พลังเช่นนี้...ความรู้สึกกดดันเช่นนี้...ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหลอมรวม ซ้ำยังสูงกว่าเขาอีกหนึ่งขั้น เมื่อครู่ผู้ลอบเล่นงานเขาไม่ใช่สองพี่น้องคู่นั้้น เป็นชายชราผู้นี้แน่นอน เป็นเขาที่กดข่มพลังคนทั้งหมดไว้ เป็นเขาที่บังคับให้ข้าคุกเข่า...
หลี่เชาสูดหายใจลึก รู้สึกได้ถึงความตายที่กำลังมาเยือนถึงหน้าประตู
“ท่าน...ท่านกับข้า...พวกเราไม่เคยมีเรื่องบาดหมางกันมาก่อน เหตุใดจึงตั้งตนเป็นปรปักษ์ ลอบทำร้ายกันเล่า” ความเงียบปกคลุมทั่วบริเวณ ไม่มีเสียงตอบรับเล็ดลอดออกมา มีเพียงเสียงดังอั่กทีหนึ่ง เลือดสีแดงสดพุ่งกระฉูดเลอะพื้นกระเด็นมาจนถึงจุดที่หลี่หลิงเฟิ่งยืนอยู่
พลั่ก พลั่ก พลั่ก
ท่ามกลางการชะงักค้างของทุกคน พลังสีแดงพุ่งไปรอบด้านไม่ขาดสาย เหล่าผู้คุ้มกันเหมือนเป็นง่อยเปลี้ยไร้เรี่ยวแรงตอบโต้ ได้แต่นอนโอดโอยบนพื้นโถงรับรองอันเย็นเฉียบ เพลิงพิโรธของหูซานยังคงไม่มอดดับลงง่ายๆ หันไปเล่นงานหลี่เชาที่นอนพะงาบๆ อยู่บนพื้นไร้เสียงตอบโต้
“ช้าก่อน” หลี่หลิงเฟิ่งรีบร้องปรามเมื่อเห็นท่าไม่ดี
“ท่านจะฆ่าใครข้าไม่สน แต่อย่าให้คนพวกนี้มาตายในบ้านของข้าเป็นอันขาด” หลูหมิ่นซึ่งเวลานี้ปากชาไปหมดเพิ่งได้สติคืนมา มองทั้งสองด้วยสายตาเบิกโพลง เขาพลันรู้สึกดีใจขึ้นมาที่แค่โดนสาวใช้ของสตรีอำมหิตผู้นี้ตบหน้า หาไม่แล้ว เขาคงตายไปไม่รู้กี่ร้อยรอบ
หูซานยังคงทำหูทวนลม ไม่ได้ยินวาจาของหลี่หลิงเฟิ่ง ปล่อยพลังหลายสายออกมาอย่างต่อเนื่อง ผู้คุ้มกันสองสามคนที่ทนแรงปะทะไม่ไหว นอกจากไม่อาจส่งเสียงขอความเมตตาใดๆ ได้แล้ว ตาสองข้างยังไม่สามารถลืมขึ้นมาได้อีก เสียงดังอั่กเบาๆ เสียงหนึ่งดังขึ้น ก่อนจะคอพับไร้ลมหายใจ
ช่วงสายวันที่แดดจ้า ท้องฟ้าเปิด บ่งบอกถึงวันที่สดใสวันหนึ่ง ในเรือนซอมซ่อแห่งนี้กลับเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดขัดกับบรรยากาศภายนอกโดยสิ้นเชิง
คนที่เหลือมองหูซานอย่างหวาดผวา ราวกับภูตผีปีศาจเยื้องย่างขึ้นมาบนโลกหมายเอาชีวิตของพวกเขา หลี่เชาตาเหลือกด้วยความหวาดกลัวสุดขีด หลงระเริงคิดไปว่าไม่มีใครกล้าทำร้ายเขา ด้วยอิทธิพลของตระกูลต่อให้ใช้อำนาจบาตรใหญ่แค่ไหน คนทั้งหลายในเมืองนี้ต้องกริ่งเกรงอำนาจของเขาอย่างแน่นอน
แต่บุรุษผู้นี้เป็นใคร ถึงกับกล้าลงมือทำร้ายนายท่านสามแห่งตระกูลหลี่อย่างโจ่งแจ้ง ไม่รู้ไปกินใจหมีดีเสืออะไรเข้า ถึงกับไม่รักตัวกลัวตายเยี่ยงนี้
“ยอดฝีมือท่านนี้ โปรดละเว้นพวกข้าเถิด ท่านอาจจะไม่รู้ว่าพวกเราเป็นคนของจวนเจ้าเมืองตระกูลหลี่ซึ่งปกครองพื้นที่แถบนี้ทั้งหมด วันนี้พวกข้าเพียงมารับคุณชายใหญ่และคุณหนูห้ากลับจวนเท่านั้น หากท่านหยุดมือลงตอนนี้ พวกข้าจะไม่ถือสาหาความอันใดกับท่าน”
เพียะ!
“ใครอนุญาตให้เจ้าพูด” พลังขุมหนึ่งจากหูซานกระทบเข้าที่หน้าหลูหมิ่นอย่างแรง ไม่อาจประเมินความเจ็บปวดได้เลยว่า ระหว่างแรงตบจากพลังยุทธ์และฝ่ามือธรรมดา อันไหนจะเจ็บปวดกว่ากัน
“ตระกูลหลี่ ฮึ” หูซานแค่นเสียงหัวเราะหยัน “ข้าต้องเกรงกลัวด้วยรึ ต่อให้ฮ่องเต้มาเอง ก็ไม่อาจช่วยพวกเจ้าได้”
เพียะ!
