เมื่อพินิจดูอย่างละเอียด นอกจากสมบัติเหล่านั้นแล้ว ยังมีโครงกระดูกกระจัดกระจายอยู่เต็มพื้นไปหมด แค่คิดนางก็เข้าใจขึ้นมาบ้างแล้ว ทรัพย์สมบัติทั้งหลายคงเป็นของเจ้าของโครงกระดูกเหล่านี้ที่ถูกเจ้าปีศาจตนนั้นสังหาร
หลี่หลิงเฟิ่งมองสมบัติมากมายแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ ถ้าเก็บทีละชิ้นนางได้ขาดอากาศหายใจก่อนเป็นแน่ นางจะเก็บหมดได้อย่างไร หญิงสาวครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง ลองกวาดมือออกไปบริเวณที่มีสมบัติพลางคิดในหัว ‘เก็บ’ สมบัติที่กองเกลื่อนกลาดอยู่ตรงหน้าหายวับไปในพริบตา
อย่างนี้ก็ได้หรือ ที่ผ่านมานางมัวเก็บทีละชิ้นให้เสียเวลาไปทำไม
หลี่หลิงเฟิ่งส่งพลังจิตเข้าไปสำรวจในมิติของตนเอง พบว่าพื้นที่สี่เหลี่ยมเล็กๆ ของนางอัดแน่นไปด้วยสมบัติ แทบไม่เหลือพื้นที่ให้ใช้สอยเลยด้วยซ้ำ
นางเริ่มกลัดกลุ้มขึ้นมาบ้างแล้ว เห็นทีข้าต้องแข็งแกร่งขึ้นกว่านี้ นางได้แต่บ่นอุบอยู่ในใจอย่างช่วยไม่ได้
ช่างมันไปก่อน เรื่องของวันหน้าก็เอาไว้คิดกันวันหน้า ยังดีที่มิติของนางยังเก็บสมบัติไปได้หมด ไม่อย่างนั้นคงเสียดายแย่ อย่าหาว่านางทำตัวเหมือนโจรปล้นชิงเลย ก็ใครใช้ให้นางมีมิติมายาติดกายกันเล่า
ครืนน
พลังจากบนบกสั่นสะเทือนมาถึงใต้น้ำ หลี่หลิงเฟิ่งเพิ่มความระแวดระวังขึ้นทันที หรือสองคนนั้นจะจัดการกับสัตว์อสูรได้แล้ว อย่างนี้ไม่ดีแน่ กระแสจิตส่งออกไปสำรวจด้านบนอย่างรวดเร็ว พลันสัมผัสถึงพลังหลายสายกำลังต่อสู้กันอยู่
หรือจะเป็นพวกอู๋เหยียน
เมื่อใบหน้าของหลี่หลิงเฟิ่งโผล่พ้นน้ำ ภาพที่เห็นถึงกับทำให้นางชะงักนิ่งไปสักพักใหญ่ ความเละเทะตะลุมบอนกันนี่มันหมายความว่าอย่างไร
นี่คือยอดฝีมือปะทะกันจริงหรือ
แต่มันออกจะพิลึกพิลั่นไปสักหน่อย ด้านหนึ่งคืออู๋เหยียนกำลังสู้อยู่กับผู้ฝึกพลังยุทธ์ขั้นพิภพสองคน แล้วดูเหมือนว่าคนฝ่ายนางจะได้เปรียบ ส่วนอีกด้านบุรุษสี่ห้าคนกำลังวิ่งหนีตายจากงูยักษ์ที่พ่นพิษไล่ตามอยู่ข้างหลัง
หญิงสาวลอบอุทานในใจ นี่อู๋เหยียนแข็งแกร่งถึงขั้นนี้เชียวหรือ
หลี่หลิงเฟิ่งสีหน้าเหยเก อดที่จะถามขึ้นมาไม่ได้ “พวกเจ้าทำอะไรกัน”
อู๋เหยียนที่กำลังมัดตัวมือสังหารสองคนที่สะบักสะบอมได้ยินเสียงอันคุ้นหู เขาเงยหน้าขึ้นมามองหลี่หลิงเฟิ่งที่กำลังตะเกียกตะกายขึ้นมาจากสระอย่างหมดสภาพ เมื่อเห็นท่าทางไม่งามของนาง มุมปากพลางกระตุก สูดหายลมหายใจเข้าออกอยู่หลายครั้ง ก่อนจะเอ่ยออกมาอย่างใจเย็น
“คุณหนู ท่านหลบไปให้ห่างจากที่นี่ก่อนเถิด ระวังจะโดนพิษจากงูฟ้าวารีเข้านะขอรับ” หลี่หลิงเฟิ่งเลิกคิ้วมองไปยังงูฟ้าวารี ที่กำลังพ่นควันสีเขียวออกจากปากอยู่ไกลๆ งูฟ้าวารีอย่างนั้นรึ ไฉนทั้งตัวถึงเป็นสีดำ
สายตาของนางกลับมาสนใจอู๋เหยียนอีกครั้ง “อย่าทำให้ตายคามือเสียก่อนล่ะ” กล่าวจบหลี่หลิงเฟิ่งก็รุดไปข้างหน้า เอี้ยวตัวหลบ ยื่นมาเข้าไปในมิติ หยิบหญ้าเผยกู่ออกมาหกต้น
“พวกเจ้ารีบกินซะ ถ้าไม่อยากถูกพิษจนตาย มัวแต่วิ่งหนีอยู่อย่างนี้ เมื่อไหร่จะสังหารได้สักทีล่ะ” ไม่พูดพล่ามให้เสียเวลา หลี่หลิงเฟิ่งโยนหญ้าเผยกู่ไปให้คนทั้งห้า ส่วนนางเคี้ยวและกลืนลงท้องไปอีกต้นอย่างรวดเร็ว
หลี่หลิงเฟิ่งยิ้มขื่น เห็นทีนางคงปกปิดความสามารถตัวเองไม่ได้อีกต่อไปแล้ว
“คุณหนูท่านหลบไปก่อนเถิดขอรับ ตรงนี้ปล่อยให้พวกข้าจัดการเอง” อู๋เหยียนที่ไม่รู้มายืนข้างกายนางตั้งแต่เมื่อไหร่พูดขึ้นมา หลี่หลิงเฟิ่งหันหลังไปมองพบว่ามือสังหารสองคนนั้นสลบไปเรียบร้อยแล้ว
“พวกเจ้าจะจัดการยังไงหรือ ครึ่งค่อนวันแล้วข้ายังเห็นวิ่งไล่จับกันอยู่เลยนี่” หญิงสาวหัวเราะออกมาอย่างขบขัน พลางยื่นหญ้าเผยกู่ไปตรงหน้าอู๋เหยียน “รับไป มันช่วยต้านพิษทุกชนิดได้หนึ่งเค่อ”
“คุณหนูได้โปรดรออยู่ตรงนี้เถิด งูฟ้าวารีไม่ใช่สัตว์อสูรทั่วไป แต่เป็นสัตว์อสูรขั้นสาม แม้แต่ข้าก็ยังไม่แน่ใจว่าจะเอาชนะมันได้” อู๋เหยียนพลันหางคิ้วกระตุก เอ่ยออกมาอย่างจนปัญญา พลางมองคุณหนูห้าอย่างไม่เข้าใจ นางไม่มีแม้แต่พลังยุทธ์ แล้วเอาความกล้ามาจากไหนว่าจะเอาชนะสัตว์อสูรขั้นสามได้
“ก็ไม่แน่หรอก มันคงใกล้จะหมดแรงแล้ว” โอย ท่านแค่อยู่เฉยๆ อย่าสร้างเรื่องเป็นพอ
หลี่หลิงเฟิ่งมองอู๋เหยียนที่แสดงสีหน้าราวกับกำลังจมน้ำตาย เสียงหัวเราะหวานใสดังก้องขึ้น “มัวยืนทำอะไรอยู่ ไปจัดการซะสิ” พูดพลางโบกมือไล่
