เสียงตึงตังบริเวณทางเดินชั้นสองดังสนั่นไปถึงชั้นล่าง จะโทษก็โทษที่หอแพทย์โอสถแห่งนี้วัสดุทำขึ้นจากไม้ บุรุษทั้งสามวิ่งมาหยุดยืนอยู่หน้าประตูบานหนึ่ง หายใจหอบถี่ หวังซีจัดเครื่องแต่งกาย ผมเผ้า และปรับสีหน้าให้สงบนิ่งเหมือนยามปกติ เคาะประตูสองครั้งจากนั้นค่อยๆ ผลักเข้าไป
เหยาจี้เห็นท่าทางของหวังซีพลันยิ้มกรุ้มกริ่ม เดินตามหลังเข้าไป มีเพียงถงลี่ยืนเฝ้าสถานการณ์อยู่ด้านนอก ช่างใจจะเข้าไปดีหรือไม่ หลังจากความคิดตีกันในหัวอยู่นาน สุดท้ายตัดสินใจเดินคอตกเข้าไป
“ผู้อาวุโสหวัง” เมื่อเห็นชายทั้งสามเดินเข้ามา หนึ่งในนั้นยังมีชายหนุ่มที่ต้องการอยากพบจึงส่งเสียงกระเช้าเย้าแหย่ไปให้ หัวเราะเบาๆ อย่างคนอารมณ์ดี
เมื่อได้ยินเสียงหลี่หลิงเฟิ่ง เขาถึงกับขนลุกซู่ มุมปากหวังซีกระตุกครั้งหนึ่ง ยกยิ้มพิลึกพิลั่น พลางเดินเข้าไปหาทั้งสองคนที่นั่งอยู่กลางห้อง
“คารวะผู้อาวุโสหวัง” หลี่เจี้ยนลุกขึ้นยืนคำนับ ใคร่นึกสงสัยถึงความสัมพันธ์ของทั้งสองคน ดวงตาคมมองสลับระหว่างหวังซีและหลี่หลิงเฟิ่งไปมา
หวังซีพยักหน้าน้อยๆ ตอบกลับหลี่เจี้ยน ทว่า ตัวกลับคำนับหลี่หลิงเฟิ่งแทน ทำเอาทุกคนภายในห้องงุนงงกันถ้วนหน้า “แม่นางหลี่ กล่าวหนักไปแล้ว”
“มารยาทไม่อาจละเว้น” ทั้งสามมองหน้ากันไปมา ไม่เข้าใจการสื่อสารอันพิลึกเช่นนี้
มารยาทอันใด พวกเขายังเห็นนางนั่งเอกเขนกอยู่ที่เดิมทักทายหวังซีราวกับคนระดับเดียวกันอยู่เลย
สีหน้าผู้อาวุโสหวังไม่เปลี่ยนแปลง หากใครจะรู้ว่าในใจเขาอมทุกข์แค่ไหน ผู้อื่นไม่เข้าใจ แต่เขาเข้าใจชัดแจ้ง
นางกำลังล้อเลียนเขาอยู่
หลี่หลิงเฟิ่งพึงพอใจกับความหัวไวของหวังซี ไม่เปิดโปงสถานะของนาง นึกอยากเลิกแกล้งชายหนุ่ม ทว่า เมื่อมองใบหน้านิ่งดังขอนไม้นั่นแล้ว นางอดไม่ได้จริงๆ อยากจะเห็นหน้าตาอย่างอื่นของศิษย์หลานผู้นี้บ้าง “ท่านช่วยดูหน่อยเถิด อาการข้าสาหัสมากหรือไม่”
ไม่พูดเปล่า มือเรียวจับชายแขนเสื้อหวังซีกระตุกเบาๆ หวังซีเดินเข้าไปใกล้อีกนิดอย่างจำยอม หลี่หลิงเฟิ่งยิ้มกว้าง ขณะพูดมือเนียนนุ่มอีกข้างค่อยๆ แหวกเสื้อออกเผยให้เห็นไหล่ซ้ายที่เต็มไปด้วยเลือดพร้อมกับแผลฉกรรจ์เป็นรูลึกประมาณสามชุ่น ลากยาวไปจนถึงต้นแขน
ถงลี่ตาเบิกกว้างตั้งแต่เห็นหลี่หลิงเฟิ่งยกมือจับคอเสื้อ รีบก้มหน้าลงทันที ส่วนเหยาจี้ปากอ้าตาค้างไปนานแล้ว สตรีของศิษย์พี่ช่างไม่ธรรมดา มีเพียงหวังซีเท่านั้นที่หน้าเข้มขึ้นหลายส่วน
“น้องเล็ก!” หลี่เจี้ยนร้องเสียงหลง รีบตรงมาจัดเสื้อผ้านางให้เข้าที่ตามเดิม ส่งสายตาดุดันเชิงตำหนิ ปากบ่นอุบ “เป็นสาวเป็นแส้ไม่ควรเปิดเผยเนื้อหนังต่อหน้าชายอื่น”
โบราณ!
หลี่หลิงเฟิ่งกลอกตามองบน ก่อนมองค้อนหลี่เจี้ยน นางแค่จะแกล้งหวังซีเล่นเท่านั้น วาจาของหลี่เจี้ยนเล่นเอานางหมดสนุก “หากไม่ให้ดู แล้วจะรักษาอย่างไร”
“ถงลี่ เจ้าพาคุณชายหลี่ออกไปรอที่ห้องรับรองก่อนเถิด” หวังซีเคร่งเครียดอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ยื่นมือหมายเปิดคอเสื้อหลี่หลิงเฟิ่งด้วยตนเอง หากแต่ถูกหลี่เจี้ยนปัดทิ้งเสียก่อน
“ผู้อาวุโสหวัง โปรดสำรวมด้วย” เสียงแข็งกระด้างไม่พอใจเอ่ยออกมา พร้อมยืนบังตัวหลี่หลิงเฟิ่งเอาไว้
หวังซีชะงัก หลับตาทั้งสองข้างลง “ข้าจะดูแผลของนาง ไม่ได้จะล่วงเกิน” หวังซีสีหน้าอึมครึม เขาเริ่มหงุดหงิดขึ้นมาบ้างแล้ว “ถงลี่่”
ถงลี่ไม่รอช้า รีบเข้าไปลากตัวหลี่เจี้ยนออกมา “คุณชายรองหลี่ เชิญท่านออกไปก่อนเถิด”
ชายหนุ่มไม่ขยับ มองหวังซีอย่างดุดัน หลี่หลิงเฟิ่งเองก็เริ่มหงุดหงิดขึ้นมาเช่นกัน นางปวดจะตายอยู่แล้ว ยังจะมาทำตัวงี่เง่าอะไรอยู่อีก “พี่รอง ท่านออกไปรอข้าอยู่ข้างนอกก่อนเถิด หากท่านไม่วางใจจะยืนเฝ้าอยู่หน้าห้องก็ย่อมได้ แต่อย่าได้รบกวนการรักษาเด็ดขาด”
เมื่อได้ยินเสียงที่เริ่มไม่พอใจของหลี่หลิงเฟิ่ง หลี่เจี้ยนพลันได้สติ มองหวังซีอย่างขอลุแก่โทษ ก่อนจะถอยออกมา “ขออภัย”
เมื่อประตูห้องปิดลง หวังซีไม่รอช้า น้ำเสียงร้อนรนถามขึ้นทันที “เกิดเรื่องอันใดขึ้น” นางเพิ่งห่างจากเขาไม่ถึงหนึ่งวันเลยด้วยซ้ำ เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้
“ไว้จะเล่าให้ฟัง แต่ตอนนี้ข้าขอยาถอนพิษก่อน ปวดจนจะทนไม่ไหวอยู่แล้ว โอย” หลี่หลิงเฟิ่งโอดครวญ ทิ้งมาดสง่างามไปหมดสิ้น นั่งแผ่หลาบนเก้าอย่างหมดสภาพ กว่าจะมาถึงที่นี่ก็ใช้เวลาเกือบหนึ่งชั่วยาม นางอดทนอดกลั้นมาตลอดทาง ยาระงับความเจ็บปวดใดๆ ก็ไม่ได้กิน
เมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่ขยับเขยื้อน หญิงสาวจึงนึกขึ้นได้ “ไม่มีหรือ ยาระงับพิษชั่วคราวคงมีกระมัง”
“ท่านรอประเดี๋ยว” เหยาจี้หายจากอาการตกตะลึง ตอบรับหญิงสาว รีบไปเอายาลูกกลอนมาให้นาง
เมื่อเห็นว่าอยู่กันแค่สองคน หวังซีจึงอดถามอย่างเป็นห่วงไม่ได้ “อาจารย์อา ตกลงเกิดอะไรขึ้นที่จวนท่านกันแน่ เหตุใดท่านจึงถูกพิษหยาดรัตติกาลได้เล่า”
พิษหยาดรัตติกาล เป็นพิษที่เกิดจากเกสรดอกถานฮวา หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าดอกไม้รัตติกาล แม้พิษชนิดนี้ไม่ร้ายแรง ถ้าเกิดปล่อยทิ้งไว้หลายวันไม่รีบกินยาถอนพิษจะทำให้ผู้ฝึกพลังยุทธ์หรือสัตว์อสูรพลังถดถอยลงทีละนิด สองสามชั่วยามแรกจะรู้สึกเจ็บราวถูกน้ำร้อนราด เมื่อพิษลุกลามไปทั่วร่างจะค่อยๆ กัดกร่อนโลหิต เป็นสาเหตุให้ร่างกายอ่อนแอลงทุกวัน เมื่อร่างกายมีรอยแผลไปสัมผัสโดนผู้ถูกพิษเข้าก็จะได้รับพิษจากอีกฝ่ายไปด้วย
“ไม่มีอันใด แค่โดนหมูตัวหนึ่งกัดก็เท่านั้น” หวังซีคิดจะแย้ง หากถูกหลี่หลิงเฟิ่งชิงพูดขึ้นเสียก่อน “เจ้าเองก็เก่งไม่เบานี่นา มองปราดเดียวรู้ว่าข้าต้องพิษ แถมยังรู้ว่าเป็นพิษจากดอกถานฮวา”
หวังซียกมือขึ้นลูบหูแก้อาการเก้อกระดาก “ข้าเพียงศึกษามาเล็กน้อย ไหนเลยจะรับคำชมจากท่านได้”
หญิงสาวเพียงมองยิ้มๆ “เจ้าอยากถูกใต้หล้าขนานนามว่าเป็นเจ้าแห่งพิษหรือไม่ หมื่นพิษไม่อาจกล้ำกราย ” หญิงสาวเลิกคิ้วเชิงถาม “ว่าอย่างไร อยากหรือไม่อยาก”
ตุบ!