“ข้ารังแกพวกเจ้า แล้วจะทำไม” เสียงตบดังขึ้นอีกฉาด หลูหมิ่นร่ำร้องอยู่ในใจ ชายแก่คนนี้เสียสติไปแล้วเป็นแน่ ถึงขนาดได้ยินชื่อตระกูลหลี่ยังไม่เกรงกลัวสักนิด
“ดี!” หวังซีที่ไม่รู้ว่าปรากฏตัวยืนอยู่ข้างหลี่หลิงเฟิ่งตั้งแต่เมื่อไหร่ โพล่งออกมาอย่างได้ใจ คนของสำนักแพทย์โอสถ ไม่จำเป็นต้องก้มหัวให้ใคร ไม่เคยหวั่นเกรงอำนาจใด ฆ่าพวกเขาให้ตายเสียยังดีกว่าต้องลดศักดิ์ศรีลงมานอบน้อมต่อผู้อื่น
“ท่านหมอหู ได้โปรดหยุดมือ” หลี่่หลิงเฟิ่งที่ตอนแรกชมเรื่องสนุกอยู่นอกวง ร้อนรนขึ้นมาจริงๆ แล้ว เฒ่าทารกไม่ฟังคำของนางเลย
“ศิษย์พี่” หูซานที่หงุดหงิดเป็นทุนเดิม ไม่เพียงไม่หยุดมือ ซ้ำยังลงมือดุดันมากขึ้นไปอีก เขาโมโหคนพวกนี้ที่กล้าดูถูกหลี่หลิงเฟิ่ง ดูถูกนางก็เหมือนดูถูกสำนักแพทย์โอสถ
แต่ที่ทำให้เขาไม่พอใจยิ่งกว่าคือสตรีดื้อด้านนางนั้นเอาแต่เรียกเขาว่าท่านหมอบ้างล่ะ ผู้อาวุโสบ้างล่ะ หรือแม้กระทั่งชื่อนางก็เรียกมาแล้ว ทว่า ไม่เคยเรียกศิษย์พี่เลยสักครั้ง
“หูซาน ท่านหยุดเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นเขาได้ตายจริงๆ แน่” หญิงสาวปวดหัวหนัก ไม่คิดว่าเรื่องจะบานปลายถึงเพียงนี้ นางเพียงต้องการสั่งสอนคนพวกนั้นนิดหน่อยจึงไม่ห้ามปรามการละเล่นของชายชรา แต่ไม่ได้หมายความว่านางอยากจะให้คนนี้พวกนี้ตายตอนนี้สักหน่อย
สมองของนางยังใช้การได้ดี จะนำเรื่องเดือดร้อนมาสู่ตัวทำไม
“ศิษย์พี่” เสียงไม่สบอารมณ์ดังขึ้นอีกครั้ง
“อันใด?” หลี่หลิงเฟิ่งงุนงงเหมือนว่าพวกนางจะสื่อสารกันคนละเรื่องหรือไม่
“เรียกข้าว่าศิษย์พี่ แล้วข้าจะหยุด”
หลี่หลิงเฟิ่งกลอกตามองฟ้า ตาแก่น่าตายผู้นี้ยังจะมาทำตัวเป็นเด็กๆ ในเวลาเช่นนี้ได้ หญิงสาวไม่รู้จะสรรหาคำใดมาบรรยายได้อีกแล้ว “ศิษย์พี่ หยุดมือเถิด เกิดเขาตายขึ้นมา คนที่เดือดจะเป็นข้านะ ท่านทำใจทำร้ายข้าได้ลงหรือ”
น้ำเสียงออดอ้อนดังขึ้นข้างหูหวังซี ร้อยยิ้มแข็งค้างราวคนพิกลพิการติดบนริมฝีปาก มองหลี่หลิงเฟิ่งเปลี่ยนจากสีหน้าร้อนรนเป็นเอาอกเอาใจภายในพริบตา วันนี้เขาได้เรียนรู้ อาจารย์อานอกจากจะเป็นอัจฉริยะด้านโอสถ ยังเป็นอัจริยะด้านอารมณ์อีกด้วย นางสามารถยืดได้หดได้ดังใจสั่ง นี่แหละหนาความแตกต่างระหว่างชายหญิง
“เฮอะ ถือว่าวันนี้พวกเจ้าโชคดี” หูซานมองดูผลงานตนเองอย่างพึงพอใจรอบหนึ่ง ก่อนหิ้วปีกหลี่เชามาหาหลี่หลิงเฟิ่งด้วยท่าทางระริกระรี้
“เป็นอย่างไร เห็นความเก่งกาจของศิษย์พี่หรือยัง” โยนร่างของหลี่เชาไปไว้ข้างๆ หลูหมิ่นที่ยังคงคุกเข่าอยู่ จากนั้นหัวเราะร่ากล่าวด้วยน้ำเสียงยินดีปรีดา
หวังซีหลับตาลงอย่างอับอาย ทำเพื่อศักดิ์ศรีอันใดกัน อาจารย์ของเขาเพียงแค่ต้องการโชว์ศักยภาพให้คุณหนูห้าได้ชมก็เท่านั้น
เมื่อกี้คุณหนูห้าเรียกชายชราผู้นี้ว่าอะไรนะ ศิษย์พี่? นางถึงกับมีสหายเป็นยอดฝีมือ แถมฐานะของนางในใจท่านผู้นั้นไม่ใช่แค่ผิวเผินอีกด้วย หลูหมิ่นมองร่างไร้สติของหลี่เชาถึงกับกลืนน้ำลายอึกใหญ่
หลี่หลิงเฟิ่งนิ่งค้างเป็นนาน นี่ใช่อาการเห่อของใหม่หรือไม่
หญิงสาวไม่สนใจเสวนากับหูซาน นั่งลงบนเก้าอี้ดังเดิม พร้อมกันนั้นยังแอบตรวจสอบชีพจรหลี่เชาไปด้วย รอยยิ้มน้อยๆ ที่เพิ่งประดับบนใบหน้างดงามพลันแข็งเกร็ง อดชื่นชมความแข็งแกร่งของชายชราไม่ได้ อย่าเห็นว่าเป็นเพียงผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหลวมรวมเพียงอย่างเดียว แต่เขามีขุมสมบัติที่ผู้อื่นไม่มี นั่นคือยาลูกกลอนผสานกาย รวมไปถึงยาสมุนไพรและยาลูกกลอนอื่นๆ ที่เพิ่มความแข็งแกร่งของร่างกายไว้ในครอบครอง เพียงเท่านี้ก็ทำให้เขาเหนือกว่าผู้ฝึกยุทธ์ขั้นเดียวกันเพียงเล็กน้อยแล้ว
หากกล่าวว่าเพียงเล็กน้อยไม่มีผลอันใดมากนัก คงเป็นความคิดที่ผิดมหันต์ ห่างชั้นยังไงก็ยังห่างชั้น เพียงเล็กน้อยก็ห่างไปไกลอักโข
เห็นว่าหูซานไม่คิดจะทำร้ายหลี่เชาถึงตายจริงๆ ใจที่ค้างเติ่งบนหอคอยจึงสงบลงได้ มองหลู่หมิ่นด้วยใบหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “ฮูหยินใหญ่ให้พวกเจ้ามาพบพวกข้า มีเรื่องอันใดจะแจ้งหรือ”
“คุณหนูห้า เดิมทีพวกเราแค่ต้องการมารับท่านและคุณชายใหญ่กลับจวนก็เท่านั้น ไม่คิดเลยว่าท่านจะไร้ไมตรี รังแกพวกข้าไม่เท่าไหร่ แต่ท่านยังกล้าทำร้ายนายท่านสาม” พูดมาถึงตรงนี้ก็หุบปากฉับลงทันใด ค่อยๆ เหลือบมองหูซานอย่างระแวดระวัง เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้สนใจตนจึงหลับตากล่าวต่อไป “รังแกพวกข้านั้นเป็นเรื่องเล็ก แต่เป็นเหตุให้นายท่านสามของตระกูลบาดเจ็บ เกรงว่าต่อให้คุณชายใหญ่ออกหน้าปกป้องคุณหนู ก็ไม่อาจหนีความผิดพ้น”
