หลี่หลิงเฟิ่งไม่คิดจะซ่อนตัวอีกต่อไป นางฟาดฝ่ามือลงบนกลางหลังเสี่ยวเฉินด้วยแรงทั้งหมดที่มีเพื่อส่งเสี่ยวเฉินให้ไปไกลมากที่สุด ส่วนนางรุดเข้าไปหาชายชุดดำข้างหน้า ขณะที่นางเอี้ยวตัวหันไปผลักเสี่ยวเฉินนั้นมืออีกข้างที่ว่างอยู่ล้วงเข้าไปหยิบผงสีขาวชนิดหนึ่งในมิติออกมา
“คุณหนู!” เสี่ยวเฉินที่โดนฝ่ามือปะทะจากผู้ฝึกยุทธ์ขั้นกำเนิดใหม่ระดับกลางลอยละลิ่วไปหลายจั้ง ดวงตาฉายแววตื่นตระหนก เมื่อร่วงลงบนพื้นได้ก็ทำท่าจะวิ่งกลับมาหาหลี่หลิงเฟิ่งอีกครั้ง
‘กลับไป! รีบไปตามอู๋เหยียนมาที่นี่ เร็ว! ยิ่งเจ้าอยู่จะยิ่งทำให้ข้าห่วงหน้าพะวงหลัง ไปซะ’ หลี่หลิงเฟิ่งเพ่งกระแสจิตอย่างหนักหน่วงจนรู้สึกปวดหัวขึ้นมาเล็กน้อย นางไม่แน่ใจว่าเสี่ยวเฉินจะได้ยินที่นางพูดหรือไม่ นางเคยอ่านเจอในตำราฝึกพลังธาตุ ทว่าก็ยังไม่เคยลองใช้มาก่อน
อย่างไรก็ดี นางไม่สามารถสัมผัสกลิ่นอายเสี่ยวเฉินได้อีก หลี่หลิงเฟิ่งถอนหายใจอย่างโล่งอก ยังดีที่กระแสจิตของนางใช้ได้ อย่างน้อยเสี่ยวเฉินก็ไม่ได้วิ่งกลับเข้ามาหานาง
หลี่หลิงเฟิ่งสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง เรียกความมั่นใจของตนกลับมา มือทั้งสองข้างเย็นเฉียบ ด้วยพละกำลังของนางในตอนนี้ คิดจะใช้พลังยุทธ์ปะทะคงเป็นไปไม่ได้ที่นางจะชนะ
“เจ้า มานี่ให้ข้า!” หนึ่งในชายชุดดำเจ้าของเสียงอันทรงพลังตลาดออกมาด้วยความโมโห หลี่หลิงเฟิ่งไม่คิดจะหลบเลี่ยงอยู่แล้ว ค่อยๆ เดินเข้าไปใกล้อย่างเชื่องช้า สีหน้าสงบนิ่ง แต่ภายในใจกำลังครุ่นคิดวิธีร้อยแปดพันอย่างที่จะถ่วงเวลาให้ได้นานที่สุด
เมื่อนางเดินเข้าไปใกล้ๆ ก็สังเกตเห็นรูปร่างกำยำผิวคล้ำกรำแดด ใบหน้าดุดันเต็มไปด้วยจิตสังหารจ้องเขม็งมาที่นาง ส่วนอีกคนที่อยู่ด้านหลังเป็นบุรุษร่างผอมบางอมโรคคนหนึ่ง แววตาลุ่มลึกยากจะหยั่งถึง
“พี่ชาย ท่านคิดจะฆ่าคนปิดปากอย่างนั้นหรือ” เสียงนุ่มนวลของหญิงสาวดังขึ้นแผ่วเบา ระบายรอยยิ้มน้อยๆ ที่มุมปาก ชวนให้คนที่พบเห็นสบายตาไปด้วย
“สังหารเจ้าหรือ” บุรุษชุดดำรูปร่างกำยำตวาดลั่นพร้อมกับหัวเราะลั่น “ข้าต้องฆ่าเจ้าแน่ เช่นนั้นแล้ว หากเรื่องนี้แพร่ออกไป พวกข้าไม่กลายเป็นคนถูกไล่ล่าเองหรอกหรือ” เขามองหลี่หลิงเฟิ่งราวกับเห็นตัวประหลาดสมองหมู แต่เมื่อเพ่งพินิจมองหญิงสาวก็ได้แต่อ้าปากค้าง
สาวงาม ช่างงดงามเหลือเกิน งามกว่าทุกคนที่เขาเคยเจอมา
เสียงเกรี้ยวกราดที่กำลังเปร่งออกมา พลันเปลี่ยนเป็นนุ่มนวล “แต่ถ้าเจ้าอยากมีชีวิตรอด มาเป็นเมียพวกข้าสักสองสามคืนก่อนเป็นไง ฮ่าๆ ถึงตอนนั้นข้าอาจจะใจดีเลี้ยงเจ้าไว้เป็นนางบำเรอก็ได้ เจ้าว่าอย่างไร” บุรุษต่ำทรามผู้นั้นแสยะรอยยิ้มอันน่ารังเกียจออกมา สายตาหื่นกระหายมองอย่างจาบจ้วงแทะโลมหลี่หลิงเฟิ่งไปทั่วเรือนร่าง
“อย่างนั้นหรือ?” หลี่หลิงเฟิ่งหัวเราะออกมาเบาๆ สายตาที่เคยสงบนิ่งพลันเย็นชาขึ้นมาหลายส่วน นางเหลือบมองที่ข้างขอบสระแวบหนึ่ง ริมฝีปากพลันคลี่ยิ้มกว้างสดใส
“เช่นนั้นเจ้าก็ลองดู” หลี่หลิงเฟิ่งพุ่งกายเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วมายืนด้านข้างระหว่างชายชุดดำทั้งสองอย่างรวดเร็ว ประกายสังหารพลันปรากฏขึ้นบนดวงตาของหญิงสาว พร้อมกับสาดผงสีขาวที่มือออกไปข้างหน้า
“อ๊ากกก” เสียงร้องโหยหวนสองเสียงดังลั่น สองมือกุมดวงตาตัวเองอย่างเจ็บปวดทรมาน หลี่หลิงเฟิ่งหัวเราะเย้ยหยันอยู่ในใจ คนพวกนี้เห็นนางเป็นคนปัญญาอ่อนหรือไง มีหรือที่คนปกติจะนอนรอให้คนอื่นมาเชือดได้ง่ายๆ
จากนั้นสายตาหญิงสาวหันไปสนใจบุรุษชุดดำอีกคนที่นอนรอความตายอยู่บนพื้น ความโกรธของนางพุ่งสูงหมื่นจั้ง ถ้าไม่ใช่เพราะไอ้บ้าน่าตายผู้นี้ นางคงไม่ต้องมารนหาที่ตายอย่างนี้แน่
อยากตายนักหรือ เดี๋ยวพี่สาวคนนี้จัดให้!