“อาจารย์อา ได้โปรดชี้แนะศิษย์หลานด้วยเถิดขอรับ” เสียงคุกเข่าดังพอๆ กับเสียงโขกศีรษะของหวังซี แววตาซาบซึ้งใจของหวังซีแผ่ซ่านเข้าสู่หัวใจหลี่หลิงเฟิ่ง ทว่า ทุกอย่างจะดีกว่านี้หากศิษย์หลานของนางไม่รุ่นราวคราวพ่อ หญิงสาวส่งยิ้มให้อย่างเหยเก
“บอกไว้ก่อน จะเรียนรู้จากข้านั้นไม่ง่าย เจ้าต้องมุ่งมั่น หนักแน่น อดทน หากเจ้าไม่มีสามสิ่งนี้ ข้าจะไม่สอนให้เสียเวลา” เส้นเลือดบนขมับบของนางเต้นตุบๆ ไม่หยุด หากว่ากันตามจริงแล้ว หวังซีถือได้ว่าเป็นบุรุษหล่อเหลาผู้หนึ่ง แค่ดูเป็นผู้ใหญ่จนเกินไปเมื่อเทียบกับร่างกายอายุสิบห้าของนาง ภายภาคหน้าคงมีเรื่องอย่างนี้อีกมาก นางควรจะทำใจให้ชินเสียตั้งแต่เนิ่นๆ
“ศิษย์หลานจะไม่ทำให้ท่านผิดหวังขอรับ” อืม ใบหน้ามุ่งมั่น น้ำเสียงหนักแน่น สุขุม เยือกเย็น ขาดก็แต่ความเจ้าเล่ห์ ส่วนนี้คงต้องฝึกกันอีกนาน
ผลั่ก!
“ยาระงับพิษมาแล้ว สามารถระงับพิษได้เพียงเจ็ดวันเท่านั้น เอ่อ...” เหยาจี้เปิดประตูเข้ามาเห็นฉากศิษย์พี่หวังนั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้าสางงาม หน้าตาเหลอหลา ทำอันใดไม่ถูก นี่เขาเข้ามาผิดเวลาหรือไม่
หลี่หลิ่งเฟิ่งตาเป็นประกาย กวักมือเรียกเหยาจี้ “รีบนำมาให้ข้าเร็วเข้า”
เหยาจี้ส่งยาให้หลี่หลิงเฟิ่ง เอ่ยปากขอตัวด้วยน้ำสียงกระอักกระอ่วน “เอ่อ งั้น...งั้นข้าไม่รบกวนพวกท่านสองคนแล้ว ขอตัวก่อน”
“เดี๋ยวก่อน” หวังซีกลุ้มใจหนัก เกรงว่าจะเกิดความเข้าใจผิด จากนั้นเรื่องไปถึงหูอาจารย์ขึ้นมา เขาอาจตายโดยไม่รู้ตัวก็เป็นได้ “พวกข้าเกี่ยวข้องกันจริง แต่ไม่ใช่อย่างที่เจ้าคิด”
“ศิษย์พี่ไม่ต้องเขินอาย คนกันเองๆ” เหยาจี้ยิ้มอย่างมีเลศนัยไปทางหลี่หลิงเฟิ่งที่กำลังอ้าปากกินยาลูกกลอน “ใช่หรือไม่แม่นางหลี่”
หลี่หลิงเฟิ่งชะงักมือ มองหน้าเหยาจี้สลับกับหวังซี จากนั้นเสียงหัวเราะชอบอกชอบใจพลันดังลั่นห้อง หญิงสาวไม่ตอบอันใด กระทั่งยกมือป้องปากยามหัวเราะยังไม่ทำ
“เหยาจี้! หากไม่รู้อันใดก็หุบปากไปซะ” หวังซีตวาดเสียงเข้ม ก่อนจะพูดกับหลี่หลิงเฟิ่งด้วยน้ำเสียงสำนึกผิด “อาจารย์อา ขออภัยที่ศิษย์ล่วงเกินท่านขอรับ”
“อะ อาจารย์อา” เหยาจี้ราวกับถูกสายฟ้าฟาด เสียงหึ่งๆ ดังสนั่นอยู่ในหู เขาฟังผิดไปหรือไม่ ศิษย์พี่เรียกนางว่าอะไรนะ อาจารย์อา? สำนักแพทย์โอสถมีอาจารย์อาหญิงโผล่มาจากไหน
แถมยัง...อายุน้อยเพียงนี้ พ้นวัยปักปิ่นหรือยังก็ไม่รู้ ล้อกันเล่นใช่หรือไม่
แต่เมื่อมองสายตาเย็นยะเยือกของหวังซี คำพูดโต้แย้งกลืนลงท้องทันที เข่าทั้งสองข้างวางลงบนพื้นฉับพลัน “อะ อาจารย์อา ศิษย์หลานเหยาจี้ขออภัยขอรับ ศิษย์หลานกล่าวผิดไปแล้ว สมควรได้รับการลงโทษ”
ณ เวลานี้ ถ้าเท้าของนางสามารถก่ายหน้าผากได้นางคงทำไปแล้ว น่าเหนื่อยใจยิ่งนัก หลี่หลิงเฟิ่งพยายามรักษาท่าทีสุขุม ตอบรับเบาๆ แค่ “อืม” จากนั้นรีบกลืนยาลูกกลอนลงท้องอย่างรวดเร็ว กลัวว่าหากช้าไปเพียงนิดอาจมีเรื่องทำให้นางสำลักขณะกำลังกลืนได้
เมื่อเห็นว่าหลี่หลิงเฟิ่งไม่พูดอันใด บุรุษทั้งสองเหงื่อตกยิ่งกว่าเดิม แม้แต่หายใจแรงยังไม่กล้า อาจารย์อาต้องไม่พอใจพวกเขามากเป็นแน่
บรรยากาศรอบตัวค่อนข้างเงียบผิดปกติจนหลี่หลิงเฟิ่งรู้สึกได้ มองทั้งสองคนที่ยังคุกเข่าอยู่ “ทำไมยังไม่ลุกอีกเล่า ไม่เมื่อยกันหรือ”
“อาจารย์อา อย่าได้โกรธพวกข้าเลย โปรดลงโทษตามใจชอบเถิดขอรับ” หรือนางโกรธจนไม่อยากจะเอ่ยวาจากับพวกเขาแล้ว เหยาจี้อยากตบปากตัวเองนัก กล่าววาจาล่วงเกินนางได้อย่างไร
หญิงสาวหน้าตาเหลอหลา โกรธหรือ โกรธอันใด เมื่อใคร่ครวญอย่างจริงจัง จากนั้นจึงเข้าใจ หลี่หลิงเฟิ่งร้อง ‘อ้อ’ ออกมาเบาๆ สายตาเจ้าเล่ห์พลันปรากฏขึ้น “จะบอกว่าไม่ถือสาอันใดเลยก็คงไม่ใช่ หากพวกเจ้าอยากให้ข้าลืมเรื่องนี้เสีย ยังนับว่ามีหนทาง”
หนังตาขวาของหวังซีเริ่มกระตุก น้ำเสียงแบบนี้ของนาง มักส่งสัญญาณว่าหายนะกำลังจะมาเยือน ส่วนเหยาจี้ผู้ไม่รู้อิโหน่อิเหน่พยักหน้าขึ้นลงหลายทีอย่างกระตือรือร้น
หลี่หลิงเฟิ่งยิ้มกว้าง “บาดแผลของข้าแม้จะดูน่ากลัวไปสักหน่อย แต่ไม่ได้บาดลึกอันใด รักษาไม่ให้โดนน้ำสองสามวันก็ดีขึ้น แต่ที่น่ากังวลคือพิษหยาดรัตติกาลต่างหาก จำต้องรักษาตัวเฝ้าดูอาการอย่างใกล้ชิดอีกหลายวัน และไม่อาจเดินทางไกลได้ พวกเจ้าว่าใช่หรือไม่”
เฝ้าดูอาการอย่างใกล้ชิด? เดินทางไม่ได้? ใบหน้าพวกเขาสลับซับซ้อนประเดี๋ยวขาวประเดี๋ยวดำ สมองทึ่มทื่อไปหมด
