ในชั้นลึกสุดของดันเจี้ยนใต้ชั้นที่ 100... มันคือพื้นที่กว้าง มีลักษณะเป็นป่าโปร่ง ที่มีต้นไม้น้อยใหญ่สีเขียวขจีเรียงรายกันอยู่นับไม่ถ้วน มีแม่น้ำ ลำคลองเล็กใหญ่แซมอยู่ระหว่างทาง
ลึกเข้าไปอีกพอประมาณก็จะพบเข้ากับรั้วของคฤหาสน์หลังใหญ่ ถูกล้อมรอบไปด้วยป่าโปร่งรอบด้านราวกับใช้แทนป้อมปราการ ถัดจากรั้วเข้าไป มันคือสวนหย่อมที่ถูกประดับด้วยดอกไม้นานาชนิด และสิ่งปลูกสร้างมากมายไม่ว่าจะเป็นน้ำพุ รูปปั้น หรือมีแม้กระทั่งโต๊ะน้ำชากลางแจ้งที่มีม่านจากต้นไม้บดบังแสงอาทิตย์ดูร่มรื่นไม่ใช่น้อย
และลึกเข้าไปอีกในคฤหาสน์ ทางเดินถูกปูด้วยพรมสีแดงราวกับพระราชวัง มีโคมระย้าแขวนห่างกันเป็นช่วงๆ และไม่ดูรกเกินไป อีกฝั่งหนึ่งคือกระจกบานยักษ์ที่ใช้มองดูวิวนอกคฤหาสน์ ส่วนอีกฝั่งหนึ่งมีประตูห้องต่างๆ เรียงเป็นแนวยาวตามปกติ ราวกับห้องเรียนที่อยู่ชิดติดระเบียงยังไงอย่างงั้น
จนถึงสุดทางเดิน มีประตูของห้องๆหนึ่ง เปิดแง้มออกมา โดยมีแสงอาทิตย์ยามเช้าเล็ดรอดออกมาพร้อมกัน ภายในนั้นได้รับการตกแต่งอย่างโอ่อ่า ไม่ว่าจะโคมระย้าสีทองอร่ามที่แขวนอยู่กลางห้อง หรือว่าจะเป็นพวกเครื่องเรือนดังเช่นนาฬิกาลูกตุ้มที่มีสีทองส่องประกายเช่นเดียวกัน...
〝!〞
ด้วยบรรยากาศในยามเช้าเช่นนี้ ทำให้แสงแดดอันแสนอบอุ่นกระทบเข้ากับเปลือกตาของเด็กหนุ่มที่นอนอยู่บนเตียงชิดกับผนังตรงกลางห้อง... กรที่นอนเหยียดขาตรงอย่างสงบเสงี่ยม และห่มผ้าห่มสีขาวสะอาดสะอ้านอยู่บนเตียงก็ได้สติขึ้นมาพอดี ทำให้เขาลืมตาขึ้นมาแทบจะทันที...
〝!!!!!〞
สิ่งแรกที่กรทำเป็นอันดับแรกหลังจากตื่นจากภวังค์ ก็คือความปลอดภัยของมีอาและเมอร์ลิน... เขารีบยันตัวขึ้นมาจากเตียงแล้วหันไปรอบๆด้วยความรีบร้อน แต่ก็ถอนหายใจออกมาเบาๆด้วยความโล่งอก เมื่อพบว่าทั้งสองคนอยู่ในห้องด้วยเช่นกันและอยู่ในสภาพปลอดภัยไร้กังวล... แต่ทว่า...
ก็น่าดีใจอยู่หรอกนะ ทั้งสองคน... แต่แบบนี้มัน...
แม้ใบหน้าของกรจะยังคงนิ่งเฉย... แต่แก้มของเขากลับดูแดงระเรื่อขึ้นมาด้วยความเขินอายเล็กน้อย จนดูไม่เหมาะกับใบหน้าตายด้านของเขาซักนิด...
แต่ทำยังไงได้... เพราะไม่ว่าจะเป็นคนที่เย็นชายังไง... แต่หากมีสาวงามนอนขนาบข้างอยู่ทั้งสองด้านซ้ายขวา ยังไงก็ไม่มีทางทนได้อยู่แล้ว แถมทั้งสองคนยังเป็นคนที่กรรักและห่วงใย... เป็นเพียงคนบนโลกนี้เพียงไม่กี่คน ที่กรสามารถสื่ออารมณ์ออกมาได้อย่างซื่อตรงอีก
〝กร...〞〝อือ...〞
แม้กรจะยันตัวขึ้นมานั่งอย่างกะทันหัน แต่ทั้งคู่ก็ยังไม่ตื่นแต่อย่างใด ทั้งยังส่งเสียงละเมอออกมาเบาๆอีก
มีอาที่นอนอยู่ด้านขวาของกรกำลังพยายามควานหาอะไรบางอย่าง และพอคว้าแขนของกรดังหมับ ก็ขยับเข้าไปหนุนราวกับเป็นหมอนข้างไม่มีผิด ส่วนเมอร์ลินเอง พอรู้สึกว่าข้างๆดูโล่งๆ ก็ขยับตัวเข้ามาเรื่อยจนชิดสนิทกับกรที่นั่งเหยียดขาอยู่อย่างรวดเร็วแล้วก็กลับไปนอนขดตัวคุดคู้หันเข้าหากรอีกครั้งหนึ่ง
เสื้อผ้าที่ทั้งสองคนสวม ถึงจะไม่บางถึงขนาดเห็นเนื้อหนังมังสาได้อย่างชัดเจน แต่ก็แทบจะเรียกได้ว่าไร้การป้องกัน ของมีอาเป็นชุดเดรสสีขาวบริสุทธิ์แบบเปิดไหล่ ขอบกระโปรงประดับด้วยลายลูกไม้ดูมีระดับ ส่วนของเมอร์ลินเป็นเสื้อเอวลอยแบบบางๆที่เปิดให้เห็นถึงสะดือ กางเกงขาสั้นที่เธอสวมอยู่ก็ยาวสูงเหนือเข่าเกือบไม้บรรทัดจนเห็นขาอ่อนสีขาวนวล... ถึงขนาดที่กรคิดอยู่ในใจเลยว่า〝กำลังยั่วกันอยู่รึไง?〞เลยทีเดียว
〝กะ กร...〞
〝!!!!!〞
ขณะที่กรกำลังคิดไปเรื่อยเปื่อยด้วยความผ่อนคลาย ตัวของมีอาที่นอนกอดปลายแขนของกรอยู่กระตุกขึ้นมาครั้งหนึ่งแล้วก็เริ่มก็สั่นกลัวขึ้นมา เม้มตาแน่นและเรียกชื่อกรอย่างทรมาน
คงจะเป็นเพราะเห็นเราตายสินะ...
กรที่คิดแบบนั้น จึงได้แต่โทษตัวเองอยู่ในใจ
เพื่อบรรเทาความเจ็บปวดของมีอา กรได้เอื้อมมือซ้ายที่ว่างอยู่ไปลูบศีรษะของมีอาไปมาอย่างอ่อนโยน มีอาจึงคลายแรงบีบลง และฉีกยิ้มออกมาราวกับเด็กๆทั้งที่หลับอยู่อย่างผ่อนคลาย กรจึงเผลอยิ้มออกมาเล็กน้อยโดยไม่ตั้งใจ แล้วก็ผละมือออกไปลูบศีรษะของเมอร์ลินบ้างโดยอัตโนมัติ เนื่องจากความเคยชินในลูปนรกนั่น
แต่ในจังหวะที่กำลังจะผละมือออก เพราะรู้ตัวว่าทำไปโดยไม่ตั้งใจนั่น... เมอร์ลินก็กลับยั้งมือของกรไว้ แล้วก็พูดด้วยเสียงเรียบๆว่า
〝......ลูบต่อสิ〞
〝!〞
อะไรเนี่ย... ตื่นอยู่งั้นเหรอ?
〝หึ! แปลกคนจริงแฮะ....〞
กรพูดแบบนั้นออกมาด้วยรอยยิ้มอีกครั้ง เพราะคิดว่าช่วยไม่ได้แล้วก็เริ่มลูบหัวเมอร์ลินอีกครั้ง แล้วเมอร์ลินก็ยิ้มออกมาอย่างผ่อนคลายออกมาเหมือนกับลูกแมวที่กำลังอ้อนเจ้าของอยู่ยังไงอย่างงั้น
ทั้งที่ในตอนแรกพอรู้ตัวว่าเธอตื่นอยู่ นึกว่าจะโดนต่อว่าแล้วเสียอีกที่ไปลูบหัวเธอโดยพลการ นั่นเพราะความสนิทสนมและความรู้สึกที่กรมีต่อเมอร์ลิน คือสิ่งที่เกิดขึ้นมาจากลูปนรกนั่นเพียงฝ่ายเดียว ไม่ใช่ว่าเมอร์ลินจะรู้สึกกับเขาแบบเดียวกันเสียหน่อย...
ดังนั้นเมอร์ลินจึงไม่น่าจะทำตัวสนิทสนมกับเขาแบบนี้ แต่ความสนิทสนมนั่นก็อาจจะเพิ่มขึ้นตอนที่สู้กับทศกัณฑ์ก็เป็นได้ละมั้ง——
ปัง!
กรเองก็แอบคิดแบบนั้นบ้างอยู่ในใจอย่างผ่อนคลายอีกครั้งขณะที่ลูบหัวเมอร์ลินไปด้วย ก่อนที่จะมีคนเปิดประตูห้องนอนเข้ามาขัดจังหวะ จนเกิดเสียงดังลั่น
〖จ๊าง!!! ตื่นแล้วสินะครับคุณอุษณกร!!!!〗
การเปิดประตูเสียงดังลั่น ตามด้วยคำทักทายที่สดใสร่าเริงของฟรังซ์ ออลเดล ซึ่งตอนนี้เขาก็กำลังสวมชุดติดระบายราวกับองค์ชายอยู่เช่นเคย
และเพราะการเปิดประตูห้องอย่างกะทันหันนั่น เลยทำให้มีอาที่นอนอยู่ข้างกรค่อยๆตื่นขึ้นมาจนได้ เธอจึงยันตัวขึ้นจากเตียงแล้วนั่งแบะขาข้างกรพลางเอามือขยี้ตาอย่างสะลึมสะลืออยู่พักนึง แตกต่างจากกรและเมอร์ลินที่ทำหน้าไม่สบอารมณ์และมองค้อนไปยังฟรังซ์
กับเมอร์ลินยังพอเข้าใจได้ เพราะดูเหมือนจะคุ้นเคยดี ทั้งกับนิสัยของฟรังซ์ ออลเดลและกับสถานที่แห่งนี้ ส่วนกรนั้นหลังจากที่ส่งสายตาไม่เป็นมิตรออกไปพักเดียวก็ถอนหายใจออกมาแล้วก็กลับมาทำสายตาเย็นชาตามธรรมชาติอีกครั้ง เพราะคิดอยู่ในใจว่าที่นี่ไม่ใช่บ้านของตัวเอง กลับกันแล้วนี่คงจะเป็นบ้านของฟรังซ์เองเสียด้วยซ้ำ
เพราะเป็นอย่างที่ว่าไป ต่อให้ทำตัวยังไงหมอนั่นก็เป็นเจ้าของบ้าน ดังนั้นถ้าว่ากันตามเหตุผลแล้ว หมอนั่นจะทำอะไรก็ไม่ผิดอยู่แล้ว กรจึงเลิกหงุดหงิดฟรังซ์ด้วยประการฉะนี้
〝กร... กร!!!!!!〞
〝หวา! ใจเย็นก่อนมีอา!〞
พอมีอาที่ตื่นขึ้นมาอย่างกะทันหันและสังเกตเห็นว่ากรฟื้นขึ้นมาแล้ว ก็โผเข้าไปกอดบริเวณเอวแล้วเอาหน้าไปซุกที่อกของกรด้วยความเร็วแสงในทันที
〝ฮือ!!! โล่งอกไปที ฮึก! ฉัน... ฉันคิดว่านายจะไม่ตื่นขึ้นมาแล้วซะอีก!!!!〞
〝น่าๆ ฉันไม่เป็นไรแล้ว เพราะงั้นใจเย็นก่อนเถอะ... นี่ไงฟิตปั๋งเลยเห็นไหม〞
มีอาร่ำไห้ออกมาด้วยความปิติในทันทีที่สัมผัสกับตัวกรอย่างแนบแน่นอีกครั้ง... กรจึงพูดแบบนั้นพลางยกแขนซ้ายขึ้นมาเบ่งกล้ามต้นแขนที่ดูหนาขึ้นผิดหูผิดตาในตอนก่อนที่จะจุติ ด้วยใบหน้าเฉยๆ จนเหมือนกับกำลังเก๊กอยู่ยังไงอย่างงั้น แต่พอมีอาเห็นแล้วกลับผ่อนคลายเกินคาดถึงจะยังไม่ได้ผละตัวออกจากอกกรก็ตาม กรจึงยิ้มออกมาด้วยความดีใจที่ได้เห็นรอยยิ้มของเธออีกครั้ง
〖เธอจะเป็นห่วงก็ไม่แปลกหรอกครับ... ก็เล่นหลับไป 3 วันเต็มๆเลยนี่นา...〗
ฟรังซ์ที่เป็นคนเปิดประตูห้องนอน เดินเข้ามาทางเตียงของกรที่อยู่ตรงกลางห้องชิดผนังด้านใน พลางสนับสนุนเหตุผลให้กับมีอา นั่นเลยทำให้กรพอจะคาดเดาเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้บ้าง
สามวันงั้นเหรอ!?
นี่คือเวลาพักฟื้นหลังจุติเหรอเนี่ย? ทั้งที่คิดว่าเรื่องที่สู้กับไอ้ยักษ์เวรนั่นเพิ่งผ่านมาไม่กี่ชั่วโมงแท้ๆ...
แต่งั้นก็หมายความว่า.... การต่อสู้จบลงแล้วจริงๆสินะ…
เหตุผลต่างๆประกอบขึ้นเป็นรูปเป็นร่างอยู่ในหัวของกรด้วยความรวดเร็ว จนพอจะเดาได้ลางๆว่าเรื่องทั้งหมดมันเป็นยังไง กรจึงเอ่ยถามฟรังซ์ขึ้นมาด้วยเสียงเรียบๆเพื่อเพิ่มความมั่นใจว่า
〝ฉัน.... ถูกนายช่วยไว้อีกแล้วสินะ....〞
〖เอ๋! ใช่แล้วครับ... ว่าแต่เข้าใจอะไรได้เร็วจริงนะครับ〗
〝แล้วมันคิดเป็นอย่างอื่นได้ด้วยรึไง?〞
〖ว้า〜 ไม่สนุกเลยนะครับเนี่ย... แต่เข้าใจอะไรได้ง่ายๆแบบนี้ ก็ประหยัดเวลาไปได้โขเลยนะครับ〗
กวนซะจริง จะแกล้งอะไรฉันรึไง... ถึงจะสมเป็นเด็ก แต่นายมันไม่ใช่เด็กแล้วไม่ใช่เหรอ?
