โลหิตสดๆ ไหลออกมาจากไหล่ซ้ายของสตรีชุดแดง รอยกรีดลึกเป็นทางยาวประมาณเจ็ดชุ่น* หลี่หลิงเฟิ่งหน้าตาบิดเบี้ยวข่มความเจ็บปวด รับพลังโจมตีทั้งหมดผ่านมือขวา ลำตัวถอยร่นจนสุดขอบเรือน สมกับเป็นสัตว์อสูรหายาก พละกำลังของมันแข็งแกร่งเทียบเท่ากับผู้ฝึกยุทธ์ขั้นกำเนิดใหม่ระดับสูง
หลูหวั่นชิง ลืมตาขึ้น มองหลี่หลิงเฟิ่งที่ยืนสู้กับหมูป่าหางทองอย่างตะลึงงัน ลืมความเจ็บปวดจากการโดนพลังยุทธ์ที่กันนางออกมานอนกองอยู่บนพื้น นางหมายจะเข้าไปช่วยหลี่หลิงเฟิ่ง ใครเลยจะคิดว่า...
“นาง...นางเป็นพลังยุทธ์” นี่...คำเล่าลือหลายสิบปีเป็นเรื่องหลอกลวงหรือ นางหาใช่ตัวไร้ค่า แต่เป็นผู้มากด้วยพรสวรรค์ต่างหาก!
เสียงเซ็งแซ่ดังกระหึ่มทั่วห้องโถง ในที่นี้ไม่มีใครใจคอสงบสักคน เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นเหนือความคาดหมายเกินไปแล้ว
หมูป่าหางทองคำรามดังขึ้น เจ้าพวกมนุษย์น่าตาย กล้าลอบกัดข้า กระแสไฟฟ้าปลายหางแผ่ลามทั่วทิศ ทั่วทั้งห้องโกลาหลหนีตายกันถ้วนหน้า ห้องโถงที่เคยวิจิตรงดงามพังลงไม่เหลือซาก เสาหลักยึดโครงหลังคาหักลงทีละต้น เวลานี้บริเวณใกล้หลี่หลิงเฟิ่งเหลือเพียงแม่ลูกตระกูลหลู และหลี่เหวินเหยาเท่านั้น ส่วนสองแม่ลูกตัวต้นเรื่องหนีเอาตัวรอดไปนานแล้ว
“พวกเจ้าอย่ามาเกะกะเป็นภาระข้า” กล่าวบอกสองแม่ลูกบนพื้นก่อนจะถีบตัวขึ้นกลางอากาศ ลูกไฟนับร้อยลอยละลิ่วไปตามกระแสไฟฟ้า บางลูกถึงกับเผาไหม้ขนของมัน เนื้อตัวโล่งเตียนเป็นกระหย่อมแลดูน่าเกลียด เปลวเพลิงลุกไหม้ข้าวของในห้องอย่างรวดเร็ว
ฮว่าง
เจ้าหมูป่าส่ายสะบัดอย่างคลุ้มคลั่ง กรงเล็บปัดป้องลูกไฟให้พ้นตัว ประกายสังหารแผ่ออกมา ปากของมันอ้ากว้างจนน้ำลายยืดหยดลงบนพื้น จากหยดเล็กๆ ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ฮูหยินหลูตาเบิกโพลง ดึงรังหลูหวั่นชิงสุดแรงทว่าร่างกายของหญิงสาวกลับไม่ขยับตาม สติของนางไม่อยู่กับตัวตั้งแต่วิ่งเข้ามาขวางหลี่หลิงเฟิ่งครั้งแรกแล้ว
“หนีเร็ว!” หลูฮูหยินตะโกนสุดเสียง เจ้านี่เป็นตัวอะไรกันแน่ มันสามารถสร้างสายฟ้าเองได้ หากว่า...
ไม่ทันได้คิดอันใด คลื่นยักษ์ลอยเข้ามาหาพวกนางอย่างรวดเร็ว แสงสีขาววูบวาบรับกับเสียงเปรี๊ยะรอบคลื่นมหึมา ความเงียบกดดันให้ความคิดฟุ้งซ่าน หลี่หลิงเฟิ่งพลันคิด ถ้านางหลุดเข้าไปในคลื่นยังษ์นั้น ร่างกายคงไม่ทันตอบสนองอันใดก็คงถูกย่างจนไหม้เกรียมไปก่อน
ร้ายกาจ!
หลี่หลิงเฟิ่งแทบกรีดร้อง สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าตอนนี้นางดีใจมากแค่ไหน รอยยิ้มกว้างเผยออกให้ได้ยลเป็นครั้งแรก
ประสบการณ์!
หญิงสาวไม่สนใจอาการบาดเจ็บบนแขนซ้าย พุ่งตัวเข้าหาคลื่นที่กำลังขลับเคลื่อนมาด้วยความเร็วสูสีกัน พลังยุทธ์สีแดงพลันเปลี่ยนรูปร่างคล้ายกับลาวาไหลบนพื้น โอบล้อมขวางกันนางกับหนึ่งสัตว์อสูรเอาไว้จากบุคคลอื่น
หลี่เหวินเหยาคอยสังเกตการณ์อยู่ด้านข้าง ใบหน้าเรียบนิ่งไม่บ่งบอกถึงอารมณ์ใด จับจ้องการต่อสู้อย่างเฉยชา หากแต่ก็ไม่ยอมตีตัวจากไป
ครั้นหลี่เจี้ยนมาถึง ภาพเหตุการณ์ทำเอาเขาชะงักงัน ช็อกค้างอยู่เป็นนาน น้องเล็กถึงกับ ถึงกับ...
ไม่ต้องบอกก็รู้ รีบพุ่งตัวออกหมายจะช่วยหลี่หลิงเฟิ่งที่ตกอยู่ในอันตราย แต่ต้องชะงักค้างกลางอากาศเพราะพลังสีเทาที่สกัดกั้นเขาเอาไว้ เส้นเลือดบนใบหน้าปูดโปนด้วยความโมโหสุดขีด
“หลี่เหวินเหยา เจ้าทำบ้าอะไร!” สายลมก่อตัวเป็นคลื่นพายุขวางกั้นไว้อีกชั้นหนึ่ง จนไม่สามารถมองเห็นเหตุการณ์ตรงหน้าชัดเจน
“เจ้าบ้าไปแล้วหรือ ไม่เห็นหรือว่าน้องเล็กตกอยู่ในอันตราย หลบไป อย่ามาขวางทางข้า” พลังสีฟ้าทำลายพายุหมุนลงอย่างรวดเร็ว พุ่งตัวออกไปเบื้องหน้าอีกครั้ง
“อย่าบังคับให้ข้าต้องลงมือ” น้ำเสียงเย็นเยียบหลุดรอดจากริมฝีปากหลี่เหวินเหยา สีหน้าเย็นชาต่างจากทุกครั้ง เคลื่อนตัวมาขวางหลี่เจี้ยนเอาไว้
“หลบไป ไม่ช่วยก็อย่ามาเกะกะ” หลี่เจี้ยนยกมือตั้งท่าจะผลัก ทว่า เพียงขยับมือเล็กน้อย พลังยุทธ์สีฟ้าในมือก็พุ่งตรงเข้ากลางอกหลี่เหวินเหยาทันที
“เจ้าควรเปลี่ยนลูกเล่นใหม่ๆ เสียบ้าง” พลังยุทธ์ห่างจากอกหลี่เหวินเหยาเพียงหนึ่งคืบกระทบเข้ากับกระแสพลังสีเทาที่ก่อตัวขึ้นรอบตัวนาง ก่อนจะสลายหายไป
หลี่เจี้ยนใบหน้าหนักอึ้ง พลังคุกคามกดดันทำให้เขาต้องเสียเวลาตั้งรับ มองหลี่เหวินเหยาอย่างเคียดแค้น หากจะช่วยหลี่หลิงเฟิ่ง เห็นทีเขาต้องผ่านด่านนางไปก่อน
หลูหวั่นชิงเองพลอยถูกพลังจากสองผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหลอมรวมระดับต้นกดดันจนไม่อาจขยับตัว ทำได้เพียงเอาใจช่วยชายหนุ่มอยู่เงียบๆ
ทางด้านหลี่หลิงเฟิ่งราวตัดขาดจากโลกภายนอกไปนานแล้ว ต่อสู้กับหมูป่าหางทองมาพักใหญ่ ต่างก็ได้แผลกันเต็มตัว เลือดจากแผลที่โดนกรีดทั้งเล็กทั้งใหญ่ไหลซึม จนชุดของนางเปียกชุ่ม เหม็นคาวไปด้วยเลือด
