เช้าวันนี้เมืองหลี่ครึกครื้นเป็นพิเศษ โรงเตี๊ยมแน่นขนัดไม่มีที่ว่างแม้แต่น้อย บรรดาชนชั้นสูงจากหลายมุมเมืองต่างเดินทางมาร่วมแสดงความยินดีกับคุณหนูทั้งสองของตระกูลหลี่
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลี่หรูอี้ คุณหนูสี่ผู้กำเนิดจากภรรยาเอกของท่านเจ้าเมือง สำหรับหลี่หลิงเฟิ่งพวกเขามีความรู้สึกอันหลากหลาย หลายเดือนก่อนเก้าในสิบส่วนของครอบครัวผู้เข้าร่วมงานเคยยื่นฎีกาเรียกร้องถอดถอนตำแหน่งคู่หมั้น มาวันนี้กลับต้องนำของขวัญมาร่วมแสดงความยินดี บรรยากาศภายในจวนจึงเต็มไปด้วยความแปลกประหลาด
ในตระกูลใหญ่พิธีปักปิ่นหรือพิธีแสดงความเป็นผู้ใหญ่จัดขึ้นทุกปี เมื่อบุตรีในบ้านอายุครบสิบห้าปีบริบูรณ์ ดังนั้นงานเลี้ยงสกุลหลี่สำหรับแขกเหรื่อที่มาเยือนจึงเป็นเรื่องที่คุ้นเคยกันอยู่แล้ว ไม่ว่าจะมีความสัมพันธ์อันดีกันหรือไม่ ของขวัญที่ควรมอบยังคงต้องมอบออกไป หากบ้านไหนมีความสัมพันธ์อันดีหรือต้องการผูกมิตรกับตระกูลหลี่จะเดินทางมาแสดงความยินดีด้วยตนเอง จากจำนวนที่เข้าร่วมในวันนี้ รากฐานตระกูลหลี่นับว่าไม่ธรรมดา หยั่งรากลึกไม่รู้กี่รุ่นต่อกี่รุ่น
ไม่เพียงบ่งบอกว่าสตรีสามารถออกเรือนได้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ยังแสดงถึงการผูกพันธสัญญากับสัตว์อสูรอีกด้วย ตระกูลที่ลูกหลานมีพรสวรรค์ในด้านฝึกพลังยุทธ์จะได้รับสัตว์อสูรเป็นของขวัญ ส่วนใหญ่จะเป็นสัตว์อสูรขั้นหนึ่งขั้นสอง ง่ายต่อการทำให้มันยอมรับ จากนั้นค่อยๆ เติบโตไปพร้อมๆ กัน
หลี่หลิงเฟิ่งค่อนข้างสนใจเรื่องสัตว์อสูรเป็นอย่างมาก หากอยากแข็งแกร่งขึ้นนางจำเป็นต้องมีศาสตราวุธคู่กายเคลื่อนไหวได้ มีความคิด มีชีวิตจิตใจ หญิงสาวฉุกคิดถึงเหตุการณ์ตอนได้พบกับเสี่ยวมู่ครั้งแรก วันนั้นเป็นวันครบรอบวันเกิดอายุสิบห้าปีของนาง มีความเป็นไปได้ว่ามิติของนางจะสมบูรณ์เมื่ออายุครบสิบห้าปีและเสี่ยวมู่ผูกพันธสัญญากับนางโดยบังเอิญ
คิดถึงเจ้าพืชชราในคราบทารกน้อยทีไรเป็นต้องกุมขมับทุกที ผ่านมาหลายเดือนขนาดนี้ยังไม่มีวิวัฒนาการอะไรบ้างเลย น้ำทิพย์ที่หล่อเลี้ยงทุกวันจนแทบจะแห้งขอดอยู่รอมร่อก็ไม่ช่วยอันใด ทำเอานางอดคิดไม่ได้ว่าบางทีรากคงเน่าพร้อมนำไปฝังได้แล้ว
งานเลี้ยงดำเนินไปสักพักใหญ่ ทว่า ตัวเอกของงานอีกหนึ่งคนยังไม่ปรากฏกาย เหล่าฮูหยินชะเง้อรอคอยเป็นเวลานานเริ่มจับกลุ่มติฉินนินทา ภายนอกยังคงรักษาท่าที ประดับรอยยิ้มให้เกียรติ แต่ความเร็วในการสนทนาหาได้ลดทอนลงไม่
หลี่หรูอี้ได้ยินเสียงด่าทอเปรียบเทียบนางกับหลี่หลิงเฟิ่ง ความหงุดหงิดที่ถูกกดข่มเมื่อวานพลันมลายสิ้น หลายเดือนมานี้นางทุ่มเทประทินโฉม ทำเครื่องประดับ ตัดชุดฤดูกาลใหม่เพื่องานนี้โดยเฉพาะ นางต้องโด่ดเด่นที่สุดในงาน ต้องข่มขวัญนังลูกอนุนั่นเสียหน่อย เมื่อวานเพราะนางไม่ทันระวังตัวจึงถูกเล่นงานเอาได้ หากวันนี้นังบ้านนอกกล้าลงมือกับนางอีกล่ะก็ นางไม่แพ้แน่
“โจวฮูหยิน เหตุใดคุณหนูห้าถึงยังไม่มาอีกเล่า หรือเอียงอายจนไม่ยอมให้พวกเรายลโฉมว่าที่พระชายาเสียแล้ว” ฮูหยินท่านหนึ่งในบรรดาสตรีจับกลุ่มคุยกัน จีบปากจีบคอเอ่ยถาม
โจวชิงหรานยิ้มรับ “ลูกห้าเพิ่งกลับมาถึงเมื่อเย็นวาน ร่างกายยังคงอ่อนเพลีย หากทำให้ล่าช้าบ้างข้าคงได้แต่อภัยแทนนางแล้ว”
ฮูหยินท่านนั้นกล่าวอีก “จะได้อย่างไร ทำเช่นนี้ไม่เป็นการให้ท้ายนางหรือ เป็นถึงว่าที่พระชายา กลับทำตัวเหลวไหล แบบนี้ใช้ได้ที่ไหนกัน” หลังกล่าวจบ สีหน้าหนักอกหนักใจก็ปรากฏขึ้นทันที หลี่เหวินเหยาที่นั่งอยู่ด้านข้างพินิจมองฮูหยินท่านนั้นพลันกระจ่างแจ้ง ที่แท้ก็เป็นฮูหยินท่านเจ้าเมืองซูนี่เอง มิน่าล่ะ...
“ให้ทุกท่านรอนาน ผู้น้อยต้องขออภัยด้วย” สตรีอาภรณ์สีแดงเยื้องย่างเข้ามา ส่งยิ้มงดงามพอเหมาะขอบรรลุแก่โทษ ก้าวย่างที่ไม่ช้าไม่เร็วจนเกินไปเพิ่มให้นางดูดีขึ้นอีกหลายส่วน
“ข้าน้อย หลี่หลิงเฟิ่ง โทษฐานที่มาสาย ขอดื่มชาถ้วยนี้แทนคำขอโทษทุกท่าน” หลี่หลิงเฟิ่งเดินไปหยิบถ้วยน้ำชาขึ้นมายกรวดเดียวจบ จากนั้นคว่ำลงวางที่เดิม เสียงเซ็งแซ่พลันดึงขึ้นรอบงาน
ฮูหยินท่านหนึ่งอดอุทานออกมาไม่ได้ “ข้าได้ยินมาว่าคู่หมั้นขององค์ชายรองเป็นหญิงอัปลักษณ์ไม่ใช่หรือ นางโง่เขลาเบาปัญญา ไม่อาจฝึกพลังยุทธ์ได้ เป็นตัวอัปมงคลของตระกูล แล้วเหตุใดหญิงอัปลักษณ์จึงมีรูปลักษณ์เช่นนี้”
“เมื่อก่อนข้าไม่เข้าใจ ทำไมองค์ชายรองถึงปักใจตัวไร้ค่าอย่างนางนักหนา ได้เจอวันนี้ ข้าไม่แปลกใจอีกต่อไป” ฮูหยินอีกท่านที่มีสายสัมพันธ์สนิทชิดเชื้อกับตระกูลหลี่เปรยขึ้น สตรีเช่นนี้ ต่อให้ไม่มีอะไรเลย ก็ควรค่าแก่การเก็บไว้เป็นสมบัติส่วนตัว ด้วยฐานะ อำนาจขององค์ชายรอง ยังจะต้องการสตรีเก่งกาจไปทำไม สู้หาสตรีที่ทำให้ผ่อนคลายใจได้จะดีกว่า
“น่าเสียดายที่นางฝึกพลังยุทธ์ไม่ได้ หาไม่แล้วตำแหน่งว่าที่พระชายาคงมิมีใครสั่นคลอนได้ลง” หนึ่งในหญิงสาวที่ติดตามมาร่วมงานด้วยนางหนึ่งส่ายหัวอย่างนึกเสียดาย เมื่อได้ฟังประโยคนี้คนอื่นๆ ต่างพากันพยักหน้าตาม
เรื่องเมื่อวานเกิดขึ้นภายในจวน คนรับใช้ทั้งหมดไม่กล้านำข่าวออกไปเผยแพร่ ข่าวที่ว่าหลี่หลิงเฟิ่งเป็นผู้ฝึกพลังยุทธ์ขั้นกำเนิดใหม่จึงยังไม่มีใครล่วงรู้
หลี่หรูอี้ตกใจนัก ดวงตากลมโตจ้องมองไปทางผู้เป็นแม่