กรตบมุกฟรังซ์ที่พูดออกมาพลางหลับตาลงอย่างขี้เล่นแบบนั้นอยู่ในใจคนเดียว ก่อนที่จะตัดเข้าประเด็นสำคัญที่ตัวเองอยากรู้ในทันที ทั้งนี้ก็เพราะ...
〝ฉันมีเรื่องต้องทำ... อาจจะฟังดูเห็นแก่ตัวไปหน่อย แต่เพราะมีคนสำคัญกำลังรออยู่ข้างนอกนั่น... ถ้าเรื่องของนายไม่น่าสนใจพอหล่ะก็ ฉันคงต้องขอตัวหล่ะนะ〞
〖..........〗
ฟรังซ์ ออลเดลหรี่ตา มองมาที่กรด้วยสายตาเฉียบคมในทันที และแน่นอนว่ากรไม่หวั่นไหว เพราะความรู้สึกที่อยากกลับไปช่วยพวกรินนั้นมั่นคงเสียยิ่งกว่าอะไร... ไม่สิ ไม่รู้จักคำว่าหวั่นไหวต่างหาก ฟรังซ์ ออลเดลจึงถอนหายใจออกมาเบาๆราวกับยอมแพ้ พลางพึมพำประมาณว่า หมดเวลาสนุกแล้วเหรอเนี่ย ก่อนที่จะเปลี่ยนน้ำเสียงเป็นจริงจังราวกับผู้ใหญ่
〖สำคัญครับ... มากเลยด้วย... ถ้าผมบอกว่ามันเกี่ยวข้องกับความเป็นความตายของทั้งโลกนี้และโลกของคุณ ไม่สิ... ทั้งระบบสุริยะ หรืออาจจะเลยเถิดไปถึงระดับจักรวาลเลยก็ได้หล่ะครับจะมีน้ำหนักพอรึเปล่า?〗
〝หืม... เป็นเรื่องใหญ่ขนาดนั้นเชียว...〞
〖อืม.....〗
ปัญหาอะไรกันที่ส่งผลกระทบเป็นวงกว้างขนาดนั้น...
ตอนแรกคิดว่าหมอนี่หวังจะใช้งานเราเพราะเรื่องส่วนตัว.... แต่ถ้าปัญหามันกินวงกว้างและมีผลกระทบกับพวกเราและพวกรินแบบนี้ ฉันคงปล่อยผ่านไปไม่ได้...
ดูเหมือนว่าเรื่องที่จะพูดนี้ คงเป็นเรื่องที่อธิบายยากน่าดูสำหรับฟรังซ์ หลังจากที่ฟรังซ์ยกมือขวาขึ้นมาจับคางพลางครุ่นคิดอยู่ซักพัก เขาจึงหันหลังกลับไปยังประตูก่อนที่จะบอกกับกร
〖เรื่องมันยาวมากนะครับ... เปลี่ยนที่กันหน่อยดีกว่า... 〗
ในขณะที่ฟรังซ์ค่อยๆเดินออกไป กรก็ทำสายตาเฉียบคมมองตามหลังของเด็กหนุ่มไปจนลับสายตา พลางคิดถึงความเป็นไปได้อื่นๆ...
ความรู้สึกแบบนี้อีกแล้ว... เหมือนกับตอนที่ถูกอัญเชิญมาครั้งแรก เราจับผิดฟรังซ์ด้วยสุดยอดการประมวลผลไม่ได้เหมือนไอ้พระเจ้านั่นไม่มีผิด...
เรื่องที่หมอนั่นพูดอาจเป็นเรื่องที่กุขึ้นมา เพื่อรั้งเราไว้ก็เป็นได้——
〝เชื่อหมอนั่นเถอะ…〞
〝!!!!!〞
เมอร์ลินพูดออกมาพลางกุมชายเสื้อของกรไว้แน่นราวกับอ่านความคิดของเขาออก เพราะเธอรู้เรื่องทั้งหมดอยู่แล้วนั่นเอง ทันใดนั้นความคิดที่ถูกขัดก่อนหน้าของกรก็เป็นไปในทางเดียวแทบจะทันทีที่ได้ยินการยืนยันจากปากของเมอร์ลิน
〝เข้าใจแล้ว... ฉันเชื่อใจเธอนะ〞
〝อะ อืม... ขอบใจนะ ต้องแบบนี้สิ!〞
เมอร์ลินตอบกลับกรด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างเก้อเขินเล็กน้อย พลางหน้าแดงออกมาในจังหวะที่กรบอกว่าเชื่อใจเธอ
〝มีอาก็โอเคใช่ไหม?〞
〝อะ อื้ม!〞
ดูเหมือนมีอาเองก็มีเรื่องจะคุยกับกรเหมือนกัน เพราะในตอนที่ฟรังซ์ออกไป เธอก็เปลี่ยนไปควงแขนของกรในท่านั่งพลางสำรวจกรตั้งแต่หัวจรดเท้าว่ามีอะไรผิดปกติรึไม่ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ด้วยความเป็นห่วง ซึ่งเรื่องที่จะคุยก็คงไม่พ้นเรื่องสภาพและอาการบาดเจ็บของกรนั่นแหล่ะ
กรที่ถามออกมาพร้อมเจตนาแฝงดังกล่าวแบบนั้นถูกมีอาดูออกเช่นกัน มีอาจึงตอบกลับออกไปแบบนั้นเพื่อบอกกรอ้อมๆเหมือนกันว่า ถ้ากรว่าอย่างงั้น... เรื่องนั้นเอาไว้ที่หลังก็ได้
〝งั้นก็ไปกันเถอะ...〞
〝เข้าใจแล้วกร!〞〝อืม!〞
มีอาและเมอร์ลินตอบกรอย่างแข็งขัน ก่อนที่ทั้งสามคนจะเปลี่ยนเป็นชุดลำลอง แล้วให้เมอร์ลินเป็นคนนำทางเพื่อไปยังสถานที่ที่ฟรังซ์รออยู่...
❖❖❖❖❖
หลังจากที่กรและมีอาเดินตามหลังเมอร์ลินมาจนออกนอกตัวคฤหาสน์แตยังคงอยู่ในสวนหย่อมที่มีร่มไม้บดบัง ก็พบเข้ากับโต๊ะน้ำชากลมแบบผู้ดีอังกฤษ ที่มีชั้นวางขนมสามชั้นวางไว้ที่กลางโต๊ะ ด้านหน้าเก้าอี้ที่อยู่รอบๆโต๊ะทั้ง 4 ตัว มีชาฝรั่งสีน้ำตาลแดงที่มองดูภายในยังใสกิ๊กราวกับผ่านการกรองมาแล้วนับร้อยพันครั้ง สื่อถึงคุณภาพของชาได้เป็นอย่างดี
เก้าอี้ตัวในสุดซึ่งหันหน้ามาประจันหน้ากับพวกกรนั้นมีคนนั่งอยู่แล้ว ซึ่งก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเจ้าของงานอย่างฟรังซ์ ออลเดลที่กำลังยกชาขึ้นมาจิบอย่างมีมารยาทจนดูเหมาะสมกับชุดองค์ชายที่สวมอยู่เสียจริงๆ
และด้านหลังของฟรังซ์มีชายวัยกลางคนคนหนึ่งที่กรคุ้นเคย ผิวของเขาค่อนข้างคล้ำ ไว้ผมสั้นค่อนข้างรกรุงรัง แต่เคราที่ไม่ได้โกนนั้นช่วยเสริมมาดผู้ใหญ่เข้าไปอีก เขากำลังสวมชุดพ่อบ้านและยืนหลังตรงอยู่ด้านหลังเยื้องไปทางซ้ายของฟรังซ์ ด้วยท่าทีที่ค่อนข้างเคร่งครัดกับมารยาทพอสมควร...
〝เฮ้ยๆ... อย่าบอกนะว่านั่นมันเคลเบรอส〞
〝โห้! ทนทายาทซะจริงนะเจ้าหนู… นึกว่าจะกลายเป็นซากไปแล้วซะอีก〞
〝ยังปากคอเราะร้ายไม่เปลี่ยนเลยน้าให้ตายสิ... เฮ้อ!〞
และแน่นอนว่าคนที่สวมชุดพ่อบ้านคนนี้ก็คือ เคลเบรอสในร่างมนุษย์นั่นเอง พอกรทำการเล่นสงครามน้ำลายกับเคลเบรอสที่ไม่ได้ทำมานานจนพอใจแล้ว เขา มีอาและเมอร์ลินก็เข้าไปนั่งเก้าอี้ที่ถูกจัดเตรียมไว้นั่นในทันที
〖ก่อนอื่นเรามาแนะนำตัวกันอย่างเป็นทางการก่อนดีรึเปล่าครับ?〗
〝ก็ต้องอย่างงั้นแหล่ะนะ... ว่าแต่ชานี่ดื่มได้รึเปล่า?〞
〝นะ แน่นอนอยู่แล้วครับ... นั่นเป็นของมีค่าสุดๆเลยนะครับ ผมนี่ภูมิใจนำเสนอเลย!〞
ในขณะที่ฟรังซ์กำลังจะเริ่มบทสนทนา กรกลับเป็นฝ่ายพูดขัดจังหวะด้วยการขอดื่นชาเสียก่อนราวกับไม่รู้ร้อนรู้หนาว แต่แน่นอนว่าส่วนหนึ่งก็เพื่อเป็นการเบี่ยงประเด็นให้ตัวเองกลายเป็นคนคุมการสนทนา
โอ๊ะ! อร่อยจริงด้วย...
อะแฮ่ม!
ฟรังซ์ที่ยังตกตะลึงในความใจเย็นของกรอยู่ พอตอบออกไปตามมารยาทแล้วก็กระแอมออกมาครั้งนึงขัดจังหวะความคิดของกร ก่อนที่จะวางถ้วยน้ำชาในมือ เพื่อตัดเข้าประเด็นหลักก่อนจะออกทะเล
〖งั้นก็เริ่มจากผมเลยก็แล้วกัน... ชื่อของผมคือ ฟรังซ์ ออลเดล... ผมเป็นคนที่สร้าง『มหาดันเจี้ยนโบราณทั้ง 8』แห่งนี้เอง...〗
〝แค่เนี๊ย!?〞
〖ใจเย็นสิครับคุณอุษณกร... เพราะยังไงต่อจากนี้ก็กะจะเล่าให้ฟังทุกเรื่องอยู่แล้วนี่...〗
อะไรกันเนี่ย... มีแต่เรื่องที่รู้แล้วนี่หว่า อีแบบนี้ไม่น่าให้แนะนำตัวก่อนเลย... รู้สึกตกเป็นรองอีกแล้วแฮะ
กรถอนหายใจออกมาเล็กน้อยเพราะรู้สึกผิดหวัง แต่พอหันไปมองเมอร์ลินที่บอกด้วยสายตาว่า น่าๆเชื่อใจหมอนี่หน่อยเถอะ กรจึงต้องเชื่อคำพูดของฟรังซ์อย่างเลี่ยงไม่ได้ กรจึงถอนหายใจออกมาอีกครั้งนึงอย่างหน่ายๆ จนฟรังซ์หัวเราะแห้งๆออกมา เมอร์ลินจึงต้องขั้นกลางบทสนทนานี้ด้วยการแนะนำตัวของตัวเอง
〝คงจะรู้อยู่แล้วนะ... แต่คราวนี้จะขอแนะนำตัวให้ชัดๆอีกครั้ง… เมอร์ลิน ออลเดล คือชื่อของฉัน... นั่นสินะ... เอาเป็นว่าผู้ช่วยของหมอนี่ก็แล้วกัน〞
〖ใช้คำว่า เอาเป็นว่า เนี่ยโหดร้ายจังนะครับ〗
〝ก็ไม่รู้จะอธิบายยังไงนี่นา... ขี้เกียจขยายความด้วย...〞
เมอร์ลินเองก็ไม่ยอมบอกอีกแล้ว... แต่เอาเถอะ ถ้าเป็นเมอร์ลินหล่ะก็ยกโทษให้!
แต่ก็เป็นเรื่องที่คาดไว้อยู่แล้วหล่ะนะ... จะมีแปลกก็ตรงนามสกุลของเมอร์ลินที่ดูไม่เข้า——
〝เดี๋ยวนะเมอร์ลิน! เธอบอกว่านามสกุลของเธอคือ ออลเดล!? เหมือนกับฟรังซ์? งั้นก็หมายความว่า?〞
กรยกมือขึ้นมาชี้นิ้วสลับไปมาระหว่างฟรังซ์กับเมอร์ลิน แต่ใบหน้ากลับยังคงนิ่งเฉยจนดูขัดกันมาก แต่ความตกใจนั่นไม่ใช่ของปลอมแน่นอน เพราะเหงื่อของเขาผุดขึ้นมาบนใบหน้าหลายเม็ดเลยทีเดียวที่ไม่ได้คิดถึงความเป็นไปได้นี้มาก่อน
〝ตอบสนองช้าไม่สมเป็นนายเลยนะเนี่ย... อื้ม! ใช่แล้วหล่ะ... ถึงไม่อยากจะยอมรับก็เถอะ... แต่ไอ้หมอนี่หน่ะคือ... พี่ชายแท้ๆของฉันเอง 〞
〝เอ๋!!!!!!!〞
〝อะ อา!〞
มีอาร้องลั่นออกมาด้วยความตกตะลึงแทบจะทันทีเลยที่ได้ยินคำตอบที่เหลือเชื่อนั่น ส่วนกรก็ทำได้แค่อ้าปากพะงาบๆ ทั้งที่ยังเก๊กหน้านิ่งอยู่เท่านั้น
〖พะ พูดจาโหดร้ายอีกแล้วนะครับเมอร์ลิน... อีแบบนี้ผมก็เสียใจเป็นนะครับ〗
〝แต่ทางนี้ตกใจกว่านะเฮ้ย!〞
มีอาพยักหน้าขึ้นลงสนับสนุนคำพูดหยอกล้อของกร เป็นอีกคำยืนยันที่บ่งบอกถึงความตกตะลึงกับความจริงนี้
〝เห็นไหม ทุกคนตกใจหมดแล้ว... เพราะนายนั่นแหล่ะ!〞
〖พะ พี่ชายเศร้าใจหนักมาก... ร้องไห้แปป...〗
〝อย่าร้องจริงๆสิเฮ้ย... แต่ช่างเถอะ! งั้นก็... มีอา〞
〝อะ อื้ม!〞
กรตบมุกฟรังซ์ที่แกล้งร้องไห้อีกครั้ง ก่อนที่จะบอกให้มีอาเป็นฝ่ายแนะนำตัวก่อน...