คนกลุ่มนี้ บางทีอาจไม่ได้เลวร้ายอย่างที่นางคิด กลับไปคงต้องถามเรื่องราวของพี่ชายใหญ่จากเสี่ยวเซียงบ้างซะแล้วล่ะ
ขณะจ้องมองพวกอู๋เหยียนหลอกล่องูฟ้าวารีอยู่นั้น หลี่หลิงเฟิ่งพลันตระหนักได้ถึงบางอย่าง ตะโกนออกไปสุดเสียง “อ้อ! หนังของมันเอามาทำยาลูกกลอนได้นี่ ถลกหนังมันมาให้ข้าด้วยนะ”
โอย ท่านไม่พูดก็ไม่มีใครบอกว่าท่านเป็นใบ้หรอก คนทั้งหกอวดครวญอย่างแค้นใจ ท่านรอให้มันตายก่อนไม่ได้หรือไร ค่อยพูดออกมา
ฟู่ๆๆ
งูฟ้าวารีได้ยินก็บ้าคลั่งขึ้นมา ลิ้นสามแฉกแลบออกมาไม่หยุด หมอกควันพิษพวยพุ่งออกมาทั่วสารทิศ สะบัดหางรอบทิศด้วยความโกรธ ทำให้คนของนางเข้าใกล้ไม่ได้
หากเป็นอย่างนี้ต่อไปคงไม่ดีแน่
เห็นดังนั้น หลี่หลิงเฟิ่งที่ยืนพิงต้นไม้อย่างผ่อนคลาย ดวงตาหรี่ลงน้อยๆ เม้มริมฝีปากแน่นอย่างหงุดหงิด หลุบตาลงพลางคิดทบทวนเนื้อหาในตำราที่อ่านผ่านตาสองสามวันมานี้
หลี่หลิงเฟิ่งเงียบไปพักใหญ่ ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ทว่าหนักแน่น “จุดอ่อนของงูฟ้าวารีอยู่ที่หางของมัน หากพวกเจ้ายังโจมตีส่วนอื่นของมัน ความเร็วของมันในบรรดาสัตว์อสูรทั้งหมดไม่นับว่าเร็วก็จริง แต่ด้วยพละกำลังของพวกเจ้าตอนนี้แล้วคงล้มมันไม่ได้ง่ายๆ แน่”
“พวกเจ้ามุ่งโจมตีไปที่หางของมันเป็นหลัก อย่าลืมเสียล่ะว่าสมุนไพรต้านพิษที่กินเข้าไปมีผลแค่หนึ่งเค่อ” ในเมื่อนางไม่จำเป็นต้องลงมือเอง สิ่งที่นางทำได้ก็แค่ออกปากชี้แนะ
เมื่อได้ยินคำพูดของหลี่หลิงเฟิ่ง แม้จะสงสัยว่านางรู้ได้อย่างไร แต่ก็ทำตามคำชี้แนะของนางอย่างเคร่งครัด พลังหกสายพุ่งปราดไปยังหางของงูฟ้าวารี เสียงร้องคำรามลั่นด้วยความเจ็บปวดดังขึ้น หางของมันสะบัดไปมาเพื่อหลบหลีกอันตราย
เห็นดังนั้น อู๋เหยียนจึงก้าวเข้าไปใช้กระบี่เล่มหนึ่งแทงลงที่หางงูฟ้าวารีจนมิดด้าม กระบี่ปักแน่นลงดิน งูยักษ์แผดเสียงคำรามอยู่นานก่อนจะค่อยๆ เบาลงพร้อมกับร่างของมันที่ล้มลงไป
พวกอู๋เหยียนอยู่ในอาการทั้งโล่งอกทั้งตกตะลึงในเวลาเดียวกัน สายตาทั้งหกคู่หันมามองหลี่หลิงเฟิ่งด้วยไม่อยากเชื่อสายตา ตัวไร้ค่าอย่างนางรู้วิธีจัดการกับงูฟ้าวารีได้อย่างไร ไหนจะสมุนไพรต้านพิษพวกนั้นอีก หรือนางจะเป็นแพทย์โอสถ ยิ่งคิดยิ่งตะลึงงัน อดที่จะตัวสั่นด้วยความหวาดกลัวขึ้นมาไม่ได้
ตอนนี้อารมณ์ของพวกเขาหลากหลายเกินกว่าจะบรรยายออกมาเป็นคำพูดไม่ได้ ได้แต่จ้องมองหลี่หลิงเฟิ่งอยู่อย่างนั้นราวกับคนเบื้อใบ้
“มองข้าทำไม จัดการให้เรียบร้อย แล้วกลับเรือนกันสักที” น้ำเสียงเกียจคร้านดังขึ้นทำลายความเงียบ ดึงสติของทุกคนกลับมา บ้างช่วยกันถลกหนังงู บ้างไปหิ้วปีกมือสังหาร ต่างร่วมแรงร่วมใจกันทำงานอย่างรู้หน้าที่ยิ่งนัก
ระหว่างที่หลี่หลิงเฟิ่งกำลังเก็บหญ้าหลอมวิญญาณอยู่นั้น หญิงสาวเลิกคิ้วสูง นางสำรวจดูอย่างละเอียดทั่วบริเวณ พลางพึมพำออกมาเสียงเบา “เหมือนข้าจะลืมอะไรไป”
“พวกเจ้าเจอใครนอกจากสองคนนี้อีกหรือไม่” เสียงไม่หนักไม่เบาดังขึ้นมาอีกหน ทั้งหมดมองหน้ากัน ก่อนที่จะส่ายหน้าอย่างพร้อมเพรียง
“หรือจะหนีไปแล้ว” ช่างเถิด วันนี้ถือว่าเจ้ารอดไปได้ แต่แค้นครั้งนี้ข้าจดจำไว้แล้ว
คนทั้งขบวนเดินออกจากป่าก็กินเวลาไปหลายชั่วยาม สภาพของแต่ละคนสะบักสะบอมจนดูไม่ได้ ทั้งเนื้อทั้งตัวมีแต่บาดแผล หลี่หลิงเฟิ่งรู้สึกว่าพละกำลังภายในร่างถูกสูบออกมาใช้จนหมด ขาสองข้างของนางแทบจะเดินต่อไปไม่ไหว บวกกับเมื่อเช้านางเผชิญอันตรายมาอย่างหนักหน่วง อวัยวะภายในบอบช้ำถึงขีดสุด ไหนเลยจะสภาพร่างกายที่ยังนับว่าไม่แข็งแรงเป็นทุนเดิม นางทนได้มาถึงตอนนี้ก็นับว่าเกินขีดจำกัดของร่างกายมนุษย์ทั่วไป
หลี่หลิงเฟิ่งรู้สึกสั่นสะท้านทุกครั้งที่ลมพัดโชยเอื่อยกระทบกับผิวกาย เสื้อผ้าตามลำตัวที่เคยเปียกปอน บัดนี้แห้งสนิทปลิวไสวไปตามแรงลม ร่างกายหญิงสาวเริ่มเย็นลง หากแต่ความร้อนระอุบนหน้าอกดั่งโดนไฟสุมทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
ความรู้สึกเหมือนมีก้อนมาจุกอยู่บนลำคอพุ่งขึ้นมา ไม่นานเลือดสีแดงสดพุ่งออกมาจากปากของหลี่หลิงเฟิ่งสาดกระจายไปทั่วบริเวณราวกับละอองหิมะสีขาวที่ถูกย้อมไปด้วยสีแดง หน้าซีดขาวราวกับกระดาษในพริบตา นางเช็ดโลหิตออกจากริมฝีปาก ทว่ายิ่งเช็ดก็ยิ่งไหลทะลักออกมาไม่หยุด
สองขาของหญิงสาวไม่อาจฝืนทรงตัวได้อีกต่อไป สติของนางเริ่มดับวูบลง จู่ๆ หลี่หลิงเฟิ่งก็ล้มพับลงกับพื้น ทำเอาอู๋เหยียนที่คุ้มกันอยู่ด้านข้างตื่นตกใจไม่น้อย
“คุณหนู!”
