริงๆเลยนะครับให้ตายสิ!〗
เมื่อโจมตีผ่านไปแล้ว กรจึงเริ่มกระหน่ำหมัดเข้าใส่เป็นระลอกที่สี่และห้าต่อเนื่องกันไปเรื่อยๆอย่างไม่หยุดพัก เพื่อที่จะฝึกฝนวิชาใหม่ที่ฟรังซ์เป็นคนแนะนำให้สำเร็จในเร็ววันให้ได้
และเช่นเคย... แม้ทั้งสองคนจะกระหน่ำโจมตีและหลบการโจมตีของกันและกันอยู่จนเหงื่อไหลไคลย้อยไปทั่วร่างมากว่า 2 ชั่วโมงแล้วก็ตาม แต่ทั้งสองคนยังคงหยอกล้อกันในขณะที่ฝึกฝนการต่อสู้อยู่ตลอดการเข้าปะทะ ด้วยความสนิทสนมที่มากขึ้นจากการร่วมมือกันเป็นพันธมิตรในการโค่นจอมมารนั่นเอง….
.
.
.
หลังจากที่ฉันรู้เรื่องที่จอมมารยังไม่ตายแต่ยังถูกผนึกไว้นั่น ตอนนี้ก็ผ่านมาได้สัปดาห์นึงแล้ว...
ฉันกับฟรังซ์ ออลเดลในตอนนี้กำลังอยู่ในช่วงฝึกฝนเพื่อเตรียมความพร้อมก่อนจะออกเดินทาง...
หืม? กำลังงงว่าเรื่องมันเป็นไงมาไงอยู่งั้นเหรอ?
แต่ก็แน่หล่ะนะ.... เพราะงั้นเพื่อให้เข้าใจตรงกัน จะขอเล่าย้อนความกลับไปตอนหลังจากที่คุยกันที่โต๊ะน้ำชาเสร็จเมื่อสัปดาห์ที่แล้วหน่อยแล้วกัน...
จะว่าไปแล้ว... เมื่อตอนนั้นพวกเราเองก็อยู่ที่ห้องฝึกนี่ด้วยนี่นา...
เพราะงั้นเลยทำให้เรานึกย้อนกลับไปนี่แหล่ะนะ... ตัวเราเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ในตอนที่ค้นพบความแข็งแกร่งหลังจากการจุติครั้งที่ 4 เป็นครั้งแรกหน่ะ...
❖❖❖❖❖
หลังจากที่ทุกคน ตัดสินใจได้ว่าเป้าหมายสุดท้ายคือ การโค่นจอมมารที่จะตื่นขึ้นมาอีกครั้งในอีกครึ่งปี... คนที่ขอตรวจสอบพลังของตัวเองในตอนนี้ก็คือกรที่เพิ่งผ่านการจุติครั้งที่ 4 ซึ่งเป็นครั้งสุดท้ายมาได้ แถมกรยังเป็นคนแรกที่สามารถทำแบบนั้นได้อีกด้วย
ด้วยความอยากรู้อยากเห็น... ทั้งฟรังซ์ เคลเบรอสและเมอร์ลินต่างก็อยากตามมาด้วย และแน่นอนว่ากรไม่ได้ห้ามเมอร์ลินกับเคลเบรอส ส่วนฟรังซ์นั้น หากเขาไม่ได้เป็นคนตระเตรียมห้องฝึกฝนขนาดใหญ่ที่ว่าไปในตอนแรกนั่นให้กรใช้ได้หล่ะก็ เขาคงไม่ได้ลงมาดูด้วยเพราะถูกกรปฏิเสธอย่างแน่นอน…
แล้วพอห้องฝึกฝนถูกเปิดให้ใช้งานโดยฟรังซ์ ทั้ง 4 คนจึงรีบลงไปยังห้องที่ว่าอย่างรวดเร็วโดยที่ยังคงใส่ชุดเดิม เหมือนเมื่อตอนดื่มน้ำชา...
〝โกง!〞
〖โกงจริงๆเลยนะครับเนี่ย... แต่ในอีกแง่หนึ่ง คุณยิ่งทำให้ผมคาดหวังได้มากขึ้นอีกนะครับเนี่ย!〗
〝เจ้าหนูเอ้ย! แกนี่มันโกงได้โล่จริงๆพับผ่าสิ!〞
〝กร สุดยอดไปเลย!〞
นั่นคือคำพูดแรก ที่ออกมาจากปากของเมอร์ลิน ฟรังซ์ เคลเบรอสและมีอา เมื่อมองเห็นหน้าต่างสเตตัสของฉันในตอนนี้....
ฉันเองก็ทำได้แค่หัวเราะแห้งๆเท่านั้น เพราะสิ่งที่อยู่ตรงหน้า มันช่างเหนือคำบรรยายเสียเหลือเกิน...
ถ้าเป็นเราเมื่อก่อนคงต้องรู้สึกหดหู่และหวาดกลัวที่จะได้รับพลังมามากเกินไปจนนั่งกอดเข่าไปแล้วมั้ง...
แต่พอฉันเห็นหน้าต่างของตัวเองในตอนนี้ถึงกลับยิ้มออกมาที่มุมปากเสียจนกว้าง หลังจากที่อ่านรายละเอียดถี่ถ้วนหมดแล้ว ทำไมงั้นเหรอ?
นั่นเพราะหลังจากที่เคลียร์มหาดันเจี้ยนโบราณได้... มันก็ทำให้รู้ถึงความอ่อนแอของตัวเองหน่ะสิ...
ตอนนี้ฉันถึงดีใจสุดๆที่มีพลังมากมาย... มากพอที่จะไม่ต้องกลัวการสูญเสียสิ่งสำคัญเหมือนกับในลูปนรกเวรนั่นไงหล่ะ!
แล้วถ้าถามว่าหน้าต่างสเตตัสของฉันในตอนนี้มันสุดติ่งขนาดไหนหล่ะก็... ดูด้วยตาของตัวเองจะเข้าใจง่ายกว่านะ....
ข้อมูลสเตตัส
『อุษณกร วัชรวิรุฬห์ 』เพศ ชาย อายุ 17 เผ่าพันธุ์ เจ้าแห่งสรรพสิ่ง
『อาชีพ』 เลเวล 1
เทพนักดาบ(LV-5) ผู้ใช้ปืนขั้นสุดยอด(LV-4) จอมเวทย์ผู้เหนือล้ำ(LV-4)
『ฉายา』
【ทั่วไป】〘การใช้ชีวิตที่ผิดพลาด〙,〘ไอ้หื่น〙 ,〘นักดาบไร้พ่าย〙,〘เทพนักแม่นปืน〙,〘จอมเวทย์บรรพบุรุษ〙,〘อัพคลาสอาชีพขั้นสูง〙,〘เทพนักดาบ ระดับ 5〙,〘ผู้ใช้ปืนขั้นสุดยอด ระดับ 4〙,〘จอมเวทย์ผู้เหนือล้ำ ระดับ 4〙,〘ที่สุดแห่งเวทย์มนต์〙
【พิชิต】〘ราชาผู้พิชิต〙,〘ไจแอนท์สเลเยอร์〙,〘พิชิตมหาดันเจี้ยนโบราณ《 เด็กหนุ่มผู้โดดเดี่ยว 》〙
【จุติ】〘จุติแบบพิเศษขั้นสุดยอดที่หาได้ยากยิ่ง〙,〘จุติยักษาแบบพิเศษขั้นสุดยอด〙,〘จุติเทพเจ้าแบบพิเศษที่หาได้ยากยิ่ง〙,〘จุติเจ้าแห่งสรรพสิ่งแบบพิเศษขั้นสุดยอดที่หาได้ยากยิ่ง〙,〘ก้าวแรกสู่หนึ่งในจักรวาล〙
【เฉพาะตัว】〘Give me Your Everything ?〙 ,〘กฎของชั้นก็คือกฎของนาย กฏของชั้นก็คือกฏของชั้น〙,〘ผู้ก้าวล้ำสรรพสิ่ง〙,〘จิตวิญญานเหล็กกล้า〙,〘เหนือฟ้าใต้หล้า ทนทานทุกสิ่ง〙,〘กายาเหล็กไหล〙,〘แขนยักษาแห่งการทำลายล้าง〙,〘Ogre Armor Form〙,〘ออร่าแห่งทวยเทพ〙,〘ผู้หยั่งรู้〙,〘Sacred God Armor Form〙,〘ออร่าแห่งจอมมาร〙,〘เนตรแห่งจอมมาร〙,〘ผู้ไม่ยอมตาย〙,〘ผู้ใช้ออร่า〙,〘กลืนกิน(พัฒนา)〙,〘ฝ่ามือพลิกกระดานกฏ〙
【?????】〘The arks enDs〙,〘ความเป็นจริง?〙
《พลังโจมตี》 7,500,000 + 3,750,000
《พลังป้องกัน》 7,200,000 + 2,880,000
《พลังเวทย์》 7,400,000 + 3,700,000
《ความต้านทานเวทย์》7,400,000 + 3,700,000
《ความว่องไว》 7,500,000 + 3,750,000
《พละกำลัง》 7,500,000 + 3,750,000
〝ก่อนที่จะตกใจ เรามาไล่ดูทุกๆอันก่อนดีกว่ามั้ง!〞
กรพูดแบบนั้นหลังจากที่เห็นสเตตัสของตัวเองในตอนนี้ด้วยความอยากรู้อยากเห็นส่วนบุคคลก่อนที่จะเปลี่ยนมานั่งขัดสมาธิ เมอร์ลินเองก็เปลี่ยนมานั่งขัดสมาธิแบบเดียวกันลงทางด้านซ้ายของกรพร้อมกับฟรังซ์ และในขณะเดียวกัน มีอาเองก็นั่งพับเพียบลงทางด้านขวาของกรเช่นเดียวกัน ส่วนเคลเบรอสนั้นกำลังยืนดูกรอยู่จากทางด้านหลัง
พอทั้งมีอาและเมอร์ลินนั่งลงเรียบร้อย กรจึงได้ไล่ใช้นิ้วชี้จิ้มไปที่ฉายาทีละอัน เพื่อเปิดขึ้นมาอ่านรายละเอียดของทุกฉายา ที่ได้รับมาใหม่ในทีเดียว…
〝โห้! ….น่าสนใจจริงๆ〞
〖จะว่าไงดี... หล่ะครับเนี่ย〗
เมอร์ลินและฟรังซ์ต่างก็ทำหน้าตะลึงไปหมดกับหน้าต่างเล็กๆที่แสดงรายละเอียดฉายาของกร แตกต่างจากเคลเบรอสที่ชินกับสถานการณ์นี้ไปแล้ว กับมีอาที่ยังคงสงบอยู่และขยับเข้ามาจนชิดกับแขนของกร จนกรรู้สึกประหม่าเล็กน้อย กรจึงเริ่มอ่านรายละเอียดของฉายาที่ว่าเพื่อกลบเกลื่อนอารมณ์ดังกล่าวในทันที...
〘ที่สุดแห่งเวทย์มนต์〙
《คำอธิบาย : ฉายาของผู้ที่ได้รับเวทย์มนตร์ครบทุกประเภท มีผลพิเศษทำให้เมื่อโจมตีด้วยเวทย์มนตร์ จะลดพลังเวทย์ที่ใช้ลงครึ่งหนึ่งและลดความต้านทานเวทย์มนตร์ของเป้าหมายลงครึ่งหนึ่ง》
〘ไจแอนท์สเลเยอร์〙
《คำอธิบาย : ฉายาของผู้ที่สังหารบอสมอนสเตอร์ระดับ SSS ประเภทยักษ์ได้ มีผลพิเศษทำให้สเตตัสพลังโจมตีของผู้ใช้เพิ่มขึ้นเท่าตัวเมื่อต่อสู้กับเป้าหมายที่มีขนาดตัวสูงกว่าผู้ใช้ 2 เท่าขึ้นไป 》
〘พิชิตมหาดันเจี้ยนโบราณ《 เด็กหนุ่มผู้โดดเดี่ยว 》〙
《คำอธิบาย : ฉายาของผู้ที่เคลียร์มหาดันเจี้ยนโบราณ《 เด็กหนุ่มผู้โดดเดี่ยว 》ได้สำเร็จ มีผลพิเศษทำให้ผู้ใช้และสมาชิกในปาร์ตี้มีสเตตัส พลังชีวิต??? และความสามารถในการฟื้นฟูเพิ่มขึ้นในระดับสูงมาก 》
ดูเหมือนจะเป็นเพราะตรงกับเงื่อนไขบางอย่างเข้า เลยทำให้ฉายาประเภท【พิชิต】ถูกแยกออกมาแล้วแฮะ....
แต่ประเด็นมันไม่ได้อยู่แค่ตรงนั้นซักหน่อย....
สองอันแรกเป็นฉายาที่เพิ่มสเตตัสอย่างที่คิด เลยไม่น่าแปลกใจ... แต่ไอ้ฉายาที่คิดว่าคงจะได้มาเพราะเคลียร์มหาดันเจี้ยนแห่งนี้ได้... ฉายา〘พิชิตมหาดันเจี้ยนโบราณ《 เด็กหนุ่มผู้โดดเดี่ยว 》〙นี่แหล่ะที่น่าสงสัย
สเตตัสพลังชีวิตงั้นเหรอ? จำไม่เห็นได้เลยนะว่ามีสเตตัสแบบนั้นอยู่ด้วย...