อั่ก! เท้าเล็กเหยียบลงบนหน้าอกของชายหนุ่มอย่างแรง ร่างสูงใหญ่กระตุกสองสามทีก่อนจะแน่นิ่งไป
“สมควรตาย!” บุรุษชุดดำร่างผอมบางคำรามออกมาอย่างเคียดแค้น พลังอันมหาศาลสีส้มสายหนึ่งพุ่งตรงมาที่หลี่หลิงเฟิ่งอย่างรวดเร็ว โดยที่นางไม่อาจป้องกันได้เลยแม้แต่นิดเดียว
ตูม!
เมื่อโดนพลังทรงพลังเช่นนั้น ร่างของนางปลิวกระเด็นตกลงไปในสระน้ำอย่างแรง น้ำในสระสาดกระเซ็นไปรอบทิศ ด้วยอานุภาพที่รุนแรงนี้ ภายในกายของนางบอบช้ำแสนสาหัส หลี่หลิงเฟิ่งกระอักเลือดออกมาไม่หยุด ผิวหนังภายนอกเสียดสีกับผิวน้ำ ส่งผลให้มีบาดแผลราวมีดกรีดหลายร้อยเล่มไปทั่วร่าง บัดนี้น้ำในสระถูกย้อมไปด้วยเลือดสีแดงฉาน
ทว่าต่อให้นางบาดเจ็บแค่ไหน สติของนางก็ยังแจ่มชัด หลี่หลิงเฟิ่งประคองตัวเองว่ายไปฝั่งตรงข้ามอย่างรวดเร็ว เกาะขอบสระไว้แน่น
“หึ เห็นได้ชัดว่าพวกเจ้าไม่มีปัญญา เป็นอย่างไรพิษหญ้าเผยกู่ ทรมานดีหรือไม่” แววตาคมกริบจ้องมองทั้งสองคนที่ยังคงกุมหน้าของตนอยู่ ส่งเสียงหัวเราะออกมาอย่างไม่สะทกสะท้าน
หญ้าเผยกู่เป็นหญ้าที่พบเห็นได้ทั่วไป โดยปกติแล้วรากของมันมีสรรพคุณทางยาช่วยให้เลือดลมไหลเวียนคล่อง แต่ถ้านำใบของมันไปตากแห้งแล้วบดเป็นผงจะทำให้เกิดพิษร้ายแรงชนิดหนึ่งขึ้นมาได้ นั่นก็คือ ผงขับสลาย มีฤทธิ์ทำให้ตาบอดชั่วขณะ ราวๆ หนึ่งเค่อ*
“นางสารเลว เอายาถอนพิษมาให้ข้าเดี๋ยวนี้!” เสียงโวยวายดังขึ้นมาอีกครั้งจากชายร่างกำยำ ชี้มือมาทางหลี่หลิงเฟิ่ง สีหน้าฉายแววโกรธแค้น
“อย่าคิดว่าจะหนีไปไหนรอด รอให้ข้าสับเจ้าเป็นหมื่นๆ ชิ้น ดูสิว่าเจ้ายังจะปากดีอยู่อีกหรือไม่! อ๊ากกก” หางคิ้วของหญิงสาวเลิกขึ้นอย่างท้าทาย
คิดจะฆ่านางหรือ ยังเร็วไปอีกสิบปี!
