สายลมฤดูร้อนพัดผ่านเข้ามาทางหน้าต่าง ทำให้ผ้าม่านในห้องพยาบาลสำหรับทหารในกองอัศวินโบกสะบัด แล้วพอลมสงบ ก็ปรากฏร่างของเด็กสาวนั่งเหยียดขาตรงอย่างเรียบร้อยอยู่ใต้ผ้าห่ม เอนหลังพิงกับหัวเตียง มองออกไปทางหน้าต่างที่เพิ่งมีลมพัดผ่านโดยไม่แม้แต่จะกระพริบตาซักนิด
เด็กสาวที่แม้จะเพิ่งตื่นจากการหลับใหล อยู่ในชุดเดรสติดระบายสีขาวหลวมๆ แต่เนื้อผ้าไม่ได้โปร่งถึงขนาดจะส่องเห็นเนื้อหนังมังสาได้
เด็กสาวที่ได้รับการกระทบกระเทือนทางจิตใจ ถึงจะไม่มากนัก แต่ก็ทำให้บรรยากาศรอบตัวเปลี่ยนไปนิดหน่อย แต่เดิมที่ขี้อาย ก็ค่อนข้างเงียบขรึมและเยือกเย็นขึ้นมา แม้ลมจะพัดเข้ามาเป็นครั้งที่สองของวัน มากระทบกับเปลือกตา แต่เธอก็ยังไม่ยอมหลับตา และจ้องมองออกไปยังอีกฟากหนึ่งของท้องฟ้า เพื่อรอคอยการกลับมาของชายที่ตัวเองรักด้วยความรู้สึกหลายๆอย่างทับถมกันอยู่ในอก อย่างกระวนกระวายและทรมาน
ก๊อกๆๆ!
〝ริน! พวกเราเข้าไปนะ! 〞
〝อื้ม!〞
หลังสิ้นคำขออนุญาตด้วนน้ำเสียงที่ฟังแล้วสุภาพและค่อนข้างเป็นทางการ ชาญที่เป็นต้นเสียง อลิซและโชตก็เดินเข้ามาในห้องพยาบาลส่วนตัวที่มีแค่รินอยู่ข้างในตามลำดับ แล้วรีบมุ่งไปที่เตียงของรินอย่างรวดเร็ว
〝ได้พักบ้างรึเปล่าเนี่ยริน〞
〝อื้ม! แน่นอนอยู่แล้ว... ว่าแต่ที่สำคัญกว่านั้น...〞
〝อืม... ถ้างั้นก็ไม่ต้องอ้อมค้อมกันหล่ะ〞
อลิซถามอาการของรินออกมาด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง ทั้งที่ตัวเองก็ล้าพอกัน รินเองก็พยายามตอบกลับอย่างร่าเริงเช่นกัน แต่ก็ซ่อนความร้อนรนไว้ไม่ไหว เธอจึงรีบตัดเข้าประเด็นสำคัญอย่างรวดเร็ว ชาญเองก็เข้าใจได้อย่างรวดเร็ว เลยพูดประเด็นสำคัญของเรื่องก่อนที่จะเริ่มการอธิบาย
〝กรหน่ะ ยังมีชีวิตอยู่หล่ะ!〞
รินยิ้มออกมาทันทีที่ได้ยินแบบนั้น... แต่นั่นก็เป็นเรื่องก่อนที่รินจะได้ฟังอย่างละเอียด
❖❖❖❖❖
ทั้งสามคนหาเก้าอี้ไม้มานั่งข้างเตียง ก่อนที่จะเริ่มเล่าเรื่องทั้งหมดที่รู้ให้รินฟัง
ฮันซี่ทำการค้นหาตัวกรขึ้นไปข้างบน เริ่มจากชั้นที่ 23 และสิ่งที่พบในจุดเกิดเหตุก็มีแค่ แขนซ้ายของกรเท่านั้น พอเล่ามาถึงตรงนี้ รินแสดงอาการช็อคออกมาอย่างชัดเจน จนแทบจะสลบอีกครั้งเลยทีเดียว
นอกจากศพของฮาวลี่ ก็ไม่มีหลักฐานอื่นที่ใช้สาวไปหาตัวกรได้ ด้วยการที่เหลือแค่แขน จึงไม่แปลกที่จะคิดว่ากรได้ตายไปแล้ว แต่หากยังรอด กรก็คงเดินทางขึ้นไปข้างบนเพื่อหาทางออกหรือไม่ก็อยู่เฉยๆในชั้นเพื่อรอการช่วยเหลือ แต่ก็ไม่พบร่องรอยของกรตั้งแต่ชั้นที่ 1-23 เลยซักนิด มันเลยช่วยไม่ได้ที่จะคิดว่ากรตายไปแล้ว
〝เอ๋! แล้วทำไมถึงบอกว่ากรยังมีชีวิตอยู่หล่ะ?〞
รินที่ตั้งใจฟังมาตลอด สงสัยในเรื่องนั้นเป็นอันดับแรก เพราะคิดว่าเพื่อนๆอาจจะโกหกตัวเอง รวมถึงหลักฐานที่บ่งบอกในเรื่องนั้นก็ไม่มี แม้จะเจ็บปวด แต่รินต้องการความจริงมากกว่า แล้วก็เป็นอีกครั้งที่ชาญอธิบายให้ฟัง
〝กรทิ้งสัญลักษณ์บางอย่างไว้ที่แขนข้างที่ขาดหน่ะ…เป็นรูปโพธ์ดำแบบเดียวกับบนหน้าไพ่ แล้วก็มีรูปกากบาทขีดทับสัญลักษณ์นั้นอีกที〞
〝เอ๋!? แล้วมันหมายความว่าไงเหรอ?〞
〝นั่นสิ ฉันเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน 〞
ทั้งรินและโชต ต่างก็ทำหน้าไม่เข้าใจ ส่วนอลิซกลับทำหน้าเหมือนรู้อยู่แล้ว แต่ชาญก็ต้องเป็นคนอธิบายอยู่ดี เขาจึงขยับแว่น ก่อนที่จะเริ่มอธิบาย
〝ไม่มีอะไรซับซ้อนหรอก... ความหมายของโพธ์ดำก็คือ ความตาย... ที่ขีดกากบาททับก็เข้าใจได้ง่ายๆว่า... ยังไม่ตายยังไงหล่ะ ใช่ไหมหล่ะอลิซ!〞
〝ใช่เลย ตามนั้นแหล่ะ!!!〞
อลิซยืนยันอีกเสียงด้วยท่าทีกระตือรือร้น พร้อมทั้งแววตาเป็นประกาย อันเป็นการยืนยันจากใจจริงอีกครั้ง รินที่ได้ยินแบบนั้นก็โล่งอกไปเปราะนึง
〝เรื่องทั้งหมดที่สำคัญๆ ก็มีเท่านี้... 〞
〝แต่เรื่องที่สำคัญกว่าคือต่อจากนี้ไปหล่ะสินะ...〞
〝อื้ม! ผมเองก็คิดเหมือนกัน〞
โชตพูดเป้าหมายที่ควรทำออกมาต่อจากนี้ ชาญที่เห็นด้วยจึงเริ่มหารือกันอย่างจริงจังกับเรื่องที่จะทำต่อจากนี้
〝แล้วชาญ... นายได้บอกคุณฮันซี่รึเปล่า... เรื่องที่กรยังไม่ตายหน่ะ〞
〝โทษทีริน... แต่ผมยังไม่ได้บอก〞
สำหรับชาญ ที่มั่นใจว่ากรต้องมีเหตุผล เพราะแทนที่จะทิ้งสัญลักษณ์ขอความช่วยเหลือ กลับเป็นแค่ข้อความที่บอกว่า ยังไม่ตาย เท่านั้น เลยเลือกที่จะเชื่อใจ ทั้งที่เป็นห่วงเขาไม่แพ้คนอื่นๆ
ตามนิสัยของกร เขาคงกำลังคิดจะทำอะไรบางอย่างอยู่แน่นอน แต่หากหายไปเฉยๆ พวกเราก็จะเป็นห่วง กรคงไม่อยากให้เราเศร้า... เลยใช้วิธีครึ่งๆกลางๆแบบนี้แทน
〝ฉันคิดว่ากร กำลังคิดทำอะไรบางอย่างอีกแน่เลย...〞
อลิซเป็นอีกคนที่สนับสนุนความคิดของกรออกมาในรูปของคำพูด
〝ตะ แต่ว่านั่นก็ไม่ได้หมายความว่า เราจะปล่อยให้กรอยู่ในอันตรายคนเดียวนี่นา... แถมตอนนี้กรก็ยังอาการสาหัสด้วยไม่ใช่เหรอ〞
〝มันก็... จริงหล่ะนะ〞
〝อืม... เรื่องนั้นฉันเห็นด้วยนะ 〞
พอรินพูดแบบนั้นออกมา เลยทำให้ความคิดของโชตและอลิซเปลี่ยนไป เพราะคำพูดของรินเน้นย้ำความจริงที่ว่ากรเหลือแขนเพียงข้างเดียว แถมยังอยู่ในดันเจี้ยนระดับสูงอยู่เพียงลำพังอีก แล้วพอเทียบกันในด้านสเตตัสของกรเอง ก็น้อยกว่าพวกตัวเองตั้งหลายสิบเท่า
โชตนั้นรู้ดี ว่าเบื้องหลังการกระทำของกรย่อมมีเหตุผลเสมอ เลยพยายามเชื่อใจเขา ส่วนอลิซที่รู้จักนิสัยกรดี ก็พยายามคิดแบบเดียวกัน เพราะคิดว่าการตอบสนองความรู้สึกของกรคือสิ่งที่ควรทำ ทั้งที่ตอนนี้เธอเองก็กระวนกระวายพอๆกับหรือมากกว่ารินเลยทีเดียว
แต่ชาญนั้นต่างออกไป....