หลี่หลิงเฟิ่งรู้สึกเหมือนตนเองกำลังตกอยู่ในห้วงความฝัน
นางมองเห็นหน้าตนเองสะท้อนออกมาในกระจก ภาพแปลกประหลาดผุดขึ้นในสมองของนางอีกครั้ง ทว่าครั้งนี้นางเห็นมันอย่างชัดเจน
หน้าผากับสายน้ำ ผีเสื้อบินว่อนหยอกล้อบุปผา หยาดน้ำค้างหยดลงกระทบกับหญ้าเขียว กระท่อมไม้หลังเล็กล้อมรอบไปด้วยสวนองุ่น ด้านข้างยังมีบ่อน้ำเล็กๆ ปลานัยหลายสิบตัวแหวกว่ายท้าแสงแดดยามเช้า
บุรุษผู้หนึ่งยืนอยู่ริมบ่อน้ำหันหลังให้กับนาง ในมือถือพวงองุ่นอยู่ เส้นผมสีดำขลับปล่อยสยายลงกลางหลัง ลมหนาวยามรุ่งอรุณพัดผ่าน ดอกหลีฮวาบานสะพรั่งโปรยปรายลงมาราวกับหิมะ พาให้บรรยากาศรอบกายเย็นสบาย
“อาจารย์” หญิงสาวชุดสีชมพูหน้าตาละม้ายคล้ายนางอยู่หลายส่วนร้องเรียกอยู่ด้านหลัง ส่งรอยยิ้มกว้างสดใสดั่งดวงตะวัน ดวงตาของนางเปี่ยมไปด้วยความสุขใจ เดินเข้าไปหาบุรุษตรงหน้าอย่างเบิกบาน
ชายหนุ่มชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะค่อยๆ หันมา รอยยิ้มอบอุ่นประดับอยู่บนในหน้า แสงแดดลอดผ่านต้นไม้ส่องกระทบลงบนใบหน้า ชุดสีขาวภายใต้แสงรุ่งอรุณดูขาวสะอาดดุจทวยเทพผู้ลงมาจุติ งดงามตรึงตราราวกับเป็นภาพแห่งความฝัน หลี่หลิงเฟิ่งเพ่งพินิจมองใบหน้าไม่ชัดเจนนั้น ทว่ารอยยิ้มที่ประดับอยู่บนริมฝีปากชวนให้ผู้มองรู้สึกสบายใจอย่างประหลาด
สายตาเคลิบเคลิ้มของหลี่หลิงเฟิ่งติดตรึงอยู่ที่ร่างของชายหนุ่มปริศนาอยู่เป็นนาน เผลอมองด้วยความหลงใหลอย่างลืมตัว
“กลับมาแล้วหรือ” น้ำเสียงอบอุ่นปลุกหลี่หลิงเฟิ่งตื่นขึ้นมา มองดูมือเรียวยาวยกขึ้นลูบหัวหญิงสาวอย่างเอ็นดู ชายเสื้อขาวอ้ากว้างเผยให้เห็นข้อมือแข็งแกร่งอันไร้ที่ติ
หลี่หลิงเฟิ่งตะลึงงันอยู่กับที่เป็นเวลานาน นางจ้องสิ่งที่อยู่บนข้อมือของชายปริศนาเขม็ง แสงสีม่วงสะท้อนประกายสดใสวาววับรับกับผิวขาวของผู้สวมใส่ได้เป็นอย่างดี ลวดลายมังกรที่คุ้นตาส่องสะท้อนสู่สายตาของนางเข้าอย่างจัง
หลี่หลิงเฟิ่งพยายามพุ่งตัวออกไปคว้าบุรุษผู้นั้นไว้ ทว่า นางพลันพบว่าร่างกายไม่สามารถขยับเขยื้อนได้ นางได้แต่ยืนมองภาพคนทั้งสองอย่างโง่งม
“อาจารย์ ข้าอยากกินองุ่น” หญิงสาวเอี้ยวตัวหลบฝ่ามือของบุรุษชุดขาว ทำปากยื่นอย่างน่ารัก ส่งสายตาอ้อนวอนราวลูกสุนัขเฝ้ารออาหารจากเจ้านาย
เสียงหัวเราะเบาๆ แว่วมาตามสายลม “ได้สิ ข้าเตรียมไว้ให้เจ้าก่อนแล้ว” มือใหญ่ทิ้งข้างลำตัวเช่นเดิม ชูมืออีกข้างที่ถือพวงองุ่นยื่นมาตรงหน้าหญิงสาว
“ข้ารู้อยู่แล้วว่าท่านรักข้าที่สุด” เสียงหัวเราะคิกอย่างอารมณ์ดีดังขึ้นขับเน้นให้บรรยากาศอบอวลไปด้วยความสุข มือเรียวสวยยื่นมือไปหยิบพวงองุ่นมาถือไว้ พลางยื่นกลับคืนไป
บุรุษชุดขาวได้แต่ส่ายหน้าอย่างจนใจ ทว่ามือกลับหยิบองุ่นลูกหนึ่งขึ้นมา บรรจงปอกเปลือก คว้านเมล็ดออกก่อนส่งไปยังริมฝีปากหญิงสาว
หลี่หลิงเฟิ่งมองภาพตรงหน้าด้วยสายตาเหม่อลอย ความคิดแรกคือรอยยิ้มของเขาทำให้นางหยุดหายใจไปครึ่งจังหวะ ความคิดที่สองเหตุใดหญิงสาวนางนั้นถึงมีหน้าคล้ายคลึงกับนาง และสุดท้ายกำไลที่บุรุษคนนั้นสวมอยู่จะใช่วงเดียวกับที่นางเห็นก่อนตายในชาติก่อนหรือไม่ แล้วมีส่วนเกี่ยวข้องอันใดกับการทะลุมิติมาของนาง
จะว่าไปแล้ว บุรุษผู้นั้นช่างคุ้นตายิ่งนัก...
เปร๊ยะ! เสียงดังกึกก้องขึ้นมาให้หัวนาง หลี่หลิงเฟิ่งตกใจตื่นโดยพลัน ร่างกายนอนแผ่หลาไม่ขยับเขยื้อนสักพักใหญ่ พลางถอนหายใจอย่างโล่งอก นางเข้ามาในมิติอีกแล้ว
หลี่หลิงเฟิ่งเหลือบมองเสี่ยวมู่พลันรู้สึกหดหู่ ผ่านมาก็หลายเดือนแล้วควรจะมีการเปลี่ยนแปลงบ้างสิ นางรดน้ำพรวนดินให้สม่ำเสมอนะ เจ้าเฒ่าทารกตนนี้ก็ไม่ยอมโตสักที
หรือเสี่ยวมู่ของนางจะแตกต่างจากพืชอสูรทั่วไป
ขณะที่หลี่หลิงเฟิ่งยุ่งอยู่กับการเลี้ยงดูเสี่ยวมู่อยู่นั้น สัมผัสอบอุ่นกระแสหนึ่งวนเวียนอยู่บนศีรษะของนาง นางส่งกระแสจิตกลับเข้าร่าง ฟื้นคืนสติขึ้นมา ก็รู้สึกว่าร่างทั้งร่างของนางปวดเมื่อยยิ่งนัก ในหัวมีเสียงวิ้งๆ ดังไม่หยุด สายตาก็พร่าเบลอเช่นกัน หลี่หลิงเฟิ่งกะพริบตาถี่ๆ หลายครั้ง ภาพภายในห้องถึงได้ชัดเจนขึ้น
นางรู้สึกถึงมือใหญ่กำลังลูบศีรษะนางอย่างทะนุถนอม หลี่หลิงเฟิ่งขมวดคิ้วมุ่น หันหน้าไปมองคนข้างเตียง สายตาก็ปะทะเข้ากับบุรุษชุดขาวที่มือข้างหนึ่งกำลังกุมมือของนางอยู่ อีกข้างลูบศีรษะนาง การกระทำตรงหน้าทำให้หัวใจที่แห้งเหือดมาทั้งชีวิตพลันมีน้ำเย็นสายหนึ่งเข้ามาหล่อเลี้ยง ทั้งอบอุ่นทั้งเย็นสบาย
ความรู้สึกที่หญิงสาวชุดสีชมพูในความฝันของนางได้รับ จะใช่ความรู้สึกเดียวกันกับนางในตอนนี้ไหมนะ
หลี่หลิงเฟิ่งอดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นไปมอง รอยยิ้มเบาบางที่แทบจะไม่เหมือนรอยยิ้มนั่นปรากฏต่อสายตาของหญิงสาว สีหน้าอ่อนล้าราวกับอดนอนติดต่อกันหลายคืน ช่างแตกต่างจากดวงตารัติกาลที่แสดงความดีใจออกมาอย่างปิดไม่มิด
งานดี!
