ช่วงนี้แคว้นหลิวอวิ๋นมีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมาย
เรื่องสนุกปากในโรงเตี๊ยมและตามตรอกซอกซอยมีเพิ่มขึ้นทุกวัน เรื่องเล่าที่เป็นที่กล่าวขานมากสุดคงหนีไม่พ้นเรื่องคู่หมั้นขยะขององค์ชายรองผู้เป็นเลิศในทุกด้าน ได้รับความนิยมจนโรงละครนำมาทำเป็นเรื่องเล่าหลายต่อหลายบท เหตุการณ์สำคัญในเรื่องพูดถึงความอาภัพอับโชคขององค์ชายรอง หน้าตาอัปลักษณ์ของคู่หมั้น รวมไปถึงเสนาบดีหลี่ใช้อำนาจบาตรใหญ่บังคับเหล่าองค์ชายแต่งงานกับหลานสาวอันเป็นที่รัก ฮ่องเต้เห็นแก่คุณงามความดีของเจ้าเมืองหลี่จึงได้ยกองค์ชายรองให้หมั้นหมายกับบุตรสาวตระกูลหลี่ ที่ได้ชื่อว่าตัวไร้ค่า
ชาวบ้านต่างพากันเห็นใจสงสารองค์ชายรอง สาปแช่งก่นด่าหลี่หลิงเฟิ่งและเจ้าเมืองหลี่
เรื่องราวอัปยศอดสูทำเอาเจ้าเมืองหลี่โกรธจนแทบจะกระอักเลือด ขุนนางทั้งหลายพากันประณามเขา ฎีกาหลายฉบับส่งตรงไปหาฮ่องเต้ให้ยุติการหมั้นหมายนี้ลง ตัวเขาเองที่เป็นบิดาก็เห็นด้วยอย่างยิ่ง แต่ไหนเลยจะมีใครคิด ไม่เพียงฮ่องเต้ไม่เอ่ยปากทัดทาน หากแต่ทรงกริ้วเหล่าขุนนางที่ร้องเรียนหน้าท้องพระโรง ออกว่าราชการยังไม่เสร็จก็สะบัดแขนเสื้อจากไป
ชายวัยกลางคนรู้สึกเหมือนตนเองเป็นคนใบ้ที่กินหวงเหลียน* เขาน่ะหรืออยากให้ตัวไร้ค่าอย่างนางลูกไม่รักดีแต่งเข้าราชวงศ์ ตัวไร้ค่าอย่างนางแค่พูดถึงก็ให้สะอิดสะเอียนเต็มที แค่นางอยู่ในตระกูลของเขาก็ทำให้วงศ์ตระกูลแปดเปื้อนไม่รู้เท่าไหร่ ถูกขับไล่ออกไปไกลๆ ตา ให้ผู้คนลืมเลือนเป็นเรื่องดีที่สุดแล้ว
แรกเริ่มก็เป็นเพราะพระประสงค์วัยเยาว์ขององค์ชายรองที่มาขอหมั้นหมายหลี่หลิงเฟิ่ง ไม่อย่างนั้นด้วยฐานะต่ำต้อยของนางน่ะหรือจะมีวาสนาได้เป็นถึงว่าที่พระชายาแห่งแว่นแคว้น
ทว่า ฮ่องเต้กลับส่งสารให้หลี่หลิงเฟิ่งเข้าเฝ้า พร้อมทั้งให้นางเข้าเรียนในสำนักศึกษาหลวงกับองค์ชายรองเพื่อกระชับความสัมพันธ์
นี่มันเรื่องบ้าอันใด เป็นที่รู้กันไปทั่วว่าลูกสาวคนนี้ของเขาไม่เป็นแม้กระทั่งพลังยุทธ์ แล้วจะให้นางเข้าร่ำเรียนอย่างไร ฮ่องเต้ว่างเกินไปจึงหาเรื่องมาทำให้ทั้งราชวงศ์และตระกูลหลี่อับอายขายหน้าเช่นนั้นหรือ
หลี่จ้งใช้เวลาเพียงสามวันเดินทางกลับบ้าน เมื่อกลับถึงจวนเรื่องแรกที่เขาสั่งการคือให้คนไปรับตัวหลี่หลิงเฟิ่ง แต่เขากลับไม่คาดคิดเลยว่าน้องชายและคนของภรรยาจะล่วงหน้าไปก่อนแล้ว และได้ทำเรื่องให้บานปลายเข้าไปใหญ่
คืนนั้นจวนตระกูลหลี่เต็มไปด้วยความวุ่นวาย หลี่จ้งโมโหไม่ยอมร่วมหลับนอนกับภรรยาเอก ขลุกตัวอยู่แต่ในห้องหนังสือทั้งคืน ดรุณีน้อยเยาว์วัยอาภรสีขาวนางหนึ่งทักท้วงออกมาอย่างไม่พอใจ “ท่านแม่ ไยจึงต้องรีบรับนางกลับมากันเล่า”
โจวชิงหรานมองหลี่หรูอี้ บุตรสาวอันเป็นที่รัก มือที่แอบไว้ในชายแขนเสื้อสั่นระริก สายตารักใคร่ที่มักจะปรากฏในช่วงเวลาปกติพลันแผ่กลิ่นอายเย็นชาขึ้น ตวัดมองบุตรสาวอย่างไม่พอใจ “หลี่เฟยหยางไปตามนางร่วมเดือนแล้วยังไม่มีข่าวสารอันใดให้เห็น ไม่รู้ว่าสองคนนั้นรวมหัวคิดจะทำอันใดกันอยู่ ลากตัวเด็กเวรนั่นกลับมาก่อนพิธีปักปิ่น เป็นเรื่องที่สมควรแล้ว”
หากพวกนั้นต้องการหลีกเลี่ยงการทำพิธีแล้วใส่ไคล้ขึ้นมา นางไม่ต้องแบกรับข้อครหาว่าเป็นแม่เลี้ยงใจทรามหรอกรึ อีกอย่าง หากสามารถควบคุมเด็กนั่นให้อยู่ในกำมือเสียแต่เนิ่นๆ ถึงจะเป็นการดีต่อพวกนางแม่ลูก
“ตัวไร้ค่า ไร้ยางอายอย่างหลี่หลิงเฟิ่งมีอะไรดี ทำไมถึงถูกใจองค์ชายรองได้” หลี่หรูอี้ส่งเสียงฮึดฮัด นางไม่ยอมขยะอย่างหลี่หลิงเฟิ่งถือดีอย่างไรมาเทียบเคียงองค์ชายรอง
“อี้อี้!” โจวชิงหรานเอ่ยปราม “ระวังคำพูดด้วย อย่าให้ท่านพ่อของเจ้าได้ยินคำพูดเช่นนี้ออกจากปากเจ้าเป็นอันขาด”
หลี่หรูอี้ตัดพ้ออย่างไม่ยินยอม “ท่านพ่อได้ยินแล้วอย่างไร คนทั้งแคว้นต่างก็รู้ว่านางเป็นตัวไร้ค่าของตระกูล เพราะนาง ทำให้บรรดาพี่หญิงน้องหญิงตระกูลอื่นดูถูกพวกเราตระกูลหลี่ ไล่นางออกไปให้พ้นๆ ก็ดีอยู่แล้ว นี่มันอะไรกัน อยู่ดีๆ ถึงอยากรับนางกลับมา” พี่ชายใหญ่ไปรับนางเศษสวะนั่นกลับมาก็ทำเอานางหงุดหงิดมากแล้ว ท่านแม่ยังให้ท่านอาสามไปรับนางกลับมาอีก สำคัญตัวผิดไปหรือไม่
“อี้อี้ เจ้าจะสนใจนางไปทำไม นางเป็นเพียงวัชพืชที่มาอยู่ในตระกูล สักวันต้องกำจัดทิ้ง เจ้าเป็นคุณหนูคนสำคัญพลังยุทธ์โดดเด่นของเมืองหลี่ แล้วจะไปให้ค่าคนต่ำต้อยเช่นนั้นทำไม”
“แต่ว่า...” ใจของหลี่หรูอี้ไม่ยินยอม
