พลังเช่นนี้...ความรู้สึกกดดันเช่นนี้...ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหลอมรวม ซ้ำยังสูงกว่าเขาอีกหนึ่งขั้น เมื่อครู่ผู้ลอบเล่นงานเขาไม่ใช่สองพี่น้องคู่นั้้น เป็นชายชราผู้นี้แน่นอน เป็นเขาที่กดข่มพลังคนทั้งหมดไว้ เป็นเขาที่บังคับให้ข้าคุกเข่า...
หลี่เชาสูดหายใจลึก รู้สึกได้ถึงความตายที่กำลังมาเยือนถึงหน้าประตู
“ท่าน...ท่านกับข้า...พวกเราไม่เคยมีเรื่องบาดหมางกันมาก่อน เหตุใดจึงตั้งตนเป็นปรปักษ์ ลอบทำร้ายกันเล่า” ความเงียบปกคลุมทั่วบริเวณ ไม่มีเสียงตอบรับเล็ดลอดออกมา มีเพียงเสียงดังอั่กทีหนึ่ง เลือดสีแดงสดพุ่งกระฉูดเลอะพื้นกระเด็นมาจนถึงจุดที่หลี่หลิงเฟิ่งยืนอยู่
พลั่ก พลั่ก พลั่ก
ท่ามกลางการชะงักค้างของทุกคน พลังสีแดงพุ่งไปรอบด้านไม่ขาดสาย เหล่าผู้คุ้มกันเหมือนเป็นง่อยเปลี้ยไร้เรี่ยวแรงตอบโต้ ได้แต่นอนโอดโอยบนพื้นโถงรับรองอันเย็นเฉียบ เพลิงพิโรธของหูซานยังคงไม่มอดดับลงง่ายๆ หันไปเล่นงานหลี่เชาที่นอนพะงาบๆ อยู่บนพื้นไร้เสียงตอบโต้
“ช้าก่อน” หลี่หลิงเฟิ่งรีบร้องปรามเมื่อเห็นท่าไม่ดี
“ท่านจะฆ่าใครข้าไม่สน แต่อย่าให้คนพวกนี้มาตายในบ้านของข้าเป็นอันขาด” หลูหมิ่นซึ่งเวลานี้ปากชาไปหมดเพิ่งได้สติคืนมา มองทั้งสองด้วยสายตาเบิกโพลง เขาพลันรู้สึกดีใจขึ้นมาที่แค่โดนสาวใช้ของสตรีอำมหิตผู้นี้ตบหน้า หาไม่แล้ว เขาคงตายไปไม่รู้กี่ร้อยรอบ
หูซานยังคงทำหูทวนลม ไม่ได้ยินวาจาของหลี่หลิงเฟิ่ง ปล่อยพลังหลายสายออกมาอย่างต่อเนื่อง ผู้คุ้มกันสองสามคนที่ทนแรงปะทะไม่ไหว นอกจากไม่อาจส่งเสียงขอความเมตตาใดๆ ได้แล้ว ตาสองข้างยังไม่สามารถลืมขึ้นมาได้อีก เสียงดังอั่กเบาๆ เสียงหนึ่งดังขึ้น ก่อนจะคอพับไร้ลมหายใจ
ช่วงสายวันที่แดดจ้า ท้องฟ้าเปิด บ่งบอกถึงวันที่สดใสวันหนึ่ง ในเรือนซอมซ่อแห่งนี้กลับเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดขัดกับบรรยากาศภายนอกโดยสิ้นเชิง
คนที่เหลือมองหูซานอย่างหวาดผวา ราวกับภูตผีปีศาจเยื้องย่างขึ้นมาบนโลกหมายเอาชีวิตของพวกเขา หลี่เชาตาเหลือกด้วยความหวาดกลัวสุดขีด หลงระเริงคิดไปว่าไม่มีใครกล้าทำร้ายเขา ด้วยอิทธิพลของตระกูลต่อให้ใช้อำนาจบาตรใหญ่แค่ไหน คนทั้งหลายในเมืองนี้ต้องกริ่งเกรงอำนาจของเขาอย่างแน่นอน
แต่บุรุษผู้นี้เป็นใคร ถึงกับกล้าลงมือทำร้ายนายท่านสามแห่งตระกูลหลี่อย่างโจ่งแจ้ง ไม่รู้ไปกินใจหมีดีเสืออะไรเข้า ถึงกับไม่รักตัวกลัวตายเยี่ยงนี้
“ยอดฝีมือท่านนี้ โปรดละเว้นพวกข้าเถิด ท่านอาจจะไม่รู้ว่าพวกเราเป็นคนของจวนเจ้าเมืองตระกูลหลี่ซึ่งปกครองพื้นที่แถบนี้ทั้งหมด วันนี้พวกข้าเพียงมารับคุณชายใหญ่และคุณหนูห้ากลับจวนเท่านั้น หากท่านหยุดมือลงตอนนี้ พวกข้าจะไม่ถือสาหาความอันใดกับท่าน”
เพียะ!
“ใครอนุญาตให้เจ้าพูด” พลังขุมหนึ่งจากหูซานกระทบเข้าที่หน้าหลูหมิ่นอย่างแรง ไม่อาจประเมินความเจ็บปวดได้เลยว่า ระหว่างแรงตบจากพลังยุทธ์และฝ่ามือธรรมดา อันไหนจะเจ็บปวดกว่ากัน
“ตระกูลหลี่ ฮึ” หูซานแค่นเสียงหัวเราะหยัน “ข้าต้องเกรงกลัวด้วยรึ ต่อให้ฮ่องเต้มาเอง ก็ไม่อาจช่วยพวกเจ้าได้”
เพียะ!