〝มีอาน่า กาบริเอลค่ะ! เป็นครึ่งเทพ แล้วก็เป็นนักดาบ... แล้วก็เป็น คนที่อยู่กับกร เอ่อ...〞
แต่ดูเหมือนว่ามีอาจะเป็นคนเดียว ที่ไม่รู้จะแนะนำตัวเองยังไง... กรที่เห็นแบบนั้นจึงอมยิ้มอยู่ในใจ และออกมาทางใบหน้าเล็กน้อย ก่อนที่จะช่วยสนับสนุนมีอาอีกแรง
〝ภรรยาสุดที่รักของฉัน... ไม่ตอบไปแบบนี้หล่ะมีอา?〞
〝เอ๋! เอ่อ ตะ แต่แบบนั้นมัน.... ระ รู้สึกแปลกๆไงไม่รู้!〞
〝จนป่านนี้แล้ว ไม่เห็นต้องเขินหรือเกรงใจเลยนี่นา…〞
〝อือ.....〞
ต่อหน้าคำสนับสนุนอันหนักแน่นของกร มีอาที่ยังเกรงใจด้วยความที่เป็นนิสัยติดตัวอยู่อย่างที่กรว่าก็ทำได้แค่ตอบกลับไปอย่างเขินๆด้วยใบหน้าแดงระเรื่อเท่านั้น และแน่นอนว่าเธอดีใจสุดๆที่กรเป็นคนออกปากบอกเองว่าตัวเธอคือภรรยาของเขา นั่นเลยทำให้บรรยากาศรอบโต๊ะน้ำชาเต็มไปด้วยความหวานชื่น และอมยิ้มกันไปหมดไม่แม้แต่ฟรังซ์และเมอร์ลินที่เป็นฝ่ายนั่งฟังเลยทีเดียว
แล้วพอกรเห็นว่าเหลือตัวเองเป็นคนสุดท้ายเสียที เขาจึงเริ่มการแนะนำตัวเป็นคนสุดท้าย...
〝งั้นสุดท้ายก็คือฉัน... อุษณกร วัชรวิรุฬห์ คือชื่อของฉัน… อาจจะรู้อยู่แล้ว แต่ก็ขอยืนยันด้วยปากตัวเองหน่อย... จริงๆแล้วฉันคือคนที่มาจากอีกโลกหนึ่ง และถูกอัญเชิญมาที่โลกนี้ในฐานะผู้กล้า...〞
กรที่พูดแบบนั้นออกมาตรงๆ ทำให้มีอาที่นั่งอยู่ด้านขวาของเขาอ้าปากเหวอไปเลย แตกต่างจากฟรังซ์และเมอร์ลินที่รู้อยู่แล้วเลยไม่ตกใจซักนิด แม้แต่สีหน้าก็ยังไม่เปลี่ยนเลยด้วยซ้ำ
เพราะในโลกใบนี้... ตัวตนของผู้กล้านั้น คือสิ่งที่สูงส่งอย่างมาก ทั้งยังได้รับความเคารพจากทั่วทุกสารทิศเนื่องเพราะความแข็งแกร่งที่เหนือกว่าคนในโลกนี้หลายสิบเท่าในด้านของสเตตัส ดังนั้นจะเรียกได้ว่าพวกเขาคือที่ยึดเหนี่ยวจิตใจและความหวังของทุกคนก็ไม่ผิดไปเลย...
〝เอ๋!!! ผู้กล้า? กรนะเหรอ?〞
〝ก็ไม่ได้จะปิดบังหรอกนะ แค่มันหาจังหวะดีๆบอกไม่ได้หน่ะ… ขอโทษนะมีอา〞
〝มะ ไม่ใช่เรื่องที่ต้องขอโทษซักหน่อยกร! ไม่สิ... งั้นเหรอ เข้าใจแล้วหล่ะว่าทำไมกรถึงแข็งแกร่งขนาดนั้น...〞
ในขณะที่ถูกมีอาถามออกมาแบบนั้น กรได้คิดขึ้นมาว่านี่คงเป็นโอกาสดี ที่จะอธิบายทุกอย่างให้เธอฟัง กรจึงเริ่มอธิบายต่อโดยไม่ให้ขาดช่วงทันที
〝อืม... มันก็ไม่ถูกซะทีเดียวนะ... พูดไปก็ยังไงอยู่ แต่ฉันเนี่ย เป็นคนที่กากที่สุดในหมู่ผู้กล้าทุกคนเลยหล่ะ〞
〝เอ๋!!! โกหกน่า...〞
กรที่ยังอธิบายไม่จบก็ถูกมีอาเข้าใจผิดไปอีกแล้ว ในขณะที่กำลังจะอธิบายก็ถูกฟรังซ์ขัดคอในเชิงสนับสนุนว่า
〖ที่พูดนั่น... หมายถึงตอนก่อนที่จะจุติครั้งแรกรึเปล่าครับ?〗
〝อืม... ใช่แล้ว ค่อนข้างมั่นใจเลยหล่ะ ว่าหลังจากที่จุติครั้งแรกนั่น ฉันก็แข็งแกร่งขึ้นกว่าทุกคนไปแล้วแน่นอน...〞
〝งะ งั้นเองหรอกเหรอ...〞
เกือบเข้าใจผิดไปแล้วสิ... เราไม่อยากให้มีอามองว่าเราอ่อนแอซะด้วย
แต่จะพูดงั้นก็ยังไงอยู่ เพราะยังไงเราก็กะจะเล่าทุกอย่างให้ฟังอยู่แล้วนี่นา...
อดีตของเรามันก็ไม่ได้หนักอะไรมากนี่นา... มั้งนะ? งั้นไหนๆแล้วก็เล่าให้ทั้งเมอร์ลินทั้งไอ้ฟรังซ์รู้ไปพร้อมกันเลยก็แล้วกัน...
〝จะว่าไปแล้วเนี่ย... นี่ก็เป็นโอกาสดีแล้วมั้ง... มีอายังเล่าเรื่องของตัวเองให้ฉันฟัง… เมอร์ลินก็ด้วย... ส่วนนาย... ถือซะว่าเป็นตัวแถมก็แล้วกัน〞
〖ตัวแถมเลยเหรอครับ? คุณอุษณกร... ใจร้ายอ่ะ! 2 มาตรฐาน〗
〝เอาเถอะน่า...〞
ทั้งสองคนเริ่มกลับมาหยอกล้อกันอีกครั้งนึง แต่กรที่ไม่อยากให้เสียเวลาก็ยกชาขึ้นมาจิบครั้งนึง ก่อนที่จะเริ่มเล่า...
จากนั้นฉันก็เริ่มเล่าอดีตของตัวเองตั้งแต่ช่วงก่อนที่พ่อกับแม่จะเสียประมาณเดือนนึง เหมือนกับเป็นการปูเนื้อเรื่อง และเริ่มอธิบายความสามาถของสุดยอดการประมวลผลรวมถึงเหตุผลที่ต้องปิดบังไปพร้อมกัน
พอเล่าถึงจุดพีคอย่างตอนที่พอกับแม่เสียนั่น มีอาก็ค่อนข้างตกใจน่าดูเลยหล่ะ... แล้วดูเหมือนจะเป็นห่วงฉันยิ่งกว่าเดิมอีก...
แล้วตามลำดับเหตุการณ์... หลังจากนั้นฉันที่ไร้ที่พึ่ง ก็ออกอาละวาดไปทั่ว แต่ก็ได้เพื่อนสนิททั้ง 4 ช่วยไว้จนสามารถกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้
แต่แล้วเหตุการณ์ก็ต้องพลิกผันอีกครั้งในตอนที่ขึ้น ม.ปลาย เมื่อในวันหนึ่ง มีคนที่อาจจะรู้ถึงความสามารถของฉันเข้าจนอาจทำให้ความลับถูกเปิดโปงได้... แม้โอกาสจะมีน้อย แต่แน่นอนว่าผลเสียมันไม่คุ้มในกรณีที่ปล่อยผ่าน ฉันเลยไม่คิดเสี่ยง ส่วนผลลัพธ์ก็เป็นอย่างที่รู้กัน...
ฉันถูกเสือเข้ามาท้าตีถ้าต่อยแทบจะทุกวัน... และกลายเป็นกิจวัตรในช่วง ม.5 ไปเสียแล้ว... กลุ่มหลักที่แกล้งอย่างเสือก็ว่าไปอย่าง แต่ยังมีกลุ่มย่อยที่แกล้งฉันเนื่องจากความเกลียดชังเองก็มีเหมือนกัน
พอเล่าจนถึงตอนนี้ ก็เป็นอีกครั้งที่มีอาแสดงท่าทีแปลกไป ทั้งยังถามชื่อของเสือจากฉันเพิ่มอีกหลายรอบและพูดชื่อนั้นซ้ำไปซ้ำมาราวกับจะสลักไว้ในวิญญาณ... แถมฉันเหมือนยังได้ยินมีอาพูดแว่วๆประมาณว่า จะฆ่า...ให้ได้! อีก... สยองเหมือนกันแฮะ!
การกลั่นแกล้งก็ดำเนินมาเรื่อยๆอย่างไม่หยุดหย่อน จนกระทั่งถึงวันนั้น... วันแห่งชะตากรรม ที่ทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไปอีกครั้งอย่างสิ้นเชิง... ใช่แล้ว... นั่นคือวันที่พวกเราทุกคนถูกอัญเชิญไปยังต่างโลกอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยนั่น...
จากนั้นก็เป็นอย่างที่รู้... ตัวฉันที่มาถึงโลกนี้ได้รู้ว่าเพื่อนและพี่สาวมีตัวตนอยู่ จึงได้เริ่มคิดตามหา... แต่แล้วก็กลับถูกกับดันเจี้ยนบ้าๆของคนแถวนี้วาร์ปมาซะก่อน แถมยังถูกเสือเจ้าเก่าใช้เป็นเหยื่อล่อจนตายไปครั้งนึง แต่ความที่ยังไม่อยากตายและโชคได้เข้าข้างพอดี... ตัวฉันก็เกิดการจุติครั้งแรกขึ้น จนแข็งแกร่งขึ้นแบบผิดหูผิดตา...
จากนั้นก็เป็นตอนที่ฉันสู้กับเคลเบรอสอย่างดุเดือด หลังจบศึกก็กลายมาเป็นเพื่อนร่วมทางและได้พบกับมีอาในเวลาต่อมาอย่างที่รู้กัน...
〝อืม... ประมาณนี้แหล่ะ〞
หลังจากที่เล่าจบ กรก็พูดแบบนั้นออกมาพลางยกชาขึ้นมาจิบอีกครั้งนึง โดยที่มีมีอาถามกรตลอดว่า เป็นอะไรรึเปล่า ตลอดบทสนทนา
〖งั้นเหรอครับเนี่ย... คุณเองก็ลำบากมาเยอะเหมือนกันสินะ〗
〝อา... แต่ไม่เท่ากับมีอาหรอก...〞
〝กร... เรื่องแบบนี้มันเทียบกันไม่ได้หรอกนะ...〞
〝? อืม... ก็คง... ถูกของเธอแหล่ะนะ〞
กรที่ถูกปลอบใจโดยฟรังซ์ ที่มีเคลเบรอสเป็นฉากหลังได้ยกมีอาขึ้นมาเป็นตัวอย่างประกอบ แต่ช่างน่าตกใจนัก ที่มีอาเป็นคนออกปากเองในความหมายว่า ความทรมานไม่ใช่สิ่งที่จะนำมาตีค่าเปรียบเทียบกันได้ กรจึงได้ยอมแพ้มีอาที่จี้ได้ตรงจุดแบบนี้ และลูบศีรษะเธออีกครั้ง ก่อนที่เมอร์ลินจะเร่งฟรังซ์ให้เล่าเรื่องตัวเองบ้าง
〝งั้นต่อไปก็ทีของเราแล้วนะฟรังซ์〞
〖นั่นสินะครับ... คุณอุษณกรอุตส่าห์เล่าเรื่องตัวเองให้ฟัง... ผมเองก็ยอมแพ้ไม่ได้แล้วสิ...〗
เป็นอีกครั้งที่ฟรังซ์พูดออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจังขัดกับใบหน้าขี้เล่น แต่นั่นก็สื่อได้ถึงความจริงจังเช่นกัน กรจึงตั้งใจฟังเรื่องที่จะออกมาจากปากของเขาและเมอร์ลินต่อจากนี้เป็นอย่างดี แล้วพอฟรังซ์ดื่มชาในถ้วยหมด แล้วคุณพ่อบ้านเคลเบรอสรินชาให้ใหม่ เขาจึงเริ่มเล่าเรื่องอันเป็นการคลี่คลายปริศนาของโลกใบนี้ให้กรได้รับรู้เสียที
〖งั้นก่อนอื่น... มาฟังนิทานที่ผมจะเล่ากันก่อนดีกว่าครับ...〗
❖❖❖❖❖
กาลครั้งหนึ่ง นานแสนนานมาแล้ว...
ในอวกาศอันกว้างใหญ่ไพศาล มีดาวเคราะห์ที่มีสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญา 3 ดวง หนึ่งคือ โลก ที่เป็นดาวของมนุษย์ที่ไร้เวทย์มนตร์.... สองคือ ดาวขนาดเท่ากับโลก ที่ประกอบด้วยประชากรสองในสามเป็นอมนุษย์ ส่วนที่เหลืออีกหนึ่งส่วนก็คือมนุษย์ที่มีความรู้ความสามารถในการใช้เวทย์มนตร์ เนื่องจากได้รับคำสั่งสอนจากดาวดวงที่สาม....
และดาวดวงสุดท้ายนั้นก็คือชนชั้นปกครองที่ส่งคนไปเพื่อสอดส่อง ดูแลและควบคุมพื้นที่ในดาวทั้งสองดวงก่อนอีกต่อหนึ่งโดยเผ่าหลักของดาวนี้คือเทพเจ้านั่นเอง
ในดาวของเหล่าทวยเทพเองก็มีระบบการปกครองเช่นเดียวกัน ซึ่งศูนย์กลางก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกเสียจากพระเจ้านั่นเอง โดยมีเผ่าปีศาจเป็นชนชั้นแรงงานในการเป็นผู้ช่วยกิจการต่างๆ
ในระบบการปกครองของดาวเทพ จะมีสภาที่เรียกว่า 『สภาสวรรค์ 7 ปีก』เป็นคนกลางในการรับมอบอำนาจสั่งการปกครองจากพระเจ้า และส่งต่อคำสั่งเพื่อไปดูแลโลกและดาวของอมนุษย์อีกทอดหนึ่ง
จากที่ว่าไป.... นั่นเลยทำให้สิทธิขาดในการปกครองและตัดสินใจทั้งหมดตกเป็นของพระเจ้าอย่างไม่ต้องสงสัย นั่นเลยทำให้สภาสวรรค์ 7 ปีก เกิดความหวั่นเกรงอำนาจของพระเจ้าที่ไม่สามารถแตะต้องได้ จึงตั้งใจรวมหัวเพื่อยึดพลัง และขึ้นเป็นพระเจ้าเสียเองด้วยสงคราม แต่แล้วผลลัพธ์กลับนำมาซึ่งหายนะของทั้งจักรวาล…
ในสภาสวรรค์ มีเพียง 3 คนที่ไม่เห็นด้วยและคิดเชื่อในพระเจ้า... คนนึง คือคนที่มีพลังเกือบทัดเทียมกับพระเจ้า ส่วนอีกสองคนคือเด็กหนุ่มที่รักสงบ และหญิงสาวที่ไม่สนใจอำนาจ แต่พอสมาชิกส่วนใหญ่เห็นด้วย ทั้งสามคนจึงต้องเป็นศัตรูกับพระเจ้าอย่างเลี่ยงไม่ได้
พลังของพระเจ้านั้นเหนือล้ำไร้ผู้ต่อกรอย่างแท้จริง ในช่วงแรก พระเจ้านั้นยังคิดที่จะดึงสติของสภาสูงกลับมาอย่างสันติอีกครั้ง แต่การกระตุกหนวดเสือในช่วงท้ายของสงครามโดยการใช้คนสำคัญของพระเจ้ามาเอี่ยวด้วย ทำให้เกิดการแตกหักจนไม่สามารถถอยหนีได้ทั้งสองฝ่ายอีกแล้ว จนเกิดมหาสงครามระดับจักรวาลขึ้น นับเป็นศึกสุดท้ายที่ยิ่งใหญ่ที่สุด และมีการสูญเสียมากที่สุด...