“ในเมื่อแม่เคยไล่นางออกไปได้ครั้งหนึ่ง ย่อมไล่นางออกไปได้เป็นครั้งที่สอง อย่าลืมสิ แม่ของเจ้าเป็นนายหญิงใหญ่แห่งจวนนี้ นางกลับมาแล้วจะอยู่อย่างมีหน้ามีตาหรือไม่ นั่นก็ไม่แน่”
“ถ้าเกิดนางไม่ต้องกลับมาอีกเลยก็คงดีกว่านะเจ้าคะ” หลี่หรูอี้โพล่งออกมาอย่างไม่สบอารมณ์ เมื่อรู้ว่าตนเองพูดเสียงดังเกินไปจึงรีบยกมือปิดปากแน่นสนิท
โจวชิงหรานส่ายหน้า ไม่ใช่นางไม่เคยคิด เรื่องมาถึงขั้นที่ท่านพี่เอ่ยปากด้วยตนเอง ถ้าเกิดมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นระหว่างทาง นางคงต้องถูกสามีตนเองระแวงสงสัย อาจถึงขั้นเบื่อหน่ายนางก็เป็นได้ เพราะฉะนั้นไม่เพียงแค่หลี่หลิงเฟิ่งกลับบ้าน ยังต้องกลับมาอย่างปลอดภัยด้วย
ได้แต่หวังว่านายท่านสามและบ่าวคนสนิทจะได้รับข่าวทันท่วงที
“คู่หมั้นหรือ” โจวชิงหรานเอ่ยอย่างเย็นชา “ไม่นึกเลยว่า...แค่ต่อเวลาหายใจให้สามปี กลับไม่เจียมตัวใช้ชีวิตอย่างสงบในชนบท ริอ่านเป็นหงส์ ช่างไม่รู้จักฟ้าสูงดินต่ำ...หึ...ข้าจะรอดูว่าเมื่อกลับมาแล้วเจ้าจะเป็นหงส์หรือเป็นไก่ คอยดูว่าข้าจะจัดการกับเจ้าอย่างไร เจ้าไม่โชคดีเช่นนี้อีกเป็นแน่”
ทางด้านหลี่หลิงเฟิ่งนั้นไม่ได้รับรู้อะไรด้วยเลย นางเดินนวยนาดไปนั่งตรงเก้าอี้ปีกซ้ายที่ยังว่างอยู่ ไม่แม้แต่จะชายหางตามองผู้มีศักดิ์เป็นอาสามของนางแม้แต่น้อย ท่าทางเหมือนเด็กไร้คนอบรมบ่มนิสัย “คุณหนูห้า”
หลี่หลิงเฟิ่งยกมือรับถ้วยชาจากเสี่ยวเซียงขึ้นมาจิบเบาๆ หลูหมิ่น คนสนิทของโจชิงหรานและหลี่เชา นายท่านสามตระกูลหลี่ขมวดคิ้วมุ่น ความรังเกียจฉายชัดในแววตา
“เศษขยะ” หลี่เชาเห็นเช่นนี้ ภายในใจเกิดความไม่พอใจถึงกับก่นด่าหญิงสาวออกมาตรงๆ
สตรีที่กำลังลิ้มรสชาชะงักไปชั่วครู่ บรรยากาศในห้องโถงพลันเย็นเยียบลงทันที เหล่าผู้ติดตามที่ยืนอยู่ข้างหลังสีหน้าไม่ค่อยดีนัก
หลี่หลิงเฟิ่งมองประเมินหลี่เชาด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก น้ำเสียงราบเรียบไม่บ่งบอกอารมณ์ดังขึ้น “ท่านอาสาม”
หลี่เชาเห็นหลี่หลิงเฟิ่งมองประเมินตนเองอย่างเปิดเผยเช่นนี้ยิ่งทำให้เขาเดียดฉันท์ขึ้นไปอีก เด็กบ้านนอกไร้ซึ่งคนอบรมมารยาทจะดีได้สักแค่ไหน เทียบไม่ได้สักครึ่งส่วนของหลานอี้อี้เลยด้วยซ้ำ นอกจากหน้าตาสะสวยมากกว่าหน่อย ก็ไม่มีสิ่งใดดึงดูดบุรุษเพศได้ ใบหน้าของหลี่เชาพลันปรากฏแววดูแคลนสะอิดสะเอียนอย่างปิดไม่มิด
เดิมทีทุกคนต่างลืมสัญญาหมั้นหมายครั้งนั้นไปแล้ว ปีนี้องค์ชายรองอายุครบยี่สิบปี สมควรแก่การเลือกเฟ้นพระชายา พวกเขาหมายจะส่งหลี่หรูอี้ขึ้นครองตำแหน่ง นึกไม่ถึงว่าองค์ชายรองยังทรงระลึกถึงนาง บอกกล่าวกับฮ่องเต้เรื่องการหมั้นหมายเมื่อครั้งยังเยาว์ ส่งผลให้มีราชโองการเรียกตัวหลี่หลิงเฟิ่งเข้าเฝ้า
หลูหมิ่นที่ยืนอยู่ข้างๆ นั้นไม่เหมือนกัน เขามองหลี่หลิงเฟิ่งราวกับมองศัตรูคู่อาฆาต แววตาเหยียดหยันแสดงออกโจ่งแจ้งไม่เก็บงำซ่อนเร้นไว้แม้เพียงนิด
ชายหนุ่มพูดอย่างแค้นเคือง สืบเท้าเข้ามาใกล้หลี่หลิงเฟิ่ง “คุณหนู ท่านควรมีสัมมาคารวะต่อผู้อาวุโส ถึงแม้ฮูหยินสามจะเสียชีวิตไปนานแล้ว แต่ก็ไม่ถึงขั้นที่ท่านจะลืมวิธีการเคารพผู้ใหญ่หรอกกระมัง กิริยาไร้หัวนอนปลายเท้าถึงเพียงนี้ ทำให้คนอยากจะอาเจียน ไม่ต้องไปถึงตำแหน่งพระชายาเลย ต่อให้จวนเจ้าเมืองก็มิอาจยอมรับคนไร้การศึกษา...”
ตึง!
พูดไม่ทันจบ ขาทั้งสองข้างพลันอ่อนแรง รู้สึกถึงความเจ็บแปลบบริเวณข้อพับ ครั้นก้มไปมองพลันสบเข้ากับถ้วยชากลิ้งหลุนๆ อยู่ด้านข้าง
ทั่วทั้งห้องโถงเงียบกริบทันที ทุกคนต่างมองหลูหมิ่นที่คุกเข่าลงตรงหน้าหลี่หลิงเฟิ่งด้วยความตื่นตะลึง
ท่ามกลางบรรยากาศกระอักกระอ่วน มีเพียงหลี่หลิงเฟิ่งนวดข้อมือขวามองหลูหมิ่นด้วยหางตา “คนที่ต้องทำความเคารพสมควรเป็นเจ้า ข้าอนุญาตให้เจ้าพูดรึ ถึงมีปากมีเสียงในที่นี้ได้ ยิ่งไปกว่านั้น กล้าดียังไงมาชี้หน้าด่าเจ้านาย ไม่รู้จักประมาณตน ซ้ำยังไม่รู้ฟ้าสูงดินต่ำ”
หญิงสาวส่งเสียงเยาะเย้ยออกมา “ดูท่าฮูหยินใหญ่จะสั่งสอนคนใต้อาณัติออกมาได้ดี ถึงขั้นสามารถกดข่มคุณหนูของจวนได้เช่นนี้ น่านับถือจริงๆ”
“โอหัง!” หลี่เชาตบโต๊ะ ลุกขึ้นยืนชั่วพริบตาร่างชายวัยกลางคนพรุ่งพรวดมาหยุดยืนตรงหน้าหลี่หลิงเฟิ่งด้วยความโกรธเกรี้ยว หมายจะเห็นความหวาดกลัวให้แววตาตัวไร้ค่า แต่เขากลับต้องนึกแปลกใจเมื่อเห็นแววตาสนุกสนาน ไม่ผิด เป็นแววตานึกสนุก มองพวกเขาราวมดปลวก นี่...