หมูป่าหางทองสภาพย่ำแย่ไม่ต่างกัน เดิมทีมันเองก็ได้รับมาเจ็บมาก่อน สู้มานานขนาดนี้พละกำลังเริ่มถดถอย ตัวมันก็เริ่มไม่ไหวเช่นกัน ตามเนื้อโกร๋นไม่มีขนสักเส้น อัปลักษณ์เหลือแสน ทุกอย่างเป็นเพราะสตรีนางนี้ทั้งสิ้น
แต่ต่อให้มันต้องการกำจัดทิ้งแค่ไหน ก็ไม่อาจเข้าใกล้ผู้หญิงบ้านี่ได้เลยสักครั้ง มากสุดแค่ได้แผลจากกรงเล็บของมันเพียงเล็กน้อย
หลี่หลิงเฟิ่งเองก็หน้าซีดขาวเพราะเสียเลือดมากไปเช่นกัน ผ่านไปหลายเค่อก็สยบเจ้าหมูป่าตัวนี้ไม่ได้ ไม่ได้การ ขืนเป็นอย่างนี้ต่อไป นางต้องตายในอุ้งเท้าของมันเป็นแน่
หลี่หลิงเฟิ่งรวบรวมกระแสจิตพลางพูดโน้มน้าว “เจ้าตัวน้อย ข้ารักษาบาดแผลของเจ้าได้นะ”
เสียงคำรามต่ำยังดังอย่างต่อเนื่อง “แค่เจ้ามาอยู่กับข้า เจ้าก็จะปลอดภัย”
ฮว่าง
สายฟ้าฟาดฟันลงมาอีกครั้ง หลี่หลิงเฟิ่งปล่อยพลังยุทธ์ออกไปปัดป้อง ยังคงพูดต่อไป “เจ้าคงทุกข์ทรมานจากมันไม่น้อยสินะ พลังเจ้าถดถอยก็เพราะถูกพิษ ข้ารักษาได้นะ เจ้าว่าอย่างไร”
กรงเล็บสองข้างยังคงกางระแวดระวังนางอยู่ แต่เสียงคำรามหายไปแล้ว หลี่หลิงเฟิ่งพลันใจชื้น พูดอีกครา “เอาอย่างนี้ดีกว่า ข้าไม่บังคับเจ้า ข้าจะรักษาเจ้าจนหายดี แต่มีข้อแม้ว่าเจ้าต้องอยู่กับข้าหนึ่งเดือน” สายฟ้าก่อตัวขึ้นบนหัวนางทันที หลี่หลิงเฟิ่งรีบพูดออกมา “ข้าไม่ชอบบังคับใคร ถึงวันนั้น หากเจ้าอยากไปก็แค่จากไป แค่ในหนึ่งเดือนนี้เจ้าต้องคู่ซ้อมต่อสู้กับข้าทุกวัน เมื่อครบหนึ่งเดือนข้าจะไม่รั้งเจ้าไว้”
ฮว่าง
‘เจ้าพูดจริงหรือ เจ้ารักษาข้าได้แน่นะ ไม่บังคับข้าแน่นะ’ เสียงแหบพร่าดังขึ้นเบาหวิว ฟังดูอ่อนแรงยิ่ง
หลี่หลิงเฟิ่งสะดุ้งเฮือก ตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน มันสื่อสารกับนางได้ หญิงสาวสูดหายใจลึก ก่อนกล่าวเสียงหนักแน่น “ใช่ เมื่อครบสัญญา เจ้าไม่จำเป็นต้องรั้งอยู่ข้างกายข้า”
หญิงสาวถอนใจอย่างโล่งอก ในที่สุดก็เกลี้ยกล่อมเจ้าตัวแสบได้
เมื่อหลี่หลิงเฟิ่งสลายเขตขวางกั้น ภาพเบื้องหน้าทำเอานางลืมความเจ็บปวดเมื่อยล้าทันที หนึ่งบุรุษหนึ่งสตรี ปล่อยพลังสีฟ้าเทาปะทะกันจนห้องโถงพังครืนลงมาไม่เหลือซาก
หากคนอื่นไม่เห็นซากศพหมูป่าหางทองต้องเกิดความสงสัยมากเป็นแน่ นางจะทำอย่างไรดี เอาวะ มารยาพื้นฐานที่สตรีทุกคนต้องมี
“พี่รอง” หลี่หลิงเฟิ่งทรุดฮวบลงพื้นอย่างหมดเรี่ยวแรง หญิงสาวเสียเลือดไปมาก ฝืนทนต่อไม่ไหว เปลือกตาปิดลงช้าๆ
ร่างสองร่างชะงักงันหันตามเสียงเรียก หลี่เจี้ยนไม่สนใจหลี่เหวินเหยาให้เสียเวลา ถลาตัวช้อนศีรษะมนก่อนที่จะตกกระทบกับพื้น “น้องเล็ก เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”
“ข้าง่วง” น้ำเสียงสะลึมสะลือเปร่งออกมา ฝืนเปิดเปลือกตาหนักอึ้งมองหลี่เจี้ยน แอบร้องโอดครวญในใจ อยากจะหยิบยาออกมาจากมิติใจจะขาด
ครั้นสำรวจตามตัวก็พบกับแผลฉกรรจ์บริเวณไหล่และรอยแผลขีดข่วนตามตัว ในใจให้เจ็บปวดเหลือแสน ทำเอาชายหนุ่มร้อนรนจนทำอะไรไม่ถูก
ร่างสูงอุ้มหลี่หลิงเฟิ่งขึ้นมา รีบเร่งเดินออกไปหน้าลานกว้าง น้ำเสียงทรงพลังสะท้อนก้องทั่วจวน “เตรียมรถม้า!”
สายตาหลี่เจี้ยนไร้แววสุขุมเหมือนก่อน สีหน้าราวกับจะฆ่าใครก็ตามที่เข้ามาใกล้ กวาดตามองฝูงชนที่ยืนหลบอยู่ด้านนอก ก่อนจะสบตาเข้ากับโจวชิงหรานและหลี่หรูอี้ เขาแค่หัวเราะครั้งหนึ่ง ก่อนถอนสายตาไปมองหลี่เหวินเหยาที่บัดนี้มายืนอยู่ข้างหลี่จ้ง เนิ่นนานก่อนรอยยิ้มหยันจะผุดขึ้นบนริมฝีปากได้รูป
หลี่หลิงเฟิ่งได้รับบาดเจ็บ เสี่ยงอันตรายขนาดนี้ คนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสายเลือดเดียวกันกับต้องการให้นางตาย ประเสริฐ!
“ตายจริง ลูกห้า ไม่เป็นอันใดใช่หรือไม่” โจวชิงหรานบีบน้ำตาเดินมาหาหลี่หลิงเฟิ่ง “แม่ไม่ดีเอง ปล่อยหมูป่าหางทองออกมา หมายจะให้มันเป็นของขวัญอี้อี้ แต่ไม่คิดว่า...” มือยื่นออกหมายจะจับตัวหลี่หลิงเฟิ่ง
หลี่เจี้ยนเบี่ยงตัวหลบไปอีกทาง น้ำเสียงเรียบนิ่ง “หากท่านเสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นจริง เหตุใดจึงไร้รอยขีดข่วนอยู่ตรงนี้เล่า”
“เหอะ ในใจคิดสิ่งใด ก็อย่ามัวเสแสร้งอยู่อีกเลย” หลี่เจี้ยนหัวเราะเย็น “ข้าว่าท่านอยากให้นางตายเสียมากกว่า”
“หลี่เจี้ยน ข้าไม่เคยสั่งไม่เคยสอนให้เจ้ากล่าวาจาเช่นนี้กับมารดา” หลี่จ้งอับอายขายหน้ายิ่งนัก ใบหน้าแดงเถือกด้วยความโกรธ
“แม่ข้าตายไปนานแล้ว” ชายหนุ่มไม่สะทกสะท้าน ไม่แม้แต่จะเหลือบมองผู้ได้ชื่อว่าเป็นพ่อด้วยซ้ำ
นางสารเลวหลี่หลิงเฟิ่ง นางถึงกับเอาชนะหมูป่าหาทอง หลี่หรูอี้ดิ้นเร่าๆ เหตุใดนางแพศยาถึงดวงแข็งเช่นนี้ “หลี่หลิงเฟิ่ง เห็นอยู่ว่าเจ้าไม่ตาย จะสำออยทำเป็นอ่อนแอให้ใครดู” ไม่ใช่พี่หญิงใหญ่บอกว่า...สายตาหลี่หรูอี้เหลือบมองหลี่เหวินเหยา