"เกรงว่าหลายวันนี้คงไม่อาจทำตามพระบัญชาของฮ่องเต้ได้ จำต้องเลื่อนการเดินทางออกไปจนกว่าจะหายดี"
“หืม?” เสียงสูงในลำคอหญิงสาวดังขึ้นพร้อมกับเลิกคิ้วทั้งสองข้าง
เหยาจี้ยิ้มตอบ ผงกศีรษะรัวๆ “แน่นอน อาจารย์อาได้รับพิษร้ายแรง ควรอยู่นิ่งๆ สงบๆ รักษาตนเองให้หายดีสักหนึ่งเดือน ร่างกายไม่ควรได้รับความกระทบกระเทือนมากจนเกินไปจึงไม่เหมาะที่จะเดินทางขอรับ”
นิ่งๆสงบๆ รึ เหลวไหลทั้งเพ หวังซีเหลือบมองเหยาจี้ที่คุกเข่าอยู่ข้างๆ สายตาประหลาดพิกล
หลี่หลิงเฟิ่งยิ้มอย่างพอใจ แอบวักน้ำทิพย์ใส่ขวดแก้วสองใบในช่วงที่บุรุษทั้งสองก้มหน้าคุกเข่า แล้วส่งให้คนละขวด “ของขวัญแรกพบหน้า รับไปสิ”
จะว่าไปยังมีหวังข่ายและอีกหลายคน ในอนาคตนางยังต้องเสียทรัพยากรอีกมาก แค่คิดก็ปวดหัวแล้ว
ช่างเถิด วันหน้าค่อยว่ากัน
“น้ำ...น้ำทิพย์!” สองหลานศิษย์เบิกตาโพลง กลิ่นหอมกำจายตลบอบอวลไปทั่วทั้งห้อง ของดี!
“อาจารย์อา ท่านหา...” ยังไม่ทันที่เหยาจี้พูดจบประโยค หลี่หลิงยกมือขึ้นห้ามเสียก่อน พลังจิตของนางส่งสัญญาณอันตราย มีผู้บุกรุก!
“มีคนร้าย อยู่ชั้นบน” หวังซีเองก็สัมผัสได้เช่นกัน หัวคิ้วเรียวขมวดแน่น ผลุนผลันออกไป
หลี่หลิงเฟิ่งรีบคว้าแขนหวังซีที่ตั้งท่าจะออกไปไว้ทันท่วงที “อย่าไป เจ้าสู้มันไม่ได้”
“แต่ว่า...” ชายหนุ่มคิดแย้ง หลี่หลิงเฟิ่งถลึงตาดุใส่ ชายหนุ่มได้แต่หุบปากฉับ ยืนนิ่งอยู่กับที่
แม้จะไม่รู้ว่านางรู้ได้อย่างไร แต่นางเป็นอาจารย์ เขาเลือกที่จะเชื่อฟัง
“เจ้าไปป่าวประกาศให้ทั่วหอ เร็ว!” หลี่หลิงเฟิ่งหันไปสั่งเหยาจี้ หญิงสาวกัดริมฝีปากแน่น น่าเสียดายตอนนี้นางไม่อาจใช้พลังยุทธ์ได้ หมูป่าทองก็ยังสลบสไลอยู่ในมิติมายา
ทำได้เพียงให้หอแพทย์โกลาหลเท่านั้น ถึงจะสามารถไล่ผู้บุกรุกไปได้ หากจับได้ก็ถือเป็นโชคดีของพวกเขา
“มีผู้บุกรุก! เร็วเข้า ช่วยกันจับไอ้โจรชั่ว” เหยาจี้ทำตามอย่างที่หลี่หลิงเฟิ่งบอกทุกประการ ทันใดนั้นหอแพทย์โอสถเกิดความวุ่นวายทันที
เคร้ง!
เสียงตกแตกดังมาจากชั้นบน พร้อมกับเสียงต่อสู้ให้ได้ยินเป็นระยะ หลี่หลิงเฟิ่งถอนหายใจ สถานการณ์ตึงเครียดในที่สุดก็คลี่คลาย
“หอแพทย์มีของล้ำค่าอันใดหรือ” นอกจากสมุนไพร ตำราแพทย์ ก็ไม่มีสิ่งใดให้เอาไปได้ แล้วมันต้องการอะไร
หวังซีหน้าตาเคร่งเครียดขึ้นมาทันที นิ่งคิดอยู่เป็นนาน สุดท้ายได้แต่ส่ายหน้าตอบกลับไป “ข้าเองก็ไม่รู้”
“จริงสิ อาจารย์อา” เหมือนจะคิดอันใดได้ สีหน้าเขาตื่นเต้นเล็กน้อย “ข้ามีของสิ่งหนึ่งอยากให้ท่านช่วยดูสักหน่อย” มือหนาหยิบหลอดแก้วขนาดเรียวเล็ก ด้านในบรรจุโลหิตไว้เต็มหลอดออกมาจากอกเสื้อ ยื่นไปตรงหน้าหลี่หลิงเฟิ่ง
“นี่คือสิ่งใด” หลี่หลิงเฟิ่งรับมา เปิดฝากออก สูดดมเล็กน้อย กลิ่นฉุนประหลาดปะปนมากับกลิ่นเลือด
ความสงสัยยังคงไม่จางหาย หลี่หลิงเฟิ่งปิดฝาแล้วส่งคืนหวังซี ก่อนเอ่ยถาม “เลือดพิษรึ”
ชายหนุ่มพยักหน้า “ท่านรู้จักหรือไม่”
แววตากลมโตเป็นประกาย น้ำเสียงเจ้าเล่ห์เอ่ยออกมาอีกครั้ง “ไม่ใช่แค่รู้จัก แต่ยังรักษาได้อีกด้วย”
“แต่ตอนนี้ รักษาพิษในร่างของข้าก่อน” หลี่หลิงเฟิ่งหยิบกระดาษบนโต๊ะขึ้นมาขีดเขียนครู่เดียวก่อนจะยื่นให้หวังซี "สมุนไพรและวิธีปรุงยาแก้พิษหยาดรัตติกาล ทั้งหมดอยู่ในนี้แล้ว หากเจ้าสามารถปรุงมันออกมาได้ภายในระยะเวลาเพียงสองเค่อ ข้าจึงจะยอมรับเจ้าอย่างเป็นทางการ"
หลังจากหวังซีออกไปไม่นาน เหยาจี้พาหลี่เจี้ยนเข้ามา แววตาโกรธเกรี้ยวอัดอั้น มากกว่านั้นคือความรู้สึกผิด หยุดยืนตรงหน้าหลี่หลิงเฟิ่ง หญิงสาวสำรวจเนื้อตัวของทั้งคู่อย่างละเอียดรอบหนึ่งจึงค่อยโล่งใจ ถอนสายตากลับมาดังเดิม ไม่ได้รับบาดเจ็บอันใด
“เป็นอย่างไรบ้าง” ถึงแม้พอจะเดาผลลัพธ์ได้อยู่แล้ว ก็ยังอดถามออกไปไม่ได้
เหยาจี้กัดฟันกรอดอย่างแค้นเคือง “ตอนข้าไปถึงข้าวของในห้องถูกมันรื้อกระจุยกระจายจนหมดแล้ว ไหนเลยจะมีโจรให้จับอยู่อีก”
หลี่หลิงเฟิ่งพยักหน้า คนผู้นั้นพลังยุทธ์แข็งแกร่งกว่าพวกนาง ที่พอประมือได้ในที่นี้ก็มีหลี่เจี้ยนแค่คนเดียว “พี่ไปถึงช้าก้าวหนึ่ง แต่พอทันประมือกับมันสองสามกระบวนท่า” หลี่เจี้ยนถอนหายใจ “ต้องโทษที่พี่เพิ่งเคยขึ้นไปชั้นบนสุดเป็นครั้งแรกเลยไม่คุ้นทาง สุดท้ายจึงปล่อยให้มันหนีไปได้”
“หนีไปได้ก็ไม่แปลกอันใด จุดประสงค์ของมันหาได้ต้องการสังหารคน แค่ต้องการของบางอย่างจากหอแพทย์เท่านั้น” หลี่หลิงเฟิ่งจ้องมองเหยาจี้ เอ่ยถามออกมาอย่างเนิบๆ “ห้องนั้นมีไว้ทำอะไรหรือ” นางเดาว่าน่าจะเป็นเขตหวงห้ามหรือห้องลับอะไรสักอย่าง