ตึง!
“โอ้” หลี่หลิงเฟิ่งทำท่าทางผงะถอยหลังหนึ่งจังหวะอย่างแนบเนียน “เหตุใดท่านอาถึงลงไปคุกเข่าอีกคนเล่า ท่านคารวะขออภัยข้าเช่นนี้ ไม่พอใจอันใดต่อข้าใช่หรือไม่” เพลิงโทสะหลี่เชาลุกโหม เขาน่ะหรือคุกเข่าขอขมานาง เห็นได้ชัดว่ามีคนลอบทำร้ายเขาต่างหาก!
“ไยท่านทำถึงเพียงนี้ แค่คำพูดไม่รู้จักคิดของบ่าวรับใช้คนหนึ่ง ยังไม่ถึงคราให้ท่านต้องออกโรงปกป้องเลยสักนิด หลานสาวคนนี้แค่สั่งสอนเขาแทนฮูหยินใหญ่เท่านั้น ท่านทำเช่นนี้จะไม่เป็นการสาปแช่งให้ข้าตายไวขึ้นหรอกหรือ” น้ำเสียงตกใจเกินกว่าเหตุดังขึ้นไม่ขาดสาย
สายตาตกตะลึงทั้งหมดย้ายไปยังร่างของหลี่เชาอย่างรวดเร็ว ความเงียบอันผิดวิสัยชวนขนหัวลุก เหล่าผู้คุ้มกันไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้นได้แต่ยืนนิ่งไม่กล้าขยับเขยื้อน
หลี่เชาคุกเข่าเป็นเวลานานก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะลุกขึ้น น้ำเสียงหลี่หลิงเฟิ่งพลันเปลี่ยนเป็นราบเรียบอีกครั้ง “ท่านอาสาม ท่านหมายจะให้ทำให้หลานคนนี้ลำบากใจใช่หรือไม่”
อันใด? เขานี่นะไม่อยากลุกขึ้น ทำให้นางลำบากใจน่ะรึ เขาทำแน่! แต่ไม่ใช่การลดศักดิ์ของตนเองคุกเข่าต่อหน้านางเด็กขยะนี่ ประกายสังหารแผ่ออกมาจากสีหน้าอย่างแจ่มชัด
“เจ้าทำอันใดข้า!” หลังจากน้ำเสียงเพลิงพิโรธแผ่ออกมาจากหลี่เชา ทุกคนมองหลี่เชาอย่างประหลาดใจระคนงุนงง ครั้นเขาสัมผัสถึงบรรยากาศภายในห้อง สีหน้าพลันมืดครึ้มลง
“ตัวไร้ค่าอย่างเจ้าไม่มีปัญญาเล่นงานข้าได้หรอก” หลี่เชาละล่ำละลักแก้ตัว พยายามยันตัวลุกขึ้น แต่ขาทั้งสองข้างไม่ขยับเลยสักนิด! พลังมหาศาลกดตัวเขาจนไม่อาจขยับได้ “ใครกัน! เจ้าลูกเต่าที่ไหนมันกล้าลอบทำร้ายข้า ไสหัวสารเลวของเจ้าออกมาซะ”
หรือจะเป็น... “หลี่เฟยหยาง! อย่าให้มันมากไปนัก ถึงเจ้าจะเป็นนายน้อยตระกูล แต่ก็ยังไม่ใช่ผู้นำตระกูล ทำแบบนี้ไม่คิดว่าเกินไปหน่อยหรือ” หลี่หลิงเฟิ่งที่ก้มตัวลงหมายจะดึงหลี่เชาให้ลุกขึ้นพลันชะงักค้าง เลิกคิ้วโก่งงอขึ้น จากนั้นยืดตัวขึ้นยืนนิ่งดังเดิม ก้าวออกไปหยุดตรงหน้าหลูหมิ่นแทน
“เสี่ยงเซียง” เอ่ยเรียกสาวใช้แผ่วเบา นิ้วชี้เรียวยาวชี้หน้าหลูหมิ่น “ตบปาก”
“เจ้ากล้า!” เสียงตะโกนตื่นตระหนกดังขึ้นพร้อมกับเสียงฝ่ามือกระทบผิวหน้า
เพียะ!
สาวน้อยตัวสั่นงันงกด้วยความหวาดหวั่น ตั้งแต่ถูกขายมาเป็นข้ารับใช้ นางไม่เคยตบตีใครมาก่อน นางถึงกับ...ถึงกับตบคนสนิทข้างกายฮูหยินใหญ่ สาวน้อยแทบลมจับ มือข้างที่ใช้ตบสั่นระริกไม่หยุด
“เจ้า!” หลูหมิ่นไม่อยากจะเชื่อสายตา ชั่วชีวิตไม่เคยโดนสตรีตบสั่งสอนมาก่อน นางถึงกลับกล้าสั่งคนให้ตบข้า บ้าบิ่นเกินไปแล้ว
“หยุดทำไม ถ้าข้าไม่สั่งให้หยุด เจ้าห้ามหยุด!” จำใส่สมองเจ้าไว้ ใครมันว่าร้ายข้า ไม่เคยมีผลลัพธ์ที่ดี
“เจ้าค่ะ”
เพียะๆๆๆๆ
“หลี่หลิงเฟิ่ง! พวกเจ้าสองพี่น้องมันชักจะมากเกินไปแล้ว เรื่องในวันนี้ข้าต้องรายงานให้พ่อของเจ้ารู้ คอยดูกันว่าพวกเจ้ายังโอหังอันใดได้อีก!” คำพูดโกรธเกรี้ยวเล็ดลอดออกมา แววตาอัดแน่นไปด้วยความคับแค้นใจ เขาอยากจะฆ่าพวกมันให้ตายตกตามกันไปทุกคน
“ท่านกล่าวล้อเล่นอันใด พี่ชายข้านอนรักษาตัวอยู่ในห้องตลอดมา จะมีเรี่ยวแรงมาทำร้ายท่านได้อย่างไร” มาถึงตรงนี้สีหน้าหญิงสาวพลันเยียบเย็น มือสองข้างกอดอกหลวมๆ ก้มมองหลี่เชาที่ยังคุกเข่าอยู่ เหล่าผู้คุ้มกันเห็นท่าทีเช่นนั้น รีบรุดเข้ามาช่วยดึงผู้เป็นนายสุดกำลัง อาจเป็นเพราะออกแรงช่วยกันหลายคน ทันใดนั้นหลี่เชาก็ลุกขึ้นยืน ทำให้เหล่าผู้คุมทั้งหมดและหลี่เชาล้มทับกันระเนระนาดสภาพดูไม่ได้
“เจ้า...นางเด็กเวร เจ้าจงใจใช่หรือ” หลี่เชาที่ร้องโอดโอยกุมบั้นท้ายอยู่บนพื้น ตวัดสายตาขึ้นมามองหลี่หลิงเฟิ่งราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ
“เหอะๆ” หญิงสาวไม่สนใจ หยิบถ้วยชาถ้วยใหม่ รินน้ำชาด้วยท่าทีสบายอกสบายใจ ละเมียดละไมลิ้มรสรสชาใหม่ที่ได้มาจากหูซานเมื่อไม่นานมานี้
“นี่ท่านด้อยความสามารถ ขนาดคนไร้พลังยุทธ์อย่างข้ายังข่มเหงท่านได้น่ะหรือ” คำพูดของหลี่เชาที่กำลังก่นด่าพลันชะงักค้าง “นี่เป็นข้อกล่าวหาที่ตลกที่สุดเท่าที่ข้าได้ยินมาเลยนะ”
“ท่านอา ท่านช่างมีความสามารถไม่เหมือนใคร ข้าขอคารวะ” ความชื่นชมเผยออกมาจากแววตานาง ยกถ้วยชาขึ้นสูงก่อนจะดื่มรวดเดียวหมดจอก
มุมปากหลี่เชากระตุกไม่หยุด ใบหน้าบิดเบี้ยวจนดูไม่ได้ “เหิมเกริม เหิมเกริมยิ่งนัก พี่ใหญ่มีลูกอย่างเจ้านับว่าอัปยศอดสู วงศ์ตระกูลคงได้ล่มสลายที่รุ่นนี้แล้ว เจ้ามันตัวหายนะ”
ปัง!