ในช่วงท้ายของสงคราม คือการปะทะกันของแม่ทัพทั้ง 7 คนกับพระเจ้า ในศึกสุดท้าย แม่ทัพ 6 คน ได้ทำการรวมพลังกันจนสามารถเอาชนะพระเจ้าที่คลุ้มคลั่งได้สำเร็จ โดยต่อมา 6 ใน 7 คนนี้ถูกเรียกในภายหลังว่า 『มหานักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่』
ผลลัพธ์ของสงครามที่ยาวนานกว่า 100 ปี... จบลงที่มีดาวเคราะห์ถูกทำลายไปกว่าสิบดวง พวกตาเฒ่าที่เห็นแก่อำนาจและเป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมดก็ตาย ดาวแห่งเทพก็ถูกทำลาย แต่เศษดาวเคราะห์ได้หลอมรวมกับดาวของอมนุษย์จนมีขนาดใหญ่ขึ้นมหาศาล พวกเผ่าอื่นยกเว้นมนุษย์ที่ใช้เวทย์มนตร์ไม่ได้ซึ่งอยู่อีกดาวหนึ่ง จึงได้อาศัยร่วมกันนับแต่นั้นเป็นต้นมา รวมถึงพวกเทพที่เสียบ้านเกิดไป ก็ได้ท้องฟ้าของดาวดวงใหม่นี้เป็นบ้านหลังใหม่ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาจากการที่แกนกลางของดาวสองดวงผสานกันก็คือสิ่งที่ไม่เคยมีมาก่อน... นั่นก็คือ สิ่งที่เรียกว่า『ดันเจี้ยน』นั่นเอง
ตำนานในอดีตจึงจบลงดังที่ได้ว่าไป... หากแต่ว่าความจริงที่ซ่อนอยู่มันไม่ได้มีเพียงเท่านั้น... และหากมันไม่ส่งผลจนถึงปัจจุบันนี้... วงล้อแห่งชะตะกรรมของกรคงจะไม่หมุนวนดังเช่นตอนนี้แน่...
.
.
.
.
อืม... ยังตามไม่ทันทั้งหมดเลยแฮะ...
พอกรฟังเรื่องเล่าที่มีประวัติเก่าแก่ราวกับนิทานปรัมปรานี้เข้าไป ก็ถึงกับจับต้นชนปลายไม่ถูก แต่ก่อนจะได้คิดหาความเชื่อมโยง ฟรังซ์ก็เริ่มอธิบายในทันทีเพื่อไม่ให้เสียเวลา
〖ที่เล่าไปเมื่อกี้ ก็คือตำนานที่โด่งดังของโลกนี้... ไม่ว่าใครก็ต้องเคยได้ยินอย่างแน่นอน... นั่นสินะครับ ถ้าเปรียบเทียบกับที่โลกของคุณอุษณกรก็คงเป็น กระต่ายกับเต่านั่นแหล่ะครับ...〗
หืม? นิทานปรัมปรา แต่ดันมีชื่อเสียงพอๆกับนิทานพื้นบ้านเลยงั้นเหรอ?
ถ้าเป็นงั้นจริง มีอา ก็ต้องรู้จักด้วยสิ...
〝จริงรึเปล่ามีอา?〞
เมื่อเป็นอย่างที่ฟรังซ์บอก หากเรื่องเล่าดังกล่าว ถือเป็นสามัญสำนึกพื้นฐานของโลกนี้จริงหล่ะก็ ต่อให้เป็นมีอาก็ต้องรู้จักแน่อยู่แล้ว มีอาที่ได้ยินกรถาม ก็ตอบกลับเขาแทบจะทันทีว่า
〝คล้ายกันมากเลยหล่ะ... เรื่องที่เล่ามามันเหมือนกับ『ตำนานการปราบจอมมารของนักปราชญ์ผู้กล้าในตำนานทั้ง 5』... นี่หน่ะ เป็นเรื่องที่แม้แต่เด็กเล็กๆยังรู้จักเลยหล่ะ... นั่นเพราะมันเป็นประวัติศาสตร์จริง ที่ถูกส่งต่อมาโดย... ศาสนจักร... 〞
〝........〞
ร่างกายของมีอาเกร็งขึ้นมากะทันหันในตอนที่พูดถึงศาสนจักร สีหน้าเองก็ซีดเผือกขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด กรจึงรีบกุมมือของเธอในทันที นั่นจึงทำให้เธอผ่อนคลายลงจนกลับเป็นปกติ...
〝ว่าแต่... คล้ายงั้นเหรอ? แสดงว่ามีจุดที่แตกต่างกันอยู่สินะ...〞
〖ถูกต้องตามนั้นเลยครับ... เรื่องตำนานการปราบจอมมารที่คุณมีอาว่ามานั่น... เป็นเรื่องราวของอดีตพระเจ้าองค์ก่อนที่เกิดคลุ้มคลั่งขึ้นเพราะมัวเมาในอำนาจ จนทำให้เกิดสงครามขนาดใหญ่จนจักรวาลแตกเป็นเสี่ยงๆ... แล้วก็ทำให้ดาวของเทพเจ้าและดาวของอมนุษย์รวมกันจนกลายเป็นโลกใบนี้... ส่วนตอนจบก็จบตรงที่ จอมมารถูกผู้กล้าทั้ง 5 ปราบลงจนถึงแก่ความตาย และทำให้โลกใบนี้เกิดความสงบสุขขึ้นมา... เพียงแต่ยังมีคำสาปของพระเจ้าองค์ก่อนหลงเหลืออยู่... ซึ่งคำสาปที่ว่านั่นก็คือ『ดันเจี้ยน』นั่นเองครับ... นั่นจึงทำให้ทุกคนขนานนามพระเจ้าองค์ก่อนที่เหมือนเป็นผู้ให้กำเนิดดันเจี้ยนทั้งปวงว่า『จอมมาร』〗
〝..............ต่างกันจริงๆด้วย〞
กรที่ได้ฟังอีกเรื่องราวหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์ที่คล้ายคลึงกันเล็กน้อย จึงคิดแบบนั้นพลางยกมือขึ้นมาจับคางและครุ่นคิดถึงความเชื่อมโยงของเรื่องทั้งสองอีกครั้ง...
สิ่งที่เหมือนกันของทั้งสองเรื่องก็คือ... เมื่อนานมาแล้วได้เกิดสงครามใหญ่ระดับล้างจักรวาล ส่งผลให้โลกทั้งสองรวมตัวกัน... แต่ดูเหมือนผลกระทบจะไม่ส่งผลมายังโลกเดิมของเรา....
สิ่งที่แตกต่างกันก็คือ ความขัดแย้งระหว่างคนสองกลุ่ม...
ของฟรังซ์ ออลเดล... เป็นสภาสวรรค์ 7 ปีกกับพระเจ้า
ส่วนที่เป็นเรื่องเล่าสืบต่อกันมาในหมู่คนทั่วไปก็คือ... ความขัดแย้งของผู้กล้าทั้ง 5 กับพระเจ้าองค์ก่อน(ในปัจจุบันถูกเรียกว่าจอมมาร)
จุดเชื่อมของความขัดแย้งทั้งสองนั้นเหมือนกัน... นั่นก็คือ ผู้ที่แพ้คือพระเจ้าองค์ก่อน................
อ่อ.... เรื่องเป็นงี้เองสินะ....
〝เรื่องของนาย ที่เล่ามานั่น.... คือตำนานที่แท้จริงใช่ไหมฟรังซ์ ออลเดล?〞
〖โอ้! สมแล้วหล่ะครับ〗
〝หึ! ต้องแบบนี้สิ〞
ฟรังซ์และเมอร์ลิน เอ่ยปากชมกรในทันที ที่พูดถูกประเด็นตรงเผง...
〝พระเจ้าองค์ก่อนที่เป็นจอมมารนั่น... จริงๆแล้วก็แค่ทำตามหน้าที่... แต่พอเป็นฝ่ายแพ้ก็โดนโบ้ยเลยสินะ〞
〝กร... งั้นหรือว่าพระเจ้าองค์ก่อน... ถูกใส่ร้ายโดยศาสนจักรงั้นเหรอ?〞
〝หึหึ! สมแล้วที่เป็นมีอา...〞
〝เฮะเฮะ!〞
มีอาเองก็พอเข้าใจเรื่องทั้งหมดแล้วเหมือนกัน กรจึงเอ่ยปากชมพร้อมกับให้รางวัลโดยการลูบหัวเบาๆ จนมีอาเขินอายจนหน้าแดงก่ำด้วยความปิติอีกครั้ง จนหัวเราะเสียงแปลกๆออกมา...
〝สรุปแล้วก็คือ... พวกผู้กล้าที่เป็น『มหานักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่』ล้มพระเจ้าลงในศึกสุดท้ายได้สำเร็จ... แล้วจึงเริ่มฟื้นฟูบ้าน วางผังบ้านแปลงเมืองขึ้นหลังสงครามในโลกของอมนุษย์... พวกที่มาจากดาวของเทพเจ้าก็เป็นคนถ่ายทอดความรู้ และอาศัยความเชื่อดั้งเดิมของคนที่อยู่ในโลกอมนุษย์ ในการสร้างสิ่งที่เรียกว่า『ศาสนจักร』 ซึ่งคงต้องการที่จะวางฐานอำนาจ เพื่อสร้างสิ่งที่เรียกว่า『สภาสวรรค์ 7 ปีก』ขึ้นอีกครั้ง เพื่อหวังที่จะปกครองทั้งคนในโลกของฉันและโลกนี้เหมือนเมื่อในอดีต ซึ่งก็ได้ผลดีทีเดียว... ส่วนคนที่แพ้อย่างพระเจ้าองค์ก่อน ก็กลายเป็นตัวร้ายไป เหมือนกับที่เขาว่าไว้ว่า ผู้ชนะเป็นผู้เขียนประวัติศาสตร์หล่ะนะ... จนถึงตอนนี้มีอะไรผิดรึเปล่า? 〞
〝สุดยอดเลยนะเนี่ย〞
〝กรสุดยอดไปเลย!〞
〖ไม่มีตรงไหนผิดเลยครับ... สมกับที่คาดหวังเลยหล่ะครับ!〗
เมื่อกรพูดข้อสันนิษฐานของตัวเองออกมา ก็ได้รับคำชมจากทั้งเมอร์ลินและมีอา รวมถึงคำยืนยันจากฟรังซ์ ทำให้ทุกอย่างเกือบจะลงล็อคแล้ว... จะเหลือก็แต่เรื่องที่พวกกรและรินถูกอัญเชิญมาต่างโลกเท่านั้นที่ยังไม่เคลียร์ รวมถึงสังหรณ์ถึงปัญหาใหญ่ที่ซ่อนอยู่ยังไม่หยุดลง กรจึงเริ่มถามต่อในทันที
〝แต่ถึงเป็นแบบนั้น... ก็ถือว่าโลกค่อนข้างสงบสุขลงแล้วไม่ใช่เหรอ? ถ้าไม่นับการปกครองแบบเผด็จการโดยใช้ศาสนาบังหน้านั่นหล่ะก็นะ... แล้วเรื่องที่พวกฉันถูกอัญเชิญมาต่างโลกด้วย... ตอนนั้น ไอ้แก่พระเจ้าคนปัจจุบัน มันบอกว่าทำเพื่อกระจายประชากรมายังโลกนี้ และเพื่อให้ผู้กล้าที่อัญเชิญมาแก้ปัญหาเรื่องดันเจี้ยน...〞
〖โห้! ว่าต่อเลยครับ〗
〝แต่มันไม่ค่อยสมเหตุสมผล... เรื่องการกระจายประชากรนั่นฟังยังไงก็ข้ออ้างชัดๆ... เรื่องดันเจี้ยนเองก็ด้วย ถ้าเกิดว่ามันเป็นปัญหามากขนาดนั้นหล่ะก็... คนสมัยก่อนเขาแก้ปัญหายังไงกันหล่ะในตอนที่ยังไม่ได้อัญเชิญผู้กล้าจากอีกโลก?〞
〝นายเนี่ยช่างสังเกตจริงนะ...〞
〝แค่พูดไปตามที่คิดเองแหล่ะ〞
เมอร์ลินเอ่ยชมกรอีกครั้ง จนกรเริ่มเขินและหน้าเริ่มแดง แต่แน่นอนว่ายังคงเก๊กหน้านิ่งอยู่เช่นเคย
〖นั่นแหล่ะครับ... คุณอุษณกร... นี่แหล่ะคืออภิมหาปัญหาที่แท้จริงที่พวกเรากำลังเผชิญกันอยู่... มันคือความลับที่มีแค่พวก『สภาสวรรค์ 7 ปีก』ในปัจจุบัน และ『มหานักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่』ทั้ง 6 คนเท่านั้นที่รู้เรื่อง〗
ฟรังซ์ ออลเดลเปลี่ยนสีหน้าเป็นจริงจังในทันทีที่เกริ่มถึงปัญหาและปริศนาชิ้นใหญ่ที่สุดที่กรต้องการรู้ กรจึงขยับเก้าอี้เข้าไปจนเกือบชิดโต๊ะ ก่อนที่จะได้ฟังความจริงอันน่าตกตะลึงที่จะเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของเขาไปตลอดกาลออกมาจากปากของฟรังซ์ ออลเดล
〖พระเจ้าองค์ก่อน... หรือชายที่ทุกคนรู้จักกันในนามจอมมารนั่น... ยังคงมีชีวิตอยู่ครับ〗
〝〝!!!!!!!〞〞
เฮ้ยๆอะไรนะ!