เนื่องจากเหตุการณ์หนึ่งในอดีต…ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นเรื่องที่ทำให้นักเรียนเกือบทั้งโรงเรียนเกลียดกร เขาเป็นคนเดียวที่กรจะพูดคุยในเรื่องนี้ได้ รวมถึงได้รับการขอร้องบางอย่างจากกรด้วย...
เพราะสาเหตุทั้งสองเรื่องนี้มันคล้ายคลึงกัน อันมาจากการที่กรคิดจะแก้ปัญหาและพุ่งเป้าปัญาหารอบตัวมาที่ตัวเองคนเดียว ชาญเองก็ปฏิเสธตั้งแต่ครั้งนั้นไปแล้ว... ครึ่งหนึ่งก็เห็นด้วย เพราะทำให้คนอื่นไม่โดนลูกหลงจากอดีตของกร อีกครึ่งนึงก็ไม่เห็นด้วย จากความรู้สึกส่วนตัว เพราะคนที่จะเจ็บปวดเมื่อกรโดนพุ่งเป้าไม่ได้มีแค่กรคนเดียว เพราะทั้งริน โชต อลิซและตัวชาญเองก็พาลโมโหและเศร้าตามไปด้วยเช่นกัน
ในตอนนั้นเรื่องที่ถูกกรขอร้องมีสองอย่าง... หนึ่งก็คือ การสืบข้อมูลบางอย่าง... เนื่องด้วยพ่อของชาญเป็นถึงอธิบดีกรมตำรวจ แถมแม่ของเขายังเป็นข้าราชการในกระทรวงมหาดไทยที่มีเส้นสายพอสมควรกรเลยไหว้วานให้สืบข้อมูลของคนๆนึง… กรรู้ดีว่า ถึงแม้ชาญจะเป็นลูก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะใช้สิทธิพิเศษของพ่อแม่ได้... แต่ยังไงก็มีเรื่องที่ชาญทำได้สะดวกกว่ากรแน่นอน เขาจึงไหว้วานชาญให้ทำเท่าที่ทำได้ ด้วยประการฉะนี้
ส่วนคำขออีกอย่างของกร... เป็นสิ่งที่เรียบง่าย แต่ก็ทำให้ชาญลำบากใจมาก... นั่นก็คือ...
〝ปล่อยให้ฉันจัดการเอง... เชื่อใจฉันเถอะนะชาญ 〞 แค่นี้แหล่ะ... กรพูดเสริมในทำนองว่า 〝ฉันที่เป็นคนขอร้องนายพูดแบบนี้มันก็ยังไงอยู่... แต่ให้ฉันรับผิดชอบทุกอย่างเองเถอะนะชาญ อย่าทำให้ฉันรู้สึกสมเพชตัวเองมากไปกว่านี้เลย〞 อีก ด้วยน้ำเสียงจริงจัง พอถูกพูดแบบนั้นชาญก็ไม่กล้าพูดต่อ แถมยังถูกขอร้องไม่ให้พูดเรื่องนี้กับพวกรินด้วย ชาญถึงปฏิเสธไม่ลง
และด้วยเรื่องที่ว่านี้แหล่ะ จึงทำให้ความคิดของชาญแตกต่างไปจากคนอื่น
〝ขอโทษนะทุกคน... แต่ยังไงผมก็ขอยื่นคำขาดว่า ควรจะเชื่อใจกร 〞
〝〝〝เอ๋!!!!〞 〞 〞
และแน่นอนว่าทุกคนตกใจจนตะลึงไปเลย แต่ชาญก็ยังคงนิ่งสงบ พร้อมกับดันแว่นตัวเองขึ้นอีกครั้งเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือในการโน้มน้าวทุกคน
〝ผมรู้ว่าเรื่องความปลอดภัยของกรต้องมาก่อน... แต่ในความเป็นจริงแล้ว เราไม่สามารถช่วยกรได้หรอก 〞
〝ทำไมกันหล่ะ... การช่วยเหลือนักเรียนผู้กล้าไม่ใด้อยู่ในการดูแลของกองอัศวินหรอกเหรอ... 〞
ชาญที่ได้ยินคำถามของรินกลับมายังคงใจเย็น พลางดันแว่นขึ้นอีกครั้ง ก่อนที่จะพูดสิ่งที่ตัวเองคิดราวกับอ่านสคริปต์อยู่
〝ลืมไปรึเปล่าริน... ที่นี่ไม่ใช่ประเทศไทยหรือโลกใบเดิม แต่เป็นต่างโลกนะ... ผมมั่นใจเลยว่าเรื่องจริยธรรมกับค่านิยมต้องแตกต่างจากโลกเดิมแน่นอน 〞
〝เรื่องนั้นมัน...〞
รินพูดไม่ออกต่อความเป็นจริงที่พยายามลืม เลยทำให้ทั้งสามคนที่ฟังอยู่ก้มหน้าลงมองพื้นอย่างช่วยไม่ได้
〝แล้วถ้าผมเป็นกองอัศวินหล่ะก็... ผมคงไม่มีวันเสี่ยงเอาคนจำนวนมากลงไปช่วยคนไร้ประโยชน์ที่สเตตัสน้อยที่สุดในกลุ่มผู้กล้าแค่คนเดียวหรอก 〞
〝ชาญ... พูดแบบนั้นเกินไปหน่อยรึเปล่า 〞
〝ขอโทษที... แต่ผมไม่อยากเสียเวลาพูดอ้อมค้อม 〞
อลิซพูดแทรกออกมาแบบนั้นทันที ที่กรถูกสบประมาท ถึงจะเป็นเพื่อนสนิท... แต่คำพูดแบบนั้นมันแรงเกินไป ชาญแค่ไม่อยากเสียเวลา ถึงได้ใช้คำพูดที่สื่อให้เห็นภาพไวที่สุดเท่านั้น อลิซเองก็รู้ดี... แต่โกรธยังไงมันก็โกรธนั่นแหล่ะ อลิซถึงไม่ได้ยับยั้งตัวเอง
〝เพราะงั้นทางเดียวที่เหลืออยู่ก็คือ... การออกตามหากรด้วยตัวเองยังไงหล่ะ! 〞
รินที่ก้มหน้าอยู่ตลอดเงยหน้าขึ้นมาราวกับติดสปริง เพื่อฟังความเป็นไปได้ที่จะช่วยเหลือกร ชาญจึงพูดต่อในทันที
〝ตอนนี้เราอยู่ในต่างโลก... ไม่มีความน่าเชื่อถือซักนิด จะขอความร่วมมือกับใครก็ไม่ได้... 〞
〝 เพราะงั้น... เลยต้องสร้างความน่าเชื่อถือและความไว้เนื้อเชื่อใจกับอาณาจักร... ในขณะเดียวกันก็เพิ่มความแข็งแกร่ง เพื่อตามหากรให้ได้เร็วที่สุดงั้นสิ 〞
〝ใช่แล้ว... แถมพอมีชื่อเสียง ก็ยังสามารถหาข่าวสารจากหลายๆแหล่งเพื่อร่นระยะเวลาได้อีกมากด้วย 〞
โชตเป็นคนขยายความให้กับชาญพลางขยับมือขวามาเท้าคางในท่านั่ง ชาญที่พยักหน้าตอบก็อธิบายเสริมไปอีก นั่นเลยทำให้เป้าหมายของทั้งสี่คนชัดเจนขึ้นเป็นรูปร่างเสียที
〝แต่แบบนั้นมันจะใช้เวลาเยอะเกินไปรึเปล่า 〞
〝คิดว่าคงไม่ขนาดนั้นหรอก... ผมเชื่อว่ายังไงกรต้องอยู่รอดจนกว่าจะเจอเราแน่นอน... เพราะถ้าหมอนั่นไม่คิดว่าตัวเองจะรอดจากดันเจี้ยนนั่นได้ หมอนั่นคงไม่ทำเรื่องเสี่ยงตายขนาดนี้หรอก... มั้งนะ! 〞
〝ไม่มั่นใจเหมือนกันสินะ...〞
〝ก็นิดนึงแหล่ะน่า〞
อลิซถามออกมาด้วยความร้อนรน เพราะอยากใช้เวลาที่สั้นที่สุดในการตามหากร พอชาญอธิบายให้ฟังก็โดนเหน็บแนมโดยโชตอีก
〝ถ้างั้นก็ตกลงตามนี้... เป้าหมายอันดับหนึ่งของเราในตอนนี้ก็คือ การออกตามหากร... โดยก่อนอื่นคือต้องสร้างผลงานกับอาณาจักร เพื่อให้ได้สิทธิในการเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร... บางทีนี่คงจะเป็นแผนระยะยาวพอสมควรหล่ะนะ... เพราะงั้นหลังจากที่กองอัศวินจัดงานศพให้กรแล้ว เราก็ควรเริ่มแผนทันที... 〞
〝ระยะยาวงั้นเหรอ? ว้า... ฉันจะอดทนรอถึงตอนนั้นไหวไหมน้า〞
〝หุหุ! อลิซนี่หล่ะก็... เพิ่งจะคิดแผนกันเองนะ... แต่ฉันเข้าใจอลิซนะ เพราะฉันเองก็อยากเจอกรเร็วๆเหมือนกัน...〞
〝ริน! งือ... อย่างน้อยเธอก็ยังอยู่ด้วย... ฉันหล่ะดีใจจริงๆ!!!!〞
บรรยากาศในการพูดคุยดูผ่อนคลายลง หลังจากตัดสินใจในสิ่งที่จะทำต่อจากนี้ได้แล้ว
จากการที่อลิซเปลี่ยนวิธีพูดจากลับมาเป็นปกติ และรินตอบกลับด้วยท่าทางสมเป็นกุลสตรี ยามหัวเราะก็ยกมือขึ้นมาป้องปากอย่างเรียบร้อย แถมพอตอบกลับคำพูดของอลิซไปแล้ว อลิซก็โผเข้าไปกอดรินที่นอนอยู่บนเตียงแทบจะทันที แต่คำพูดที่หลุดออกมาจากปากของโชตต่อจากนี้กลับทำให้ทั้งสองคนที่กำลังร่าเริงอยู่หยุดชะงักแทบจะทันทีเลยทีเดียว