ไม่สิ จะว่าไม่มีมันก็ไม่ถูกซะทีเดียว... นั่นเพราะนูเมรัลดิสเพลย์ ที่เป็นหนึ่งในหน้าต่างของสกิลตั้งค่าเอง ก็มีการแสดงผลพลังชีวิตเป็นตัวเลขอยู่เหมือนกัน...
แสดงว่าสเตตัสพลังชีวิตเองก็มีอยู่จริงๆสินะ... แต่ดูเหมือนจะมีรายละเอียดยิบย่อยเยอะมาก
เอาเถอะ... อย่างน้อยก็รู้ว่าพลังชีวิตเป็นสเตตัสที่ไม่แสดงผลแหล่ะนะ แค่นี้ก็คุ้มกับค่าข้อมูลแล้ว...
กรยังคงนั่งอ่านรายละเอียดของฉายาแต่ละอันอย่างสงบเสงี่ยม นั่นเพราะเขาไม่ได้ตกตะลึงกับผลพิเศษของฉายาแต่อย่างใด เห็นทีคงจะเป็นเพราะความชินชาที่ได้แต่สกิลโกงๆหลังจุตินั่นแหล่ะ
แล้วจากนั้น กรก็ทำการเปิดหน้าต่างรายละเอียดเพิ่มขึ้นและไล่อ่านฉายาใหม่ต่อๆไป โดยทิ้งฟรังซ์และเคลเบรอสที่ยังทำหน้ามึนงงอยู๋ใกล้ๆไปก่อน แล้วมุ่งความสนใจไปยังหน้าต่างแสดงผลเล็กๆแทน...
〘จุติเจ้าแห่งสรรพสิ่งแบบพิเศษขั้นสุดยอดที่หาได้ยากยิ่ง〙
《 คำอธิบาย : ฉายาของผู้ที่ผ่านเงื่อนไขการจุติจุติเจ้าแห่งสรรพสิ่งแบบพิเศษขั้นสุดยอดที่หาได้ยากยิ่ง โดยการผ่านเงื่อนไขจำนวนมากที่ผลเกี่ยวเนื่องกัน มีผลทำให้สเตตัสพื้นฐานเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมอย่างยิ่งยวดตามเงื่อนไขที่ผ่านการตรวจสอบ เพิ่มสเตตัสทุกด้านขึ้นอย่างมหาศาล และเพิ่มสเตตัสด้านพลังโจมตีและความว่องไวเป็นพิเศษ ได้รับสกิลต้นฉบับที่ไม่เหมือนใครมาครอง สุดท้ายคือขีดจำกัดของสกิลและเวทย์มนต์ที่มีในครอบครอง(เฉพาะสายปกติ)จะถูกปลดล็อคจากระดับสูงสุดจาก ขั้นเทพเจ้า ไปเป็น ขั้น??? (การแสดงขั้นของสกิลและเวทย์หลังจากขั้นเทพเจ้าจะถูกแสดงเป็นตัวเลขแทนเพื่อความสะดวก โดยที่ขั้นเทพเจ้าอยู่ที่ ขั้นที่ 7 *อนึ่งการพัฒนาสกิลและเวทย์นั้นสามารถเลื่อนขั้นขึ้นได้อย่างไม่จำกัด) 》
〘ก้าวแรกสู่หนึ่งในจักรวาล〙
《 คำอธิบาย : ฉายาของผู้ที่ผ่านการจุติครั้งที่ 4 ซึ่งเป็นครั้งสุดท้ายได้เป็นคนแรก ทำให้ความสามารถอยู่นอกเหนือหลักการทางธรรมชาติโดยส่วนใหญ่จะขึ้นกับความรู้สึกของผู้ใช้ มีผลพิเศษทำให้พลังเฉพาะตัวอยู่นอกเหนือกฎธรรมชาติ ไม่เหมือนบุคคลอื่น นั่นคือระบบการอัพเลเวลของผู้มีฉายานี้ จะเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง โดยใช้คนละระบบกับของบุคคลอื่น 》
เผ่าเปลี่ยนไปแล้วแฮะ กลายเป็น เจ้าแห่งสรรพสิ่ง ไปแล้ว!
นี่มันไม่น่าเรียกว่าเผ่าแล้วมั้ง... น่าจะเป็นฉายามากกว่า...
แต่ถึงมันจะแปลกโคตรก็เถอะ... แต่ถ้านี่จะช่วยยืนยันความแข็งแกร่งของฉันในตอนนี้ได้หล่ะก็...
จะมองผ่านไปให้ก็แล้วกัน...
〝!!!?〞
แล้วกรก็ค่อนข้างตกตะลึงในจังหวะที่กวาดสายตาผ่านๆไปยังหน้าต่างของฉายา〘ก้าวแรกสู่หนึ่งในจักรวาล〙เพราะอ่านรายละเอียดมันเข้าไป และที่กรสะดุดก็คงไม่พ้นข้อความที่เขียนว่า...
《.....ระบบการอัพเลเวลของผู้มีฉายานี้ จะเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง โดยใช้คนละระบบกับของบุคคลอื่น 》
กรไม่รอช้าที่จะพิสูจน์ความสามารถดังกล่าวนี้ พอเพ่งสมาธิไปยังฉายา ก็ได้ความว่า หากอยากจะเปิดวิธีอัพเลเวลของตัวเองในตอนนี้ดู ก็จำเป็นต้องกดที่ตัวเลขแสดงผลเลเวลของตัวเขา กรจึงไม่รอช้าที่จะทดสอบดู แล้วก็เป็นอีกครั้งที่ทำให้คนที่อยู่รอบข้างกรตกตะลึง...
ตารางอัพเลเวล
เลเวลต่อไป : 2
เลเวลปัจจุบัน : 1
เงื่อนไขที่ 1
กำจัดมอนเสตอร์ ระดับ A ขึ้นไป 1 ตัว
ผลพิเศษเมื่ออัพเลเวลในเงื่อนไขนี้ : โบนัสสเตตัสโจมตีเพิ่มขึ้น 1 ระดับ
เงื่อนไขที่ 2
เพิ่มระดับเวทย์มนต์ที่มีอยู่ขึ้น 1 ขั้น
ผลพิเศษเมื่ออัพเลเวลในเงื่อนไขนี้ : โบนัสสเตตัสเวทย์มนตร์เพิ่มขึ้น 1 ระดับ
เงื่อนไขที่ 3
เก็บสะสมของดังต่อไปนี้เพื่อให้ตรงกับเงื่อนไข
1.『หนังหัวหน้าออร์ค』2.『ดาบภูผาเงิน』
...........
ผลพิเศษเมื่ออัพเลเวลในเงื่อนไขนี้ : ได้รับสกิล『ดาบผ่าธรณี(ต้นฉบับ)』
*หมายเหตุ : ในการอัพเลเวลแต่ละครั้ง จำเป็นต้องเลือกเงื่อนไขข้อใดข้อหนึ่ง เพียงข้อเดียวเท่านั้นเพื่อบรรลุเป้าหมาย และเมื่อทำสำเร็จ เลเวลจะอัพและได้รับผลพิเศษดังกล่าวโดยอัตโนมัติ
ที่เห็นนี่ยังไม่ใช่ทั้งหมดหรอกนะ เพราะดูเหมือนว่าพอเลื่อนลงไปอีก ก็จะเจอเงื่อนไขอีกเยอะเลย ซึ่งในกรณีที่เลเวลหนึ่งอัพขึ้นไปเป็นเลเวล 2 นี่ก็มีเกือบ 10 เงื่อนไขให้เลือกเลยทีเดียว....
แถมดูเหมือนว่าทุกครั้งที่ผ่านเงื่อนไข ก็จะเสริมความสามารถในด้านนั้นๆมาด้วย...
แล้วเท่าที่ลองตรวจสอบดู... ระบบอัพเลเวลใหม่ของฉันเนี่ย ไม่มีระบบสะสมค่าประสบการณ์เลยหล่ะ... พูดง่ายๆคือ ขอแค่ผ่านเงื่อนไขใดเงื่อนไขหนึ่ง ก็สามารถอัพเลเวลได้เลย...
จากที่พูดมามันก็ฟังดูสะดวกที่ไม่ต้องเก็บเวลแหล่ะนะ... แต่จริงๆแล้ว ไอ้ที่เป็นเงื่อนไขแบบนี้หน่ะ ยุ่งยากกว่าการฟาร์มเวลแบบปกติโขเลยหล่ะ
ทำไมงั้นเหรอ? นั่นเพราะมันไม่มีหลักการที่แน่นอน ในการคาดเดาการอัพเลเวลแต่ละครั้งหน่ะสิ...
แถมการทำเงื่อนไขมาให้แบบนี้ เหมือนกับมันจะบอกเป็นนัยๆเลยว่า....
ทางเดินต่อจากนี้จะถอยกลับไม่ได้แล้วนะ ถ้าเลือกเส้นทางไหนก็ต้องไปทางนั้นเท่านั้น.... ประมาณนั้นเลย
เส้นทางการบิลตัวละครให้เกิดความสมดุลคงจะยาก เพราะการมีระบบเงื่อนไขแบบนี้ ทำให้อิสระในการรับโบนัสสเตตัสน้อยลง... ถึงแต่เดิมมันจะเยอะอยู่แล้ว แต่เราก็ไม่อยากประมาทอีกนี่นา…
แต่ยังไงก็เถอะ... เรื่องการเลือกว่าจะเน้สเตตัสแบบไหนเดี๋ยวค่อยคิดก็ได้...
เพราะงั้นก็ต่อไป....
〘ออร่าแห่งจอมมาร〙
《คำอธิบาย : ฉายาของผู้ที่ผ่านเงื่อนไขการจุติเจ้าแห่งสรรพสิ่งแบบพิเศษขั้นสุดยอดที่หาได้ยากยิ่ง ซึ่งชนะการต่อสู้สุดท้ายมาได้โดยใช้ออร่าสายความมืดเป็นตัวแปรหลัก รวมถึงได้รับถ่ายทอดออร่าแห่งความมืดที่มีความบริสุทธิ์สูงจากบุคคลอื่นในช่วงก่อนการจุติ มีผลทำให้สามารถสร้างออร่าซึ่งเป็นสกิลเฉพาะของเผ่าปีศาจ ในระดับจอมมารออกมาใช้งานได้ สามารถประยุกต์ใช้ได้ตามแต่ความชำนาญและเลเวลของผู้ใช้ ซึ่งการใช้ผลพิเศษนี้จะไม่เสียพลังเวทย์แต่อย่างใด》
〘เนตรแห่งจอมมาร〙
《คำอธิบาย : ฉายาของผู้ที่ผ่านเงื่อนไขการจุติเจ้าแห่งสรรพสิ่งแบบพิเศษขั้นสุดยอดที่หาได้ยากยิ่ง ซึ่งในการต่อสู้ครั้งสุดท้ายสามารถอ่านวงจรเวทย์ของบอสมอนสเตอร์ได้อย่างสมบูรณ์ และสามารถคัดลอกสกิลและเวทย์ของบอสมอนสเตอร์ได้ มีผลทำให้ได้รับสกิลเนตร 2 แบบข้างต้น *ผลพิเศษนี้ไม่มีคำร่าย จึงต้องสั่งใช้งานจากการนึกคิดผ่านระบบสกิลเท่านั้น **ความสามารถขึ้นอยู่กับตัวผู้ใช้เอง โดยไม่อิงจากสเตตัสใดๆของผู้ใช้ทั้งสิ้น 》
〘ผู้ไม่ยอมตาย〙
《คำอธิบาย : ฉายาของผู้ที่ผ่านเงื่อนไขการจุติเจ้าแห่งสรรพสิ่งแบบพิเศษขั้นสุดยอดที่หาได้ยากยิ่ง ซึ่งในการต่อสู้ครั้งสุดท้ายสามารถจำลองและรักษา ร่างกายของตัวเองได้ มีผลทำให้ได้รับสกิลรักษา? เฉพาะตัวที่ไม่เหมือนใคร 》
〘ผู้ใช้ออร่า〙
《คำอธิบาย : ฉายาของผู้ที่ผ่านเงื่อนไขการจุติเจ้าแห่งสรรพสิ่งแบบพิเศษขั้นสุดยอดที่หาได้ยากยิ่ง ซึ่งในการต่อสู้ครั้งสุดท้ายสามารถใช้งานการประยุกต์ออร่าได้อย่างหลากหลาย และได้รับออร่าอีกหลายแบบและหลายแหล่งก่อนที่จะจุติ มีผลพิเศษทำให้สามารถใช้งานออร่าทั้งหลายที่รับมานั่นได้อย่างอิสระ 》
〘กลืนกิน(พัฒนา)〙
《คำอธิบาย : ฉายาของผู้ที่ได้รับออร่าแห่งความมืด แล้วผสานเข้ากับสกิลเฉพาะของตัวเอง จนเกิดความสมารถใหม่สำเร็จ ทำให้สกิลดูดซับทุกสิ่งได้รับการพัฒนาให้สูงขึ้น 》
〘ฝ่ามือพลิกกระดานกฏ〙
《 คำอธิบาย : ฉายาของผู้ที่มีความสามารถในการสร้างและผสานศาสตร์หลากแขนงเข้าด้วยกันได้ในระดับสุดยอด ทำให้ผู้ที่ได้รับฉายานี้ ได้รับสกิลสายผลิตขั้นสูงสุด》
อืม... มีแต่ฉายาสุดยอดทั้งนั้นเลยนะเนี่ย... แต่ก็ยังไม่รู้ความสามารถที่แน่ชัดจนกว่าจะได้ดูสกิลใหม่นั่นแหล่ะนะ
เพียงแต่มีอยู่เรื่องนึงที่ติดใจ... เรื่องออร่าแห่งความมืดนั่นแหล่ะ....