บุรุษผู้นี้งดงามไร้ที่ติ ราวกับงานศิลปะชั้นยอดชัดๆ ถ้าอยู่ในชาติก่อน เขาคงดังเป็นพลุแตกไปแล้วแน่ๆ สาวเล็กสาวใหญ่ยลโฉมคงหลงละเมอเพ้อพกไปเป็นเดือนๆ อะไรที่เรียกว่าสมบูรณ์แบบ นี่แหละที่สมบูรณ์แบบ คิ้วคมเข้มรับกับนัยน์ตาดำทอประกายล้ำลึก จมูกโด่งได้รูป ผิวขาวกระจ่างใสขับให้ใบหน้าดูเย็นชา ทว่าริมฝีปากโค้งขึ้นนิดๆ นั้นช่างกระชากใจนางยิ่งนัก
เขาไม่ได้ดูอบอุ่น สูงศักดิ์ จับต้องไม่ได้ เหมือนชายในฝันของนาง แต่เปี่ยมด้วยเสน่ห์เหลือร้าย คล้ายเฉยเมยต่อทุกสิ่ง ทว่าสง่างาม เหนือสิ่งอื่นใด ทำให้นางอยากจะพิชิตมาให้จงได้!
หลี่หลิงเฟิ่งมองคนบนเตียงอย่างอึ้งๆ ร่างกายแข็งค้างราวกับหิน ปากอ้าแล้วหุบแล้วอ้าออกอยู่อย่างนั้นหลายรอบ แต่สุดท้ายนางก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
“ตื่นแล้วหรือ”
บรรยากาศเงียบสงัดแพร่กระจายไปทั่วห้อง หลี่หลิงเฟิ่งหายใจสะดุด ดวงตาเรียวสวยไม่ได้เลื่อนออกจากใบหน้าของบุรุษผู้นั้นเลย เช่นเดียวกับดวงตาคมกริบกวาดมองนางเงียบๆเนิ่นนาน ไร้ซึ่งคำพูด และไม่ขยับคล้ายเวลาล่วงเลยไปหลายสิบปี เสียงสูดลมหายใจอย่างหนักหน่วงดังขึ้นทำลายความเงียบงันที่น่ากระอักกระอ่วนนี้ สุดท้ายแล้วยังคงเป็นหลี่หลิงเฟิ่งที่ทนไม่ไหว ใคร่สงสัยตัวตนบุรุษรูปงามท่านนี้ ริมฝีปากเม้มแน่น อยากพูดบางอย่างแต่กลับพูดอะไรไม่ออก มือของเขายังคงลูบผมนางอยู่อย่างนั้น คล้ายปลอบประโลมนางอยู่ทุกวินาที“ข้า...ข้าอยากกินองุ่น” หลี่หลิงเฟิ่งชะงักค้างอย่างทำอะไรไม่ถูก หน้าขึ้นริ้วแดงๆ ด้วยความอับอาย นี่นางพูดอะไรออกไปอยากกินองุ่น? องุ่นเนี่ยนะ เพ้ย!หลี่หลิงเฟิ่งขยับตัวหลบฝ่ามือใหญ่ หลุบตาต่ำ ไม่กล้ามองหน้าเขาอีกต่อไป ในใจสบถด่าตนเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทำตัวเป็นหญิงสาววัยแรกรุ่นไปได้“เสี่ยวเซียง” บุรุษชุดขาวยิ้มพลางส่งเสียงเรียกเสี่ยวเซียง “เจ้าค่ะ คุณชายใหญ่” หลี่หลิงเฟิ่งมองเสี่ยวเซียงผลักประตูเข้ามา เดินก้มหน้ามาคุกเข่าตรงปลายเตียง ก่อนจะเงยหน้าจ้องมองผู้เป็นนายด้วยน้ำตาที่เอ่อล้นนัยน์ตาคุณชายใหญ่ หล
สิ้นเสียงของหลี่หลิงเฟิ่ง มีมือสังหารรายหนึ่งทะยานเข้ามาหา หลี่หลิงเฟิ่งหมุนตัวอย่างรวดเร็ว ลำแสงสีแดงเพลิงอาบย้อมกระบี่ แทงสวนกลับไป มือสังหารที่วิ่งเข้ามายังไม่ทันตั้งตัว แววตาพลันตื่นตระหนก ร่างกายแข็งค้างล้มลงตรงหน้าหญิงสาว“ระ....” สตรีผู้นี้... ในชั่วพริบตา โลกเบื้องหน้าเข้าสู่ความมืดมิด เพียงแค่ปริปากพูดก็ไม่ทันเสียแล้ว“เสี่ยวเฉิน” ขวดกระเบื้องเคลือบขนาดเล็กถูกโยนออกมาจากมิติไปทางด้านหลัง รอยยิ้มเย็นชาปรากฏขึ้นในแววตาหลี่หลิงเฟิ่ง ชุดสีแดงเพลิงเปียกชุ่มลู่ลงแนบลำตัว มือสังหารคาดไม่ถึงว่าจะมีสตรีอ่อนปวกเปียกเข้ามาช่วย หลี่หลิงเฟิ่งอาศัยจังหวะที่อีกฝ่ายมึนงง ฝ่าวงล้อมเข้าไปยืนข้างกายอู๋เหยียนเสี่ยวเฉินรับขวดกระเบื้องเนื้อหยาบที่ลอยมาตรงหน้า วิ่งอ้อมไปด้านหลังฝั่งหลี่เฟยหยาง เขารู้ดีว่ามันเป็นโหลบรรจุยาที่หลี่หลิงเฟิ่งปรุงขึ้น จะไม่ให้คุ้นเคยได้อย่างไร ในเมื่อคุณหนูเป็นคนสั่งให้เขาซื้อมันมาโดยเฉพาะหากแต่เขาไม่รู้ว่ามันคือยาอะไร เสี่ยวเฉินมองหลี่หลิงเฟิ่งอย่างอับจนปัญญา อยากจะขอความช่วยเหลือ ทว่า เหลือบสายตามองเพียงแวบเดียวก็ให้สูดหายใจลึก“เฟิ่งเอ๋อร์ เข้ามาทำไม ออกไป” ใบหน้าที
ไม่รู้ผ่านไปกี่ชั่วยาม แสงยามเช้าส่องกระทบใบหน้าหลี่หลิงเฟิ่ง เสียงฝูงนกกระพือปีกบนต้นไม้ส่งเสียงร้องบินออกหากิน นางจำไม่ได้ว่าเกราะป้องกันสลายไปตอนไหน ทำสิ่งใดลงไปบ้าง ตั้งแต่ต้นจนจบสายตาของนางอยู่ที่คนในอ้อมกอดตลอดสมุนไพรทุกอย่างที่นางมีถูกนำมารักษาหลี่เฟยหยาง ยาต่างๆ ที่เคยสกัดไว้ก็เอาออกมาใช้ทั้งหมด แต่เหมือนจะเอามาเททิ้งมากกว่า เขาไม่มีท่าทีจะฟื้นขึ้นมาเลย ยังดีที่สมุนไพรเหล่านี้ยื้อลมหายใจสุดท้ายของเขาเอาไว้ได้แต่แล้วอย่างไร เขาจะทนได้นานแค่ไหน นางเองก็ยังไม่รู้จากเหตุการณ์เมื่อคืน หลี่หลิงเฟิ่งตระหนักได้ถึงโลกใบนี้อย่างแท้จริง โลกที่ผู้ฝึกพลังยุทธ์เป็นใหญ่ นางเคยคิดว่ารออีกหน่อย เดี๋ยวนางจะแข็งแกร่งขึ้น ไม่ต้องสนใจใครหรือสิ่งใดให้มาก ใช้ชีวิตอย่างที่ต้องการให้เต็มที่จนเมื่อมีผู้ชายคนหนึ่งยอมตายเพื่อนาง ความเพ้อฝันเหล่านั้นจึงพังทลายลง หลี่หลิงเฟิ่งไม่มีความผูกพันกับคนในโลกนี้ อย่าว่าแต่หลี่เฟยหยางที่เพิ่งเจอกันไม่กี่วัน ต่อให้เป็นเสี่ยวเซียงเสี่ยวเฉิน นางก็เห็นเป็นเพียงแค่เพื่อนร่วมทางเท่านั้นคนพวกนี้ยอมทำเพื่อนาง ไม่ใช่สิ ต้องบอกว่าเพื่อเจ้าของร่างเดิมถึงกระนั้นนางก็ยังอ