〝ฮะฮะ! จะทนไม่ไหวก็ไม่แปลกไม่ใช่เหรอ... ก็ทั้งสองคนชอบกรขนาดนั้นนี่นา อุ๊บ!〞
〝〝!!!!〞〞
สาวๆสองคนที่กอดกันอยู่อย่างสนิทสนม หันสายตามายังโชติที่เผลอพูดสิ่งที่คิดออกไปโดยไม่ได้ตั้งใจพร้อมกัน
เพราะบรรยากาศตรงหน้าผ่อนคลายลง... เลยทำให้โล่งใจมากไปหน่อย โชตจึงรีบเอามือปิดปากตัวเองในทันที แต่หน้าเสียดายที่มันสายไปแล้ว เพราะคำพูดของเขาดังชัดแจ้งทั้งสองรูหู แถมชาญที่อยู่ด้วยก็ไม่ได้แสดงท่าทีตกใจซักนิด นั่นแสดงให้เห็นว่าชาญเองก็รู้เหมือนกันว่าทั้งสองคนชอบกรอยู่ นั่นเลยทำให้บทสนทนาวกกลับมายังเรื่องของกรอีกครั้งนึง
〝มะ มะมะ หมายความว่ายังไง.... ทะ ทำไมถึงได้รู้หล่ะโชต〞
〝นะ... นั่นสิ ฉันจำไม่เห็นได้เลยว่าเคยปากโป้งบอกพวกนาย....〞
เมื่อความลับถูกแพร่งพราย การเค้นปากคำจึงเริ่มคิด พอมาถึงตรงนี้ชาญที่เงียบมาตลอดก็ทนเห็นโชตอยู่ในสภาพจนมุมไม่ไหว เลยร่วมการสนทนาอีกครั้ง
〝บอกตรงๆนะ... รุกใส่กรขนาดนั้น... ถ้าผมเป็นหมอนั่นผมก็ดูออกแหล่ะ〞
〝〝วะ ว่าไงนะ!!!!〞〞
〝มะ มันง่ายกว่านั้นอีกน่าชาญ... ก็ยัยพวกนี้ไม่เห็นจะชายตามองผู้ชายคนอื่นเลยนี่นา... เวลามีคนมาสารภาพรักก็ปฏิเสธตลอด... จะดูยังไงมันก็... นะ!〞
〝อึก!!〞
〝เรื่องนั้นมันก็....〞
ทั้งรินและอลิซต่างก็ต้องตกตะลึง เพราะมาคิดดูแล้ว มันก็ดูออกง่ายขนาดนั้นจริงๆนั่นแหล่ะ เลยทำให้ทั้งสองคนเบือนหน้าหลบชาญและโชตที่พูดแทงใจดำแบบนั้นด้วยความเขินอายอย่างน่ารักน่าชัง
〝แล้วก็อลิซ.... เธอหน่ะ ยังมีเรื่องที่ไม่ได้บอกทุกคนอยู่ไม่ใช่เหรอ? ...เรื่องของเธอกับกรหน่ะ?〞
〝หา!!!?〞
และด้วยความสามารถของชาญ ที่พูดเรื่องคลุมเครืออย่างที่ว่าไป เลยทำให้คราวนี้ทุกคนมุ่งจุดสนใจไปยังอลิซแทน และดูเหมือนอลิซเองก็เข้าใจได้ในทันทีว่าชาญหมายถึงเรื่องอะไร เธอเลยพยายามทำท่าเป็นไม่รู้ไม่ชี้ แต่การกางมือโบกไปมามันไม่ได้ช่วยอะไร แถมยังเป็นการเพิ่มพิรุธให้ตัวเองจนรินและโชตสงสัยเพิ่มขึ้นไปอีก
〝เรื่องอะไรกันเหรออลิซ.... 〞
〝เดี๋ยวๆ ทำไมฉันไม่เห็นรู้เรื่องเลยหล่ะ... เล่ามาให้หมดเปลือกเลยนะยัยนี่!〞
〝ทะ ทั้งสองคนก็เป็นไปด้วยเหรอเนี่ย! วะ ว่าแต่เรื่องนี้มันไม่เห็นจะเกี่ยวเลยนี่ชาญ!!!〞
〝เกี่ยวสิ... ต่อจากนี้เราต้องออกเดินทางในฐานะพวกพ้องร่วมเป็นร่วมตายนา... ถ้ามีความลับปิดบังกัน จะทำให้ความเชื่อใจแย่ลงในตอนหลัง เพราะงั้น... ถ้าไม่รีบเล่าหล่ะก็... เดี๋ยวผมแฉเองนะ 〞
〝นะนะนะ นายนี่มัน!!!!!!!!!〞
เมื่อเป็นไปดังที่ว่า อลิซก็ถูกรินและโชตยื่นหน้าเข้ามาใกล้ด้วยความสงสัย พร้อมทั้งถูกกดดันจากชาญอีก จนเธอถึงกับถอนหายใจออกมาดังๆ เพราะยอมแพ้ทั้งสามคน แล้วเริ่มเล่าความจริงออกมาทันที แต่ก่อนหน้าจะเล่าอลิซก็เอานิ้วชี้ทั้งสองข้างมาม้วนกันไปมา พร้อมกับทำหน้าแดงแจ๋ก่อนเล่า นั่นยิ่งสร้างพิรุธเข้าไปใหญ่ แต่ก็สมควรแล้ว เพราะสิ่งที่ออกจากปากอลิซนั่นก็คือ...
〝ยอมแล้วๆ กะ ก็ได้น่า.... คือว่า... เอ่อ! จะ จริงๆแล้ว... ตอน ม.3 หน่ะ... ฉันกับกร เคย.... คบกันมาก่อนแล้วหน่ะ….〞
〝〝เอ๋!!!!〞 〞
ทั้งรินและโชตที่ไม่รู้เรื่อง ทำได้แค่อ้าปากค้างกับคำตอบของอลิซที่พูดแบบนั้นในขณะที่บิดตัวไปมาด้วยความอาย ก่อนที่จะเริ่มเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ทุกคนฟัง
❖❖❖❖❖
นั่นเป็นช่วงหลังจากที่กรเสียพ่อแม่ไปจากอุบัติเหตุ 1 ปี เป็นช่วงที่กรเพิ่งกลับมาเรียนตามปกติเพราะการบังคับหลายต่อหลายครั้งของเพื่อนสนิททั้ง 4 ซึ่งอลิซก็คือหนึ่งในนั้นเช่นกัน
ไม่ใช่แค่รินเท่านั้นที่แอบมีใจให้กรตั้งแต่สมัยเด็ก... อลิซที่เข้ากลุ่มมาหลังจากโชตเองก็ได้แอบชื่นชมวีรกรรมของกรในตอนเด็ก และมองแผ่นหลังของเขามาโดยตลอด โดยหวังว่าซักวันจะเป็นคนที่สุดยอดพอที่จะอยู่เคียงข้างเขาได้
เหมือนกับริน... ความรู้สึกของเธอชัดเจนขึ้น เมื่อตอนที่กรเก็บตัวอยู่ในบ้านของตัวเอง... ตอนนั้นเธอคิดเพียงอย่างเดียวว่า อยากจะช่วยกรให้กลับมาเป็นเหมือนเดิม... ให้เขากลับมาเจิดจ้าในฐานะของหัวหน้ากลุ่ม เพื่อเดินตามแผ่นหลังไปเคียงข้างเขาอีกครั้ง
หลังจากเหตุการณ์กลับมาเป็นปกติ... เธอเริ่มรู้สึกได้ว่าตัวเองเปลี่ยนไปนิดหน่อย... นั่นคือความสนิทสนมกว่า 7 ปีระหว่างเธอกับกร มันร่นระยะเข้ามาเรื่อยๆ จนเธอเริ่มรู้สึกหวั่นไหว
มันก็เหมือนกับเพื่อนสมัยเด็กที่เมื่อก่อนเคยอาบน้ำด้วยกัน... แต่พอโตมาแล้วกลับรู้สึกเก้อเขินนั่นแหล่ะ... เพราะว่าทั้งคู่ต่างก็โตเป็นหนุ่มสาว... เลยทำให้บรรยากาศและความรู้สึกเปลี่ยนไป และด้วยความรู้สึกทับถมที่อยากอยู่เคียงข้างกรมาตั้งแต่เด็กๆ มันเปลี่ยนไป... จากในฐานะเพื่อนสนิท ได้ถูกเปลี่ยนเป็นความรักโดยที่เธอไม่รู้ตัว
ในช่วงก่อนจะปิดเทอม 2 เธอตัดสินใจปลดปล่อยอารมณ์ที่อัดอั้นมานานนี้ ด้วยการสารภาพรักกับกร ในครั้งนั้นกรนั้นบอกว่าดีใจสุดๆ แต่กลับทำหน้าเศร้ากลับมาแทน... ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่อลิซในตอนนั้นไม่เข้าใจ แต่อย่างน้อยคำขอของเธอก็สมหวัง เพราะกรตอบรับคำสารภาพกับเธอแทบจะทันที แล้วอลิซกับกร ก็เริ่มคบหากันตั้งแต่ตอนนั้น…
แต่เพียงแค่สามเดือนเท่านั้น.... วันหนึ่งในช่วงปิดเทอมหน้าร้อน กรได้พูดขึ้นมาว่า〝จะคบกันรึเปล่า... ฉันว่ามันไม่เห็นจะสำคัญเลยนี่〞ตอนนั้นอลิซสับสนไปหมด ได้แต่ถามกลับไปว่า〝นั่นหมายความว่านาย... ไม่ได้รักฉันแล้วงั้นเหรอ?〞เพียงเท่านั้น
ไม่รู้ว่าอะไรคืออะไร แต่ก็เข้าใจได้ว่านั่นหมายความว่ายังไง... หลังจากนั้นความจำมันค่อนข้างเลือนลาง เพราะอยากจะลืม... แต่หากเพ่งความคิดดีๆเธอก็จะจำได้ขึ้นมา
ตอนที่เราคบกัน... ฉันว่ามันก็ไม่ได้แตกต่างจากที่เป็นเพื่อนสนิทกันเลยนี่... ไปซื้อของด้วยกัน... ไปเที่ยวด้วยกัน... เดินเล่น... ส่งเธอกลับบ้าน... ที่เปลี่ยนไปมันมีแค่สถานะเท่านั้น...