“โดยปกติแล้วเป็นเพียงห้องรับรองศิษย์สำนักเราเท่านั้น ไม่มีอันใดพิเศษ” เหยาจี้กล่าวเสริม “ตอนนี้เป็นที่พำนักของศิษย์พี่หวังขอรับ”
หลี่หลิงเฟิ่งยกมือเท้าคางใช้ความคิด เป็นไปได้อย่างมากว่าสิ่งที่คนผู้นั้นต้องการจะอยู่ที่ตัวหวังซี หากแต่ศิษย์หลานของนางมีของล้ำค่าอันใดซ่อนอยู่กันเล่า ถ้ามีอยู่จริง เหตุใดจึงไม่เคยปรากฏเหตุการณ์แบบนี้ช่วงที่อาศัยอยู่ในชนบท แต่เพิ่งเกิดอยากจะปล้นเอาตอนนี้
“จริงสิ” หลี่เจี้ยนพูดแทรกขึ้นมา ขัดความคิดของหลี่หลี่เฟิ่ง “ข้าเจอสิ่งนี้ตกอยู่ในห้อง คาดว่าคนร้ายน่าจะเผลอทำตกตอนปะทะกัน” ชายหนุ่มหยิบพู่ชิ้นหนึ่งออกมา
“นี่...นี่...ใช่ท่านหยิบผิดมาหรือไม่” เป็นเหยาจี้ที่ตื่นตระหนกสุดขีด พุ่งตัวมาแย่งไปจากมือหลี่เจี้ยน มือข้างที่ถือพู่สั่นระริกไม่หยุด อารมณ์แปรปรวณอย่างเห็นได้ชัด จิตใจพลันเกิดความรู้สึกซับซ้อน
“เจ้ารู้จักเจ้าของมันหรือ” หลี่เจี้ยนซักถาม
“ไม่เพียงแค่รู้จัก แต่ยังคุ้นเคยเป็นอย่างมาก สมาชิกทุกคนของหอแพทย์ใครบ้างที่จะไม่รุ้” เหยาจี้หน้าซีดเผือด
หลี่หลิงเฟิ่งมองพู่มาลาสีขาวประดับด้วยหยกเขียวนวลสลักคำว่าหอแพทย์ในมือเหยาจี้ น้ำเสียงราบเรียบเฉยชาดังขึ้นแผ่วเบา “หากสิ่งนี้คือของคนร้ายทำตกไว้จริง เกรงว่าจะมีเกลือเป็นหนอน*เสียแล้ว”
*เกลือเป็นหนอน หมายถึง คนใกล้ชิดหรือพวกพ้อง ทรยศหักหลัง เปรียบเสมือนเกลือที่ช่วยปกป้องไม่ให้เนื้อเกิดหนอนขึ้น กลับกลายเป็นว่าคนของตนเองคือหนอนกัดกินเนื้อที่ดูแลเสียเอง
กว่าจะออกจากหอแพทย์โอสถก็ล่วงเลยเข้ายามซวี* ด้านนอกมืดสนิท หลี่หลิงเฟิ่งอ่อนเพลียจนผลอยหลับในรถม้าตลอดทาง ตอนแรกหวังซีเสนอให้นางพักอยู่ที่หอแพทย์เพื่อดูอาการสักหนึ่งคืน รุ่งสางค่อยกลับไปพักฟื้นที่จวนทว่า คนร้ายยังคงแฝงตัวอยู่ในหอแพทย์โอสถ ทำให้หลี่เจี้ยนปฏิเสธเสียงแข็ง เป็นตายอย่างไรก็ไม่ยอม หลี่หลิงเฟิ่งเองก็อยากกลับจวนเช่นเดียวกัน จึงได้ปฏิเสธออกไป ก่อนจากมายังได้กำชับหวังซีส่งสมุนไพรบางส่วนสำหรับหลอมยาลูกกลอนมาให้นางจำนวนหนึ่งเวลาสามปีแห่งการเก็บตัวของนางผ่านพ้นไปแล้ว ยอดฝีมือแข็งแกร่งมีมากเหลือเกิน หากนางไม่เร่งฝึกพลังยุทธ์ เพิ่มความแข็งแกร่ง ไม่นานนางคงเพลี่ยงพล้ำเข้าสักวัน ไม่เพียงปกป้องคนรอบข้างไม่ได้ ยังไม่มีแม้แต่กำลังจะป้องกันตนเองให้อยู่รอดปลอดภัยเสียด้วยซ้ำเมื่อกลับถึงจวนยังไม่วายถูกหลี่เจี้ยนซักถามเรื่องราวความเป็นมาระหว่างศิษย์พี่ศิษย์น้องของนางกับหูซาน จวบจนเห็นว่าดึกมากแล้วหลี่เจี้ยนจึงยอมล่าถอยกลับไป กว่าหลี่หลิงเฟิ่งจะทำกิจธุระเตรียมตัวเข้านอนเสร็จก็ปาเข้าไปเกือบยามจื่อ*หลี่หลิงเฟิ่งถอนหายใจเบาๆ กล่าวกับเสี่ยวเซียงที่กำลังจัดที่นอนให้นาง“เรื่องนั้นคืบหน้าไปถึงไห
หลี่เจี้ยนชะงักงัน น้องเล็กดีใจที่ได้เจอเขาหรือ ความน้อยใจที่สั่งสมมาตลอดหลายวันพลันจางหายเพียงแค่ประโยคเดียวของนาง ริมฝีปากยกยิ้มอบอุ่น กล่าวอย่างอารมณ์ดี “ไป พี่จะพาเจ้าไปเปิดหูเปิดตา”มือเรียวคล้องแขนผู้เป็นพี่ชาย ส่ายหน้าปฏิเสธ “ข้ามีของขวัญจะให้ท่าน เดิมทีตั้งใจจะมอบให้ตั้งแต่เมื่อวาน แต่เกิดเรื่องขึ้นมากมาย จึงไม่มีโอกาสสักครั้ง” นางกะพริบตากลมโตจ้องมองหลี่เจี้ยนตาแป๋ว น้ำเสียงใสพูดออกจากปากช่างไหลลื่น ไม่ติดขัดสักนิด“สิ่งใดรึ” หลี่เจี้ยนตาเป็นประกาย กล่าวอย่างตื่นเต้น นานเท่าไหร่แล้วที่เขาไม่ได้รับความสำคัญจากน้องเล็ก ตั้งแต่นางกลับมาก็ทำตัวเหินห่างกับเขาราวกับคนแปลกหน้าตอนเด็กก็ยังชอบเกาะติดกับหลี่เฟยหยาง เขาเป็นเพียงพี่ชายที่เดินตามพวกนางอยู่ข้างหลัง นางระลึกถึงเขา จะไม่ให้ดีใจได้อย่างไรรอยยิ้มหวานไปจนถึงดวงตาถูกส่งไปให้อีกครา ชายหนุ่มมองอย่างเคลิบเคลิ้ม “สิ่งนี้มีเพียงหนึ่งเดียวในใต้หล้า ท่านเป็นคนแรกที่ได้รับมันเชียวนะเจ้าคะ”นางปล่อยมือทั้งสองข้างที่คล้องแขนหลี่เจี้ยนออก จากนั้นหยิบเอาตลับยาในอกเสื้อออกมาก่อนยื่นให้ “ท่านเปิดดูสิ”“น้องเล็ก” หลี่เจี้ยนซาบซึ้งใจยิ่งนัก ก