โจวชิงหรานเดินนวยนาดเข้ามา รอยยิ้มตามมารยาทแทบจะฝืนทนไม่ไหว “จะโทษเจ้าได้อย่างไร อยู่ด้านนอกมาหลายปี สุขภาพร่างกายย่อมอ่อนแอเป็นธรรมดา”
หลี่หลิงเฟิ่งเลิกคิ้ว แสดงบทแม่ผู้แสนดี? ย่อมได้ นางจะเล่นด้วยสักหน่อย
“ไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ จะโทษก็ต้องโทษข้าเองผ่ายผอมเกินไป” ก้มหน้าหลุบตาต่ำ กล่าวต่อด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิด “ชุดที่แม่ใหญ่อุตส่าห์สั่งตัดมาให้จึงไม่อาจใส่ได้ ได้แต่หยิบชุดที่ดีที่สุดในตอนนั้นมาใส่แก้ขัดไปก่อนเจ้าค่ะ กลัวก็แต่ว่าจะทำให้ตระกูลของเราต้องอับอายขายขี้หน้าก็เท่านั้น”
อาภรณ์ตัวยาวสีแดงเข้มค่อนข้างเก่า เห็นได้ชัดว่าผ่านการสวมใส่บ่อยครั้ง รูปแบบการตัดเย็บเป็นของฤดูกาลที่แล้ว แต่ก็ไม่อาจบดบังความงามของหลี่หลิงเฟิ่งได้ กลับกันยิ่งทำให้นางดูเรียบง่าย ผิวพรรณเปล่งปลั่งสะดุดตา เรือนผมประดับหยกสีขาวเพียงหนึ่งชิ้นขับเน้นเรือนผมดำขลับ
ชุดนี้เป็นชุดที่นางได้มาตอนเจออู๋เหยียน เป็นสิ่งที่หลี่เฟยหยางจัดเตรียมไว้ให้นางและเป็นชุดที่นางใส่บ่อยที่สุด
แขกเหรื่อรอบด้านพากันกระซิบกระซาบ วาจาของหลี่หลิงเฟิ่งล้วนพาให้คนขบคิดว่าโจวชิงหรานไม่เคยดูดำดูดีลูกสาวที่เกิดจากอนุภรรยา หากใส่ใจอยู่บ้างคงไม่ถึงขั้นไม่รู้แม้กระทั่งขนาดตัวของบุตรี สายตาหลายคู่กล่าวตำหนิโจวชิงหราน ช่างใจดำอำมหิต ถึงอย่างไรก็เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขตระกูลสามี
คำพูดกล่าวหาหลุดไปถึงหูอีกฝั่งของงานเลี้ยง พาลต่อว่าต่อขานหลี่จ้งตามืดบอด มีภรรยาจิตใจคับแคบ ริษยาจนเกินงาม พวกเขาจินตนาการได้เลยว่าชีวิตที่ผ่านมาของเด็กคนนี้ต้องน่าเวทนาอย่างมาก หากองค์ชายรองไม่รำลึกถึงนาง หญิงสาวคงถูกลืมเลือนไปไม่ช้าก็เร็ว
หลี่จ้งสีหน้าพลันมืดครึ้ม ทว่ายังคงแสดงท่าทีดังเดิมเหมือนตอนแรกไม่มีเหตุการณ์ดังกล่าว ถึงกระนั้นโจวชิงหรานก็รู้ว่าสามีเริ่มไม่พอใจตน มือเรียวบิดผ้าเช็ดหน้าจนยับยู่ พยายามข่มอารมณ์ให้คงที่
“ในเมื่อเจ้ารู้ตัวว่าใส่ไม่พอดีตัว ทำไมจึงไม่บอกเสียแต่เนิ่นๆ หลายวันก่อนที่จวนตัดเย็บเสื้อผ้าฤดูกาลใหม่ไว้หลายชุด อีกทั้งขนาดตัวเจ้ากับข้าก็พอๆ กัน ทำแบบนี้ เจ้าจงใจทำให้ท่านแม่ลำบากใช่หรือไม่” หลี่หรูอี้ทักท้วง นางขยะหลี่หลิงเฟิ่งคิดจะโยนเผือกร้อนให้ท่านแม่ของนางรึ อย่างฝันไปหน่อยเลย
“ข้าก็อยากทำเช่นนั้น แต่บ่าวรับใช้เรือนใหญ่เพิ่งส่งชุดมาให้เมื่อเช้านี้ กว่าจะรู้ตัวทุกคนก็อยู่ในงานหมดแล้ว ขืนข้ายังเรื่องมาก ชักช้า ให้แขกทุกท่านรอนาน จะไม่เสียมารยาทหรือ” หญิงสาวยิ่งพูดยิ่งฟังดูน่าสงสาร เสียงที่เปล่งออกมาแผ่วลงเรื่อยๆ “หากทำให้แม่ใหญ่และพี่สี่ไม่พอใจ ข้าต้องขออภัยจริงๆ”
เดิมทีหลี่หลิงเฟิ่งไม่คิดจะหาเรื่องใคร นางแค่อยากทำพิธีให้เสร็จๆ ไปเพื่อจะได้ไปทำอย่างอื่นที่สำคัญกว่า แต่ใครใช้ให้โจวชิงหรานวางกับดักนางก่อนเล่า ส่งชุดหลวมโพลกให้นางใส่ยังไม่พอ ชุดนั้นยังอาบผงพิษลมแปรปรวนไว้ หากนางใส่ออกมา ไม่ถึงครึ่งเค่อร่างกายของนางจะเต็มไปด้วยผื่นแดงน่าเกลียดน่ากลัวทันที ภาพจำในใจผู้คนเหล่านี้ นางคงได้เป็นหญิงอัปลักษณ์อย่างแท้จริง
ถ้าไม่เชี่ยวชาญเรื่องพิษ กับดักวันนี้คงยากจะรอดพ้น ในเมื่อเจ้าทำร้ายข้า เหตุใดข้าจะทำร้ายเจ้าคืนไม่ได้ เกิดเป็นคนต้องเท่าเทียม
“เจ้า!” หลี่หรูอี้ตัวสั่นงันงก ความโกรธพุ่งสูงแทบระเบิด ในใจคั่งแค้นอยากจะเดินไปตบหน้าหลี่หลิงเฟิ่งสักหลายที
โจวชิงหรานหน้าซีดเผือด นังเด็กเวร!
ขณะไร้คำพูดโต้แย้ง เสียงอ่อนหวานด้านหลังก็ดังขึ้น “นี่ก็เลยฤกษ์มาพอสมควร พวกเรามาเริ่มพิธีกันดีหรือไม่เจ้าคะ” หลี่เหวินเหยาเอ่ยแทรกทำลายสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออก วันนี้หญิงสาวแต่งกายด้วยชุดฉินหรูสีฟ้า ดูงดงาม สะอาดสะอ้าน พอรวมกับรอยยิ้มอันเป็นเอกลักษณ์ส่งผลให้นางอยู่เหนือโลกีย์กับเรื่องทั้งปวง ผู้คนได้ยลโฉมมักจิตใจสงบลงได้ง่าย
โจวชิงหรานจ้องมองหลี่หลิงเฟิ่งแวบหนึ่ง จึงตอบรับหลี่เหวินเหยา รอยยิ้มมารยาทปรากฏขึ้นอีกครั้ง “ให้ทุกท่านชมเรื่องตลกขบขันแล้ว”
พิธีปักปิ่นดำเนินไปอย่างราบเรียบดังเช่นทุกบ้าน หลี่หลิงเฟิ่งสีหน้ายิ้มแย้มประดับมุมปากตั้งแต่ต้นจนจบ ทว่าในใจเบื่อหน่ายเหลือแสน แขกเหรื่อทยอยเข้ามาอวยพรกันทีละคน พูดสองสามคำพอเป็นพิธี “อายุยืนยาว ร่างกายแข็งแรง” วนไปจวบจนถึงช่วงท้ายของงาน
“ฮูหยินขอรับ คนในราชวังส่งของขวัญแสดงความยินดีแก่คุณหนูห้าขอรับ” พ่อบ้านประคองกล่องผ้าไหมกับราชโองการหนึ่งฉบับเข้ามา ในกล่องมีปิ่นหยกสีเงินประดับทับทิมสีแดงสดเม็ดโตเม็ดหนึ่งน่าดึงดูดใจ หลี่หลิงเฟิ่งเลิกคิ้ว
องค์ชายรองผู้นี้ดูตั้งใจประกาศฐานะของนางโจ่งแจ้งไปหน่อยหรือไม่
“องค์ชายรองรักทะนุถนอมเจ้าจริงๆ” โจวชิงหรานพูดพร้อมส่งปิ่นหยกให้หลี่หลิงเฟิ่ง ใบหน้ายิ้มแย้มไม่เปลี่ยน แต่อิจฉาริษยาเหลือล้น จากนั้นเปิดราชโองการจากฮ่องเต้อ่านเสียงดังฟังชัด
‘ด้วยสัจวาจาโอรสองค์ที่สองของเราแห่งแว่นแคว้น โม่จื่อหลิง ถูกตาต้องใจบุตรีสกุลหลี่ นามหลิงเฟิ่ง เพียบพร้อมด้วยภาพลักษณ์งดงาม เอ่ยปากหมั้นหมายเมื่อครั้งยังเยาว์ ครั้นเมื่อครบสิบห้าขวบปีเราจึงกลับมาทำตามสัญญาใคร่ขอบุตรีเจ้าเมืองหลี่ขึ้นเป็นพระชายา กำหนดเดินทางเจ็ดวันให้หลัง จบราชโองการ’