“โอ๋ว” หลี่หลิงเฟิ่งพิจารณาท่าทีหลูหมิ่น สมแล้วที่อยู่ในจวนตระกูลหลี่มานาน รู้จักเอาตัวรอดในสถานการณ์เป็นตายได้อย่างดี เปลี่ยนข้างโดยที่ไม่ต้องคิดให้เหนื่อย คนแบบนี้ไม่สมควรเก็บไว้ข้างกายก็จริง แต่ยังใช้ทำงานได้
“ต้องโทษที่ท่านอาสามไปยั่วโมโหท่านเทพองค์นี้เข้า ถูกตบหน้าทีสองทีก็นับว่าสมควรแล้ว เจ้าว่าถูกต้องหรือไม่” หลูหมิ่นเหงื่อตก มือสองข้างกำเข้าหากัน “สมควรแล้ว สมควรแล้วขอรับ”
คุณหนูห้าผู้นี้ห่างหายหน้าไปเพียงไม่กี่ปี ทำไมจึงเปลี่ยนเป็นคนละคนเช่นนี้ หรือฟ้ากำลังเปลี่ยนทิศ นัยน์ตาของชายหนุ่มร่างท้วมหนักแน่นจริงจังราวกับติดสินใจครั้งสำคัญในชีวิต
“หากข้าจำไม่ผิด พิธีปักปิ่นจะจัดขึ้นอีกหนึ่งเดือนไม่ใช่หรือ ต่อให้ข้าเดินทางช้าเพียงไรก็คงไม่เกินสิบวัน ยังต้องลำบากพวกเจ้ามารับด้วยตนเองทำไม” น้ำเสียบกระจ่างใสเนิบนาบเพราะเสนาะหู ทว่า เปรียบเสมือนสายฟ้าฟาดลงกลางหลังหลูหมิ่นเข้าอย่างจัง
“เรื่องนี้...” เมื่อเผชิญกับสายตาสี่คู่จดจ้อง เนื้อตัวพลันสั่นสะท้าน สีหน้าเผยแววลำบากใจปนซีดขาว
“เจ้ามีโอกาสเพียงครั้งเดียว” หลี่หลิงเฟิ่งสามารถยิ้มรับกับทุกสถานาการณ์ได้ แต่ไม่ใช่กับคนที่เปิดเผยตรงไปตรงมาอย่างหูซาน เขาเกลียดที่สุดคือคนที่ชอบเก็บงำความคิด อ้ำๆ อึ้งๆ ไม่ยอมพูดออกมา
แผ่นหลังหลูหมิ่นเหยียดตรงโดยไม่รู้ตัว “ฮูหยินใหญ่ทราบข่าวว่าคุณชายใหญ่บาดเจ็บสาหัสจากการลอบทำร้าย จึงร้อนใจยิ่งนัก นายท่านสามจึงขานตัวอาสามารับพวกท่านทั้งสองกลับจวนด้วยตนเองขอรับ”
มารับหรือมาคุมตัวกันแน่ ดีไม่ดี เกิดนางโชคร้ายหน่อย มีดไร้ตาอาจเชือดคอนางได้ทุกเมื่อ
“ดูท่าข่าวสารของฮูหยินใหญ่จะไม่ธรรมดา” นอกจากพวกนางและคนร้ายที่รู้เรื่องนี้ ก็มีแต่คนอยู่เบื้องหลังเท่านั้น ดวงตาหลี่หลิงเฟิ่งฉายแววอันตราย ยังมีใครอีกหรือไม่ เรื่องนี้นางจะทำอย่างโจ่งแจ้งไม่ได้เสียแล้ว
หลี่หลิงเฟิ่งไม่กลัวจับผิดคน แต่นางกลัวจับไม่หมดต่างหาก นางจะทนให้คนที่ทำร้ายพวกนางหนีรอดไปได้อย่างไร
เมื่อขบคิดจนกระจ่าง หลี่หลิงเฟิ่งไม่คิดคาดคั้นหลูหมิ่นอีกต่อไป “เอาล่ะ กลับไปบอกฮูหยินใหญ่ว่าพวกข้ากลับไปทันวันงานแน่นอน อีกอย่างมีคนของพี่ใหญ่และสองคนนี้อยู่ ไม่ต้องห่วงว่าระหว่างทางจะเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น ข้าจะกลับไปครบสามสิบสองแน่นอน ฮูหยินใหญ่โปรดวางใจ”
หลูหมิ่นมองสีหน้าดูถูกดูแคลนพวกเขาก็ได้แต่ก้มหน้างุด นางมียอดฝีมือเก่งกาจคอยคุ้มกัน ยังจะต้องการพวกเขาอีกหรือ พวกเขานับเป็นตัวอะไรได้
“อ้อ ข้าเกือบลืมไป” นิ้วเรียวยาวชี้ไปยังร่างที่นอนหายใจรวยรินด้านข้างเขา “พึงรู้ไว้ว่าอะไรควรพูดไม่ควรพูด” พูดเพียงเท่านี้หลี่หลิงเฟิ่งก็ชักมือกลับอย่างช้าๆ มองหลูหมิ่นยิ้มๆ
หลูหมิ่นครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก่อนยิ้มตอบ “คุณหนูโปรดวางใจ วันนี้มีโจรปล้นหมู่บ้านแถบนี้ นายท่านสามมีคุณธรรมเห็นดังนั้นจึงอดไม่ได้ที่จะยื่นมือเข้าช่วยเหลือ จึงทำให้บาดเจ็บสาหัส ต้องรีบนำตัวกลับไปรักษาโดยด่วนขอรับ” นอกจากสามารถประจบเอาใจคุณหนูห้าได้แล้ว ยังรักษาชีวิตน้อยๆ ของเขาให้อยู่รอดปลอดภัยอีกนาน
ได้ยินดังนั้น หลี่หลิงเฟิ่งหัวเราะร่าอย่างอดกลั้นไม่อยู่ หลูหมิ่นผู้นี้สมควรไปเป็นนักแสดงในโรงละคร ขนาดปั้นน้ำเป็นตัวสีหน้ายังไม่เปลี่ยนสักนิด
คนอย่างหลี่เชาน่ะรึ มีคุณธรรม เหยียบย่ำคนอ่อนแอกว่าน่ะสิไม่ว่า
“เจ้ากล้ากลับดำเป็นขาวเช่นนี้ คน...” วี้ดๆ ขณะที่หลี่หลิงเฟิ่งพูดอยู่นั้น บนท้องฟ้ามีเหยี่ยวตัวหนึ่งโฉบลงมาเกาะหน้าประตูรั้ว หลูหมิ่นหันกลับไปมองด้านนอกพบกับเหยี่ยวส่งสารประจำตระกูล ใบหน้าฉายแววฉงน หากแต่ยกมือทั้งสองข้างประกบเข้าหากัน ไม่นานพลันเกิดเสียงดังขึ้นสองครั้ง เหยี่ยวที่เกาะอยู่บนรั้วบินตรงเข้ามาบริเวณหน้าประตูแทน
“คุณหนูขอรับ มันเป็นเหยี่ยวส่งข่าวของตระกูล เกรงว่ามีเรื่องเร่งด่วนต้องรายงานขอรับ” หลี่หลิงเฟิ่งมองเหยี่ยวที่ยังบินวนเวียนอยู่หน้าประตู ขาข้างหนึ่งมีม้วนกระดาษเล็กๆ ติดอยู่จริงๆ นางพยักหน้าให้หลูหมิ่นเป็นเชิงอนุญาต