มันเขียนว่าเราได้รับความสามารถนี้มาจากการถ่ายทอด... เหมือนกับตอนมีอา... เราคงได้พลังมาจากที่เมอร์ลินช่วยรักษาเราละมั้ง
แต่ตอนนั้น... เราจำได้ว่า ได้ใช้ออร่าแห่งความมืดผสานเข้ากับ ดูดซับทุกสิ่ง จนสกิลเปลี่ยนไป... ก็แสดงว่าเราได้รับออร่าแห่งความมืดมาก่อนที่เมอร์ลินจะถ่ายทอดซะอีกไม่ใช่เหรอ?
ในขณะที่คิดแบบนั้นด้วยความสงสัย กรเองก็คิดอีกเช่นกันว่าถ้าอ่านไปเรื่อยๆจนครบทุกอัน เดี๋ยวก็คงรู้อะไรเพิ่ม ดีกว่ามานั่งตีความไปเอง กรจึงเปิดฉายาอีกสองอันที่เหลือในทันที แต่ผลลัพธ์กลับทำให้เขางงงวยยิ่งขึ้นกว่าเดิม
〝!?〞
〝มีอะไรเหรอกร?〞
〝.....หน้าต่างแสดงผลมันไม่เด้งขึ้นมา〞
〝〝〝 !!!!!? 〞〞〞
มีอาถามกรออกมาด้วยความเป็นห่วงในทันทีที่กรพยายามเอานิ้วจิ้มฉายา〘The arks enDs〙และ〘ความเป็นจริง?〙 เพื่อเปิดหน้าต่างแสดงรายละเอียดขึ้นมา แต่ทำยังไงก็ไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับเลยซักนิด นอกเสียจากซาวน์เอ็ฟเฟ็คที่ดัง 〝อ๊อออด!〞 คล้ายกับเสียงในเกมยามที่กดใช้สกิล แต่ MP ดันหมด หรือไม่ก็เป็นเสียงยามเมื่อระบบปฏิเสธการเข้าถึง เพื่อเป็นการบ่งบอกว่ากรไม่ได้กดผิด เพียงแต่มันไม่แสดงผลให้เท่านั้นเอง นั่นเลยทำให้ทุกคนงงงวยกันไปหมด
〖มีเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอครับเนี่ย? ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย〗
〝แถมแท็กที่เป็นหัวข้อใหญ่ของฉายาพวกนี้ ยังมีแต่เครื่องหมายคำถามอีก... นี่มันยังไงกันเนี่ย?〞
〝ถามฉันไป ฉันก็ไม่รู้หรอกนะ〞
ฟรังซ์แสดงความสงสัยออกมาพร้อมกับเมอร์ลิน กรจึงตบมุขเมอร์ลินครั้งนึงด้วยอารมณ์หยากแกล้งเฉพาะกิจ ก่อนที่จะหันกลับมาพินิจพิเคราะห์เรื่องที่เกิดขึ้นตรงหน้านี้
แสดงผลไม่ได้แบบนี้มันอะไรกันเนี่ย... ทั้งน่าสงสัยแล้วก็ยังน่าหงุดหงิดอีก...
แถมความหมายของทั้งสองอัน.... 〘ความเป็นจริง?〙 ทำไมฉายาดันเป็นคำถามหล่ะ คนที่จะถามหน่ะคือทางนี้ต่างหาก?
ชิ ว่าจะไม่ตบมุกแล้วเชียว...
ส่วนอีกอัน...〘The arks enDs〙ถ้าแปลความหมายตรงๆหล่ะก็... เรือแห่งจุดจบ งั้นเหรอ?
ไม่เห็นเข้าใจเลยว่าจะสื่ออะไร... แถมทำไมต้องขีดทับด้วย... แล้วตัว D ที่อยู่เกือบหลังสุดยังเป็นตัวพิมพ์ใหญ่อีก แบบนี้มันผิดหลักไวยากรณ์นะคร้าบ เดี๋ยวฟ้องครูเอเลนซะเลย...
....เผลอตบมุกอีกแล้ว
...............
อะ อา... แต่เท่าที่พอคิดได้ ก็เดาได้สามอย่างหล่ะนะ...
หนึ่งคือ ฉายาพวกนี้ มีระดับสูงกว่าที่เราจะอ่านได้... แต่ข้อนี้คงเป็นไปได้ยาก นั่นเพราะถ้าเรามีพลังไม่ถึง มันก็ไม่ควรได้ฉายาพวกนี้มาตั้งแต่แรกแล้ว...
สองคือ สกิลยังไม่ปลดล็อค... ข้อนี้ก็ยากอีกเหมือนกัน เพราะเราไม่รู้เงื่อนไขนี่นา...
สามคือ สกิลพวกนี้ ไม่อยู่ในข้อมูลของสาระบบ... คงไม่หรอกมั้ง... จะบอกว่าฉายาพวกนี้ฉันเป็นคนสร้างขึ้นมาเองก็ไม่ใช่... คิดว่านะ...
〝ให้ตายสิ ไม่เข้าใจเลย...〞
〝เป็นอีกครั้งที่ต้องปวดหัวกับตัวเองสินะเจ้าหนูเอ๋ย〞
〝ฮึ่ม...〞
เคลเบรอสที่อยู่ในชุดพ่อบ้านหยอกล้อกรที่ค่อนข้างไม่สบอารมณ์ แต่นั่นกลับทำให้ตัวเขาผ่อนคลายลงเสียอย่างงั้น กรจึงเลิกคิดหาเหตุผล เพราะคิดมากไปก็เท่านั้น แล้วก็จัดการเลื่อนหน้าต่างสกิล เข้ามาอยู่ตรงกลางเพื่อเริ่มอ่านรายละเอียดต่อไป
และแน่นอนว่านี่เป็นอีกครั้งที่ทำให้ทุกคนตกตะลึง...
สกิล
『สกิลโจมตี』
【วิชาดาบ】อัลติเมทเฮอริเคนแสลช(พัฒนา)(ต้นฉบับ), มัลติไพล์แอตซอลต์(ต้นฉบับ) , เอนลาจซอร์ด(ต้นฉบับ)
【วิชาดาบคู่】คอมบิเนชั่นคอมโบ(ต้นฉบับ), อัลติเมทโซนิคเบลด(ต้นฉบับ)
【วิชามือเปล่า】วันพ้านนนนช์(ต้นฉบับ) , หมัดสว่าน(ต้นฉบับ)
『สกิลป้องกัน』กายาเพชร(ต้นฉบับ)
『เวทย์มนต์』
【เวทย์ธาตุ】เวทมนต์น้ำขั้นที่ 9, เวทมนต์ลมขั้นที่ 9, เวทมนต์ไฟขั้นที่ 9, เวทมนต์ดินขั้นที่ 9, เวทมนต์น้ำแข็งขั้นที่ 9, เวทมนต์สายฟ้าขั้นที่ 9, เวทมนต์พฤกษาขั้นที่ 9, เวทมนต์โลหะขั้นที่ 9, เวทมนต์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นที่ 9, เวทมนต์ความมืดขั้นที่ 9
【เวทย์เสริม】เวทมนต์รักษาขั้นที่ 9, เวทมนต์แปรธาตุขั้นที่ 9, เวทมนต์ไร้ธาตุขั้นที่ 9, เวทมนต์พันธะขั้นที่ 9, เวทมนต์วิญญาณขั้นที่ 9, เวทมนต์สนับสนุนขั้นที่ 9, เวทมนต์ลวงตาขั้นที่ 9, เวทมนต์มิติขั้นที่ 9, เวทมนต์อัญเชิญขั้นที่ 9
【เวทย์พิเศษ】ออร่าเทพเจ้า(ต้นฉบับ), แสงแห่งการชำระล้าง(ต้นฉบับ), ออร่าจอมมาร(ต้นฉบับ), แสงแห่งการทำลายล้าง(ต้นฉบับ), ออร่า???(ต้นฉบับ)
『สกิลเสริมพลัง』เพิ่มพลังกาย,เพิ่มพลังเวทย์, เคลื่อนไหวความเร็วแสง(ต้นฉบับ), Ogre Arm(ต้นฉบับ), ปักษาสวรรค์(ต้นฉบับ), ปักษาทมิฬ(ต้นฉบับ)
『สกิลติดตัว』กลืนกิน(พัฒนาจากดูดซับทุกสิ่ง)(ต้นฉบับ), โจมตีอย่างแม่นยำ(ต้นฉบับ), เรียกหน้าต่างสเตตัส, เข้าใจภาษาขั้นที่ 8, เร่งการฟื้นฟูพลังเวทย์ขั้นที่ 9, เร่งการฟื้นฟูบาดแผลขั้นที่ 9, เติบโตยิ่งยวดขั้นที่ 9, ตาเหยี่ยวขั้นที่ 9, มองเห็นในที่มืดขั้นที่ 9, ก้าวไร้เสียงขั้นที่ 9, ลบตัวตนขั้นที่ 9
『สกิลสายผลิต』ผลิตยาขั้นที่ 7, ผลิตอาวุธขั้นที่ 7, สร้างแบบอาวุธขั้นที่ 7, ดัดแปลงคุณสมบัติแร่ขั้นที่ 7, หัตถ์ผสมผสาน(ต้นฉบับ), หัตถ์สรรค์สร้าง(ต้นฉบับ)
『สกิลพิเศษ』ตั้งค่าขั้นสูงสุด(ต้นฉบับ), ตรวจสอบขั้นที่ 9, ตั้งปาร์ตี้ขั้นที่ 9, Ogre Armor Form(ต้นฉบับ), Sacred God Armor Form(ต้นฉบับ), เนตรทวิกาล(ต้นฉบับ), รีดดิ้งอาย(ต้นฉบับ), ไรท์ติ้งอาย(ต้นฉบับ), ออโต้รีไวฟ์(ต้นฉบับ)
อ่า... มีแต่สกิลต้นฉบับเพิ่มขึ้นมาเหมือนเดิมเลยแฮะ...
『อัลติเมทเฮอริเคนแสลช(พัฒนา)(ต้นฉบับ)』ก็เป็นสกิลที่พัฒนาจากเดิม... ส่วน『หมัดสว่าน(ต้นฉบับ)』ก็คือ สกิลที่เราคิดขึ้นด้วยตัวเอง...
จะมีก็แต่สกิลโจมตี 2 อันหลัง กับสกิลป้องกันที่มีแค่อันเดียวนี่แหล่ะที่เพิ่งได้มาใหม่จริงๆ...
『เอนลาจซอร์ด(ต้นฉบับ)』
《คำอธิบาย : เมื่อใช้สกิล จะทำให้ใบดาบขยายใหญ่ขึ้นตามแต่พลังเวทย์ที่ใช้ และได้รับโบนัสดาเมจเพิ่มขึ้นตามพลังเวทย์ที่ใส่เข้าไปด้วยเช่นกัน 》
『อัลติเมทโซนิคเบลด(ต้นฉบับ)』
《คำอธิบาย : สกิลจะทำงานได้ก็ต่อเมื่อใช้ดาบสองเล่มในการเข้าปะทะเท่านั้น มีผลทำให้ความเร็วเริ่มต้นในการโจมตีครั้งแรกเท่ากับความเร็วเหนือเสียง และจะเพิ่มขึ้น 1 มัคเมื่อโจมตีครบ 10 ครั้งจนกระทั่งจบคอมโบต่อเนื่องนี้ 》
『กายาเพชร(ต้นฉบับ)』
《คำอธิบาย : เมื่อสั่งใช้งาน จะสามารถสร้างเกราะป้องกันมาคลุมร่างไว้ได้ ซึ่งมีผลพิเศษทำให้รับความเสียหายแทนได้เท่ากับค่าพลังป้องกันและค่าพละกำลังรวมกัน 》
โอ้ะ! สองสกิลนี้ได้มาจากตอนที่เราฟันถ่วงเวลาทศกัณฑ์ แน่เลยแฮะ...
ถ้าใช้ทั้งสองสกิลควบกันหล่ะก็ ก็จะเหวี่ยงดาบยักษ์ได้ โดยที่ความเร็วต้นอยู่ในระดับสูง... แบบนี้แหล่ะที่เราต้องการ...
ส่วนสกิลป้องกันนี่ ก็ใช้ประโยชน์ได้เหมือนกัน... แต่จะว่าไปนี่ก็เป็นสกิลป้องกันแรกของเราเลยนี่นา
น่าสนใจแฮะ... แบบนี้ชักจะอดใจรอสกิลต่อไปไม่ไหวแล้วสิเนี่ย...