สามชั่วยามถัดมา หลี่เจี้ยนและหลี่หลิงเฟิ่งขอตัวกลับ หวังซีเดินมาส่งทั้งสองถึงชั้นล่างด้วยตนเอง ผู้คนที่เคยเนืองแน่นขนัดอย่างสามวันก่อนไม่มีอีกต่อไป มีเพียงศิษย์สองสามคนเท่านั้น ผู้ไม่เกี่ยวข้องมิอาจเข้ามาด้านในได้ ตั้งแต่เกิดเหตุการณ์มีผู้บุกรุกขึ้น หอแพทย์โอสถจึงเปิดทำการเพียงส่วนขายยาสมุนไพรและยาลูกกลอนเท่านั้น นั่นคือโถงหน้าสุดของหอ“แม่นางหลี่ สมุนไพรส่วนที่เหลือข้าจะส่งให้ท่านถึงจวนพรุ่งนี้เช้าตามเดิม ไม่คิดเงินแต่อย่างใด ขอบคุณท่านที่ช่วยเหลือหอแพทย์ของเรา บุญคุณครั้งนี้สำนักแพทย์โอสถต้องตอบแทนท่านอย่างแน่นอน” หวังซีคำนับขอบคุณนางครั้งหนึ่ง“ไม่ต้องเกรงใจ เมื่อครั้งอยู่ชนบทพวกท่านได้ช่วยเหลือข้าหลายเรื่อง สหายช่วยเหลือกันไม่นับว่าเป็นบุญคุณอันใดหรอก หากช่วยได้หนึ่งชีวิตก็ถือเป็นการทำกุศลเพิ่มไม่ใช่หรือ” หลี่หลิงเฟิ่งโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ“หากห่อยาหลัวนั้นจะช่วยผู้อาวุโสในสำนักท่านได้ ก็ถือเป็นโชคดีของมันแล้ว ท่านไม่ต้องทำเช่นนี้ ข้าจะอายุสั้นได้นะ” หลี่หลิงเฟิ่งกล่าวอย่างติดตลก พลันสายตาเหลือบไปเห็นถงลี่เดินไวๆ มาทางพวกเขา“อย่างไรก็ต้องขอบคุณท่านมากจริงๆ น้ำใจของท่านในครั้งนี้พวก
ราตรีกาลมืดมิด ดวงจันทร์เอียงอายหลบหายไม่เห็นเงา สายลมพัดแผ่วเบา คลื่นน้ำสงบนิ่ง กลิ่นอายรอบด้านสดชื่นปะทะเข้าใบหน้าหนึ่งบุรุษสองสตรี เรือลำเล็กลำหนึ่งแล่นอยู่กลางผืนน้ำด้านหน้าคือหุบเขาขนาดใหญ่ตั้งอยู่หลังหออวิ๋นหลิ่วกั้นกลางด้วยแม่น้ำสายเล็กๆ คาดว่าแหล่งกำเนิดหินแร่คงอยู่ในนั้น หลี่หลิงเฟิ่งหลับตาพริ้มตั้งแต่เริ่มนั่งอยู่บนเรือ ภายนอกดูเหมือนผ่อนคลายสบายใจ ทว่า พลังจิตของนางคอยสังเกตสิ่งผิดปกติมาตลอดทางความเงียบสงบเกินกว่าเหตุมักผิดวิสัยของธรรมชาติ ที่ใดมีแม่น้ำ มีภูเขา ที่นั่นย่อมมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ เพราะเหตุใดระหว่างทางนางไม่ได้ยินเสียงสัตว์ป่ายามค่ำคืนเลยแม้แต่น้อย สัญชาตญาณส่งเสียงร้องเตือนให้นางระวังภัยจากที่มืดผิดปกติเกินไปแล้ว“เสี่ยวเฟิ่ง พวกเราถึงแหล่งกำเนิดหินแร่แล้ว ไปกันเถอะ” ในขณะที่หลี่หลิงเฟิ่งตกอยู่ในภวังค์นั้น เสียงหวานของสตรีด้านข้างปลุกนางตื่นขึ้นมา หลี่หลิงเฟิ่งส่งเสียงอืมออกมาคำหนึ่ง ก้าวลงจากเรือตามหลังทั้งสองคนอย่างไม่รีบร้อน“ที่นี่ออกจะเงียบไปสักหน่อยหรือไม่” หลี่เจี้ยนสำรวจรอบๆ เขารู้สึกใจคอไม่ดีอย่างบอกไม่ถูก มีบางอย่างไม่ถูกต้อง แต่ไม่รู้ว่าไม่ถูกต้
“หึ คิดว่าแค่นี้จะขู่พวกข้าได้อย่างนั้นรึ โชคไม่ดีที่พวกเจ้าเลือกมาคืนนี้ จงทิ้งชีวิตไว้ที่นี่เสียเถอะ” ชายชุดดำทั้งห้าหน้าตาถมึงทึง ไม่ลังเลอีก บุกโจมตีอย่างดุดัน ทว่า สะเปะสะปะจับตำแหน่งทั้งสามคนไม่ได้ ทำให้พวกหลี่หลิงเฟิ่งหลบการปะทะครั้งนี้ได้อย่างง่ายดายหลี่เจี้ยนสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมาหลายส่วน พลังยุทธ์ของคนพวกนี้ไม่ด้อยไปกว่าพวกเขาแม้แต่น้อย หากยืดเวลาออกไป จะส่งผลเสียมากกว่าผลดี ศึกครั้งนี้เขาต้องรีบรบรีบจบ เริ่มต้นด้วยการประกบฝ่ามือทั้งสองข้าง พลังสีฟ้าก่อตัวเป็นคลื่นยักษ์สูงสามจั้ง หมุนคว้างรอบตัวเขาก่อนจะสะบัดไปยังทิศทางที่มีลำแสงโจมตีของฝ่ายตรงข้ามเมื่อสักครู่คลื่นยักษ์เคลื่อนที่เป็นวงกลมครอบคลุมขอบเขตหนึ่งส่วนสาม ที่น่ากลัวที่สุดคือความเร็วในการเคลื่อนไหวรวดเร็วเพียงกะพริบตาเท่านั้น หากถูกเงาคลื่นยักษ์ซัดโดนตัว การเคลื่อนไหวทั่วทั้งร่างจะเชื่องช้าลงชั่วขณะ ไม่อาจหลบหนี ไม่อาจโต้กลับหลี่หลิงเฟิ่งผู้เห็นเหตุการณ์ชัดแจ้งแต่เพียงผู้เดียวอดอุทานออกมาเบาๆ ไม่ได้ “คลื่นยักษ์สลาตัน ร้ายกาจยิ่งนัก!”อวิ๋นหลิ่วเหยียดยิ้ม นี่คือเวลาที่นางรอคอย พลังยุทธ์สีส้มก่อตัวขึ้นบนฝ่ามือในพริ
“โอหังนัก! นังเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม เจ้าไม่มีสิทธิ์กล่าวล่วงเกินท่านหัวหน้า” หนึ่งในชายชุดดำผินหน้าขุ่นเคืองจ้องมองเด็กสาวชุดแดงมิวางตา ร่างทั้งร่างสั่นเทา เพลิงโทสะพร้อมระเบิดออกมา“อย่างนั้นรึ”หลี่หลิงเฟิ่งได้ยินก็เลิกคิ้วสะกดใจจ้องมองใบหน้าบิดเบี้ยวของชายชุดดำ เอ่ยเสียงอ่อนนุ่ม “เป็นศิษย์อาจารย์หนึ่งวันเปรียบเสมือนบิดามารดาตลอดชีวิต ไม่เคยได้ยินหรือ อีกอย่างเจ้ามีสิทธิ์อันใดมาชี้หน้าด่าข้า บิดาข้ารึ ก็ไม่ใช่ ข้าไม่มีบิดาโง่เง่าเช่นเจ้า” หากไร้สมองจริง บิดาของนางคงไม่ได้เป็นถึงท่านเจ้าเมืองมาหลายปีเช่นนี้หลี่เจี้ยนหลุดขำ ไพล่แขนทั้งสองข้างไว้ด้านหลังเดินมาหยุดข้างหลี่หลิงเฟิ่ง “น้องเล็กพูดถูก ท่านพ่อของพวกเราหน้าตาไม่ใช่อย่างนี้แน่นอน”“เจ้า!” ชายชุดดำโกรธขึ้ง มือที่ชี้หน้าหลี่หลิงเฟิ่งสั่นเทาอย่างรุนแรง สายตาเคียดแค้นจ้องมองพวกนางไม่วางตา เขาอยากจะเผาร่างพวกมันให้ไหม้เป็นจุณ กลบฝังอยู่ในถ้ำไม่ให้เหลือซาก แม้แต่เศษชิ้นส่วนเดียวก็ไม่อาจหลุดรอดออกไปจากที่นี่ได้!ชายวัยกลางคนยกมือห้าม ใบหน้าซีดเซียวเรียบนิ่งไม่อาจคาดเดาความรู้สึกได้ เสียงแหบแห้งดังขึ้นมาอีกครั้ง “วิธีการใช้พลังยุท