เมื่อชายร่างท้วมเปิดอ่านข้อความในกระดาษใบหน้าพลันมืดครึ้ม มองหลี่หลิงเฟิ่งเป็นเวลานาน สุดท้ายส่งกระดาษให้หญิงสาวโดยไม่มีท่าทีอิดออด
‘เปลี่ยนแผน คุ้มกันคน เดินทางกลับโดยเร็วที่สุด’
“ใช่ว่ามีเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงหรือไม่” หูซานที่ชะโงกอ่านข้อความบนกระดาษในมือหลี่หลิงเฟิ่ง ถามออกมาอย่างเคลือบแคลง หรือจะเป็นแผนคนพวกนั้น
หลี่หลิงเฟิ่งส่ายหน้า มองหลูหมิ่นราวกับต้องการคำตอบ มีเพียงสายตางงงวยส่งกลับมา คิ้วเรียวยาวขมวดมุ่น ดูท่าจะไม่ได้อยู่ในแผนการเดิมของคนพวกนั้น
“นำไปให้พี่ใหญ่” หลังจากยื่นกระดาษในมือส่งให้เสี่ยวเซียงแล้ว หญิงสาวหมุนตัวออกจากเรือนพร้อมทั้งกำชับหลูหมิ่นเป็นครั้งสุดท้าย “เรื่องในวันนี้รวมถึงอาการบาดเจ็บของพี่ใหญ่ ข้าหวังว่าเจ้าจะปิดมันเป็นความลับ หาไม่แล้ว...” มือขวาของนางยกขึ้นปาดคอตนเอง รังสีอำมหิตแผ่ออกไปโดยรอบ
“ไปกันเถอะศิษย์พี่”
เนื่องจากในวังมีการเลื่อนวันเข้าเฝ้า จากกำหนดเดิมคือสิบห้าวันหลังเสร็จพิธีปักปิ่นของนาง ไม่รู้เพราะเหตุอันใดจึงร่นระยะเวลาให้เหลือเพียงสามวันเป็นเหตุให้พวกนางต้องเร่งกลับบ้านทันทีเพื่อเข้าร่วมงานปักปิ่นที่จะจัดขึ้นก่อนกำหนดสิบห้าวัน หากว่ากันตามจริงแล้ว ถ้านางไม่ได้รับความสำคัญในครั้งนี้ขึ้นมา หลี่หลิงเฟิ่งไม่ถูกจัดให้เข้าร่วมและเป็นหนึ่งในตัวเอกของงานแน่นอน ไม่รู้ว่าตอนนี้คนพวกนั้นจะเคียดแค้นใจมากแค่ไหนที่ต้องแบ่งพื้นที่ในจวนแก่น้องห้าอย่างนางได้ใช้สอย“พร้อมหรือยัง”“เจ้าค่ะ”หลี่เฟยหยางลูบหัวนาง “ไม่มีอะไรน่ากลัวหรอก” หลี่หลิงเฟิ่งยิ้มรับ ผงกศีรษะน้อยๆ ก่อนก้าวขึ้นไปนั่งในรถม้าที่จัดเตรียมไว้ใครบอกว่านางกลัวกัน นางเฝ้ารอให้วันนี้มาถึงที่สุดต่างหากด้านนอกมีหลี่เฟยหยางกับหวังซีควบม้าขนาบข้างซ้ายขวา เสี่ยวเฉินคอยกุมบังเหียนขับเคลื่อนรถม้า ส่วนนางผู้ที่สบายสุด กึ่งนั่งกึ่งนอนเอกเขนกอยู่ในรถม้า ฟังเรื่องเล่าขบขันจากสาวใช้ตัวน้อยของคนในเมืองหลี่ไปพลาง มือหยิบขนมที่เสี่ยวเซียงเตรียมไว้เข้าปากไปพลาง ส่วนหูซานกับหวังข่ายนั้นจะติดตามมาทีหลัง จำต้องจัดการลู่ทางโรงหมอที่นั่นสักพักใหญ่ขาดก็
หลี่หลิงเฟิ่งคิดไม่ถึงว่าแค่กลับบ้านจะมีคนมารอรุมทุบตีมากมายขนาดนี้ ยังไม่รวมถึงบ่าวไพร่ที่คุกเข่าอยู่ด้านหลัง และที่แอบอยู่ตามทางเดิน พุ่มไม้ บนเรือนอีกนับสิบยี่สิบคน บรรยากาศคึกคักยิ่งไม่เจอกันไม่กี่ปีคนเหล่านี้ยังคิดว่านางเป็นลูกพลับนิ่มให้ขยำเล่นตามใจชอบเหมือนเมื่อก่อนอยู่อีกสินะ เมื่อมีคนอยากลอง นางจะไม่สนองคืนคงผิดต่อความตั้งใจของคนเบื้องหน้าแล้วนางอยากรู้นักใครจะเข้ามาคนแรกหลายวันที่ผ่านมา หลี่หรูอี้นอนกระสับกระส่ายทุกคืน ใช้ชีวิตอย่างตื่นเต้นวาดหวังรอคอยวันที่หลี่หลิงเฟิ่งกลับมาตั้งแต่เล็กหลี่หลิงเฟิ่งแย่งความงามเป็นเอกกับนางมาตลอด หลี่หรูอี้ไม่อยากยอมรับความจริง เพราะเชื้อโสเภณีชั้นต่ำมันแรงเกินไป ใบหน้างดงามไร้ที่ติจึงประดับอยู่บนหน้านังตัวไร้ค่าทุกเมื่อเชื่อวันผู้คนต่างยกย่องนางเป็นหญิงงามอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลี่ แต่หากคนพวกนั้นได้เห็นความงามของนังตัวขยะนี่ อันดับหนึ่งยังจะมาถึงนางอีกหรือที่นางเกลียดที่สุดคือใบหน้านั้น!ไปอยู่บ้านนอกมาสามปี หลี่หรูอี้คิดไม่ออกเลยว่าผิวพรรณเมื่อโดนแดดจะหยาบกร้านแค่ไหน ผมแห้งไร้น้ำหนักกระเซอะกระเซิง สีผิวหมองคล้ำ อดอยากจนร่างผอมเหมือนกร
เช้าวันนี้เมืองหลี่ครึกครื้นเป็นพิเศษ โรงเตี๊ยมแน่นขนัดไม่มีที่ว่างแม้แต่น้อย บรรดาชนชั้นสูงจากหลายมุมเมืองต่างเดินทางมาร่วมแสดงความยินดีกับคุณหนูทั้งสองของตระกูลหลี่โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลี่หรูอี้ คุณหนูสี่ผู้กำเนิดจากภรรยาเอกของท่านเจ้าเมือง สำหรับหลี่หลิงเฟิ่งพวกเขามีความรู้สึกอันหลากหลาย หลายเดือนก่อนเก้าในสิบส่วนของครอบครัวผู้เข้าร่วมงานเคยยื่นฎีกาเรียกร้องถอดถอนตำแหน่งคู่หมั้น มาวันนี้กลับต้องนำของขวัญมาร่วมแสดงความยินดี บรรยากาศภายในจวนจึงเต็มไปด้วยความแปลกประหลาดในตระกูลใหญ่พิธีปักปิ่นหรือพิธีแสดงความเป็นผู้ใหญ่จัดขึ้นทุกปี เมื่อบุตรีในบ้านอายุครบสิบห้าปีบริบูรณ์ ดังนั้นงานเลี้ยงสกุลหลี่สำหรับแขกเหรื่อที่มาเยือนจึงเป็นเรื่องที่คุ้นเคยกันอยู่แล้ว ไม่ว่าจะมีความสัมพันธ์อันดีกันหรือไม่ ของขวัญที่ควรมอบยังคงต้องมอบออกไป หากบ้านไหนมีความสัมพันธ์อันดีหรือต้องการผูกมิตรกับตระกูลหลี่จะเดินทางมาแสดงความยินดีด้วยตนเอง จากจำนวนที่เข้าร่วมในวันนี้ รากฐานตระกูลหลี่นับว่าไม่ธรรมดา หยั่งรากลึกไม่รู้กี่รุ่นต่อกี่รุ่นไม่เพียงบ่งบอกว่าสตรีสามารถออกเรือนได้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ยังแสดงถึงการผูกพ