รอยยิ้มร้ายกาจราวปีศาจสาวผุดขึ้นมา “อ้อ รับไปสิ” หลี่หลิงเฟิ่งคว้าต้นหญ้าที่อยู่ข้างริมสระใกล้ๆ นางขึ้นมา โยนไปให้บุรุษจอมโวยวาย โดยไม่ทันได้คิด เมื่อสิ้นเสียงหญิงสาว มือก็ยื่นออกไปข้างหน้ารับหญ้าต้นนั้นมาอย่างไม่รู้ตัว
หลี่หลิงเฟิ่งยิ้มกริ่ม เจ้าโง่ ปัญญาทึบเอ๋ย “โง่เง่า ปัญญาอ่อน”
“นางแพศยา เจ้าเอาอะไรมาให้ข้า!” ชายหนุ่มนิ่งงันไปชั่วขณะ เมื่อได้สติพลันแผดเสียงคำรามลั่น
“อะไรน่ะหรือ” น้ำเสียงเนิบนาบดังขึ้นมาอีกหน สายตาเจ้าเล่ห์จับจ้องไปยังคนทั้งสองที่ตอนนี้ยังลืมตาไม่ขึ้น “เจ้าไปถามเอากับยมบาลสิ”
สิ่งที่นางโยนไปน่ะหรือ ก็แค่หญ้าต้นหนึ่งเท่านั้น เพียงแต่หญ้าต้นนี้เป็นสมุนไพรล้ำค่าหายากที่สิบปีจะมีสักต้น ไม่คิดว่าจะมาเจอที่ป่าแห่งนี้ได้
จากที่นางได้ศึกษาตำรามาระยะหนึ่งแล้ว สมุนไพรหายากทุกชนิดมักจะมีสัตว์อสูรคอยปกป้องอยู่เสมอ บังเอิญว่าสระน้ำแห่งนี้มีหญ้าหลอมวิญญาณอยู่ต้นหนึ่ง
หลี่หลิงเฟิ่งไม่มีทางเลือก เพื่อถ่วงเวลาให้นานที่สุด นางจำเป็นต้องใช้วิธีเสี่ยงตายเช่นนี้
เจ้าไม่ตาย ก็เป็นข้าที่ม้วย เพราะฉะนั้นอย่าโทษที่ข้าใจร้าย
“ปากดีนัก งั้นก็อย่าอยู่เลย!” ว่าแล้วทั้งสองก็ซัดพลังมายังทิศทางของหลี่หลิงเฟิ่ง ทว่า ยังไม่ทันที่พลังจะถึงตัวนาง สายน้ำที่เคยสงบนิ่งพลันเกิดเป็นเกลียวคลื่นมหึมา ลึกลงไปไม่มีที่สิ้นสุด ร่างแบบบางของหญิงสาวถูกเกลียวคลื่นพัดไปตามกระแสหมุนวนไม่รู้เหนือรู้ใต้
บ้าเอ๊ย ข้าคำนวณมาทุกอย่าง แต่กลับไม่ได้คิดว่าสัตว์อสูรจะอยู่ใต้น้ำ อยากร่ำไห้ตอนนี้ก็สายไปเสียแล้ว
แต่ถึงกระนั้น นางก็ไม่มีเวลาคร่ำครวญให้กับความโชคร้ายได้นานนัก คลื่นใต้น้ำม้วนตัวนางลงไปลึกลงเรื่อยๆ สายตาของนางมองไม่เห็น รอบด้านมืดมิดไปหมด ร่างกายของนางหมุนวนรอบทิศ หูทั้งสองข้างไม่ได้ยินสิ่งใดนอกจากเสียงน้ำอึงอวลอยู่ข้างหูตลอดเวลา
หลี่หลิงเฟิ่งลอบยินดีอยู่ในใจที่เมื่อเช้าตัดสินใจไม่กินหมั่นโถว ไม่อย่างนั้น นางคงสำรอกออกมาจนหมดสิ้นเป็นแน่
ฟู่ๆๆ
ขณะเดียวกัน สถานการณ์บนบกเลวร้ายกว่าที่หลี่หลิงเฟิ่งประสบพบเจอยิ่งนัก บุคคลทั้งสามอยู่รอบสระน้ำปลิวกันไปคนละทิศคนละทาง จากลมที่พ่นออกมาจากปากสัตว์อสูร สภาพดีหน่อยเห็นจะเป็นบุรุษชุดดำปลายชุดขลิบทองผู้เคยนอนอยู่ริมสระที่สลบไปนานแล้วเพราะทนพิษบาดแผลไม่ไหวหรืออาจเป็นเพราะเสียเลือดมากก็เป็นได้ ถูกพัดปลิวไปหลายจั้ง แต่โชคดีที่ร่างกายไม่ได้กระแทกกับสิ่งกีดขวางใดๆ ต่างจากอีกสองคนที่ร่างกายกระแทกโดนลำต้นไม้ใหญ่จนกระอักเลือดออกมาหลายคำ
สัตว์อสูรที่หลับไหลใต้ผืนน้ำค่อยๆ เลื้อยขึ้นมาจากน้ำ ลำตัวยาวหลายสิบฉื่อ สีดำมะเมื่อมมันวาว อวบอ้วนจนเสียคนสองคนโอบรอบตัวมันก็ยังไม่มิด เกล็ดของมันส่องประกายระยิบระยับรับกับแสงแดด พุ่งตรงไปยังชายสองคนใต้ต้นไม้ที่กำลังยันตัวลุกขึ้นยืนอยู่ตอนนี้ ลิ้นสีแดงสดสามแฉกแลบออกมาพร้อมกับพ่นหมอกควันสีเขียวไปข้างหน้า
ฟู่
หย่อมหญ้าที่หมอกควันสีเขียวไหลผ่านนั้น เดิมจากที่เคยเขียวชอุ่ม ล้วนแห้งเหี่ยวลงทันที จากนั้นค่อยๆ แห้งเหือดสลายกลายเป็นเถ้าถ่านลอยคละคลุ้งอยู่กลางอากาศ
เห็นได้ชัดว่าหมอกควันที่มันพ่นออกมานี้มีพิษร้ายแรง
ชายร่างผอมสัมผัสถึงกลิ่นแปลกประหลาดที่ลอยเข้ามา สีหน้าพลันมืดครึ้มลง มือข้างหนึ่งรีบอุดจมูกตัวเองไว้ ขบกรามแน่นอย่างโกรธจัด ส่งเสียงลอดไรฟันออกมาแผ่วเบา” รีบอุดจมูกเร็วเข้า มีพิษ!”