“เจ้าน่ะสิตัวหายนะ” พลังยุทธ์สีแดงพวยพุ่งกระแทกใส่หลี่เชาตัวปลิวติดขอบเก้าอี้ สีหน้าบุรุษวัยกลางคนซีดเผือดลง เหล่าผู้คุ้มกันได้แต่อ้าปากค้าง นอนนิ่งไม่ขยับราวกับตาย
เมื่อครู่...ขอเพียงออกแรงอีกนิด เขาคง...
“เจ้า...เจ้าเป็นใคร” ความหวาดหวั่นไม่มีที่สิ้นสุดผุดขึ้นกลางใจ เขายกมือลูบหน้าอกโดยไม่รู้ตัว
“ข้าเป็นใครน่ะหรือ” ชายชราย่างสามขุมมายืนเบื้องหน้าหลี่เชา “ข้าก็คือปู่ทวดของทวดของทวดของทวดยายเทียดของเจ้าอย่างไรเล่า”
อัปยศอดสูอันใด วงศ์ตระกูลล่มสลายเกี่ยวอะไรกับศิษย์น้องของเขา เหลวไหลทั้งเพ
*คนใบ้ที่กินหวงเหลียน หมายถึง สมุนไพรจีนชนิดหนึ่งซึ่งมีรสชาติขม แต่เพราะเป็นคนใบ้จึงไม่สามารถบอกใคร ได้แต่เก็บความทุกข์อยู่ในใจ แต่พูดไม่ออก
พลังเช่นนี้...ความรู้สึกกดดันเช่นนี้...ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหลอมรวม ซ้ำยังสูงกว่าเขาอีกหนึ่งขั้น เมื่อครู่ผู้ลอบเล่นงานเขาไม่ใช่สองพี่น้องคู่นั้้น เป็นชายชราผู้นี้แน่นอน เป็นเขาที่กดข่มพลังคนทั้งหมดไว้ เป็นเขาที่บังคับให้ข้าคุกเข่า...หลี่เชาสูดหายใจลึก รู้สึกได้ถึงความตายที่กำลังมาเยือนถึงหน้าประตู“ท่าน...ท่านกับข้า...พวกเราไม่เคยมีเรื่องบาดหมางกันมาก่อน เหตุใดจึงตั้งตนเป็นปรปักษ์ ลอบทำร้ายกันเล่า” ความเงียบปกคลุมทั่วบริเวณ ไม่มีเสียงตอบรับเล็ดลอดออกมา มีเพียงเสียงดังอั่กทีหนึ่ง เลือดสีแดงสดพุ่งกระฉูดเลอะพื้นกระเด็นมาจนถึงจุดที่หลี่หลิงเฟิ่งยืนอยู่พลั่ก พลั่ก พลั่กท่ามกลางการชะงักค้างของทุกคน พลังสีแดงพุ่งไปรอบด้านไม่ขาดสาย เหล่าผู้คุ้มกันเหมือนเป็นง่อยเปลี้ยไร้เรี่ยวแรงตอบโต้ ได้แต่นอนโอดโอยบนพื้นโถงรับรองอันเย็นเฉียบ เพลิงพิโรธของหูซานยังคงไม่มอดดับลงง่ายๆ หันไปเล่นงานหลี่เชาที่นอนพะงาบๆ อยู่บนพื้นไร้เสียงตอบโต้“ช้าก่อน” หลี่หลิงเฟิ่งรีบร้องปรามเมื่อเห็นท่าไม่ดี“ท่านจะฆ่าใครข้าไม่สน แต่อย่าให้คนพวกนี้มาตายในบ้านของข้าเป็นอันขาด” หลูหมิ่นซึ่งเวลานี้ปากชาไปหมดเพิ่งได้สติคืนมา มองทั้งส
เนื่องจากในวังมีการเลื่อนวันเข้าเฝ้า จากกำหนดเดิมคือสิบห้าวันหลังเสร็จพิธีปักปิ่นของนาง ไม่รู้เพราะเหตุอันใดจึงร่นระยะเวลาให้เหลือเพียงสามวันเป็นเหตุให้พวกนางต้องเร่งกลับบ้านทันทีเพื่อเข้าร่วมงานปักปิ่นที่จะจัดขึ้นก่อนกำหนดสิบห้าวัน หากว่ากันตามจริงแล้ว ถ้านางไม่ได้รับความสำคัญในครั้งนี้ขึ้นมา หลี่หลิงเฟิ่งไม่ถูกจัดให้เข้าร่วมและเป็นหนึ่งในตัวเอกของงานแน่นอน ไม่รู้ว่าตอนนี้คนพวกนั้นจะเคียดแค้นใจมากแค่ไหนที่ต้องแบ่งพื้นที่ในจวนแก่น้องห้าอย่างนางได้ใช้สอย“พร้อมหรือยัง”“เจ้าค่ะ”หลี่เฟยหยางลูบหัวนาง “ไม่มีอะไรน่ากลัวหรอก” หลี่หลิงเฟิ่งยิ้มรับ ผงกศีรษะน้อยๆ ก่อนก้าวขึ้นไปนั่งในรถม้าที่จัดเตรียมไว้ใครบอกว่านางกลัวกัน นางเฝ้ารอให้วันนี้มาถึงที่สุดต่างหากด้านนอกมีหลี่เฟยหยางกับหวังซีควบม้าขนาบข้างซ้ายขวา เสี่ยวเฉินคอยกุมบังเหียนขับเคลื่อนรถม้า ส่วนนางผู้ที่สบายสุด กึ่งนั่งกึ่งนอนเอกเขนกอยู่ในรถม้า ฟังเรื่องเล่าขบขันจากสาวใช้ตัวน้อยของคนในเมืองหลี่ไปพลาง มือหยิบขนมที่เสี่ยวเซียงเตรียมไว้เข้าปากไปพลาง ส่วนหูซานกับหวังข่ายนั้นจะติดตามมาทีหลัง จำต้องจัดการลู่ทางโรงหมอที่นั่นสักพักใหญ่ขาดก็
หลี่หลิงเฟิ่งคิดไม่ถึงว่าแค่กลับบ้านจะมีคนมารอรุมทุบตีมากมายขนาดนี้ ยังไม่รวมถึงบ่าวไพร่ที่คุกเข่าอยู่ด้านหลัง และที่แอบอยู่ตามทางเดิน พุ่มไม้ บนเรือนอีกนับสิบยี่สิบคน บรรยากาศคึกคักยิ่งไม่เจอกันไม่กี่ปีคนเหล่านี้ยังคิดว่านางเป็นลูกพลับนิ่มให้ขยำเล่นตามใจชอบเหมือนเมื่อก่อนอยู่อีกสินะ เมื่อมีคนอยากลอง นางจะไม่สนองคืนคงผิดต่อความตั้งใจของคนเบื้องหน้าแล้วนางอยากรู้นักใครจะเข้ามาคนแรกหลายวันที่ผ่านมา หลี่หรูอี้นอนกระสับกระส่ายทุกคืน ใช้ชีวิตอย่างตื่นเต้นวาดหวังรอคอยวันที่หลี่หลิงเฟิ่งกลับมาตั้งแต่เล็กหลี่หลิงเฟิ่งแย่งความงามเป็นเอกกับนางมาตลอด หลี่หรูอี้ไม่อยากยอมรับความจริง เพราะเชื้อโสเภณีชั้นต่ำมันแรงเกินไป ใบหน้างดงามไร้ที่ติจึงประดับอยู่บนหน้านังตัวไร้ค่าทุกเมื่อเชื่อวันผู้คนต่างยกย่องนางเป็นหญิงงามอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลี่ แต่หากคนพวกนั้นได้เห็นความงามของนังตัวขยะนี่ อันดับหนึ่งยังจะมาถึงนางอีกหรือที่นางเกลียดที่สุดคือใบหน้านั้น!ไปอยู่บ้านนอกมาสามปี หลี่หรูอี้คิดไม่ออกเลยว่าผิวพรรณเมื่อโดนแดดจะหยาบกร้านแค่ไหน ผมแห้งไร้น้ำหนักกระเซอะกระเซิง สีผิวหมองคล้ำ อดอยากจนร่างผอมเหมือนกร