เสียงก้อนหินถล่มดังสนั่นทุกคนเกิดความงงงวย สายตาทุกคู่มองไปยังทิศทางของเสียงเหตุใดจึงเป็นเช่นนี้สถานการณ์กลับตาลปัตรเช่นนี้มีเพียงหลี่หลิงเฟิ่งที่รู้เหตุการณ์ทุกอย่าง หากนางไม่ช่วงชิงโอกาสที่ศัตรูไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นเป็นช่องโหว่ในการหลบหนี สุดท้ายพวกนางทั้งสามต้องสังเวยชีวิตตนเองจริงๆ แน่ทั้งสามคนมุ่งหน้าไปยังปากทางออกพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย ซ่อนตัวอยู่หลังก้อนหินใหญ่ก้อนหนึ่ง หายตัวไปจากทัศนวิสัยของฝ่ายตรงข้าม“ควันพิษ ห้ามเผลอสูดดมเข้าไปเด็ดขาด” หลี่หลิงเฟิ่งฉีกชายแขนเสื้อมาปิดครึ่งหน้า ทั้งสองเห็นดังนั้นจึงรีบทำตามนางทันที มวลฝุ่นทั้งหลายค่อยๆ จางลง เปิดเผยภาพตรงหน้าอย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง“แมงมุมระฆังเงินขั้นสี่!” หลี่เจี้ยนหลุดอุทานออกมาเบาๆ เหลือบมองอวิ๋นหลิ่วโดยไม่รู้ตัว“แปลก” สตรีชุดเขียวมรกตขมวดคิ้วมุ่น ใบหน้าฉายแววหนักใจ ทำไมนางสัมผัสไม่ได้ สัตว์อสูรตนนี้อยู่ในอาณัติของนาง ตกทอดมาจากบรรพบุรุษรุ่นต่อรุ่น มีหน้าที่เฝ้าเหมืองของตระกูล อายุหลายร้อยปี มันไม่เคยเกิดอาการคลุ้มคลั่งมาก่อนนางซึ่งเป็นรุ่นปัจจุบันไม่อาจควบคุมมันได้ ทว่ามันจดจำกลิ่นนางได้ดีเสมอ เพ่งจิตเรียกหายามใ
ความเปียกชื้นปนความสากเหมือนโดนกระดาษทรายถูบนใบหน้าปลุกหลี่หลิงเฟิ่งที่กำลังนอนหลับใหลตื่นขึ้นมา ดวงตาเรียวสวยลืมขึ้นอย่างเชื่องช้า กะพริบตาถี่ปรับสายตาให้ชินกับแสงที่เริ่มสลัวสัมผัสแรกที่หลี่หลิงเฟิ่งได้รับคือความหนักอึ้งบนหน้าอก ขนสีเงินยวงสะบัดวนบนหน้าของนาง อุ้งเท้าน้อยๆ ข้างหนึ่งเหยียบลงบนแก้มซ้าย ลิ้นเล็กๆ กำลังเลียจมูกของนางอย่างเมามัน“ฮัดชิ่ว!” หลี่หลิงเฟิ่งนิ่วหน้า จมูกคันยุบยิบด้วยความระคายเคือง จามออกมาสุดแรง มือข้างหนึ่งเผลอปัดสิ่งน่ารำคาญออกไปให้พ้นตัว“โอ๊ย!” ชั่วพริบตานั้นหลังมือของหลี่หลิงเฟิ่งถูกมันงับเข้าหนึ่งแผล ด้วยบาดแผลที่ลึกจมเขี้ยวทำให้นางมีสติครบถ้วนขึ้นมาทันที รีบดึงมือกลับมาเพื่อเลี่ยงให้ตนบาดเจ็บอีกแทบไม่ทันสิ่งมีชีวิตเล็กๆ ตัวหนึ่งเบิกตากลมโตสีแดงฉานจ้องมองนาง หลี่หลิงเฟิ่งลูบหน้าเปียกชุ่มขณะพิจารณาเจ้าตัวน้อยอย่างละเอียด ขนสีเงินยวงทั้งร่าง ตัวเล็กกระจิริดขนาดสองฝ่ามือของนาง รูปร่างหน้าตาบางมุมคล้ายลูกสุนัขจิ้งจอก ทว่าบางมุมกลับคล้ายกระรอกแต่หลี่หลิงเฟิ่งมั่นใจว่ามันไม่ใช่ทั้งสุนัขจิ้งจอกและกระรอก มันเป็นสัตว์อสูรประเภทหนึ่งที่ไม่มีในตำราใด แน่นอนว่าน
“เจ้าโกหก!” ถงหนิงซีตะโกน มองหน้าหลี่หลิงเฟิ่งเขม็งหลี่หลิงเฟิ่งเลิกคิ้ว หัวเราะทีหนึ่ง เป่าน้ำชาร้อนในถ้วย ไม่สนใจถงหนิงซีอีกต่อไปนางไม่อยากคุยกับคนสมองหมู“บัดซบ! เป็นเจ้านั่นล่ะไม่ยอมรับความจริง” หรงอู่คำรามอย่างเหลืออด “ผู้อาวุโสสามถูกขังอยู่ในคุกตั้งแต่ก่อนงานประลองจะเริ่มแล้ว จะเอาเวลาที่ไหนไปทำตัวมีพิรุธให้เจ้าจับได้กัน เจ้าคิดว่าคนในสำนักแพทย์โอสถโง่เง่าขนาดนั้นรึ! โดนหลอกใช้แล้วยังไม่รู้ตัวอีก”“ไม่จริง ก็คนผู้นั้นบอกว่า...” ถงหนิงซีอึกอักอยู่นาน สุดท้ายก็หุบปากไม่กล่าวอันใด“บอกอะไร เจ้าพูดออกมาสักทีสิ” ผู้อาวุโสแปดฟังอยู่นานก็ยังจับคนร้ายไม่ได้ เมื่อเห็นถงหนิงซีมัวแต่อ้ำอึ้งก็ร้อนใจขึ้นมาอีกรอบ“รู้อะไรมั้ย เพื่อพวกเจ้าแล้ว ถงลี่เลือกทรยศสำนักที่เขารับใช้มาหลายสิบปี เพราะพวกเขาเอาชีวิตของคนในครอบครัวมาข่มขู่ น่าเสียดายที่เขาเลือกเจ้านายผิดคน สุดท้ายเมื่อทำงานล้มเหลวถึงได้โดยฆ่าปิดปาก คนใกล้ชิดก็ไม่เหลือทางรอดเช่นเดียวกัน” สวีคุนเอ่ยขึ้นเบาๆ เขา
ภายในคุกใต้ดินของสำนักแพทย์โอสถแฝงไปด้วยบรรยากาศอันน่ากลัว เสียงน้ำหยดจากผนังดังเป็นจังหวะในความเงียบสงัด ร่องรอยความมืดเกือบจะครอบคลุมทุกพื้นที่ มีเพียงเงาของคนกลุ่มหนึ่งที่เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วในเงามืดนั่นคือกลุ่มของหลี่หลิงเฟิ่ง ซึ่งกำลังเดินเข้าไปยังห้องขังที่กักขังผู้อาวุโสสามเอาไว้พวกเขาเดินไปตามทางเดินหินที่แคบและมืด อากาศเยือกเย็นที่ออกมาจากหินในร่องทางเดินทำให้ทั้งกลุ่มรู้สึกหนาวเหน็บอยู่บ้าง แม้แต่ลมหายใจยังคงเป็นไอเย็นกรุ่นออกมาเสียงฝีเท้าของทั้งกลุ่มค่อยๆ ดังขึ้นขณะที่เดินผ่านห้องขังหลายห้อง จนกระทั่งถึงประตูไม้เก่าแก่บานหนึ่ง ประตูนี้มีรอยขีดข่วนและความเสื่อมโทรมของมัน เห็นได้ชัดว่าถูกเปิดและปิดบ่อยครั้งสวีคุนหยุดยืนอยู่ตรงหน้าประตู ก่อนจะหันไปมองหลี่หลิงเฟิ่ง “คนร้ายคงต้องการฆ่าตัดตอนเพื่อปกปิดความจริงกระมัง ทุกครั้งที่พวกเราเข้าใกล้ความจริง มักจะมีเท้าคู่หนึ่งก้าวนำหน้าพวกเราไปก่อนเสมอ ถ้าผู้อาวุโสสามยังมีชีวิตอยู่ เราคงจะรู้คำตอบในไม่ช้า”“พวกเราอยู่ในที่แจ้ง ศัตรูอยู่ในที่มืด เรื่องมันไม่ง่ายดายอย