โลหิตสดๆ ไหลออกมาจากไหล่ซ้ายของสตรีชุดแดง รอยกรีดลึกเป็นทางยาวประมาณเจ็ดชุ่น* หลี่หลิงเฟิ่งหน้าตาบิดเบี้ยวข่มความเจ็บปวด รับพลังโจมตีทั้งหมดผ่านมือขวา ลำตัวถอยร่นจนสุดขอบเรือน สมกับเป็นสัตว์อสูรหายาก พละกำลังของมันแข็งแกร่งเทียบเท่ากับผู้ฝึกยุทธ์ขั้นกำเนิดใหม่ระดับสูงหลูหวั่นชิง ลืมตาขึ้น มองหลี่หลิงเฟิ่งที่ยืนสู้กับหมูป่าหางทองอย่างตะลึงงัน ลืมความเจ็บปวดจากการโดนพลังยุทธ์ที่กันนางออกมานอนกองอยู่บนพื้น นางหมายจะเข้าไปช่วยหลี่หลิงเฟิ่ง ใครเลยจะคิดว่า...“นาง...นางเป็นพลังยุทธ์” นี่...คำเล่าลือหลายสิบปีเป็นเรื่องหลอกลวงหรือ นางหาใช่ตัวไร้ค่า แต่เป็นผู้มากด้วยพรสวรรค์ต่างหาก!เสียงเซ็งแซ่ดังกระหึ่มทั่วห้องโถง ในที่นี้ไม่มีใครใจคอสงบสักคน เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นเหนือความคาดหมายเกินไปแล้วหมูป่าหางทองคำรามดังขึ้น เจ้าพวกมนุษย์น่าตาย กล้าลอบกัดข้า กระแสไฟฟ้าปลายหางแผ่ลามทั่วทิศ ทั่วทั้งห้องโกลาหลหนีตายกันถ้วนหน้า ห้องโถงที่เคยวิจิตรงดงามพังลงไม่เหลือซาก เสาหลักยึดโครงหลังคาหักลงทีละต้น เวลานี้บริเวณใกล้หลี่หลิงเฟิ่งเหลือเพียงแม่ลูกตระกูลหลู และหลี่เหวินเหยาเท่านั้น ส่วนสองแม่ลูกตัวต้นเรื
เสียงตึงตังบริเวณทางเดินชั้นสองดังสนั่นไปถึงชั้นล่าง จะโทษก็โทษที่หอแพทย์โอสถแห่งนี้วัสดุทำขึ้นจากไม้ บุรุษทั้งสามวิ่งมาหยุดยืนอยู่หน้าประตูบานหนึ่ง หายใจหอบถี่ หวังซีจัดเครื่องแต่งกาย ผมเผ้า และปรับสีหน้าให้สงบนิ่งเหมือนยามปกติ เคาะประตูสองครั้งจากนั้นค่อยๆ ผลักเข้าไปเหยาจี้เห็นท่าทางของหวังซีพลันยิ้มกรุ้มกริ่ม เดินตามหลังเข้าไป มีเพียงถงลี่ยืนเฝ้าสถานการณ์อยู่ด้านนอก ช่างใจจะเข้าไปดีหรือไม่ หลังจากความคิดตีกันในหัวอยู่นาน สุดท้ายตัดสินใจเดินคอตกเข้าไป“ผู้อาวุโสหวัง” เมื่อเห็นชายทั้งสามเดินเข้ามา หนึ่งในนั้นยังมีชายหนุ่มที่ต้องการอยากพบจึงส่งเสียงกระเช้าเย้าแหย่ไปให้ หัวเราะเบาๆ อย่างคนอารมณ์ดีเมื่อได้ยินเสียงหลี่หลิงเฟิ่ง เขาถึงกับขนลุกซู่ มุมปากหวังซีกระตุกครั้งหนึ่ง ยกยิ้มพิลึกพิลั่น พลางเดินเข้าไปหาทั้งสองคนที่นั่งอยู่กลางห้อง“คารวะผู้อาวุโสหวัง” หลี่เจี้ยนลุกขึ้นยืนคำนับ ใคร่นึกสงสัยถึงความสัมพันธ์ของทั้งสองคน ดวงตาคมมองสลับระหว่างหวังซีและหลี่หลิงเฟิ่งไปมาหวังซีพยักหน้าน้อยๆ ตอบกลับหลี่เจี้ยน ทว่า ตัวกลับคำนับหลี่หลิงเฟิ่งแทน ทำเอาทุกคนภายในห้องงุนงงกันถ้วนหน้า “แม่นางหลี่
กว่าจะออกจากหอแพทย์โอสถก็ล่วงเลยเข้ายามซวี* ด้านนอกมืดสนิท หลี่หลิงเฟิ่งอ่อนเพลียจนผลอยหลับในรถม้าตลอดทาง ตอนแรกหวังซีเสนอให้นางพักอยู่ที่หอแพทย์เพื่อดูอาการสักหนึ่งคืน รุ่งสางค่อยกลับไปพักฟื้นที่จวนทว่า คนร้ายยังคงแฝงตัวอยู่ในหอแพทย์โอสถ ทำให้หลี่เจี้ยนปฏิเสธเสียงแข็ง เป็นตายอย่างไรก็ไม่ยอม หลี่หลิงเฟิ่งเองก็อยากกลับจวนเช่นเดียวกัน จึงได้ปฏิเสธออกไป ก่อนจากมายังได้กำชับหวังซีส่งสมุนไพรบางส่วนสำหรับหลอมยาลูกกลอนมาให้นางจำนวนหนึ่งเวลาสามปีแห่งการเก็บตัวของนางผ่านพ้นไปแล้ว ยอดฝีมือแข็งแกร่งมีมากเหลือเกิน หากนางไม่เร่งฝึกพลังยุทธ์ เพิ่มความแข็งแกร่ง ไม่นานนางคงเพลี่ยงพล้ำเข้าสักวัน ไม่เพียงปกป้องคนรอบข้างไม่ได้ ยังไม่มีแม้แต่กำลังจะป้องกันตนเองให้อยู่รอดปลอดภัยเสียด้วยซ้ำเมื่อกลับถึงจวนยังไม่วายถูกหลี่เจี้ยนซักถามเรื่องราวความเป็นมาระหว่างศิษย์พี่ศิษย์น้องของนางกับหูซาน จวบจนเห็นว่าดึกมากแล้วหลี่เจี้ยนจึงยอมล่าถอยกลับไป กว่าหลี่หลิงเฟิ่งจะทำกิจธุระเตรียมตัวเข้านอนเสร็จก็ปาเข้าไปเกือบยามจื่อ*หลี่หลิงเฟิ่งถอนหายใจเบาๆ กล่าวกับเสี่ยวเซียงที่กำลังจัดที่นอนให้นาง“เรื่องนั้นคืบหน้าไปถึงไห