เมื่อมองจากบุคคลที่สนิทกันอย่างรินและโชต ทั้งสองคนที่คบกันไปแล้ว ไม่ได้ทำอะไรเกินไปกว่าที่เคยเลยซักนิด เพราะงั้นความสัมพันธ์แบบไหน สำหรับพวกเรามันก็ไม่เห็นเกี่ยวเลยนี่นา...
กรต้องการจะสื่อว่าอย่างงั้น…
แต่ดูเหมือนว่าสิ่งที่กรต้องการจะสื่อไปถึงอลิซมันผิดไปหน่อย เลยทำให้อลิซเข้าใจผิดเต็มๆว่านั่นเป็นการบอกเลิก... ซึ่งมันก็ไม่ผิดเสียทีเดียว หากจะผิด ก็คงเป็นปัญหาเรื่องความรู้สึกเสียมากกว่า... แถมความรู้สึกจริงๆของกรนั่น เธอเองก็เพิ่งจะรู้เมื่อตอนขึ้น ม.ปลายอีก เรื่องที่ค้างคาใจมาตลอดเลยทำให้เธอโล่งอกขึ้น พร้อมกับสามารถคงความเป็นเพื่อนสนิทกับกรได้เหมือนเดิม... หรือบางทีอาจจะมากกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ
〝ทำไมกัน? กรบอกเลิกอลิซจริงๆงั้นเหรอ...〞
〝อืม... มันก็ไม่ใช่แบบนั้นซะทีเดียวนะริน〞
รินถามข้อสงสัยออกมาทันทีด้วยน้ำเสียงปนความไม่พอใจ ตัวเอง ทั้งที่ใจความสำคัญของเรื่องยังไม่ได้เปิดเผย อลิซเลยอ้ำอึ้งนิดหน่อย เพราะคิดว่ากรหักอกเพื่อนสนิทของตัวเอง ทั้งที่เธอรักกรเหมือนกันจึงควรจะรู้สึกอิจฉาอลิซแท้ๆ แสดงให้เห็นว่ารินที่ให้ความสำคัญกับเรื่องของสองคนมากกว่าความรู้สึกของตัวเอง เป็นเด็กดีมากจริงๆที่คิดเรื่องของคนอื่นก่อนตัวเอง
〝แล้วไม่โกรธรึไงอลิซ?〞
〝หืม... ก็ไม่ได้โกรธอะไรขนาดนั้นหรอก ตอนนั้นฉันก็แค่ชกท้องหมอนั่นจนกองกับพื้น แล้วก็วิ่งหนีไปทั้งน้ำตาเอง〞
〝อึก! อย่าพูดแบบนั้นออกมาทั้งที่ยังยิ้มอยู่สิฟ่ะ!〞
อลิซกำหมัดแน่นในจังหวะที่ตอบคำถามของโชต พร้อมกับยืนขึ้นจากเก้าอี้แล้วทำท่าต่อยลมให้ทุกคนดูอย่างแข็งขัน
〝แต่ฉันไม่ได้โกรธหมอนั่นจริงๆนะ〞
〝เอ๋!〞
〝เพราะเรื่องหลังจากนั้นสินะ...〞
〝อืม... ว่าแต่... นายแอบดูอยู่รึไงถึงรู้หน่ะ〞
〝ก็ไม่รู้สินะ〞
อลิซบอกความรู้สึกของตัวเองอีกครั้งหลังต่อยลมจบ แล้วกลับมานั่งเก้าอี้ เลยทำให้รินแปลกใจนิดหน่อย ชาญที่พูดเสริมราวกับรู้เหตุการณ์ทั้งหมด ก็ถูกอลิซตบมุขอีกจนได้
〝คือหลังจากนั้น... หมอนั่นมาขอขมาฉันอีกครั้งหน่ะ... ก็เลยได้ปรับความเข้าใจแล้วก็คุยกันดีๆ ได้อีกครั้ง... 〞
〝เหเห๋!——— เหวอ ทำไรฟ่ะ!!〞
〝เงียบน่า!!!〞
อลิซถูกโชตแซวอีกครั้ง ด้วยสีหน้ากวนบาทา อลิซเลยเตะไปที่ขาเก้าอี้จนโชตเกือบเสียหลัก ก่อนที่จะเล่าต่อ…
ตอนนั้นอลิซถามกรเป็นครั้งที่สองว่า〝นายไม่ได้รักฉันแล้วเหรอ?〞เหมือนกับครั้งที่ทั้งสองเลิกคบกัน แล้วกรก็ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงและใบหน้าจริงจังแบบสุดๆว่า... 〝บนโลกนี้เหลือคนที่ฉันรักที่สุดอยู่แค่สี่คน นั่นก็คือพวกเธอ... ไม่ว่าจะเมื่อไหร่ ฉันก็รักพวกเธอที่สุดในโลกเลยหล่ะ...〞
อลิซเบิกตาโพลงที่ได้ยินคำตอบออกมาแบบนั้น... เธอเลยถามกลับไปอีกว่า〝ถ้างั้น... ทำไม... ถึงเลิกหล่ะ?〞 แล้วคำตอบที่ได้กลับมาก็คือ…
〝ฉันในตอนนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว.... พอได้คบกับเธอ มันยิ่งทำให้รู้สึกตัวว่า ตัวฉันรักพวกเธอมากขนาดไหน... เพราะงั้นแหล่ะ ฉันถึงให้อภัยตัวเองไม่ได้... ถ้ารักกันแล้วอยู่ด้วยกันได้มันก็คงจะดีหรอก... แต่ฉันในตอนนี้หน่ะ... ทำให้เธอมีความสุขไม่ได้หรอก... ตัวฉันในตอนนี้ทำให้พวกเธอมีความสุขไม่ได้... เพราะงั้น... ต่อให้รักพวกเธอมากขนาดไหน... แต่ก็... ทำแบบนั้นไม่ได้... ฉันยอมให้คนที่ฉันรักที่สุดในโลกมากุมมือของคนที่ว่างเปล่าและไร้อนาคตแบบนี้ไม่ได้เด็ดขาด!!! 〞
.
.
.
〝เพราะงั้นเลยไม่โกรธหล่ะสินะ....〞
ชาญถามแบบนั้นออกมาเพื่อยืนยันความรู้สึกของอลิซที่ก้มหน้าลงเล็กน้อย
〝หมอนั่นพูดแบบนั้นออกมา... ใครมันจะไปโกรธลงกันเล่า! แถมยัง...〞
〝ฮั่นแน่! รักยิ่งกว่าเดิมอีกหล่ะสิ!——— อ๊อก!!!!〞
อลิซพูดออกมาด้วยเสียงที่ดูเก้อเขินและบิดตัวไปมาพร้อมกับหน้าแดงเล็กน้อย โชตที่พูดล้อเล่นออกมาอย่างไม่รู้กาลเทศะเลยถูกอลิซประเคนหมัดเข้าที่ท้องเพื่อแก้เขินอย่างเลี่ยงไม่ได้ ก่อนที่จะกลับมานั่งเก้าอี้เหมือนเดิม
〝กรเค้า... คิดถึงเรื่องของเราขนาดนั้นเลยสินะ...〞
〝ใช่เลยหล่ะ... คิดมากไปด้วยซ้ำ.... ทั้งๆที่ฉันหน่ะ... หวังแค่ได้อยู่ด้วยกันกับหมอนั่นเองแท้ๆ〞
รินถามย้ำอลิซที่ยังคงนั่งเหม่อเพราะหวนนึกถึงเวลาในตอนนั้นอีกครั้ง
〝ไม่ใช่แบบนั้นซักหน่อย... นายนั่นแหล่ะที่สุดยอดกว่าใคร ฉันที่มองตามแผ่นหลังของนายมาตลอดรู้เรื่องนี้ดีที่สุด!!!〞เธออยากจะตอบกรกลับไปว่าอย่างงั้น... แต่เพราะคิดว่าคำพูดของตัวเองคงสื่อไปไม่ถึง ด้วยระยะห่างที่กรบอก... ยิ่งรักก็ยิ่งทำให้กรเจ็บปวด เธอเลยเลือกที่จะไม่พูด แล้วเก็บความคิดแบบนั้นไว้คนเดียว
จากนั้นอลิซก็ปรับอารมณ์ตัวเองโดยการส่ายหน้าไปมาหลายๆครั้ง ก่อนที่จะเริ่มพูดกับรินอีกครั้งในเชิงท้าทายเพื่อนสนิทสาวที่เธอสนิทที่สุดคนนี้
〝เฮ้อ! แต่จะว่าไปแล้ว... ถึงจะรู้อยู่บ้างก็เถอะนะ... แต่พอรู้เข้าจริงๆก็อดร้อนใจไม่ได้เลยหล่ะนะ... ที่เธอกลายมาเป็นคู่แข่งหน่ะริน!〞
〝เอ๋!〞
รินตกตะลึงอีกครั้ง หลังจากที่ถูกท้าทางอ้อม เพราะสำหรับอลิซ รินเป็นเพื่อนสมัยเด็กของกรมานานที่สุด ทั้งยังเป็นผู้หญิง แถมยังน่ารักมากอีกก็เลยค่อนข้างหวั่นๆ
นั่นเลยทำให้รินพูดไม่ออกไปชั่วขณะและทำได้แค่อ้าปากพะงาบๆ ตอบกลับไปเพียงเท่านั้น แต่พอคิดว่าไม่อยากแพ้ขึ้นมาพริบตานึง ไฟในตัวของรินก็ลุกโชนทันที เธอจึงทำการโต้ตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงจริงจังไม่สมนิสัยขี้อายของตัวเอง
〝อะ อลิซเองก็เหมือนกันนั่นแหล่ะ! ขี้โกงนี่นา... แอบคบกับกรไปก่อนแล้วหน่ะ!!!〞
〝โอ๊ะโอ๋! รินที่ขี้อายคนนั้นเถียงกลับด้วยแฮะ ความรักเนี่ยน่ากลัวจริงๆ〞
〝งือ! อลิซอ่ะขี้โกง!〞
รินที่ทำแก้มป่องอย่างน่ารัก กับอลิซที่ยิ้มออกมาอย่างร่าเริงหันหน้าเข้าหากัน แล้วก็ทำการต่อล้อต่อเถียงกัน ด้วยน้ำเสียงกึ่งเล่นกึ่งจริงด้วยความสนิทสนม
〝ริน... ฉันหน่ะไม่คิดจะยอมแพ้เรื่องกรซักนิด... ก็ชอบไปแล้วนี่นา... ยังไงก็ไม่ยอมแพ้เด็ดขาด〞
〝อลิซ...〞
〝แต่ว่า... เรื่องตอนนั้นมันเป็นอดีตไปแล้ว... เรื่องที่ฉันคบกับหมอนั่นก็เหมือนถูกรีเซ็ทนั่นแหล่ะ... เพราะงั้นก็...〞
〝!!!!!〞
อลิซยื่นมือข้างขวาออกมาข้างๆรินที่นอนอยู่บนเตียงอย่างกะทันหันอีกครั้ง เลยทำให้รินตะลึงเป็นครั้งที่สามแสนแปดของวัน
〝เริ่มจากหนึ่งด้วยกันใหม่... มาแข่งกันอย่างยุติธรรมดีกว่านะริน...〞
〝อลิซ.......... อื้ม! เข้าใจแล้ว มาแข่งกันอย่างยุติธรรม...〞
หมับ!