น่าตายนัก! นางบ้านั่นไปปลุกสัตว์ประหลาดตัวไหนเข้า อย่าให้ข้าหนีรอดไปได้ ข้าจะให้มันต้องตายอย่างทรมานเป็นร้อยเท่าพันเท่า
พลังยุทธ์สีส้มสลับเขียวหลายสายพุ่งไปทั่วบริเวณ แต่ไม่สามารถทำอันตรายงูยักษ์ได้ เนื่องจากดวงตาที่ยังมองไม่เห็น พลังที่ปล่อยออกไปจึงสะเปะสะปะไร้ทิศทาง ทว่าพิษของเจ้างูยักษ์ก็ทำอะไรมนุษย์สองคนนี้ไม่ได้เหมือนกัน งูยักษ์แลบลิ้นออกมาด้วยความโกรธ ไม่นานสองมนุษย์หนึ่งงูก็ปะทะกันอีนุงตุงนังไปหมด
ภายใต้สระน้ำ ร่างหนึ่งค่อยๆ จมลงไปยังก้นสระ หญิงสาวไม่ได้รับรู้ถึงสถานการณ์ภายนอกเลยแม้แต่น้อย กระแสน้ำกลับมาสงบนิ่งเหมือนอย่างเคย หลี่หลิงเฟิ่งหลับตาพริ้มทิ้งตัวดิ่งลงไปตามแรงโน้มถ่วง ปล่อยกระแสจิตออกไปสำรวจรอบๆ บริเวณ
ยังดีที่ชาติก่อนนางเคยฝึกดำน้ำ ทดสอบกลั้นหายใจได้ราวๆ ครึ่งเค่อ หลี่หลิงเฟิ่งไม่รู้ว่าสัตว์อสูรตัวนั้นจะสามารถกำจัดศัตรูพวกนั้นได้หรือไม่ แต่ไม่ว่าอย่างไร เวลาเท่านี้ก็เพียงพอให้คนของนางตามมาช่วยทันแล้ว ถึงนางจะไม่รู้ถึงระดับพลังยุทธ์ของอู๋เหยียน แต่หากจะเลวร้ายแค่ไหนก็ต้องสูงกว่านางแน่นอน
ขณะที่คิดถึงความเป็นไปได้ต่างๆ นานา หลี่หลิงเฟิ่งสัมผัสถึงความเย็นสบายที่ได้รับก่อนหน้านี้ ยิ่งร่างนางดิ่งลึกลงไปเท่าไหร่ ความเย็นยิ่งแผ่ซ่านออกมาเรื่อยๆ
มันอยู่ข้างใต้นี่
หญิงสาวลืมตาขึ้นมาฉับพลัน แววตาสั่นระริกเจือความตื่นเต้น เร่งดำน้ำลงไปยังก้นสระ น้ำในสระแห่งนี้แปลกประหลาดยิ่งนัก ยิ่งอยู่ลึกยิ่งให้ความรู้สึกเบาสบาย คิ้วของนางขมวดเข้าหากันโดยไม่รู้ตัว นอกจากนั้นยังช่วยให้บาดแผลภายนอกของนางสมานตัวเร็วขึ้น
หรือน้ำในสระนี้จะมีคุณสมบัติคล้ายๆ กับน้ำทิพย์ในมิติของนาง
เมื่อหลี่หลิงเฟิ่งมาถึงก้นสระ แสงสะท้อนแวววาวหลากสีคือสิ่งแรกที่กระทบเข้ากับนัยน์ตาของนาง หลี่หลิงเฟิ่งสายตาพร่ามัวไปชั่วขณะ นางหรี่ตาลงน้อยๆ เพ่งพินิจถึงที่มาของแสงเจ้าปัญหา ทันใดนั้นสีหน้างดงามพลันฉายแววฉงน
ก้อนหิน?