หลี่เจี้ยนชะงักงัน น้องเล็กดีใจที่ได้เจอเขาหรือ ความน้อยใจที่สั่งสมมาตลอดหลายวันพลันจางหายเพียงแค่ประโยคเดียวของนาง ริมฝีปากยกยิ้มอบอุ่น กล่าวอย่างอารมณ์ดี “ไป พี่จะพาเจ้าไปเปิดหูเปิดตา”มือเรียวคล้องแขนผู้เป็นพี่ชาย ส่ายหน้าปฏิเสธ “ข้ามีของขวัญจะให้ท่าน เดิมทีตั้งใจจะมอบให้ตั้งแต่เมื่อวาน แต่เกิดเรื่องขึ้นมากมาย จึงไม่มีโอกาสสักครั้ง” นางกะพริบตากลมโตจ้องมองหลี่เจี้ยนตาแป๋ว น้ำเสียงใสพูดออกจากปากช่างไหลลื่น ไม่ติดขัดสักนิด“สิ่งใดรึ” หลี่เจี้ยนตาเป็นประกาย กล่าวอย่างตื่นเต้น นานเท่าไหร่แล้วที่เขาไม่ได้รับความสำคัญจากน้องเล็ก ตั้งแต่นางกลับมาก็ทำตัวเหินห่างกับเขาราวกับคนแปลกหน้าตอนเด็กก็ยังชอบเกาะติดกับหลี่เฟยหยาง เขาเป็นเพียงพี่ชายที่เดินตามพวกนางอยู่ข้างหลัง นางระลึกถึงเขา จะไม่ให้ดีใจได้อย่างไรรอยยิ้มหวานไปจนถึงดวงตาถูกส่งไปให้อีกครา ชายหนุ่มมองอย่างเคลิบเคลิ้ม “สิ่งนี้มีเพียงหนึ่งเดียวในใต้หล้า ท่านเป็นคนแรกที่ได้รับมันเชียวนะเจ้าคะ”นางปล่อยมือทั้งสองข้างที่คล้องแขนหลี่เจี้ยนออก จากนั้นหยิบเอาตลับยาในอกเสื้อออกมาก่อนยื่นให้ “ท่านเปิดดูสิ”“น้องเล็ก” หลี่เจี้ยนซาบซึ้งใจยิ่งนัก ก
สามชั่วยามถัดมา หลี่เจี้ยนและหลี่หลิงเฟิ่งขอตัวกลับ หวังซีเดินมาส่งทั้งสองถึงชั้นล่างด้วยตนเอง ผู้คนที่เคยเนืองแน่นขนัดอย่างสามวันก่อนไม่มีอีกต่อไป มีเพียงศิษย์สองสามคนเท่านั้น ผู้ไม่เกี่ยวข้องมิอาจเข้ามาด้านในได้ ตั้งแต่เกิดเหตุการณ์มีผู้บุกรุกขึ้น หอแพทย์โอสถจึงเปิดทำการเพียงส่วนขายยาสมุนไพรและยาลูกกลอนเท่านั้น นั่นคือโถงหน้าสุดของหอ“แม่นางหลี่ สมุนไพรส่วนที่เหลือข้าจะส่งให้ท่านถึงจวนพรุ่งนี้เช้าตามเดิม ไม่คิดเงินแต่อย่างใด ขอบคุณท่านที่ช่วยเหลือหอแพทย์ของเรา บุญคุณครั้งนี้สำนักแพทย์โอสถต้องตอบแทนท่านอย่างแน่นอน” หวังซีคำนับขอบคุณนางครั้งหนึ่ง“ไม่ต้องเกรงใจ เมื่อครั้งอยู่ชนบทพวกท่านได้ช่วยเหลือข้าหลายเรื่อง สหายช่วยเหลือกันไม่นับว่าเป็นบุญคุณอันใดหรอก หากช่วยได้หนึ่งชีวิตก็ถือเป็นการทำกุศลเพิ่มไม่ใช่หรือ” หลี่หลิงเฟิ่งโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ“หากห่อยาหลัวนั้นจะช่วยผู้อาวุโสในสำนักท่านได้ ก็ถือเป็นโชคดีของมันแล้ว ท่านไม่ต้องทำเช่นนี้ ข้าจะอายุสั้นได้นะ” หลี่หลิงเฟิ่งกล่าวอย่างติดตลก พลันสายตาเหลือบไปเห็นถงลี่เดินไวๆ มาทางพวกเขา“อย่างไรก็ต้องขอบคุณท่านมากจริงๆ น้ำใจของท่านในครั้งนี้พวก
ไม่นานหลังจากที่สวีคุนพูดจบ ร่างสูงของอู๋เหยียนก็ก้าวเข้ามาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด สายตาของเขากวาดมองหลี่หลิงเฟิ่งทันที"คุณหนูห้า นายท่านแย่แล้วขอรับ" น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความร้อนรนหลี่หลิงเฟิ่งเลิกคิ้วเล็กน้อย "เกิดอะไรขึ้น""อาการของคุณชายใหญ่ทรุดหนักลงกะทันหัน โปรดตามข้ากลับไปที่หอฝึกยุทธ์ดูสักหน่อยเถิดขอรับ"หัวใจของหลี่หลิงเฟิ่งเต้นกระตุก นางไม่ได้ถามต่อให้เสียเวลา รีบหันไปบอกลาทุกคนก่อนจะก้าวตามอู๋เหยียนไปโดยไม่ลังเลที่ห้องพักของหลี่เฟยหยาง กลิ่นจางๆ ของผลไม้คืนชีวิตอบอวลอยู่ในอากาศ ราวกับเพิ่งมีผู้ใช้มันเมื่อไม่นานมานี้ ดวงตาคมของหลี่หลิงเฟิ่งหรี่ลง นางรู้สึกถึงบางอย่างที่ไม่ชอบมาพากล แต่ไม่ได้กล่าวสิ่งใดหลี่เฟยหยางนอนอยู่บนเตียงสีขาว ใบหน้าซีดเซียวของเขามีหยาดเหงื่อเกาะพราว ดวงตาหลับพริ้มราวกับกำลังฝืนต่อสู้กับความเจ็บปวด มือทั้งสองข้างกำแน่นจนข้อขึ้นสีขาวหลี่หลิงเฟิ่งขยับเข้าไปใกล้ ราวกับทุกอย่างวนกลับไปยังวันเวลาเหล่านั้นอีกหน เขาต้องการเลือดข้านางขบเม้มริมฝีปาก กำมือแน่นก่อนจะใช้ปลายเล็
ทุกสายตาจับจ้องมายังหลี่หลิงเฟิ่งที่บัดนี้รายล้อมไปด้วยเหล่าคนของสำนักแพทย์โอสถ บางคนถึงกับหันไปมองกันอย่างสับสน"ศิษย์น้องของเจ้าสำนักหรือ หูของข้าเพี้ยนไปแล้วหรือไม่" สีหน้าของทุกคนเบิกโพลง"ใช่แล้ว หลี่หลิงเฟิ่งคืออาจารย์อาที่ได้รับการดูแลเป็นพิเศษจากเจ้าสำนักของเรา หากข้ารู้ว่าใครยังว่าร้ายนางอีกล่ะก็ อย่าหาว่าหอแพทย์โอสถของพวกเราไม่เตือน"ผู้อาวุโสแปดกล่าวเสียงกร้าว เขารอเวลานี้มานานแล้ว ใครใช้ให้คนเมืองหลวงมีตาหามีแววไม่ ใส่ร้ายบรรพบุรุษน้อยของพวกข้าไม่เว้นแต่ละวันคำพูดนั้นทำให้สีหน้าของทุกคนซีดเผือด ความนับถือที่แฝงด้วยความสั่นสะท้านค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นในใจของทุกคน ผู้ฝึกยุทธ์ที่เคยปรามาสหลี่หลิงเฟิ่งต่างเบื้อใบ้ ไม่มีใครกล้าพูดสิ่งใดออกมาอีกแม้แต่สวีคุนเองก็อดยิ้มบางออกมาไม่ได้ "ศิษย์น้อง ข้าว่าเจ้าทำให้คนทั้งสนามตะลึงจนลืมหายใจได้เลยทีเดียว"รอบตัวหลี่หลิงเฟิ่งที่เคยเต็มไปด้วยเสียงซุบซิบปรามาส บัดนี้กลับกลายเป็นความเงียบงันที่แฝงไปด้วยความเกรงกลัว แม้กระทั่งเหล่าผู้ฝึกยุทธ์ที่เคยคิดว่านางเป็นเพียงขยะไร้ค่า