หูซานแตกตื่นจนหน้าถอดสี ถุงผ้าในมือเกือบหลุดร่วง “นี่มันเกินไป เกินไปแล้ว” หลังจากหายตื่นตะลึง เขาก็มีท่าทางดีอกดีใจอย่างปิดไม่มิดแววตามองคล้ายขุ่นเคืองอยู่เล็กน้อย อดที่จะขบเขี้ยวเคี้ยวฟันไม่ได้ “เจ้ามีของล้ำค่าติดตัวมากมายขนาดนี้ ยังจะทำเป็นไม่รู้จักหินแร่พวกนี้อยู่อีก ผายลม!”หลี่หลิงเฟิ่งทำหน้าไม่ถูกไปชั่วขณะ ตาเฒ่าผู้นี้อยู่ดีๆ ก็อารมณ์ขุ่นมัวใส่นาง“เจ้ามีของเช่นนี้อยู่ตั้งแต่แรก ไยจึงไม่รีบนำมันออกมา” ตำหนิหญิงสาวก่อนกล่าวต่อ “แต่แค่สองก้อนก็พอ ที่เหลือเจ้าเก็บไว้เถอะ” หูซานหยิบออกจากถุงเพียงสองก้อนจริงๆ มองที่เหลืออย่างอาลัย สุดท้ายตัดใจส่งมันคืนให้นางหลี่หลิงเฟิ่งย่นคิ้วเข้าหากัน นัยน์ตาฉายแววงุนงงมากกว่าเดิม “แค่สองก้อนพอแน่หรือ ท่านหยิบมันไปเพิ่มอีกดีหรือไม่” ถึงจะไม่รู้ว่าคืออะไร หากแต่ช่วยรักษาได้ย่อมเป็นเรื่องดีได้ยินดังนั้น หูซานฉุนขึ้นมาทันที “ข้าเป็นหมอมาสามสิบกว่าปี อาการของโรคเป็นอย่างไร ปริมาณยาหรือพลังที่ใช้ย่อมรู้แน่ชัดอยู่แล้ว บอกว่าพอก็คือพอ เด็กอย่างเจ้าสงสัยคำวินิจฉัยของข้าอย่างนั้นหรือ” หญิงผู้นี้อะไรก็ดีไปหมด เหตุใดวันนี้ริทำตัวน่ารังเกียจ เขาเป็นถึงนักห
ผ่านไปสิบวันอาการบาดเจ็บของหลี่เฟยหยางดีขึ้นมาก หูซานได้กลายเป็นแพทย์ประจำตัวของเขาไปแล้ว ทุกวันจะต้องมาจับชีพจร สอบถามความคืบหน้าระหว่างรักษาเสมอ ทั้งที่ชายชราไม่มีความจำเป็นต้องมาด้วยตนเอง เนื่องด้วยผู้ป่วยทั้งสองอยู่ในระยะปลอดภัยนานแล้วหลักๆ ที่วนเวียนอยู่อย่างนี้ เพราะต้องการเอาใจ ‘ศิษย์น้อง’ ที่เพิ่มมาอีกหนึ่งคน สร้างความรู้สึกประทับใจ เกาะติดหลี่หลิงเฟิ่งไม่ยอมห่างบอกตามตรง ตอนนั้นหลี่หลิงเฟิ่งเดือดดาลจนไร้คำพูดโต้กลับ นางแสดงเจตจำนงชัดเจนด้วยการปฏิเสธการเป็นศิษย์ของเขา นางไหนเลยจะคิดว่าเฒ่าทารกดันยกลำดับอาวุโสของนางให้สูงขึ้น ยังไม่ทันจะกล่าวอันใด หูซานก็ยกเตาหลอมโอสถให้นางพร้อมกับตำราสมุนไพรหนึ่งร้อยแขนงให้นางไว้ท่องจำทุกเช้าหลังจากตรวจอาการหลี่เฟยหยางและเสี่ยวเฉินเรียบร้อย หูซานจะขลุกอยู่กับนางตลอดช่วงบ่าย บางครั้งยังลากนางไปโรงหมอเพื่อดูอาการคนไข้ เดิมทีหลังจากหลี่เฟยหยางฟื้นขึ้นมา นางคิดจะปฏิเสธหูซานอย่างจริงจัง เมื่อนำไปปรึกษากับชายหนุ่ม กลับเป็นหลี่เฟยหยางโน้มน้าวให้นางรับข้อเสนอนี้ไว้เสียเองหลี่หลิงเฟิ่งจึงผงกศีรษะรับอย่างจำใจ กลายมาเป็นศิษย์น้องของหูซานด้วยประการฉะ
ช่วงนี้แคว้นหลิวอวิ๋นมีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมายเรื่องสนุกปากในโรงเตี๊ยมและตามตรอกซอกซอยมีเพิ่มขึ้นทุกวัน เรื่องเล่าที่เป็นที่กล่าวขานมากสุดคงหนีไม่พ้นเรื่องคู่หมั้นขยะขององค์ชายรองผู้เป็นเลิศในทุกด้าน ได้รับความนิยมจนโรงละครนำมาทำเป็นเรื่องเล่าหลายต่อหลายบท เหตุการณ์สำคัญในเรื่องพูดถึงความอาภัพอับโชคขององค์ชายรอง หน้าตาอัปลักษณ์ของคู่หมั้น รวมไปถึงเสนาบดีหลี่ใช้อำนาจบาตรใหญ่บังคับเหล่าองค์ชายแต่งงานกับหลานสาวอันเป็นที่รัก ฮ่องเต้เห็นแก่คุณงามความดีของเจ้าเมืองหลี่จึงได้ยกองค์ชายรองให้หมั้นหมายกับบุตรสาวตระกูลหลี่ ที่ได้ชื่อว่าตัวไร้ค่าชาวบ้านต่างพากันเห็นใจสงสารองค์ชายรอง สาปแช่งก่นด่าหลี่หลิงเฟิ่งและเจ้าเมืองหลี่เรื่องราวอัปยศอดสูทำเอาเจ้าเมืองหลี่โกรธจนแทบจะกระอักเลือด ขุนนางทั้งหลายพากันประณามเขา ฎีกาหลายฉบับส่งตรงไปหาฮ่องเต้ให้ยุติการหมั้นหมายนี้ลง ตัวเขาเองที่เป็นบิดาก็เห็นด้วยอย่างยิ่ง แต่ไหนเลยจะมีใครคิด ไม่เพียงฮ่องเต้ไม่เอ่ยปากทัดทาน หากแต่ทรงกริ้วเหล่าขุนนางที่ร้องเรียนหน้าท้องพระโรง ออกว่าราชการยังไม่เสร็จก็สะบัดแขนเสื้อจากไปชายวัยกลางคนรู้สึกเหมือนตนเองเป็นคนใบ้ที่กินหว