“ข้ารังแกพวกเจ้า แล้วจะทำไม” เสียงตบดังขึ้นอีกฉาด หลูหมิ่นร่ำร้องอยู่ในใจ ชายแก่คนนี้เสียสติไปแล้วเป็นแน่ ถึงขนาดได้ยินชื่อตระกูลหลี่ยังไม่เกรงกลัวสักนิด
“ดี!” หวังซีที่ไม่รู้ว่าปรากฏตัวยืนอยู่ข้างหลี่หลิงเฟิ่งตั้งแต่เมื่อไหร่ โพล่งออกมาอย่างได้ใจ คนของสำนักแพทย์โอสถ ไม่จำเป็นต้องก้มหัวให้ใคร ไม่เคยหวั่นเกรงอำนาจใด ฆ่าพวกเขาให้ตายเสียยังดีกว่าต้องลดศักดิ์ศรีลงมานอบน้อมต่อผู้อื่น
“ท่านหมอหู ได้โปรดหยุดมือ” หลี่่หลิงเฟิ่งที่ตอนแรกชมเรื่องสนุกอยู่นอกวง ร้อนรนขึ้นมาจริงๆ แล้ว เฒ่าทารกไม่ฟังคำของนางเลย
“ศิษย์พี่” หูซานที่หงุดหงิดเป็นทุนเดิม ไม่เพียงไม่หยุดมือ ซ้ำยังลงมือดุดันมากขึ้นไปอีก เขาโมโหคนพวกนี้ที่กล้าดูถูกหลี่หลิงเฟิ่ง ดูถูกนางก็เหมือนดูถูกสำนักแพทย์โอสถ
แต่ที่ทำให้เขาไม่พอใจยิ่งกว่าคือสตรีดื้อด้านนางนั้นเอาแต่เรียกเขาว่าท่านหมอบ้างล่ะ ผู้อาวุโสบ้างล่ะ หรือแม้กระทั่งชื่อนางก็เรียกมาแล้ว ทว่า ไม่เคยเรียกศิษย์พี่เลยสักครั้ง
“หูซาน ท่านหยุดเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นเขาได้ตายจริงๆ แน่” หญิงสาวปวดหัวหนัก ไม่คิดว่าเรื่องจะบานปลายถึงเพียงนี้ นางเพียงต้องการสั่งสอนคนพวกนั้นนิดหน่อยจึงไม่ห้ามปรามการละเล่นของชายชรา แต่ไม่ได้หมายความว่านางอยากจะให้คนนี้พวกนี้ตายตอนนี้สักหน่อย
สมองของนางยังใช้การได้ดี จะนำเรื่องเดือดร้อนมาสู่ตัวทำไม
“ศิษย์พี่” เสียงไม่สบอารมณ์ดังขึ้นอีกครั้ง
“อันใด?” หลี่หลิงเฟิ่งงุนงงเหมือนว่าพวกนางจะสื่อสารกันคนละเรื่องหรือไม่
“เรียกข้าว่าศิษย์พี่ แล้วข้าจะหยุด”
หลี่หลิงเฟิ่งกลอกตามองฟ้า ตาแก่น่าตายผู้นี้ยังจะมาทำตัวเป็นเด็กๆ ในเวลาเช่นนี้ได้ หญิงสาวไม่รู้จะสรรหาคำใดมาบรรยายได้อีกแล้ว “ศิษย์พี่ หยุดมือเถิด เกิดเขาตายขึ้นมา คนที่เดือดจะเป็นข้านะ ท่านทำใจทำร้ายข้าได้ลงหรือ”
น้ำเสียงออดอ้อนดังขึ้นข้างหูหวังซี ร้อยยิ้มแข็งค้างราวคนพิกลพิการติดบนริมฝีปาก มองหลี่หลิงเฟิ่งเปลี่ยนจากสีหน้าร้อนรนเป็นเอาอกเอาใจภายในพริบตา วันนี้เขาได้เรียนรู้ อาจารย์อานอกจากจะเป็นอัจฉริยะด้านโอสถ ยังเป็นอัจริยะด้านอารมณ์อีกด้วย นางสามารถยืดได้หดได้ดังใจสั่ง นี่แหละหนาความแตกต่างระหว่างชายหญิง
“เฮอะ ถือว่าวันนี้พวกเจ้าโชคดี” หูซานมองดูผลงานตนเองอย่างพึงพอใจรอบหนึ่ง ก่อนหิ้วปีกหลี่เชามาหาหลี่หลิงเฟิ่งด้วยท่าทางระริกระรี้
“เป็นอย่างไร เห็นความเก่งกาจของศิษย์พี่หรือยัง” โยนร่างของหลี่เชาไปไว้ข้างๆ หลูหมิ่นที่ยังคงคุกเข่าอยู่ จากนั้นหัวเราะร่ากล่าวด้วยน้ำเสียงยินดีปรีดา
หวังซีหลับตาลงอย่างอับอาย ทำเพื่อศักดิ์ศรีอันใดกัน อาจารย์ของเขาเพียงแค่ต้องการโชว์ศักยภาพให้คุณหนูห้าได้ชมก็เท่านั้น
เมื่อกี้คุณหนูห้าเรียกชายชราผู้นี้ว่าอะไรนะ ศิษย์พี่? นางถึงกับมีสหายเป็นยอดฝีมือ แถมฐานะของนางในใจท่านผู้นั้นไม่ใช่แค่ผิวเผินอีกด้วย หลูหมิ่นมองร่างไร้สติของหลี่เชาถึงกับกลืนน้ำลายอึกใหญ่
หลี่หลิงเฟิ่งนิ่งค้างเป็นนาน นี่ใช่อาการเห่อของใหม่หรือไม่
หญิงสาวไม่สนใจเสวนากับหูซาน นั่งลงบนเก้าอี้ดังเดิม พร้อมกันนั้นยังแอบตรวจสอบชีพจรหลี่เชาไปด้วย รอยยิ้มน้อยๆ ที่เพิ่งประดับบนใบหน้างดงามพลันแข็งเกร็ง อดชื่นชมความแข็งแกร่งของชายชราไม่ได้ อย่าเห็นว่าเป็นเพียงผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหลวมรวมเพียงอย่างเดียว แต่เขามีขุมสมบัติที่ผู้อื่นไม่มี นั่นคือยาลูกกลอนผสานกาย รวมไปถึงยาสมุนไพรและยาลูกกลอนอื่นๆ ที่เพิ่มความแข็งแกร่งของร่างกายไว้ในครอบครอง เพียงเท่านี้ก็ทำให้เขาเหนือกว่าผู้ฝึกยุทธ์ขั้นเดียวกันเพียงเล็กน้อยแล้ว
หากกล่าวว่าเพียงเล็กน้อยไม่มีผลอันใดมากนัก คงเป็นความคิดที่ผิดมหันต์ ห่างชั้นยังไงก็ยังห่างชั้น เพียงเล็กน้อยก็ห่างไปไกลอักโข
เห็นว่าหูซานไม่คิดจะทำร้ายหลี่เชาถึงตายจริงๆ ใจที่ค้างเติ่งบนหอคอยจึงสงบลงได้ มองหลู่หมิ่นด้วยใบหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “ฮูหยินใหญ่ให้พวกเจ้ามาพบพวกข้า มีเรื่องอันใดจะแจ้งหรือ”
“คุณหนูห้า เดิมทีพวกเราแค่ต้องการมารับท่านและคุณชายใหญ่กลับจวนก็เท่านั้น ไม่คิดเลยว่าท่านจะไร้ไมตรี รังแกพวกข้าไม่เท่าไหร่ แต่ท่านยังกล้าทำร้ายนายท่านสาม” พูดมาถึงตรงนี้ก็หุบปากฉับลงทันใด ค่อยๆ เหลือบมองหูซานอย่างระแวดระวัง เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้สนใจตนจึงหลับตากล่าวต่อไป “รังแกพวกข้านั้นเป็นเรื่องเล็ก แต่เป็นเหตุให้นายท่านสามของตระกูลบาดเจ็บ เกรงว่าต่อให้คุณชายใหญ่ออกหน้าปกป้องคุณหนู ก็ไม่อาจหนีความผิดพ้น”