ท้องฟ้านอกหน้าต่างอาบแสงแดดจางๆ ผสมกับสายหมอกยามเช้าที่ยังปกคลุมยอดเขา ก่อนจะค่อยๆ จางหายไปเมื่อตะวันเริ่มตั้งสูงขึ้น สถานที่เงียบสงัดภายในห้องนอนของเจ้าสำนักมีเพียงสามชีวิตที่กำลังนั่งจิบชาหันหน้าเข้าหากัน อารมณ์ตึงเครียดของแต่ละคนลอยคละคลุ้งไปทั่วห้อง ยกเว้นหลี่หลิงเฟิ่งที่นั่งเอนตัวพิงกับเก้าอี้ดื่มด่ำกับชาชั้นยอดอยู่ในห้วงฝันส่วนตัวความเงียบดำเนินไปหลายชั่วยาม คนในห้องต่างรอคอยศิษย์ในสำนักบางส่วนที่ออกไปทำภารกิจของค่ำคืนที่ผ่านมา เนื่องจากเมื่อคืนนี้มีผู้บุกรุกเข้าไปในเขตหวงห้ามของสำนัก เจ้าสำนักและอาจารย์อาเล็กจับสิ่งผิดสังเกตได้จึงสั่งให้พวกเขาออกไปค้นหาคนร้ายอย่างลับๆเจ้าสำนักที่ตอนนี้กลับมาเป็นชายหนุ่มรูปงามดังเดิมนั่งนิ่ง แผ่นหลังเหยียดตรงทว่ากลับให้ความรู้สึกผ่อนคลาย แฝงความเย็นชา แต่ในใจกลับเต็มไปด้วยความวิตกกังวลเพราะรู้ดีว่ามีผู้ไม่ประสงค์ดีแฝงตัวอยู่ในสำนัก อย่าว่าแต่จับคนร้ายเลย ตัวเขาก็เกือบตายด้วยน้ำมือของคนผู้นั้นด้วยซ้ำต่างจากหรงอู่ที่ภายในใจคิดอย่างไรก็แสดงออกมาทางสีหน้าทั้งหมด หยาดเหงื่อผุดขึ้นเต็มสองขยับ เขายกมือขึ้นปาดมันอ
สวีคุนเริ่มสำรวจภายในห้องโถงอย่างตื่นเต้นโดยมีหลี่หลิงเฟิ่งเดินตามอยู่ด้านหลัง เนื่องจากนางเข้าออกโถงแห่งนี้เป็นประจำ จึงรู้สึกเฉยชาอยู่มาก แต่เมื่อเดินเข้ามายังใจกลางห้อง สีหน้าของนางกลับแปรเปลี่ยนจากปกติโดยสิ้นเชิง หันไปมอบรอบ ๆ อย่างน่าประหลาดใจหลี่หลิงเฟิ่งเริ่มสำรวจอีกรอบ จากที่เคยเป็นโถงไม้ธรรมดา เวลานี้กลับแวววาวระยิบระยับดั่งประสาททอง สะท้อนเข้าสู่ดวงตาจนปวดแสบ“โดยปกติแล้วสำนักของเราก็ไม่ขาดแคลนเงินทอง แต่คิดไม่ถึงเลยว่าผู้ก่อตั้งจะเป็นบุคคลร่ำรวยผู้หนึ่ง ขนาดที่พำนักยังสร้างมาจากทองคำ!” สวีคุนเก็บอาการไม่ไหวอุทานออกมา ท่ามกลางของมีค่ามากมายเรียงรายอยู่ตรงหน้า ทำให้เขาตาลายอย่างช่วยไม่ได้เมื่อมองไปรอบตัวนอกจากจะเห็นทองคำและเพชรนิลจินดาแล้ว บนผนังห้องยังมีรูปภาพของผู้ก่อตั้งแขวนไว้หลายรูป ช่างน่าเหลือเชื่อ หรือคนผู้นี้ชอบชื่นชมรูปโฉมของตัวเอง ท่วงท่าแต่ละภาพออกจะพิสดารอยู่บ้าง แต่ไม่อาจบดบังความงามของนางได้ปัง! ขณะที่ทั้งสองตกอยู่ในภวังค์ความคิด ประตูที่เคยเปิดอยู่กลับปิดกะทันหัน ตัวอักษรสีแดงตัวโตแสดงอยู่บนผนังห้อง‘บทเพลงเพลิงพิรุณลืมเลือนสยบใต้หล้า ’“ที่แท้ก็ไม่ใช่ภาพวา
พระอาทิตย์ลับขอบฟ้าเป็นเวลานานมากแล้ว ภาพยามค่ำคืนควรปรากฏอยู่ในสายตา ทว่าที่แห่งนี้กลับเต็มไปด้วยแสงแดดอ่อนสว่างนวลราวแดดยามเช้า ลมหนาวเย็นยะเยือกถึงกระดูกพัดผ่านตัวนางที่นอนเหยียดแขนขาบนเก้าอี้หวายใต้ต้นท้อเป็นครั้งคราว ด้านข้างของนางเป็นสระหยกเย็นที่อบอวลไปด้วยพลังไอปราณบริสุทธิ์เข้มข้น หากแต่ไอน้ำที่ลอยอยู่เหนือสระเต็มไปด้วยหมอกพิษที่พร้อมคร่าชีวิตของผู้ที่เผลอสูดดมเข้าไปในเสี้ยววินาที หากเหลือบมองไปยังด้านหลังสระจะเห็นว่ายังมีโถงไม้หลังหนึ่งตั้งตระหง่านอยู่ไม่ไกลเดิมทีไม่ควรเรียกว่าโถงด้วยซ้ำ ลักษณะของมันพิเศษอยู่สักหน่อยเพราะมีห้องแยกเรียงกันอยู่สามห้อง คล้ายกับเรือนชั้นเดียวมากกว่า เหมาะกับพักอาศัยอย่างยิ่ง น่าแปลก...ที่แห่งนี้ราวกับอยู่คนละโลก ทิวทัศน์สวยงามเหมือนไม่มีอยู่จริง ใครจะรู้ว่ามันซ่อนอยู่ในพื้นที่สีแดงของสำนักแพทย์โอสถ หลี่หลิงเฟิ่งค้นพบที่นี่โดยบังเอิญหลังจากแอบเข้ามาสำรวจเขตลับด้วยตนเองอยู่หลายครั้งเสียงน้ำกระเพื่อมเบา ๆ ดังลอดเข้ามาในหูขัดขวางความดื่มด่ำกับธรรมชาติของหลี่หลิงเฟิ่ง นางเลิกคิ้วเล็กน้อย ลืมตาขึ้นมาอย่างช้า ๆ หันศีรษะม