“คิก” ราชโองการราวกับประกาศว่าหลี่หลิงเฟิ่งได้ดีเพราะหน้าตา อย่างอื่นนั้นไม่มีดีสักอย่าง ไม่รู้ใครหลุดหัวเราะออกมา แต่ก็เพียงพอให้ทุกคนในที่นี้ได้ยิน มุมปากหลี่หลิงเฟิ่งกระตุก ไม่รู้ฮ่องเต้ต้องการกล่าวตำหนินางหรือประจานบุตรตนเองที่ลุ่มหลงหญิงงามกันเล่า
ไม่ว่าทางไหน ราชวงศ์ก็ไม่ได้รับผลดีกับเรื่องนี้สักนิด ฝ่าบาทยังสติดีอยู่ใช่ไหมเพคะ
ขณะที่หญิงสาวกลอกตาอยู่ในใจนั้น เสียงมารผจญดังขึ้นอีกหน “น้องห้า เจ้าช่างเก่งกาจเสียนี่กระไร องค์ชายรองที่สตรีหลายคนหมายปองยังมิอาจหนีพ้นเงื้อมมือเจ้า” คำพูดนี้หมายความว่าอย่างไร นางไปล่อลวงโม่จื่อหลิงตั้งแต่เมื่อไหร่ หลี่หลิงเฟิ่งถอนใจ อยู่ๆ ก็เหมือนถูกดาบทิ่มแทงลงกลางหลังโดยไม่รู้ตัว
“ไม่เพียงมอบปิ่นหยกเป็นของแทนใจ ยังจะนำเกี้ยวมารับเจ้าด้วยตนเอง ทำเอาบรรดาหญิงสาวที่ยังไม่ทันออกเรือนอิจฉาตาร้อนกันไปทั่ว” หลี่หรูอี้ไม่พอใจอย่างมาก ตั้งแต่นางได้พบองค์ชายรองกลางปีที่ผ่านมา รูปร่างหน้าตาหล่อเหลาเป็นเอก นอกจากหลี่เฟยหยางแล้วก็ไม่อาจหาใครเทียบได้ ทั้งยังมากความสามารถ เป็นหนึ่งบุรุษที่หญิงสาวในแว่นแคว้นต่างใฝ่ฝัน แต่เหตุใดต้องหมั้นหมายกับตัวไร้ค่าที่สุดอย่างหลี่หลิงเฟิ่ง
ในสายตาของหลี่หรูอี้ หลี่หลิงเฟิ่งเป็นสตรีที่ไม่มีอะไรดี ไม่ควรค่าแก่การเอ่ยถึง
“เช่นนั้นท่านกับพี่หญิงใหญ่ก็คงอิจฉาข้าด้วยสินะ” คำพูดหยอกล้อของหลี่หลิงเฟิ่ง พาเอาบรรยากาศเปลี่ยนแปลงอีกครา “หากท่านต้องการ ข้ายกให้ท่านก็ได้ อย่างไรของของข้าก็เหมือนของของท่าน” เอาไปเลย ข้าไม่ต้องการสักนิด
หลี่หรูอี้ดีใจคว้ามาจากมือหลี่หลิงเฟิ่งอย่างไว “ดียิ่งนัก”
หลี่เหวินเหยายิ้มบางๆ ทำตัวเป็นพี่สาวกำลังสอนน้องสาว “น้องห้า ของบางอย่างก็ไม่อาจยกให้ใครสุ่มสี่สุ่มห้าได้ เช่นเดียวกับเรื่องบางเรื่องไม่อาจนำมาล้อเล่นได้เช่นกัน”
จากนั้นหันไปดุหลี่หรูอี้ “น้องสี่ ยังไม่คืนน้องห้าไปอีก ปิ่นนี้ต่อให้เจ้าชอบมันแค่ไหน ใช่ว่าเจ้าจะยึดมันได้ตามใจชอบ”
คนทั้งกลุ่มเบนสายตามาทางสามสาวด้วยสายตาซับซ้อน คำพูดของหลี่เหวินเหยาชวนให้ผู้คนคิดไปไกลยิ่งนัก หลี่หรูอี้ หญิงงามอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลี่เล่าลือว่ามีนิสัยใจคอใสซื่อบริสุทธิ์ โอบอ้อมอารี แท้จริงแล้วเป็นหญิงสาวจิตใจคับแคบ เอาแต่ใจนางหนึ่ง ขนาดของน้องสาวตนเองยังแย่งเอามาได้
ส่วนหลี่หลิงเฟิ่งช่างหัวอ่อน ไม่สู้คน ต่อให้มีสมองอยู่บ้างก็ไม่เหมาะจะเอามาเป็นสะไภ้ ที่ดีคงไม่พ้นหลี่เหวินเหยา รู้จักหนักเบา รู้เหตุรู้ผล ใจเย็นราวสายน้ำ เพียบพร้อมทั้งกิริยาจาและรูปลักษณ์ ความสามารถไม่เป็นสองรองใคร บ้านไหนได้นางเป็นสะใภ้ นับว่าสวรรค์เมตตาแล้ว
“พี่ใหญ่กล่าวหนักเกินไปแล้ว ก็แค่ปิ่นอันเดียว ไม่ส่งผลกระทบต่อความรักที่องค์ชายรองมีให้ข้าหรอก” สตรีนางนี้ดูเหมือนจะไม่ชอบนางจริงๆ อย่างว่า จวนหลังนี้ใครบ้างจริงใจต่อนาง “หากท่านอยากได้ ข้าขอองค์ชายรองมอบให้ท่านอีกอันดีหรือไม่” รอยยิ้มหวานปานน้ำผึ้งอย่างนั้นใครว่าหลี่หลิงเฟิ่งคนนี้ทำไม่เป็น เอาดีเข้าตัว เอาชั่วใส่คนอื่นหรือ สร้างภาพนักใช่มั้ย ได้! เดี๋ยวนางจัดให้
“เฮอะ พูดเหมือนกับว่าองค์ชายรองรักเจ้าจริงอย่างนั้นแหละ เคยเจอกันรึก็ยังไม่เคย เอาอะไรมามั่นใจว่าเจ้ามัดใจเขาได้แล้ว” หลี่หรูอี้ทนฟังหลี่หลิงเฟิ่งอวดอ้างความรักขององค์ชายรองไม่ไหว แย้งขึ้นมาอย่างลืมตัว นางขยะ น้ำหน้าอย่างเจ้าน่ะรึ จะอยู่ในสายตาองค์ชายรอง
หลี่หลิงเฟิ่งหัวเราะจนน้ำตาเล็ด เผลอกิริยาที่ทำเป็นประจำในยามปกติออกมา “หรือพี่สี่ฟังราชโองการไม่ออก เห็นอยู่ว่าองค์ชายรองปักใจรักข้ามาตั้งแต่เด็ก ท่านว่าพวกเราเคยเจอกันหรือไม่เล่า ไม่ต้องอธิบายให้ฟังอีกรอบกระมัง”
“นั่น...นั่นเพราะพระองค์ยังเด็ก ไม่รู้อะไรคือความงามที่แท้จริง” เด็กสาวเถียงคอเป็นเอ็น ไม่ยอมแพ้ นางไม่มีทางยอมแพ้หลี่หลิงเฟิ่งเป็นครั้งที่สองแน่ อย่างไรวันนี้นางต้องทำให้นางเด็กเหลือขอขายขี้หน้าให้จงได้
“นี่ท่านกำลังบอกว่า องค์ชายแห่งแว่นแคว้นโง่เขลาถึงกับไม่รู้เรื่องตื้นเขินเช่นนี้เชียวรึ” หลี่หลิงเฟิ่ง
ยกมือขึ้นปิดปาก ท่าทางตกใจจนขวัญเสีย ช่างโง่งม ถูกหลี่เหวินเหยาหลอกใช้ยังไม่รู้ตัว ริอ่านมางัดข้อลับฝีปากกับนาง
“น้องห้า นี่เจ้าบีบบังคับกันเกินไปหรือไม่ ถึงอย่างไรก็ครอบครัวเดียวกัน” หวี่เหวินเหยาเอ่ยแย้งปราม
“พี่ใหญ่นี่ก็แปลก ข้าบีบบังคับนางตอนไหนกัน เพียงชี้แจงให้ชัดเจนก็เท่านั้น” หลี่หลิงเฟิ่งถอนหายใจอย่างถูกจังหวะ “เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ ท่านจะทำเป็นเรื่องใหญ่เพื่ออันใดกัน”
“ข้า...” หลี่เหวินเหยารอยยิ้มแข็งค้าง หาคำโต้แย้งไม่ได้
“ท่านแม่ ฝีปากคุณหนูห้า...ช่างไม่ธรรมดา” สตรีนางหนึ่งนั่งอยู่ไม่ไกลนัก แอบกระซิบกับมารดา มือข้างขวายกนิ้วหัวแม่มือขึ้น สีหน้านางดูพึงใจยิ่ง ฮูหยินบ้านนั้นอดตีแขนบุตรสาวตนเองไม่ได้ ถลึงตาดุเชิงห้ามปราม