“โอ๋ว” หลี่หลิงเฟิ่งพิจารณาท่าทีหลูหมิ่น สมแล้วที่อยู่ในจวนตระกูลหลี่มานาน รู้จักเอาตัวรอดในสถานการณ์เป็นตายได้อย่างดี เปลี่ยนข้างโดยที่ไม่ต้องคิดให้เหนื่อย คนแบบนี้ไม่สมควรเก็บไว้ข้างกายก็จริง แต่ยังใช้ทำงานได้
“ต้องโทษที่ท่านอาสามไปยั่วโมโหท่านเทพองค์นี้เข้า ถูกตบหน้าทีสองทีก็นับว่าสมควรแล้ว เจ้าว่าถูกต้องหรือไม่” หลูหมิ่นเหงื่อตก มือสองข้างกำเข้าหากัน “สมควรแล้ว สมควรแล้วขอรับ”
คุณหนูห้าผู้นี้ห่างหายหน้าไปเพียงไม่กี่ปี ทำไมจึงเปลี่ยนเป็นคนละคนเช่นนี้ หรือฟ้ากำลังเปลี่ยนทิศ นัยน์ตาของชายหนุ่มร่างท้วมหนักแน่นจริงจังราวกับติดสินใจครั้งสำคัญในชีวิต
“หากข้าจำไม่ผิด พิธีปักปิ่นจะจัดขึ้นอีกหนึ่งเดือนไม่ใช่หรือ ต่อให้ข้าเดินทางช้าเพียงไรก็คงไม่เกินสิบวัน ยังต้องลำบากพวกเจ้ามารับด้วยตนเองทำไม” น้ำเสียบกระจ่างใสเนิบนาบเพราะเสนาะหู ทว่า เปรียบเสมือนสายฟ้าฟาดลงกลางหลังหลูหมิ่นเข้าอย่างจัง
“เรื่องนี้...” เมื่อเผชิญกับสายตาสี่คู่จดจ้อง เนื้อตัวพลันสั่นสะท้าน สีหน้าเผยแววลำบากใจปนซีดขาว
“เจ้ามีโอกาสเพียงครั้งเดียว” หลี่หลิงเฟิ่งสามารถยิ้มรับกับทุกสถานาการณ์ได้ แต่ไม่ใช่กับคนที่เปิดเผยตรงไปตรงมาอย่างหูซาน เขาเกลียดที่สุดคือคนที่ชอบเก็บงำความคิด อ้ำๆ อึ้งๆ ไม่ยอมพูดออกมา
แผ่นหลังหลูหมิ่นเหยียดตรงโดยไม่รู้ตัว “ฮูหยินใหญ่ทราบข่าวว่าคุณชายใหญ่บาดเจ็บสาหัสจากการลอบทำร้าย จึงร้อนใจยิ่งนัก นายท่านสามจึงขานตัวอาสามารับพวกท่านทั้งสองกลับจวนด้วยตนเองขอรับ”
มารับหรือมาคุมตัวกันแน่ ดีไม่ดี เกิดนางโชคร้ายหน่อย มีดไร้ตาอาจเชือดคอนางได้ทุกเมื่อ
“ดูท่าข่าวสารของฮูหยินใหญ่จะไม่ธรรมดา” นอกจากพวกนางและคนร้ายที่รู้เรื่องนี้ ก็มีแต่คนอยู่เบื้องหลังเท่านั้น ดวงตาหลี่หลิงเฟิ่งฉายแววอันตราย ยังมีใครอีกหรือไม่ เรื่องนี้นางจะทำอย่างโจ่งแจ้งไม่ได้เสียแล้ว
หลี่หลิงเฟิ่งไม่กลัวจับผิดคน แต่นางกลัวจับไม่หมดต่างหาก นางจะทนให้คนที่ทำร้ายพวกนางหนีรอดไปได้อย่างไร
เมื่อขบคิดจนกระจ่าง หลี่หลิงเฟิ่งไม่คิดคาดคั้นหลูหมิ่นอีกต่อไป “เอาล่ะ กลับไปบอกฮูหยินใหญ่ว่าพวกข้ากลับไปทันวันงานแน่นอน อีกอย่างมีคนของพี่ใหญ่และสองคนนี้อยู่ ไม่ต้องห่วงว่าระหว่างทางจะเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น ข้าจะกลับไปครบสามสิบสองแน่นอน ฮูหยินใหญ่โปรดวางใจ”
หลูหมิ่นมองสีหน้าดูถูกดูแคลนพวกเขาก็ได้แต่ก้มหน้างุด นางมียอดฝีมือเก่งกาจคอยคุ้มกัน ยังจะต้องการพวกเขาอีกหรือ พวกเขานับเป็นตัวอะไรได้
“อ้อ ข้าเกือบลืมไป” นิ้วเรียวยาวชี้ไปยังร่างที่นอนหายใจรวยรินด้านข้างเขา “พึงรู้ไว้ว่าอะไรควรพูดไม่ควรพูด” พูดเพียงเท่านี้หลี่หลิงเฟิ่งก็ชักมือกลับอย่างช้าๆ มองหลูหมิ่นยิ้มๆ
หลูหมิ่นครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก่อนยิ้มตอบ “คุณหนูโปรดวางใจ วันนี้มีโจรปล้นหมู่บ้านแถบนี้ นายท่านสามมีคุณธรรมเห็นดังนั้นจึงอดไม่ได้ที่จะยื่นมือเข้าช่วยเหลือ จึงทำให้บาดเจ็บสาหัส ต้องรีบนำตัวกลับไปรักษาโดยด่วนขอรับ” นอกจากสามารถประจบเอาใจคุณหนูห้าได้แล้ว ยังรักษาชีวิตน้อยๆ ของเขาให้อยู่รอดปลอดภัยอีกนาน
ได้ยินดังนั้น หลี่หลิงเฟิ่งหัวเราะร่าอย่างอดกลั้นไม่อยู่ หลูหมิ่นผู้นี้สมควรไปเป็นนักแสดงในโรงละคร ขนาดปั้นน้ำเป็นตัวสีหน้ายังไม่เปลี่ยนสักนิด
คนอย่างหลี่เชาน่ะรึ มีคุณธรรม เหยียบย่ำคนอ่อนแอกว่าน่ะสิไม่ว่า
“เจ้ากล้ากลับดำเป็นขาวเช่นนี้ คน...” วี้ดๆ ขณะที่หลี่หลิงเฟิ่งพูดอยู่นั้น บนท้องฟ้ามีเหยี่ยวตัวหนึ่งโฉบลงมาเกาะหน้าประตูรั้ว หลูหมิ่นหันกลับไปมองด้านนอกพบกับเหยี่ยวส่งสารประจำตระกูล ใบหน้าฉายแววฉงน หากแต่ยกมือทั้งสองข้างประกบเข้าหากัน ไม่นานพลันเกิดเสียงดังขึ้นสองครั้ง เหยี่ยวที่เกาะอยู่บนรั้วบินตรงเข้ามาบริเวณหน้าประตูแทน
“คุณหนูขอรับ มันเป็นเหยี่ยวส่งข่าวของตระกูล เกรงว่ามีเรื่องเร่งด่วนต้องรายงานขอรับ” หลี่หลิงเฟิ่งมองเหยี่ยวที่ยังบินวนเวียนอยู่หน้าประตู ขาข้างหนึ่งมีม้วนกระดาษเล็กๆ ติดอยู่จริงๆ นางพยักหน้าให้หลูหมิ่นเป็นเชิงอนุญาต