“เจ้าอยากให้ข้าตายนักรึ” น้ำเสียงอ่อนระโหยโรยแรงดังขึ้น ร่างในอ้อมกอดหลี่เจี้ยนซีดขาวไร้สีเลือด มองดูแล้วช่างน่าสงสาร “ตั้งแต่เล็กเจ้าก็คอยแต่รังแกข้า ข้าไม่เคยพูดอันใด เรื่องวันนี้ใช่เจ้าจงใจหรือไม่ ข้ายิ่งไม่อยากรู้”
หลี่หลิงเฟิ่งหลับตากล่าวต่อ “บ้านหลังนี้ นอกจากพี่ใหญ่กับพี่รอง มีใครบ้างไม่อยากให้ข้าตาย”
ใช่แล้ว มีใครบ้างหวังดีกับนางจริงๆ
เสียงฮือฮา ดังขึ้นเป็นระลอก คำพูดของหลี่หลิงเฟิ่งเปรียบเสมือนระเบิดเวลา รอวันครบกำหนด จากนั้นระเบิดพวกเขาจนกลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ไม่เหลือชิ้นดี เรื่องเน่าเฟะของตระกูลหลี่คงกระจรกระจายต่อจากนี้ไปทั่วทุกมุมของแผ่นดิน
“เจ้าเอาอันใดมาพูด ที่เลี้ยงเจ้ามาจนเติบใหญ่ทุกวันนี้ ยังกล้าบอกว่าตระกูลหลี่ของข้าแล้งน้ำใจงั้นรึ” หลี่จ้งโกรธเกรี้ยวแทบยืนไม่ไหว อยากจะเข้าไปอุดปากนางเด็กคนนี้เต็มที
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เขาละเลยลูกคนนี้เพราะความไม่เอาไหนของนาง แต่เขาไม่กล้าพอคิดอยากจะให้นางตาย ถึงอย่างไร ก็ยังได้ชื่อว่าเป็นบุตรีของเขา แถมยัง...แค่คิดหลี่จ้งก็เย็นเยือกอยู่ในใจ
“ครอบครัวอันใดกัน นอกจากพวกข้าสองพี่น้อง จวนแห่งนี้ใครบ้างนับนางเป็นคุณหนูห้า!” น้ำเสียงเกรี้ยวกราดกล่าวอย่างไม่ไว้หน้า เขาทนมานานพอแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะน้องเล็ก มีหรือเขาจะกลับมาเหยียบที่นี่อีก หลี่เจี้ยนมองทั้งสี่คนรอบหนึ่ง แค่นเสียงเย้ยหยันออกมา “ใครๆ ก็บอกว่านางเป็นตัวไร้ค่า พวกเจ้าต่างหากที่ไร้ค่า จิตใจสกปรก”
หลี่เจี้ยนเดินไปยังรถม้า ขณะเดินผ่านหลี่จ้ง ร่างสูงพลันหยุดชะงัก “เจ้าเมืองหลี่ ทางที่ดี ท่านควรหาคำอธิบายเรื่องนี้แก่พี่ใหญ่ให้ชัดเจน” แม้แต่พ่อเขายังไม่เรียก! หลี่จ้งหน้าซีดเผือดลงทันที
ณ หอแพทย์โอสถ
อาณาจักรหลิวเฟิงขึ้นชื่อว่าเป็นแหล่งรวมยอดฝีมือด้านโอสถ ว่ากันว่าเหล่านักหลอมโอสถรวมตัวกันอยู่แคว้นจวินซึ่งอยู่ใกล้กับที่ตั้งสำนักแพทย์โอสถ
หากพูดถึงผู้มีอิธิพลสูงสุดนอกจากแคว้นใหญ่ทั้งสี่ ยังนับรวมสำนักแพทย์โอสถที่ตั้งตนเป็นเอกเทศอยู่บนหุบเขาป่าทมิฬกาล นอกจากนี้สำนักแพทย์โอสถจัดตั้งสาขาย่อยไปทั่วทุกหัวมุมเมือง แผ่ขยายความรู้ด้านโอสถและเฟ้นหายอดฝีมือเข้าร่วมสำนัก ทุกๆ ต้นปีเหล่าศิษย์สำนักสาขาย่อยจะคัดเลือกศิษย์ที่โดดเด่นเดินทางไปประลองความสามารถด้านการหลอมยา หากผ่านด่านจะได้รับเลือกเป็นศิษย์ของสำนักแพทย์โอสถอย่างเป็นทางการ และถูกขนานนามว่าเป็นนักหลอมโอสถอย่างแท้จริง
หอแพทย์โอสถแห่งนี้ก็เช่นกัน พลุกพล่านไปด้วยผู้เชี่ยวชาญด้านโอสถ เนื่องด้วยเมืองหลี่เป็นเมืองสำคัญอันดับหนึ่งของแคว้นหลิวอวิ๋น หอแพทย์แห่งนี้ไม่เพียงมีศิษย์ประจำการมากกว่าสิบคน ยังมีแพทย์ฝีมือดีดูแลอยู่อีกด้วย ไม่กี่วันก่อนศิษย์เอกของนักหลอมโอสถระดับชั้นอาวุโสหูซานเพิ่งกลับมา หอแพทย์โอสถจึงคึกคักเป็นพิเศษ
หลี่เจี้ยนพยุงหลี่หลิงเฟิ่งลงจากรถม้าอย่างระมัดระวัง แหวกทางให้นางเดินไปตลอดทาง “หลีกทางหน่อย หลีกทางหน่อย”
“คุณชายรองหลี่ สบายดีหรือไม่” ครั้นเห็นบุตรชายคนรองของท่านเจ้าเมืองมาเยือน บุรุษอาภรณ์สีเทาบนอกเสื้อปักสัญลักษณ์ใบไม้สองแฉกไขว้กัน รีบร้อนเดินมาต้อนรับ ใบหน้าอบอุ่นใจดียิ้มกว้างราวกับพบสหายเก่า
“ผู้ดูแลถง ได้ยินว่าผู้อาวุโสหวังพำนักอยู่ที่นี่ รบกวนให้ท่านมารักษาอาการน้องสาวของข้าได้หรือไม่” หลี่เจี้ยนคุ้นเคยกับที่นี่ดี เพราะสุขภาพร่างกายของเขาอ่อนแอมาตั้งแต่เด็ก ทำให้ต้องรักษาเป็นเวลาหลายปี หอแพทย์โอสถเปรียบเสมือนบ้านหลังที่สองของเขาเลยก็ว่าได้ เพียงแต่หลังจากอายุครบสิบปีเขาจำเป็นต้องเข้าเรียนที่สำนักศึกษาหลวงและติดตามหลี่เฟยหยาง วันนี้จึงเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่ได้กลับมาเยือน
ผู้ดูแลถงนิ่วหน้า น้ำเสียงยังคงนอบน้อมเช่นเดิม “ขออภัยคุณชายรองหลี่ ถึงพวกเราจะสนิทสนมกันมาช้านาน แต่ข้าไม่อาจฝ่าฝืนกฏของหอแพทย์ได้ ผู้อาวุโสหวังเพียงแค่พำนักชั่วคราวเท่านั้น ไม่ประสงค์พบผู้ใด”
หลี่หลิงเฟิ่งมองชายอาภรณ์ชุดเทาเงียบๆ ตั้งแต่เดินเข้ามานางเห็นชุดแต่งกายลักษณะนี้หลายคน ทุกคนดูเหมือนจะเป็นผู้ที่มีตำแหน่งในหอแพทย์ หญิงสาวพยักหน้าในใจ สรุปเอาเองอย่างเงียบๆ คล้ายกับชุดเครื่องแบบประจำองค์กรในยุคปัจจุบันหรือไม่หนอ
“อาการของคุณหนูท่านนี้ให้หมอท่านอื่นตรวจจะดีกว่า” หลี่เจี้ยนเองก็ไม่อยากทำให้สหายเก่าลำบากใจ เขาเข้าใจกฎเกณฑ์หอแพทย์อยู่บ้าง คนระดับนั้นไหนเลยจะให้ใครเข้าพบได้ง่าย