รินยื่นมาขวาของตัวเองไปจับมือขวาของรินทันที เพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งมิตรภาพลูกผู้หญิง ในสงครามความรักที่มีเป้าหมายเป็นชายคนเดียวกัน
〝แต่ฉันหน่ะไม่ออมมือหรอกนะริน... เตรียมใจไว้ได้เลย〞
〝ฉะ ฉันก็ด้วย!!! ฉันเองก็ไม่ออมมือเหมือนกัน〞
〝ร่าเริงกันจริงน้าทั้งสองคน〞
〝เอาเถอะๆ ดูท่าตอนที่หัวหน้าเรากลับมา... คงต้องป่วนกันอีกแหงแซะเลย〞
ทั้งสี่คนผ่อนคลายลงทีนที หลังการเชื่อมสัมพันธ์และประกาศตัวเป็นคู่แข่งความรักจบลง หลังจากหยอกล้อกันด้วยคำพูด ทั้งสี่คนก็หัวเราะออกมาพร้อมกันด้วยเสียงดังลั่น เสียจนข้างนอกหนวกหูเลยทีเดียว....
หลังจากกองทหารของฮันซี่กลับมาจากภารกิจค้นหาตัวกรที่ถูกวาร์ปเข้าไปในมหาดันเจี้ยนโบราณ ก็ผ่านมาแล้วถึงหนึ่งสัปดาห์ ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่กรชนะทศกัณฑ์และเคลียร์ดันเจี้ยนสุดหฤโหดได้พอดิบพอดี... หากปล่อยไว้นานนักเรียนผู้กล้าทุกคนจะยิ่งระสับระส่าย ดังนั้นพอทุกอย่างเข้าที่เข้าทาง ฮันซี่จึงเรียกรวมตัวทุกคนแล้วประกาศเรื่องที่กรเสียชีวิตไปแล้วในดันเจี้ยนอย่างเป็นทางการในทันที และแน่นอนว่านั่นทำให้ทุกคนช็อคมาก แต่ไม่ได้หมายความถึงว่าตกตะลึงเมื่อเพื่อนร่วมโรงเรียนอย่างกรตาย เพราะนักเรียนส่วนใหญ่ไม่ได้ชอบกรมากนัก... แต่เป็นความตกตะลึงจากการที่มีคนตายจากอุบัติเหตุในการฝึก ทำให้ตระหนักได้ว่าตอนนี้ตัวเองไม่ได้อยู่ในโลกที่สงบสุขอีกต่อไปแล้ว และกำลังถูกฝึกเพื่อเป็นทหารไปสู้รบกับเผ่าอื่น เนื่องจากนั่นเป็นทางเดียวที่จะได้กลับบ้าน แถมนั่นยังเป็นแค่เรื่องแต่งของพระราชาอีกต่างหาก นั่นจึงทำให้ทุกคนหดหู่ไปนานมากเลยทีเดียว แต่ฮันซี่ก็ไม่ใจร้ายไส้ระกำขนาดที่จะบังคับนักเรียนที่ไม่มีกระจิตกระใจฝึก เขาจึงปล่อยให้ทุกคนจัดการความคิดของตัวเองอยู่นานพอสมควร จนกว่าที่งานศพของกรจะจบลง...❖
ในชั้นลึกสุดของดันเจี้ยนใต้ชั้นที่ 100... มันคือพื้นที่กว้าง มีลักษณะเป็นป่าโปร่ง ที่มีต้นไม้น้อยใหญ่สีเขียวขจีเรียงรายกันอยู่นับไม่ถ้วน มีแม่น้ำ ลำคลองเล็กใหญ่แซมอยู่ระหว่างทาง ลึกเข้าไปอีกพอประมาณก็จะพบเข้ากับรั้วของคฤหาสน์หลังใหญ่ ถูกล้อมรอบไปด้วยป่าโปร่งรอบด้านราวกับใช้แทนป้อมปราการ ถัดจากรั้วเข้าไป มันคือสวนหย่อมที่ถูกประดับด้วยดอกไม้นานาชนิด และสิ่งปลูกสร้างมากมายไม่ว่าจะเป็นน้ำพุ รูปปั้น หรือมีแม้กระทั่งโต๊ะน้ำชากลางแจ้งที่มีม่านจากต้นไม้บดบังแสงอาทิตย์ดูร่มรื่นไม่ใช่น้อย และลึกเข้าไปอีกในคฤหาสน์ ทางเดินถูกปูด้วยพรมสีแดงราวกับพระราชวัง มีโคมระย้าแขวนห่างกันเป็นช่วงๆ และไม่ดูรกเกินไป อีกฝั่งหนึ่งคือกระจกบานยักษ์ที่ใช้มองดูวิวนอกคฤหาสน์ ส่วนอีกฝั่งหนึ่งมีประตูห้องต่างๆ เรียงเป็นแนวยาวตามปกติ ราวกับห้องเรียนที่อยู่ชิดติดระเบียงยังไงอย่างงั้น จนถึงสุดทางเดิน มีประตูของห้องๆหนึ่ง เปิดแง้มออกมา โดยมีแสงอาทิตย์ยามเช้าเล็ดรอดออกมาพร้อมกัน ภายในนั้นได้รับการตกแต่งอย่างโอ่อ่า ไม่ว่าจะโคมระย้าสีทองอร่ามที่แขวนอยู่กลางห้อง หรือว่าจะเป็นพวกเครื่องเรือ
หลังจากที่กรสามารถเคลียร์หนึ่งในมหาดันเจี้ยนโบราณ ที่มีระดับความยากสูงที่สุดในโลกได้สำเร็จ กรจึงได้รับรู้ถึงความจริงของโลก.... ไม่สิ ของจักรวาลจากปากของผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์โดยตรงซึ่งก็คือฟรังซ์ ออลเดลที่เป็นดันเจี้ยนมาสเตอร์ของมหาดันเจี้ยนแห่งนี้ จอมมารยังคงมีชีวิตอยู่ และถูกผนึกไว้เท่านั้น แถมผนึกที่ว่ายังอยู่ได้อย่างน้อยอีกแค่ 6 เดือน... นั่นคือ ความเป็นจริงที่น่าหวาดหวั่น... พลังของจอมมารนั้น มีมากมายมหาศาลถึงขนาดที่ว่าทำให้ดวงดาวหลายสิบดวงแตกสลาย รวมถึงยังทำให้ดาวของพวกเทพล่มสลายลงได้อีก... แทบจะไม่ต้องคิด... เมื่ออยู่ในสถานการณ์ดังกล่าว กรจึงตัดสินใจที่จะปกป้องสิ่งสำคัญที่อยู่ในมือก่อนเหนือสิ่งอื่นใด และตัดสินใจเป็นคนรับหน้าเพื่อปราบจอมมารในทันที เพราะหากไม่เป็นเช่นนั้น ทุกอย่างที่สำคัญรวมถึงจักรวาลแห่งนี้ คงจะล่มสลายลงด้วยน้ำมือของจอมมารเป็นแน่.......ผั๊ว! ผั๊ว! ผั๊ว! ผั๊ว!——————— เสียงแปลกๆที่เกิดจากวัตถุบางอย่างกระทบกัน ดังขึ้นอย่างต่อเนื่องมาจากชั้นใต้ดินของคฤหาสน์หลังใหญ่ที่ตั้งอยู่ใจกลางชั้นที่ 101 ซึ่งเป็นอยู่พักอาศัยข
〝『ค่าสิทธ์』 เหรอ?〞 พอกรเลื่อนหน้าต่างที่ดูน่าสงสัยนี้มาอยู่ตรงกลางทัศนวิสัย เมอร์ลินที่มองเห็นได้อย่างชัดเจนเพราะถูกเลื่อนมาอยู่ในขอบเขตที่เธอมองเห็นได้ จึงถามออกมาด้วยความสงสัยเช่นกัน แล้วไม่รอช้า... กรรวมถึงมีอาและเมอร์ลิน... แม้แต่เคลเบรอสและฟรังซ์ที่ยื่นหน้าเข้ามาดูจากทางด้านหลังเองก็ทำการอ่านรายละเอียดที่เขียนอยู่บนหน้าต่างนี้ในทันทีเช่นกัน... หน้าต่างค่าสิทธ์1 - ???????????2 - ?????, ดาวเคราะห์3 - พระเจ้า ดันเจี้ยนมาสเตอร์ มอนสเตอร์และบอสในดันเจี้ยน (ระดับ SS ขึ้นไป)4 – เผ่าเทพเจ้าและตัวตนระดับสูง (เช่น เทพตกสวรรค์ วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ปีศาจ)5 – มอนสเตอร์ในดันเจี้ยน (ระดับ A ขึ้นไป แต่ไม่ถึงระดับ SS)6 - มอนสเตอร์และบอสนอกดันเจี้ยนทั้งหมด (ระดับ A ลงไป)7 - ผู้ปกครองแผ่นดิน8 - สิ่งมีชีวิตทรงปัญญาทุกประเภท9 – ทาสและสิ่งมีชีวิตไร้สติปัญญา*หมายเหตุ : การตั้งค่าทุกอย่าง ถูกขยายขอบเขตให้สามารถตั้งค่าบุคคลอื่นในแบบเดียวกับที่ตั้งค่าให้กับตัวเองได้ทุกอย่างปล. สีเขียว คือ กลุ่มที่มีค่าสิทธิ์ต่ำกว่าผู้ใช้ เป็นกลุ่มที่สามารถตั้งค่าได้ทุกอย่าง