เมื่อชายร่างท้วมเปิดอ่านข้อความในกระดาษใบหน้าพลันมืดครึ้ม มองหลี่หลิงเฟิ่งเป็นเวลานาน สุดท้ายส่งกระดาษให้หญิงสาวโดยไม่มีท่าทีอิดออด
‘เปลี่ยนแผน คุ้มกันคน เดินทางกลับโดยเร็วที่สุด’
“ใช่ว่ามีเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงหรือไม่” หูซานที่ชะโงกอ่านข้อความบนกระดาษในมือหลี่หลิงเฟิ่ง ถามออกมาอย่างเคลือบแคลง หรือจะเป็นแผนคนพวกนั้น
หลี่หลิงเฟิ่งส่ายหน้า มองหลูหมิ่นราวกับต้องการคำตอบ มีเพียงสายตางงงวยส่งกลับมา คิ้วเรียวยาวขมวดมุ่น ดูท่าจะไม่ได้อยู่ในแผนการเดิมของคนพวกนั้น
“นำไปให้พี่ใหญ่” หลังจากยื่นกระดาษในมือส่งให้เสี่ยวเซียงแล้ว หญิงสาวหมุนตัวออกจากเรือนพร้อมทั้งกำชับหลูหมิ่นเป็นครั้งสุดท้าย “เรื่องในวันนี้รวมถึงอาการบาดเจ็บของพี่ใหญ่ ข้าหวังว่าเจ้าจะปิดมันเป็นความลับ หาไม่แล้ว...” มือขวาของนางยกขึ้นปาดคอตนเอง รังสีอำมหิตแผ่ออกไปโดยรอบ
“ไปกันเถอะศิษย์พี่”
เนื่องจากในวังมีการเลื่อนวันเข้าเฝ้า จากกำหนดเดิมคือสิบห้าวันหลังเสร็จพิธีปักปิ่นของนาง ไม่รู้เพราะเหตุอันใดจึงร่นระยะเวลาให้เหลือเพียงสามวันเป็นเหตุให้พวกนางต้องเร่งกลับบ้านทันทีเพื่อเข้าร่วมงานปักปิ่นที่จะจัดขึ้นก่อนกำหนดสิบห้าวัน หากว่ากันตามจริงแล้ว ถ้านางไม่ได้รับความสำคัญในครั้งนี้ขึ้นมา หลี่หลิงเฟิ่งไม่ถูกจัดให้เข้าร่วมและเป็นหนึ่งในตัวเอกของงานแน่นอน ไม่รู้ว่าตอนนี้คนพวกนั้นจะเคียดแค้นใจมากแค่ไหนที่ต้องแบ่งพื้นที่ในจวนแก่น้องห้าอย่างนางได้ใช้สอย“พร้อมหรือยัง”“เจ้าค่ะ”หลี่เฟยหยางลูบหัวนาง “ไม่มีอะไรน่ากลัวหรอก” หลี่หลิงเฟิ่งยิ้มรับ ผงกศีรษะน้อยๆ ก่อนก้าวขึ้นไปนั่งในรถม้าที่จัดเตรียมไว้ใครบอกว่านางกลัวกัน นางเฝ้ารอให้วันนี้มาถึงที่สุดต่างหากด้านนอกมีหลี่เฟยหยางกับหวังซีควบม้าขนาบข้างซ้ายขวา เสี่ยวเฉินคอยกุมบังเหียนขับเคลื่อนรถม้า ส่วนนางผู้ที่สบายสุด กึ่งนั่งกึ่งนอนเอกเขนกอยู่ในรถม้า ฟังเรื่องเล่าขบขันจากสาวใช้ตัวน้อยของคนในเมืองหลี่ไปพลาง มือหยิบขนมที่เสี่ยวเซียงเตรียมไว้เข้าปากไปพลาง ส่วนหูซานกับหวังข่ายนั้นจะติดตามมาทีหลัง จำต้องจัดการลู่ทางโรงหมอที่นั่นสักพักใหญ่ขาดก็
หลี่หลิงเฟิ่งคิดไม่ถึงว่าแค่กลับบ้านจะมีคนมารอรุมทุบตีมากมายขนาดนี้ ยังไม่รวมถึงบ่าวไพร่ที่คุกเข่าอยู่ด้านหลัง และที่แอบอยู่ตามทางเดิน พุ่มไม้ บนเรือนอีกนับสิบยี่สิบคน บรรยากาศคึกคักยิ่งไม่เจอกันไม่กี่ปีคนเหล่านี้ยังคิดว่านางเป็นลูกพลับนิ่มให้ขยำเล่นตามใจชอบเหมือนเมื่อก่อนอยู่อีกสินะ เมื่อมีคนอยากลอง นางจะไม่สนองคืนคงผิดต่อความตั้งใจของคนเบื้องหน้าแล้วนางอยากรู้นักใครจะเข้ามาคนแรกหลายวันที่ผ่านมา หลี่หรูอี้นอนกระสับกระส่ายทุกคืน ใช้ชีวิตอย่างตื่นเต้นวาดหวังรอคอยวันที่หลี่หลิงเฟิ่งกลับมาตั้งแต่เล็กหลี่หลิงเฟิ่งแย่งความงามเป็นเอกกับนางมาตลอด หลี่หรูอี้ไม่อยากยอมรับความจริง เพราะเชื้อโสเภณีชั้นต่ำมันแรงเกินไป ใบหน้างดงามไร้ที่ติจึงประดับอยู่บนหน้านังตัวไร้ค่าทุกเมื่อเชื่อวันผู้คนต่างยกย่องนางเป็นหญิงงามอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลี่ แต่หากคนพวกนั้นได้เห็นความงามของนังตัวขยะนี่ อันดับหนึ่งยังจะมาถึงนางอีกหรือที่นางเกลียดที่สุดคือใบหน้านั้น!ไปอยู่บ้านนอกมาสามปี หลี่หรูอี้คิดไม่ออกเลยว่าผิวพรรณเมื่อโดนแดดจะหยาบกร้านแค่ไหน ผมแห้งไร้น้ำหนักกระเซอะกระเซิง สีผิวหมองคล้ำ อดอยากจนร่างผอมเหมือนกร
เช้าวันนี้เมืองหลี่ครึกครื้นเป็นพิเศษ โรงเตี๊ยมแน่นขนัดไม่มีที่ว่างแม้แต่น้อย บรรดาชนชั้นสูงจากหลายมุมเมืองต่างเดินทางมาร่วมแสดงความยินดีกับคุณหนูทั้งสองของตระกูลหลี่โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลี่หรูอี้ คุณหนูสี่ผู้กำเนิดจากภรรยาเอกของท่านเจ้าเมือง สำหรับหลี่หลิงเฟิ่งพวกเขามีความรู้สึกอันหลากหลาย หลายเดือนก่อนเก้าในสิบส่วนของครอบครัวผู้เข้าร่วมงานเคยยื่นฎีกาเรียกร้องถอดถอนตำแหน่งคู่หมั้น มาวันนี้กลับต้องนำของขวัญมาร่วมแสดงความยินดี บรรยากาศภายในจวนจึงเต็มไปด้วยความแปลกประหลาดในตระกูลใหญ่พิธีปักปิ่นหรือพิธีแสดงความเป็นผู้ใหญ่จัดขึ้นทุกปี เมื่อบุตรีในบ้านอายุครบสิบห้าปีบริบูรณ์ ดังนั้นงานเลี้ยงสกุลหลี่สำหรับแขกเหรื่อที่มาเยือนจึงเป็นเรื่องที่คุ้นเคยกันอยู่แล้ว ไม่ว่าจะมีความสัมพันธ์อันดีกันหรือไม่ ของขวัญที่ควรมอบยังคงต้องมอบออกไป หากบ้านไหนมีความสัมพันธ์อันดีหรือต้องการผูกมิตรกับตระกูลหลี่จะเดินทางมาแสดงความยินดีด้วยตนเอง จากจำนวนที่เข้าร่วมในวันนี้ รากฐานตระกูลหลี่นับว่าไม่ธรรมดา หยั่งรากลึกไม่รู้กี่รุ่นต่อกี่รุ่นไม่เพียงบ่งบอกว่าสตรีสามารถออกเรือนได้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ยังแสดงถึงการผูกพ