ชายหนุ่มถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ “เอาอย่างที่ท่านว่าละกัน แค่รักษานางให้ดีก็พอ ขอบคุณท่านมาก”
“เชิญพวกท่านทั้งสองตามข้ามาทางนี้” หลี่ถงผายมือเดินนำขึ้นไปยังชั้นสอง หอแพทย์แห่งนี้นับว่าใหญ่โตพอสมควร ที่นี่มีทั้งหมดสามชั้น ชั้นแรกเป็นแหล่งชุมนุมและขายสมุนไพร ขายยาลูกกลอน ชั้นสองน่าจะมีไว้สำหรับรักษาผู้ป่วย ส่วนชั้นสุดท้ายนั้นนางไม่รู้
“พวกท่านนั่งรอในห้องสักครู่ ข้าจะไปตามท่านหมอเหยามา” ถงลี่ยิ้มแย้มครั้งสุดท้ายก็ก้าวเดินออกไปจากห้อง
“ช้าก่อน” หลี่หลิงเฟิ่งส่งเสียงเรียก “ผู้อาวุโสหวังที่พวกท่านกล่าวถึง ชื่อหวังซีหรือไม่”
“คุณหนูท่านนี้รู้จักผู้อาวุโสหวังหรือ” ถงลี่แปลกใจ น้อยคนนักที่จะรู้ชื่อศิษย์เอกของท่านอาจารย์หูซาน ด้วยหวังซีเป็นคนเงียบขรึม ค่อนข้างเก็บตัว
หลี่หลิงเฟิ่งพยักหน้าสำทับ “รบกวนท่านแจ้งเขาสักคำหนึ่ง คุณหนูห้าตระกูลหลี่ หลี่หลิงเฟิ่ง ต้องการพบ”
อ้อ คุณหนูห้าแห่งจวนเจ้าเมืองนี่เอง ชื่อของนางเป็นที่กล่าวขานกันในช่วงนี้ หากแต่ก็ไม่ใช่ชื่อเสียงในทางที่ดีนัก ถงลี่ยืนกุมมือแนบกลางลำตัว รอยยิ้มนอบน้อมยังคงประดับบนริมฝีปากไม่เสื่อมคลาย เขาทำงานกับผู้คนมานานปี พอจะมองออกว่าแม่นางผู้นี้หาได้เป็นอย่างที่เล่าลือ
“ข้าจะลองแจ้งแก่ผู้อาวุโสหวังสักครั้ง แต่ข้าไม่รับรองว่าผู้อาวุโสจะยอมพบท่านหรือเปล่า” เอาเถิด แม่นางน้อยผู้นี้จะรู้จักหวังซีเป็นการส่วนตัวจริงหรือไม่ ก็ช่างเถอะ ครั้งนี้จะถือซะว่าเห็นแก่หลี่เจี้ยนแล้วกัน
“เขาต้องพบแน่” หลี่หลิงเฟิ่งพูดยิ้มๆ เอนตัวนั่งบนเก้าอี้นุ่มด้วยท่าทีสบายๆ
ภายในห้องห้องหนึ่ง
หวังซีผู้ไม่รับแขกบัดนี้นั่งหน้าเครียดมองขวดบรรจุโลหิตสีแดงในมือ เบื้องหน้าเขาปรากฏบุรุษชุดเทาอีกคนหน้าตาวิตกกังวลไม่แพ้กัน
“เรื่องร้ายแรงขนาดนี้ เหตุใดจึงไม่รีบแจ้งเสียแต่เนิ่นๆ” น้ำเสียงน่าเกรงขามดังขึ้นครั้งแรกจากชายหนุ่ม ตำหนิบุรุษวัยกลางคนชุดเทา “จนบัดนี้ผ่านมาร่วมเดือน หากข้าไม่มาเองจะรู้เรื่องเมื่อไหร่”
“ศิษย์พี่โปรดอภัย” ชายวัยกลางคนเพียงวิตกกังวล กล่าวอย่างตรงไปตรงมา “สองเดือนก่อนข้าส่งคนไปแจ้งพวกท่านตั้งแต่ได้รับจดหมายจากสำนักใหญ่ ไม่คิดว่าพวกท่านจะยังไม่ได้รับข่าว”
“จนถึงบัดนี้ ก็ยังมิมีผู้ใดระบุพิษชนิดนี้ได้” ชายวัยกลางถอนหายใจ ยิ้มอย่างเศร้าสร้อย “ถ้าปล่อยไว้นานกว่านี้ ข้ากลัวว่าจะไม่ทันการ”
“อาจารย์ทุกท่านยังหมดหนทาง พวกเราคงหมดหวังแล้ว” ขณะที่ทั้งสองเคร่งเครียดกันอยู่ เสียงฝีเท้าเร่งรีบคู่หนึ่งสะท้อนก้องอยู่หน้าประตู ไม่นานก็ถูกผลักออก ถงลี่เร่งรีบเดินเข้ามา
“ผู้อาวุโสหวัง ท่านหมอเหยา” ถงลี่คำนับอย่างนอบน้อม
“ถงลี่ ข้าบอกกี่ครั้งแล้วว่าห้ามเข้ามาในห้องนี้โดยไม่ได้รับอนุญาต ยังไม่ออกไปอีก” ถงลี่พลันหวั่นกลัว คุกเข่าลงพื้นตัวสั่นงันงก
“มีเรื่องอันใด” ถึงแม้จะไม่ชอบใจที่มีคนบุกรุกพื้นที่ส่วนตัวโดยพลการ แต่ถงลี่ก็ถือเป็นคนเก่าแก่ เขาไม่อยากจะถือสาหาความอีกฝ่ายมากนัก
“คือว่า...” น้ำเสียงกล้าๆ กลัวๆ ดังขึ้น “มีเรื่องอะไรก็พูดมาเร็วๆ” เหยาจี้ฮึดฮัดไม่สบอารมณ์
“คือว่า...คุณหนูท่านหนึ่งต้องการพบผู้อาวุโสหวังขอรับ นางยังบอกอีกว่ารู้จักกับผู้...”
“ไม่พบ! จะใครก็ไม่พบใครทั้งนั้น ข้าบอกแล้วไม่ใช่รึว่าให้ปฏิเสธไปให้หมด เหตุใดเจ้าจึงไม่ทำตามที่ข้าสั่ง ออกไป ออกไป!” เหยาจี้ตัดบทถงลี่ โบกมือไล่
ผู้ดูแลถงก้มหน้างุด พลางก่นด่าตนเองในใจที่ยอมรับปากง่ายๆ เพราะเห็นแก่มิตรภาพ เห็นได้ชัดว่าหลี่หลิงเฟิ่งโกหกมดเท็จ
ถงลี่ลุกยืนคำนับ กำลังจะถอยร่นออกไป หวังซีพลันถามเสียงดัง “เจ้าบอกว่าเป็นแม่นางรึ”
“ขอรับ” ขาทั้งสองข้างยังสั่นด้วยหวาดกลัว เป็นครั้งแรกที่เขาโดนผู้อาวุโสหวังตวาด เขากลัวจนฉี่จะราดอยู่แล้ว
ช้าก่อน เขาไม่เคยเห็นหวังซีมีปฏิกิยากับสตรีนางใดมาก่อนในชีวิต ทำไมครั้งนี้ถึงดูสนใจนักเล่า
“ศิษย์พี่ หรือท่านมีแม่นางมาติดพันเสียแล้ว” เหยาจี้พลันลุกขึ้นยืน กระตือรือร้นขึ้นมาทันที
“เหลวไหล!” หวังซีหันตะเบ็งเสียงลั่น
“นาง...นางคือคุณหนูห้าจวนเจ้าเมืองหลี่ขอรับ” ถงลี่ตอบอย่างระมัดระวัง มือหยาบกร้านยกขึ้นปาดเหงื่อบนหน้าผาก
“หลี่หลิงเฟิ่งรึ” เหยาจี้เหลือบมองหวังซีด้วยใบหน้าแปลกประหลาด รสนิยมศิษย์พี่ออกจะพิลึกไปหน่อยกระมัง ตัวไร้ค่าแห่งแว่นแคว้น เขาย่อมรู้จักชื่อเสียงของนางมาบ้าง ไม่คาดคิดว่าสตรีของศิษย์พี่ร่วมสำนักจะเป็นหญิงไร้ค่าแห่งยุค
สีหน้าหวังซีพลันซีดเผือด เอ่ยตำหนิถงลี่ “ทำไมไม่บอกแต่แรก” สิ้นเสียงก็ไม่เห็นชายหนุ่มอยู่ในห้องแล้ว
บ้าหรือ เกิดให้นางมารรอนานแล้วหงุดหงิดขึ้นมา เขาไม่ต้องซวยไปหลายวันหรอกรึ
ถงลี่ตะลึงงันครู่หนึ่ง จากนั้นกุลีกุจอวิ่งตามออกไป ตะโกนเสียงดังไปทั่วทั้งชั้น “นางอยู่ชั้นสอง ห้องริมขวาสุดขอรับ!”