“เอาล่ะๆ วันนี้เป็นวันมงคลแท้ๆ พวกเจ้านี่ทะเลาะกันเป็นเด็กๆ ไปได้ ไม่อายแขกเหรื่อบ้างหรืออย่างไร” โจวชิงหรานตัดบทสนทนา สายตาเอ็นดูแสดงออกอยู่เนืองๆ หลี่หลิงเฟิ่งไม่พูดอันใดอีก หยิบน้ำชาขึ้นมาจิบหลบซ่อนสายตาจากผู้คนอย่างแนบเนียน “เด็กสาวบ้านข้าก็เป็นอย่างนี้แหละ โดยปกติแล้วก็ปรองดองกันดี พอเห็นเครื่องประดับสวยๆ งามๆ เข้าหน่อย เป็นต้องทะเลาะกันทุกที เรื่องเล็กน้อยก็ยังนำมาถกเถียง ขอทุกท่านอย่าได้ถือสาหาความ”
“อี้อี้ เจ้าก็อย่าได้น้อยใจ ถึงน้องเจ้าจะมีของพระราชทาน แต่แม่ก็มีของขวัญอีกอย่างไว้ให้เจ้าเช่นกัน” โจวชิงหรานเอ่ยปลอบบุตรสาวพลางปรบมือส่งสัญญาณ
ฮว่าง
บ่าวรับใช้สี่ห้าคนช่วยกันยกกรงสัตว์อสูรขึ้นมาบนเรือน ในกรงมีหมูป่าหางทองตัวอวบอ้วนขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่นอนจ้องตากลมมาทางพวกนาง ทั้งตัวเป็นสีดำมีปีกเล็กๆ คู่หนึ่งงอกโค้งอยู่กลางหลัง หางสีทองขดกันเป็นก้อนกลม ดูคล้ายก้อนแป้ง น่ารักน่าเอ็นดู
บางคนเมื่อเห็นสัตว์อสูรที่นำออกมาถึงกับอุทานอย่างห้ามไม่อยู่ ยังมีอีกหลายคนส่งสายตาอิจฉาไปยังหลี่หรูอี้ หมูป่าหางทองถือว่าเป็นสัตว์อสูรที่พบเห็นไม่บ่อยนัก ผู้ที่เป็นเจ้าของเผ่าพันธุ์มันในแคว้นนี้มีไม่ถึงสิบคนด้วยซ้ำ แม้เจ้าตัวที่อยู่ในกรงจะแค่ขั้นหนึ่ง แต่พละกำลังของมันแข็งแกร่งยิ่งกว่า ตระกูลหลี่ไม่อาจดูเบาได้จริงๆ
หลี่หลิงเฟิ่งเองก็สนใจขึ้นมาบ้างแล้ว ของดี! น่าเสียดาย ต้องตกไปเป็นของสตรีสมองทึบอย่างหลี่หรูอี้
กรงเหล็กเปิดออกช้าๆ บ่าวรับใช้ร่างกายกำยำสองคนครอบเหล็กไว้ที่ลำคอหมูป่าหางทอง ลากตัวมันมาหาหลี่หรูอี้ “อี้อี้ หากเจ้าสยบมันได้ มันก็จะเป็นสัตว์อสูรตัวแรกของเจ้า”
โอ้ วิธีผูกพันธสัญญากับสัตว์อสูรอย่างนั้นรึ น่าสนใจ ว่าแล้วหญิงสาวปรับเปลี่ยนท่ายืนให้ดูจริงจังมากขึ้น จดจ่อดูการกระทำของหลี่หรูอี้ จะสยบเจ้าตัวพยศน้อยนี่อย่างไร นางรู้ว่าการทำพันธสัญญากับสัตว์อสูรคือการที่สัตว์อสูรได้รับเลือดจากเจ้านายและจิตใจเปิดการยอมรับเท่านั้นจึงจะสำเร็จ
ฮว่าง
เสียงขู่คำรามลอดผ่านลำคอเบาๆ แทบไม่มีผู้ใดได้ยิน ยกเว้นหลี่หลิงเฟิ่งผู้มีประสาทสัมผัสไว หญิงสาวยกยิ้ม หมูป่าตนนี้ดูคล้ายซึมเซาเชื่องเชื่อ ทว่าความจริงแล้วมันกำลังรอโอกาส
หลี่หรูอี้เมื่อเห็นหมูป่าหางทอง สีหน้าบูดบึ้งพลันมลายหายสิ้น รอยยิ้มสดใสแต่งแต้มบนใบหน้าสวย “เจ้าค่ะ ท่านแม่”
จบคำพลังสีฟ้าจากฝ่ามือหลี่หรูอี้ปรากฏก้อนกลมๆ ลอยเข้าไปหาหมูป่าหางทองสามสี่ลูกอย่างรวดเร็ว เห็นว่าเจ้าหมูป่ายังคงไม่ขยับเขยื้อน รอยยิ้มกระหยิ่มยิ้มย่องของนางกดลึกลง “เจ้ามันก็แค่นี้เอง” หลี่หลิงเฟิ่งแอบพยักหน้าชื่นชม นางนับว่าพอมีฝีมืออยู่บ้าง
ทั้นใดนั้นคนทั้งห้องโถงพลันชะงักค้าง พลังยุทธ์สีฟ้าถูกหมูป่าหางทองกลืนกินเข้าไปจนหมด สวรรค์!
เอื๊อก!
สีหน้าหลี่หรูอี้เคร่งขึม ปล่อยพลังออกไปติดๆ กัน สายฝนพิรุณโปรยปรายลงมาทั่วบริเวณดั่งเข็มแหลมนับพันเล่มทิ่มแทงเจ้าหมู ไม่เพียงมันไม่สะทกสะท้าน ขนสีดำชี้ตั้งเป็นแพสวยงาม สะบัดน้ำที่เกาะอยู่ตามตัวออกไป “นะ...นี่” เหตุใดมันถึงไม่เป็นอะไรเลย
สัตว์อสูรขั้นหนึ่งแน่หรือ น่ากลัวเกินไปแล้ว!
ดวงตากลมโตวาววับมองหลี่หรูอี้แววมาดร้าย มันกระหายหิวมาเป็นเวลนาน ถูกจับมาขังนับสิบวัน นอกจากน้ำก็ไม่มีเนื้อสัตว์หรือพืชให้มันเคี้ยวเล่น ตอนนี้มันต้องการอาหารตกถึงท้องยิ่งนัก
หลี่หลิงเฟิ่งรับรู้ถึงอารมณ์ไม่คงที่ของหมูป่าหางทอง คิดแอบหลบไปยืนด้านข้างรวมกับฝูงชนเงียบๆ สี่เท้าคืบคลานเข้ามาหาหลี่หรูอี้น้อยๆ หญิงสาวกำหมัดแน่น ท่าไม่ดีแล้ว ขืนเป็นแบบนี้ต่อไปนางได้ขายหน้าแน่ แค่สัตว์อสูรขั้นหนึ่ง ผู้ฝึกพลังยุทธ์ขั้นกำเนิดใหม่ระดับกลางอย่างนางถึงกับสยบไม่ลง
ด้านฝ่ายบุรุษ หลี่จ้งซึ่งเป็นเจ้าภาพสังเกตเห็นความวุ่นวายทางนี้ หน้านิ่วคิ้วขมวดยิ่งกว่าเดิม โจวฮูหยินชักจะเหลวไหลขึ้นไปทุกที มือหนากวักมือเรียกหลี่เจี้ยนที่อยู่ไม่ไกล “เจ้าไปดูหน่อย ทางด้านนั้นเกิดอะไรขึ้น”
หลี่เจี้ยนตอบรับคำหนึ่ง ใจของเขาไม่สงบอยู่ตลอดเวลา พะวงว่าจะมีคนรังแกหลี่หลิงเฟิ่ง น้องสาวของเขาอ่อนแอถึงเพียงนั้น จะสู้กับสตรีพวกนั้นทั้งหมดอย่างไรไหว
ด้านฝ่ายหลี่หรูอี้ อับจนหนทางขึ้นมาแล้ว อยากหันไปขอความช่วยเหลือจากโจวชิงหรานก็กลัวถูกผู้อื่นหัวเราะเยาะ สายตาล่อกแล่กมองรอบๆ พยายามหาทางออก ฉับพลันดวงตาร้อนรนฉายแววโหดเหี้ยม มุมปากยกยิ้มมุ่งร้ายไปทางด้านหลังหลี่หลิงเฟิ่ง ก้าวเท้าเร็วรี่เซถลาไปหาหญิงสาวราวกับไม่ได้ตั้งใจ สองมือเรียวปล่อยพลังแสงสีฟ้าออกเป็นทางตรง พุ่งเข้าหน้าหมูป่าหางทองอย่างจัง ลำแสงเจิดจ้าจนตาของมันพร่าไปหมด
'อย่าอยู่เลย' มุมปากร้ายยกยิ้มสะใจ ริมฝีปากไร้เสียงขยับขึ้นลง มีเพียงหลี่หลิงเฟิ่งที่อยู่ใกล้เท่านั้นที่เห็น
หมูป่าหางทองโกรธเกรี้ยว พุ่งเข้าใส่หลี่หรูอี้ด้วยความเร็วปานสายฟ้าเเลบ แสงสีดำแหวกพลังสีฟ้าออกเป็นสองทาง กรงเล็บสองข้างเงื้อมขึ้นหมายตะปบลงบนอกของเหยื่อ หลี่หรูอี้ยิ้มอย่างสะใจ ถ่ายทอดพลังส่งตัวออกไปนอกเขตอันตรายอย่างทันท่วงที
พลันรุนแรงสายหนึ่งพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว หลี่หลิงเฟิ่งสีหน้าเคร่งขรึม พลังสีแดงก่อตัวบนฝ่ามือขึ้นป้องกันการโจมตีกะทันหันนี้ แสงสีดำพุ่งวาบมาถึงตรงหน้านาง มือเรียวยกขึ้นช้าๆ ทันใดนั้นตรงหน้านางพลันปรากฏแผ่นหลังบอบบางของคนผู้หนึ่งขึ้น
ผลั่ก!