โลหิตสดๆ ไหลออกมาจากไหล่ซ้ายของสตรีชุดแดง รอยกรีดลึกเป็นทางยาวประมาณเจ็ดชุ่น* หลี่หลิงเฟิ่งหน้าตาบิดเบี้ยวข่มความเจ็บปวด รับพลังโจมตีทั้งหมดผ่านมือขวา ลำตัวถอยร่นจนสุดขอบเรือน สมกับเป็นสัตว์อสูรหายาก พละกำลังของมันแข็งแกร่งเทียบเท่ากับผู้ฝึกยุทธ์ขั้นกำเนิดใหม่ระดับสูงหลูหวั่นชิง ลืมตาขึ้น มองหลี่หลิงเฟิ่งที่ยืนสู้กับหมูป่าหางทองอย่างตะลึงงัน ลืมความเจ็บปวดจากการโดนพลังยุทธ์ที่กันนางออกมานอนกองอยู่บนพื้น นางหมายจะเข้าไปช่วยหลี่หลิงเฟิ่ง ใครเลยจะคิดว่า...“นาง...นางเป็นพลังยุทธ์” นี่...คำเล่าลือหลายสิบปีเป็นเรื่องหลอกลวงหรือ นางหาใช่ตัวไร้ค่า แต่เป็นผู้มากด้วยพรสวรรค์ต่างหาก!เสียงเซ็งแซ่ดังกระหึ่มทั่วห้องโถง ในที่นี้ไม่มีใครใจคอสงบสักคน เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นเหนือความคาดหมายเกินไปแล้วหมูป่าหางทองคำรามดังขึ้น เจ้าพวกมนุษย์น่าตาย กล้าลอบกัดข้า กระแสไฟฟ้าปลายหางแผ่ลามทั่วทิศ ทั่วทั้งห้องโกลาหลหนีตายกันถ้วนหน้า ห้องโถงที่เคยวิจิตรงดงามพังลงไม่เหลือซาก เสาหลักยึดโครงหลังคาหักลงทีละต้น เวลานี้บริเวณใกล้หลี่หลิงเฟิ่งเหลือเพียงแม่ลูกตระกูลหลู และหลี่เหวินเหยาเท่านั้น ส่วนสองแม่ลูกตัวต้นเรื
เสียงตึงตังบริเวณทางเดินชั้นสองดังสนั่นไปถึงชั้นล่าง จะโทษก็โทษที่หอแพทย์โอสถแห่งนี้วัสดุทำขึ้นจากไม้ บุรุษทั้งสามวิ่งมาหยุดยืนอยู่หน้าประตูบานหนึ่ง หายใจหอบถี่ หวังซีจัดเครื่องแต่งกาย ผมเผ้า และปรับสีหน้าให้สงบนิ่งเหมือนยามปกติ เคาะประตูสองครั้งจากนั้นค่อยๆ ผลักเข้าไปเหยาจี้เห็นท่าทางของหวังซีพลันยิ้มกรุ้มกริ่ม เดินตามหลังเข้าไป มีเพียงถงลี่ยืนเฝ้าสถานการณ์อยู่ด้านนอก ช่างใจจะเข้าไปดีหรือไม่ หลังจากความคิดตีกันในหัวอยู่นาน สุดท้ายตัดสินใจเดินคอตกเข้าไป“ผู้อาวุโสหวัง” เมื่อเห็นชายทั้งสามเดินเข้ามา หนึ่งในนั้นยังมีชายหนุ่มที่ต้องการอยากพบจึงส่งเสียงกระเช้าเย้าแหย่ไปให้ หัวเราะเบาๆ อย่างคนอารมณ์ดีเมื่อได้ยินเสียงหลี่หลิงเฟิ่ง เขาถึงกับขนลุกซู่ มุมปากหวังซีกระตุกครั้งหนึ่ง ยกยิ้มพิลึกพิลั่น พลางเดินเข้าไปหาทั้งสองคนที่นั่งอยู่กลางห้อง“คารวะผู้อาวุโสหวัง” หลี่เจี้ยนลุกขึ้นยืนคำนับ ใคร่นึกสงสัยถึงความสัมพันธ์ของทั้งสองคน ดวงตาคมมองสลับระหว่างหวังซีและหลี่หลิงเฟิ่งไปมาหวังซีพยักหน้าน้อยๆ ตอบกลับหลี่เจี้ยน ทว่า ตัวกลับคำนับหลี่หลิงเฟิ่งแทน ทำเอาทุกคนภายในห้องงุนงงกันถ้วนหน้า “แม่นางหลี่
กว่าจะออกจากหอแพทย์โอสถก็ล่วงเลยเข้ายามซวี* ด้านนอกมืดสนิท หลี่หลิงเฟิ่งอ่อนเพลียจนผลอยหลับในรถม้าตลอดทาง ตอนแรกหวังซีเสนอให้นางพักอยู่ที่หอแพทย์เพื่อดูอาการสักหนึ่งคืน รุ่งสางค่อยกลับไปพักฟื้นที่จวนทว่า คนร้ายยังคงแฝงตัวอยู่ในหอแพทย์โอสถ ทำให้หลี่เจี้ยนปฏิเสธเสียงแข็ง เป็นตายอย่างไรก็ไม่ยอม หลี่หลิงเฟิ่งเองก็อยากกลับจวนเช่นเดียวกัน จึงได้ปฏิเสธออกไป ก่อนจากมายังได้กำชับหวังซีส่งสมุนไพรบางส่วนสำหรับหลอมยาลูกกลอนมาให้นางจำนวนหนึ่งเวลาสามปีแห่งการเก็บตัวของนางผ่านพ้นไปแล้ว ยอดฝีมือแข็งแกร่งมีมากเหลือเกิน หากนางไม่เร่งฝึกพลังยุทธ์ เพิ่มความแข็งแกร่ง ไม่นานนางคงเพลี่ยงพล้ำเข้าสักวัน ไม่เพียงปกป้องคนรอบข้างไม่ได้ ยังไม่มีแม้แต่กำลังจะป้องกันตนเองให้อยู่รอดปลอดภัยเสียด้วยซ้ำเมื่อกลับถึงจวนยังไม่วายถูกหลี่เจี้ยนซักถามเรื่องราวความเป็นมาระหว่างศิษย์พี่ศิษย์น้องของนางกับหูซาน จวบจนเห็นว่าดึกมากแล้วหลี่เจี้ยนจึงยอมล่าถอยกลับไป กว่าหลี่หลิงเฟิ่งจะทำกิจธุระเตรียมตัวเข้านอนเสร็จก็ปาเข้าไปเกือบยามจื่อ*หลี่หลิงเฟิ่งถอนหายใจเบาๆ กล่าวกับเสี่ยวเซียงที่กำลังจัดที่นอนให้นาง“เรื่องนั้นคืบหน้าไปถึงไห