เรื่องราวของแม่ทัพคนที่ 7 งั้นเหรอ?จะว่าไปแล้ว เรื่องที่ฟรังซ์ ออลเดลเล่าครั้งแรกนั่นก็มีกล่าวถึงเหมือนกันนี่... ถึงจะพูดถึงแค่ครั้งเดียวเองก็เถอะถ้าจำไม่ผิด... เจ้านั่นบอกว่าแม่ทัพที่สู้กับจอมมารหน่ะมี 7 คน แล้วต่อมา 6 ใน 7 คน ได้กลายเป็นมหานักปราชญ์....เราเองก็คาใจมาตลอดว่าอีกคนนึงคือใคร... เพราะจาก 6 คน ก็มีพระเจ้าคนนึง กับดันเจี้ยนมาสเตอร์อีก 5...เราเองก็หาหนังสือแบบเดียวกันมาตลอด แต่ไม่มีถูกกล่าวถึงเลยซักนิด เหมือนกับมีคนจงใจลบข้อมูลส่วนนั้นออกไปเลย...แต่ถือวิสาสะเอามาอ่านเองแบบนี้นี่ ยัยนั่น.... เมอร์ลินจะโกรธรึเปล่าเนี่ย... แถมในส่วนลึกของจิตใจ เรากลับรู้สึกว่า ไม่ควรไปแตะต้องมันซะนี่... กรที่กำลังลังเล พยายามก้าวเท้าขวาเข้าไปข้างในห้องแต่ก็ต้องชักเท้ากลับออกมาเพราะรู้สึกผิดอยู่ในใจ แต่แล้วความอยากรู้อยากเห็นก็เข้าครอบงำอีกครั้งเขาจึงก้าวเท้าเข้าไปอีก แล้วพอมาคิดดูว่าเมอร์ลินจะรู้สึกยังไงที่โดนรุกล้ำเข้าพื้นที่ส่วนตัวโดยไม่ได้รับอนุญาติ กรก็ชักเท้าหนีอีกจนไม่ได้เข้าไปเสียที จนแม้จะผ่านไปถึง 5 นาทีเขาก็ยังคงทำแบบนั้นอยู่ด้านหน้าห้องของเมอร์ลิน จนกระทั่ง...〝ทำอะไร
——— 3 วันต่อมา กิจวัตรประจำวันเมื่ออยู่คฤหาสน์ของกรยังคงดำเนินต่อไป ด้วยตารางการฝึกของฟรังซ์เพื่อ『การเพิ่มขีดจำกัดด้วยออร่า』 ด้วยความสามารถในการเรียนรู้อย่างรวดเร็วของกร... บัดนี้เขาสามารถควบคุมจินตนาการได้จนเกือบสำเร็จแล้ว ซึ่งถือเป็นความก้าวหน้าอย่างดีเยี่ยมเลยทีเดียว ส่วนผลลัพธ์ที่เห็นได้ชัดเลยก็คือ....ฉั๊ว! ฉั๊ว! ฉั๊ว! ฉั๊ว! ฉั๊ว! ฉั๊ว! 〝อ้าว ๆ !!! คราวนี้ลองรับดาบข้าดูเจ้าหนู!〞 กรในตอนนี้กำลังต่อสู้กับวิชาดาบสุดร้ายกาจของเคลเบรอสในร่างลุงวัยกลางคนสวมชุดพ่อบ้านเช่นเคย สเต็ปการก้าวเท้าหลบของกรนั้นช่างลื่นไหลราวกับกำลังเต้นลีลาศด้วยการกระหน่ำโจมตีของเคลเบรอส แต่ด้วยความร้ายกาจของเคลเบรอสทำให้มีวิถีดาบจำนวนหนึ่งเล็ดรอดออกมาได้ กรจึงใช้มือปัดป้องออกอย่างง่ายดาบราวกับเป็นเพียงของเล่น กรที่อยู่ในชุดฝึกนั้นเรียกได้ว่าไร้อาวุธอย่างแท้จริง จะมีก็แต่ร่างกายที่ถูกคลุมด้วยออร่าสีขาวบริสุทธิ์เท่านั้น ที่ใช้แทนกันได้... แม้จะเป็นการต่อสู้แบบหนึ่งต่อหนึ่งก็ยังพอสูสีได้ เพียงแต่ว่า...ปั้ง! ปั้ง! ปั้ง! ปั้ง! ปั้ง! ปั้ง! 〖อย่าลืมว่าย
บทที่ 2 『 Basilius Kingdoms Crisis 』วิกฤตบาซีเลียส❖❖❖❖❖ครืด!——— ครืด!——— ครืด!——— ท่ามกลางความร่มรื่นของบรรยากาศยามบ่ายที่ไม่ร้อนเกินไปนักของถนนลูกรังสีน้ำตาลอ่อนซึ่งมีผืนหญ้ายาวสุดลูกหูลูกตาและมีไม้ยืนต้นขนาดปานกลางแซมอยู่เป็นพักๆ ได้มีเสียงของอะไรบางอย่างกำลังถูกลากไปตามทางของด้วยเสียงประหลาดๆแฮ่ก! แฮ่ก! แฮ่ก! เสียงหายใจหอบของคนที่เป็นต้นเสียงดังอย่างต่อเนื่องมาได้พักใหญ่ๆ... เมื่อโฟกัสไปยังต้นเหตุดังกล่าว ก็จะพบเข้ากับเด็กหนุ่มที่เป็นสาเหตุคนนั้นกำลังเดินลากเท้าไปตามพื้น แต่จะโทษเขาฝ่ายเดียวก็ไม่ได้ เพราะสาเหตุที่ทำให้เด็กหนุ่มเดินลำบากนั้นมาจากหญิงสาวที่กำลังเหนื่อยอ่อนเพราะเป็นลมแดด? ซึ่งเขากำลังแบกอยู่ด้านหลังต่างหาก เหงื่อของเด็กหนุ่มไหลลงมากองที่คอด้วยความร้อนจากทั้งแรงกดทับของหญิงสาวและความร้อนจากแสงอาทิตย์ เลยทำให้ความร้อนสะสมเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า ท่าทีของทั้งสองคนนั้นเหนื่อยอ่อนเกินกว่าจะเรียกว่ากำลังเดินทางเข้าเมือง เพราะใบหน้าทรมานของทั้งสองคนมันเหมือนกับกำลังเดินทางไปสู่นรกมากกว่า(ฮาๆ) แตกต่างจากเด็กสาวที่เดินอยู่ข้
หลังจากนั้น พวกกรก็นั่งรถม้าเข้าไปในเมืองชั้นในพร้อมกับคุณโรนี่ โดยใช้เวลาไม่นานก็ถึงที่หมาย… การตรวจตราเข้าสู่เมืองชั้นใน ดำเนินการโดยกองทหารฝ่ายตรวจการ เพราะเมืองชั้นในประกอบด้วยสถานที่ราชการเสียเป็นส่วนใหญ่ เลยต้องมีการคัดแยกคนที่รัดกุมมากกว่าปกติ แต่พวกกรก็ผ่านมาง่ายๆ เพราะเดินทางมากับคุณโรนี่ซึ่งเป็นที่รู้จักในย่านนี้ แล้วจากนั้นประมาณ 10 นาที พวกกรก็มาถึงย่านร้านค้าซึ่งมีลักษณะเป็นตึกแถว 3 ชั้นที่ดูดีมีระดับแห่งหนึ่ง โดยที่ทั้งสองข้างทางต่างก็เป็นร้านกระจก และถูกประดับด้วยของดีทั้งนั้น ทางสัญจรที่แม้จะเป็นซอยหลักเองยังถูกปูด้วยพื้นหินแกรนิตเป็นลายสับหว่างเหมือนกับอิฐอย่างดีและงดงาม แค่มองดูแวบแรกก็รู้แล้วว่าเป็นย่านร้านค้าของคนมีเงินใช้เหลือเฟือ แต่ดูเหมือนคนทั่วไปเองก็มาซื้อของที่นี่เหมือนกัน ด้วยเพราะกรมองเห็นคนแทบจะทุกประเภทสัญจรผ่านย่านการค้าแห่งนี้คับคั่งยิ่งกว่าตลาดเมื่อตอนเข้าเมืองเสียอีก รถม้ายังคงเคลื่อนตัวเข้าไปเรื่อยๆ... ในขณะเดียวกัน มีอาและเมอร์ลินที่ไม่ค่อยได้เห็นของพวกนี้เพราะอยู่แต่ในดันเจี้ยนมานานมาก ต่างก็มองผ่านหน้าต่างอ