พลังยุทธ์สีแดงขาวปรากฏรอบตัวหลี่หลิงเฟิ่ง พลังมหาศาลที่แฝงไว้ด้วยความเยือกเย็นแต่แผดเผาไปพร้อมกันแผ่ซ่านออกมา ร่างของหลี่หลิงเฟิ่งที่เคยแยกออกเป็นสิบร่าง ตอนนี้กลับแยกออกมาได้ถึงห้าสิบร่าง จนแม้แต่ชายชุดดำยังต้องเบิกตากว้าง“เป็นไปไม่ได้…วิชาลับตระกูลชิง เจ้ามีมันได้อย่างไร เจ้าเป็นคนของตระกูลชิงรึ” เขาสั่นศีรษะ คัมภีร์ทั้งหลายล้วนสูญสลายไปพร้อมกับคนของตระกูลชิงสายหลักไปหมดแล้ว แต่นางเรียนรู้มาจากใคร ยิ่งไปกว่านั้น ในระยะเวลาอันสั้นสตรีนางนี้เลื่อนขั้นไปกี่ครั้งกันแน่ หากปล่อยไปจะต้องเป็นอันตรายต่อพวกเขาอย่างแน่นอนหลี่หลิงเฟิ่งไม่ตอบ นางเพียงจ้องมองเขาด้วยแววตาแน่วแน่ ก่อนที่ร่างทั้งห้าสิบจะพุ่งเข้าใส่เขาพร้อมกันราวกับคลื่นพายุที่ไม่มีวันหยุดยั้งเสียงปะทะดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ เปลวเพลิงและพลังยุทธ์สีดำสาดกระจายกลางอากาศ ชายชุดดำสะบัดมือส่งพลังทำลายล้างออกไป แต่ร่างเงาของหลี่หลิงเฟิ่งกลับเคลื่อนไหวว่องไวยิ่งกว่าปลาได้น้ำ หลบหลีกทุกการโจมตีของเขาได้อย่างแม่นยำ“นังตัวดี!” ชายชุดดำกัดฟันแน่น พลังปราชญ์ของเขาถูกกดดันจนเริ่มสั่นคลอนแต่ในขณะที่เปลวเพลิงนั้นโหมกระหน่ำ หลี่เฟยหยางที่ยืนอยู
"พวกเจ้าคิดว่าการทำลายวังหลวงแคว้นตงเยว่แล้วจะปัดก้นหนีไปอย่างสง่าผ่าเผยได้รึ" ชายชุดดำที่ยืนหยัดอยู่กลางอากาศมองลงมาด้วยสายตาเย็นชา ใบหน้าคมคายไร้อารมณ์ แต่กลิ่นอายที่แผ่ซ่านกลับเต็มไปด้วยเจตนาสังหารจวินชางหลางแม้ใจจะกลัว แต่ฝีปากนั้นกล้าเกินจะกล่าว "อ้อ ข้าก็นึกว่าใคร ที่แท้ก็สุนัขรับใช้แคว้นตงเยว่นี่เอง ทำไม ต้องการทวงความเป็นธรรมให้พวกมันสินะ เข้ามาเลยสิ กลัวที่ไหนกัน”ดวงตาคมกริบของชายชุดดำจับจ้องมาไปยังเขา "จักรพรรดิแคว้นตงเยว่เป็นศิษย์ของข้า พวกเจ้าสังหารเขายังเท่ากับท้าทายข้า ซ้ำยังทำลายวังหลวง ฆ่าล้างทุกคน ข้าจะปล่อยพวกเจ้าไปง่ายๆ ได้อย่างไร วันนี้ไม่ว่าใครก็อย่าหวังจะมีชีวิตรอด เลือดของพวกเจ้าต้องชำระล้างแผ่นดินตงเยว่ สังเวยวิญญาณให้กับศิษย์ของข้า"คำพูดนั้นทำให้ทุกคนตกตะลึง แม้แต่โม่จื่อหลิงที่ยืนอยู่ด้านหน้าก็อดขรึมลงไม่ได้ "เจ้าเป็นคนจากดินแดนไร้ขอบจริงด้วยสินะ"ชายชุดดำแค่นหัวเราะ มองโม่จื่อหลิงแวบหนึ่งพลางรู้สึกคุ้นตาอยู่บ้าง ทว่าเวลานี้เขาไหนเลยจะสนใจ "รู้จักข้าก็ดีแล้ว จะได้รู้ว่าพวกเจ้ากำลังจะพบจุดจบแบบใดในไม่ช้า"โม่จื่อหลิงยกกระบี่ขึ้น สายตาคมวาว "จุดจบของเจ้าหรือ
ณ เมืองหลวงของแคว้นหลิวอวิ๋นเสียงการต่อสู้ยังคงดังกึกก้อง เปลวเพลิงโหมลุกไหม้ตามแนวกำแพง เสียงคำรามของผู้บุกรุกประสานกับเสียงอาวุธที่กระทบกันอย่างดุเดือดสวีคุนเจ้าสำนักหอแพทย์โอสถ กำลังรักษาผู้บาดเจ็บพลางออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม "อย่าปล่อยให้พวกมันทะลวงเข้ามาได้ ต้านไว้สุดกำลัง"ผู้ฝึกยุทธ์คนอื่นๆ และเจ้าหน้าที่ทหารรวมกำลังกันอย่างสุดความสามารถ แต่จำนวนศัตรูที่มีกองกำลังมือสังหารชั้นสูงกลับยังคงท่วมท้นทันใดนั้นเอง แสงสีฟ้าก็ปรากฏขึ้นกลางสมรภูมิ เสียงลมกรรโชกดังขึ้นพร้อมกับร่างของหลี่หลิงเฟิ่ง โม่จื่อหลิง และจวินชางหลางที่ปรากฏตัวออกมา"พวกเรากลับมาแล้ว!" จวินชางหลางร้องลั่น พลางสะบัดดาบเล่มใหม่ในมืออย่างฮึกเหิม "ใครอยากโดนฟันก่อน มาเลย!""ทุกคนปลอดภัยดีหรือไม่" หลี่หลิงเฟิ่งตะโกนถามพลางฟาดแส้เพลิงออกไป เผาผู้บุกรุกที่พุ่งเข้ามาสวีคุนยิ้มออกมาอย่างโล่งใจ "พวกเจ้ามาทันเวลาพอดี ฝั่งนั้นมีมากเกินไป พวกเรากำลังต้องการกองกำลังเสริมอย่างยิ่งยวด""ท่านวางใจ ข้าจะทำให้ศัตรูจำชื่อพวกเราไปตลอด" จวินชางหลางหัวเราะเสียงดัง เลือดร้อนไม่ลดละจากการต่อสู้ที่ต่อเนื่องมาอย่างยาวนาน"งั้นข้าจะช