〝หืม? กร เวทย์ของนายแสดงผลเป็นขั้นงั้นเหรอเนี่ย?〞
ไม่ใช่แค่กรทั้นที่กำลังอ่านสกิลของตัวเอง แต่ทั้งมีอา ฟรังซ์ เคลเบรอส และเมอร์ลินต่างก็จ้องตาเป็นมันเหมือนกัน... นั่นเลยทำให้เมอร์ลินที่สังเกตเห็นการแสดงผลเวทย์ของกรเปลี่ยนไป เริ่มถามออกมาด้วยจุดประสงค์บางอย่าง
〝อา... อย่างที่เห็นแหล่ะเมอร์ลิน ทำไมเหรอ?〞
〝เหมือนฉันเลยหล่ะ〞
〝เอ๋ จริงดิ?〞
〝ก็จริงหน่ะสิ!〞
เมอร์ลินขยับเข้ามาเบียดเสียดกรอย่างจงใจ ในขณะที่กรกำลังเขิน(และเมอร์ลินเองก็หน้าแดงอยู่หน่อยๆเช่นกัน) ก่อนที่เธอจะเปิดหน้าต่างสกิลของตัวเองให้กรดูเพื่อยืนยันคำพูด
แล้วพอเมอร์ลินเลื่อนหน้าต่างมาให้กรเห็น กรก็สังเกตุแค่ตรงส่วนของเวทย์มนต์เท่านั้น แล้วก็รู้ความจริงที่น่าตกใจเข้า...
〝อึก! ระดับ... 12 งั้นเหรอ?〞
ใช่แล้ว... ระดับของเวทย์เมอร์ลินก็คือ 12 ซึ่งหมายความว่ามากกว่ากรที่จุติครั้งที่ 4 ถึง 3 ขั้น กรเลยเผลอกลืนน้ำลายในจังหวะที่อ่านมัน
จะเป็นเพราะเผ่าดั้งเดิมของเธอก่อนจุติสูงอยู่แล้วหรือเพราะเน้นการบิลสเตตัสให้เป็นแบบสายเวทย์ล้วนก็ตามแต่ พอกรคิดย้อนกลับไปในตอนที่สู้กับเมอร์ลิน มันทำให้กรเสียวสันหลังวาบอย่างบอกไม่ถูกเลยที่ไปสู้กับสัตว์ประหลาด ที่ถึงเขาจะจุติถึง 4 ครั้ง แต่ก็ยังระดับน้อยกว่าแบบนี้...
〝ฟุฟุ! สุดยอดเลยใช่ม้า〞
〝หึ! เธอเนี่ยน้า...〞
เมอร์ลินที่หัวเราะอย่างสนุกสนานเพราะได้รับปฏิกิริยาที่ต้องการจากกร รวมถึงมีเพื่อนที่อยู่ในสถานการณ์เดียวกัน และในขณะเดียวกัน กรที่ตอบออกไปแบบนั้นก็ลูบหัวเธอด้วยความเคยชินเช่นเคย แต่เมอร์ลินก็ไม่ได้โกรธอะไร ทั้งยังยิ้มออกมาอย่างร่าเริงเสมือนรอรางวัลนี้มาตั้งแต่แรกอยู่แล้วยังไงอย่างงั้นเลย ถึงกับทำให้กรที่เห็นเมอร์ลินร่าเริงผิดกับความเงียบขรึมที่เจอกันตอนแรกแบบนี้ คิดอยู่ในใจเลยว่า〝เดเระแตกแล้วรึไงครับคุณเธอ?〞เลยทีเดียว
มีอาและอีกสองคนที่เหลือพอเห็นแบบนี้ก็ไม่พ้นที่จะอมยิ้มตาม ก่อนที่กรจะผละมืออกจากศีรษะของเมอร์ลิน แล้วเอานิ้วจิ้มไปที่สกิลที่เหลือเพื่ออ่านรายละเอียดต่อ...
『ออร่าจอมมาร(ต้นฉบับ)』
《คำอธิบาย : เป็นเวทย์พิเศษที่ได้รับจากฉายา〘ออร่าแห่งจอมมาร〙มีผลทำให้สามารถสร้างออร่าซึ่งเป็นสกิลเฉพาะของปีศาจ แต่มีระดับสูงกว่าที่ว่าออกมาใช้งานได้ สามารถประยุกต์ใช้ได้ตามแต่ความชำนาญและเลเวลของผู้ใช้ นอกจากนี้บริเวณที่ถูกคลอบคลุมโดยออร่าดังกล่าวจะมีคุณสมบัติสลายสสารได้ในระดับโมเลกุลขึ้นกับความสามารถของผู้ใช้ และความต้านทานของเป้าหมาย *หากใช้กับสิ่งมีชีวิต จะเป็นการสร้างความเสียหายทางจิตใจ และสร้างความทรมานให้กับอวัยวะภายในแทน **สกิลนี้ไม่มีการใช้พลังเวทย์แต่อย่างใด ***ผลพิเศษนี้ไม่มีคำร่าย จึงต้องสั่งใช้งานจากการนึกคิดเท่านั้น 》
『แสงแห่งการทำลายล้าง(ต้นฉบับ)』
《คำอธิบาย : เมื่อใช้งานจะสร้างแสงสว่างโอบล้อมบริเวณที่ผู้ใช้อยู่เป็นจุดศูนย์กลางโดยมีรัศมี 500 เมตร มีผลทำให้ผู้ที่ผู้ใช้กำหนดให้เป็นศัตรู ซึ่งอยู่ในรัศมีของเวทย์พิเศษนี้ จะถูกลดสเตตัสลงเหลือเพียงครึ่งเดียว อัตราการฟื้นฟูของศัตรูจะลดลง(ไม่สามารถรักษาแผลฉกรรจ์ได้)และโอกาสติดสถานะผิดปกติของศัตรูจะเพิ่มขึ้น โดยอัตราดังกล่าวจะขึ้นกับเลเวลของผู้ใช้ 》
『ออร่า???(ต้นฉบับ)』
《คำอธิบาย : เป็นเวทย์พิเศษที่ได้รับจากฉายา〘ผู้ใช้ออร่า〙 มีผลทำให้สามารถสร้างหรือดูดซับออร่าแบบต่างๆเข้ามาใช้งานได้ดังเช่นของตัวเอง โดยความสามารถขึ้นกับชนิดของออร่า *ผลพิเศษนี้ไม่มีคำร่าย จึงต้องสั่งใช้งานจากการนึกคิดเท่านั้น **สกิลนี้ไม่มีการใช้พลังเวทย์แต่อย่างใด 》
『ปักษาทมิฬ(ต้นฉบับ)』
《คำอธิบาย : เมื่อใช้งานจะสร้างปีกสีดำขึ้นกลางหลังของผู้ใช้ มีผลทำให้บินได้อย่างอิสระตามความนึกคิดของผู้ใช้ เพิ่มพลังป้องกันขึ้น 50% และเพิ่มสเตตัสด้านความว่องไวและพลังเวทย์ขึ้น 2 เท่า 》
คราวนี้ก็เป็นสกิลจำพวกเดิม แต่เปลี่ยนสายจากเทพเจ้าไปเป็นจอมมารแทน... นับวันเรานี่ยิ่งกลายเป็นตัวร้ายเข้าทุกทีแล้วแฮะ...
แต่นับในแง่ผลประโยชน์ นี่ถือว่าเยี่ยมเลย... โดยเฉพาะ『แสงแห่งการทำลายล้าง(ต้นฉบับ)』นี่ ถ้าใช้คู่กับ『แสงแห่งการชำระล้าง(ต้นฉบับ)』หล่ะก็ จะสร้างดาเมจได้มากถึง 4 เท่าเลย...
ที่น่าสนใจอีกอย่างก็คือ 『ออร่า???(ต้นฉบับ)』 นี่แหล่ะ...
〝มีอา มีเรื่องจะขอร้องแหน่ะ...〞
〝ได้อยู่แล้ว! อะไรงั้นเหรอกร?〞
〝ช่วยใช้แองเจิ้ลโหมด ให้หน่อยได้รึเปล่า〞
〝ได้อยู่แล้ว!〞
มีอาที่นั่งพับเพียบอยู่ด้านขวาของกร ตอบกลับด้วยน้ำเสียงหนักแน่นในทันทีที่ได้ยินคำขอร้องของกรและจัดการใช้แองเจิ้ลโหมดจนกระทั่งทั่วทั้งร่างถูกคลุมด้วยออร่าสีชมพูอ่อน โดยที่ไม่ยังไม่ได้ยินเหตุผลของกรด้วยซ้ำ
〝งั้นก็... ขอลองดูดซับดูหน่อยนึงแล้วกัน...〞
มีอาเองก็สังเกตมาตั้งแต่แรก เลยพอเข้าใจการกระทำของกรหลังจากที่อ่านสกิล『ออร่า???(ต้นฉบับ)』นั่น
ในเวลาเดียวกับที่กรยื่นมือขวาออกไปข้างมีอา เธอก็กุมมันกลับด้วยมือทั้งสองข้างในทันที แล้วชั่วพริบตาที่กรสั่งใช้งานสกิลด้วยความคิด ออร่าสีชมพูอ่อนของมีอาก็ดูดเข้ามาในร่างกายของกร
〝อือ〜〜〞
〝เป็นอะไรรึเปล่ามีอา!!!〞
กรตะโกนแทบจะสุดเสียงด้วยความตกใจเมื่อมีอาครางออกมา เพียงแต่ว่า...
〝มะ ไม่ใช่นะกร... คะ แค่ว่ามัน... เหมือนจะรู้สึกดี ไปหน่อยหน่ะ ก็เลย...〞
〝อ้าว!?〞
เอ๋! จะว่าไป เธอก็ทำหน้าแดงๆ บิดตัวไปมาตั้งแต่เมื่อกี้แล้วนะ....
ไอ้สกิลบ้านี่มันอะไรว๊ะเนี่ย เอ็งทำอะไรมีอากันแน่ฟ่ะ——
〝!!!!!!〞
การดูดซับเสร็จสิ้นลงด้วยเวลาอันสั้นในขณะที่กรยังคงพร่ำพรรณนาบางอย่างอยู่ในใจ แล้วผลลัพธ์ก็คือ ทั่วทั้งตัวของกรเองก็มีออร่าแบบเดียวกันกับมีอาคลุมร่างอยู่เหมือน... เพียงแต่ที่แตกต่างจากในอดีตที่กรยืมพลังของมีอาก็คือ ตอนนี้เขาสามารถสร้างออร่าชนิดนี้เองได้แล้ว...
อืม.... ดีเหมือนกันนะเนี่ย! ดูเหมือนความเร็วและความคล่องตัวจะเพิ่มขึ้นมากเลย...
ก็ความเร็วคือจุดแข็งของมีอานี่นา... งั้นที่ว่า 《 ความสามารถขึ้นกับชนิดของออร่า 》 นี่ ก็หมายความว่าขึ้นกับเจ้าของเดิมด้วยสินะ...
แต่เหมือนจะอันตรายในหลายๆความหมายกับมีอา... เพราะงั้นกับเมอร์ลินก็คงไม่ใช้ด้วยแน่ๆ... งั้นสกิลพวกนี้เอาไว้แค่นี้แหล่ะ
งั้นคร่าวๆคงประมาณนี้สินะ... ถ้างั้นต่อไปก็...