โธ่ ท่านรีบไป ข้าไม่ว่า แต่ท่านรู้หรือว่าแม่นางน้อยอยู่ที่ไหน
ถงลี่อยากจะร่ำไห้ เขารู้สึกเหมือนช่วงนี้สั่งสมบุญน้อยเกินไป ภายในไม่กี่ชั่วยามก็ทำเอาตาแก่อย่างเขาตกอกตกใจไปหลายรอบ
*เจ็ดชุ่น ประมาณ เจ็ดนิ้ว
เสียงตึงตังบริเวณทางเดินชั้นสองดังสนั่นไปถึงชั้นล่าง จะโทษก็โทษที่หอแพทย์โอสถแห่งนี้วัสดุทำขึ้นจากไม้ บุรุษทั้งสามวิ่งมาหยุดยืนอยู่หน้าประตูบานหนึ่ง หายใจหอบถี่ หวังซีจัดเครื่องแต่งกาย ผมเผ้า และปรับสีหน้าให้สงบนิ่งเหมือนยามปกติ เคาะประตูสองครั้งจากนั้นค่อยๆ ผลักเข้าไปเหยาจี้เห็นท่าทางของหวังซีพลันยิ้มกรุ้มกริ่ม เดินตามหลังเข้าไป มีเพียงถงลี่ยืนเฝ้าสถานการณ์อยู่ด้านนอก ช่างใจจะเข้าไปดีหรือไม่ หลังจากความคิดตีกันในหัวอยู่นาน สุดท้ายตัดสินใจเดินคอตกเข้าไป“ผู้อาวุโสหวัง” เมื่อเห็นชายทั้งสามเดินเข้ามา หนึ่งในนั้นยังมีชายหนุ่มที่ต้องการอยากพบจึงส่งเสียงกระเช้าเย้าแหย่ไปให้ หัวเราะเบาๆ อย่างคนอารมณ์ดีเมื่อได้ยินเสียงหลี่หลิงเฟิ่ง เขาถึงกับขนลุกซู่ มุมปากหวังซีกระตุกครั้งหนึ่ง ยกยิ้มพิลึกพิลั่น พลางเดินเข้าไปหาทั้งสองคนที่นั่งอยู่กลางห้อง“คารวะผู้อาวุโสหวัง” หลี่เจี้ยนลุกขึ้นยืนคำนับ ใคร่นึกสงสัยถึงความสัมพันธ์ของทั้งสองคน ดวงตาคมมองสลับระหว่างหวังซีและหลี่หลิงเฟิ่งไปมาหวังซีพยักหน้าน้อยๆ ตอบกลับหลี่เจี้ยน ทว่า ตัวกลับคำนับหลี่หลิงเฟิ่งแทน ทำเอาทุกคนภายในห้องงุนงงกันถ้วนหน้า “แม่นางหลี่
กว่าจะออกจากหอแพทย์โอสถก็ล่วงเลยเข้ายามซวี* ด้านนอกมืดสนิท หลี่หลิงเฟิ่งอ่อนเพลียจนผลอยหลับในรถม้าตลอดทาง ตอนแรกหวังซีเสนอให้นางพักอยู่ที่หอแพทย์เพื่อดูอาการสักหนึ่งคืน รุ่งสางค่อยกลับไปพักฟื้นที่จวนทว่า คนร้ายยังคงแฝงตัวอยู่ในหอแพทย์โอสถ ทำให้หลี่เจี้ยนปฏิเสธเสียงแข็ง เป็นตายอย่างไรก็ไม่ยอม หลี่หลิงเฟิ่งเองก็อยากกลับจวนเช่นเดียวกัน จึงได้ปฏิเสธออกไป ก่อนจากมายังได้กำชับหวังซีส่งสมุนไพรบางส่วนสำหรับหลอมยาลูกกลอนมาให้นางจำนวนหนึ่งเวลาสามปีแห่งการเก็บตัวของนางผ่านพ้นไปแล้ว ยอดฝีมือแข็งแกร่งมีมากเหลือเกิน หากนางไม่เร่งฝึกพลังยุทธ์ เพิ่มความแข็งแกร่ง ไม่นานนางคงเพลี่ยงพล้ำเข้าสักวัน ไม่เพียงปกป้องคนรอบข้างไม่ได้ ยังไม่มีแม้แต่กำลังจะป้องกันตนเองให้อยู่รอดปลอดภัยเสียด้วยซ้ำเมื่อกลับถึงจวนยังไม่วายถูกหลี่เจี้ยนซักถามเรื่องราวความเป็นมาระหว่างศิษย์พี่ศิษย์น้องของนางกับหูซาน จวบจนเห็นว่าดึกมากแล้วหลี่เจี้ยนจึงยอมล่าถอยกลับไป กว่าหลี่หลิงเฟิ่งจะทำกิจธุระเตรียมตัวเข้านอนเสร็จก็ปาเข้าไปเกือบยามจื่อ*หลี่หลิงเฟิ่งถอนหายใจเบาๆ กล่าวกับเสี่ยวเซียงที่กำลังจัดที่นอนให้นาง“เรื่องนั้นคืบหน้าไปถึงไห
หลี่เจี้ยนชะงักงัน น้องเล็กดีใจที่ได้เจอเขาหรือ ความน้อยใจที่สั่งสมมาตลอดหลายวันพลันจางหายเพียงแค่ประโยคเดียวของนาง ริมฝีปากยกยิ้มอบอุ่น กล่าวอย่างอารมณ์ดี “ไป พี่จะพาเจ้าไปเปิดหูเปิดตา”มือเรียวคล้องแขนผู้เป็นพี่ชาย ส่ายหน้าปฏิเสธ “ข้ามีของขวัญจะให้ท่าน เดิมทีตั้งใจจะมอบให้ตั้งแต่เมื่อวาน แต่เกิดเรื่องขึ้นมากมาย จึงไม่มีโอกาสสักครั้ง” นางกะพริบตากลมโตจ้องมองหลี่เจี้ยนตาแป๋ว น้ำเสียงใสพูดออกจากปากช่างไหลลื่น ไม่ติดขัดสักนิด“สิ่งใดรึ” หลี่เจี้ยนตาเป็นประกาย กล่าวอย่างตื่นเต้น นานเท่าไหร่แล้วที่เขาไม่ได้รับความสำคัญจากน้องเล็ก ตั้งแต่นางกลับมาก็ทำตัวเหินห่างกับเขาราวกับคนแปลกหน้าตอนเด็กก็ยังชอบเกาะติดกับหลี่เฟยหยาง เขาเป็นเพียงพี่ชายที่เดินตามพวกนางอยู่ข้างหลัง นางระลึกถึงเขา จะไม่ให้ดีใจได้อย่างไรรอยยิ้มหวานไปจนถึงดวงตาถูกส่งไปให้อีกครา ชายหนุ่มมองอย่างเคลิบเคลิ้ม “สิ่งนี้มีเพียงหนึ่งเดียวในใต้หล้า ท่านเป็นคนแรกที่ได้รับมันเชียวนะเจ้าคะ”นางปล่อยมือทั้งสองข้างที่คล้องแขนหลี่เจี้ยนออก จากนั้นหยิบเอาตลับยาในอกเสื้อออกมาก่อนยื่นให้ “ท่านเปิดดูสิ”“น้องเล็ก” หลี่เจี้ยนซาบซึ้งใจยิ่งนัก ก
สามชั่วยามถัดมา หลี่เจี้ยนและหลี่หลิงเฟิ่งขอตัวกลับ หวังซีเดินมาส่งทั้งสองถึงชั้นล่างด้วยตนเอง ผู้คนที่เคยเนืองแน่นขนัดอย่างสามวันก่อนไม่มีอีกต่อไป มีเพียงศิษย์สองสามคนเท่านั้น ผู้ไม่เกี่ยวข้องมิอาจเข้ามาด้านในได้ ตั้งแต่เกิดเหตุการณ์มีผู้บุกรุกขึ้น หอแพทย์โอสถจึงเปิดทำการเพียงส่วนขายยาสมุนไพรและยาลูกกลอนเท่านั้น นั่นคือโถงหน้าสุดของหอ“แม่นางหลี่ สมุนไพรส่วนที่เหลือข้าจะส่งให้ท่านถึงจวนพรุ่งนี้เช้าตามเดิม ไม่คิดเงินแต่อย่างใด ขอบคุณท่านที่ช่วยเหลือหอแพทย์ของเรา บุญคุณครั้งนี้สำนักแพทย์โอสถต้องตอบแทนท่านอย่างแน่นอน” หวังซีคำนับขอบคุณนางครั้งหนึ่ง“ไม่ต้องเกรงใจ เมื่อครั้งอยู่ชนบทพวกท่านได้ช่วยเหลือข้าหลายเรื่อง สหายช่วยเหลือกันไม่นับว่าเป็นบุญคุณอันใดหรอก หากช่วยได้หนึ่งชีวิตก็ถือเป็นการทำกุศลเพิ่มไม่ใช่หรือ” หลี่หลิงเฟิ่งโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ“หากห่อยาหลัวนั้นจะช่วยผู้อาวุโสในสำนักท่านได้ ก็ถือเป็นโชคดีของมันแล้ว ท่านไม่ต้องทำเช่นนี้ ข้าจะอายุสั้นได้นะ” หลี่หลิงเฟิ่งกล่าวอย่างติดตลก พลันสายตาเหลือบไปเห็นถงลี่เดินไวๆ มาทางพวกเขา“อย่างไรก็ต้องขอบคุณท่านมากจริงๆ น้ำใจของท่านในครั้งนี้พวก