เช้าวันนี้เมืองหลี่ครึกครื้นเป็นพิเศษ โรงเตี๊ยมแน่นขนัดไม่มีที่ว่างแม้แต่น้อย บรรดาชนชั้นสูงจากหลายมุมเมืองต่างเดินทางมาร่วมแสดงความยินดีกับคุณหนูทั้งสองของตระกูลหลี่โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลี่หรูอี้ คุณหนูสี่ผู้กำเนิดจากภรรยาเอกของท่านเจ้าเมือง สำหรับหลี่หลิงเฟิ่งพวกเขามีความรู้สึกอันหลากหลาย หลายเดือนก่อนเก้าในสิบส่วนของครอบครัวผู้เข้าร่วมงานเคยยื่นฎีกาเรียกร้องถอดถอนตำแหน่งคู่หมั้น มาวันนี้กลับต้องนำของขวัญมาร่วมแสดงความยินดี บรรยากาศภายในจวนจึงเต็มไปด้วยความแปลกประหลาดในตระกูลใหญ่พิธีปักปิ่นหรือพิธีแสดงความเป็นผู้ใหญ่จัดขึ้นทุกปี เมื่อบุตรีในบ้านอายุครบสิบห้าปีบริบูรณ์ ดังนั้นงานเลี้ยงสกุลหลี่สำหรับแขกเหรื่อที่มาเยือนจึงเป็นเรื่องที่คุ้นเคยกันอยู่แล้ว ไม่ว่าจะมีความสัมพันธ์อันดีกันหรือไม่ ของขวัญที่ควรมอบยังคงต้องมอบออกไป หากบ้านไหนมีความสัมพันธ์อันดีหรือต้องการผูกมิตรกับตระกูลหลี่จะเดินทางมาแสดงความยินดีด้วยตนเอง จากจำนวนที่เข้าร่วมในวันนี้ รากฐานตระกูลหลี่นับว่าไม่ธรรมดา หยั่งรากลึกไม่รู้กี่รุ่นต่อกี่รุ่นไม่เพียงบ่งบอกว่าสตรีสามารถออกเรือนได้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ยังแสดงถึงการผูกพ
โลหิตสดๆ ไหลออกมาจากไหล่ซ้ายของสตรีชุดแดง รอยกรีดลึกเป็นทางยาวประมาณเจ็ดชุ่น* หลี่หลิงเฟิ่งหน้าตาบิดเบี้ยวข่มความเจ็บปวด รับพลังโจมตีทั้งหมดผ่านมือขวา ลำตัวถอยร่นจนสุดขอบเรือน สมกับเป็นสัตว์อสูรหายาก พละกำลังของมันแข็งแกร่งเทียบเท่ากับผู้ฝึกยุทธ์ขั้นกำเนิดใหม่ระดับสูงหลูหวั่นชิง ลืมตาขึ้น มองหลี่หลิงเฟิ่งที่ยืนสู้กับหมูป่าหางทองอย่างตะลึงงัน ลืมความเจ็บปวดจากการโดนพลังยุทธ์ที่กันนางออกมานอนกองอยู่บนพื้น นางหมายจะเข้าไปช่วยหลี่หลิงเฟิ่ง ใครเลยจะคิดว่า...“นาง...นางเป็นพลังยุทธ์” นี่...คำเล่าลือหลายสิบปีเป็นเรื่องหลอกลวงหรือ นางหาใช่ตัวไร้ค่า แต่เป็นผู้มากด้วยพรสวรรค์ต่างหาก!เสียงเซ็งแซ่ดังกระหึ่มทั่วห้องโถง ในที่นี้ไม่มีใครใจคอสงบสักคน เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นเหนือความคาดหมายเกินไปแล้วหมูป่าหางทองคำรามดังขึ้น เจ้าพวกมนุษย์น่าตาย กล้าลอบกัดข้า กระแสไฟฟ้าปลายหางแผ่ลามทั่วทิศ ทั่วทั้งห้องโกลาหลหนีตายกันถ้วนหน้า ห้องโถงที่เคยวิจิตรงดงามพังลงไม่เหลือซาก เสาหลักยึดโครงหลังคาหักลงทีละต้น เวลานี้บริเวณใกล้หลี่หลิงเฟิ่งเหลือเพียงแม่ลูกตระกูลหลู และหลี่เหวินเหยาเท่านั้น ส่วนสองแม่ลูกตัวต้นเรื
เสียงตึงตังบริเวณทางเดินชั้นสองดังสนั่นไปถึงชั้นล่าง จะโทษก็โทษที่หอแพทย์โอสถแห่งนี้วัสดุทำขึ้นจากไม้ บุรุษทั้งสามวิ่งมาหยุดยืนอยู่หน้าประตูบานหนึ่ง หายใจหอบถี่ หวังซีจัดเครื่องแต่งกาย ผมเผ้า และปรับสีหน้าให้สงบนิ่งเหมือนยามปกติ เคาะประตูสองครั้งจากนั้นค่อยๆ ผลักเข้าไปเหยาจี้เห็นท่าทางของหวังซีพลันยิ้มกรุ้มกริ่ม เดินตามหลังเข้าไป มีเพียงถงลี่ยืนเฝ้าสถานการณ์อยู่ด้านนอก ช่างใจจะเข้าไปดีหรือไม่ หลังจากความคิดตีกันในหัวอยู่นาน สุดท้ายตัดสินใจเดินคอตกเข้าไป“ผู้อาวุโสหวัง” เมื่อเห็นชายทั้งสามเดินเข้ามา หนึ่งในนั้นยังมีชายหนุ่มที่ต้องการอยากพบจึงส่งเสียงกระเช้าเย้าแหย่ไปให้ หัวเราะเบาๆ อย่างคนอารมณ์ดีเมื่อได้ยินเสียงหลี่หลิงเฟิ่ง เขาถึงกับขนลุกซู่ มุมปากหวังซีกระตุกครั้งหนึ่ง ยกยิ้มพิลึกพิลั่น พลางเดินเข้าไปหาทั้งสองคนที่นั่งอยู่กลางห้อง“คารวะผู้อาวุโสหวัง” หลี่เจี้ยนลุกขึ้นยืนคำนับ ใคร่นึกสงสัยถึงความสัมพันธ์ของทั้งสองคน ดวงตาคมมองสลับระหว่างหวังซีและหลี่หลิงเฟิ่งไปมาหวังซีพยักหน้าน้อยๆ ตอบกลับหลี่เจี้ยน ทว่า ตัวกลับคำนับหลี่หลิงเฟิ่งแทน ทำเอาทุกคนภายในห้องงุนงงกันถ้วนหน้า “แม่นางหลี่