หลี่เจี้ยนชะงักงัน น้องเล็กดีใจที่ได้เจอเขาหรือ ความน้อยใจที่สั่งสมมาตลอดหลายวันพลันจางหายเพียงแค่ประโยคเดียวของนาง ริมฝีปากยกยิ้มอบอุ่น กล่าวอย่างอารมณ์ดี “ไป พี่จะพาเจ้าไปเปิดหูเปิดตา”มือเรียวคล้องแขนผู้เป็นพี่ชาย ส่ายหน้าปฏิเสธ “ข้ามีของขวัญจะให้ท่าน เดิมทีตั้งใจจะมอบให้ตั้งแต่เมื่อวาน แต่เกิดเรื่องขึ้นมากมาย จึงไม่มีโอกาสสักครั้ง” นางกะพริบตากลมโตจ้องมองหลี่เจี้ยนตาแป๋ว น้ำเสียงใสพูดออกจากปากช่างไหลลื่น ไม่ติดขัดสักนิด“สิ่งใดรึ” หลี่เจี้ยนตาเป็นประกาย กล่าวอย่างตื่นเต้น นานเท่าไหร่แล้วที่เขาไม่ได้รับความสำคัญจากน้องเล็ก ตั้งแต่นางกลับมาก็ทำตัวเหินห่างกับเขาราวกับคนแปลกหน้าตอนเด็กก็ยังชอบเกาะติดกับหลี่เฟยหยาง เขาเป็นเพียงพี่ชายที่เดินตามพวกนางอยู่ข้างหลัง นางระลึกถึงเขา จะไม่ให้ดีใจได้อย่างไรรอยยิ้มหวานไปจนถึงดวงตาถูกส่งไปให้อีกครา ชายหนุ่มมองอย่างเคลิบเคลิ้ม “สิ่งนี้มีเพียงหนึ่งเดียวในใต้หล้า ท่านเป็นคนแรกที่ได้รับมันเชียวนะเจ้าคะ”นางปล่อยมือทั้งสองข้างที่คล้องแขนหลี่เจี้ยนออก จากนั้นหยิบเอาตลับยาในอกเสื้อออกมาก่อนยื่นให้ “ท่านเปิดดูสิ”“น้องเล็ก” หลี่เจี้ยนซาบซึ้งใจยิ่งนัก ก
สามชั่วยามถัดมา หลี่เจี้ยนและหลี่หลิงเฟิ่งขอตัวกลับ หวังซีเดินมาส่งทั้งสองถึงชั้นล่างด้วยตนเอง ผู้คนที่เคยเนืองแน่นขนัดอย่างสามวันก่อนไม่มีอีกต่อไป มีเพียงศิษย์สองสามคนเท่านั้น ผู้ไม่เกี่ยวข้องมิอาจเข้ามาด้านในได้ ตั้งแต่เกิดเหตุการณ์มีผู้บุกรุกขึ้น หอแพทย์โอสถจึงเปิดทำการเพียงส่วนขายยาสมุนไพรและยาลูกกลอนเท่านั้น นั่นคือโถงหน้าสุดของหอ“แม่นางหลี่ สมุนไพรส่วนที่เหลือข้าจะส่งให้ท่านถึงจวนพรุ่งนี้เช้าตามเดิม ไม่คิดเงินแต่อย่างใด ขอบคุณท่านที่ช่วยเหลือหอแพทย์ของเรา บุญคุณครั้งนี้สำนักแพทย์โอสถต้องตอบแทนท่านอย่างแน่นอน” หวังซีคำนับขอบคุณนางครั้งหนึ่ง“ไม่ต้องเกรงใจ เมื่อครั้งอยู่ชนบทพวกท่านได้ช่วยเหลือข้าหลายเรื่อง สหายช่วยเหลือกันไม่นับว่าเป็นบุญคุณอันใดหรอก หากช่วยได้หนึ่งชีวิตก็ถือเป็นการทำกุศลเพิ่มไม่ใช่หรือ” หลี่หลิงเฟิ่งโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ“หากห่อยาหลัวนั้นจะช่วยผู้อาวุโสในสำนักท่านได้ ก็ถือเป็นโชคดีของมันแล้ว ท่านไม่ต้องทำเช่นนี้ ข้าจะอายุสั้นได้นะ” หลี่หลิงเฟิ่งกล่าวอย่างติดตลก พลันสายตาเหลือบไปเห็นถงลี่เดินไวๆ มาทางพวกเขา“อย่างไรก็ต้องขอบคุณท่านมากจริงๆ น้ำใจของท่านในครั้งนี้พวก
สวีคุนเริ่มสำรวจภายในห้องโถงอย่างตื่นเต้นโดยมีหลี่หลิงเฟิ่งเดินตามอยู่ด้านหลัง เนื่องจากนางเข้าออกโถงแห่งนี้เป็นประจำ จึงรู้สึกเฉยชาอยู่มาก แต่เมื่อเดินเข้ามายังใจกลางห้อง สีหน้าของนางกลับแปรเปลี่ยนจากปกติโดยสิ้นเชิง หันไปมอบรอบ ๆ อย่างน่าประหลาดใจหลี่หลิงเฟิ่งเริ่มสำรวจอีกรอบ จากที่เคยเป็นโถงไม้ธรรมดา เวลานี้กลับแวววาวระยิบระยับดั่งประสาททอง สะท้อนเข้าสู่ดวงตาจนปวดแสบ“โดยปกติแล้วสำนักของเราก็ไม่ขาดแคลนเงินทอง แต่คิดไม่ถึงเลยว่าผู้ก่อตั้งจะเป็นบุคคลร่ำรวยผู้หนึ่ง ขนาดที่พำนักยังสร้างมาจากทองคำ!” สวีคุนเก็บอาการไม่ไหวอุทานออกมา ท่ามกลางของมีค่ามากมายเรียงรายอยู่ตรงหน้า ทำให้เขาตาลายอย่างช่วยไม่ได้เมื่อมองไปรอบตัวนอกจากจะเห็นทองคำและเพชรนิลจินดาแล้ว บนผนังห้องยังมีรูปภาพของผู้ก่อตั้งแขวนไว้หลายรูป ช่างน่าเหลือเชื่อ หรือคนผู้นี้ชอบชื่นชมรูปโฉมของตัวเอง ท่วงท่าแต่ละภาพออกจะพิสดารอยู่บ้าง แต่ไม่อาจบดบังความงามของนางได้ปัง! ขณะที่ทั้งสองตกอยู่ในภวังค์ความคิด ประตูที่เคยเปิดอยู่กลับปิดกะทันหัน ตัวอักษรสีแดงตัวโตแสดงอยู่บนผนังห้อง‘บทเพลงเพลิงพิรุณลืมเลือนสยบใต้หล้า ’“ที่แท้ก็ไม่ใช่ภาพวา
พระอาทิตย์ลับขอบฟ้าเป็นเวลานานมากแล้ว ภาพยามค่ำคืนควรปรากฏอยู่ในสายตา ทว่าที่แห่งนี้กลับเต็มไปด้วยแสงแดดอ่อนสว่างนวลราวแดดยามเช้า ลมหนาวเย็นยะเยือกถึงกระดูกพัดผ่านตัวนางที่นอนเหยียดแขนขาบนเก้าอี้หวายใต้ต้นท้อเป็นครั้งคราว ด้านข้างของนางเป็นสระหยกเย็นที่อบอวลไปด้วยพลังไอปราณบริสุทธิ์เข้มข้น หากแต่ไอน้ำที่ลอยอยู่เหนือสระเต็มไปด้วยหมอกพิษที่พร้อมคร่าชีวิตของผู้ที่เผลอสูดดมเข้าไปในเสี้ยววินาที หากเหลือบมองไปยังด้านหลังสระจะเห็นว่ายังมีโถงไม้หลังหนึ่งตั้งตระหง่านอยู่ไม่ไกลเดิมทีไม่ควรเรียกว่าโถงด้วยซ้ำ ลักษณะของมันพิเศษอยู่สักหน่อยเพราะมีห้องแยกเรียงกันอยู่สามห้อง คล้ายกับเรือนชั้นเดียวมากกว่า เหมาะกับพักอาศัยอย่างยิ่ง น่าแปลก...ที่แห่งนี้ราวกับอยู่คนละโลก ทิวทัศน์สวยงามเหมือนไม่มีอยู่จริง ใครจะรู้ว่ามันซ่อนอยู่ในพื้นที่สีแดงของสำนักแพทย์โอสถ หลี่หลิงเฟิ่งค้นพบที่นี่โดยบังเอิญหลังจากแอบเข้ามาสำรวจเขตลับด้วยตนเองอยู่หลายครั้งเสียงน้ำกระเพื่อมเบา ๆ ดังลอดเข้ามาในหูขัดขวางความดื่มด่ำกับธรรมชาติของหลี่หลิงเฟิ่ง นางเลิกคิ้วเล็กน้อย ลืมตาขึ้นมาอย่างช้า ๆ หันศีรษะม