『กลืนกิน(พัฒนาจากดูดซับทุกสิ่ง)(ต้นฉบับ)』
《คำอธิบาย : สกิลพัฒนาแล้วของ ดูดซับทุกสิ่ง??? เป็นสกิลจากการได้รับฉายา〘กลืนกิน(พัฒนา)〙สามารถกลืนกินสสารและพลังงานทุกอย่างยกเว้นสิ่งมีชีวิตได้ และสามารถนำคุณสมบัติของสิ่งนั้นมาเป็นของตัวเองได้ *อนึ่งไม่สามารถใช้กับสิ่งที่มีระดับสูงกว่าตัวเองได้ **วิธีใช้ ใช้อัญมณีที่ติดอยู่หลังมือซ้ายเป็นตัวกลางในการดูดซับ โดยเพียงแค่สัมผัสและนึกคิดเท่านั้น》
『หัตถ์ผสมผสาน(ต้นฉบับ)』
《คำอธิบาย : เป็นสกิลจากการได้รับฉายา〘ฝ่ามือพลิกกระดานกฏ〙 สกิลที่สามารถนำสกิล เวทย์มนตร์และสิ่งต่างๆ มาผสมผสานกันเพื่อให้ได้สิ่งใหม่ที่มีคุณสมบัติเดิมของทั้งสองสิ่งคงอยู่ทั้งคู่อย่างสมบูรณ์ โดยไม่ทำให้ผลพิเศษเสื่อม *อนึ่งไม่สามารถใช้กับสิ่งที่มีระดับสูงกว่าตัวเองได้ **วิธีใช้ ต้องทำการถ่ายพลังเวทย์ลงไปที่อักขระเวทย์ที่ฝ่ามือขวา เพื่อให้สกิลเริ่มทำงาน ***การทำงานของสกิลนี้ใช้จินตนาการของผู้ใช้เป็นสำคัญ 》
『หัตถ์สรรค์สร้าง(ต้นฉบับ)』
《คำอธิบาย : เป็นสกิลจากการได้รับฉายา〘ฝ่ามือพลิกกระดานกฏ〙 สกิลที่สามารถสร้างสกิล เวทย์มนตร์และสิ่งต่างๆ ขึ้นได้ หากมีสิ่งจำเป็นในแต่ละอย่าง (กรณีสกิลและเวทย์มนต์คือหลักการ กรณีของเครื่องมือใช้สอยคือส่วนประกอบและวัสดุ) *อนึ่งไม่สามารถใช้กับสิ่งที่มีระดับสูงกว่าตัวเองได้ **สร้างได้เฉพาะสิ่งที่ผู้ใช้เข้าใจโครงสร้าง หลักการและส่วนประกอบของสิ่งที่จะสร้างเท่านั้น ***วิธีใช้ ต้องทำการถ่ายพลังเวทย์ลงไปที่อักขระเวทย์ที่ฝ่ามือซ้าย เพื่อให้สกิลเริ่มทำงาน ****การทำงานของสกิลนี้ใช้จินตนาการของผู้ใช้เป็นสำคัญ 》
คราวนี้เป็นสกิลโคตรโกงที่สามารถผสานหรือสร้างอะไรก็ได้งั้นเหรอ? นี่มันจะเกินไปหน่อยแล้วมั้งเนี่ย
แล้วพออ่านเจ้าสกิลนี่ก็เพิ่งจะสังเกตเห็นแฮะ.. ว่ามีรอยสักอยู่ที่ฝ่ามือทั้งสองข้างเลย... ถึงลายจะไม่เหมือนกัน แต่ก็เป็นรูปแบบเดียวกัน...
แต่อีแบบนี้ เราก็ต้องศึกษาพวกสกิลกับเวทย์เพิ่มอีกสิเนี่ย... ก็เพื่อศึกษาหลักการ แล้วเอาไปสร้างสกิลหรือเวทย์ใหม่นั่นแหล่ะ แต่ยังดีนะที่ต้องเข้าใจหลักการก่อนถึงจะสร้างได้
เพราะถ้ามันสามารถสร้างอะไรก็ได้ทันทีหล่ะก็ คงควบคุมไม่ได้กันพอดี... สมดุลธรรมชาติเสียพอดีนะแบบนั้นหน่ะ... เพราะงั้นก็เลยยังพอมีเหตุผลอยู่บ้างแหล่ะนะ ที่ต้องเข้าใจหลักการก่อนสร้างหน่ะ
งั้นก็เหลือแค่สกิลพิเศษแล้วสินะ....
『รีดดิ้งอาย(ต้นฉบับ)』
《 คำอธิบาย : เป็นสกิลจากการได้รับฉายา〘เนตรแห่งจอมมาร〙 มีผลทำให้ได้รับความสามารถในการอ่านวงจรเวทย์และการเคลื่อนไหวของสิ่งมีชีวิตจากสกิลและอื่นๆที่เกิดการเคลื่อนไหวโดยละเอียดได้ ซึ่งจะช่วยในการคาดเดาสกิลและเวทย์มนต์ รวมทั้งประเภท จำนวน ฯลฯ จากการอ่านวงจรเวทย์ โดยความสามารถขึ้นกับความชำนาญและความสามารถเฉพาะตัวของผู้ใช้ *วิธีใช้ สั่งใช้งานสกิลด้วยความนึกคิดพร้อมกับถ่ายพลังเวทย์ลงไปยังตาขวาเพื่อเริ่มใช้งาน 》
『ไรท์ติ้งอาย(ต้นฉบับ)』
《 คำอธิบาย : เป็นสกิลจากการได้รับฉายา〘เนตรแห่งจอมมาร〙 มีผลทำให้ได้รับความสามารถในการคัดลอกสกิล เวทย์มนต์และการเคลื่อนไหวของสิ่งมีชีวิตจากสกิลและอื่นๆที่เกิดการเคลื่อนไหวโดยละเอียดได้ อนึ่ง จำเป็นต้องมีข้อมูลของสกิล เวทย์ การเคลื่อนไหวนั้นๆก่อน แนะนำให้ใช้ควบคู่กับรีดดิ้งอายเพื่อให้สามารถอ่านและคัดลอกได้ในทันที *วิธีใช้ สั่งใช้งานสกิลด้วยความนึกคิดพร้อมกับถ่ายพลังเวทย์ลงไปยังตาซ้ายเพื่อเริ่มใช้งาน》
『ออโต้รีไวฟ์(ต้นฉบับ)』
《 คำอธิบาย : เป็นสกิลจากการได้รับฉายา〘ผู้ไม่ยอมตาย〙มีผลพิเศษที่เป็นแบบติดตัว 2 อย่าง『รีคัฟเวอร์』➾ ร่างกายจะคืนดุลยภาพที่ดีที่สุดเมื่อถึงจุดที่ร่างกายเสี่ยงต่ออันตรายเสมอ โดยมีผลเฉพาะสิ่งที่ร่างกายสามารถผลิตได้ด้วยตัวเอง เช่นเลือด ฮอร์โมนหรือการควบคุมอุณหภูมิเท่านั้น ดังนั้นทั้งสารอาหาร เกลือแร่และน้ำในร่างกายจะไม่สามารถคืนสภาพให้ได้เมื่อถึงจุดวิกฤต『รีไวฟ์』➾ เมื่อร่างกายบาดเจ็บสาหัสหรือถึงแก่ความตาย ต่อให้ไม่เหลือชิ้นส่วนหรือเซลล์ซักเซลล์เดียว ก็ยังสามารถฟื้นกลับมาจากความว่างเปล่าในสภาพสมบูรณ์เหมือนก่อนหน้าได้เสมอ *สกิลทั้งสองเป็นแบบติดตัวไม่ต้องสั่งใช้งาน แต่ยังสามารถสั่งใช้งานด้วยตัวเองได้ทุกเมื่อเช่นกัน **การควบคุมพลังเวทย์ในส่วนนี้ถูกแบ่งโดยอัตโนมัติและจะถูกแบ่งมาใช้ในสกิลนี้ก่อนเป็นอันดับแรกเหนือสกิลอื่น》
〝หึหึ!〞
〖แบบนี้มัน... ถึงจะโกงก็เถอะ... แต่ก็เห็นความหวังอยู่ไม่ไกลเลยนะครับเนี่ย?〗
กรหัวเราะออกมาด้วยความดีใจ พลางโดนฟรังซ์แซวในเชิงคาดหวัง หลังจากอ่านสกิลพิเศษอันใหม่ทั้ง 3 นี้ นั่นทำให้ทุกคนที่อยู่ข้างๆตกตะลึงอีกครั้ง ที่มีสกิลมหาโกงอยู่ในกำมือของกรอีกแล้ว...
หึหึ! สกิลที่ไม่มีวันตายงั้นเหรอ หึ! ฮะฮ่ะฮ่ะฮ่ะฮ่ะฮ่ะ!!!
มันต้องแบบนี้สิ... นี่เราคงได้มาตอนที่ฟื้นสภาพจากที่ไอ้ทศกัณฑ์มันตัดร่างเราเป็นชิ้นๆนั่นสินะ...
แต่ผลลัพธ์นี่เกินคาดมาก.... ขนาดจอมมารบู ถ้าไม่เหลือซากก็คือตายแท้ๆ
แต่เราเนี่ยสิ... ต่อให้ถูกระเบิดไม่เหลือซาก ก็ยังฟื้นมาจากความว่างเปล่าได้งั้นเหรอ... นี่มันโกงขั้นเทพ ไม่สิ... สุดยอดขั้นเทพต่างหาก...
แล้วยังมีสกิลที่สามารถอ่านวงจรเวทย์ได้...
เห็นว่าเป็นสกิลเนตร ฉันเลยถามมีอาดูว่าตาของฉันตอนนี้เป็นยังไงบ้าง... เพราะจำได้ว่าครั้งล่าสุด ถูกสกิลของไอ้ยักษ์เวรนั่นทำลาสยตาทั้งสองดวงไปแล้ว... เพราะงั้นที่ได้สกิลเนตรมานั่นก็ต้องเกี่ยวด้วยแน่
แล้วคำตอบของมีอาก็คือ...
ตาของฉันยังคงมีลักษณะเหมือนเดิม... เพียงแต่แสงที่สะท้อนออกมาจากดวงตา ไม่ใช่สีใสๆแบบเดิมอีกต่อไปแล้ว...
ตาดำซ้ายเป็นสีดำสนิท แต่เมื่อสะท้อนกับแสงอาทิตย์กลับสะท้อนสีแดงสดของเลือดออกมาแทน... งั้นสีตาดำของฉันในตอนนี้ แทนที่จะเป็นดำมันน่าจะเป็นแดงที่เข้มมากจนเกือบจะดำเสียมากกว่า
ส่วนตาดำขวาเองก็เป็นแบบเดียวกัน เพียงแต่สีที่สะท้อนออกมาเป็นสีม่วงเข้มเท่านั้น... นี่เรากลายเป็นพวกตาสองสีไปแล้วงั้นเหรอเนี่ย?
แต่มันก็สะดวกสุดๆไปเลยหล่ะ สำหรับไว้ตรวจกับดักกับเล่ห์เหลี่ยมของจอมเวทย์ แถมยังสามารถก๊อปสกิลกับเวทย์เฉพาะได้อีก..... เพราะงั้นแค่สีตาคงไม่เป็นไรหรอก แถมถ้าไม่สังเกตก็ไม่เห็นด้วย...
ถึงมีอาจะบอกว่าสังเกตเห็นตั้งแต่ที่ฉันตื่นขึ้นมาแล้วก็เถอะ... เก็บรายละเอียดดีจังแฮะ...
ไม่สิ เพราะเป็นฉันเลยสังเกตุก่อนสินะ... น่าดีใจจนอยากพุ่งเข้าไปกอดมีอาซะตอนนี้เลยจริงๆ ให้ตายสิ!
อา... แต่ก็นะ ยังไงๆพวกนี้มันก็น่าตกใจจริงๆนั่นแหล่ะ... ก็ถึงกับทำให้เมอร์ลินกับเคลเบรอสพูดไม่ออกไปเลยนี่นา
〝หึหึ! อย่าพึงตะลึงกันสิ... เพราะของจริงฉันว่าน่าจะอยู่ที่ไอ้นี่ต่างหากหล่ะ〞
〝〝 !!!!! 〞〞
กรไม่พูดพร่ำทำเพลง แล้วก็จัดการสั่งใช้งานอีกหนึ่งสกิลที่เป็นตัวหลักให้ทุกคนได้ชม นั่นก็คือ『ตั้งค่าขั้นสูงสุด(ต้นฉบับ)』 ที่ถูกเพิ่มระดับขึ้นเป็นสูงสุดไปแล้วนั่นเอง...
กรนั้นรู้อยู่แล้วว่าสกิลนี้แสดงผลยังไงเลยไม่ได้เปิดคำอธิบาย... กรจึงสั่งใช้งาน หน้าต่างตั้งค่าทั้งหมดกว่า 20 หน้าต่างออกมาลอยอยู่รอบๆตัวเขาที่นั่งขัดสมาธิอยู่เพื่อไม่ให้เสียเวลาในทันที เพียงแต่ว่า....
อ้าว! แปลกจังแฮะ... หน้าต่างเหมือนเดิมทุกอย่างเลยนี่หว่า...
หืม? ไม่สิ…. ที่มุมขวาบนนั่น มีสัญลักษณ์บางอย่างอยู่....
แล้วพอกรสังเกตหน้าต่างทั้งหมด ก็พบจุดร่วมใหม่ของทุกหน้าต่าง นั่นคือมีสัญลักษณ์อยู่สองอย่าง
เรียงจากซ้ายไปขวา... หนึ่งคือเครื่องหมายไมโครโฟน ที่ไม่เข้าใจว่าเอาไปทำอะไร... ต่อไปคือเครื่องหมายคำถามที่อยู่ตัดมุมหน้าต่างของทุกๆหน้าต่าง กรจึงคิดเป็นอย่างแรกเลยว่าเครื่องหมายคำถามนั่นคือตัวช่วยแก้ปัญหา จึงเอานิ้วจิ้มไปที่มัน แล้วจากนั้นก็มีหน้าต่างเล็กๆเด้งขึ้นมาในทัศนวิสัย
《 *หมายเหตุ เมื่อกดเครื่องหมายไมโครโฟน จะเปลี่ยนเป็นระบบรับคำสั่งด้วยเสียง แล้วจากนั้นหน้าต่างตั้งค่าแต่ละอันจะแสดงส่วนเสริมดังที่ได้รับคำสั่ง แล้วจึงสามารถใช้งานได้อย่างในทุกขอบข่ายที่มีความเกี่ยวข้องกับผู้ใช้โดยตรง 》
เดี๋ยวสิ! งั้นก็หมายความว่า....