พลังเช่นนี้...ความรู้สึกกดดันเช่นนี้...ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหลอมรวม ซ้ำยังสูงกว่าเขาอีกหนึ่งขั้น เมื่อครู่ผู้ลอบเล่นงานเขาไม่ใช่สองพี่น้องคู่นั้้น เป็นชายชราผู้นี้แน่นอน เป็นเขาที่กดข่มพลังคนทั้งหมดไว้ เป็นเขาที่บังคับให้ข้าคุกเข่า...หลี่เชาสูดหายใจลึก รู้สึกได้ถึงความตายที่กำลังมาเยือนถึงหน้าประตู“ท่าน...ท่านกับข้า...พวกเราไม่เคยมีเรื่องบาดหมางกันมาก่อน เหตุใดจึงตั้งตนเป็นปรปักษ์ ลอบทำร้ายกันเล่า” ความเงียบปกคลุมทั่วบริเวณ ไม่มีเสียงตอบรับเล็ดลอดออกมา มีเพียงเสียงดังอั่กทีหนึ่ง เลือดสีแดงสดพุ่งกระฉูดเลอะพื้นกระเด็นมาจนถึงจุดที่หลี่หลิงเฟิ่งยืนอยู่พลั่ก พลั่ก พลั่กท่ามกลางการชะงักค้างของทุกคน พลังสีแดงพุ่งไปรอบด้านไม่ขาดสาย เหล่าผู้คุ้มกันเหมือนเป็นง่อยเปลี้ยไร้เรี่ยวแรงตอบโต้ ได้แต่นอนโอดโอยบนพื้นโถงรับรองอันเย็นเฉียบ เพลิงพิโรธของหูซานยังคงไม่มอดดับลงง่ายๆ หันไปเล่นงานหลี่เชาที่นอนพะงาบๆ อยู่บนพื้นไร้เสียงตอบโต้“ช้าก่อน” หลี่หลิงเฟิ่งรีบร้องปรามเมื่อเห็นท่าไม่ดี“ท่านจะฆ่าใครข้าไม่สน แต่อย่าให้คนพวกนี้มาตายในบ้านของข้าเป็นอันขาด” หลูหมิ่นซึ่งเวลานี้ปากชาไปหมดเพิ่งได้สติคืนมา มองทั้งส
เนื่องจากในวังมีการเลื่อนวันเข้าเฝ้า จากกำหนดเดิมคือสิบห้าวันหลังเสร็จพิธีปักปิ่นของนาง ไม่รู้เพราะเหตุอันใดจึงร่นระยะเวลาให้เหลือเพียงสามวันเป็นเหตุให้พวกนางต้องเร่งกลับบ้านทันทีเพื่อเข้าร่วมงานปักปิ่นที่จะจัดขึ้นก่อนกำหนดสิบห้าวัน หากว่ากันตามจริงแล้ว ถ้านางไม่ได้รับความสำคัญในครั้งนี้ขึ้นมา หลี่หลิงเฟิ่งไม่ถูกจัดให้เข้าร่วมและเป็นหนึ่งในตัวเอกของงานแน่นอน ไม่รู้ว่าตอนนี้คนพวกนั้นจะเคียดแค้นใจมากแค่ไหนที่ต้องแบ่งพื้นที่ในจวนแก่น้องห้าอย่างนางได้ใช้สอย“พร้อมหรือยัง”“เจ้าค่ะ”หลี่เฟยหยางลูบหัวนาง “ไม่มีอะไรน่ากลัวหรอก” หลี่หลิงเฟิ่งยิ้มรับ ผงกศีรษะน้อยๆ ก่อนก้าวขึ้นไปนั่งในรถม้าที่จัดเตรียมไว้ใครบอกว่านางกลัวกัน นางเฝ้ารอให้วันนี้มาถึงที่สุดต่างหากด้านนอกมีหลี่เฟยหยางกับหวังซีควบม้าขนาบข้างซ้ายขวา เสี่ยวเฉินคอยกุมบังเหียนขับเคลื่อนรถม้า ส่วนนางผู้ที่สบายสุด กึ่งนั่งกึ่งนอนเอกเขนกอยู่ในรถม้า ฟังเรื่องเล่าขบขันจากสาวใช้ตัวน้อยของคนในเมืองหลี่ไปพลาง มือหยิบขนมที่เสี่ยวเซียงเตรียมไว้เข้าปากไปพลาง ส่วนหูซานกับหวังข่ายนั้นจะติดตามมาทีหลัง จำต้องจัดการลู่ทางโรงหมอที่นั่นสักพักใหญ่ขาดก็
ณ เมืองหลวงของแคว้นหลิวอวิ๋นเสียงการต่อสู้ยังคงดังกึกก้อง เปลวเพลิงโหมลุกไหม้ตามแนวกำแพง เสียงคำรามของผู้บุกรุกประสานกับเสียงอาวุธที่กระทบกันอย่างดุเดือดสวีคุนเจ้าสำนักหอแพทย์โอสถ กำลังรักษาผู้บาดเจ็บพลางออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม "อย่าปล่อยให้พวกมันทะลวงเข้ามาได้ ต้านไว้สุดกำลัง"ผู้ฝึกยุทธ์คนอื่นๆ และเจ้าหน้าที่ทหารรวมกำลังกันอย่างสุดความสามารถ แต่จำนวนศัตรูที่มีกองกำลังมือสังหารชั้นสูงกลับยังคงท่วมท้นทันใดนั้นเอง แสงสีฟ้าก็ปรากฏขึ้นกลางสมรภูมิ เสียงลมกรรโชกดังขึ้นพร้อมกับร่างของหลี่หลิงเฟิ่ง โม่จื่อหลิง และจวินชางหลางที่ปรากฏตัวออกมา"พวกเรากลับมาแล้ว!" จวินชางหลางร้องลั่น พลางสะบัดดาบเล่มใหม่ในมืออย่างฮึกเหิม "ใครอยากโดนฟันก่อน มาเลย!""ทุกคนปลอดภัยดีหรือไม่" หลี่หลิงเฟิ่งตะโกนถามพลางฟาดแส้เพลิงออกไป เผาผู้บุกรุกที่พุ่งเข้ามาสวีคุนยิ้มออกมาอย่างโล่งใจ "พวกเจ้ามาทันเวลาพอดี ฝั่งนั้นมีมากเกินไป พวกเรากำลังต้องการกองกำลังเสริมอย่างยิ่งยวด""ท่านวางใจ ข้าจะทำให้ศัตรูจำชื่อพวกเราไปตลอด" จวินชางหลางหัวเราะเสียงดัง เลือดร้อนไม่ลดละจากการต่อสู้ที่ต่อเนื่องมาอย่างยาวนาน"งั้นข้าจะช
"อะไรเนี่ย ทำไมรากไม้พวกนี้มันมีชีวิตล่ะ แม่จ๋า ช่วยลูกด้วย" จวินชางหลางตะโกนพลางถอยหลบ ขณะที่รากไม้สีดำเลื้อยมาทางเขาดาบกลืนวิญญาณในมิติมายาของหลี่หลิงเฟิ่งยังคงสั่นสะท้าน ราวกับพยายามเตือนบางสิ่ง นางหอบหายใจ ดวงตาคมกริบจับจ้องไปยังใจกลางห้องโถงที่บัดนี้เต็มไปด้วยพลังมืด แท่นบูชาที่พังครึ่งหนึ่งพลันแตกออก เผยให้เห็นโลงศพสีดำสนิทที่ถูกพันธนาการไว้ด้วยรากไม้หนาทึบ นางเดินเข้าไปใกล้โลงศพที่ยังคงปล่อยไอสังหารออกมา"ระวังนะ!" จวินชางหลางร้องเตือน แต่หลี่หลิงเฟิ่งยื่นมือออกไปแตะรากไม้ที่พันรอบโลงศพ ถึงกับเป็นโลกศพฮ่องเต้รุ่นที่หนึ่งทันใดนั้น เส้นแสงสีดำพุ่งออกมาจากรากไม้ เสียงคำรามต่ำสะท้อนก้อง รากไม้ราวกับมีชีวิตฉุดกระชากไปทั่วโลงศพเปิดออกอย่างช้าๆ กลิ่นเน่าเหม็นโชยกระจายไปทั่วห้องโถง ร่างของฮ่องเต้ตงเยว่ที่เคยหลับใหลปรากฏให้เห็น ผิวหนังซีดเผือด ดวงตาที่ควรปิดสนิทพลันเปิดออก เผยให้เห็นแสงสีดำวาววับ"มันตื่นขึ้นแล้ว!" โม่จื่อหลิงกล่าวเสียงหนัก ขณะกระชับกระบี่ในมือแต่ก่อนที่ใครจะทันได้ขยับ รากไม้สีดำพุ่งขึ้นฟ้า ก่อนจะแตกกระจาย เสียงกระดูกดังลั่น ไม่ใช่แค่จักรพรรดิตงเยว่ แต่ศพของทหารและข