จะบอกว่า ตัวเป้งแบบนั้นยังไม่ตายงั้นเหรอ? แต่จะว่าไปแล้ว หมอนั่นก็เป็นถึงพระเจ้าเชียวนะ... เรื่องที่ยังไม่ตายอาจจะไม่แปลกก็ได้
〖เค้าคนนั้นยังไม่ตาย... เพียงแต่กำลังถูกผนึกอยู่... ซึ่งคนที่ผนึกนั้นก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจาก『มหานักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่』ทั้ง 6 คน〗
เดี๋ยวดิ! เรื่องนี้มันเป็นอดีตเมื่อนานมาแล้วไม่ใช่เหรอ?
จะบอกว่าพวกผู้กล้าในตำนานนั่นยังไม่ตายงั้นเหรอ...
ไม่สิ! ก่อนหน้านั้น... เราปล่อยผ่านเรื่องที่ฟรังซ์ ออลเดลพูดเมื่อกี้ไปได้ยังไง
〝แปปนะฟรังซ์! เมื่อกี้นี้นายบอกว่าคนที่รู้มีแค่ผู้กล่ากับสภา 7 ปีก... แล้วนายไปรู้เรื่องนี้มากจากไหนล่ะหืม?〞
กรที่ถามออกไป โดยคิดถึงความเป็นไปได้ที่ฟรังซ์จะหลอกตัวเองอีกครั้ง เพราะหากเป็นอย่างที่ว่าฟรังซ์ก็ต้องเป็นคนในอย่างแน่นอน... แล้วก็เป็นอีกครั้งที่คำตอบทำให้กรตกตะลึง
〖จี้ตรงจุดอีกแล้วนะครับ... ถามว่าทำไมผมถึงรู้งั้นเหรอ? นั่นก็เพราะผมหน่ะ... เป็นหนึ่งใน『มหานักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่』ยังไงหล่ะครับ〗
〝!!!〞
หมอนี่... เป็นคนในอย่างที่คิดจริงๆด้วย...
แต่ว่า...
〝ขอถามเพื่อความมั่นใจ... นายหน่ะ———〞
〖พวกผมไม่มีความเกี่ยวข้องกับ『สภาสวรรค์ 7 ปีก』 หรอกนะครับ〗
〝.........〞
ก่อนที่กรจะถามฟรังซ์ไปแบบนั้น ก็ถูกฟรังซ์แย้งออกมาก่อน เพราะกรนั้น ไม่เคยคิดจะร่วมมือกับคนที่ทำให้มีอาเจ็บปวดแม้แต่น้อยนั่นแหล่ะ... เขาจึงโล่งอกไปเปราะนึง ก่อนที่ฟรังซ์จะเริ่มการอธิบายต่อ
〖พวกผมหน่ะ... ในตอนศึกสุดท้าย พวกเราเอาชนะพระเจ้าไม่ได้... ทั้งที่ในตอนแรกก็คิดจะเกลี่ยกล่อมอยู่หรอกครับ แต่ที่ตาเฒ่าพวกนั้นทำมันมากเกินไปหน่อย... มากจนพระเจ้าคนนั้นหันหลังกลับไม่ได้แล้ว... พวกผมที่ไม่มีทางชนะ ถึงต้องใช้ร่างกายของตัวเองในการผนึกร่างของพระเจ้า... ไม่สิ เพื่อผนึกจอมมารไงหล่ะครับ〗
〝ใช้ร่างกายตัวเองในการผนึก? งั้นนายที่อยู่ตรงนี้?〞
〖นี่เป็นร่างความคิดหน่ะครับ... เป็นเวทย์ที่จำลองพลังของร่างหลัก 1 ใน 4 โดยสามารถใช้สติร่วมกันโดยไม่สนใจระยะห่างเลยหล่ะครับ〗
ลงล็อคแล้ว! ที่เราใช้สุดยอดการประมวลกับหมอนี่ไม่ได้ ก็เป็นเพราะนี่ไม่ใช่ร่างกายจริงๆนี่เอง...
แต่เดี๋ยวสิ!!! กับไอ้แก่พระเจ้านั่นเองก็เป็นแบบเดียวกันนี่นา เฮ้ยๆอย่าบอกนะว่า...
〝นี่ อย่าบอกนะว่า พระเจ้าปัจจุบันเองก็...〞
〝อย่างที่นายคิดนั่นแหล่ะ.... พระเจ้าคนปัจจุบันหน่ะ... คือ 1 ใน『มหานักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่』ชื่อของเขาไม่ปรากฏในตำนานผู้กล้าทั้ง 5 เพื่อไม่ให้เรื่องมันทับซ้อนกันหน่ะนะ...〞
〝งั้นหรอกเหรอ...〞
เมอร์ลินเป็นคนตอบคำถามนี้แทนฟรังซ์ พอเห็นว่าเป็นไปตามที่คิด แล้วทุกอย่างเริ่มลงล็อค กรจึงเริ่มถามต่อไปอีก โดยไม่ให้พวกเมอร์ลินหยุดพัก
〝งั้นเหตุผลที่อัญเชิญพวกเรามาต่างโลกหล่ะ? เธอรู้ใช่ไหมเมอร์ลิน?〞
〝อา... ก่อนอื่นนายจำได้ใช่ไหมว่าแต่เดิม มีโลกในการดูแลของพวกเทพอยู่ 2 ดวง นั่นคือ โลก กับ ดาวของอมนุษย์〞
〝แน่นอน〞
〝โลกทั้งสองใบมีจุดที่แตกต่างกันอย่างชัดเจนและใหญ่หลวงอยู่ข้อนึง.... นั่นคือ โลกของพวกนาย ไม่ได้รับการถ่ายทอดเวทย์มนต์ และความรู้เรื่องสเตตัสยังไงหล่ะ〞
อืม... เป็นข้อแตกต่างที่ชัดเจนจริงๆนั่นแหล่ะ
ส่วนเหตุผลที่ทำแบบนั้นก็คงเป็น...
〝ทดลองอยู่สินะ... ถึงความเป็นไปได้ที่ซ่อนอยู่ในตัวของประชากรที่ไม่มีเวทย์มนต์หน่ะ〞
〖ขอโทษจริงๆนะครับที่ทำให้รู้สึกแย่... แต่ผลจากการที่ไม่มีเวทย์มนต์ ทำให้โลกของคุณต้องพัฒนาขึ้นโดยใช้สติปัญญา ทำให้เทคโนโลยีพัฒนาขึ้นสูง ผิดหูผิดตากับโลกใบนี้ที่ไม่จำเป็นต้องพัฒนาเพราะเวทย์มนต์สามารถตอบสนองความต้องการได้ในทุกด้าน... นั่นทำให้โลกของคุณมีระดับปัญญาสูงกว่าโลกนี้อยู่พอสมควรเลยครับ...〗
〝หรือว่าสติปัญญาที่ว่า... คือตัวแปรในการใช้สกิลหรือเวทย์มนต์?〞
〝รู้ไปหมดเลยนะนายเนี่ย〞
〝ก็รู้เท่าที่รู้นั่นแหล่ะ〞
ก็ค่า INT มันจำเป็นสำหรับสเตตัสเวทมนตร์นี่นา พื้นฐานของเกมเลยนะ...
แต่เอาเถอะ ถึงจะใช้ตรรกะแบบเดียวกับในเกม แต่ผลลัพธ์เหมือนกันก็โอเคแล้ว...
〖อย่างที่คุณว่าแหล่ะครับคุณอุษณกร... เพราะว่าโลกของพวกคุณมีโอกาสเติบโตกว้างและไกลกว่า... พวกเราถึงต้องอัญเชิญพวกคุณมา...〗
〝อา... เรื่องนั้นพอเข้าใจแล้วหล่ะ... ว่าแต่เรื่องเหตุผลที่อัญเชิญมายังไม่เคลียร์เลยนะ〞
〖จำเรื่องผนึกได้รึเปล่าครับ...〗
〝ผนึก?〞
กรเอียงคอสงสัยในคำอธิบายของฟรังซ์ แต่ก็แน่หล่ะ เพราะมันเป็นเรื่องที่อยู่นอกเหนือความรู้ของกร ฟรังซ์จึงเริ่มอธิบายต่อเพื่อไม่ให้เสียเวลาในทันที
〖ผนึกที่สร้างโดยพวกเรา 5 คนและพระเจ้า... สามารถยื้อได้อีกไม่ถึง 1 ปีแล้วหล่ะครับ... ขั้นต่ำก็เหลือแค่ครึ่งปีเองด้วย〗
〝!〞
เรื่องใหญ่ไหลเข้ามาเรื่อยๆแล้ว...
จะบอกว่าอีก 6 เดือน สัตว์ประหลาดนั่นจะตื่นขึ้นมางั้นเหรอ?
ความแค้นของพระเจ้าองค์ก่อน... จากเรื่องเล่าของฟรังซ์แล้ว คงรุนแรงน่าดู... รวมถึงความแข็งแกร่งของเจ้าตัว ถ้าผนึกถูกปลดจริงหล่ะก็... สงสัยระบบสุริยะต้องถูกเป่าให้หายไปทันทีอย่างไม่ต้องสงสัย
〖พวกเราถึงไม่มีทางเลือกครับ... ถึงต้องยอมเสี่ยงกับการอัญเชิญพวกคุณมาเพื่อเสริมความแข็งแกร่งในโลกนี้... นอกจากผมที่เป็นดันเจี้ยนมาสเตอร์แล้ว... อีก 4 คนรวมถึงพระเจ้าองค์ปัจจุบันได้ทำการสร้างดันเจี้ยนขึ้นคนละแห่ง เพื่อเป็นบททดสอบในการเฟ้นหาผู้ที่มีพลังพอจะต่อกรกับจอมมารได้ แต่ว่า... 〗
〝ไม่ง่ายหล่ะสินะ...〞
〖เรื่องนี้ขอโทษอีกกี่ครั้งก็ไม่พอหรอกครับ... เพราะเรื่องนี้ พวกเราถึงกับต้องอัญเชิญพวกคุณมาถึง 3 ครั้ง... ครั้งแรกนั้น แค่หมื่นคนเท่านั้นเองครับ ส่วนครั้งที่สองอยู่ที่หนึ่งแสน... 〗
แต่ละครั้งเป็นจำนวนที่เยอะน่าดูเลยนะ... แสดงให้เห็นเลยว่าร้อนรนกันขนาดไหน
แต่อย่างว่า... คนที่เคยสู้กับจอมมารโดยตรงก็คือฟรังซ์ ออลเดล... ย่อมคาดการณ์ได้อยู่แล้วว่าควรทำอะไร
〝แล้วครั้งที่อัญเชิญฉันมาหล่ะพามาเท่าไหร่?〞
กรถามออกไปด้วยน้ำเสียงโทนเดียวไร้ความรู้สึก ฟรังซ์จึงตอบออกมาอย่างกล้าๆกลัวๆว่า
〖ประมาณสิบล้านคนครับ....〗
〝.......ไม่ใช่น้อยๆนะนั่น ว่าแต่ไม่ล้นโลกหรอกเหรอ?〞
〖ไม่หรอกครับ นั่นคือจำนวนที่มากที่สุดที่สามารถพามาได้ แล้วทำให้เกิดผลกระทบในด้านการแออัดของประชากรและเศรษฐกิจมีน้อยที่สุดแล้วครับ...〗
อืม.... เป็นปัญหาที่ใหญ่โขจริงเลยให้ตายสิ
จำนวนที่พามามันใช่น้อยๆซะที่ไหนหล่ะเนี่ย
ตอนนั้นนึกว่าพามาแค่ไม่กี่หมื่นเองนะ...
แต่สุดยอดการประมวลผลก็มีขีดจำกัดเหมือนกันนี่นา... จะให้ตรวจสอบจำนวนทั้งหมดมันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว...
แต่พวกนี้มันกล้าเสี่ยงเกินไปไหมเนี่ย?
ขนาดแม่ทัพอย่างพวกฟรังซ์ยังกดจอมมารไม่ลง สภา 7 ปีก ยิ่งไม่ต้องพูดถึง... พวกเราเองก็ด้วย... ไม่เคยใช้เวทมนต์มาก่อน เลยแท้ๆ แล้วจะไปเอาชนะสัตว์ประหลาดแบบนั้นได้ยังไง...
ก็ถ้าเกิดฟลุ๊คมีคนแบบที่ว่าหล่ะก็ คงแจ็คพ็อตแตกเลยหล่ะสิ...
คนที่มาจากโลกเดิม... ถ้าเกิดมีความสามารถเกินมนุษย์ปกติติดตัวมาด้วยเนี่ย การพัฒนาคงง่ายขึ้นโข...
ไม่สิ... มีอยู่นี่นา วิธีที่พัฒนาแบบก้าวกระโดดในเวลาสั้นๆหน่ะ
〝เฮ้ยฟรังซ์! นี่หรือว่ากำลังหวังให้คนที่อัญเชิญมาทำการ『จุติ』?〞
〖ตามนั้นเลยครับ.... ผมไม่มีข้อแก้ตัวอะไรทั้งสิ้น...〗
〝………….〞
ฟรังซ์ก้มศีรษะลงจนแทบจะมองพื้นเพื่อแสดงการขอโทษต่อกร รวมถึงเมอร์ลินที่นั่งอยู่ข้างๆก็ทำสีหน้าปั้นยากเพราะรู้สึกผิดเช่นเดียวกัน...
นั่นทำให้กรตกตะลึงอีกครั้งที่ความคิดของตัวเองถูกต้อง ในจังหวะที่ถูกตอบกลับมาแบบนั้น ตัวกรรู้สึกเหมือนมีบางอย่างภายในตัวกำลังพลุกพล่าน พร้อมจะระเบิดออกมาทุกเมื่อด้วยความโกรธ ที่พวกรินและพี่สาวถูกอัญเชิญมา เพื่อที่จะสุ่มให้อยู่ในสถานการณ์เสี่ยง เพื่อที่จะตายแล้วฟื้นคืนชีพขึ้นมาราวกับหนูทดลอง และเพื่อให้เกิดสถานการณ์『การจุติ』ดังกล่าว ด้วยสีหน้าค่อนข้างอาฆาตพอตัว...