〝ผะ แผนที่โลก... จงแสดงผลแบบ 3 มิติ!〞
【รับทราบ!】
เสียงตอบกลับแบบโมโนโทนไม่ทราบเพศอันคุ้นเคย ดังขึ้นในสติของกร
ทันใดนั้น หน้าต่างตั้งค่าในส่วนการแสดงแผนที่ ที่เคยแสดงได้แค่แบบ 2 มิติ ก็หงายขึ้นมา ที่เป็นสัญลักษณ์สิ่งก่อสร้างก็งอกขึ้นมาจากภาพสองมิติ กลายสภาพเป็นแท่งและขยายออกเป็นรูปร่างสามมิติแบบต่างๆ แล้วยังคงความละเอียดไว้ในระดับสูง ถึงขนาดที่ซูมเข้าไปได้ถึงขอบโต๊ะเล็กๆ ในปราสาทของบางประเทศได้เลยทีเดียว
〝เจ้าหนู... ข้าหมดคำพูดแล้วจริงๆ เฮ้อ!〞
〝นี่มันยิ่งกว่าคำว่าโกงแล้วนะ!〞
〝เอ๋! นี่มันออกจะสุดยอดแท้ๆ〞
〖ฮะฮ่ะ... น่าแปลกที่ผมเห็นด้วยกับคุณมีอานะครับ〗
ต่างคนก็ต่างมีปฏิกิริยาต่างๆกันไป แต่กรสนใจแค่มีอากับเมอร์ลินเป็นพิเศษ แต่ก็เห็นว่าไม่ได้ตกใจจนเกินควร กรจึงไล่ดูหน้าต่างทั้งหมดต่อไปอีก...
งั้นก็หมายความว่า สามารถควบคุมหน้าต่างทั้งหมดได้เลยงั้นสิ... สามารถปรับค่าด้วยเสียงได้แบบนี้ก็เหมือนกับจะบอกอ้อมๆเลยแฮะว่า
อยากจะให้ทำอะไร ก็เชิญสั่งมาได้เลยค่ะนายท่าน... ไรเงี้ย
เพราะงั้นก็ต้องลองดูขอบเขตสูงสุดก่อน ว่าเรามอบคำสั่งได้แค่ไหน...... หืม?
และในขณะที่กรกำลังเลื่อนหน้าต่างไปเรื่อยพลางคิดนู่นนี่นั่นอย่างเรื่อยเปื่อย เพราะกำลังเบื่อที่มีแต่หน้าต่างเดิมๆ... เขาก็พบเข้ากับหน้าต่างอันใหม่ที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ทั้งด้วยความหมายที่ไม่เข้าใจ แต่พอคลับคล้ายคลับคลาว่าคืออะไร... เขาจึงพึมพำชื่อของหน้าต่างนั้นออกมาเบาๆด้วยความสงสัยและงงงวยแบบสุดๆ
〝อะไรเนี่ย... ไอ้『หน้าต่างค่าสิทธ์』 เนี่ย?〞
คำพูดพึมพำเบาๆของกร ทำให้ทุกคนหันมาสนใจกันหมด
แล้วพอหลังจากที่กรรู้ว่าหน้าต่างนั้น... มันช่างคล้ายกับ หน้าต่างที่ใช้ปรับสิทธ์การเข้าถึงของแอดมินหรือ GM เขาก็ตกตะลึงยิ่งกว่าเดิมเสียอีก ที่ของพรรค์นี้กลายมาเป็นหนึ่งในสุดยอดความสามารถของตัวเอง....
〝『ค่าสิทธ์』 เหรอ?〞 พอกรเลื่อนหน้าต่างที่ดูน่าสงสัยนี้มาอยู่ตรงกลางทัศนวิสัย เมอร์ลินที่มองเห็นได้อย่างชัดเจนเพราะถูกเลื่อนมาอยู่ในขอบเขตที่เธอมองเห็นได้ จึงถามออกมาด้วยความสงสัยเช่นกัน แล้วไม่รอช้า... กรรวมถึงมีอาและเมอร์ลิน... แม้แต่เคลเบรอสและฟรังซ์ที่ยื่นหน้าเข้ามาดูจากทางด้านหลังเองก็ทำการอ่านรายละเอียดที่เขียนอยู่บนหน้าต่างนี้ในทันทีเช่นกัน... หน้าต่างค่าสิทธ์1 - ???????????2 - ?????, ดาวเคราะห์3 - พระเจ้า ดันเจี้ยนมาสเตอร์ มอนสเตอร์และบอสในดันเจี้ยน (ระดับ SS ขึ้นไป)4 – เผ่าเทพเจ้าและตัวตนระดับสูง (เช่น เทพตกสวรรค์ วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ปีศาจ)5 – มอนสเตอร์ในดันเจี้ยน (ระดับ A ขึ้นไป แต่ไม่ถึงระดับ SS)6 - มอนสเตอร์และบอสนอกดันเจี้ยนทั้งหมด (ระดับ A ลงไป)7 - ผู้ปกครองแผ่นดิน8 - สิ่งมีชีวิตทรงปัญญาทุกประเภท9 – ทาสและสิ่งมีชีวิตไร้สติปัญญา*หมายเหตุ : การตั้งค่าทุกอย่าง ถูกขยายขอบเขตให้สามารถตั้งค่าบุคคลอื่นในแบบเดียวกับที่ตั้งค่าให้กับตัวเองได้ทุกอย่างปล. สีเขียว คือ กลุ่มที่มีค่าสิทธิ์ต่ำกว่าผู้ใช้ เป็นกลุ่มที่สามารถตั้งค่าได้ทุกอย่าง
เรื่องราวของแม่ทัพคนที่ 7 งั้นเหรอ?จะว่าไปแล้ว เรื่องที่ฟรังซ์ ออลเดลเล่าครั้งแรกนั่นก็มีกล่าวถึงเหมือนกันนี่... ถึงจะพูดถึงแค่ครั้งเดียวเองก็เถอะถ้าจำไม่ผิด... เจ้านั่นบอกว่าแม่ทัพที่สู้กับจอมมารหน่ะมี 7 คน แล้วต่อมา 6 ใน 7 คน ได้กลายเป็นมหานักปราชญ์....เราเองก็คาใจมาตลอดว่าอีกคนนึงคือใคร... เพราะจาก 6 คน ก็มีพระเจ้าคนนึง กับดันเจี้ยนมาสเตอร์อีก 5...เราเองก็หาหนังสือแบบเดียวกันมาตลอด แต่ไม่มีถูกกล่าวถึงเลยซักนิด เหมือนกับมีคนจงใจลบข้อมูลส่วนนั้นออกไปเลย...แต่ถือวิสาสะเอามาอ่านเองแบบนี้นี่ ยัยนั่น.... เมอร์ลินจะโกรธรึเปล่าเนี่ย... แถมในส่วนลึกของจิตใจ เรากลับรู้สึกว่า ไม่ควรไปแตะต้องมันซะนี่... กรที่กำลังลังเล พยายามก้าวเท้าขวาเข้าไปข้างในห้องแต่ก็ต้องชักเท้ากลับออกมาเพราะรู้สึกผิดอยู่ในใจ แต่แล้วความอยากรู้อยากเห็นก็เข้าครอบงำอีกครั้งเขาจึงก้าวเท้าเข้าไปอีก แล้วพอมาคิดดูว่าเมอร์ลินจะรู้สึกยังไงที่โดนรุกล้ำเข้าพื้นที่ส่วนตัวโดยไม่ได้รับอนุญาติ กรก็ชักเท้าหนีอีกจนไม่ได้เข้าไปเสียที จนแม้จะผ่านไปถึง 5 นาทีเขาก็ยังคงทำแบบนั้นอยู่ด้านหน้าห้องของเมอร์ลิน จนกระทั่ง...〝ทำอะไร
——— 3 วันต่อมา กิจวัตรประจำวันเมื่ออยู่คฤหาสน์ของกรยังคงดำเนินต่อไป ด้วยตารางการฝึกของฟรังซ์เพื่อ『การเพิ่มขีดจำกัดด้วยออร่า』 ด้วยความสามารถในการเรียนรู้อย่างรวดเร็วของกร... บัดนี้เขาสามารถควบคุมจินตนาการได้จนเกือบสำเร็จแล้ว ซึ่งถือเป็นความก้าวหน้าอย่างดีเยี่ยมเลยทีเดียว ส่วนผลลัพธ์ที่เห็นได้ชัดเลยก็คือ....ฉั๊ว! ฉั๊ว! ฉั๊ว! ฉั๊ว! ฉั๊ว! ฉั๊ว! 〝อ้าว ๆ !!! คราวนี้ลองรับดาบข้าดูเจ้าหนู!〞 กรในตอนนี้กำลังต่อสู้กับวิชาดาบสุดร้ายกาจของเคลเบรอสในร่างลุงวัยกลางคนสวมชุดพ่อบ้านเช่นเคย สเต็ปการก้าวเท้าหลบของกรนั้นช่างลื่นไหลราวกับกำลังเต้นลีลาศด้วยการกระหน่ำโจมตีของเคลเบรอส แต่ด้วยความร้ายกาจของเคลเบรอสทำให้มีวิถีดาบจำนวนหนึ่งเล็ดรอดออกมาได้ กรจึงใช้มือปัดป้องออกอย่างง่ายดาบราวกับเป็นเพียงของเล่น กรที่อยู่ในชุดฝึกนั้นเรียกได้ว่าไร้อาวุธอย่างแท้จริง จะมีก็แต่ร่างกายที่ถูกคลุมด้วยออร่าสีขาวบริสุทธิ์เท่านั้น ที่ใช้แทนกันได้... แม้จะเป็นการต่อสู้แบบหนึ่งต่อหนึ่งก็ยังพอสูสีได้ เพียงแต่ว่า...ปั้ง! ปั้ง! ปั้ง! ปั้ง! ปั้ง! ปั้ง! 〖อย่าลืมว่าย
บทที่ 2 『 Basilius Kingdoms Crisis 』วิกฤตบาซีเลียส❖❖❖❖❖ครืด!——— ครืด!——— ครืด!——— ท่ามกลางความร่มรื่นของบรรยากาศยามบ่ายที่ไม่ร้อนเกินไปนักของถนนลูกรังสีน้ำตาลอ่อนซึ่งมีผืนหญ้ายาวสุดลูกหูลูกตาและมีไม้ยืนต้นขนาดปานกลางแซมอยู่เป็นพักๆ ได้มีเสียงของอะไรบางอย่างกำลังถูกลากไปตามทางของด้วยเสียงประหลาดๆแฮ่ก! แฮ่ก! แฮ่ก! เสียงหายใจหอบของคนที่เป็นต้นเสียงดังอย่างต่อเนื่องมาได้พักใหญ่ๆ... เมื่อโฟกัสไปยังต้นเหตุดังกล่าว ก็จะพบเข้ากับเด็กหนุ่มที่เป็นสาเหตุคนนั้นกำลังเดินลากเท้าไปตามพื้น แต่จะโทษเขาฝ่ายเดียวก็ไม่ได้ เพราะสาเหตุที่ทำให้เด็กหนุ่มเดินลำบากนั้นมาจากหญิงสาวที่กำลังเหนื่อยอ่อนเพราะเป็นลมแดด? ซึ่งเขากำลังแบกอยู่ด้านหลังต่างหาก เหงื่อของเด็กหนุ่มไหลลงมากองที่คอด้วยความร้อนจากทั้งแรงกดทับของหญิงสาวและความร้อนจากแสงอาทิตย์ เลยทำให้ความร้อนสะสมเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า ท่าทีของทั้งสองคนนั้นเหนื่อยอ่อนเกินกว่าจะเรียกว่ากำลังเดินทางเข้าเมือง เพราะใบหน้าทรมานของทั้งสองคนมันเหมือนกับกำลังเดินทางไปสู่นรกมากกว่า(ฮาๆ) แตกต่างจากเด็กสาวที่เดินอยู่ข้
หลังจากนั้น พวกกรก็นั่งรถม้าเข้าไปในเมืองชั้นในพร้อมกับคุณโรนี่ โดยใช้เวลาไม่นานก็ถึงที่หมาย… การตรวจตราเข้าสู่เมืองชั้นใน ดำเนินการโดยกองทหารฝ่ายตรวจการ เพราะเมืองชั้นในประกอบด้วยสถานที่ราชการเสียเป็นส่วนใหญ่ เลยต้องมีการคัดแยกคนที่รัดกุมมากกว่าปกติ แต่พวกกรก็ผ่านมาง่ายๆ เพราะเดินทางมากับคุณโรนี่ซึ่งเป็นที่รู้จักในย่านนี้ แล้วจากนั้นประมาณ 10 นาที พวกกรก็มาถึงย่านร้านค้าซึ่งมีลักษณะเป็นตึกแถว 3 ชั้นที่ดูดีมีระดับแห่งหนึ่ง โดยที่ทั้งสองข้างทางต่างก็เป็นร้านกระจก และถูกประดับด้วยของดีทั้งนั้น ทางสัญจรที่แม้จะเป็นซอยหลักเองยังถูกปูด้วยพื้นหินแกรนิตเป็นลายสับหว่างเหมือนกับอิฐอย่างดีและงดงาม แค่มองดูแวบแรกก็รู้แล้วว่าเป็นย่านร้านค้าของคนมีเงินใช้เหลือเฟือ แต่ดูเหมือนคนทั่วไปเองก็มาซื้อของที่นี่เหมือนกัน ด้วยเพราะกรมองเห็นคนแทบจะทุกประเภทสัญจรผ่านย่านการค้าแห่งนี้คับคั่งยิ่งกว่าตลาดเมื่อตอนเข้าเมืองเสียอีก รถม้ายังคงเคลื่อนตัวเข้าไปเรื่อยๆ... ในขณะเดียวกัน มีอาและเมอร์ลินที่ไม่ค่อยได้เห็นของพวกนี้เพราะอยู่แต่ในดันเจี้ยนมานานมาก ต่างก็มองผ่านหน้าต่างอ