ไม่สิ มันเหมือนอัญมณีที่ถูกขัดเกลาจนโปร่งใสแล้วต่างหาก ถ้าหากเป็นเมื่อก่อนนางคงรวยเละไปแล้วล่ะ
นางกวาดตามองไปรอบๆ พลันพบว่านอกจากอัญมณีเหล่านี้แล้วยังมีพวกเหรียญเงิน เหรียญทอง ข้าวของเครื่องใช้ล้ำค่ามากมายก่ายกองเต็มก้นสระ
โอ้! นี่นางเจอขุมทรัพย์อีกแล้วหรือนี่
หญิงสาวแทบหลั่งน้ำตาเป็นสายเลือด อย่างน้อยในความโชคร้ายก็ยังมีความโชคดีซ่อนอยู่
*หนึ่งเค่อ = 15 นาที
เมื่อพินิจดูอย่างละเอียด นอกจากสมบัติเหล่านั้นแล้ว ยังมีโครงกระดูกกระจัดกระจายอยู่เต็มพื้นไปหมด แค่คิดนางก็เข้าใจขึ้นมาบ้างแล้ว ทรัพย์สมบัติทั้งหลายคงเป็นของเจ้าของโครงกระดูกเหล่านี้ที่ถูกเจ้าปีศาจตนนั้นสังหารหลี่หลิงเฟิ่งมองสมบัติมากมายแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ ถ้าเก็บทีละชิ้นนางได้ขาดอากาศหายใจก่อนเป็นแน่ นางจะเก็บหมดได้อย่างไร หญิงสาวครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง ลองกวาดมือออกไปบริเวณที่มีสมบัติพลางคิดในหัว ‘เก็บ’ สมบัติที่กองเกลื่อนกลาดอยู่ตรงหน้าหายวับไปในพริบตาอย่างนี้ก็ได้หรือ ที่ผ่านมานางมัวเก็บทีละชิ้นให้เสียเวลาไปทำไมหลี่หลิงเฟิ่งส่งพลังจิตเข้าไปสำรวจในมิติของตนเอง พบว่าพื้นที่สี่เหลี่ยมเล็กๆ ของนางอัดแน่นไปด้วยสมบัติ แทบไม่เหลือพื้นที่ให้ใช้สอยเลยด้วยซ้ำนางเริ่มกลัดกลุ้มขึ้นมาบ้างแล้ว เห็นทีข้าต้องแข็งแกร่งขึ้นกว่านี้ นางได้แต่บ่นอุบอยู่ในใจอย่างช่วยไม่ได้ช่างมันไปก่อน เรื่องของวันหน้าก็เอาไว้คิดกันวันหน้า ยังดีที่มิติของนางยังเก็บสมบัติไปได้หมด ไม่อย่างนั้นคงเสียดายแย่ อย่าหาว่านางทำตัวเหมือนโจรปล้นชิงเลย ก็ใครใช้ให้นางมีมิติมายาติดกายกันเล่าครืนนพลังจากบนบกสั่นสะเทือนมาถึงใต้น้ำ
บรรยากาศเงียบสงัดแพร่กระจายไปทั่วห้อง หลี่หลิงเฟิ่งหายใจสะดุด ดวงตาเรียวสวยไม่ได้เลื่อนออกจากใบหน้าของบุรุษผู้นั้นเลย เช่นเดียวกับดวงตาคมกริบกวาดมองนางเงียบๆเนิ่นนาน ไร้ซึ่งคำพูด และไม่ขยับคล้ายเวลาล่วงเลยไปหลายสิบปี เสียงสูดลมหายใจอย่างหนักหน่วงดังขึ้นทำลายความเงียบงันที่น่ากระอักกระอ่วนนี้ สุดท้ายแล้วยังคงเป็นหลี่หลิงเฟิ่งที่ทนไม่ไหว ใคร่สงสัยตัวตนบุรุษรูปงามท่านนี้ ริมฝีปากเม้มแน่น อยากพูดบางอย่างแต่กลับพูดอะไรไม่ออก มือของเขายังคงลูบผมนางอยู่อย่างนั้น คล้ายปลอบประโลมนางอยู่ทุกวินาที“ข้า...ข้าอยากกินองุ่น” หลี่หลิงเฟิ่งชะงักค้างอย่างทำอะไรไม่ถูก หน้าขึ้นริ้วแดงๆ ด้วยความอับอาย นี่นางพูดอะไรออกไปอยากกินองุ่น? องุ่นเนี่ยนะ เพ้ย!หลี่หลิงเฟิ่งขยับตัวหลบฝ่ามือใหญ่ หลุบตาต่ำ ไม่กล้ามองหน้าเขาอีกต่อไป ในใจสบถด่าตนเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทำตัวเป็นหญิงสาววัยแรกรุ่นไปได้“เสี่ยวเซียง” บุรุษชุดขาวยิ้มพลางส่งเสียงเรียกเสี่ยวเซียง “เจ้าค่ะ คุณชายใหญ่” หลี่หลิงเฟิ่งมองเสี่ยวเซียงผลักประตูเข้ามา เดินก้มหน้ามาคุกเข่าตรงปลายเตียง ก่อนจะเงยหน้าจ้องมองผู้เป็นนายด้วยน้ำตาที่เอ่อล้นนัยน์ตาคุณชายใหญ่ หล