กว่าจะออกจากหอแพทย์โอสถก็ล่วงเลยเข้ายามซวี* ด้านนอกมืดสนิท หลี่หลิงเฟิ่งอ่อนเพลียจนผลอยหลับในรถม้าตลอดทาง ตอนแรกหวังซีเสนอให้นางพักอยู่ที่หอแพทย์เพื่อดูอาการสักหนึ่งคืน รุ่งสางค่อยกลับไปพักฟื้นที่จวนทว่า คนร้ายยังคงแฝงตัวอยู่ในหอแพทย์โอสถ ทำให้หลี่เจี้ยนปฏิเสธเสียงแข็ง เป็นตายอย่างไรก็ไม่ยอม หลี่หลิงเฟิ่งเองก็อยากกลับจวนเช่นเดียวกัน จึงได้ปฏิเสธออกไป ก่อนจากมายังได้กำชับหวังซีส่งสมุนไพรบางส่วนสำหรับหลอมยาลูกกลอนมาให้นางจำนวนหนึ่งเวลาสามปีแห่งการเก็บตัวของนางผ่านพ้นไปแล้ว ยอดฝีมือแข็งแกร่งมีมากเหลือเกิน หากนางไม่เร่งฝึกพลังยุทธ์ เพิ่มความแข็งแกร่ง ไม่นานนางคงเพลี่ยงพล้ำเข้าสักวัน ไม่เพียงปกป้องคนรอบข้างไม่ได้ ยังไม่มีแม้แต่กำลังจะป้องกันตนเองให้อยู่รอดปลอดภัยเสียด้วยซ้ำเมื่อกลับถึงจวนยังไม่วายถูกหลี่เจี้ยนซักถามเรื่องราวความเป็นมาระหว่างศิษย์พี่ศิษย์น้องของนางกับหูซาน จวบจนเห็นว่าดึกมากแล้วหลี่เจี้ยนจึงยอมล่าถอยกลับไป กว่าหลี่หลิงเฟิ่งจะทำกิจธุระเตรียมตัวเข้านอนเสร็จก็ปาเข้าไปเกือบยามจื่อ*หลี่หลิงเฟิ่งถอนหายใจเบาๆ กล่าวกับเสี่ยวเซียงที่กำลังจัดที่นอนให้นาง“เรื่องนั้นคืบหน้าไปถึงไห
หลี่เจี้ยนชะงักงัน น้องเล็กดีใจที่ได้เจอเขาหรือ ความน้อยใจที่สั่งสมมาตลอดหลายวันพลันจางหายเพียงแค่ประโยคเดียวของนาง ริมฝีปากยกยิ้มอบอุ่น กล่าวอย่างอารมณ์ดี “ไป พี่จะพาเจ้าไปเปิดหูเปิดตา”มือเรียวคล้องแขนผู้เป็นพี่ชาย ส่ายหน้าปฏิเสธ “ข้ามีของขวัญจะให้ท่าน เดิมทีตั้งใจจะมอบให้ตั้งแต่เมื่อวาน แต่เกิดเรื่องขึ้นมากมาย จึงไม่มีโอกาสสักครั้ง” นางกะพริบตากลมโตจ้องมองหลี่เจี้ยนตาแป๋ว น้ำเสียงใสพูดออกจากปากช่างไหลลื่น ไม่ติดขัดสักนิด“สิ่งใดรึ” หลี่เจี้ยนตาเป็นประกาย กล่าวอย่างตื่นเต้น นานเท่าไหร่แล้วที่เขาไม่ได้รับความสำคัญจากน้องเล็ก ตั้งแต่นางกลับมาก็ทำตัวเหินห่างกับเขาราวกับคนแปลกหน้าตอนเด็กก็ยังชอบเกาะติดกับหลี่เฟยหยาง เขาเป็นเพียงพี่ชายที่เดินตามพวกนางอยู่ข้างหลัง นางระลึกถึงเขา จะไม่ให้ดีใจได้อย่างไรรอยยิ้มหวานไปจนถึงดวงตาถูกส่งไปให้อีกครา ชายหนุ่มมองอย่างเคลิบเคลิ้ม “สิ่งนี้มีเพียงหนึ่งเดียวในใต้หล้า ท่านเป็นคนแรกที่ได้รับมันเชียวนะเจ้าคะ”นางปล่อยมือทั้งสองข้างที่คล้องแขนหลี่เจี้ยนออก จากนั้นหยิบเอาตลับยาในอกเสื้อออกมาก่อนยื่นให้ “ท่านเปิดดูสิ”“น้องเล็ก” หลี่เจี้ยนซาบซึ้งใจยิ่งนัก ก
สวีคุนเริ่มสำรวจภายในห้องโถงอย่างตื่นเต้นโดยมีหลี่หลิงเฟิ่งเดินตามอยู่ด้านหลัง เนื่องจากนางเข้าออกโถงแห่งนี้เป็นประจำ จึงรู้สึกเฉยชาอยู่มาก แต่เมื่อเดินเข้ามายังใจกลางห้อง สีหน้าของนางกลับแปรเปลี่ยนจากปกติโดยสิ้นเชิง หันไปมอบรอบ ๆ อย่างน่าประหลาดใจหลี่หลิงเฟิ่งเริ่มสำรวจอีกรอบ จากที่เคยเป็นโถงไม้ธรรมดา เวลานี้กลับแวววาวระยิบระยับดั่งประสาททอง สะท้อนเข้าสู่ดวงตาจนปวดแสบ“โดยปกติแล้วสำนักของเราก็ไม่ขาดแคลนเงินทอง แต่คิดไม่ถึงเลยว่าผู้ก่อตั้งจะเป็นบุคคลร่ำรวยผู้หนึ่ง ขนาดที่พำนักยังสร้างมาจากทองคำ!” สวีคุนเก็บอาการไม่ไหวอุทานออกมา ท่ามกลางของมีค่ามากมายเรียงรายอยู่ตรงหน้า ทำให้เขาตาลายอย่างช่วยไม่ได้เมื่อมองไปรอบตัวนอกจากจะเห็นทองคำและเพชรนิลจินดาแล้ว บนผนังห้องยังมีรูปภาพของผู้ก่อตั้งแขวนไว้หลายรูป ช่างน่าเหลือเชื่อ หรือคนผู้นี้ชอบชื่นชมรูปโฉมของตัวเอง ท่วงท่าแต่ละภาพออกจะพิสดารอยู่บ้าง แต่ไม่อาจบดบังความงามของนางได้ปัง! ขณะที่ทั้งสองตกอยู่ในภวังค์ความคิด ประตูที่เคยเปิดอยู่กลับปิดกะทันหัน ตัวอักษรสีแดงตัวโตแสดงอยู่บนผนังห้อง‘บทเพลงเพลิงพิรุณลืมเลือนสยบใต้หล้า ’“ที่แท้ก็ไม่ใช่ภาพวา
พระอาทิตย์ลับขอบฟ้าเป็นเวลานานมากแล้ว ภาพยามค่ำคืนควรปรากฏอยู่ในสายตา ทว่าที่แห่งนี้กลับเต็มไปด้วยแสงแดดอ่อนสว่างนวลราวแดดยามเช้า ลมหนาวเย็นยะเยือกถึงกระดูกพัดผ่านตัวนางที่นอนเหยียดแขนขาบนเก้าอี้หวายใต้ต้นท้อเป็นครั้งคราว ด้านข้างของนางเป็นสระหยกเย็นที่อบอวลไปด้วยพลังไอปราณบริสุทธิ์เข้มข้น หากแต่ไอน้ำที่ลอยอยู่เหนือสระเต็มไปด้วยหมอกพิษที่พร้อมคร่าชีวิตของผู้ที่เผลอสูดดมเข้าไปในเสี้ยววินาที หากเหลือบมองไปยังด้านหลังสระจะเห็นว่ายังมีโถงไม้หลังหนึ่งตั้งตระหง่านอยู่ไม่ไกลเดิมทีไม่ควรเรียกว่าโถงด้วยซ้ำ ลักษณะของมันพิเศษอยู่สักหน่อยเพราะมีห้องแยกเรียงกันอยู่สามห้อง คล้ายกับเรือนชั้นเดียวมากกว่า เหมาะกับพักอาศัยอย่างยิ่ง น่าแปลก...ที่แห่งนี้ราวกับอยู่คนละโลก ทิวทัศน์สวยงามเหมือนไม่มีอยู่จริง ใครจะรู้ว่ามันซ่อนอยู่ในพื้นที่สีแดงของสำนักแพทย์โอสถ หลี่หลิงเฟิ่งค้นพบที่นี่โดยบังเอิญหลังจากแอบเข้ามาสำรวจเขตลับด้วยตนเองอยู่หลายครั้งเสียงน้ำกระเพื่อมเบา ๆ ดังลอดเข้ามาในหูขัดขวางความดื่มด่ำกับธรรมชาติของหลี่หลิงเฟิ่ง นางเลิกคิ้วเล็กน้อย ลืมตาขึ้นมาอย่างช้า ๆ หันศีรษะม