ราตรีกาลมืดมิด ดวงจันทร์เอียงอายหลบหายไม่เห็นเงา สายลมพัดแผ่วเบา คลื่นน้ำสงบนิ่ง กลิ่นอายรอบด้านสดชื่นปะทะเข้าใบหน้าหนึ่งบุรุษสองสตรี เรือลำเล็กลำหนึ่งแล่นอยู่กลางผืนน้ำด้านหน้าคือหุบเขาขนาดใหญ่ตั้งอยู่หลังหออวิ๋นหลิ่วกั้นกลางด้วยแม่น้ำสายเล็กๆ คาดว่าแหล่งกำเนิดหินแร่คงอยู่ในนั้น หลี่หลิงเฟิ่งหลับตาพริ้มตั้งแต่เริ่มนั่งอยู่บนเรือ ภายนอกดูเหมือนผ่อนคลายสบายใจ ทว่า พลังจิตของนางคอยสังเกตสิ่งผิดปกติมาตลอดทางความเงียบสงบเกินกว่าเหตุมักผิดวิสัยของธรรมชาติ ที่ใดมีแม่น้ำ มีภูเขา ที่นั่นย่อมมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ เพราะเหตุใดระหว่างทางนางไม่ได้ยินเสียงสัตว์ป่ายามค่ำคืนเลยแม้แต่น้อย สัญชาตญาณส่งเสียงร้องเตือนให้นางระวังภัยจากที่มืดผิดปกติเกินไปแล้ว“เสี่ยวเฟิ่ง พวกเราถึงแหล่งกำเนิดหินแร่แล้ว ไปกันเถอะ” ในขณะที่หลี่หลิงเฟิ่งตกอยู่ในภวังค์นั้น เสียงหวานของสตรีด้านข้างปลุกนางตื่นขึ้นมา หลี่หลิงเฟิ่งส่งเสียงอืมออกมาคำหนึ่ง ก้าวลงจากเรือตามหลังทั้งสองคนอย่างไม่รีบร้อน“ที่นี่ออกจะเงียบไปสักหน่อยหรือไม่” หลี่เจี้ยนสำรวจรอบๆ เขารู้สึกใจคอไม่ดีอย่างบอกไม่ถูก มีบางอย่างไม่ถูกต้อง แต่ไม่รู้ว่าไม่ถูกต้
“หึ คิดว่าแค่นี้จะขู่พวกข้าได้อย่างนั้นรึ โชคไม่ดีที่พวกเจ้าเลือกมาคืนนี้ จงทิ้งชีวิตไว้ที่นี่เสียเถอะ” ชายชุดดำทั้งห้าหน้าตาถมึงทึง ไม่ลังเลอีก บุกโจมตีอย่างดุดัน ทว่า สะเปะสะปะจับตำแหน่งทั้งสามคนไม่ได้ ทำให้พวกหลี่หลิงเฟิ่งหลบการปะทะครั้งนี้ได้อย่างง่ายดายหลี่เจี้ยนสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมาหลายส่วน พลังยุทธ์ของคนพวกนี้ไม่ด้อยไปกว่าพวกเขาแม้แต่น้อย หากยืดเวลาออกไป จะส่งผลเสียมากกว่าผลดี ศึกครั้งนี้เขาต้องรีบรบรีบจบ เริ่มต้นด้วยการประกบฝ่ามือทั้งสองข้าง พลังสีฟ้าก่อตัวเป็นคลื่นยักษ์สูงสามจั้ง หมุนคว้างรอบตัวเขาก่อนจะสะบัดไปยังทิศทางที่มีลำแสงโจมตีของฝ่ายตรงข้ามเมื่อสักครู่คลื่นยักษ์เคลื่อนที่เป็นวงกลมครอบคลุมขอบเขตหนึ่งส่วนสาม ที่น่ากลัวที่สุดคือความเร็วในการเคลื่อนไหวรวดเร็วเพียงกะพริบตาเท่านั้น หากถูกเงาคลื่นยักษ์ซัดโดนตัว การเคลื่อนไหวทั่วทั้งร่างจะเชื่องช้าลงชั่วขณะ ไม่อาจหลบหนี ไม่อาจโต้กลับหลี่หลิงเฟิ่งผู้เห็นเหตุการณ์ชัดแจ้งแต่เพียงผู้เดียวอดอุทานออกมาเบาๆ ไม่ได้ “คลื่นยักษ์สลาตัน ร้ายกาจยิ่งนัก!”อวิ๋นหลิ่วเหยียดยิ้ม นี่คือเวลาที่นางรอคอย พลังยุทธ์สีส้มก่อตัวขึ้นบนฝ่ามือในพริ
“โอหังนัก! นังเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม เจ้าไม่มีสิทธิ์กล่าวล่วงเกินท่านหัวหน้า” หนึ่งในชายชุดดำผินหน้าขุ่นเคืองจ้องมองเด็กสาวชุดแดงมิวางตา ร่างทั้งร่างสั่นเทา เพลิงโทสะพร้อมระเบิดออกมา“อย่างนั้นรึ”หลี่หลิงเฟิ่งได้ยินก็เลิกคิ้วสะกดใจจ้องมองใบหน้าบิดเบี้ยวของชายชุดดำ เอ่ยเสียงอ่อนนุ่ม “เป็นศิษย์อาจารย์หนึ่งวันเปรียบเสมือนบิดามารดาตลอดชีวิต ไม่เคยได้ยินหรือ อีกอย่างเจ้ามีสิทธิ์อันใดมาชี้หน้าด่าข้า บิดาข้ารึ ก็ไม่ใช่ ข้าไม่มีบิดาโง่เง่าเช่นเจ้า” หากไร้สมองจริง บิดาของนางคงไม่ได้เป็นถึงท่านเจ้าเมืองมาหลายปีเช่นนี้หลี่เจี้ยนหลุดขำ ไพล่แขนทั้งสองข้างไว้ด้านหลังเดินมาหยุดข้างหลี่หลิงเฟิ่ง “น้องเล็กพูดถูก ท่านพ่อของพวกเราหน้าตาไม่ใช่อย่างนี้แน่นอน”“เจ้า!” ชายชุดดำโกรธขึ้ง มือที่ชี้หน้าหลี่หลิงเฟิ่งสั่นเทาอย่างรุนแรง สายตาเคียดแค้นจ้องมองพวกนางไม่วางตา เขาอยากจะเผาร่างพวกมันให้ไหม้เป็นจุณ กลบฝังอยู่ในถ้ำไม่ให้เหลือซาก แม้แต่เศษชิ้นส่วนเดียวก็ไม่อาจหลุดรอดออกไปจากที่นี่ได้!ชายวัยกลางคนยกมือห้าม ใบหน้าซีดเซียวเรียบนิ่งไม่อาจคาดเดาความรู้สึกได้ เสียงแหบแห้งดังขึ้นมาอีกครั้ง “วิธีการใช้พลังยุท
เสียงก้อนหินถล่มดังสนั่นทุกคนเกิดความงงงวย สายตาทุกคู่มองไปยังทิศทางของเสียงเหตุใดจึงเป็นเช่นนี้สถานการณ์กลับตาลปัตรเช่นนี้มีเพียงหลี่หลิงเฟิ่งที่รู้เหตุการณ์ทุกอย่าง หากนางไม่ช่วงชิงโอกาสที่ศัตรูไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นเป็นช่องโหว่ในการหลบหนี สุดท้ายพวกนางทั้งสามต้องสังเวยชีวิตตนเองจริงๆ แน่ทั้งสามคนมุ่งหน้าไปยังปากทางออกพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย ซ่อนตัวอยู่หลังก้อนหินใหญ่ก้อนหนึ่ง หายตัวไปจากทัศนวิสัยของฝ่ายตรงข้าม“ควันพิษ ห้ามเผลอสูดดมเข้าไปเด็ดขาด” หลี่หลิงเฟิ่งฉีกชายแขนเสื้อมาปิดครึ่งหน้า ทั้งสองเห็นดังนั้นจึงรีบทำตามนางทันที มวลฝุ่นทั้งหลายค่อยๆ จางลง เปิดเผยภาพตรงหน้าอย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง“แมงมุมระฆังเงินขั้นสี่!” หลี่เจี้ยนหลุดอุทานออกมาเบาๆ เหลือบมองอวิ๋นหลิ่วโดยไม่รู้ตัว“แปลก” สตรีชุดเขียวมรกตขมวดคิ้วมุ่น ใบหน้าฉายแววหนักใจ ทำไมนางสัมผัสไม่ได้ สัตว์อสูรตนนี้อยู่ในอาณัติของนาง ตกทอดมาจากบรรพบุรุษรุ่นต่อรุ่น มีหน้าที่เฝ้าเหมืองของตระกูล อายุหลายร้อยปี มันไม่เคยเกิดอาการคลุ้มคลั่งมาก่อนนางซึ่งเป็นรุ่นปัจจุบันไม่อาจควบคุมมันได้ ทว่ามันจดจำกลิ่นนางได้ดีเสมอ เพ่งจิตเรียกหายามใ