จวินชางหลางกระเด็นกลิ้งหลายตลบก่อนจะยันตัวลุกขึ้นมา มองรอบด้านอย่างไม่สบอารมณ์ สถานที่เบื้องหน้านั้นเต็มไปด้วยซากหินและพื้นผนังที่ปกคลุมไปด้วยตะไคร่น้ำ“ที่นี่มัน...ใต้ดินหรือ” หลี่หลิงเฟิ่งกวาดตามองอย่างระแวดระวัง“ข้าหวังว่ามันจะไม่ใช่กับดักอะไรอีกนะ” จวินชางหลางโอดครวญ “ฟ้าไม่มีตา ไม่เข้าข้างข้าบ้างเลย”ทั้งสามคนเดินลึกเข้าไปในโพรงใต้ดิน เส้นทางทอดยาวราวกับไม่มีที่สิ้นสุด เสี่ยวจูจูที่เกาะอยู่บนบ่าหลี่หลิงเฟิ่งส่งเสียงครางเบาๆ อย่างไม่สบายใจ“มันรู้สึกอะไรบางอย่าง” หลี่หลิงเฟิ่งเอ่ยเบาๆ นางยกมือขึ้นลูบหัวเสี่ยวจูจูเพื่อปลอบ “ระวังตัวไว้”ภายในมิติมายาของนางกลับเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างไม่คาดคิด ดาบกลืนวิญญาณ ที่ปักนิ่งอยู่กลางทุ่งมายาพลันสั่นสะท้าน เสียงหวีดแหลมต่ำ เส้นแสงสีดำปะทุจากคมดาบราวกับมีสิ่งเร้นลับพยายามฉุดกระชากมันให้หลุดจากพันธนาการ“ไม่... ไม่ดีแล้ว!” เสี่ยวมู่ร้อง ดวงตาสีครามของมันเบิกกว้างหลี่หลิงเฟิ่งเม้มปาก มองสภาพแปรปรวนในมิติของนาง ที่พื้นดินซึ่งเคยนิ่งสงบกลับแตกออก เผยให้เห็นแสงสีเทาหม่นที่หมุนวนราวกับวงกตแห่งวิญญาณในจุดนั้นมีวัตถุสีมืดสนิทลอยเด่นอยู่กลางอากาศ มั
บุกแคว้นตงเยว่เปลวไฟลุกโชนสูงตระหง่าน วังหลวงของแคว้นตงเยว่ที่เคยโอ่อ่ากลายเป็นสนามรบ เปลวเพลิงจากของหลี่หลิงเฟิ่งเผาผนังไม้สักทองคำจนแตกเปรี๊ยะ เสียงกรีดร้องของทหารแคว้นตงเยว่ดังระงมจวินชางหลางหัวเราะเสียงดัง ขณะฟาดฟันศัตรูที่ขวางหน้า "นี่แหละที่ข้ารอคอยมานาน วังนี้ข้าเห็นแล้วยังอยากเผาเล่น"ทหารของแคว้นตงเยว่ล้มตายลงทีละคน ซากศพกองเรียงรายจนแทบไม่มีทางเดิน หลี่หลิงเฟิ่งมองซากปรักหักพังอย่างเยือกเย็น "วังโอ่อ่าขนาดนี้ วันนี้ก็ถึงคราวต้องมอดไหม้ไปพร้อมกับบาปของมันแล้ว""เจ้าคิดจะทำลายทุกอย่างจริงๆ หรือ ง่ายไปหน่อยกระมัง" เสียงหนึ่งดังขึ้นจากเบื้องบน ร่างสูงสง่างามในชุดมังกรสีทองปรากฏตัวท่ามกลางเงาเปลวเพลิง ฮ่องเต้แห่งแคว้นตงเยว่ ดวงหน้าคมคายที่เปี่ยมด้วยอำนาจแฝงไปด้วยความน่าเกรงขาม"ข้ารู้จักสมญานามของพวกเจ้ามาบ้าง หญิงชั่วร้ายกับชายคู่หมั้นหน้าโง่ แต่กลับถูกยกย่องให้เป็นความภาคภูมิของแคว้นหลิวอวิ๋น"หลี่หลิงเฟิ่งเลิกคิ้วแปลกใจ ไม่คิดว่าพวกนางจะมีฉายาเช่นนี้ด้วย โด่งดังไม่เบาเลยหนา ฮ่องเต้ตงเยว่หัวเราะ "เจ้าคิดว่าการเผาวังหลวงของข้าจะทำให้แคว้นหลิวอวิ๋นพ้นภัยหรือ ช่างเป็นความคิดตื
กองกำลังขันทีผู้ซื่อสัตย์ของฮ่องเต้ ซึ่งได้รับการฝึกฝนให้ปกป้องวังหลวงมาตั้งแต่เยาว์วัย ยืนหยัดต้านทานคนชุดดำอย่างสุดชีวิต ถึงแม้พลังยุทธ์ของพวกเขาจะด้อยกว่าศัตรูมากนัก แต่ด้วยความภักดีที่ฝังแน่นในหัวใจ พวกเขาไม่มีวันปล่อยให้ราชวงศ์หลิวอวิ๋นล่มสลายไปต่อหน้าต่อตา"ถ้าจะตาย ก็ให้ตายเพื่อฝ่าบาท!" หัวหน้าขันทีตะโกนลั่น เสียงของเขาแฝงด้วยความมุ่งมั่นที่ไม่ยอมพ่ายแพ้เสียงดาบกระทบกันดังสนั่น ขันทีผู้หนึ่งฟาดดาบเข้าใส่คนชุดดำ แต่กลับถูกพลังยุทธ์มหาศาลกระแทกจนล้มลง เลือดสาดกระเซ็นไปทั่วพื้นหิน"อย่าปล่อยให้พวกมันเข้าใกล้ฝ่าบาท!" หัวหน้าขันทีตะโกนอีกครั้ง ก่อนจะพุ่งตัวไปขวางคนชุดดำที่พยายามบุกเข้ามาฮ่องเต้ที่ยังทรงยืนอยู่ด้วยพระวรกายที่บาดเจ็บสาหัส ดวงเนตรของพระองค์เคร่งขรึมแต่เปี่ยมด้วยความเด็ดเดี่ยว แม้พระโลหิตจะไหลซึมจากบาดแผลที่พระอุระ แต่พระองค์ไม่คิดจะล่าถอยหยวนกุ้ยเฟยยืนมองภาพนั้นด้วยความสะใจ ใบหน้าของนางฉายแววบ้าคลั่ง "ฝ่าบาทยังดื้อรั้นเช่นเคย... แต่ครั้งนี้ข้าจะทำให้ท่านสิ้นสิ้นลมหายใจไปพร้อมกับบัลลังก์ที่ท่านหวงแหนนัก!"ดวงตาของนางเรืองแสงด้วยพลังพิษสีดำที่แผ่ออกมาจากปลายนิ้ว นางสะ