...แต่แล้วก็มีมือของมีอาเข้ามากุมมือของกรไว้ นั่นทำให้สติของกรกลับมาอีกครั้ง และความอาฆาตที่แสนรุนแรงจากภายในยอมถอยกลับเข้าไป กรจึงเริ่มพูดต่อในทันที…
〝เรื่องนี้หน่ะ... ต่อให้นายเป็นผู้มีพระคุณ... แต่คงยกโทษให้ง่ายๆไม่ได้แน่...〞
〖ครับผม...〗
〝แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่ยกโทษให้หรอกนะ...〞
〖เอ๋?〗〝!!?〞
ทั้งฟรังซ์และเมอรืลิน ต่างเงยหน้าขึ้นมาทันทีราวกับติดสปริงเมื่อได้ยินคำพูดของกร
〝ถึงวิธีการจะบอกไม่ได้ว่าดี... เอาจริงๆแล้วมันไร้มนุษยธรรมจนอยากจะอ้วกเลยหล่ะ แต่นั่นมันก็อีกเรื่องนี่นา...〞
〖คุณอุษณกร...〗〝กร...〞
ทั้งสองคนมองหน้ากรตรงๆ อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ราวกับไม่ได้จะต้องการสื่อด้วยปาก แต่จะสื่อกันด้วยใจยังไงอย่างงั้น
〝ถ้าเกิดว่าหาตัวผู้กล้าไม่ได้ ยังไงจักรวาลก็ล่มสลายอยู่แล้วนี่นาจริงไหม? เพราะงั้นตามความคิดของฉัน การอัญเชิญมาแล้วมีโอกาสชนะ มันก็ยังดีกว่าปล่อยให้จักรวาลล่มสลายทั้งที่ยังไม่ได้ทำอะไรเลย... ถึงนั่นจะทำให้มีผู้เสียสละมากโขก็ตามเถอะ...〞
〖...〗〝...〞
〝แต่เรื่องนั้นมันเป็นอดีตไปแล้วนี่นา... ไม่ต้องกังวลเลยซักนิด...〞
〖!〗〝เอ๋!〞
ทั้งสองคนทำหน้าสงสัยอีกครั้ง ต่อประโยคที่แสนกำกวมของกร กรจึงเริ่มพูดต่อในทันที
〝นั่นเพราะคนที่นายตามหา... ก็อยู่ตรงหน้านายแล้วไม่ใช่เหรอ? จากที่เมอร์ลินเคยบอก ไม่เคยมีใครจุติได้เกิน 3 ครั้งมาก่อน แล้วสองคนที่เหลือนอกจากฉันนี่คือใครงั้นเหรอ?〞
〝อืม... จอมมารกับพระเจ้าองค์ปัจจุบันนี่แหล่ะ〞
โป๊ะเช๊ะ!
จิ๊กซอทั้งหมดผสานกันเป็นหนึ่งเดียวในความคิดของกรหมดแล้ว ที่เหลือก็มีแต่การถ่ายออกมาเป็นคำพูด และทำให้เกิดขึ้นจริงเป็นรูปธรรมเท่านั้น กรที่คิดแบบนั้นอยู่ในใจ จึงเริ่มการพูดอีกครั้ง
〝งั้นฉันที่สามารถจุติครั้งที่ 4 ที่เป็นครั้งสุดท้ายได้เป็นคนแรกแบบนี้ ก็พอสูสีขึ้นมาบ้างแล้วใช่ไหม? ไม่สิ เดิมทีแล้วพวกนายก็หวังให้ฉันทำแบบนี้อยู่แล้วจริงไหม?〞
〖......〗
〝ไม่จำเป็นต้องเกลี่ยกล่อมแล้วหล่ะ... จักรวาลนี้หน่ะคือที่อยู่ของฉัน... ที่อยู่ของเพื่อนสนิทและพี่สาวที่ฉันรัก... ที่อยู่ของมีอา ภรรยาที่ฉันรัก... แล้วก็ที่อยู่ของเมอร์ลิน สหายร่วมรบที่ฉันรัก... ถ้าเกิดทั้งหมดนี้หายไปหล่ะก็ ฉันก็ไม่ยอมเหมือนกัน〞
〝กร......〞
ทั้งฟรังซ์และเมอร์ลินต่างก็พูดไม่ออกกันทั้งนั้น ที่กรพูดสิ่งที่เหนือความคาดหมายนี้ออกมาเอง นั่นทำให้เป็นอีกครั้งที่มีอาภูมิใจในตัวกร ที่เสนอตัวปกป้องโลก... ไม่สิ ปกป้องจักรวาลจากจอมมารด้วยตัวเอง
แม้หนทางข้างหน้าจะอันตรายกว่าเดิมมาก แต่เธอตัดสินใจแล้วว่าจะติดตามกรที่ยอมรับตัวเองไปจนสุดขอบจักรวาล... เธอจึงพยักหน้าให้กรที่นึงอย่างขะมักเขม้น
〝เฮ้อ! งั้นต่อจากนี้ก็คงมีเรื่องให้ทำอีกเยอะเลยสินะเนี่ย... ว่าไงหล่ะฟรังซ์ จะช่วยแนะนำหน่อยได้รึเปล่า?〞
〖หึหึ! สมแล้วหล่ะครับ คุณนี่เป็นผู้ชายที่สุดยอดกว่าที่คิดเลย... กล้ายอมรับภาระในการปกป้องทั้งจักรวาลด้วยตัวคนเดียวแบบนี้———〗
〝เข้าใจผิดแล้วฟรังซ์ ออลเดล... จักรวาลหน่ะก็แค่ของแถม... ที่ฉันอยากปกป้องหน่ะ มีแค่เพื่อนสนิทและพี่สาวฉัน... มีอาแล้วก็เมอรืลินแค่นั้น อ้อ! จะแถมนายเพิ่มอีกคนก็ได้นา หึหึ!〞
〖งั้น... เหรอครับ สุดยอดจริงๆด้วยนะครับคุณหน่ะ หุหุ! สมแล้วหล่ะนะครับที่เมอร์ลินสนใจ———แอ๊ก!〗
หลังจากที่ทุกฝ่ายทำการพูดคุยเปิดใจกันจนแทบหมดเปลือกแล้ว ทำให้บรรยากาศกลับมาสงบสุขและอมยิ้มกันได้อีกครั้งนึง
ฟรังซ์ที่กำลังดีใจ เพราะความปรารถนาอันยาวนานของตัวเองถูกเติมเต็มแล้ว จึงเผลอหยอกล้อเมอร์ลินโดยไม่รู้ตัว นั่นทำให้เขาโดนเมอร์ลินอัดเข้าให้ที่ท้อง และแน่นอนว่านั่นก็เพราะเธอต้องการจะแก้เขินนั่นเอง...
〝อย่าเข้าใจผิดหล่ะกร... หมอนี่มันคิดไปเอง〞
〝หุหุ! เข้าใจแล้วน่า....〞
เมอร์ลินทำหน้าเขินอีกครั้ง ก่อนที่จะแก้ตัวกับกรโดยตรง กรจึงหัวเราะแห้งและอมยิ้มกลับไปจากใจต่อการกระทำอันแสนน่ารักน่าชังของเมอร์ลิน
〝มีอา... ทางต่อจากนี้ต้องอันตรายมากกว่านี้แน่นอนเลย เพราะงั้น——〞
〝กร... ฉันเคยบอกนายไปแล้วนี่นา ว่าต่อให้ศัตรูเป็นพระเจ้า ถ้าไปด้วยกันกับนาย ฉันก็ไม่กลัวอะไรทั้งนั้น!〞
ต่อจากนั้นกรจึงยืนยันความรู้สึกของมีอาอีกครั้งด้วยคำพูด และแน่นอนว่ามีอาตอบกลับมาอย่างร่าเริง ทั้งยังหนักแน่นราวกับนักรบ นั่นจึงทำให้กรตัดสินใจเส้นทางในอนาคตเป็นรูปเป็นร่างได้เสียที...
ชึบ!
แล้วพอบรรยากาศอยู่ในช่วงผ่อนคลาย... กรจึงยืนขึ้นกลางวงน้ำชา แล้วยื่นมือขวาออกไปยังฟรังซ์ เพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งการไว้ใจและร่วมมือกัน
〖คุณอุษณกร?〗
〝บอกตรงๆ... ถ้านายไม่ใช่พี่ของเมอร์ลิน ฉันคงยังกังขานายแน่... แต่เอาเถอะ เรื่องนั้นคงไม่สำคัญแล้วในตอนนี้... เพราะงั้น เลยอยากทำให้มันสมบูรณ์หน่ะ〞
〖หึหึ! ถึงเป็นครั้งที่สามแล้วก็เถอะครับ แต่ผมก็อยากจะพูดอยู่ดี... คุณอุษณกร... คุณนี่สุดยอดจริงๆ...〗
〝ขอทีเถอะน่า!〞
พอฟรังซ์ยืนขึ้น และเอื้อมมือขวาของตัวเองไปจับกับมือขวาของกรแล้ว ทั้งสองคนก็ยิ้มให้กันเล็กน้อยเป็นเครื่องบ่งบอกว่าทั้งสองคนได้ร่วมมือกันอย่างไร้ข้อกังขา
และแล้ว... วงล้อแห่งโชคชะตาของชายที่แข็งแกร่งที่สุดเช่นกรจึงได้เริ่มหมุนวนไปพร้อมกับชะตากรรมของจักรวาลด้วยประการฉะนี้...
หลังจากที่กรสามารถเคลียร์หนึ่งในมหาดันเจี้ยนโบราณ ที่มีระดับความยากสูงที่สุดในโลกได้สำเร็จ กรจึงได้รับรู้ถึงความจริงของโลก.... ไม่สิ ของจักรวาลจากปากของผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์โดยตรงซึ่งก็คือฟรังซ์ ออลเดลที่เป็นดันเจี้ยนมาสเตอร์ของมหาดันเจี้ยนแห่งนี้ จอมมารยังคงมีชีวิตอยู่ และถูกผนึกไว้เท่านั้น แถมผนึกที่ว่ายังอยู่ได้อย่างน้อยอีกแค่ 6 เดือน... นั่นคือ ความเป็นจริงที่น่าหวาดหวั่น... พลังของจอมมารนั้น มีมากมายมหาศาลถึงขนาดที่ว่าทำให้ดวงดาวหลายสิบดวงแตกสลาย รวมถึงยังทำให้ดาวของพวกเทพล่มสลายลงได้อีก... แทบจะไม่ต้องคิด... เมื่ออยู่ในสถานการณ์ดังกล่าว กรจึงตัดสินใจที่จะปกป้องสิ่งสำคัญที่อยู่ในมือก่อนเหนือสิ่งอื่นใด และตัดสินใจเป็นคนรับหน้าเพื่อปราบจอมมารในทันที เพราะหากไม่เป็นเช่นนั้น ทุกอย่างที่สำคัญรวมถึงจักรวาลแห่งนี้ คงจะล่มสลายลงด้วยน้ำมือของจอมมารเป็นแน่.......ผั๊ว! ผั๊ว! ผั๊ว! ผั๊ว!——————— เสียงแปลกๆที่เกิดจากวัตถุบางอย่างกระทบกัน ดังขึ้นอย่างต่อเนื่องมาจากชั้นใต้ดินของคฤหาสน์หลังใหญ่ที่ตั้งอยู่ใจกลางชั้นที่ 101 ซึ่งเป็นอยู่พักอาศัยข
〝『ค่าสิทธ์』 เหรอ?〞 พอกรเลื่อนหน้าต่างที่ดูน่าสงสัยนี้มาอยู่ตรงกลางทัศนวิสัย เมอร์ลินที่มองเห็นได้อย่างชัดเจนเพราะถูกเลื่อนมาอยู่ในขอบเขตที่เธอมองเห็นได้ จึงถามออกมาด้วยความสงสัยเช่นกัน แล้วไม่รอช้า... กรรวมถึงมีอาและเมอร์ลิน... แม้แต่เคลเบรอสและฟรังซ์ที่ยื่นหน้าเข้ามาดูจากทางด้านหลังเองก็ทำการอ่านรายละเอียดที่เขียนอยู่บนหน้าต่างนี้ในทันทีเช่นกัน... หน้าต่างค่าสิทธ์1 - ???????????2 - ?????, ดาวเคราะห์3 - พระเจ้า ดันเจี้ยนมาสเตอร์ มอนสเตอร์และบอสในดันเจี้ยน (ระดับ SS ขึ้นไป)4 – เผ่าเทพเจ้าและตัวตนระดับสูง (เช่น เทพตกสวรรค์ วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ปีศาจ)5 – มอนสเตอร์ในดันเจี้ยน (ระดับ A ขึ้นไป แต่ไม่ถึงระดับ SS)6 - มอนสเตอร์และบอสนอกดันเจี้ยนทั้งหมด (ระดับ A ลงไป)7 - ผู้ปกครองแผ่นดิน8 - สิ่งมีชีวิตทรงปัญญาทุกประเภท9 – ทาสและสิ่งมีชีวิตไร้สติปัญญา*หมายเหตุ : การตั้งค่าทุกอย่าง ถูกขยายขอบเขตให้สามารถตั้งค่าบุคคลอื่นในแบบเดียวกับที่ตั้งค่าให้กับตัวเองได้ทุกอย่างปล. สีเขียว คือ กลุ่มที่มีค่าสิทธิ์ต่ำกว่าผู้ใช้ เป็นกลุ่มที่สามารถตั้งค่าได้ทุกอย่าง
เรื่องราวของแม่ทัพคนที่ 7 งั้นเหรอ?จะว่าไปแล้ว เรื่องที่ฟรังซ์ ออลเดลเล่าครั้งแรกนั่นก็มีกล่าวถึงเหมือนกันนี่... ถึงจะพูดถึงแค่ครั้งเดียวเองก็เถอะถ้าจำไม่ผิด... เจ้านั่นบอกว่าแม่ทัพที่สู้กับจอมมารหน่ะมี 7 คน แล้วต่อมา 6 ใน 7 คน ได้กลายเป็นมหานักปราชญ์....เราเองก็คาใจมาตลอดว่าอีกคนนึงคือใคร... เพราะจาก 6 คน ก็มีพระเจ้าคนนึง กับดันเจี้ยนมาสเตอร์อีก 5...เราเองก็หาหนังสือแบบเดียวกันมาตลอด แต่ไม่มีถูกกล่าวถึงเลยซักนิด เหมือนกับมีคนจงใจลบข้อมูลส่วนนั้นออกไปเลย...แต่ถือวิสาสะเอามาอ่านเองแบบนี้นี่ ยัยนั่น.... เมอร์ลินจะโกรธรึเปล่าเนี่ย... แถมในส่วนลึกของจิตใจ เรากลับรู้สึกว่า ไม่ควรไปแตะต้องมันซะนี่... กรที่กำลังลังเล พยายามก้าวเท้าขวาเข้าไปข้างในห้องแต่ก็ต้องชักเท้ากลับออกมาเพราะรู้สึกผิดอยู่ในใจ แต่แล้วความอยากรู้อยากเห็นก็เข้าครอบงำอีกครั้งเขาจึงก้าวเท้าเข้าไปอีก แล้วพอมาคิดดูว่าเมอร์ลินจะรู้สึกยังไงที่โดนรุกล้ำเข้าพื้นที่ส่วนตัวโดยไม่ได้รับอนุญาติ กรก็ชักเท้าหนีอีกจนไม่ได้เข้าไปเสียที จนแม้จะผ่านไปถึง 5 นาทีเขาก็ยังคงทำแบบนั้นอยู่ด้านหน้าห้องของเมอร์ลิน จนกระทั่ง...〝ทำอะไร