สิ้นเสียงของหลี่หลิงเฟิ่ง มีมือสังหารรายหนึ่งทะยานเข้ามาหา หลี่หลิงเฟิ่งหมุนตัวอย่างรวดเร็ว ลำแสงสีแดงเพลิงอาบย้อมกระบี่ แทงสวนกลับไป มือสังหารที่วิ่งเข้ามายังไม่ทันตั้งตัว แววตาพลันตื่นตระหนก ร่างกายแข็งค้างล้มลงตรงหน้าหญิงสาว“ระ....” สตรีผู้นี้... ในชั่วพริบตา โลกเบื้องหน้าเข้าสู่ความมืดมิด เพียงแค่ปริปากพูดก็ไม่ทันเสียแล้ว“เสี่ยวเฉิน” ขวดกระเบื้องเคลือบขนาดเล็กถูกโยนออกมาจากมิติไปทางด้านหลัง รอยยิ้มเย็นชาปรากฏขึ้นในแววตาหลี่หลิงเฟิ่ง ชุดสีแดงเพลิงเปียกชุ่มลู่ลงแนบลำตัว มือสังหารคาดไม่ถึงว่าจะมีสตรีอ่อนปวกเปียกเข้ามาช่วย หลี่หลิงเฟิ่งอาศัยจังหวะที่อีกฝ่ายมึนงง ฝ่าวงล้อมเข้าไปยืนข้างกายอู๋เหยียนเสี่ยวเฉินรับขวดกระเบื้องเนื้อหยาบที่ลอยมาตรงหน้า วิ่งอ้อมไปด้านหลังฝั่งหลี่เฟยหยาง เขารู้ดีว่ามันเป็นโหลบรรจุยาที่หลี่หลิงเฟิ่งปรุงขึ้น จะไม่ให้คุ้นเคยได้อย่างไร ในเมื่อคุณหนูเป็นคนสั่งให้เขาซื้อมันมาโดยเฉพาะหากแต่เขาไม่รู้ว่ามันคือยาอะไร เสี่ยวเฉินมองหลี่หลิงเฟิ่งอย่างอับจนปัญญา อยากจะขอความช่วยเหลือ ทว่า เหลือบสายตามองเพียงแวบเดียวก็ให้สูดหายใจลึก“เฟิ่งเอ๋อร์ เข้ามาทำไม ออกไป” ใบหน้าที
ไม่รู้ผ่านไปกี่ชั่วยาม แสงยามเช้าส่องกระทบใบหน้าหลี่หลิงเฟิ่ง เสียงฝูงนกกระพือปีกบนต้นไม้ส่งเสียงร้องบินออกหากิน นางจำไม่ได้ว่าเกราะป้องกันสลายไปตอนไหน ทำสิ่งใดลงไปบ้าง ตั้งแต่ต้นจนจบสายตาของนางอยู่ที่คนในอ้อมกอดตลอดสมุนไพรทุกอย่างที่นางมีถูกนำมารักษาหลี่เฟยหยาง ยาต่างๆ ที่เคยสกัดไว้ก็เอาออกมาใช้ทั้งหมด แต่เหมือนจะเอามาเททิ้งมากกว่า เขาไม่มีท่าทีจะฟื้นขึ้นมาเลย ยังดีที่สมุนไพรเหล่านี้ยื้อลมหายใจสุดท้ายของเขาเอาไว้ได้แต่แล้วอย่างไร เขาจะทนได้นานแค่ไหน นางเองก็ยังไม่รู้จากเหตุการณ์เมื่อคืน หลี่หลิงเฟิ่งตระหนักได้ถึงโลกใบนี้อย่างแท้จริง โลกที่ผู้ฝึกพลังยุทธ์เป็นใหญ่ นางเคยคิดว่ารออีกหน่อย เดี๋ยวนางจะแข็งแกร่งขึ้น ไม่ต้องสนใจใครหรือสิ่งใดให้มาก ใช้ชีวิตอย่างที่ต้องการให้เต็มที่จนเมื่อมีผู้ชายคนหนึ่งยอมตายเพื่อนาง ความเพ้อฝันเหล่านั้นจึงพังทลายลง หลี่หลิงเฟิ่งไม่มีความผูกพันกับคนในโลกนี้ อย่าว่าแต่หลี่เฟยหยางที่เพิ่งเจอกันไม่กี่วัน ต่อให้เป็นเสี่ยวเซียงเสี่ยวเฉิน นางก็เห็นเป็นเพียงแค่เพื่อนร่วมทางเท่านั้นคนพวกนี้ยอมทำเพื่อนาง ไม่ใช่สิ ต้องบอกว่าเพื่อเจ้าของร่างเดิมถึงกระนั้นนางก็ยังอ
หูซานแตกตื่นจนหน้าถอดสี ถุงผ้าในมือเกือบหลุดร่วง “นี่มันเกินไป เกินไปแล้ว” หลังจากหายตื่นตะลึง เขาก็มีท่าทางดีอกดีใจอย่างปิดไม่มิดแววตามองคล้ายขุ่นเคืองอยู่เล็กน้อย อดที่จะขบเขี้ยวเคี้ยวฟันไม่ได้ “เจ้ามีของล้ำค่าติดตัวมากมายขนาดนี้ ยังจะทำเป็นไม่รู้จักหินแร่พวกนี้อยู่อีก ผายลม!”หลี่หลิงเฟิ่งทำหน้าไม่ถูกไปชั่วขณะ ตาเฒ่าผู้นี้อยู่ดีๆ ก็อารมณ์ขุ่นมัวใส่นาง“เจ้ามีของเช่นนี้อยู่ตั้งแต่แรก ไยจึงไม่รีบนำมันออกมา” ตำหนิหญิงสาวก่อนกล่าวต่อ “แต่แค่สองก้อนก็พอ ที่เหลือเจ้าเก็บไว้เถอะ” หูซานหยิบออกจากถุงเพียงสองก้อนจริงๆ มองที่เหลืออย่างอาลัย สุดท้ายตัดใจส่งมันคืนให้นางหลี่หลิงเฟิ่งย่นคิ้วเข้าหากัน นัยน์ตาฉายแววงุนงงมากกว่าเดิม “แค่สองก้อนพอแน่หรือ ท่านหยิบมันไปเพิ่มอีกดีหรือไม่” ถึงจะไม่รู้ว่าคืออะไร หากแต่ช่วยรักษาได้ย่อมเป็นเรื่องดีได้ยินดังนั้น หูซานฉุนขึ้นมาทันที “ข้าเป็นหมอมาสามสิบกว่าปี อาการของโรคเป็นอย่างไร ปริมาณยาหรือพลังที่ใช้ย่อมรู้แน่ชัดอยู่แล้ว บอกว่าพอก็คือพอ เด็กอย่างเจ้าสงสัยคำวินิจฉัยของข้าอย่างนั้นหรือ” หญิงผู้นี้อะไรก็ดีไปหมด เหตุใดวันนี้ริทำตัวน่ารังเกียจ เขาเป็นถึงนักห