พรึ่บ !เปลวเพลิงไม่รู้ที่มาแผดเผาบริเวณโดยรอบโดยที่ทุกคนไม่ทันได้ตั้งตัว แผดเผาทุกสรรพสิ่งที่อยู่เบื้องหน้าให้มอดไหม้“เจ้าฉวยโอกาส” ผู้บุกรุกกัดฟันกรอดด้วยความเคียดแค้น ทว่าเมื่อเทียบกับคนอื่นกลับดูดีกว่ามาก เขาป้องกันการลอบโจมตีของนางครั้งนี้ได้ทัน“ฆ่ากันต้องมีกฎด้วยหรือ ก็แค่เจ้าตาย ข้ารอด” หลี่หลิงเฟิ่งมองไปอย่างเสียดาย นางรึอุตส่าห์เปิดด้วยกระบวนท่าใหญ่ แต่ต้องคว้าน้ำเหลวเสียนี่ แต่ไม่เป็นไร ลองอีกครั้งก็ได้เปิดก่อนได้เปรียบ!“ดูซิว่าเจ้าจะรับมือได้นานแค่ไหน” ไม่รอให้ศัตรูได้ทันหายใจ นางส่งมอบการโจมตีอันหนักหน่วงออกไปให้เขาไม่ขาดสาย ต่อให้รับกระบวนท่าของนางได้ทุกครั้ง แต่ร่างกายคนฝึกยุทธ์ที่ไม่ได้มีระดับสูงมากนักก็มีขีดจำกัดอยู่ดี ซึ่งต่างจากนางที่มีน้ำทิพย์ให้ดื่มฟื้นฟูพละกำลังอยู่ตลอดเวลานางทนได้ แต่คนทั่วไปย่อมแตกต่าง“เหอะ คิดว่าเจ้าทำอย่างนี้แล้วมีความหมายหรือ เป็นข้าที่ประเมินเจ้าสูงเกินไป” เห็นได้ชัดว่าผู้พูดกำลังดูถูก หลี่หลิงเฟิ่งก็ยังไม่สะทกสะท้าน สมควรทำยังไงก็ทำต่อไปผู้บุกรุกขมวดคิ้วเล็กน้อย คล้ายสงสัยถึงบางอย่างที่ผิดปกติ แต่ก็บอกไม่ถูกว่าผิดปกติที่ตรงไหน นิ่งอย
ด้วยความไม่รู้เหนือใต้ออกตก ทุกคนได้ย่างเข้ามาในพื้นที่อันตรายที่สุดในเขตหวงห้ามเสียแล้ว รวมทั้งหลี่หลิงเฟิ่งเองด้วย หญิงสาวพบว่าบรรยากาศโดยรอบเงียบสงัด แม้แต่เสียงใบไม้กระทบกับลมก็ยังไม่มีให้ได้ยิน ราวกับไร้จุดหมาย ดูเหมือนว่านางเพียงแค่เดินเตร็ดเตร่มาหลายเค่อเท่านั้น หากแต่หลี่หลิงเฟิ่งระวังตัวมากขึ้นเนื่องจากพื้นที่ที่เคยมีหมอกหนา ต้นไม้ใบหญ้าเขียวชอุ่ม กลายเป็นพื้นที่แห้งแล้ง ผืนดินแตกแขนง ร้อนระอุจากการแผดเผาของดวงอาทิตย์ ราวกับอยู่คนละโลกกับเมื่อสักครู่โดยสิ้นเชิงทางนั้น!เสียงของถิงถิงดังขึ้นจากในหัวของนาง หลี่หลิงเฟิ่งเดินตามทางที่ถิงถิงบอก สุดท้ายหยุดยืนใต้ต้นไม้ต้นหนึ่งใกล้บึงน้ำขนาดเล็กที่แห้งขอดไปแล้ว น่าแปลกที่ต้นไม้ต้นนี้เป็นเพียงต้นเดียวที่ยังคงแตกกิ่งก้าน อยู่รอดท่ามกลางบรรดาต้นอื่นที่หลือเพียงซากและใบไม้แห้งกรอบราวกับต้นไม้มีชีวิตหรี่ หรี่เสียงปริศนาดังขึ้น ครั้งนี้เสียงของมันชัดเจนกว่าครั้งไหน ๆ ใกล้จนหลี่หลิงเฟิ่งหวาดระแวง ประเดี๋ยวมองซ้าย ประเดี๋ยวมองขวา กลับไม่พบสิ่งผิดปกติ เสียงนั้นยังคงดังต่อเนื่อง จิตสังหารรอบตัวของหลี่หลิงเฟิ่งแผ่ขยายออกอย่างรวดเร็ว แสงสีข
“อะ…อาจารย์อา ขออภัยที่ล่วงเกินเพียงแต่ข้าขอทราบชื่อของท่านได้หรือไม่ขอรับ” โจวอวี๋ถามขึ้นมาอีกครั้ง นางยังเด็กยิ่งนักเป็นไปได้หรือไม่ว่าอาจจะแปลงรูปโฉมให้คงความเยาว์วัยไว้เสมอ บางทีหากได้รู้จักชื่อเสียงเรียงนามของนาง เขาน่าจะรู้จัก คนมีความสามารถระดับนี้ เขาจะพลาดได้อย่างไร“ข้ามีนามว่าหลี่หลิงเฟิ่ง” หญิงสาวตอบเสียงเรียบ ยามนี้นางกำลังเพ่งจิตเข้าไปสำรวจด้านในเขตหวงห้าม จึงไม่ได้สังเกตท่าทางตกใจของคนที่อยู่ในนี้ทั้งหมด ทันทีที่นางพูดจบพลังจิตขอนางจับสิ่งผิดปกติอันใดไม่ได้เลย จนกระทั่งสำรวจเข้าไปในส่วนลึกของเขตหวงห้ามนางถึงค้นพบควันสีดำขุมหนึ่ง หลี่หลิงเฟิ่งเข้าไปใกล้ขึ้นเรื่อย ๆ แต่ว่าเหมือนมีอะไรมาขวางกั้นนางเอาไว้ทำให้ไม่สามารถมองเห็นสิ่งที่อยู่ข้างในได้ ซ้ำร้ายยังถูกผลักออกมาหลี่หลิงเฟิ่งหลุบตาลงครุ่นคิดอยู่คนเดียวเป็นเวลานาน เมื่อนางเงยหน้าขึ้นมาก็พบว่าทุกคนกำลังมองมาที่นางเป็นตาเดียว“ไม่จริงน่า จะเป็นเจ้าไปได้อย่างไร” เหลียนฉู่ฉู่เอ่ยออกมาเป็นคนแรก อย่างไม่เชื่อสายตา“ข้าคาดเดาตั้งแต่แรกแล้วว่าเจ้าคือหลี่หลิงเฟิ่ง คู่หมั้นขององค์ชายรองโม่ เพียงแต่รู้สึกแปลกใจ ทำไมแม่นางหลี่ถึง