——— 3 วันต่อมา กิจวัตรประจำวันเมื่ออยู่คฤหาสน์ของกรยังคงดำเนินต่อไป ด้วยตารางการฝึกของฟรังซ์เพื่อ『การเพิ่มขีดจำกัดด้วยออร่า』 ด้วยความสามารถในการเรียนรู้อย่างรวดเร็วของกร... บัดนี้เขาสามารถควบคุมจินตนาการได้จนเกือบสำเร็จแล้ว ซึ่งถือเป็นความก้าวหน้าอย่างดีเยี่ยมเลยทีเดียว ส่วนผลลัพธ์ที่เห็นได้ชัดเลยก็คือ....ฉั๊ว! ฉั๊ว! ฉั๊ว! ฉั๊ว! ฉั๊ว! ฉั๊ว! 〝อ้าว ๆ !!! คราวนี้ลองรับดาบข้าดูเจ้าหนู!〞 กรในตอนนี้กำลังต่อสู้กับวิชาดาบสุดร้ายกาจของเคลเบรอสในร่างลุงวัยกลางคนสวมชุดพ่อบ้านเช่นเคย สเต็ปการก้าวเท้าหลบของกรนั้นช่างลื่นไหลราวกับกำลังเต้นลีลาศด้วยการกระหน่ำโจมตีของเคลเบรอส แต่ด้วยความร้ายกาจของเคลเบรอสทำให้มีวิถีดาบจำนวนหนึ่งเล็ดรอดออกมาได้ กรจึงใช้มือปัดป้องออกอย่างง่ายดาบราวกับเป็นเพียงของเล่น กรที่อยู่ในชุดฝึกนั้นเรียกได้ว่าไร้อาวุธอย่างแท้จริง จะมีก็แต่ร่างกายที่ถูกคลุมด้วยออร่าสีขาวบริสุทธิ์เท่านั้น ที่ใช้แทนกันได้... แม้จะเป็นการต่อสู้แบบหนึ่งต่อหนึ่งก็ยังพอสูสีได้ เพียงแต่ว่า...ปั้ง! ปั้ง! ปั้ง! ปั้ง! ปั้ง! ปั้ง! 〖อย่าลืมว่าย
บทที่ 2 『 Basilius Kingdoms Crisis 』วิกฤตบาซีเลียส❖❖❖❖❖ครืด!——— ครืด!——— ครืด!——— ท่ามกลางความร่มรื่นของบรรยากาศยามบ่ายที่ไม่ร้อนเกินไปนักของถนนลูกรังสีน้ำตาลอ่อนซึ่งมีผืนหญ้ายาวสุดลูกหูลูกตาและมีไม้ยืนต้นขนาดปานกลางแซมอยู่เป็นพักๆ ได้มีเสียงของอะไรบางอย่างกำลังถูกลากไปตามทางของด้วยเสียงประหลาดๆแฮ่ก! แฮ่ก! แฮ่ก! เสียงหายใจหอบของคนที่เป็นต้นเสียงดังอย่างต่อเนื่องมาได้พักใหญ่ๆ... เมื่อโฟกัสไปยังต้นเหตุดังกล่าว ก็จะพบเข้ากับเด็กหนุ่มที่เป็นสาเหตุคนนั้นกำลังเดินลากเท้าไปตามพื้น แต่จะโทษเขาฝ่ายเดียวก็ไม่ได้ เพราะสาเหตุที่ทำให้เด็กหนุ่มเดินลำบากนั้นมาจากหญิงสาวที่กำลังเหนื่อยอ่อนเพราะเป็นลมแดด? ซึ่งเขากำลังแบกอยู่ด้านหลังต่างหาก เหงื่อของเด็กหนุ่มไหลลงมากองที่คอด้วยความร้อนจากทั้งแรงกดทับของหญิงสาวและความร้อนจากแสงอาทิตย์ เลยทำให้ความร้อนสะสมเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า ท่าทีของทั้งสองคนนั้นเหนื่อยอ่อนเกินกว่าจะเรียกว่ากำลังเดินทางเข้าเมือง เพราะใบหน้าทรมานของทั้งสองคนมันเหมือนกับกำลังเดินทางไปสู่นรกมากกว่า(ฮาๆ) แตกต่างจากเด็กสาวที่เดินอยู่ข้
หลังจากนั้น พวกกรก็นั่งรถม้าเข้าไปในเมืองชั้นในพร้อมกับคุณโรนี่ โดยใช้เวลาไม่นานก็ถึงที่หมาย… การตรวจตราเข้าสู่เมืองชั้นใน ดำเนินการโดยกองทหารฝ่ายตรวจการ เพราะเมืองชั้นในประกอบด้วยสถานที่ราชการเสียเป็นส่วนใหญ่ เลยต้องมีการคัดแยกคนที่รัดกุมมากกว่าปกติ แต่พวกกรก็ผ่านมาง่ายๆ เพราะเดินทางมากับคุณโรนี่ซึ่งเป็นที่รู้จักในย่านนี้ แล้วจากนั้นประมาณ 10 นาที พวกกรก็มาถึงย่านร้านค้าซึ่งมีลักษณะเป็นตึกแถว 3 ชั้นที่ดูดีมีระดับแห่งหนึ่ง โดยที่ทั้งสองข้างทางต่างก็เป็นร้านกระจก และถูกประดับด้วยของดีทั้งนั้น ทางสัญจรที่แม้จะเป็นซอยหลักเองยังถูกปูด้วยพื้นหินแกรนิตเป็นลายสับหว่างเหมือนกับอิฐอย่างดีและงดงาม แค่มองดูแวบแรกก็รู้แล้วว่าเป็นย่านร้านค้าของคนมีเงินใช้เหลือเฟือ แต่ดูเหมือนคนทั่วไปเองก็มาซื้อของที่นี่เหมือนกัน ด้วยเพราะกรมองเห็นคนแทบจะทุกประเภทสัญจรผ่านย่านการค้าแห่งนี้คับคั่งยิ่งกว่าตลาดเมื่อตอนเข้าเมืองเสียอีก รถม้ายังคงเคลื่อนตัวเข้าไปเรื่อยๆ... ในขณะเดียวกัน มีอาและเมอร์ลินที่ไม่ค่อยได้เห็นของพวกนี้เพราะอยู่แต่ในดันเจี้ยนมานานมาก ต่างก็มองผ่านหน้าต่างอ
หลังจากพวกกรเดินหลบฉากออกมาจากย่านการค้าโรนี่ได้ซักพัก ณ ตอนนั้นก็เป็นเวลาประมาณ 5 โมงเย็นเศษ พวกกรเลยตกลงกันว่าจะหาที่พักชั่วคราวอาทิเช่น โรงแรมหรือห้องพัก กันไปก่อน และเนื่องด้วยตอนนี้กำลังอยู่ในช่วงฤดูฝนปลายๆ เกือบจะเข้าฤดูร้อนพอดิบพอดี เลยทำให้เวลากลางวันยาวนานกว่าตอนกลางคืนพอสมควร แสงอาทิตย์จึงยังไม่เป็นสีส้มสนิท พวกกรเลยตัดสินใจว่าจะออกมาเดินเล่นในเมืองด้วยกันหลังจากที่จองห้องไว้แล้วด้วย แต่ว่า...〝นี่... ฉันว่าห้องของที่เมื่อกี้ก็โอเคอยู่นา...〞〝ไม่เอาด้วยหรอก! ฉันไม่อยากใช้ห้องน้ำรวมนี่นา〞〝แต่มันก็แยกฝั่งชาย หญิงอยู่ไม่ใช่เหรอ? 〞〝บอกว่าไม่เอาก็คือไม่เอาย่ะ! 〞 ผ่านมาเกือบครึ่งชั่วโมงได้ ที่ทั้งสามคนยังคงง่วนอยู่แต่กับการเลือกห้องพัก ตามแบบที่เห็นตรงกัน ในด้านของมีอานั้น ไม่มีปัญหาซักนิดในเรื่องของรูปแบบห้อง ขอแค่มีเตียงเธอก็นอนได้หมด เพราะงั้นคนที่เถียงกันจึงมีแต่กรและเมอร์ลิน... ไม่สิ พูดให้ถูกคือเมอร์ลินเป็นฝ่ายเลือก ซึ่งสาเหตุของเมอร์ลินนั้นก็มาจากการต้องการความเป็นส่วนตัว รวมถึงไม่อยากทำความรู้จักกับบุคคลอื่นโดยไม่จำเป็นนั่นเอง กรที
〝 ใหญ่จัง... 〞〝 ใหญ่เวอร์เลย 〞〝 สุดยอดเลยแฮะ 〞 มีอา เมอร์ลินและกรต่างก็แสดงปฏิกิริยาออกมาต่างกัน แต่ที่เหมือนๆกันก็คือ ความตะลึงและประทับใจ เมื่อพบกับอาคารขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า หลังจากเดินเท้าจากอิกดราซิลโฮเทลเข้าสู่ศูนย์กลางของเมืองเพียง 10 นาที อาคารทั้งหมดถูกสร้างจากหินแกรนิตสีน้ำเงินโทนดำดูภายนอกน่ายำเกรง ลายของผนังและกำแพงภายนอกคล้ายกับการวางตัวของอิฐที่สับหว่างไปมาอย่างมีระเบียบ จากภายนอก กรพอจะคาดคะเนความสูงได้เกือบ 7 เมตร และเมื่อใช้หน้าต่างตั้งค่าตรวจสอบแผนผังก็พบว่าภายในเป็นอาคารขนาดใหญ่และมีถึง 4 ชั้น ลานกว้างขนาดใหญ่ซึ่งเป็นทางเดินติดต่อระหว่างประตูอาคารและซุ้มทางเข้าขนาดใหญ่ติดกับกำแพง และซุ้มทางเข้านี้เอง ที่มีตัวอักษรสีแดงขนาดใหญ่สลักไว้ตรงกลางของป้ายสูงพอๆกับตัวอาคารเหนือหัวของพวกกรถูกเขียนเอาไว้ เป็นชื่อของอาคารแห่งนี้ว่า... 『กิลด์นักผจญภัยประจำเมืองคาลิโอน่า』ข้างในเองก็สุดยอดไม่แพ้กันเลยแฮะ ทันทีที่ทั้งสามคนเดินผ่านซุ้ม และผ่านประตูไม้ขนาดใหญ่กว่า 3 เมตรเข้ามาถึงภายในกิลด์นักผจญภัย ก็พบกับบรรยากาศแปลกๆ ขอ
———— 1 สัปดาห์ต่อมา ชั้นที่ 2 ของมหาดันเจี้ยน『หอคอยแห่งปัญญา』 ณ ดันเจี้ยนชั้นพิเศษ ซึ่งถูกสร้างโดยอาเธนต่อจากชั้นที่ 1 อันเป็นชั้นที่เอาไว้หลอกคนทั่วไป ถูกสร้างขึ้นเพื่อการฝึกฝนและเก็บเลเวลโดยเฉพาะ หากแต่ผู้ที่จะใช้มันได้นั้น มีเพียงแค่กลุ่มของผู้ที่ผ่านการทดสอบที่แท้จริงแล้วเท่านั้นถึงจะเข้ามาในนี้ได้ ที่แห่งนี้ถูกแบ่งออกเป็นสามเขต อันได้แก่ เขตที่พักอาศัย เขตใช้ฝึก『บัญญัติพันประการ』 และสุดท้ายคือเขตที่ใช้สำหรับเก็บเลเวล... หรือก็คือ เขตมอนสเตอร์ทรงภูมิปัญญานั่นเอง ในพื้นที่ของเขตที่สามถูกสร้างให้เป็นพื้นกระเบื้องและเพดานหน้าตัดเรียบส่องแสงสีเขียว (Lime) พื้นที่โดยรอบมีวัตถุโปร่งแสงรูปทรงเรขาคณิต ทั้งสามเลี่ยม สี่เหลี่ยมไปจนถึงรูปทรงหลายเหลี่ยมกระจัดกระจายเต็มไปหมดทำให้ยากแก่การเคลื่อนไหว แต่กลับกันแล้ว มันทำให้ง่ายต่อการดำเนินแผนที่ซับซ้อนและแยบยล และเขตที่สามนี้เอง ที่มีหญิงสาวทั้ง 4 คน อันได้แก่ มีอา ซาช่า เรเชลและริต้า กำลังต่อสู้กับมอนสเตอร์จำนวนเท่ากันอยู่ มอนสเตอร์ทั้งสี่ตัวที่เป็นศัตรู มีหนึ่งตัวที่สวมผ้าคลุมสีดำ มีส่วนหัวเป็น
〝 คุณโรนี่กับราชา... นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่เนี่ย 〞 กรถามออกไปแบบนั้น ในเวลาเดียวกับที่ใช้『รีดดิ้งอายส์』ตรวจสอบบุคคลทั้งสองตรงหน้า แล้วก็ยิ่งประหลาดใจเข้าไปใหญ่เมื่อพบว่าทั้งคู่เป็นตัวจริง...〝 ทำหน้าแบบนั้นคงจะรู้แล้วสินะว่าพวกข้าเป็นตัวจริง... 〞ราชาพูดแทงใจดำพลางยิ้มออกมา ทำให้กรคิ้วกระตุกเพราะคาดการณ์เรื่องตรงหน้าไม่ทัน ในขณะที่กรคิดแบบนั้น ราชาก็เดินเข้ามาทางกร แล้วก็ใช้เวทย์บางอย่างเปลี่ยนใบหน้าตัวเองเป็นคนอื่น ไม่สิ... เปลี่ยนจากคนอื่นกลับมาเป็นตนเองคนเดิมต่างหาก ซึ่งที่เปลี่ยนไปนั้นมีเพียงโครงหน้าเท่านั้น แต่ความสูงอายุและริ้วรอยนั้นแทบไม่ต่างจากเดิมเลย แล้วก็หันไปสบตากับเมอร์ลินเข้า นั่นทำให้เธอเลิกคิ้วขึ้นด้วยความประหลาดใจ...〝 นายมัน อาเธนงั้นเหรอ!!!? 〞เมอร์ลินที่เห็นใบหน้าจริงของชายชราตรงหน้าก็จำได้ทันทีพร้อมทั้งเรียกชื่อจริงของเขาออกมาอย่างสนิทสนม โดยมีสายตางงงวยจากสาวๆคนอื่น แต่พอรู้ว่าคนน่าสงสัยตรงหน้าเป็นคนรู้จักของเมอร์ลิน การ์ดของพวกเธอก็คลายลงพอสมควร〝 แหมๆ ในที่สุดก็จำได้ซักทีนะแม่คุณ... ข้าหล่ะเจ็บช้ำไม่น้อยเลยนะ ตรงที่เจ้าบ