ฉึก!
“ชิงเอ๋อร์!” เสียงร้องตกใจของสตรีนางหนึ่งกรีดผ่านหูนาง
“น้องเล็ก!” เสียงทุ้มตื่นตระหนกของชายผู้หนึ่งปลิวมาตามสายลม
ยังไม่รวมถึงเสียงกรีดร้องลั่นของแขกเหรื่อภายในงาน
โลหิตสดๆ ไหลออกมาจากไหล่ซ้ายของสตรีชุดแดง รอยกรีดลึกเป็นทางยาวประมาณเจ็ดชุ่น* หลี่หลิงเฟิ่งหน้าตาบิดเบี้ยวข่มความเจ็บปวด รับพลังโจมตีทั้งหมดผ่านมือขวา ลำตัวถอยร่นจนสุดขอบเรือน สมกับเป็นสัตว์อสูรหายาก พละกำลังของมันแข็งแกร่งเทียบเท่ากับผู้ฝึกยุทธ์ขั้นกำเนิดใหม่ระดับสูงหลูหวั่นชิง ลืมตาขึ้น มองหลี่หลิงเฟิ่งที่ยืนสู้กับหมูป่าหางทองอย่างตะลึงงัน ลืมความเจ็บปวดจากการโดนพลังยุทธ์ที่กันนางออกมานอนกองอยู่บนพื้น นางหมายจะเข้าไปช่วยหลี่หลิงเฟิ่ง ใครเลยจะคิดว่า...“นาง...นางเป็นพลังยุทธ์” นี่...คำเล่าลือหลายสิบปีเป็นเรื่องหลอกลวงหรือ นางหาใช่ตัวไร้ค่า แต่เป็นผู้มากด้วยพรสวรรค์ต่างหาก!เสียงเซ็งแซ่ดังกระหึ่มทั่วห้องโถง ในที่นี้ไม่มีใครใจคอสงบสักคน เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นเหนือความคาดหมายเกินไปแล้วหมูป่าหางทองคำรามดังขึ้น เจ้าพวกมนุษย์น่าตาย กล้าลอบกัดข้า กระแสไฟฟ้าปลายหางแผ่ลามทั่วทิศ ทั่วทั้งห้องโกลาหลหนีตายกันถ้วนหน้า ห้องโถงที่เคยวิจิตรงดงามพังลงไม่เหลือซาก เสาหลักยึดโครงหลังคาหักลงทีละต้น เวลานี้บริเวณใกล้หลี่หลิงเฟิ่งเหลือเพียงแม่ลูกตระกูลหลู และหลี่เหวินเหยาเท่านั้น ส่วนสองแม่ลูกตัวต้นเรื
เสียงตึงตังบริเวณทางเดินชั้นสองดังสนั่นไปถึงชั้นล่าง จะโทษก็โทษที่หอแพทย์โอสถแห่งนี้วัสดุทำขึ้นจากไม้ บุรุษทั้งสามวิ่งมาหยุดยืนอยู่หน้าประตูบานหนึ่ง หายใจหอบถี่ หวังซีจัดเครื่องแต่งกาย ผมเผ้า และปรับสีหน้าให้สงบนิ่งเหมือนยามปกติ เคาะประตูสองครั้งจากนั้นค่อยๆ ผลักเข้าไปเหยาจี้เห็นท่าทางของหวังซีพลันยิ้มกรุ้มกริ่ม เดินตามหลังเข้าไป มีเพียงถงลี่ยืนเฝ้าสถานการณ์อยู่ด้านนอก ช่างใจจะเข้าไปดีหรือไม่ หลังจากความคิดตีกันในหัวอยู่นาน สุดท้ายตัดสินใจเดินคอตกเข้าไป“ผู้อาวุโสหวัง” เมื่อเห็นชายทั้งสามเดินเข้ามา หนึ่งในนั้นยังมีชายหนุ่มที่ต้องการอยากพบจึงส่งเสียงกระเช้าเย้าแหย่ไปให้ หัวเราะเบาๆ อย่างคนอารมณ์ดีเมื่อได้ยินเสียงหลี่หลิงเฟิ่ง เขาถึงกับขนลุกซู่ มุมปากหวังซีกระตุกครั้งหนึ่ง ยกยิ้มพิลึกพิลั่น พลางเดินเข้าไปหาทั้งสองคนที่นั่งอยู่กลางห้อง“คารวะผู้อาวุโสหวัง” หลี่เจี้ยนลุกขึ้นยืนคำนับ ใคร่นึกสงสัยถึงความสัมพันธ์ของทั้งสองคน ดวงตาคมมองสลับระหว่างหวังซีและหลี่หลิงเฟิ่งไปมาหวังซีพยักหน้าน้อยๆ ตอบกลับหลี่เจี้ยน ทว่า ตัวกลับคำนับหลี่หลิงเฟิ่งแทน ทำเอาทุกคนภายในห้องงุนงงกันถ้วนหน้า “แม่นางหลี่
กว่าจะออกจากหอแพทย์โอสถก็ล่วงเลยเข้ายามซวี* ด้านนอกมืดสนิท หลี่หลิงเฟิ่งอ่อนเพลียจนผลอยหลับในรถม้าตลอดทาง ตอนแรกหวังซีเสนอให้นางพักอยู่ที่หอแพทย์เพื่อดูอาการสักหนึ่งคืน รุ่งสางค่อยกลับไปพักฟื้นที่จวนทว่า คนร้ายยังคงแฝงตัวอยู่ในหอแพทย์โอสถ ทำให้หลี่เจี้ยนปฏิเสธเสียงแข็ง เป็นตายอย่างไรก็ไม่ยอม หลี่หลิงเฟิ่งเองก็อยากกลับจวนเช่นเดียวกัน จึงได้ปฏิเสธออกไป ก่อนจากมายังได้กำชับหวังซีส่งสมุนไพรบางส่วนสำหรับหลอมยาลูกกลอนมาให้นางจำนวนหนึ่งเวลาสามปีแห่งการเก็บตัวของนางผ่านพ้นไปแล้ว ยอดฝีมือแข็งแกร่งมีมากเหลือเกิน หากนางไม่เร่งฝึกพลังยุทธ์ เพิ่มความแข็งแกร่ง ไม่นานนางคงเพลี่ยงพล้ำเข้าสักวัน ไม่เพียงปกป้องคนรอบข้างไม่ได้ ยังไม่มีแม้แต่กำลังจะป้องกันตนเองให้อยู่รอดปลอดภัยเสียด้วยซ้ำเมื่อกลับถึงจวนยังไม่วายถูกหลี่เจี้ยนซักถามเรื่องราวความเป็นมาระหว่างศิษย์พี่ศิษย์น้องของนางกับหูซาน จวบจนเห็นว่าดึกมากแล้วหลี่เจี้ยนจึงยอมล่าถอยกลับไป กว่าหลี่หลิงเฟิ่งจะทำกิจธุระเตรียมตัวเข้านอนเสร็จก็ปาเข้าไปเกือบยามจื่อ*หลี่หลิงเฟิ่งถอนหายใจเบาๆ กล่าวกับเสี่ยวเซียงที่กำลังจัดที่นอนให้นาง“เรื่องนั้นคืบหน้าไปถึงไห
หลี่เจี้ยนชะงักงัน น้องเล็กดีใจที่ได้เจอเขาหรือ ความน้อยใจที่สั่งสมมาตลอดหลายวันพลันจางหายเพียงแค่ประโยคเดียวของนาง ริมฝีปากยกยิ้มอบอุ่น กล่าวอย่างอารมณ์ดี “ไป พี่จะพาเจ้าไปเปิดหูเปิดตา”มือเรียวคล้องแขนผู้เป็นพี่ชาย ส่ายหน้าปฏิเสธ “ข้ามีของขวัญจะให้ท่าน เดิมทีตั้งใจจะมอบให้ตั้งแต่เมื่อวาน แต่เกิดเรื่องขึ้นมากมาย จึงไม่มีโอกาสสักครั้ง” นางกะพริบตากลมโตจ้องมองหลี่เจี้ยนตาแป๋ว น้ำเสียงใสพูดออกจากปากช่างไหลลื่น ไม่ติดขัดสักนิด“สิ่งใดรึ” หลี่เจี้ยนตาเป็นประกาย กล่าวอย่างตื่นเต้น นานเท่าไหร่แล้วที่เขาไม่ได้รับความสำคัญจากน้องเล็ก ตั้งแต่นางกลับมาก็ทำตัวเหินห่างกับเขาราวกับคนแปลกหน้าตอนเด็กก็ยังชอบเกาะติดกับหลี่เฟยหยาง เขาเป็นเพียงพี่ชายที่เดินตามพวกนางอยู่ข้างหลัง นางระลึกถึงเขา จะไม่ให้ดีใจได้อย่างไรรอยยิ้มหวานไปจนถึงดวงตาถูกส่งไปให้อีกครา ชายหนุ่มมองอย่างเคลิบเคลิ้ม “สิ่งนี้มีเพียงหนึ่งเดียวในใต้หล้า ท่านเป็นคนแรกที่ได้รับมันเชียวนะเจ้าคะ”นางปล่อยมือทั้งสองข้างที่คล้องแขนหลี่เจี้ยนออก จากนั้นหยิบเอาตลับยาในอกเสื้อออกมาก่อนยื่นให้ “ท่านเปิดดูสิ”“น้องเล็ก” หลี่เจี้ยนซาบซึ้งใจยิ่งนัก ก