“เจ้าโกหก!” ถงหนิงซีตะโกน มองหน้าหลี่หลิงเฟิ่งเขม็งหลี่หลิงเฟิ่งเลิกคิ้ว หัวเราะทีหนึ่ง เป่าน้ำชาร้อนในถ้วย ไม่สนใจถงหนิงซีอีกต่อไปนางไม่อยากคุยกับคนสมองหมู“บัดซบ! เป็นเจ้านั่นล่ะไม่ยอมรับความจริง” หรงอู่คำรามอย่างเหลืออด “ผู้อาวุโสสามถูกขังอยู่ในคุกตั้งแต่ก่อนงานประลองจะเริ่มแล้ว จะเอาเวลาที่ไหนไปทำตัวมีพิรุธให้เจ้าจับได้กัน เจ้าคิดว่าคนในสำนักแพทย์โอสถโง่เง่าขนาดนั้นรึ! โดนหลอกใช้แล้วยังไม่รู้ตัวอีก”“ไม่จริง ก็คนผู้นั้นบอกว่า...” ถงหนิงซีอึกอักอยู่นาน สุดท้ายก็หุบปากไม่กล่าวอันใด“บอกอะไร เจ้าพูดออกมาสักทีสิ” ผู้อาวุโสแปดฟังอยู่นานก็ยังจับคนร้ายไม่ได้ เมื่อเห็นถงหนิงซีมัวแต่อ้ำอึ้งก็ร้อนใจขึ้นมาอีกรอบ“รู้อะไรมั้ย เพื่อพวกเจ้าแล้ว ถงลี่เลือกทรยศสำนักที่เขารับใช้มาหลายสิบปี เพราะพวกเขาเอาชีวิตของคนในครอบครัวมาข่มขู่ น่าเสียดายที่เขาเลือกเจ้านายผิดคน สุดท้ายเมื่อทำงานล้มเหลวถึงได้โดยฆ่าปิดปาก คนใกล้ชิดก็ไม่เหลือทางรอดเช่นเดียวกัน” สวีคุนเอ่ยขึ้นเบาๆ เขา
ภายในคุกใต้ดินของสำนักแพทย์โอสถแฝงไปด้วยบรรยากาศอันน่ากลัว เสียงน้ำหยดจากผนังดังเป็นจังหวะในความเงียบสงัด ร่องรอยความมืดเกือบจะครอบคลุมทุกพื้นที่ มีเพียงเงาของคนกลุ่มหนึ่งที่เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วในเงามืดนั่นคือกลุ่มของหลี่หลิงเฟิ่ง ซึ่งกำลังเดินเข้าไปยังห้องขังที่กักขังผู้อาวุโสสามเอาไว้พวกเขาเดินไปตามทางเดินหินที่แคบและมืด อากาศเยือกเย็นที่ออกมาจากหินในร่องทางเดินทำให้ทั้งกลุ่มรู้สึกหนาวเหน็บอยู่บ้าง แม้แต่ลมหายใจยังคงเป็นไอเย็นกรุ่นออกมาเสียงฝีเท้าของทั้งกลุ่มค่อยๆ ดังขึ้นขณะที่เดินผ่านห้องขังหลายห้อง จนกระทั่งถึงประตูไม้เก่าแก่บานหนึ่ง ประตูนี้มีรอยขีดข่วนและความเสื่อมโทรมของมัน เห็นได้ชัดว่าถูกเปิดและปิดบ่อยครั้งสวีคุนหยุดยืนอยู่ตรงหน้าประตู ก่อนจะหันไปมองหลี่หลิงเฟิ่ง “คนร้ายคงต้องการฆ่าตัดตอนเพื่อปกปิดความจริงกระมัง ทุกครั้งที่พวกเราเข้าใกล้ความจริง มักจะมีเท้าคู่หนึ่งก้าวนำหน้าพวกเราไปก่อนเสมอ ถ้าผู้อาวุโสสามยังมีชีวิตอยู่ เราคงจะรู้คำตอบในไม่ช้า”“พวกเราอยู่ในที่แจ้ง ศัตรูอยู่ในที่มืด เรื่องมันไม่ง่ายดายอย
ท้องฟ้านอกหน้าต่างอาบแสงแดดจางๆ ผสมกับสายหมอกยามเช้าที่ยังปกคลุมยอดเขา ก่อนจะค่อยๆ จางหายไปเมื่อตะวันเริ่มตั้งสูงขึ้น สถานที่เงียบสงัดภายในห้องนอนของเจ้าสำนักมีเพียงสามชีวิตที่กำลังนั่งจิบชาหันหน้าเข้าหากัน อารมณ์ตึงเครียดของแต่ละคนลอยคละคลุ้งไปทั่วห้อง ยกเว้นหลี่หลิงเฟิ่งที่นั่งเอนตัวพิงกับเก้าอี้ดื่มด่ำกับชาชั้นยอดอยู่ในห้วงฝันส่วนตัวความเงียบดำเนินไปหลายชั่วยาม คนในห้องต่างรอคอยศิษย์ในสำนักบางส่วนที่ออกไปทำภารกิจของค่ำคืนที่ผ่านมา เนื่องจากเมื่อคืนนี้มีผู้บุกรุกเข้าไปในเขตหวงห้ามของสำนัก เจ้าสำนักและอาจารย์อาเล็กจับสิ่งผิดสังเกตได้จึงสั่งให้พวกเขาออกไปค้นหาคนร้ายอย่างลับๆเจ้าสำนักที่ตอนนี้กลับมาเป็นชายหนุ่มรูปงามดังเดิมนั่งนิ่ง แผ่นหลังเหยียดตรงทว่ากลับให้ความรู้สึกผ่อนคลาย แฝงความเย็นชา แต่ในใจกลับเต็มไปด้วยความวิตกกังวลเพราะรู้ดีว่ามีผู้ไม่ประสงค์ดีแฝงตัวอยู่ในสำนัก อย่าว่าแต่จับคนร้ายเลย ตัวเขาก็เกือบตายด้วยน้ำมือของคนผู้นั้นด้วยซ้ำต่างจากหรงอู่ที่ภายในใจคิดอย่างไรก็แสดงออกมาทางสีหน้าทั้งหมด หยาดเหงื่อผุดขึ้นเต็มสองขยับ เขายกมือขึ้นปาดมันอ
สวีคุนเริ่มสำรวจภายในห้องโถงอย่างตื่นเต้นโดยมีหลี่หลิงเฟิ่งเดินตามอยู่ด้านหลัง เนื่องจากนางเข้าออกโถงแห่งนี้เป็นประจำ จึงรู้สึกเฉยชาอยู่มาก แต่เมื่อเดินเข้ามายังใจกลางห้อง สีหน้าของนางกลับแปรเปลี่ยนจากปกติโดยสิ้นเชิง หันไปมอบรอบ ๆ อย่างน่าประหลาดใจหลี่หลิงเฟิ่งเริ่มสำรวจอีกรอบ จากที่เคยเป็นโถงไม้ธรรมดา เวลานี้กลับแวววาวระยิบระยับดั่งประสาททอง สะท้อนเข้าสู่ดวงตาจนปวดแสบ“โดยปกติแล้วสำนักของเราก็ไม่ขาดแคลนเงินทอง แต่คิดไม่ถึงเลยว่าผู้ก่อตั้งจะเป็นบุคคลร่ำรวยผู้หนึ่ง ขนาดที่พำนักยังสร้างมาจากทองคำ!” สวีคุนเก็บอาการไม่ไหวอุทานออกมา ท่ามกลางของมีค่ามากมายเรียงรายอยู่ตรงหน้า ทำให้เขาตาลายอย่างช่วยไม่ได้เมื่อมองไปรอบตัวนอกจากจะเห็นทองคำและเพชรนิลจินดาแล้ว บนผนังห้องยังมีรูปภาพของผู้ก่อตั้งแขวนไว้หลายรูป ช่างน่าเหลือเชื่อ หรือคนผู้นี้ชอบชื่นชมรูปโฉมของตัวเอง ท่วงท่าแต่ละภาพออกจะพิสดารอยู่บ้าง แต่ไม่อาจบดบังความงามของนางได้ปัง! ขณะที่ทั้งสองตกอยู่ในภวังค์ความคิด ประตูที่เคยเปิดอยู่กลับปิดกะทันหัน ตัวอักษรสีแดงตัวโตแสดงอยู่บนผนังห้อง‘บทเพลงเพลิงพิรุณลืมเลือนสยบใต้หล้า ’“ที่แท้ก็ไม่ใช่ภาพวา
พระอาทิตย์ลับขอบฟ้าเป็นเวลานานมากแล้ว ภาพยามค่ำคืนควรปรากฏอยู่ในสายตา ทว่าที่แห่งนี้กลับเต็มไปด้วยแสงแดดอ่อนสว่างนวลราวแดดยามเช้า ลมหนาวเย็นยะเยือกถึงกระดูกพัดผ่านตัวนางที่นอนเหยียดแขนขาบนเก้าอี้หวายใต้ต้นท้อเป็นครั้งคราว ด้านข้างของนางเป็นสระหยกเย็นที่อบอวลไปด้วยพลังไอปราณบริสุทธิ์เข้มข้น หากแต่ไอน้ำที่ลอยอยู่เหนือสระเต็มไปด้วยหมอกพิษที่พร้อมคร่าชีวิตของผู้ที่เผลอสูดดมเข้าไปในเสี้ยววินาที หากเหลือบมองไปยังด้านหลังสระจะเห็นว่ายังมีโถงไม้หลังหนึ่งตั้งตระหง่านอยู่ไม่ไกลเดิมทีไม่ควรเรียกว่าโถงด้วยซ้ำ ลักษณะของมันพิเศษอยู่สักหน่อยเพราะมีห้องแยกเรียงกันอยู่สามห้อง คล้ายกับเรือนชั้นเดียวมากกว่า เหมาะกับพักอาศัยอย่างยิ่ง น่าแปลก...ที่แห่งนี้ราวกับอยู่คนละโลก ทิวทัศน์สวยงามเหมือนไม่มีอยู่จริง ใครจะรู้ว่ามันซ่อนอยู่ในพื้นที่สีแดงของสำนักแพทย์โอสถ หลี่หลิงเฟิ่งค้นพบที่นี่โดยบังเอิญหลังจากแอบเข้ามาสำรวจเขตลับด้วยตนเองอยู่หลายครั้งเสียงน้ำกระเพื่อมเบา ๆ ดังลอดเข้ามาในหูขัดขวางความดื่มด่ำกับธรรมชาติของหลี่หลิงเฟิ่ง นางเลิกคิ้วเล็กน้อย ลืมตาขึ้นมาอย่างช้า ๆ หันศีรษะม