เจ้านาย ทางนี้!เสียงนี้อีกแล้ว เรียกหาตั้งแต่นางเดินเข้ามาในอุโมงค์นี้เสียงก็ดังก้องในหูนางไม่ต่ำกว่าห้าครั้ง นางเดินออกมาห่างไกลจากคนในกลุ่มเรื่อย ๆ สมบัติตรงนี้น้อยกว่าที่อื่นมาก ชั้นวางสมบัติเป็นเพียงหินที่ทำเป็นชั้น ๆ เรียงกันขึ้นมาเท่านั้น แตกต่างจากก่อนหน้าที่ทำขึ้นด้วยทองคำและหยก คนเข้าละโมบและลุ่มหลงได้ง่ายหลี่หลิงเฟิ่งหยิบเศษผ้าขาวที่เขรอะไปด้วยฝุ่นที่อยู่ท่ามกลางบรรดาสมบัติชิ้นอื่นขึ้นมา นางพินิจถึงความพิเศษที่ควรจะมี ทว่ากลับเป็นเพียงผ้าธรรมดาเท่านั้น นางตัดสินใจวางลงที่เดิม เพียงแต่มือของนางกลับหนักอึ้งอย่างไม่ทราบสาเหตุ เมื่อนางหยิบขึ้นมาอีกรอบความรู้สึกหนักอึ้งที่มือกลับหายไปฟุบ!“อ๊ะ” ลมที่ไม่รู้มาจากที่ใดปะทะเข้ากับหน้าของนางอย่างจัง เศษผ้าปลิวมาติดที่ตาทั้งสองข้างปิดกั้นการมองเห็นไปชั่วขณะ จากนั้นก็ผสานเข้ากับนางเป็นหนึ่งเดียว หลี่หลิงเฟิ่งตกใจไม่น้อยเมื่อรู้สึกตัว แค่เพียงแวบเดียวเท่านั้น ผ้าผืนนั้นก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย นางมองซ้ายขวาอย่างร้อนรนอยู่บ้าง นางรีบปรับตัวให้เป็นปกติ ด้วยกลัวคนทั้งหมดในนี้จะเห็นการกระทำอันแปลกประหลาดนี้ของนางหญิงสาวลองทดสอบพลังยุทธ์และ
“อ่ะแฮ่ม...ไม่ว่าการประลองครั้งไหนก็ตัดสินที่ความสามารถเสมอ สำนักแพทย์โอสถเรายังไม่ถึงต้องให้ผู้อื่นมาตัดสินแทนหรอก” ผู้คนโดยรอบไม่มีใครกล้าส่งเสียงสักคน หรงอู่ซาบซึ้งใจน้ำตาแทบไหล เวลานี้เทิดทูนหลี่หลิงเฟิ่งยิ่งกว่าเจ้าสำนักเสียอีก ตั้งแต่นั้นมารอยยิ้มบนใบหน้าหุบไม่ลงอีกต่อไปครบหนึ่งชั่วยาม ผู้ชนะผ่านเกณฑ์ตัดสินมีเพียงห้าคนเท่านั้น เมื่อเป็นเช่นนั้นรองเจ้าสำนักจึงใจดีเปิดเขตลับให้คนทั้งห้าเสียเลย ทั้งหมดมุ่งไปยังเขตลับที่อยู่ในส่วนลึกสุดของสำนักแพทย์โอสถ โดยมีรองเจ้าสำนักและหลี่หลิงเฟิ่งเป็นผู้นำในครั้งนี้“พวกเจ้าทุกคนสามารถเลือกสิ่งของที่อยู่ในเขตลับได้หนึ่งอย่าง และห้ามเข้าไปในเขตหวงห้ามเด็ดขาด บอกไว้ก่อนหากฝ่าฝืนข้าไม่รับรองความปลอดภัยของใครทั้งนั้น เพราะฉะนั้นอย่าริอ่านทำผิดกฎ” รองเจ้าสำนักกล่าวเสียงแข็ง จากนั้นเปิดเขตลับให้ทั้งหมดเข้าไปอย่างเปิดเผย“มีอะไรซ่อนอยู่ที่นี่งั้นหรือ” หลี่หลิงเฟิ่งรู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากล นางรู้สึกกลาย ๆ เหมือนว่าไม่ได้มีแค่พวกนางเท่านั้นที่อยู่ในนี้ จึงถามออกไปด้วยความสงสัยใคร่รู้“เรื่องนี้…” หรงอู่อึกอัก หน้าตาเหยเก “ข้าก็ไม่รู้แน่ชัด ว่ากันว่าท
หลายวันมานี้หลี่หลิงเฟิ่งอยู่อย่างสงบสุขเสมอมา นอกจากรักษาเจ้าสำนักทุกเช้า นางใช้เวลาทั้งวันไปกับฝึกหลอมโอสถที่ห้องหลอมโอสถ ใช้สมุนไพรของสำนักแพทย์โอสถราวกับน้ำ เรียกได้ว่าละลายทรัพย์ของแท้ เหตุเพราะเกิดกระทบกระทั่งกันวันนั้นจึงไม่มีใครกล้าออกมาตำหนิ กลับกันทุกคนคอยเอาใจนางทุกอย่าง วันนี้ก็เช่นกัน หลังจากกลับมาจากรักษาเจ้าสำนัก นางก็ตรงไปที่ห้องหลอมโอสถ หยิบเตาหลอมออกมาจากกำไลสำริดอย่างคล่องแคล่วส่วนที่ว่านางได้ของพวกนี้มาได้ยังไงน่ะหรือ ต้องเท้าความไปเมื่อไม่กี่วันก่อน ศิษย์พี่รองมาหานางที่ที่พำนัก กล่าวขอโทษที่สบประมาทนางวันนั้น พร้อมทั้งอยากให้นางยกโทษให้ หลี่หลิงเฟิ่งรู้ตัวว่านางนั้นเป็นคนดี ไม่ถือสาความเรื่องเล็กน้อยกับคนกันเองอยู่แล้วเพียงแค่ศิษย์พี่รองมอบของปลอบใจให้นาง นางอายุน้อยต้องเคารพผู้ใหญ่ย่อมไม่เรียกร้องมากมายอันใด ถึงแม้ศิษย์พี่รองจะดูเสียดายไปบ้าง ยามยื่นให้รู้สึกถึงความมือไม้สั่นเล็กน้อย ทว่าจนแล้วจนรอดกำไลสำริดและเตาหลอมโอสถชั้นเลิศก็อยู่ในมือนางอยู่ดีหลี่หลิงเฟิ่งพลันรู้สึกว่าการมีศิษย์พี่ก็ไม่ได้แย่อันใดแต่มีบ้างบางครั้งที่รู้สึกเปล่าเปลี่ยว โม่จื่อหลิงขอแยกต
ภายในห้องพำนักเจ้าสำนักแพทย์โอสถปรากฏหูซานและชายชราอีกสองคน รวมทั้งลูกศิษย์บางคน ทำหน้าเคร่งเครียด ใบหน้าอ่อนล้าเพราะอดนอนมาหลายวัน บนเตียงไม้สลักมีร่างผ่ายผอมดำคล้ำของชายชราผู้หนึ่ง นอนสลบไสลราวกับคนใกล้หมดสิ้นอายุขัย “ศิษย์น้องสี่ เป็นอย่างไรบ้าง เจ้าพอมีทางช่วยศิษย์พี่ใหญ่บ้างหรือไม่”“ข้าเองก็อับจนหนทางเหมือนกัน ยาขวดนั้นเพียงแค่ยื้อลมหายใจศิษย์พี่ใหญ่เท่านั้น ต่อให้เป็นท่านเทพมาตอนนี้ก็ไม่แน่ว่าจะช่วยได้ พิษลุกลามไปทั่วร่างกายศิษย์พี่ใหญ่ตั้งนานแล้ว” หูซานส่ายหน้า สองตาแดงก่ำไม่อาจทำใจได้ หลายวันมานี้พวกเขาค้นคว้าหายาถอนพิษ ทว่าก็ล้มเหลวจนกระทั่งหวังซีมาพร้อมยาขวดหนึ่ง พวกเขาถึงได้มีความหวังขึ้นมา เพียงแต่ดีใจได้ไม่กี่วัน ไม่รู้เพราะสาเหตุใดอาการของศิษย์พี่ใหญ่ถึงทรุดลงอย่างรวดเร็ว แม้แต่เขาที่เป็นอัจฉริยะแห่งยุคก็ไม่อาจหาต้นตอของอาการเหล่านี้ได้ หูซานพบว่าไม่มีหนทางที่ศิษย์พี่ใหญ่จะรอดแล้วเสียงเคาะประตูดังขึ้นจากด้านนอกหวังข่ายที่สภาพก็ไม่ได้ดีไปกว่าคนอื่น ๆ ในห้อง เดินออกมาเปิดประตู พอเห็นว่าเป็นรองเจ้าสำนักเขาก็เบี่ยงตัวหลบอย่างเคยชิน แต่เมื่อรู้สึกว่ามีคนเดินตามหลังรองเจ้า