สามชั่วยามถัดมา หลี่เจี้ยนและหลี่หลิงเฟิ่งขอตัวกลับ หวังซีเดินมาส่งทั้งสองถึงชั้นล่างด้วยตนเอง ผู้คนที่เคยเนืองแน่นขนัดอย่างสามวันก่อนไม่มีอีกต่อไป มีเพียงศิษย์สองสามคนเท่านั้น ผู้ไม่เกี่ยวข้องมิอาจเข้ามาด้านในได้ ตั้งแต่เกิดเหตุการณ์มีผู้บุกรุกขึ้น หอแพทย์โอสถจึงเปิดทำการเพียงส่วนขายยาสมุนไพรและยาลูกกลอนเท่านั้น นั่นคือโถงหน้าสุดของหอ“แม่นางหลี่ สมุนไพรส่วนที่เหลือข้าจะส่งให้ท่านถึงจวนพรุ่งนี้เช้าตามเดิม ไม่คิดเงินแต่อย่างใด ขอบคุณท่านที่ช่วยเหลือหอแพทย์ของเรา บุญคุณครั้งนี้สำนักแพทย์โอสถต้องตอบแทนท่านอย่างแน่นอน” หวังซีคำนับขอบคุณนางครั้งหนึ่ง“ไม่ต้องเกรงใจ เมื่อครั้งอยู่ชนบทพวกท่านได้ช่วยเหลือข้าหลายเรื่อง สหายช่วยเหลือกันไม่นับว่าเป็นบุญคุณอันใดหรอก หากช่วยได้หนึ่งชีวิตก็ถือเป็นการทำกุศลเพิ่มไม่ใช่หรือ” หลี่หลิงเฟิ่งโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ“หากห่อยาหลัวนั้นจะช่วยผู้อาวุโสในสำนักท่านได้ ก็ถือเป็นโชคดีของมันแล้ว ท่านไม่ต้องทำเช่นนี้ ข้าจะอายุสั้นได้นะ” หลี่หลิงเฟิ่งกล่าวอย่างติดตลก พลันสายตาเหลือบไปเห็นถงลี่เดินไวๆ มาทางพวกเขา“อย่างไรก็ต้องขอบคุณท่านมากจริงๆ น้ำใจของท่านในครั้งนี้พวก
ราตรีกาลมืดมิด ดวงจันทร์เอียงอายหลบหายไม่เห็นเงา สายลมพัดแผ่วเบา คลื่นน้ำสงบนิ่ง กลิ่นอายรอบด้านสดชื่นปะทะเข้าใบหน้าหนึ่งบุรุษสองสตรี เรือลำเล็กลำหนึ่งแล่นอยู่กลางผืนน้ำด้านหน้าคือหุบเขาขนาดใหญ่ตั้งอยู่หลังหออวิ๋นหลิ่วกั้นกลางด้วยแม่น้ำสายเล็กๆ คาดว่าแหล่งกำเนิดหินแร่คงอยู่ในนั้น หลี่หลิงเฟิ่งหลับตาพริ้มตั้งแต่เริ่มนั่งอยู่บนเรือ ภายนอกดูเหมือนผ่อนคลายสบายใจ ทว่า พลังจิตของนางคอยสังเกตสิ่งผิดปกติมาตลอดทางความเงียบสงบเกินกว่าเหตุมักผิดวิสัยของธรรมชาติ ที่ใดมีแม่น้ำ มีภูเขา ที่นั่นย่อมมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ เพราะเหตุใดระหว่างทางนางไม่ได้ยินเสียงสัตว์ป่ายามค่ำคืนเลยแม้แต่น้อย สัญชาตญาณส่งเสียงร้องเตือนให้นางระวังภัยจากที่มืดผิดปกติเกินไปแล้ว“เสี่ยวเฟิ่ง พวกเราถึงแหล่งกำเนิดหินแร่แล้ว ไปกันเถอะ” ในขณะที่หลี่หลิงเฟิ่งตกอยู่ในภวังค์นั้น เสียงหวานของสตรีด้านข้างปลุกนางตื่นขึ้นมา หลี่หลิงเฟิ่งส่งเสียงอืมออกมาคำหนึ่ง ก้าวลงจากเรือตามหลังทั้งสองคนอย่างไม่รีบร้อน“ที่นี่ออกจะเงียบไปสักหน่อยหรือไม่” หลี่เจี้ยนสำรวจรอบๆ เขารู้สึกใจคอไม่ดีอย่างบอกไม่ถูก มีบางอย่างไม่ถูกต้อง แต่ไม่รู้ว่าไม่ถูกต้
“หึ คิดว่าแค่นี้จะขู่พวกข้าได้อย่างนั้นรึ โชคไม่ดีที่พวกเจ้าเลือกมาคืนนี้ จงทิ้งชีวิตไว้ที่นี่เสียเถอะ” ชายชุดดำทั้งห้าหน้าตาถมึงทึง ไม่ลังเลอีก บุกโจมตีอย่างดุดัน ทว่า สะเปะสะปะจับตำแหน่งทั้งสามคนไม่ได้ ทำให้พวกหลี่หลิงเฟิ่งหลบการปะทะครั้งนี้ได้อย่างง่ายดายหลี่เจี้ยนสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมาหลายส่วน พลังยุทธ์ของคนพวกนี้ไม่ด้อยไปกว่าพวกเขาแม้แต่น้อย หากยืดเวลาออกไป จะส่งผลเสียมากกว่าผลดี ศึกครั้งนี้เขาต้องรีบรบรีบจบ เริ่มต้นด้วยการประกบฝ่ามือทั้งสองข้าง พลังสีฟ้าก่อตัวเป็นคลื่นยักษ์สูงสามจั้ง หมุนคว้างรอบตัวเขาก่อนจะสะบัดไปยังทิศทางที่มีลำแสงโจมตีของฝ่ายตรงข้ามเมื่อสักครู่คลื่นยักษ์เคลื่อนที่เป็นวงกลมครอบคลุมขอบเขตหนึ่งส่วนสาม ที่น่ากลัวที่สุดคือความเร็วในการเคลื่อนไหวรวดเร็วเพียงกะพริบตาเท่านั้น หากถูกเงาคลื่นยักษ์ซัดโดนตัว การเคลื่อนไหวทั่วทั้งร่างจะเชื่องช้าลงชั่วขณะ ไม่อาจหลบหนี ไม่อาจโต้กลับหลี่หลิงเฟิ่งผู้เห็นเหตุการณ์ชัดแจ้งแต่เพียงผู้เดียวอดอุทานออกมาเบาๆ ไม่ได้ “คลื่นยักษ์สลาตัน ร้ายกาจยิ่งนัก!”อวิ๋นหลิ่วเหยียดยิ้ม นี่คือเวลาที่นางรอคอย พลังยุทธ์สีส้มก่อตัวขึ้นบนฝ่ามือในพริ
“โอหังนัก! นังเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม เจ้าไม่มีสิทธิ์กล่าวล่วงเกินท่านหัวหน้า” หนึ่งในชายชุดดำผินหน้าขุ่นเคืองจ้องมองเด็กสาวชุดแดงมิวางตา ร่างทั้งร่างสั่นเทา เพลิงโทสะพร้อมระเบิดออกมา“อย่างนั้นรึ”หลี่หลิงเฟิ่งได้ยินก็เลิกคิ้วสะกดใจจ้องมองใบหน้าบิดเบี้ยวของชายชุดดำ เอ่ยเสียงอ่อนนุ่ม “เป็นศิษย์อาจารย์หนึ่งวันเปรียบเสมือนบิดามารดาตลอดชีวิต ไม่เคยได้ยินหรือ อีกอย่างเจ้ามีสิทธิ์อันใดมาชี้หน้าด่าข้า บิดาข้ารึ ก็ไม่ใช่ ข้าไม่มีบิดาโง่เง่าเช่นเจ้า” หากไร้สมองจริง บิดาของนางคงไม่ได้เป็นถึงท่านเจ้าเมืองมาหลายปีเช่นนี้หลี่เจี้ยนหลุดขำ ไพล่แขนทั้งสองข้างไว้ด้านหลังเดินมาหยุดข้างหลี่หลิงเฟิ่ง “น้องเล็กพูดถูก ท่านพ่อของพวกเราหน้าตาไม่ใช่อย่างนี้แน่นอน”“เจ้า!” ชายชุดดำโกรธขึ้ง มือที่ชี้หน้าหลี่หลิงเฟิ่งสั่นเทาอย่างรุนแรง สายตาเคียดแค้นจ้องมองพวกนางไม่วางตา เขาอยากจะเผาร่างพวกมันให้ไหม้เป็นจุณ กลบฝังอยู่ในถ้ำไม่ให้เหลือซาก แม้แต่เศษชิ้นส่วนเดียวก็ไม่อาจหลุดรอดออกไปจากที่นี่ได้!ชายวัยกลางคนยกมือห้าม ใบหน้าซีดเซียวเรียบนิ่งไม่อาจคาดเดาความรู้สึกได้ เสียงแหบแห้งดังขึ้นมาอีกครั้ง “วิธีการใช้พลังยุท