หลังจากพวกกรเดินหลบฉากออกมาจากย่านการค้าโรนี่ได้ซักพัก ณ ตอนนั้นก็เป็นเวลาประมาณ 5 โมงเย็นเศษ พวกกรเลยตกลงกันว่าจะหาที่พักชั่วคราวอาทิเช่น โรงแรมหรือห้องพัก กันไปก่อน และเนื่องด้วยตอนนี้กำลังอยู่ในช่วงฤดูฝนปลายๆ เกือบจะเข้าฤดูร้อนพอดิบพอดี เลยทำให้เวลากลางวันยาวนานกว่าตอนกลางคืนพอสมควร แสงอาทิตย์จึงยังไม่เป็นสีส้มสนิท พวกกรเลยตัดสินใจว่าจะออกมาเดินเล่นในเมืองด้วยกันหลังจากที่จองห้องไว้แล้วด้วย แต่ว่า...〝นี่... ฉันว่าห้องของที่เมื่อกี้ก็โอเคอยู่นา...〞〝ไม่เอาด้วยหรอก! ฉันไม่อยากใช้ห้องน้ำรวมนี่นา〞〝แต่มันก็แยกฝั่งชาย หญิงอยู่ไม่ใช่เหรอ? 〞〝บอกว่าไม่เอาก็คือไม่เอาย่ะ! 〞 ผ่านมาเกือบครึ่งชั่วโมงได้ ที่ทั้งสามคนยังคงง่วนอยู่แต่กับการเลือกห้องพัก ตามแบบที่เห็นตรงกัน ในด้านของมีอานั้น ไม่มีปัญหาซักนิดในเรื่องของรูปแบบห้อง ขอแค่มีเตียงเธอก็นอนได้หมด เพราะงั้นคนที่เถียงกันจึงมีแต่กรและเมอร์ลิน... ไม่สิ พูดให้ถูกคือเมอร์ลินเป็นฝ่ายเลือก ซึ่งสาเหตุของเมอร์ลินนั้นก็มาจากการต้องการความเป็นส่วนตัว รวมถึงไม่อยากทำความรู้จักกับบุคคลอื่นโดยไม่จำเป็นนั่นเอง กรที
〝 ใหญ่จัง... 〞〝 ใหญ่เวอร์เลย 〞〝 สุดยอดเลยแฮะ 〞 มีอา เมอร์ลินและกรต่างก็แสดงปฏิกิริยาออกมาต่างกัน แต่ที่เหมือนๆกันก็คือ ความตะลึงและประทับใจ เมื่อพบกับอาคารขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า หลังจากเดินเท้าจากอิกดราซิลโฮเทลเข้าสู่ศูนย์กลางของเมืองเพียง 10 นาที อาคารทั้งหมดถูกสร้างจากหินแกรนิตสีน้ำเงินโทนดำดูภายนอกน่ายำเกรง ลายของผนังและกำแพงภายนอกคล้ายกับการวางตัวของอิฐที่สับหว่างไปมาอย่างมีระเบียบ จากภายนอก กรพอจะคาดคะเนความสูงได้เกือบ 7 เมตร และเมื่อใช้หน้าต่างตั้งค่าตรวจสอบแผนผังก็พบว่าภายในเป็นอาคารขนาดใหญ่และมีถึง 4 ชั้น ลานกว้างขนาดใหญ่ซึ่งเป็นทางเดินติดต่อระหว่างประตูอาคารและซุ้มทางเข้าขนาดใหญ่ติดกับกำแพง และซุ้มทางเข้านี้เอง ที่มีตัวอักษรสีแดงขนาดใหญ่สลักไว้ตรงกลางของป้ายสูงพอๆกับตัวอาคารเหนือหัวของพวกกรถูกเขียนเอาไว้ เป็นชื่อของอาคารแห่งนี้ว่า... 『กิลด์นักผจญภัยประจำเมืองคาลิโอน่า』ข้างในเองก็สุดยอดไม่แพ้กันเลยแฮะ ทันทีที่ทั้งสามคนเดินผ่านซุ้ม และผ่านประตูไม้ขนาดใหญ่กว่า 3 เมตรเข้ามาถึงภายในกิลด์นักผจญภัย ก็พบกับบรรยากาศแปลกๆ ขอ
หลังจากที่พวกกรตัดสินใจจะเพิ่มพวกพ้องในปาร์ตี้ด้วยการซื้อทาสไปแล้ว พวกเขาจึงเริ่มตระเวนหาร้านดังกล่าวในทันที เพียงแต่... การหาร้านที่มีคุณภาพและมีความน่าเชื่อถือนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลยซักนิด นั่นเป็นเพราะกรไม่เคยซื้อทาสมาก่อนนั่นแหล่ะ เพราะหากเป็นสินค้าอย่างอื่นไม่ว่าจะของกินหรือเครื่องใช้ กรก็มีพื้นเพในการคัดแยกของดีไม่ดีจากโลกเดิมอยู่แล้ว เพราะความรู้และสามัญสำนึกเป็นของโลกเดิม เลยมีความเสี่ยงจะโดนโกงสูง... ทางด้านมีอาเองเคยเป็นทาสมาก่อนก็จริง แต่ก็เป็นคนละประเภทกับที่ถูกขายตามท้องตลาด ส่วนเมอร์ลินก็อยู่แต่ในดันเจี้ยนทำให้ความรู้เรื่องโลกภายนอกไม่ต่างจากกรและมีอาซักนิด และพอใช้เวลาคิดซักเล็กน้อย... พวกกรก็ได้นึกถึงบุคคลคนนึงที่เขาเพิ่งรู้จักเมื่อวาน และเชื่อว่าเขาคนนั้นมีความน่าเชื่อถือมากพอ แถมยังทำงานสายการค้าอีกด้วย และยังเป็นคนมีอิทธิพลพอสมควร นั่นเลยทำให้กรคิดว่าเขาต้องช่วยแนะนำร้านค้าทาสดีๆให้กับกรได้แน่〝 ยินดีต้อนรับครับ! อ้าว คุณกรเองเหรอครับ 〞 ทันทีที่กรเปิดประตูเข้าสู่อาคารบริหารของย่านการค้า ก็ได้พบเข้ากับคนๆนึง กำลังสั่ง
———— 1 สัปดาห์ต่อมา ชั้นที่ 2 ของมหาดันเจี้ยน『หอคอยแห่งปัญญา』 ณ ดันเจี้ยนชั้นพิเศษ ซึ่งถูกสร้างโดยอาเธนต่อจากชั้นที่ 1 อันเป็นชั้นที่เอาไว้หลอกคนทั่วไป ถูกสร้างขึ้นเพื่อการฝึกฝนและเก็บเลเวลโดยเฉพาะ หากแต่ผู้ที่จะใช้มันได้นั้น มีเพียงแค่กลุ่มของผู้ที่ผ่านการทดสอบที่แท้จริงแล้วเท่านั้นถึงจะเข้ามาในนี้ได้ ที่แห่งนี้ถูกแบ่งออกเป็นสามเขต อันได้แก่ เขตที่พักอาศัย เขตใช้ฝึก『บัญญัติพันประการ』 และสุดท้ายคือเขตที่ใช้สำหรับเก็บเลเวล... หรือก็คือ เขตมอนสเตอร์ทรงภูมิปัญญานั่นเอง ในพื้นที่ของเขตที่สามถูกสร้างให้เป็นพื้นกระเบื้องและเพดานหน้าตัดเรียบส่องแสงสีเขียว (Lime) พื้นที่โดยรอบมีวัตถุโปร่งแสงรูปทรงเรขาคณิต ทั้งสามเลี่ยม สี่เหลี่ยมไปจนถึงรูปทรงหลายเหลี่ยมกระจัดกระจายเต็มไปหมดทำให้ยากแก่การเคลื่อนไหว แต่กลับกันแล้ว มันทำให้ง่ายต่อการดำเนินแผนที่ซับซ้อนและแยบยล และเขตที่สามนี้เอง ที่มีหญิงสาวทั้ง 4 คน อันได้แก่ มีอา ซาช่า เรเชลและริต้า กำลังต่อสู้กับมอนสเตอร์จำนวนเท่ากันอยู่ มอนสเตอร์ทั้งสี่ตัวที่เป็นศัตรู มีหนึ่งตัวที่สวมผ้าคลุมสีดำ มีส่วนหัวเป็น
〝 คุณโรนี่กับราชา... นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่เนี่ย 〞 กรถามออกไปแบบนั้น ในเวลาเดียวกับที่ใช้『รีดดิ้งอายส์』ตรวจสอบบุคคลทั้งสองตรงหน้า แล้วก็ยิ่งประหลาดใจเข้าไปใหญ่เมื่อพบว่าทั้งคู่เป็นตัวจริง...〝 ทำหน้าแบบนั้นคงจะรู้แล้วสินะว่าพวกข้าเป็นตัวจริง... 〞ราชาพูดแทงใจดำพลางยิ้มออกมา ทำให้กรคิ้วกระตุกเพราะคาดการณ์เรื่องตรงหน้าไม่ทัน ในขณะที่กรคิดแบบนั้น ราชาก็เดินเข้ามาทางกร แล้วก็ใช้เวทย์บางอย่างเปลี่ยนใบหน้าตัวเองเป็นคนอื่น ไม่สิ... เปลี่ยนจากคนอื่นกลับมาเป็นตนเองคนเดิมต่างหาก ซึ่งที่เปลี่ยนไปนั้นมีเพียงโครงหน้าเท่านั้น แต่ความสูงอายุและริ้วรอยนั้นแทบไม่ต่างจากเดิมเลย แล้วก็หันไปสบตากับเมอร์ลินเข้า นั่นทำให้เธอเลิกคิ้วขึ้นด้วยความประหลาดใจ...〝 นายมัน อาเธนงั้นเหรอ!!!? 〞เมอร์ลินที่เห็นใบหน้าจริงของชายชราตรงหน้าก็จำได้ทันทีพร้อมทั้งเรียกชื่อจริงของเขาออกมาอย่างสนิทสนม โดยมีสายตางงงวยจากสาวๆคนอื่น แต่พอรู้ว่าคนน่าสงสัยตรงหน้าเป็นคนรู้จักของเมอร์ลิน การ์ดของพวกเธอก็คลายลงพอสมควร〝 แหมๆ ในที่สุดก็จำได้ซักทีนะแม่คุณ... ข้าหล่ะเจ็บช้ำไม่น้อยเลยนะ ตรงที่เจ้าบ
หลังจากเรื่องเมื่อวานเคลียร์กันจบในตอนเย็น กรได้ทำการเพิ่มฟังก์ชั่นหลบหนีฉุกเฉินใส่บัตรนักผจญภัยของเจนนี่ไว้ก่อนด้วย เผื่อในกรณีที่เกิดอันตรายกับเธอ เธอสามารถใช้มันวาร์ปมาหากรได้ทุกเมื่อ รวมถึงพาคนรู้จักอย่างไมน์กับรีเบคก้ามาด้วยก็ยังได้ จากนั้นพวกกรกับพวกไมน์จึงได้แยกกันกลับที่พักของตัวเอง อนึ่ง เจนนี่ตอนนี้นั้นอยู่สถานะของคนชื่อ『เบลนด้า อัลบา』 รูปลักษณ์ภายนอกที่คนอื่นเห็น เป็นคนผิวสีแทน ใบหน้าปานกลางค่อนไปทางแย่(จากความเห็นส่วนใหญ่ในกลุ่มของกร) แต่นั่นก็เพื่อไม่ให้เธอเป็นจุดเด่น เพราะหากจะว่าไปแล้วเจนนี่ในร่างธรรมดานั้นจัดว่าเป็นคนสวยมากเลยทีเดียว และด้วยการใช้บัตรนักผจญภัยอ้างถึงตัวตน ก็สามารถเข้าพักที่เดียวกับพวกไมน์ได้ แต่เธอเลือกที่จะพักคนละห้องแทนเพื่อไม่ให้เกิดข้อสงสัย (แต่สุดท้ายตอนนอนก็ย้ายมานอนห้องเดียวกันอยู่ดี) ส่วนทางด้านของกร พอกลับไปพวกกรก็รีบทำธุระส่วนตัว แล้วเข้านอนในทันที เพื่อสะสมพลังงานให้เต็มอิ่มก่อนที่จะออกรบในดันเจี้ยน『หอคอยแห่งปัญญา』 และเพื่อความไม่ประมาทช่วงเช้าทั้งหมด กรและพรรคพวกจะใช้เวลาไปกับการตร