พรึ่บ !เปลวเพลิงไม่รู้ที่มาแผดเผาบริเวณโดยรอบโดยที่ทุกคนไม่ทันได้ตั้งตัว แผดเผาทุกสรรพสิ่งที่อยู่เบื้องหน้าให้มอดไหม้“เจ้าฉวยโอกาส” ผู้บุกรุกกัดฟันกรอดด้วยความเคียดแค้น ทว่าเมื่อเทียบกับคนอื่นกลับดูดีกว่ามาก เขาป้องกันการลอบโจมตีของนางครั้งนี้ได้ทัน“ฆ่ากันต้องมีกฎด้วยหรือ ก็แค่เจ้าตาย ข้ารอด” หลี่หลิงเฟิ่งมองไปอย่างเสียดาย นางรึอุตส่าห์เปิดด้วยกระบวนท่าใหญ่ แต่ต้องคว้าน้ำเหลวเสียนี่ แต่ไม่เป็นไร ลองอีกครั้งก็ได้เปิดก่อนได้เปรียบ!“ดูซิว่าเจ้าจะรับมือได้นานแค่ไหน” ไม่รอให้ศัตรูได้ทันหายใจ นางส่งมอบการโจมตีอันหนักหน่วงออกไปให้เขาไม่ขาดสาย ต่อให้รับกระบวนท่าของนางได้ทุกครั้ง แต่ร่างกายคนฝึกยุทธ์ที่ไม่ได้มีระดับสูงมากนักก็มีขีดจำกัดอยู่ดี ซึ่งต่างจากนางที่มีน้ำทิพย์ให้ดื่มฟื้นฟูพละกำลังอยู่ตลอดเวลานางทนได้ แต่คนทั่วไปย่อมแตกต่าง“เหอะ คิดว่าเจ้าทำอย่างนี้แล้วมีความหมายหรือ เป็นข้าที่ประเมินเจ้าสูงเกินไป” เห็นได้ชัดว่าผู้พูดกำลังดูถูก หลี่หลิงเฟิ่งก็ยังไม่สะทกสะท้าน สมควรทำยังไงก็ทำต่อไปผู้บุกรุกขมวดคิ้วเล็กน้อย คล้ายสงสัยถึงบางอย่างที่ผิดปกติ แต่ก็บอกไม่ถูกว่าผิดปกติที่ตรงไหน นิ่งอย
ด้วยความไม่รู้เหนือใต้ออกตก ทุกคนได้ย่างเข้ามาในพื้นที่อันตรายที่สุดในเขตหวงห้ามเสียแล้ว รวมทั้งหลี่หลิงเฟิ่งเองด้วย หญิงสาวพบว่าบรรยากาศโดยรอบเงียบสงัด แม้แต่เสียงใบไม้กระทบกับลมก็ยังไม่มีให้ได้ยิน ราวกับไร้จุดหมาย ดูเหมือนว่านางเพียงแค่เดินเตร็ดเตร่มาหลายเค่อเท่านั้น หากแต่หลี่หลิงเฟิ่งระวังตัวมากขึ้นเนื่องจากพื้นที่ที่เคยมีหมอกหนา ต้นไม้ใบหญ้าเขียวชอุ่ม กลายเป็นพื้นที่แห้งแล้ง ผืนดินแตกแขนง ร้อนระอุจากการแผดเผาของดวงอาทิตย์ ราวกับอยู่คนละโลกกับเมื่อสักครู่โดยสิ้นเชิงทางนั้น!เสียงของถิงถิงดังขึ้นจากในหัวของนาง หลี่หลิงเฟิ่งเดินตามทางที่ถิงถิงบอก สุดท้ายหยุดยืนใต้ต้นไม้ต้นหนึ่งใกล้บึงน้ำขนาดเล็กที่แห้งขอดไปแล้ว น่าแปลกที่ต้นไม้ต้นนี้เป็นเพียงต้นเดียวที่ยังคงแตกกิ่งก้าน อยู่รอดท่ามกลางบรรดาต้นอื่นที่หลือเพียงซากและใบไม้แห้งกรอบราวกับต้นไม้มีชีวิตหรี่ หรี่เสียงปริศนาดังขึ้น ครั้งนี้เสียงของมันชัดเจนกว่าครั้งไหน ๆ ใกล้จนหลี่หลิงเฟิ่งหวาดระแวง ประเดี๋ยวมองซ้าย ประเดี๋ยวมองขวา กลับไม่พบสิ่งผิดปกติ เสียงนั้นยังคงดังต่อเนื่อง จิตสังหารรอบตัวของหลี่หลิงเฟิ่งแผ่ขยายออกอย่างรวดเร็ว แสงสีข
“อะ…อาจารย์อา ขออภัยที่ล่วงเกินเพียงแต่ข้าขอทราบชื่อของท่านได้หรือไม่ขอรับ” โจวอวี๋ถามขึ้นมาอีกครั้ง นางยังเด็กยิ่งนักเป็นไปได้หรือไม่ว่าอาจจะแปลงรูปโฉมให้คงความเยาว์วัยไว้เสมอ บางทีหากได้รู้จักชื่อเสียงเรียงนามของนาง เขาน่าจะรู้จัก คนมีความสามารถระดับนี้ เขาจะพลาดได้อย่างไร“ข้ามีนามว่าหลี่หลิงเฟิ่ง” หญิงสาวตอบเสียงเรียบ ยามนี้นางกำลังเพ่งจิตเข้าไปสำรวจด้านในเขตหวงห้าม จึงไม่ได้สังเกตท่าทางตกใจของคนที่อยู่ในนี้ทั้งหมด ทันทีที่นางพูดจบพลังจิตขอนางจับสิ่งผิดปกติอันใดไม่ได้เลย จนกระทั่งสำรวจเข้าไปในส่วนลึกของเขตหวงห้ามนางถึงค้นพบควันสีดำขุมหนึ่ง หลี่หลิงเฟิ่งเข้าไปใกล้ขึ้นเรื่อย ๆ แต่ว่าเหมือนมีอะไรมาขวางกั้นนางเอาไว้ทำให้ไม่สามารถมองเห็นสิ่งที่อยู่ข้างในได้ ซ้ำร้ายยังถูกผลักออกมาหลี่หลิงเฟิ่งหลุบตาลงครุ่นคิดอยู่คนเดียวเป็นเวลานาน เมื่อนางเงยหน้าขึ้นมาก็พบว่าทุกคนกำลังมองมาที่นางเป็นตาเดียว“ไม่จริงน่า จะเป็นเจ้าไปได้อย่างไร” เหลียนฉู่ฉู่เอ่ยออกมาเป็นคนแรก อย่างไม่เชื่อสายตา“ข้าคาดเดาตั้งแต่แรกแล้วว่าเจ้าคือหลี่หลิงเฟิ่ง คู่หมั้นขององค์ชายรองโม่ เพียงแต่รู้สึกแปลกใจ ทำไมแม่นางหลี่ถึง