“เจ้าโกหก!” ถงหนิงซีตะโกน มองหน้าหลี่หลิงเฟิ่งเขม็งหลี่หลิงเฟิ่งเลิกคิ้ว หัวเราะทีหนึ่ง เป่าน้ำชาร้อนในถ้วย ไม่สนใจถงหนิงซีอีกต่อไปนางไม่อยากคุยกับคนสมองหมู“บัดซบ! เป็นเจ้านั่นล่ะไม่ยอมรับความจริง” หรงอู่คำรามอย่างเหลืออด “ผู้อาวุโสสามถูกขังอยู่ในคุกตั้งแต่ก่อนงานประลองจะเริ่มแล้ว จะเอาเวลาที่ไหนไปทำตัวมีพิรุธให้เจ้าจับได้กัน เจ้าคิดว่าคนในสำนักแพทย์โอสถโง่เง่าขนาดนั้นรึ! โดนหลอกใช้แล้วยังไม่รู้ตัวอีก”“ไม่จริง ก็คนผู้นั้นบอกว่า...” ถงหนิงซีอึกอักอยู่นาน สุดท้ายก็หุบปากไม่กล่าวอันใด“บอกอะไร เจ้าพูดออกมาสักทีสิ” ผู้อาวุโสแปดฟังอยู่นานก็ยังจับคนร้ายไม่ได้ เมื่อเห็นถงหนิงซีมัวแต่อ้ำอึ้งก็ร้อนใจขึ้นมาอีกรอบ“รู้อะไรมั้ย เพื่อพวกเจ้าแล้ว ถงลี่เลือกทรยศสำนักที่เขารับใช้มาหลายสิบปี เพราะพวกเขาเอาชีวิตของคนในครอบครัวมาข่มขู่ น่าเสียดายที่เขาเลือกเจ้านายผิดคน สุดท้ายเมื่อทำงานล้มเหลวถึงได้โดยฆ่าปิดปาก คนใกล้ชิดก็ไม่เหลือทางรอดเช่นเดียวกัน” สวีคุนเอ่ยขึ้นเบาๆ เขา
ภายในคุกใต้ดินของสำนักแพทย์โอสถแฝงไปด้วยบรรยากาศอันน่ากลัว เสียงน้ำหยดจากผนังดังเป็นจังหวะในความเงียบสงัด ร่องรอยความมืดเกือบจะครอบคลุมทุกพื้นที่ มีเพียงเงาของคนกลุ่มหนึ่งที่เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วในเงามืดนั่นคือกลุ่มของหลี่หลิงเฟิ่ง ซึ่งกำลังเดินเข้าไปยังห้องขังที่กักขังผู้อาวุโสสามเอาไว้พวกเขาเดินไปตามทางเดินหินที่แคบและมืด อากาศเยือกเย็นที่ออกมาจากหินในร่องทางเดินทำให้ทั้งกลุ่มรู้สึกหนาวเหน็บอยู่บ้าง แม้แต่ลมหายใจยังคงเป็นไอเย็นกรุ่นออกมาเสียงฝีเท้าของทั้งกลุ่มค่อยๆ ดังขึ้นขณะที่เดินผ่านห้องขังหลายห้อง จนกระทั่งถึงประตูไม้เก่าแก่บานหนึ่ง ประตูนี้มีรอยขีดข่วนและความเสื่อมโทรมของมัน เห็นได้ชัดว่าถูกเปิดและปิดบ่อยครั้งสวีคุนหยุดยืนอยู่ตรงหน้าประตู ก่อนจะหันไปมองหลี่หลิงเฟิ่ง “คนร้ายคงต้องการฆ่าตัดตอนเพื่อปกปิดความจริงกระมัง ทุกครั้งที่พวกเราเข้าใกล้ความจริง มักจะมีเท้าคู่หนึ่งก้าวนำหน้าพวกเราไปก่อนเสมอ ถ้าผู้อาวุโสสามยังมีชีวิตอยู่ เราคงจะรู้คำตอบในไม่ช้า”“พวกเราอยู่ในที่แจ้ง ศัตรูอยู่ในที่มืด เรื่องมันไม่ง่ายดายอย
ท้องฟ้านอกหน้าต่างอาบแสงแดดจางๆ ผสมกับสายหมอกยามเช้าที่ยังปกคลุมยอดเขา ก่อนจะค่อยๆ จางหายไปเมื่อตะวันเริ่มตั้งสูงขึ้น สถานที่เงียบสงัดภายในห้องนอนของเจ้าสำนักมีเพียงสามชีวิตที่กำลังนั่งจิบชาหันหน้าเข้าหากัน อารมณ์ตึงเครียดของแต่ละคนลอยคละคลุ้งไปทั่วห้อง ยกเว้นหลี่หลิงเฟิ่งที่นั่งเอนตัวพิงกับเก้าอี้ดื่มด่ำกับชาชั้นยอดอยู่ในห้วงฝันส่วนตัวความเงียบดำเนินไปหลายชั่วยาม คนในห้องต่างรอคอยศิษย์ในสำนักบางส่วนที่ออกไปทำภารกิจของค่ำคืนที่ผ่านมา เนื่องจากเมื่อคืนนี้มีผู้บุกรุกเข้าไปในเขตหวงห้ามของสำนัก เจ้าสำนักและอาจารย์อาเล็กจับสิ่งผิดสังเกตได้จึงสั่งให้พวกเขาออกไปค้นหาคนร้ายอย่างลับๆเจ้าสำนักที่ตอนนี้กลับมาเป็นชายหนุ่มรูปงามดังเดิมนั่งนิ่ง แผ่นหลังเหยียดตรงทว่ากลับให้ความรู้สึกผ่อนคลาย แฝงความเย็นชา แต่ในใจกลับเต็มไปด้วยความวิตกกังวลเพราะรู้ดีว่ามีผู้ไม่ประสงค์ดีแฝงตัวอยู่ในสำนัก อย่าว่าแต่จับคนร้ายเลย ตัวเขาก็เกือบตายด้วยน้ำมือของคนผู้นั้นด้วยซ้ำต่างจากหรงอู่ที่ภายในใจคิดอย่างไรก็แสดงออกมาทางสีหน้าทั้งหมด หยาดเหงื่อผุดขึ้นเต็มสองขยับ เขายกมือขึ้นปาดมันอ
สวีคุนเริ่มสำรวจภายในห้องโถงอย่างตื่นเต้นโดยมีหลี่หลิงเฟิ่งเดินตามอยู่ด้านหลัง เนื่องจากนางเข้าออกโถงแห่งนี้เป็นประจำ จึงรู้สึกเฉยชาอยู่มาก แต่เมื่อเดินเข้ามายังใจกลางห้อง สีหน้าของนางกลับแปรเปลี่ยนจากปกติโดยสิ้นเชิง หันไปมอบรอบ ๆ อย่างน่าประหลาดใจหลี่หลิงเฟิ่งเริ่มสำรวจอีกรอบ จากที่เคยเป็นโถงไม้ธรรมดา เวลานี้กลับแวววาวระยิบระยับดั่งประสาททอง สะท้อนเข้าสู่ดวงตาจนปวดแสบ“โดยปกติแล้วสำนักของเราก็ไม่ขาดแคลนเงินทอง แต่คิดไม่ถึงเลยว่าผู้ก่อตั้งจะเป็นบุคคลร่ำรวยผู้หนึ่ง ขนาดที่พำนักยังสร้างมาจากทองคำ!” สวีคุนเก็บอาการไม่ไหวอุทานออกมา ท่ามกลางของมีค่ามากมายเรียงรายอยู่ตรงหน้า ทำให้เขาตาลายอย่างช่วยไม่ได้เมื่อมองไปรอบตัวนอกจากจะเห็นทองคำและเพชรนิลจินดาแล้ว บนผนังห้องยังมีรูปภาพของผู้ก่อตั้งแขวนไว้หลายรูป ช่างน่าเหลือเชื่อ หรือคนผู้นี้ชอบชื่นชมรูปโฉมของตัวเอง ท่วงท่าแต่ละภาพออกจะพิสดารอยู่บ้าง แต่ไม่อาจบดบังความงามของนางได้ปัง! ขณะที่ทั้งสองตกอยู่ในภวังค์ความคิด ประตูที่เคยเปิดอยู่กลับปิดกะทันหัน ตัวอักษรสีแดงตัวโตแสดงอยู่บนผนังห้อง‘บทเพลงเพลิงพิรุณลืมเลือนสยบใต้หล้า ’“ที่แท้ก็ไม่ใช่ภาพวา
พระอาทิตย์ลับขอบฟ้าเป็นเวลานานมากแล้ว ภาพยามค่ำคืนควรปรากฏอยู่ในสายตา ทว่าที่แห่งนี้กลับเต็มไปด้วยแสงแดดอ่อนสว่างนวลราวแดดยามเช้า ลมหนาวเย็นยะเยือกถึงกระดูกพัดผ่านตัวนางที่นอนเหยียดแขนขาบนเก้าอี้หวายใต้ต้นท้อเป็นครั้งคราว ด้านข้างของนางเป็นสระหยกเย็นที่อบอวลไปด้วยพลังไอปราณบริสุทธิ์เข้มข้น หากแต่ไอน้ำที่ลอยอยู่เหนือสระเต็มไปด้วยหมอกพิษที่พร้อมคร่าชีวิตของผู้ที่เผลอสูดดมเข้าไปในเสี้ยววินาที หากเหลือบมองไปยังด้านหลังสระจะเห็นว่ายังมีโถงไม้หลังหนึ่งตั้งตระหง่านอยู่ไม่ไกลเดิมทีไม่ควรเรียกว่าโถงด้วยซ้ำ ลักษณะของมันพิเศษอยู่สักหน่อยเพราะมีห้องแยกเรียงกันอยู่สามห้อง คล้ายกับเรือนชั้นเดียวมากกว่า เหมาะกับพักอาศัยอย่างยิ่ง น่าแปลก...ที่แห่งนี้ราวกับอยู่คนละโลก ทิวทัศน์สวยงามเหมือนไม่มีอยู่จริง ใครจะรู้ว่ามันซ่อนอยู่ในพื้นที่สีแดงของสำนักแพทย์โอสถ หลี่หลิงเฟิ่งค้นพบที่นี่โดยบังเอิญหลังจากแอบเข้ามาสำรวจเขตลับด้วยตนเองอยู่หลายครั้งเสียงน้ำกระเพื่อมเบา ๆ ดังลอดเข้ามาในหูขัดขวางความดื่มด่ำกับธรรมชาติของหลี่หลิงเฟิ่ง นางเลิกคิ้วเล็กน้อย ลืมตาขึ้นมาอย่างช้า ๆ หันศีรษะม