———— 1 สัปดาห์ต่อมา ชั้นที่ 2 ของมหาดันเจี้ยน『หอคอยแห่งปัญญา』 ณ ดันเจี้ยนชั้นพิเศษ ซึ่งถูกสร้างโดยอาเธนต่อจากชั้นที่ 1 อันเป็นชั้นที่เอาไว้หลอกคนทั่วไป ถูกสร้างขึ้นเพื่อการฝึกฝนและเก็บเลเวลโดยเฉพาะ หากแต่ผู้ที่จะใช้มันได้นั้น มีเพียงแค่กลุ่มของผู้ที่ผ่านการทดสอบที่แท้จริงแล้วเท่านั้นถึงจะเข้ามาในนี้ได้ ที่แห่งนี้ถูกแบ่งออกเป็นสามเขต อันได้แก่ เขตที่พักอาศัย เขตใช้ฝึก『บัญญัติพันประการ』 และสุดท้ายคือเขตที่ใช้สำหรับเก็บเลเวล... หรือก็คือ เขตมอนสเตอร์ทรงภูมิปัญญานั่นเอง ในพื้นที่ของเขตที่สามถูกสร้างให้เป็นพื้นกระเบื้องและเพดานหน้าตัดเรียบส่องแสงสีเขียว (Lime) พื้นที่โดยรอบมีวัตถุโปร่งแสงรูปทรงเรขาคณิต ทั้งสามเลี่ยม สี่เหลี่ยมไปจนถึงรูปทรงหลายเหลี่ยมกระจัดกระจายเต็มไปหมดทำให้ยากแก่การเคลื่อนไหว แต่กลับกันแล้ว มันทำให้ง่ายต่อการดำเนินแผนที่ซับซ้อนและแยบยล และเขตที่สามนี้เอง ที่มีหญิงสาวทั้ง 4 คน อันได้แก่ มีอา ซาช่า เรเชลและริต้า กำลังต่อสู้กับมอนสเตอร์จำนวนเท่ากันอยู่ มอนสเตอร์ทั้งสี่ตัวที่เป็นศัตรู มีหนึ่งตัวที่สวมผ้าคลุมสีดำ มีส่วนหัวเป็น
〝 คุณโรนี่กับราชา... นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่เนี่ย 〞 กรถามออกไปแบบนั้น ในเวลาเดียวกับที่ใช้『รีดดิ้งอายส์』ตรวจสอบบุคคลทั้งสองตรงหน้า แล้วก็ยิ่งประหลาดใจเข้าไปใหญ่เมื่อพบว่าทั้งคู่เป็นตัวจริง...〝 ทำหน้าแบบนั้นคงจะรู้แล้วสินะว่าพวกข้าเป็นตัวจริง... 〞ราชาพูดแทงใจดำพลางยิ้มออกมา ทำให้กรคิ้วกระตุกเพราะคาดการณ์เรื่องตรงหน้าไม่ทัน ในขณะที่กรคิดแบบนั้น ราชาก็เดินเข้ามาทางกร แล้วก็ใช้เวทย์บางอย่างเปลี่ยนใบหน้าตัวเองเป็นคนอื่น ไม่สิ... เปลี่ยนจากคนอื่นกลับมาเป็นตนเองคนเดิมต่างหาก ซึ่งที่เปลี่ยนไปนั้นมีเพียงโครงหน้าเท่านั้น แต่ความสูงอายุและริ้วรอยนั้นแทบไม่ต่างจากเดิมเลย แล้วก็หันไปสบตากับเมอร์ลินเข้า นั่นทำให้เธอเลิกคิ้วขึ้นด้วยความประหลาดใจ...〝 นายมัน อาเธนงั้นเหรอ!!!? 〞เมอร์ลินที่เห็นใบหน้าจริงของชายชราตรงหน้าก็จำได้ทันทีพร้อมทั้งเรียกชื่อจริงของเขาออกมาอย่างสนิทสนม โดยมีสายตางงงวยจากสาวๆคนอื่น แต่พอรู้ว่าคนน่าสงสัยตรงหน้าเป็นคนรู้จักของเมอร์ลิน การ์ดของพวกเธอก็คลายลงพอสมควร〝 แหมๆ ในที่สุดก็จำได้ซักทีนะแม่คุณ... ข้าหล่ะเจ็บช้ำไม่น้อยเลยนะ ตรงที่เจ้าบ
หลังจากเรื่องเมื่อวานเคลียร์กันจบในตอนเย็น กรได้ทำการเพิ่มฟังก์ชั่นหลบหนีฉุกเฉินใส่บัตรนักผจญภัยของเจนนี่ไว้ก่อนด้วย เผื่อในกรณีที่เกิดอันตรายกับเธอ เธอสามารถใช้มันวาร์ปมาหากรได้ทุกเมื่อ รวมถึงพาคนรู้จักอย่างไมน์กับรีเบคก้ามาด้วยก็ยังได้ จากนั้นพวกกรกับพวกไมน์จึงได้แยกกันกลับที่พักของตัวเอง อนึ่ง เจนนี่ตอนนี้นั้นอยู่สถานะของคนชื่อ『เบลนด้า อัลบา』 รูปลักษณ์ภายนอกที่คนอื่นเห็น เป็นคนผิวสีแทน ใบหน้าปานกลางค่อนไปทางแย่(จากความเห็นส่วนใหญ่ในกลุ่มของกร) แต่นั่นก็เพื่อไม่ให้เธอเป็นจุดเด่น เพราะหากจะว่าไปแล้วเจนนี่ในร่างธรรมดานั้นจัดว่าเป็นคนสวยมากเลยทีเดียว และด้วยการใช้บัตรนักผจญภัยอ้างถึงตัวตน ก็สามารถเข้าพักที่เดียวกับพวกไมน์ได้ แต่เธอเลือกที่จะพักคนละห้องแทนเพื่อไม่ให้เกิดข้อสงสัย (แต่สุดท้ายตอนนอนก็ย้ายมานอนห้องเดียวกันอยู่ดี) ส่วนทางด้านของกร พอกลับไปพวกกรก็รีบทำธุระส่วนตัว แล้วเข้านอนในทันที เพื่อสะสมพลังงานให้เต็มอิ่มก่อนที่จะออกรบในดันเจี้ยน『หอคอยแห่งปัญญา』 และเพื่อความไม่ประมาทช่วงเช้าทั้งหมด กรและพรรคพวกจะใช้เวลาไปกับการตร
〝 ไง ทั้งสองคน 〞 ในขณะที่ทุกคนแสดงสีหน้าตกตะลึงยังกับเห็นผีออกมา เจนนี่ก็เริ่มเป็นฝ่ายทักไมน์และรีเบคก้าก่อนด้วยรอยยิ้มในทันที〝 เจนนี่!!! 〞〝 อุ๊ยตาย!? 〞 ไมน์ที่เห็นแบบนั้นไม่รอช้าที่จะพุ่งเข้าไปสวมกอดเจนนี่อย่างเร็ว นั่นเองก็ทำเจ้าตัวอย่างเจนนี่ตกใจไม่น้อยเหมือนกัน〝 เจนนี่! เจนนี่จริงๆใช่ไหมเนี่ย? ไม่ใช่ผีหรือตัวปลอมใช่ไหม!? 〞ไมน์พูดแล้วก็ลูบๆคลำๆเจนนี่ไปทั่ว ทำเอาร่างเธอสั่นนิดหน่อยเพราะจักกะจี๊เลยทีเดียว〝 ยัยบ๊อง! ก็จับตัวกันได้อยู่ไม่ใช่รึไง? แล้วฉันก็ยังจำได้อยู่เลยนะว่าตรงก้นของรีเบคก้ามีไฝอยู่ด้วยหน่ะ 〞 เจนนี่พูดแบบนั้นออกมา ทำให้รีเบคก้าออกอาการหน้าแดง แล้วก็พุ่งเข้ามาสับกะโหลกเจนนี่เหมือนกับที่ผ่านมา〝 ฮึ่ย! ไอ้นิสัยพูดไม่คิดนี่ตัวจริงชัวร์ 〞รีเบคก้าพูดแล้วก็ใช้กำปั้นหมุนๆใส่ศีรษะของเจนนี่〝 โอ้ยๆ! เจ็บอ่ะรีเบคก้า ออมมือให้หน่อยเซ่! 〞 ทั้งสามคนหยอกล้อกันไปมาแบบนั้น ราวกับต้องการจะซึมซับและฟื้นคืนบรรยากาศที่ถูกทำลายไปให้กลับมาเหมือนเดิม แม้จะยังเคลือบแคลงสงสัย แต่ความอบอุ่นของภาพที่อยู่ตรงหน้าก็ทำให้ทุกคนลืมหลายเรื่องที่คิดอ
หลังจากที่งีบหลับไปประมาณ 3 ชั่วโมง ความเหนื่อยล้าทางจิตใจก็ดูจะลดลงไปบ้างเอาจริงๆ ต่อให้ลุยต่อทั้งอย่างงี้ก็ไหวอยู่หรอก แต่แค่นี้ทุกคนก็เป็นห่วงมากพออยู่แล้ว เพราะงั้นทำตามที่ทุกคนแนะนำเป็นการดีที่สุดทางริต้าเองยังคงหลับอยู่เลยปล่อยให้หลับต่อไปก่อนโดยให้เรเชลดูแลอยู่ข้างๆส่วนทุกคนเองดูเหมือนว่าจะไม่ได้หลับเลยในระหว่างที่ฉันพักแต่ก็ต้องขอบคุณในจุดนั้น เพราะในช่วงที่ฉันไปเจรจากับราชา ฉันต้องการที่จะไปคนเดียว...ก็แหม... ฉันไม่อยากให้ทุกคนเห็นท่าทางแย่ๆเท่าไหร่นี่นา〝 เพราะทุกคนเฝ้าฉันมาตลอดคงจะเหนื่อยแย่ ฉันเลยอยากให้พวกเธอพักรอฉันอยู่ที่นี่หน่ะ 〞พูดแบบนั้นออกไปทุกคนก็ทำหน้าถมึงทึงใส่ และแน่นอนว่าทุกคนทำท่าอยากจะไปด้วยกันหมดเลยใช้เวลาเกลี้ยกล่อมตั้งนานกว่าจะยอม แต่ก็เพราะทุกคนเป็นห่วงเรานั่นแหล่ะนะ น่าดีใจแท้ๆแต่ทุกคนก็ไม่อยากตื้อให้เราจนกังวลเกินไปเหมือนกันเพราะงั้นแค่รับปากว่าจะไม่ฝืนฉันก็ขอตัวมาได้แล้วหล่ะนะแล้วจากนั้นก็วาร์ปมาที่เมืองหลวง ในซอกตึกที่นึงใกล้ๆกับทางเข้าพระราชวังโห... มองดูจากตรงนี้ยังเห็นรูที่เจ้าชายมันทำพังไว้อยู่เลย...เดี๋ยวไม่สิ... เราเป็นคนทำนี่หว่า คง