〝 ไง ทั้งสองคน 〞 ในขณะที่ทุกคนแสดงสีหน้าตกตะลึงยังกับเห็นผีออกมา เจนนี่ก็เริ่มเป็นฝ่ายทักไมน์และรีเบคก้าก่อนด้วยรอยยิ้มในทันที〝 เจนนี่!!! 〞〝 อุ๊ยตาย!? 〞 ไมน์ที่เห็นแบบนั้นไม่รอช้าที่จะพุ่งเข้าไปสวมกอดเจนนี่อย่างเร็ว นั่นเองก็ทำเจ้าตัวอย่างเจนนี่ตกใจไม่น้อยเหมือนกัน〝 เจนนี่! เจนนี่จริงๆใช่ไหมเนี่ย? ไม่ใช่ผีหรือตัวปลอมใช่ไหม!? 〞ไมน์พูดแล้วก็ลูบๆคลำๆเจนนี่ไปทั่ว ทำเอาร่างเธอสั่นนิดหน่อยเพราะจักกะจี๊เลยทีเดียว〝 ยัยบ๊อง! ก็จับตัวกันได้อยู่ไม่ใช่รึไง? แล้วฉันก็ยังจำได้อยู่เลยนะว่าตรงก้นของรีเบคก้ามีไฝอยู่ด้วยหน่ะ 〞 เจนนี่พูดแบบนั้นออกมา ทำให้รีเบคก้าออกอาการหน้าแดง แล้วก็พุ่งเข้ามาสับกะโหลกเจนนี่เหมือนกับที่ผ่านมา〝 ฮึ่ย! ไอ้นิสัยพูดไม่คิดนี่ตัวจริงชัวร์ 〞รีเบคก้าพูดแล้วก็ใช้กำปั้นหมุนๆใส่ศีรษะของเจนนี่〝 โอ้ยๆ! เจ็บอ่ะรีเบคก้า ออมมือให้หน่อยเซ่! 〞 ทั้งสามคนหยอกล้อกันไปมาแบบนั้น ราวกับต้องการจะซึมซับและฟื้นคืนบรรยากาศที่ถูกทำลายไปให้กลับมาเหมือนเดิม แม้จะยังเคลือบแคลงสงสัย แต่ความอบอุ่นของภาพที่อยู่ตรงหน้าก็ทำให้ทุกคนลืมหลายเรื่องที่คิดอ
หลังจากที่งีบหลับไปประมาณ 3 ชั่วโมง ความเหนื่อยล้าทางจิตใจก็ดูจะลดลงไปบ้างเอาจริงๆ ต่อให้ลุยต่อทั้งอย่างงี้ก็ไหวอยู่หรอก แต่แค่นี้ทุกคนก็เป็นห่วงมากพออยู่แล้ว เพราะงั้นทำตามที่ทุกคนแนะนำเป็นการดีที่สุดทางริต้าเองยังคงหลับอยู่เลยปล่อยให้หลับต่อไปก่อนโดยให้เรเชลดูแลอยู่ข้างๆส่วนทุกคนเองดูเหมือนว่าจะไม่ได้หลับเลยในระหว่างที่ฉันพักแต่ก็ต้องขอบคุณในจุดนั้น เพราะในช่วงที่ฉันไปเจรจากับราชา ฉันต้องการที่จะไปคนเดียว...ก็แหม... ฉันไม่อยากให้ทุกคนเห็นท่าทางแย่ๆเท่าไหร่นี่นา〝 เพราะทุกคนเฝ้าฉันมาตลอดคงจะเหนื่อยแย่ ฉันเลยอยากให้พวกเธอพักรอฉันอยู่ที่นี่หน่ะ 〞พูดแบบนั้นออกไปทุกคนก็ทำหน้าถมึงทึงใส่ และแน่นอนว่าทุกคนทำท่าอยากจะไปด้วยกันหมดเลยใช้เวลาเกลี้ยกล่อมตั้งนานกว่าจะยอม แต่ก็เพราะทุกคนเป็นห่วงเรานั่นแหล่ะนะ น่าดีใจแท้ๆแต่ทุกคนก็ไม่อยากตื้อให้เราจนกังวลเกินไปเหมือนกันเพราะงั้นแค่รับปากว่าจะไม่ฝืนฉันก็ขอตัวมาได้แล้วหล่ะนะแล้วจากนั้นก็วาร์ปมาที่เมืองหลวง ในซอกตึกที่นึงใกล้ๆกับทางเข้าพระราชวังโห... มองดูจากตรงนี้ยังเห็นรูที่เจ้าชายมันทำพังไว้อยู่เลย...เดี๋ยวไม่สิ... เราเป็นคนทำนี่หว่า คง
หลังจากที่การแสดงของฉันดำเนินมาได้ซักพัก จุดจบก็มาถึงโดยที่ฉันเป็นคนจัดการปิดคดีได้อย่างดงามถึงช่วงกลางๆจะโดนคุณโรนี่แย่งซีนก็เถอะ แต่ตอนจบก็กู้หน้าคืนมาได้อ่ะนะ...จากนั้นริออนที่ถูกฉันต่อยจนสลบก็ถูกพวกฟรอนกับคาลอสคุมตัวไปส่วนไอ้ปีศาจนั่นฉันปล่อยให้มันหนีไปเองด้วยเหตุผลทางด้านผลประโยชน์ในอนาคตแต่ทางฝั่งนั้นอาจจะกำลังคิดว่าหนีฉันพ้นอยู่ก็ได้หล่ะนะ... แต่ปล่อยให้คิดแบบนั้นก็ดีเหมือนกันแล้วหลังจากเรื่องจบ ฉันก็ไม่อยู่รอดูสถานการณ์หรอกนะเพราะว่าเป็นห่วงทุกคน ฉันเลยรีบผละตัวออกมาในทันทีที่มีโอกาสก่อนหน้าที่จะออกมาก็มีถูกพระราชานัดพบเป็นการส่วนตัวด้วยอยู่ไม่มีเหตุผลให้ปฏิเสธ แล้วก็คงคิดจะคุยถึงเรื่องต่อจากนั้นนั่นแหล่ะเป็นไปตามแผนเลย ฉันคิดจะใช้โอกาสนี้ต่อรองกับราชาอยู่แล้ว…แล้วพอวิ่งออกมาถึงจุดนัดพบในซอกตึกรามบ้านช่อง ก็เจอกับทุกคนโชคดีไป... ดูเหมือนทั้งมีอา เมอร์ลิน ชาลอต ซาช่า จะไม่ได้รับผลกระทบอะไรเลย โล่งอกไปที...กลับกันแล้วพวกเธอเป็นห่วงฉันสุดๆเลยชาลอตก็เอาแต่บอกว่า〝 นายท่านอย่าเสี่ยงไปคนเดียวแบบนั้นอีกเลยนะคะ! 〞ส่วนซาช่าก็〝 ตอนที่นายท่านกระโดดเข้าไปหาลูกบอลแปลกๆนั่น...
〝 อั๊ก!!! 〞 เจ้าชายออริออน... ริออนกุมมือขวาของตัวเองด้วยความเจ็บปวด เพราะได้รับผลกระทบจากการถูกยิง ต้องบอกว่าโชคดีเท่าไหร่แล้วที่อัญมณีรับความเสียหายแทนไปเกือบหมด ไม่งั้นมือของเขาคงขาดไปแล้วด้วยซ้ำ แต่ก็เพราะความเจ็บปวดที่แล่นจากมือขวาไปสู่ทั่วทั้งร่างนี่แหล่ะ ทำให้ริออนดึงสติของตัวเองกลับมาได้อีกครั้งวูม!!!!!!———〝 อะ อา.... 〞 ริออนรำพึงอยู่ในลำคออย่างน่าเวทนา ในตอนที่แสงสีแดงจากวงเวทย์สว่างน้อยลงพร้อมๆกับวงเวทย์ขนาดใหญ่ที่ค่อยๆจางหายไปจากท้องฟ้ายามค่ำคืน จนในที่สุดแสงสว่างสีแดงฉานก็อันตรธานหายไปจากท้องฟ้า เช่นเดียวกับวงเวทย์ขนาดมหึมา ทำให้แสงจันทร์ส่องลงมาถึงพื้นดินอีกครั้ง แต่ยังคงมีเสียงเจี๊ยวจ๊าวเนื่องด้วยความสับสนของชาวเมืองอยู่บ้าง แต่แน่นอนว่าทุกคนปลอดภัยดีแล้ว และไม่มีใครได้รับผลกระทบจนถึงขั้นเสียชีวิตเลยซักคน ความสิ้นหวังเข้าคลุมสติของริออนในพริบตา อย่างที่เขาว่าไว้… เมื่อพริบตาที่ความหวังใกล้จะสัมฤทธิ์ผลถูกทำลายลง นั่นคือความสิ้นหวังอย่างที่สุด... และนั่นก็ทำให้สีหน้าของริออนเปลี่ยนจากสิ้นหวังไปเป็นอาฆาตแค้นแทน แ
〝 น่าตกใจจริงๆ… นี่รู้อยู่แล้วหรอกเหรอว่าข้าเป็นคนร้าย? 〞 เจ้าชายลำดับที่หนึ่ง... เจ้าชายออริออนถามกรออกมาด้วยแววตาและท่าทางหยิ่งยโส พร้อมกับเป็นการยอมรับข้อกล่าวหาไปในตัว ว่าตัวเองคือคนร้ายตัวจริง ในขณะที่มองกรลงมาจากเบื้องบน〝 ก็นะ... เพิ่งจะรู้ตัวเมื่อไม่นานมานี้เองแหล่ะ แสบจริงนะให้ตายสิ... 〞กรพูดออกมาพร้อมกับยิ้มแห้งๆ แล้วก็เดินเข้ามาทางเจ้าชายออริออนมากกว่าเดิม เหล่าสมุนเล็บโลหิตตั้งท่าเตรียมพร้อมโจมตีกันเต็มที่ แต่ยังไม่มีใครกล้าเริ่มโจมตีกรก่อน ทั้งด้วยความกลัวพลังที่ต่อกรกับพวกของตนระหว่างทางได้อย่างง่ายดาย แถมผ่านมาได้อย่างไร้รอยขีดข่วนก็ด้วย แต่ประเด็นสำคัญคือจิตสังหารอันหนักอึ้ง ราวกับถูกน้ำตกซัดสาดนั่นของกรต่างหาก ที่ทำให้พวกเขาไม่กล้าขยับตัว〝 งั้นขอเข้าเรื่องเลยละกัน... 『อุปกรณ์ตัวหลัก』 อยู่ที่ไหน? 〞 กรเปลี่ยนสีหน้าเป็นจริงจังยิ่งกว่าเดิม พร้อมกับน้ำเสียงเย็นยะเยือกจนน่ากลัว นั่นทำให้เหล่าเล็บโลหิตจำนวนเกินครึ่งยืนตัวสั่นได้ ไม่สิ... แม้แต่ชายเผ่าปีศาจที่ยืนอยู่ข้างๆเจ้าชายออริออนยังแอบสั่นเลยด้วยซ้ำ มีเพียงโรนี่ที่ใจเย็
หลังจากที่แอบย่องขึ้นมาบนชั้นสอง แล้วมองลอดเข้าไปในห้องที่จับสัมผัสวิญญาณได้พวกเราก็เจอกับเด็กผู้หญิงกำลังนั่งอยู่บนขอบระเบียงเป็นภาพที่น่าแปลก... เพราะเธอคนนั้นโปร่งแสงจนมองทะลุไปถึงท้องฟ้าที่เป็นฉากหลังเลยเนี่ยสิถ้างั้นก็ไม่ต้องสงสัย... เด็กคนนั้นคือวิญญาณที่กำลังตามหาอยู่แน่นอน กรคิดแบบนั้นพลางมองไปยังเด็กสาว ส่วนทางเด็กสาวนั้นกลับหันมามองทางกรในเวลาเดียวกัน〝 เอ่อ... ไม่ต้องหลบหรอกนะคะ คือหนูเห็นตั้งแต่เข้ามาในคฤหาสน์แล้วหล่ะค่ะ 〞เสียงกังวานของเด็กสาวพูดขึ้นมา โดยในน้ำเสียงมีความเอียงอายเล็กน้อย แล้วพอเด็กสาวพูดแบบนั้น กรก็ให้สัญญาณทุกคนเดินตามหลังเขาเข้ามาในห้องทันที〝 เข้าใจหล่ะ โทษทีนะที่บุกรุกเข้ามา 〞เมื่ออีกฝ่ายพูดอย่างสุภาพ ก็เป็นมารยาทเช่นกันที่กรจะตอบกลับไปแบบเดียวกัน〝 ไม่หรอกค่ะ... เอาจริงๆในรอบ 10 ปีมานี้มีคนเข้ามาในคฤหาสน์นับคนได้เลยหล่ะค่ะ มีคนบ้างแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน 〞เด็กสาวยิ้มตอบกรอย่างเป็นมิตร พร้อมกับลอยตัวจากขอบระเบียงมายืนอยู่ด้านหน้าของพวกกร สภาพแบบนั้นทำเอาพวกกรประหลาดใจไม่น้อย เว้นเสียแต่ซาช่าที่กำลังยืนตัวสั่นอยู่〝 นี่เธอเป