"อะไรเนี่ย ทำไมรากไม้พวกนี้มันมีชีวิตล่ะ แม่จ๋า ช่วยลูกด้วย" จวินชางหลางตะโกนพลางถอยหลบ ขณะที่รากไม้สีดำเลื้อยมาทางเขาดาบกลืนวิญญาณในมิติมายาของหลี่หลิงเฟิ่งยังคงสั่นสะท้าน ราวกับพยายามเตือนบางสิ่ง นางหอบหายใจ ดวงตาคมกริบจับจ้องไปยังใจกลางห้องโถงที่บัดนี้เต็มไปด้วยพลังมืด แท่นบูชาที่พังครึ่งหนึ่งพลันแตกออก เผยให้เห็นโลงศพสีดำสนิทที่ถูกพันธนาการไว้ด้วยรากไม้หนาทึบ นางเดินเข้าไปใกล้โลงศพที่ยังคงปล่อยไอสังหารออกมา"ระวังนะ!" จวินชางหลางร้องเตือน แต่หลี่หลิงเฟิ่งยื่นมือออกไปแตะรากไม้ที่พันรอบโลงศพ ถึงกับเป็นโลกศพฮ่องเต้รุ่นที่หนึ่งทันใดนั้น เส้นแสงสีดำพุ่งออกมาจากรากไม้ เสียงคำรามต่ำสะท้อนก้อง รากไม้ราวกับมีชีวิตฉุดกระชากไปทั่วโลงศพเปิดออกอย่างช้าๆ กลิ่นเน่าเหม็นโชยกระจายไปทั่วห้องโถง ร่างของฮ่องเต้ตงเยว่ที่เคยหลับใหลปรากฏให้เห็น ผิวหนังซีดเผือด ดวงตาที่ควรปิดสนิทพลันเปิดออก เผยให้เห็นแสงสีดำวาววับ"มันตื่นขึ้นแล้ว!" โม่จื่อหลิงกล่าวเสียงหนัก ขณะกระชับกระบี่ในมือแต่ก่อนที่ใครจะทันได้ขยับ รากไม้สีดำพุ่งขึ้นฟ้า ก่อนจะแตกกระจาย เสียงกระดูกดังลั่น ไม่ใช่แค่จักรพรรดิตงเยว่ แต่ศพของทหารและข
จวินชางหลางกระเด็นกลิ้งหลายตลบก่อนจะยันตัวลุกขึ้นมา มองรอบด้านอย่างไม่สบอารมณ์ สถานที่เบื้องหน้านั้นเต็มไปด้วยซากหินและพื้นผนังที่ปกคลุมไปด้วยตะไคร่น้ำ“ที่นี่มัน...ใต้ดินหรือ” หลี่หลิงเฟิ่งกวาดตามองอย่างระแวดระวัง“ข้าหวังว่ามันจะไม่ใช่กับดักอะไรอีกนะ” จวินชางหลางโอดครวญ “ฟ้าไม่มีตา ไม่เข้าข้างข้าบ้างเลย”ทั้งสามคนเดินลึกเข้าไปในโพรงใต้ดิน เส้นทางทอดยาวราวกับไม่มีที่สิ้นสุด เสี่ยวจูจูที่เกาะอยู่บนบ่าหลี่หลิงเฟิ่งส่งเสียงครางเบาๆ อย่างไม่สบายใจ“มันรู้สึกอะไรบางอย่าง” หลี่หลิงเฟิ่งเอ่ยเบาๆ นางยกมือขึ้นลูบหัวเสี่ยวจูจูเพื่อปลอบ “ระวังตัวไว้”ภายในมิติมายาของนางกลับเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างไม่คาดคิด ดาบกลืนวิญญาณ ที่ปักนิ่งอยู่กลางทุ่งมายาพลันสั่นสะท้าน เสียงหวีดแหลมต่ำ เส้นแสงสีดำปะทุจากคมดาบราวกับมีสิ่งเร้นลับพยายามฉุดกระชากมันให้หลุดจากพันธนาการ“ไม่... ไม่ดีแล้ว!” เสี่ยวมู่ร้อง ดวงตาสีครามของมันเบิกกว้างหลี่หลิงเฟิ่งเม้มปาก มองสภาพแปรปรวนในมิติของนาง ที่พื้นดินซึ่งเคยนิ่งสงบกลับแตกออก เผยให้เห็นแสงสีเทาหม่นที่หมุนวนราวกับวงกตแห่งวิญญาณในจุดนั้นมีวัตถุสีมืดสนิทลอยเด่นอยู่กลางอากาศ มั
บุกแคว้นตงเยว่เปลวไฟลุกโชนสูงตระหง่าน วังหลวงของแคว้นตงเยว่ที่เคยโอ่อ่ากลายเป็นสนามรบ เปลวเพลิงจากของหลี่หลิงเฟิ่งเผาผนังไม้สักทองคำจนแตกเปรี๊ยะ เสียงกรีดร้องของทหารแคว้นตงเยว่ดังระงมจวินชางหลางหัวเราะเสียงดัง ขณะฟาดฟันศัตรูที่ขวางหน้า "นี่แหละที่ข้ารอคอยมานาน วังนี้ข้าเห็นแล้วยังอยากเผาเล่น"ทหารของแคว้นตงเยว่ล้มตายลงทีละคน ซากศพกองเรียงรายจนแทบไม่มีทางเดิน หลี่หลิงเฟิ่งมองซากปรักหักพังอย่างเยือกเย็น "วังโอ่อ่าขนาดนี้ วันนี้ก็ถึงคราวต้องมอดไหม้ไปพร้อมกับบาปของมันแล้ว""เจ้าคิดจะทำลายทุกอย่างจริงๆ หรือ ง่ายไปหน่อยกระมัง" เสียงหนึ่งดังขึ้นจากเบื้องบน ร่างสูงสง่างามในชุดมังกรสีทองปรากฏตัวท่ามกลางเงาเปลวเพลิง ฮ่องเต้แห่งแคว้นตงเยว่ ดวงหน้าคมคายที่เปี่ยมด้วยอำนาจแฝงไปด้วยความน่าเกรงขาม"ข้ารู้จักสมญานามของพวกเจ้ามาบ้าง หญิงชั่วร้ายกับชายคู่หมั้นหน้าโง่ แต่กลับถูกยกย่องให้เป็นความภาคภูมิของแคว้นหลิวอวิ๋น"หลี่หลิงเฟิ่งเลิกคิ้วแปลกใจ ไม่คิดว่าพวกนางจะมีฉายาเช่นนี้ด้วย โด่งดังไม่เบาเลยหนา ฮ่องเต้ตงเยว่หัวเราะ "เจ้าคิดว่าการเผาวังหลวงของข้าจะทำให้แคว้นหลิวอวิ๋นพ้นภัยหรือ ช่างเป็นความคิดตื
กองกำลังขันทีผู้ซื่อสัตย์ของฮ่องเต้ ซึ่งได้รับการฝึกฝนให้ปกป้องวังหลวงมาตั้งแต่เยาว์วัย ยืนหยัดต้านทานคนชุดดำอย่างสุดชีวิต ถึงแม้พลังยุทธ์ของพวกเขาจะด้อยกว่าศัตรูมากนัก แต่ด้วยความภักดีที่ฝังแน่นในหัวใจ พวกเขาไม่มีวันปล่อยให้ราชวงศ์หลิวอวิ๋นล่มสลายไปต่อหน้าต่อตา"ถ้าจะตาย ก็ให้ตายเพื่อฝ่าบาท!" หัวหน้าขันทีตะโกนลั่น เสียงของเขาแฝงด้วยความมุ่งมั่นที่ไม่ยอมพ่ายแพ้เสียงดาบกระทบกันดังสนั่น ขันทีผู้หนึ่งฟาดดาบเข้าใส่คนชุดดำ แต่กลับถูกพลังยุทธ์มหาศาลกระแทกจนล้มลง เลือดสาดกระเซ็นไปทั่วพื้นหิน"อย่าปล่อยให้พวกมันเข้าใกล้ฝ่าบาท!" หัวหน้าขันทีตะโกนอีกครั้ง ก่อนจะพุ่งตัวไปขวางคนชุดดำที่พยายามบุกเข้ามาฮ่องเต้ที่ยังทรงยืนอยู่ด้วยพระวรกายที่บาดเจ็บสาหัส ดวงเนตรของพระองค์เคร่งขรึมแต่เปี่ยมด้วยความเด็ดเดี่ยว แม้พระโลหิตจะไหลซึมจากบาดแผลที่พระอุระ แต่พระองค์ไม่คิดจะล่าถอยหยวนกุ้ยเฟยยืนมองภาพนั้นด้วยความสะใจ ใบหน้าของนางฉายแววบ้าคลั่ง "ฝ่าบาทยังดื้อรั้นเช่นเคย... แต่ครั้งนี้ข้าจะทำให้ท่านสิ้นสิ้นลมหายใจไปพร้อมกับบัลลังก์ที่ท่านหวงแหนนัก!"ดวงตาของนางเรืองแสงด้วยพลังพิษสีดำที่แผ่ออกมาจากปลายนิ้ว นางสะ