พรึ่บ !เปลวเพลิงไม่รู้ที่มาแผดเผาบริเวณโดยรอบโดยที่ทุกคนไม่ทันได้ตั้งตัว แผดเผาทุกสรรพสิ่งที่อยู่เบื้องหน้าให้มอดไหม้“เจ้าฉวยโอกาส” ผู้บุกรุกกัดฟันกรอดด้วยความเคียดแค้น ทว่าเมื่อเทียบกับคนอื่นกลับดูดีกว่ามาก เขาป้องกันการลอบโจมตีของนางครั้งนี้ได้ทัน“ฆ่ากันต้องมีกฎด้วยหรือ ก็แค่เจ้าตาย ข้ารอด” หลี่หลิงเฟิ่งมองไปอย่างเสียดาย นางรึอุตส่าห์เปิดด้วยกระบวนท่าใหญ่ แต่ต้องคว้าน้ำเหลวเสียนี่ แต่ไม่เป็นไร ลองอีกครั้งก็ได้เปิดก่อนได้เปรียบ!“ดูซิว่าเจ้าจะรับมือได้นานแค่ไหน” ไม่รอให้ศัตรูได้ทันหายใจ นางส่งมอบการโจมตีอันหนักหน่วงออกไปให้เขาไม่ขาดสาย ต่อให้รับกระบวนท่าของนางได้ทุกครั้ง แต่ร่างกายคนฝึกยุทธ์ที่ไม่ได้มีระดับสูงมากนักก็มีขีดจำกัดอยู่ดี ซึ่งต่างจากนางที่มีน้ำทิพย์ให้ดื่มฟื้นฟูพละกำลังอยู่ตลอดเวลานางทนได้ แต่คนทั่วไปย่อมแตกต่าง“เหอะ คิดว่าเจ้าทำอย่างนี้แล้วมีความหมายหรือ เป็นข้าที่ประเมินเจ้าสูงเกินไป” เห็นได้ชัดว่าผู้พูดกำลังดูถูก หลี่หลิงเฟิ่งก็ยังไม่สะทกสะท้าน สมควรทำยังไงก็ทำต่อไปผู้บุกรุกขมวดคิ้วเล็กน้อย คล้ายสงสัยถึงบางอย่างที่ผิดปกติ แต่ก็บอกไม่ถูกว่าผิดปกติที่ตรงไหน นิ่งอย
ด้วยความไม่รู้เหนือใต้ออกตก ทุกคนได้ย่างเข้ามาในพื้นที่อันตรายที่สุดในเขตหวงห้ามเสียแล้ว รวมทั้งหลี่หลิงเฟิ่งเองด้วย หญิงสาวพบว่าบรรยากาศโดยรอบเงียบสงัด แม้แต่เสียงใบไม้กระทบกับลมก็ยังไม่มีให้ได้ยิน ราวกับไร้จุดหมาย ดูเหมือนว่านางเพียงแค่เดินเตร็ดเตร่มาหลายเค่อเท่านั้น หากแต่หลี่หลิงเฟิ่งระวังตัวมากขึ้นเนื่องจากพื้นที่ที่เคยมีหมอกหนา ต้นไม้ใบหญ้าเขียวชอุ่ม กลายเป็นพื้นที่แห้งแล้ง ผืนดินแตกแขนง ร้อนระอุจากการแผดเผาของดวงอาทิตย์ ราวกับอยู่คนละโลกกับเมื่อสักครู่โดยสิ้นเชิงทางนั้น!เสียงของถิงถิงดังขึ้นจากในหัวของนาง หลี่หลิงเฟิ่งเดินตามทางที่ถิงถิงบอก สุดท้ายหยุดยืนใต้ต้นไม้ต้นหนึ่งใกล้บึงน้ำขนาดเล็กที่แห้งขอดไปแล้ว น่าแปลกที่ต้นไม้ต้นนี้เป็นเพียงต้นเดียวที่ยังคงแตกกิ่งก้าน อยู่รอดท่ามกลางบรรดาต้นอื่นที่หลือเพียงซากและใบไม้แห้งกรอบราวกับต้นไม้มีชีวิตหรี่ หรี่เสียงปริศนาดังขึ้น ครั้งนี้เสียงของมันชัดเจนกว่าครั้งไหน ๆ ใกล้จนหลี่หลิงเฟิ่งหวาดระแวง ประเดี๋ยวมองซ้าย ประเดี๋ยวมองขวา กลับไม่พบสิ่งผิดปกติ เสียงนั้นยังคงดังต่อเนื่อง จิตสังหารรอบตัวของหลี่หลิงเฟิ่งแผ่ขยายออกอย่างรวดเร็ว แสงสีข
“อะ…อาจารย์อา ขออภัยที่ล่วงเกินเพียงแต่ข้าขอทราบชื่อของท่านได้หรือไม่ขอรับ” โจวอวี๋ถามขึ้นมาอีกครั้ง นางยังเด็กยิ่งนักเป็นไปได้หรือไม่ว่าอาจจะแปลงรูปโฉมให้คงความเยาว์วัยไว้เสมอ บางทีหากได้รู้จักชื่อเสียงเรียงนามของนาง เขาน่าจะรู้จัก คนมีความสามารถระดับนี้ เขาจะพลาดได้อย่างไร“ข้ามีนามว่าหลี่หลิงเฟิ่ง” หญิงสาวตอบเสียงเรียบ ยามนี้นางกำลังเพ่งจิตเข้าไปสำรวจด้านในเขตหวงห้าม จึงไม่ได้สังเกตท่าทางตกใจของคนที่อยู่ในนี้ทั้งหมด ทันทีที่นางพูดจบพลังจิตขอนางจับสิ่งผิดปกติอันใดไม่ได้เลย จนกระทั่งสำรวจเข้าไปในส่วนลึกของเขตหวงห้ามนางถึงค้นพบควันสีดำขุมหนึ่ง หลี่หลิงเฟิ่งเข้าไปใกล้ขึ้นเรื่อย ๆ แต่ว่าเหมือนมีอะไรมาขวางกั้นนางเอาไว้ทำให้ไม่สามารถมองเห็นสิ่งที่อยู่ข้างในได้ ซ้ำร้ายยังถูกผลักออกมาหลี่หลิงเฟิ่งหลุบตาลงครุ่นคิดอยู่คนเดียวเป็นเวลานาน เมื่อนางเงยหน้าขึ้นมาก็พบว่าทุกคนกำลังมองมาที่นางเป็นตาเดียว“ไม่จริงน่า จะเป็นเจ้าไปได้อย่างไร” เหลียนฉู่ฉู่เอ่ยออกมาเป็นคนแรก อย่างไม่เชื่อสายตา“ข้าคาดเดาตั้งแต่แรกแล้วว่าเจ้าคือหลี่หลิงเฟิ่ง คู่หมั้นขององค์ชายรองโม่ เพียงแต่รู้สึกแปลกใจ ทำไมแม่นางหลี่ถึง
เจ้านาย ทางนี้!เสียงนี้อีกแล้ว เรียกหาตั้งแต่นางเดินเข้ามาในอุโมงค์นี้เสียงก็ดังก้องในหูนางไม่ต่ำกว่าห้าครั้ง นางเดินออกมาห่างไกลจากคนในกลุ่มเรื่อย ๆ สมบัติตรงนี้น้อยกว่าที่อื่นมาก ชั้นวางสมบัติเป็นเพียงหินที่ทำเป็นชั้น ๆ เรียงกันขึ้นมาเท่านั้น แตกต่างจากก่อนหน้าที่ทำขึ้นด้วยทองคำและหยก คนเข้าละโมบและลุ่มหลงได้ง่ายหลี่หลิงเฟิ่งหยิบเศษผ้าขาวที่เขรอะไปด้วยฝุ่นที่อยู่ท่ามกลางบรรดาสมบัติชิ้นอื่นขึ้นมา นางพินิจถึงความพิเศษที่ควรจะมี ทว่ากลับเป็นเพียงผ้าธรรมดาเท่านั้น นางตัดสินใจวางลงที่เดิม เพียงแต่มือของนางกลับหนักอึ้งอย่างไม่ทราบสาเหตุ เมื่อนางหยิบขึ้นมาอีกรอบความรู้สึกหนักอึ้งที่มือกลับหายไปฟุบ!“อ๊ะ” ลมที่ไม่รู้มาจากที่ใดปะทะเข้ากับหน้าของนางอย่างจัง เศษผ้าปลิวมาติดที่ตาทั้งสองข้างปิดกั้นการมองเห็นไปชั่วขณะ จากนั้นก็ผสานเข้ากับนางเป็นหนึ่งเดียว หลี่หลิงเฟิ่งตกใจไม่น้อยเมื่อรู้สึกตัว แค่เพียงแวบเดียวเท่านั้น ผ้าผืนนั้นก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย นางมองซ้ายขวาอย่างร้อนรนอยู่บ้าง นางรีบปรับตัวให้เป็นปกติ ด้วยกลัวคนทั้งหมดในนี้จะเห็นการกระทำอันแปลกประหลาดนี้ของนางหญิงสาวลองทดสอบพลังยุทธ์และ