หลังจากเรื่องเมื่อวานเคลียร์กันจบในตอนเย็น กรได้ทำการเพิ่มฟังก์ชั่นหลบหนีฉุกเฉินใส่บัตรนักผจญภัยของเจนนี่ไว้ก่อนด้วย เผื่อในกรณีที่เกิดอันตรายกับเธอ เธอสามารถใช้มันวาร์ปมาหากรได้ทุกเมื่อ รวมถึงพาคนรู้จักอย่างไมน์กับรีเบคก้ามาด้วยก็ยังได้ จากนั้นพวกกรกับพวกไมน์จึงได้แยกกันกลับที่พักของตัวเอง อนึ่ง เจนนี่ตอนนี้นั้นอยู่สถานะของคนชื่อ『เบลนด้า อัลบา』 รูปลักษณ์ภายนอกที่คนอื่นเห็น เป็นคนผิวสีแทน ใบหน้าปานกลางค่อนไปทางแย่(จากความเห็นส่วนใหญ่ในกลุ่มของกร) แต่นั่นก็เพื่อไม่ให้เธอเป็นจุดเด่น เพราะหากจะว่าไปแล้วเจนนี่ในร่างธรรมดานั้นจัดว่าเป็นคนสวยมากเลยทีเดียว และด้วยการใช้บัตรนักผจญภัยอ้างถึงตัวตน ก็สามารถเข้าพักที่เดียวกับพวกไมน์ได้ แต่เธอเลือกที่จะพักคนละห้องแทนเพื่อไม่ให้เกิดข้อสงสัย (แต่สุดท้ายตอนนอนก็ย้ายมานอนห้องเดียวกันอยู่ดี) ส่วนทางด้านของกร พอกลับไปพวกกรก็รีบทำธุระส่วนตัว แล้วเข้านอนในทันที เพื่อสะสมพลังงานให้เต็มอิ่มก่อนที่จะออกรบในดันเจี้ยน『หอคอยแห่งปัญญา』 และเพื่อความไม่ประมาทช่วงเช้าทั้งหมด กรและพรรคพวกจะใช้เวลาไปกับการตร
〝 ไง ทั้งสองคน 〞 ในขณะที่ทุกคนแสดงสีหน้าตกตะลึงยังกับเห็นผีออกมา เจนนี่ก็เริ่มเป็นฝ่ายทักไมน์และรีเบคก้าก่อนด้วยรอยยิ้มในทันที〝 เจนนี่!!! 〞〝 อุ๊ยตาย!? 〞 ไมน์ที่เห็นแบบนั้นไม่รอช้าที่จะพุ่งเข้าไปสวมกอดเจนนี่อย่างเร็ว นั่นเองก็ทำเจ้าตัวอย่างเจนนี่ตกใจไม่น้อยเหมือนกัน〝 เจนนี่! เจนนี่จริงๆใช่ไหมเนี่ย? ไม่ใช่ผีหรือตัวปลอมใช่ไหม!? 〞ไมน์พูดแล้วก็ลูบๆคลำๆเจนนี่ไปทั่ว ทำเอาร่างเธอสั่นนิดหน่อยเพราะจักกะจี๊เลยทีเดียว〝 ยัยบ๊อง! ก็จับตัวกันได้อยู่ไม่ใช่รึไง? แล้วฉันก็ยังจำได้อยู่เลยนะว่าตรงก้นของรีเบคก้ามีไฝอยู่ด้วยหน่ะ 〞 เจนนี่พูดแบบนั้นออกมา ทำให้รีเบคก้าออกอาการหน้าแดง แล้วก็พุ่งเข้ามาสับกะโหลกเจนนี่เหมือนกับที่ผ่านมา〝 ฮึ่ย! ไอ้นิสัยพูดไม่คิดนี่ตัวจริงชัวร์ 〞รีเบคก้าพูดแล้วก็ใช้กำปั้นหมุนๆใส่ศีรษะของเจนนี่〝 โอ้ยๆ! เจ็บอ่ะรีเบคก้า ออมมือให้หน่อยเซ่! 〞 ทั้งสามคนหยอกล้อกันไปมาแบบนั้น ราวกับต้องการจะซึมซับและฟื้นคืนบรรยากาศที่ถูกทำลายไปให้กลับมาเหมือนเดิม แม้จะยังเคลือบแคลงสงสัย แต่ความอบอุ่นของภาพที่อยู่ตรงหน้าก็ทำให้ทุกคนลืมหลายเรื่องที่คิดอ
หลังจากที่งีบหลับไปประมาณ 3 ชั่วโมง ความเหนื่อยล้าทางจิตใจก็ดูจะลดลงไปบ้างเอาจริงๆ ต่อให้ลุยต่อทั้งอย่างงี้ก็ไหวอยู่หรอก แต่แค่นี้ทุกคนก็เป็นห่วงมากพออยู่แล้ว เพราะงั้นทำตามที่ทุกคนแนะนำเป็นการดีที่สุดทางริต้าเองยังคงหลับอยู่เลยปล่อยให้หลับต่อไปก่อนโดยให้เรเชลดูแลอยู่ข้างๆส่วนทุกคนเองดูเหมือนว่าจะไม่ได้หลับเลยในระหว่างที่ฉันพักแต่ก็ต้องขอบคุณในจุดนั้น เพราะในช่วงที่ฉันไปเจรจากับราชา ฉันต้องการที่จะไปคนเดียว...ก็แหม... ฉันไม่อยากให้ทุกคนเห็นท่าทางแย่ๆเท่าไหร่นี่นา〝 เพราะทุกคนเฝ้าฉันมาตลอดคงจะเหนื่อยแย่ ฉันเลยอยากให้พวกเธอพักรอฉันอยู่ที่นี่หน่ะ 〞พูดแบบนั้นออกไปทุกคนก็ทำหน้าถมึงทึงใส่ และแน่นอนว่าทุกคนทำท่าอยากจะไปด้วยกันหมดเลยใช้เวลาเกลี้ยกล่อมตั้งนานกว่าจะยอม แต่ก็เพราะทุกคนเป็นห่วงเรานั่นแหล่ะนะ น่าดีใจแท้ๆแต่ทุกคนก็ไม่อยากตื้อให้เราจนกังวลเกินไปเหมือนกันเพราะงั้นแค่รับปากว่าจะไม่ฝืนฉันก็ขอตัวมาได้แล้วหล่ะนะแล้วจากนั้นก็วาร์ปมาที่เมืองหลวง ในซอกตึกที่นึงใกล้ๆกับทางเข้าพระราชวังโห... มองดูจากตรงนี้ยังเห็นรูที่เจ้าชายมันทำพังไว้อยู่เลย...เดี๋ยวไม่สิ... เราเป็นคนทำนี่หว่า คง
หลังจากที่การแสดงของฉันดำเนินมาได้ซักพัก จุดจบก็มาถึงโดยที่ฉันเป็นคนจัดการปิดคดีได้อย่างดงามถึงช่วงกลางๆจะโดนคุณโรนี่แย่งซีนก็เถอะ แต่ตอนจบก็กู้หน้าคืนมาได้อ่ะนะ...จากนั้นริออนที่ถูกฉันต่อยจนสลบก็ถูกพวกฟรอนกับคาลอสคุมตัวไปส่วนไอ้ปีศาจนั่นฉันปล่อยให้มันหนีไปเองด้วยเหตุผลทางด้านผลประโยชน์ในอนาคตแต่ทางฝั่งนั้นอาจจะกำลังคิดว่าหนีฉันพ้นอยู่ก็ได้หล่ะนะ... แต่ปล่อยให้คิดแบบนั้นก็ดีเหมือนกันแล้วหลังจากเรื่องจบ ฉันก็ไม่อยู่รอดูสถานการณ์หรอกนะเพราะว่าเป็นห่วงทุกคน ฉันเลยรีบผละตัวออกมาในทันทีที่มีโอกาสก่อนหน้าที่จะออกมาก็มีถูกพระราชานัดพบเป็นการส่วนตัวด้วยอยู่ไม่มีเหตุผลให้ปฏิเสธ แล้วก็คงคิดจะคุยถึงเรื่องต่อจากนั้นนั่นแหล่ะเป็นไปตามแผนเลย ฉันคิดจะใช้โอกาสนี้ต่อรองกับราชาอยู่แล้ว…แล้วพอวิ่งออกมาถึงจุดนัดพบในซอกตึกรามบ้านช่อง ก็เจอกับทุกคนโชคดีไป... ดูเหมือนทั้งมีอา เมอร์ลิน ชาลอต ซาช่า จะไม่ได้รับผลกระทบอะไรเลย โล่งอกไปที...กลับกันแล้วพวกเธอเป็นห่วงฉันสุดๆเลยชาลอตก็เอาแต่บอกว่า〝 นายท่านอย่าเสี่ยงไปคนเดียวแบบนั้นอีกเลยนะคะ! 〞ส่วนซาช่าก็〝 ตอนที่นายท่านกระโดดเข้าไปหาลูกบอลแปลกๆนั่น...
〝 อั๊ก!!! 〞 เจ้าชายออริออน... ริออนกุมมือขวาของตัวเองด้วยความเจ็บปวด เพราะได้รับผลกระทบจากการถูกยิง ต้องบอกว่าโชคดีเท่าไหร่แล้วที่อัญมณีรับความเสียหายแทนไปเกือบหมด ไม่งั้นมือของเขาคงขาดไปแล้วด้วยซ้ำ แต่ก็เพราะความเจ็บปวดที่แล่นจากมือขวาไปสู่ทั่วทั้งร่างนี่แหล่ะ ทำให้ริออนดึงสติของตัวเองกลับมาได้อีกครั้งวูม!!!!!!———〝 อะ อา.... 〞 ริออนรำพึงอยู่ในลำคออย่างน่าเวทนา ในตอนที่แสงสีแดงจากวงเวทย์สว่างน้อยลงพร้อมๆกับวงเวทย์ขนาดใหญ่ที่ค่อยๆจางหายไปจากท้องฟ้ายามค่ำคืน จนในที่สุดแสงสว่างสีแดงฉานก็อันตรธานหายไปจากท้องฟ้า เช่นเดียวกับวงเวทย์ขนาดมหึมา ทำให้แสงจันทร์ส่องลงมาถึงพื้นดินอีกครั้ง แต่ยังคงมีเสียงเจี๊ยวจ๊าวเนื่องด้วยความสับสนของชาวเมืองอยู่บ้าง แต่แน่นอนว่าทุกคนปลอดภัยดีแล้ว และไม่มีใครได้รับผลกระทบจนถึงขั้นเสียชีวิตเลยซักคน ความสิ้นหวังเข้าคลุมสติของริออนในพริบตา อย่างที่เขาว่าไว้… เมื่อพริบตาที่ความหวังใกล้จะสัมฤทธิ์ผลถูกทำลายลง นั่นคือความสิ้นหวังอย่างที่สุด... และนั่นก็ทำให้สีหน้าของริออนเปลี่ยนจากสิ้นหวังไปเป็นอาฆาตแค้นแทน แ
〝 น่าตกใจจริงๆ… นี่รู้อยู่แล้วหรอกเหรอว่าข้าเป็นคนร้าย? 〞 เจ้าชายลำดับที่หนึ่ง... เจ้าชายออริออนถามกรออกมาด้วยแววตาและท่าทางหยิ่งยโส พร้อมกับเป็นการยอมรับข้อกล่าวหาไปในตัว ว่าตัวเองคือคนร้ายตัวจริง ในขณะที่มองกรลงมาจากเบื้องบน〝 ก็นะ... เพิ่งจะรู้ตัวเมื่อไม่นานมานี้เองแหล่ะ แสบจริงนะให้ตายสิ... 〞กรพูดออกมาพร้อมกับยิ้มแห้งๆ แล้วก็เดินเข้ามาทางเจ้าชายออริออนมากกว่าเดิม เหล่าสมุนเล็บโลหิตตั้งท่าเตรียมพร้อมโจมตีกันเต็มที่ แต่ยังไม่มีใครกล้าเริ่มโจมตีกรก่อน ทั้งด้วยความกลัวพลังที่ต่อกรกับพวกของตนระหว่างทางได้อย่างง่ายดาย แถมผ่านมาได้อย่างไร้รอยขีดข่วนก็ด้วย แต่ประเด็นสำคัญคือจิตสังหารอันหนักอึ้ง ราวกับถูกน้ำตกซัดสาดนั่นของกรต่างหาก ที่ทำให้พวกเขาไม่กล้าขยับตัว〝 งั้นขอเข้าเรื่องเลยละกัน... 『อุปกรณ์ตัวหลัก』 อยู่ที่ไหน? 〞 กรเปลี่ยนสีหน้าเป็นจริงจังยิ่งกว่าเดิม พร้อมกับน้ำเสียงเย็นยะเยือกจนน่ากลัว นั่นทำให้เหล่าเล็บโลหิตจำนวนเกินครึ่งยืนตัวสั่นได้ ไม่สิ... แม้แต่ชายเผ่าปีศาจที่ยืนอยู่ข้างๆเจ้าชายออริออนยังแอบสั่นเลยด้วยซ้ำ มีเพียงโรนี่ที่ใจเย็
หลังจากที่แอบย่องขึ้นมาบนชั้นสอง แล้วมองลอดเข้าไปในห้องที่จับสัมผัสวิญญาณได้พวกเราก็เจอกับเด็กผู้หญิงกำลังนั่งอยู่บนขอบระเบียงเป็นภาพที่น่าแปลก... เพราะเธอคนนั้นโปร่งแสงจนมองทะลุไปถึงท้องฟ้าที่เป็นฉากหลังเลยเนี่ยสิถ้างั้นก็ไม่ต้องสงสัย... เด็กคนนั้นคือวิญญาณที่กำลังตามหาอยู่แน่นอน กรคิดแบบนั้นพลางมองไปยังเด็กสาว ส่วนทางเด็กสาวนั้นกลับหันมามองทางกรในเวลาเดียวกัน〝 เอ่อ... ไม่ต้องหลบหรอกนะคะ คือหนูเห็นตั้งแต่เข้ามาในคฤหาสน์แล้วหล่ะค่ะ 〞เสียงกังวานของเด็กสาวพูดขึ้นมา โดยในน้ำเสียงมีความเอียงอายเล็กน้อย แล้วพอเด็กสาวพูดแบบนั้น กรก็ให้สัญญาณทุกคนเดินตามหลังเขาเข้ามาในห้องทันที〝 เข้าใจหล่ะ โทษทีนะที่บุกรุกเข้ามา 〞เมื่ออีกฝ่ายพูดอย่างสุภาพ ก็เป็นมารยาทเช่นกันที่กรจะตอบกลับไปแบบเดียวกัน〝 ไม่หรอกค่ะ... เอาจริงๆในรอบ 10 ปีมานี้มีคนเข้ามาในคฤหาสน์นับคนได้เลยหล่ะค่ะ มีคนบ้างแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน 〞เด็กสาวยิ้มตอบกรอย่างเป็นมิตร พร้อมกับลอยตัวจากขอบระเบียงมายืนอยู่ด้านหน้าของพวกกร สภาพแบบนั้นทำเอาพวกกรประหลาดใจไม่น้อย เว้นเสียแต่ซาช่าที่กำลังยืนตัวสั่นอยู่〝 นี่เธอเป