เจ้านาย ทางนี้!เสียงนี้อีกแล้ว เรียกหาตั้งแต่นางเดินเข้ามาในอุโมงค์นี้เสียงก็ดังก้องในหูนางไม่ต่ำกว่าห้าครั้ง นางเดินออกมาห่างไกลจากคนในกลุ่มเรื่อย ๆ สมบัติตรงนี้น้อยกว่าที่อื่นมาก ชั้นวางสมบัติเป็นเพียงหินที่ทำเป็นชั้น ๆ เรียงกันขึ้นมาเท่านั้น แตกต่างจากก่อนหน้าที่ทำขึ้นด้วยทองคำและหยก คนเข้าละโมบและลุ่มหลงได้ง่ายหลี่หลิงเฟิ่งหยิบเศษผ้าขาวที่เขรอะไปด้วยฝุ่นที่อยู่ท่ามกลางบรรดาสมบัติชิ้นอื่นขึ้นมา นางพินิจถึงความพิเศษที่ควรจะมี ทว่ากลับเป็นเพียงผ้าธรรมดาเท่านั้น นางตัดสินใจวางลงที่เดิม เพียงแต่มือของนางกลับหนักอึ้งอย่างไม่ทราบสาเหตุ เมื่อนางหยิบขึ้นมาอีกรอบความรู้สึกหนักอึ้งที่มือกลับหายไปฟุบ!“อ๊ะ” ลมที่ไม่รู้มาจากที่ใดปะทะเข้ากับหน้าของนางอย่างจัง เศษผ้าปลิวมาติดที่ตาทั้งสองข้างปิดกั้นการมองเห็นไปชั่วขณะ จากนั้นก็ผสานเข้ากับนางเป็นหนึ่งเดียว หลี่หลิงเฟิ่งตกใจไม่น้อยเมื่อรู้สึกตัว แค่เพียงแวบเดียวเท่านั้น ผ้าผืนนั้นก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย นางมองซ้ายขวาอย่างร้อนรนอยู่บ้าง นางรีบปรับตัวให้เป็นปกติ ด้วยกลัวคนทั้งหมดในนี้จะเห็นการกระทำอันแปลกประหลาดนี้ของนางหญิงสาวลองทดสอบพลังยุทธ์และ
“อ่ะแฮ่ม...ไม่ว่าการประลองครั้งไหนก็ตัดสินที่ความสามารถเสมอ สำนักแพทย์โอสถเรายังไม่ถึงต้องให้ผู้อื่นมาตัดสินแทนหรอก” ผู้คนโดยรอบไม่มีใครกล้าส่งเสียงสักคน หรงอู่ซาบซึ้งใจน้ำตาแทบไหล เวลานี้เทิดทูนหลี่หลิงเฟิ่งยิ่งกว่าเจ้าสำนักเสียอีก ตั้งแต่นั้นมารอยยิ้มบนใบหน้าหุบไม่ลงอีกต่อไปครบหนึ่งชั่วยาม ผู้ชนะผ่านเกณฑ์ตัดสินมีเพียงห้าคนเท่านั้น เมื่อเป็นเช่นนั้นรองเจ้าสำนักจึงใจดีเปิดเขตลับให้คนทั้งห้าเสียเลย ทั้งหมดมุ่งไปยังเขตลับที่อยู่ในส่วนลึกสุดของสำนักแพทย์โอสถ โดยมีรองเจ้าสำนักและหลี่หลิงเฟิ่งเป็นผู้นำในครั้งนี้“พวกเจ้าทุกคนสามารถเลือกสิ่งของที่อยู่ในเขตลับได้หนึ่งอย่าง และห้ามเข้าไปในเขตหวงห้ามเด็ดขาด บอกไว้ก่อนหากฝ่าฝืนข้าไม่รับรองความปลอดภัยของใครทั้งนั้น เพราะฉะนั้นอย่าริอ่านทำผิดกฎ” รองเจ้าสำนักกล่าวเสียงแข็ง จากนั้นเปิดเขตลับให้ทั้งหมดเข้าไปอย่างเปิดเผย“มีอะไรซ่อนอยู่ที่นี่งั้นหรือ” หลี่หลิงเฟิ่งรู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากล นางรู้สึกกลาย ๆ เหมือนว่าไม่ได้มีแค่พวกนางเท่านั้นที่อยู่ในนี้ จึงถามออกไปด้วยความสงสัยใคร่รู้“เรื่องนี้…” หรงอู่อึกอัก หน้าตาเหยเก “ข้าก็ไม่รู้แน่ชัด ว่ากันว่าท
หลายวันมานี้หลี่หลิงเฟิ่งอยู่อย่างสงบสุขเสมอมา นอกจากรักษาเจ้าสำนักทุกเช้า นางใช้เวลาทั้งวันไปกับฝึกหลอมโอสถที่ห้องหลอมโอสถ ใช้สมุนไพรของสำนักแพทย์โอสถราวกับน้ำ เรียกได้ว่าละลายทรัพย์ของแท้ เหตุเพราะเกิดกระทบกระทั่งกันวันนั้นจึงไม่มีใครกล้าออกมาตำหนิ กลับกันทุกคนคอยเอาใจนางทุกอย่าง วันนี้ก็เช่นกัน หลังจากกลับมาจากรักษาเจ้าสำนัก นางก็ตรงไปที่ห้องหลอมโอสถ หยิบเตาหลอมออกมาจากกำไลสำริดอย่างคล่องแคล่วส่วนที่ว่านางได้ของพวกนี้มาได้ยังไงน่ะหรือ ต้องเท้าความไปเมื่อไม่กี่วันก่อน ศิษย์พี่รองมาหานางที่ที่พำนัก กล่าวขอโทษที่สบประมาทนางวันนั้น พร้อมทั้งอยากให้นางยกโทษให้ หลี่หลิงเฟิ่งรู้ตัวว่านางนั้นเป็นคนดี ไม่ถือสาความเรื่องเล็กน้อยกับคนกันเองอยู่แล้วเพียงแค่ศิษย์พี่รองมอบของปลอบใจให้นาง นางอายุน้อยต้องเคารพผู้ใหญ่ย่อมไม่เรียกร้องมากมายอันใด ถึงแม้ศิษย์พี่รองจะดูเสียดายไปบ้าง ยามยื่นให้รู้สึกถึงความมือไม้สั่นเล็กน้อย ทว่าจนแล้วจนรอดกำไลสำริดและเตาหลอมโอสถชั้นเลิศก็อยู่ในมือนางอยู่ดีหลี่หลิงเฟิ่งพลันรู้สึกว่าการมีศิษย์พี่ก็ไม่ได้แย่อันใดแต่มีบ้างบางครั้งที่รู้สึกเปล่าเปลี่ยว โม่จื่อหลิงขอแยกต
ภายในห้องพำนักเจ้าสำนักแพทย์โอสถปรากฏหูซานและชายชราอีกสองคน รวมทั้งลูกศิษย์บางคน ทำหน้าเคร่งเครียด ใบหน้าอ่อนล้าเพราะอดนอนมาหลายวัน บนเตียงไม้สลักมีร่างผ่ายผอมดำคล้ำของชายชราผู้หนึ่ง นอนสลบไสลราวกับคนใกล้หมดสิ้นอายุขัย “ศิษย์น้องสี่ เป็นอย่างไรบ้าง เจ้าพอมีทางช่วยศิษย์พี่ใหญ่บ้างหรือไม่”“ข้าเองก็อับจนหนทางเหมือนกัน ยาขวดนั้นเพียงแค่ยื้อลมหายใจศิษย์พี่ใหญ่เท่านั้น ต่อให้เป็นท่านเทพมาตอนนี้ก็ไม่แน่ว่าจะช่วยได้ พิษลุกลามไปทั่วร่างกายศิษย์พี่ใหญ่ตั้งนานแล้ว” หูซานส่ายหน้า สองตาแดงก่ำไม่อาจทำใจได้ หลายวันมานี้พวกเขาค้นคว้าหายาถอนพิษ ทว่าก็ล้มเหลวจนกระทั่งหวังซีมาพร้อมยาขวดหนึ่ง พวกเขาถึงได้มีความหวังขึ้นมา เพียงแต่ดีใจได้ไม่กี่วัน ไม่รู้เพราะสาเหตุใดอาการของศิษย์พี่ใหญ่ถึงทรุดลงอย่างรวดเร็ว แม้แต่เขาที่เป็นอัจฉริยะแห่งยุคก็ไม่อาจหาต้นตอของอาการเหล่านี้ได้ หูซานพบว่าไม่มีหนทางที่ศิษย์พี่ใหญ่จะรอดแล้วเสียงเคาะประตูดังขึ้นจากด้านนอกหวังข่ายที่สภาพก็ไม่ได้ดีไปกว่าคนอื่น ๆ ในห้อง เดินออกมาเปิดประตู พอเห็นว่าเป็นรองเจ้าสำนักเขาก็เบี่ยงตัวหลบอย่างเคยชิน แต่เมื่อรู้สึกว่ามีคนเดินตามหลังรองเจ้า