หลังจากที่การแสดงของฉันดำเนินมาได้ซักพัก จุดจบก็มาถึงโดยที่ฉันเป็นคนจัดการปิดคดีได้อย่างดงามถึงช่วงกลางๆจะโดนคุณโรนี่แย่งซีนก็เถอะ แต่ตอนจบก็กู้หน้าคืนมาได้อ่ะนะ...จากนั้นริออนที่ถูกฉันต่อยจนสลบก็ถูกพวกฟรอนกับคาลอสคุมตัวไปส่วนไอ้ปีศาจนั่นฉันปล่อยให้มันหนีไปเองด้วยเหตุผลทางด้านผลประโยชน์ในอนาคตแต่ทางฝั่งนั้นอาจจะกำลังคิดว่าหนีฉันพ้นอยู่ก็ได้หล่ะนะ... แต่ปล่อยให้คิดแบบนั้นก็ดีเหมือนกันแล้วหลังจากเรื่องจบ ฉันก็ไม่อยู่รอดูสถานการณ์หรอกนะเพราะว่าเป็นห่วงทุกคน ฉันเลยรีบผละตัวออกมาในทันทีที่มีโอกาสก่อนหน้าที่จะออกมาก็มีถูกพระราชานัดพบเป็นการส่วนตัวด้วยอยู่ไม่มีเหตุผลให้ปฏิเสธ แล้วก็คงคิดจะคุยถึงเรื่องต่อจากนั้นนั่นแหล่ะเป็นไปตามแผนเลย ฉันคิดจะใช้โอกาสนี้ต่อรองกับราชาอยู่แล้ว…แล้วพอวิ่งออกมาถึงจุดนัดพบในซอกตึกรามบ้านช่อง ก็เจอกับทุกคนโชคดีไป... ดูเหมือนทั้งมีอา เมอร์ลิน ชาลอต ซาช่า จะไม่ได้รับผลกระทบอะไรเลย โล่งอกไปที...กลับกันแล้วพวกเธอเป็นห่วงฉันสุดๆเลยชาลอตก็เอาแต่บอกว่า〝 นายท่านอย่าเสี่ยงไปคนเดียวแบบนั้นอีกเลยนะคะ! 〞ส่วนซาช่าก็〝 ตอนที่นายท่านกระโดดเข้าไปหาลูกบอลแปลกๆนั่น...
〝 อั๊ก!!! 〞 เจ้าชายออริออน... ริออนกุมมือขวาของตัวเองด้วยความเจ็บปวด เพราะได้รับผลกระทบจากการถูกยิง ต้องบอกว่าโชคดีเท่าไหร่แล้วที่อัญมณีรับความเสียหายแทนไปเกือบหมด ไม่งั้นมือของเขาคงขาดไปแล้วด้วยซ้ำ แต่ก็เพราะความเจ็บปวดที่แล่นจากมือขวาไปสู่ทั่วทั้งร่างนี่แหล่ะ ทำให้ริออนดึงสติของตัวเองกลับมาได้อีกครั้งวูม!!!!!!———〝 อะ อา.... 〞 ริออนรำพึงอยู่ในลำคออย่างน่าเวทนา ในตอนที่แสงสีแดงจากวงเวทย์สว่างน้อยลงพร้อมๆกับวงเวทย์ขนาดใหญ่ที่ค่อยๆจางหายไปจากท้องฟ้ายามค่ำคืน จนในที่สุดแสงสว่างสีแดงฉานก็อันตรธานหายไปจากท้องฟ้า เช่นเดียวกับวงเวทย์ขนาดมหึมา ทำให้แสงจันทร์ส่องลงมาถึงพื้นดินอีกครั้ง แต่ยังคงมีเสียงเจี๊ยวจ๊าวเนื่องด้วยความสับสนของชาวเมืองอยู่บ้าง แต่แน่นอนว่าทุกคนปลอดภัยดีแล้ว และไม่มีใครได้รับผลกระทบจนถึงขั้นเสียชีวิตเลยซักคน ความสิ้นหวังเข้าคลุมสติของริออนในพริบตา อย่างที่เขาว่าไว้… เมื่อพริบตาที่ความหวังใกล้จะสัมฤทธิ์ผลถูกทำลายลง นั่นคือความสิ้นหวังอย่างที่สุด... และนั่นก็ทำให้สีหน้าของริออนเปลี่ยนจากสิ้นหวังไปเป็นอาฆาตแค้นแทน แ
〝 น่าตกใจจริงๆ… นี่รู้อยู่แล้วหรอกเหรอว่าข้าเป็นคนร้าย? 〞 เจ้าชายลำดับที่หนึ่ง... เจ้าชายออริออนถามกรออกมาด้วยแววตาและท่าทางหยิ่งยโส พร้อมกับเป็นการยอมรับข้อกล่าวหาไปในตัว ว่าตัวเองคือคนร้ายตัวจริง ในขณะที่มองกรลงมาจากเบื้องบน〝 ก็นะ... เพิ่งจะรู้ตัวเมื่อไม่นานมานี้เองแหล่ะ แสบจริงนะให้ตายสิ... 〞กรพูดออกมาพร้อมกับยิ้มแห้งๆ แล้วก็เดินเข้ามาทางเจ้าชายออริออนมากกว่าเดิม เหล่าสมุนเล็บโลหิตตั้งท่าเตรียมพร้อมโจมตีกันเต็มที่ แต่ยังไม่มีใครกล้าเริ่มโจมตีกรก่อน ทั้งด้วยความกลัวพลังที่ต่อกรกับพวกของตนระหว่างทางได้อย่างง่ายดาย แถมผ่านมาได้อย่างไร้รอยขีดข่วนก็ด้วย แต่ประเด็นสำคัญคือจิตสังหารอันหนักอึ้ง ราวกับถูกน้ำตกซัดสาดนั่นของกรต่างหาก ที่ทำให้พวกเขาไม่กล้าขยับตัว〝 งั้นขอเข้าเรื่องเลยละกัน... 『อุปกรณ์ตัวหลัก』 อยู่ที่ไหน? 〞 กรเปลี่ยนสีหน้าเป็นจริงจังยิ่งกว่าเดิม พร้อมกับน้ำเสียงเย็นยะเยือกจนน่ากลัว นั่นทำให้เหล่าเล็บโลหิตจำนวนเกินครึ่งยืนตัวสั่นได้ ไม่สิ... แม้แต่ชายเผ่าปีศาจที่ยืนอยู่ข้างๆเจ้าชายออริออนยังแอบสั่นเลยด้วยซ้ำ มีเพียงโรนี่ที่ใจเย็
หลังจากที่แอบย่องขึ้นมาบนชั้นสอง แล้วมองลอดเข้าไปในห้องที่จับสัมผัสวิญญาณได้พวกเราก็เจอกับเด็กผู้หญิงกำลังนั่งอยู่บนขอบระเบียงเป็นภาพที่น่าแปลก... เพราะเธอคนนั้นโปร่งแสงจนมองทะลุไปถึงท้องฟ้าที่เป็นฉากหลังเลยเนี่ยสิถ้างั้นก็ไม่ต้องสงสัย... เด็กคนนั้นคือวิญญาณที่กำลังตามหาอยู่แน่นอน กรคิดแบบนั้นพลางมองไปยังเด็กสาว ส่วนทางเด็กสาวนั้นกลับหันมามองทางกรในเวลาเดียวกัน〝 เอ่อ... ไม่ต้องหลบหรอกนะคะ คือหนูเห็นตั้งแต่เข้ามาในคฤหาสน์แล้วหล่ะค่ะ 〞เสียงกังวานของเด็กสาวพูดขึ้นมา โดยในน้ำเสียงมีความเอียงอายเล็กน้อย แล้วพอเด็กสาวพูดแบบนั้น กรก็ให้สัญญาณทุกคนเดินตามหลังเขาเข้ามาในห้องทันที〝 เข้าใจหล่ะ โทษทีนะที่บุกรุกเข้ามา 〞เมื่ออีกฝ่ายพูดอย่างสุภาพ ก็เป็นมารยาทเช่นกันที่กรจะตอบกลับไปแบบเดียวกัน〝 ไม่หรอกค่ะ... เอาจริงๆในรอบ 10 ปีมานี้มีคนเข้ามาในคฤหาสน์นับคนได้เลยหล่ะค่ะ มีคนบ้างแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน 〞เด็กสาวยิ้มตอบกรอย่างเป็นมิตร พร้อมกับลอยตัวจากขอบระเบียงมายืนอยู่ด้านหน้าของพวกกร สภาพแบบนั้นทำเอาพวกกรประหลาดใจไม่น้อย เว้นเสียแต่ซาช่าที่กำลังยืนตัวสั่นอยู่〝 นี่เธอเป