พรึ่บ !เปลวเพลิงไม่รู้ที่มาแผดเผาบริเวณโดยรอบโดยที่ทุกคนไม่ทันได้ตั้งตัว แผดเผาทุกสรรพสิ่งที่อยู่เบื้องหน้าให้มอดไหม้“เจ้าฉวยโอกาส” ผู้บุกรุกกัดฟันกรอดด้วยความเคียดแค้น ทว่าเมื่อเทียบกับคนอื่นกลับดูดีกว่ามาก เขาป้องกันการลอบโจมตีของนางครั้งนี้ได้ทัน“ฆ่ากันต้องมีกฎด้วยหรือ ก็แค่เจ้าตาย ข้ารอด” หลี่หลิงเฟิ่งมองไปอย่างเสียดาย นางรึอุตส่าห์เปิดด้วยกระบวนท่าใหญ่ แต่ต้องคว้าน้ำเหลวเสียนี่ แต่ไม่เป็นไร ลองอีกครั้งก็ได้เปิดก่อนได้เปรียบ!“ดูซิว่าเจ้าจะรับมือได้นานแค่ไหน” ไม่รอให้ศัตรูได้ทันหายใจ นางส่งมอบการโจมตีอันหนักหน่วงออกไปให้เขาไม่ขาดสาย ต่อให้รับกระบวนท่าของนางได้ทุกครั้ง แต่ร่างกายคนฝึกยุทธ์ที่ไม่ได้มีระดับสูงมากนักก็มีขีดจำกัดอยู่ดี ซึ่งต่างจากนางที่มีน้ำทิพย์ให้ดื่มฟื้นฟูพละกำลังอยู่ตลอดเวลานางทนได้ แต่คนทั่วไปย่อมแตกต่าง“เหอะ คิดว่าเจ้าทำอย่างนี้แล้วมีความหมายหรือ เป็นข้าที่ประเมินเจ้าสูงเกินไป” เห็นได้ชัดว่าผู้พูดกำลังดูถูก หลี่หลิงเฟิ่งก็ยังไม่สะทกสะท้าน สมควรทำยังไงก็ทำต่อไปผู้บุกรุกขมวดคิ้วเล็กน้อย คล้ายสงสัยถึงบางอย่างที่ผิดปกติ แต่ก็บอกไม่ถูกว่าผิดปกติที่ตรงไหน นิ่งอย
ด้วยความไม่รู้เหนือใต้ออกตก ทุกคนได้ย่างเข้ามาในพื้นที่อันตรายที่สุดในเขตหวงห้ามเสียแล้ว รวมทั้งหลี่หลิงเฟิ่งเองด้วย หญิงสาวพบว่าบรรยากาศโดยรอบเงียบสงัด แม้แต่เสียงใบไม้กระทบกับลมก็ยังไม่มีให้ได้ยิน ราวกับไร้จุดหมาย ดูเหมือนว่านางเพียงแค่เดินเตร็ดเตร่มาหลายเค่อเท่านั้น หากแต่หลี่หลิงเฟิ่งระวังตัวมากขึ้นเนื่องจากพื้นที่ที่เคยมีหมอกหนา ต้นไม้ใบหญ้าเขียวชอุ่ม กลายเป็นพื้นที่แห้งแล้ง ผืนดินแตกแขนง ร้อนระอุจากการแผดเผาของดวงอาทิตย์ ราวกับอยู่คนละโลกกับเมื่อสักครู่โดยสิ้นเชิงทางนั้น!เสียงของถิงถิงดังขึ้นจากในหัวของนาง หลี่หลิงเฟิ่งเดินตามทางที่ถิงถิงบอก สุดท้ายหยุดยืนใต้ต้นไม้ต้นหนึ่งใกล้บึงน้ำขนาดเล็กที่แห้งขอดไปแล้ว น่าแปลกที่ต้นไม้ต้นนี้เป็นเพียงต้นเดียวที่ยังคงแตกกิ่งก้าน อยู่รอดท่ามกลางบรรดาต้นอื่นที่หลือเพียงซากและใบไม้แห้งกรอบราวกับต้นไม้มีชีวิตหรี่ หรี่เสียงปริศนาดังขึ้น ครั้งนี้เสียงของมันชัดเจนกว่าครั้งไหน ๆ ใกล้จนหลี่หลิงเฟิ่งหวาดระแวง ประเดี๋ยวมองซ้าย ประเดี๋ยวมองขวา กลับไม่พบสิ่งผิดปกติ เสียงนั้นยังคงดังต่อเนื่อง จิตสังหารรอบตัวของหลี่หลิงเฟิ่งแผ่ขยายออกอย่างรวดเร็ว แสงสีข
“อะ…อาจารย์อา ขออภัยที่ล่วงเกินเพียงแต่ข้าขอทราบชื่อของท่านได้หรือไม่ขอรับ” โจวอวี๋ถามขึ้นมาอีกครั้ง นางยังเด็กยิ่งนักเป็นไปได้หรือไม่ว่าอาจจะแปลงรูปโฉมให้คงความเยาว์วัยไว้เสมอ บางทีหากได้รู้จักชื่อเสียงเรียงนามของนาง เขาน่าจะรู้จัก คนมีความสามารถระดับนี้ เขาจะพลาดได้อย่างไร“ข้ามีนามว่าหลี่หลิงเฟิ่ง” หญิงสาวตอบเสียงเรียบ ยามนี้นางกำลังเพ่งจิตเข้าไปสำรวจด้านในเขตหวงห้าม จึงไม่ได้สังเกตท่าทางตกใจของคนที่อยู่ในนี้ทั้งหมด ทันทีที่นางพูดจบพลังจิตขอนางจับสิ่งผิดปกติอันใดไม่ได้เลย จนกระทั่งสำรวจเข้าไปในส่วนลึกของเขตหวงห้ามนางถึงค้นพบควันสีดำขุมหนึ่ง หลี่หลิงเฟิ่งเข้าไปใกล้ขึ้นเรื่อย ๆ แต่ว่าเหมือนมีอะไรมาขวางกั้นนางเอาไว้ทำให้ไม่สามารถมองเห็นสิ่งที่อยู่ข้างในได้ ซ้ำร้ายยังถูกผลักออกมาหลี่หลิงเฟิ่งหลุบตาลงครุ่นคิดอยู่คนเดียวเป็นเวลานาน เมื่อนางเงยหน้าขึ้นมาก็พบว่าทุกคนกำลังมองมาที่นางเป็นตาเดียว“ไม่จริงน่า จะเป็นเจ้าไปได้อย่างไร” เหลียนฉู่ฉู่เอ่ยออกมาเป็นคนแรก อย่างไม่เชื่อสายตา“ข้าคาดเดาตั้งแต่แรกแล้วว่าเจ้าคือหลี่หลิงเฟิ่ง คู่หมั้นขององค์ชายรองโม่ เพียงแต่รู้สึกแปลกใจ ทำไมแม่นางหลี่ถึง
เจ้านาย ทางนี้!เสียงนี้อีกแล้ว เรียกหาตั้งแต่นางเดินเข้ามาในอุโมงค์นี้เสียงก็ดังก้องในหูนางไม่ต่ำกว่าห้าครั้ง นางเดินออกมาห่างไกลจากคนในกลุ่มเรื่อย ๆ สมบัติตรงนี้น้อยกว่าที่อื่นมาก ชั้นวางสมบัติเป็นเพียงหินที่ทำเป็นชั้น ๆ เรียงกันขึ้นมาเท่านั้น แตกต่างจากก่อนหน้าที่ทำขึ้นด้วยทองคำและหยก คนเข้าละโมบและลุ่มหลงได้ง่ายหลี่หลิงเฟิ่งหยิบเศษผ้าขาวที่เขรอะไปด้วยฝุ่นที่อยู่ท่ามกลางบรรดาสมบัติชิ้นอื่นขึ้นมา นางพินิจถึงความพิเศษที่ควรจะมี ทว่ากลับเป็นเพียงผ้าธรรมดาเท่านั้น นางตัดสินใจวางลงที่เดิม เพียงแต่มือของนางกลับหนักอึ้งอย่างไม่ทราบสาเหตุ เมื่อนางหยิบขึ้นมาอีกรอบความรู้สึกหนักอึ้งที่มือกลับหายไปฟุบ!“อ๊ะ” ลมที่ไม่รู้มาจากที่ใดปะทะเข้ากับหน้าของนางอย่างจัง เศษผ้าปลิวมาติดที่ตาทั้งสองข้างปิดกั้นการมองเห็นไปชั่วขณะ จากนั้นก็ผสานเข้ากับนางเป็นหนึ่งเดียว หลี่หลิงเฟิ่งตกใจไม่น้อยเมื่อรู้สึกตัว แค่เพียงแวบเดียวเท่านั้น ผ้าผืนนั้นก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย นางมองซ้ายขวาอย่างร้อนรนอยู่บ้าง นางรีบปรับตัวให้เป็นปกติ ด้วยกลัวคนทั้งหมดในนี้จะเห็นการกระทำอันแปลกประหลาดนี้ของนางหญิงสาวลองทดสอบพลังยุทธ์และ