ผ่านไปสิบวันอาการบาดเจ็บของหลี่เฟยหยางดีขึ้นมาก หูซานได้กลายเป็นแพทย์ประจำตัวของเขาไปแล้ว ทุกวันจะต้องมาจับชีพจร สอบถามความคืบหน้าระหว่างรักษาเสมอ ทั้งที่ชายชราไม่มีความจำเป็นต้องมาด้วยตนเอง เนื่องด้วยผู้ป่วยทั้งสองอยู่ในระยะปลอดภัยนานแล้วหลักๆ ที่วนเวียนอยู่อย่างนี้ เพราะต้องการเอาใจ ‘ศิษย์น้อง’ ที่เพิ่มมาอีกหนึ่งคน สร้างความรู้สึกประทับใจ เกาะติดหลี่หลิงเฟิ่งไม่ยอมห่างบอกตามตรง ตอนนั้นหลี่หลิงเฟิ่งเดือดดาลจนไร้คำพูดโต้กลับ นางแสดงเจตจำนงชัดเจนด้วยการปฏิเสธการเป็นศิษย์ของเขา นางไหนเลยจะคิดว่าเฒ่าทารกดันยกลำดับอาวุโสของนางให้สูงขึ้น ยังไม่ทันจะกล่าวอันใด หูซานก็ยกเตาหลอมโอสถให้นางพร้อมกับตำราสมุนไพรหนึ่งร้อยแขนงให้นางไว้ท่องจำทุกเช้าหลังจากตรวจอาการหลี่เฟยหยางและเสี่ยวเฉินเรียบร้อย หูซานจะขลุกอยู่กับนางตลอดช่วงบ่าย บางครั้งยังลากนางไปโรงหมอเพื่อดูอาการคนไข้ เดิมทีหลังจากหลี่เฟยหยางฟื้นขึ้นมา นางคิดจะปฏิเสธหูซานอย่างจริงจัง เมื่อนำไปปรึกษากับชายหนุ่ม กลับเป็นหลี่เฟยหยางโน้มน้าวให้นางรับข้อเสนอนี้ไว้เสียเองหลี่หลิงเฟิ่งจึงผงกศีรษะรับอย่างจำใจ กลายมาเป็นศิษย์น้องของหูซานด้วยประการฉะ
ช่วงนี้แคว้นหลิวอวิ๋นมีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมายเรื่องสนุกปากในโรงเตี๊ยมและตามตรอกซอกซอยมีเพิ่มขึ้นทุกวัน เรื่องเล่าที่เป็นที่กล่าวขานมากสุดคงหนีไม่พ้นเรื่องคู่หมั้นขยะขององค์ชายรองผู้เป็นเลิศในทุกด้าน ได้รับความนิยมจนโรงละครนำมาทำเป็นเรื่องเล่าหลายต่อหลายบท เหตุการณ์สำคัญในเรื่องพูดถึงความอาภัพอับโชคขององค์ชายรอง หน้าตาอัปลักษณ์ของคู่หมั้น รวมไปถึงเสนาบดีหลี่ใช้อำนาจบาตรใหญ่บังคับเหล่าองค์ชายแต่งงานกับหลานสาวอันเป็นที่รัก ฮ่องเต้เห็นแก่คุณงามความดีของเจ้าเมืองหลี่จึงได้ยกองค์ชายรองให้หมั้นหมายกับบุตรสาวตระกูลหลี่ ที่ได้ชื่อว่าตัวไร้ค่าชาวบ้านต่างพากันเห็นใจสงสารองค์ชายรอง สาปแช่งก่นด่าหลี่หลิงเฟิ่งและเจ้าเมืองหลี่เรื่องราวอัปยศอดสูทำเอาเจ้าเมืองหลี่โกรธจนแทบจะกระอักเลือด ขุนนางทั้งหลายพากันประณามเขา ฎีกาหลายฉบับส่งตรงไปหาฮ่องเต้ให้ยุติการหมั้นหมายนี้ลง ตัวเขาเองที่เป็นบิดาก็เห็นด้วยอย่างยิ่ง แต่ไหนเลยจะมีใครคิด ไม่เพียงฮ่องเต้ไม่เอ่ยปากทัดทาน หากแต่ทรงกริ้วเหล่าขุนนางที่ร้องเรียนหน้าท้องพระโรง ออกว่าราชการยังไม่เสร็จก็สะบัดแขนเสื้อจากไปชายวัยกลางคนรู้สึกเหมือนตนเองเป็นคนใบ้ที่กินหว