"โจมตีที่แก่นพลังในกะโหลก พวกมันจะฟื้นตัวไม่ได้ถ้าแก่นนั้นถูกทำลาย" เสียงสั่งการของหลี่เฟยหยางดังขึ้นท่ามกลางเสียงคำรามของสัตว์อสูรเน่าเปื่อยที่น่าสะอิดสะเอียน หลี่หลิงเฟิ่งที่กำลังฟาดแส้เพลิงใส่สัตว์อสูรตนหนึ่งถึงกับชะงัก นางหรี่ตาจ้องมองหลี่เฟยหยางที่ดูมั่นใจในการโจมตีราวกับรู้จุดอ่อนของพวกมันดีราวกับฝ่ามือตัวเอง"ทำลายแก่นพลังงั้นหรือ" หลี่หลิงเฟิ่งพึมพำเบาๆ ก่อนจะหันไปสบตาโม่จื่อหลิง "ลองทำดู!"โม่จื่อหลิงไม่รีรอ เขาพุ่งเข้าใส่สัตว์อสูรตัวหนึ่งราวกับพายุ กระบี่ในมือเปล่งประกายสีเงินวาววับ ปลายกระบี่พุ่งตรงเข้าหากะโหลกของมันอย่างรวดเร็วและแม่นยำ เสียงแตกดังลั่นเมื่อแก่นพลังถูกทำลาย ร่างของมันล้มลงกับพื้นและสลายกลายเป็นผุยผงในชั่วพริบตา"ได้ผลจริงๆ ด้วย!" หลูหวั่นชิงตะโกนขึ้นด้วยความดีใจ นางกวัดแกว่งพัดเหล็กในมือ สร้างกระแสลมเพลิงพุ่งตรงเข้าใส่กะโหลกของสัตว์อสูรอีกตัว เผาไหม้แก่นพลังจนแตกละเอียดแต่หลี่หลิงเฟิ่งกลับไม่ได้รู้สึกโล่งใจ ดวงตาคู่งามของนางจับจ้องหลี่เฟยหยางที่ยังคงต่อสู้อย่างดุดัน ร่างสูงสง่างามของเขาขยับอย่างแม่นยำและมั่นใจราวกับนักล่าที่ชำนาญ สายตาของนางแฝงไว้ด้วยความส
การต่อสู้ในสุสานสัตว์อสูรยังคงดำเนินไปอย่างดุเดือด พลังยุทธ์และอาวุธหลากชนิดพุ่งเข้าใส่ร่างสัตว์อสูรเน่าเปื่อยเหล่านั้นครั้งแล้วครั้งเล่า แต่กลับไม่ได้ผลเท่าที่ควร ทุกครั้งที่พวกมันล้มลง มันกลับลุกขึ้นมาใหม่ราวกับไม่มีที่สิ้นสุด“พวกมันมีแต่มากไม่มีลดลงเลย ขืนแบบนี้ต่อไปไม่ดีแน่ เราต้องออกจากที่นี่โดยด่วน” หลูหวั่นชิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงร้อนรน นางใช้พัดเหล็กในมือกวาดเปลวไฟออกไป เผาสัตว์อสูรตัวหนึ่งจนมอดไหม้ แต่เพียงครู่เดียว ร่างที่ไหม้เกรียมนั้นก็กลับมาฟื้นคืนและกระโจนเข้ามาอีกครั้ง“ทางออกอยู่ไหนกันล่ะ สู้มาจะค่อนวันแล้วข้ายังไม่เห็นว่าจะมีสักแม้เงา” จวินชางหลางตะโกนกลับ เสียงของเขาแฝงด้วยความเหนื่อยล้า กระบี่ของเขาเปื้อนเลือดสัตว์อสูรจนไม่เหลือเค้าเดิมหลี่หลิงเฟิ่งเบี่ยงตัวหลบกรงเล็บของสัตว์อสูรตัวหนึ่งที่ฟาดลงมา นางสะบัดแส้เพลิงในมือออกไป เปลวไฟสีแดงฉานลุกโชนขึ้น เผาร่างของมันจนแตกสลาย แต่ในเวลาเดียวกัน นางก็ใช้สายตาสำรวจพื้นที่รอบตัว“ถ้าค่ายกลนี้ถูกทำลายแล้ว พวกมันไม่ควรถูกยึดติดกับพื้นที่นี้อีก ล่อพวกมันกระจายตัวออกไปก็สิ้นเรื่อง พวกมันถูกดึงดูดจากต้นไม้แห่งชีวิต ตอนนี้ไม่มีเหลือแ
กลุ่มของหลี่หลิงเฟิ่งติดตามคำบอกเล่าของนุ่มนิ่มมาตลอดทางจนกระทั่งมาถึงจุดหมายเบื้องหน้า สิ่งที่พวกเขาเห็นคือปากถ้ำขนาดใหญ่ที่ดูเหมือนซ่อนตัวอยู่ภายในเงาไม้หนาทึบ ถ้ำนี้ดูไม่ต่างจากที่หลี่หลิงเฟิ่งได้ยินจากคำรายงานของนุ่มนิ่มเหลียนฉือกงและเหลียนฉู่ฉู่นั่งพิงกันอยู่หน้าถ้ำ ดวงหน้าซีดเซียวและเต็มไปด้วยร่องรอยบาดแผลของการต่อสู้ เหลียนฉือกงมีบาดแผลใหญ่ที่สีข้าง ขณะที่เหลียนฉู่ฉู่กุมป้ายหยกแน่นราวกับไม่อาจปล่อยจากมือ“ข้าเจอพวกเขาแล้ว” หลูหวั่นชิงชี้ไปยังสองพี่น้องแคว้นเหลียน นางรีบจะก้าวเข้าไปหา แต่หลี่หลิงเฟิ่งยกมือขึ้นห้ามไว้ทันที“อย่าเพิ่งเข้าไป” หลี่หลิงเฟิ่งบอกเสียงเฉียบพลัน ดวงตาของนางหรี่ลงมองภาพเบื้องหน้า ในขณะที่ทุกคนเห็นเพียงถ้ำที่ดูปลอดภัย แต่สิ่งที่นางเห็นกลับต่างออกไปโดยสิ้นเชิงภาพเบื้องหน้าของหลี่หลิงเฟิ่งไม่ได้เป็นเพียงปากถ้ำ แต่เป็นสุสานสัตว์อสูรที่เต็มไปด้วยซากศพของสัตว์อสูรนานาชนิด กองกระดูกที่เรียงรายอยู่ทุกหนแห่งส่งกลิ่นคาวเลือดจางๆ ที่ดูเหมือนจะยังไม่แห้งสนิท ราวกับพวกมันเพิ่งล้มตายไม่นานนางหันมองรอบตัวอย่างระแวดระวัง เสียงของถิงถิงดังขึ้น“นายท่านที่นี่ถูกสร้างค่า
เสียงหอบหายใจของหลี่หลิงเฟิ่งและคนอื่นๆ ดังขึ้นท่ามกลางเสียงคำรามอันต่ำของฝูงอสูรที่ล้อมรอบพวกเขาไว้ มันไม่ได้เป็นเพียงสัตว์อสูรธรรมดา หากแต่เป็นสิ่งมีชีวิตที่ตายไปแล้วและถูกปลุกขึ้นมาด้วยพลังลึกลับ เนื้อหนังที่เน่าเปื่อยของพวกมันเต็มไปด้วยกลิ่นเหม็นคาวและความสยดสยองที่แผ่กระจายไปทั่ว“เจ้าพวกนี้มันไม่มีวันตายจริงๆ สินะ” หลูหวั่นชิงพึมพำ น้ำเสียงของนางแฝงไปด้วยความตื่นตระหนกยิ่งยวด“แต่พวกเราตายได้นะ” จวินชางหลางตะโกนพลางหมุนตัวฟาดดาบในมือผ่านร่างอสูรตัวหนึ่งจนขาดเป็นสองท่อน แต่ในเสี้ยววินาทีต่อมา เศษเนื้อและกระดูกที่แตกกระจายกลับเริ่มเคลื่อนไหวและประกอบร่างอีกแล้ว เป็นอย่างนี้ทุกครั้งไป“ไม่ว่าเจ้าจะฟันอีกกี่ครั้ง มันก็ยังรวมร่างได้ เสียเวลาเปล่า” หลี่หลิงเฟิ่งกล่าวเสียงเรียบ นางสะบัดมือข้างหนึ่ง ผ้าสีแดงสิบเส้นพลันพุ่งออกไปพร้อมเปลวเพลิงที่ลุกโชติช่วง แส้เพลิงฟาดลงบนร่างของสัตว์อสูรตัวหนึ่งเสี่ยวจูจูที่ยืนอยู่ข้างหลี่หลิงเฟิ่งส่งเสียงร้องคำรามอันทรงพลัง ร่างเล็กของมันกระโจนออกจากที่มั่น ลวดลายสีดำสลับทองบนตัวส่องประกายระยับ ขณะที่กรงเล็บของมันตวัดฉีกกระชากอสูรตัวหนึ่งจนกระเด็นไปไกล