พรึ่บ !เปลวเพลิงไม่รู้ที่มาแผดเผาบริเวณโดยรอบโดยที่ทุกคนไม่ทันได้ตั้งตัว แผดเผาทุกสรรพสิ่งที่อยู่เบื้องหน้าให้มอดไหม้“เจ้าฉวยโอกาส” ผู้บุกรุกกัดฟันกรอดด้วยความเคียดแค้น ทว่าเมื่อเทียบกับคนอื่นกลับดูดีกว่ามาก เขาป้องกันการลอบโจมตีของนางครั้งนี้ได้ทัน“ฆ่ากันต้องมีกฎด้วยหรือ ก็แค่เจ้าตาย ข้ารอด” หลี่หลิงเฟิ่งมองไปอย่างเสียดาย นางรึอุตส่าห์เปิดด้วยกระบวนท่าใหญ่ แต่ต้องคว้าน้ำเหลวเสียนี่ แต่ไม่เป็นไร ลองอีกครั้งก็ได้เปิดก่อนได้เปรียบ!“ดูซิว่าเจ้าจะรับมือได้นานแค่ไหน” ไม่รอให้ศัตรูได้ทันหายใจ นางส่งมอบการโจมตีอันหนักหน่วงออกไปให้เขาไม่ขาดสาย ต่อให้รับกระบวนท่าของนางได้ทุกครั้ง แต่ร่างกายคนฝึกยุทธ์ที่ไม่ได้มีระดับสูงมากนักก็มีขีดจำกัดอยู่ดี ซึ่งต่างจากนางที่มีน้ำทิพย์ให้ดื่มฟื้นฟูพละกำลังอยู่ตลอดเวลานางทนได้ แต่คนทั่วไปย่อมแตกต่าง“เหอะ คิดว่าเจ้าทำอย่างนี้แล้วมีความหมายหรือ เป็นข้าที่ประเมินเจ้าสูงเกินไป” เห็นได้ชัดว่าผู้พูดกำลังดูถูก หลี่หลิงเฟิ่งก็ยังไม่สะทกสะท้าน สมควรทำยังไงก็ทำต่อไปผู้บุกรุกขมวดคิ้วเล็กน้อย คล้ายสงสัยถึงบางอย่างที่ผิดปกติ แต่ก็บอกไม่ถูกว่าผิดปกติที่ตรงไหน นิ่งอย
ด้วยความไม่รู้เหนือใต้ออกตก ทุกคนได้ย่างเข้ามาในพื้นที่อันตรายที่สุดในเขตหวงห้ามเสียแล้ว รวมทั้งหลี่หลิงเฟิ่งเองด้วย หญิงสาวพบว่าบรรยากาศโดยรอบเงียบสงัด แม้แต่เสียงใบไม้กระทบกับลมก็ยังไม่มีให้ได้ยิน ราวกับไร้จุดหมาย ดูเหมือนว่านางเพียงแค่เดินเตร็ดเตร่มาหลายเค่อเท่านั้น หากแต่หลี่หลิงเฟิ่งระวังตัวมากขึ้นเนื่องจากพื้นที่ที่เคยมีหมอกหนา ต้นไม้ใบหญ้าเขียวชอุ่ม กลายเป็นพื้นที่แห้งแล้ง ผืนดินแตกแขนง ร้อนระอุจากการแผดเผาของดวงอาทิตย์ ราวกับอยู่คนละโลกกับเมื่อสักครู่โดยสิ้นเชิงทางนั้น!เสียงของถิงถิงดังขึ้นจากในหัวของนาง หลี่หลิงเฟิ่งเดินตามทางที่ถิงถิงบอก สุดท้ายหยุดยืนใต้ต้นไม้ต้นหนึ่งใกล้บึงน้ำขนาดเล็กที่แห้งขอดไปแล้ว น่าแปลกที่ต้นไม้ต้นนี้เป็นเพียงต้นเดียวที่ยังคงแตกกิ่งก้าน อยู่รอดท่ามกลางบรรดาต้นอื่นที่หลือเพียงซากและใบไม้แห้งกรอบราวกับต้นไม้มีชีวิตหรี่ หรี่เสียงปริศนาดังขึ้น ครั้งนี้เสียงของมันชัดเจนกว่าครั้งไหน ๆ ใกล้จนหลี่หลิงเฟิ่งหวาดระแวง ประเดี๋ยวมองซ้าย ประเดี๋ยวมองขวา กลับไม่พบสิ่งผิดปกติ เสียงนั้นยังคงดังต่อเนื่อง จิตสังหารรอบตัวของหลี่หลิงเฟิ่งแผ่ขยายออกอย่างรวดเร็ว แสงสีข
“อะ…อาจารย์อา ขออภัยที่ล่วงเกินเพียงแต่ข้าขอทราบชื่อของท่านได้หรือไม่ขอรับ” โจวอวี๋ถามขึ้นมาอีกครั้ง นางยังเด็กยิ่งนักเป็นไปได้หรือไม่ว่าอาจจะแปลงรูปโฉมให้คงความเยาว์วัยไว้เสมอ บางทีหากได้รู้จักชื่อเสียงเรียงนามของนาง เขาน่าจะรู้จัก คนมีความสามารถระดับนี้ เขาจะพลาดได้อย่างไร“ข้ามีนามว่าหลี่หลิงเฟิ่ง” หญิงสาวตอบเสียงเรียบ ยามนี้นางกำลังเพ่งจิตเข้าไปสำรวจด้านในเขตหวงห้าม จึงไม่ได้สังเกตท่าทางตกใจของคนที่อยู่ในนี้ทั้งหมด ทันทีที่นางพูดจบพลังจิตขอนางจับสิ่งผิดปกติอันใดไม่ได้เลย จนกระทั่งสำรวจเข้าไปในส่วนลึกของเขตหวงห้ามนางถึงค้นพบควันสีดำขุมหนึ่ง หลี่หลิงเฟิ่งเข้าไปใกล้ขึ้นเรื่อย ๆ แต่ว่าเหมือนมีอะไรมาขวางกั้นนางเอาไว้ทำให้ไม่สามารถมองเห็นสิ่งที่อยู่ข้างในได้ ซ้ำร้ายยังถูกผลักออกมาหลี่หลิงเฟิ่งหลุบตาลงครุ่นคิดอยู่คนเดียวเป็นเวลานาน เมื่อนางเงยหน้าขึ้นมาก็พบว่าทุกคนกำลังมองมาที่นางเป็นตาเดียว“ไม่จริงน่า จะเป็นเจ้าไปได้อย่างไร” เหลียนฉู่ฉู่เอ่ยออกมาเป็นคนแรก อย่างไม่เชื่อสายตา“ข้าคาดเดาตั้งแต่แรกแล้วว่าเจ้าคือหลี่หลิงเฟิ่ง คู่หมั้นขององค์ชายรองโม่ เพียงแต่รู้สึกแปลกใจ ทำไมแม่นางหลี่ถึง
เจ้านาย ทางนี้!เสียงนี้อีกแล้ว เรียกหาตั้งแต่นางเดินเข้ามาในอุโมงค์นี้เสียงก็ดังก้องในหูนางไม่ต่ำกว่าห้าครั้ง นางเดินออกมาห่างไกลจากคนในกลุ่มเรื่อย ๆ สมบัติตรงนี้น้อยกว่าที่อื่นมาก ชั้นวางสมบัติเป็นเพียงหินที่ทำเป็นชั้น ๆ เรียงกันขึ้นมาเท่านั้น แตกต่างจากก่อนหน้าที่ทำขึ้นด้วยทองคำและหยก คนเข้าละโมบและลุ่มหลงได้ง่ายหลี่หลิงเฟิ่งหยิบเศษผ้าขาวที่เขรอะไปด้วยฝุ่นที่อยู่ท่ามกลางบรรดาสมบัติชิ้นอื่นขึ้นมา นางพินิจถึงความพิเศษที่ควรจะมี ทว่ากลับเป็นเพียงผ้าธรรมดาเท่านั้น นางตัดสินใจวางลงที่เดิม เพียงแต่มือของนางกลับหนักอึ้งอย่างไม่ทราบสาเหตุ เมื่อนางหยิบขึ้นมาอีกรอบความรู้สึกหนักอึ้งที่มือกลับหายไปฟุบ!“อ๊ะ” ลมที่ไม่รู้มาจากที่ใดปะทะเข้ากับหน้าของนางอย่างจัง เศษผ้าปลิวมาติดที่ตาทั้งสองข้างปิดกั้นการมองเห็นไปชั่วขณะ จากนั้นก็ผสานเข้ากับนางเป็นหนึ่งเดียว หลี่หลิงเฟิ่งตกใจไม่น้อยเมื่อรู้สึกตัว แค่เพียงแวบเดียวเท่านั้น ผ้าผืนนั้นก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย นางมองซ้ายขวาอย่างร้อนรนอยู่บ้าง นางรีบปรับตัวให้เป็นปกติ ด้วยกลัวคนทั้งหมดในนี้จะเห็นการกระทำอันแปลกประหลาดนี้ของนางหญิงสาวลองทดสอบพลังยุทธ์และ