พลังเช่นนี้...ความรู้สึกกดดันเช่นนี้...ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหลอมรวม ซ้ำยังสูงกว่าเขาอีกหนึ่งขั้น เมื่อครู่ผู้ลอบเล่นงานเขาไม่ใช่สองพี่น้องคู่นั้้น เป็นชายชราผู้นี้แน่นอน เป็นเขาที่กดข่มพลังคนทั้งหมดไว้ เป็นเขาที่บังคับให้ข้าคุกเข่า...หลี่เชาสูดหายใจลึก รู้สึกได้ถึงความตายที่กำลังมาเยือนถึงหน้าประตู“ท่าน...ท่านกับข้า...พวกเราไม่เคยมีเรื่องบาดหมางกันมาก่อน เหตุใดจึงตั้งตนเป็นปรปักษ์ ลอบทำร้ายกันเล่า” ความเงียบปกคลุมทั่วบริเวณ ไม่มีเสียงตอบรับเล็ดลอดออกมา มีเพียงเสียงดังอั่กทีหนึ่ง เลือดสีแดงสดพุ่งกระฉูดเลอะพื้นกระเด็นมาจนถึงจุดที่หลี่หลิงเฟิ่งยืนอยู่พลั่ก พลั่ก พลั่กท่ามกลางการชะงักค้างของทุกคน พลังสีแดงพุ่งไปรอบด้านไม่ขาดสาย เหล่าผู้คุ้มกันเหมือนเป็นง่อยเปลี้ยไร้เรี่ยวแรงตอบโต้ ได้แต่นอนโอดโอยบนพื้นโถงรับรองอันเย็นเฉียบ เพลิงพิโรธของหูซานยังคงไม่มอดดับลงง่ายๆ หันไปเล่นงานหลี่เชาที่นอนพะงาบๆ อยู่บนพื้นไร้เสียงตอบโต้“ช้าก่อน” หลี่หลิงเฟิ่งรีบร้องปรามเมื่อเห็นท่าไม่ดี“ท่านจะฆ่าใครข้าไม่สน แต่อย่าให้คนพวกนี้มาตายในบ้านของข้าเป็นอันขาด” หลูหมิ่นซึ่งเวลานี้ปากชาไปหมดเพิ่งได้สติคืนมา มองทั้งส
พระอาทิตย์ลับขอบฟ้าเป็นเวลานานมากแล้ว ภาพยามค่ำคืนควรปรากฏอยู่ในสายตา ทว่าที่แห่งนี้กลับเต็มไปด้วยแสงแดดอ่อนสว่างนวลราวแดดยามเช้า ลมหนาวเย็นยะเยือกถึงกระดูกพัดผ่านตัวนางที่นอนเหยียดแขนขาบนเก้าอี้หวายใต้ต้นท้อเป็นครั้งคราว ด้านข้างของนางเป็นสระหยกเย็นที่อบอวลไปด้วยพลังไอปราณบริสุทธิ์เข้มข้น หากแต่ไอน้ำที่ลอยอยู่เหนือสระเต็มไปด้วยหมอกพิษที่พร้อมคร่าชีวิตของผู้ที่เผลอสูดดมเข้าไปในเสี้ยววินาที หากเหลือบมองไปยังด้านหลังสระจะเห็นว่ายังมีโถงไม้หลังหนึ่งตั้งตระหง่านอยู่ไม่ไกลเดิมทีไม่ควรเรียกว่าโถงด้วยซ้ำ ลักษณะของมันพิเศษอยู่สักหน่อยเพราะมีห้องแยกเรียงกันอยู่สามห้อง คล้ายกับเรือนชั้นเดียวมากกว่า เหมาะกับพักอาศัยอย่างยิ่ง น่าแปลก...ที่แห่งนี้ราวกับอยู่คนละโลก ทิวทัศน์สวยงามเหมือนไม่มีอยู่จริง ใครจะรู้ว่ามันซ่อนอยู่ในพื้นที่สีแดงของสำนักแพทย์โอสถ หลี่หลิงเฟิ่งค้นพบที่นี่โดยบังเอิญหลังจากแอบเข้ามาสำรวจเขตลับด้วยตนเองอยู่หลายครั้งเสียงน้ำกระเพื่อมเบา ๆ ดังลอดเข้ามาในหูขัดขวางความดื่มด่ำกับธรรมชาติของหลี่หลิงเฟิ่ง นางเลิกคิ้วเล็กน้อย ลืมตาขึ้นมาอย่างช้า ๆ หันศีรษะม
พรึ่บ !เปลวเพลิงไม่รู้ที่มาแผดเผาบริเวณโดยรอบโดยที่ทุกคนไม่ทันได้ตั้งตัว แผดเผาทุกสรรพสิ่งที่อยู่เบื้องหน้าให้มอดไหม้“เจ้าฉวยโอกาส” ผู้บุกรุกกัดฟันกรอดด้วยความเคียดแค้น ทว่าเมื่อเทียบกับคนอื่นกลับดูดีกว่ามาก เขาป้องกันการลอบโจมตีของนางครั้งนี้ได้ทัน“ฆ่ากันต้องมีกฎด้วยหรือ ก็แค่เจ้าตาย ข้ารอด” หลี่หลิงเฟิ่งมองไปอย่างเสียดาย นางรึอุตส่าห์เปิดด้วยกระบวนท่าใหญ่ แต่ต้องคว้าน้ำเหลวเสียนี่ แต่ไม่เป็นไร ลองอีกครั้งก็ได้เปิดก่อนได้เปรียบ!“ดูซิว่าเจ้าจะรับมือได้นานแค่ไหน” ไม่รอให้ศัตรูได้ทันหายใจ นางส่งมอบการโจมตีอันหนักหน่วงออกไปให้เขาไม่ขาดสาย ต่อให้รับกระบวนท่าของนางได้ทุกครั้ง แต่ร่างกายคนฝึกยุทธ์ที่ไม่ได้มีระดับสูงมากนักก็มีขีดจำกัดอยู่ดี ซึ่งต่างจากนางที่มีน้ำทิพย์ให้ดื่มฟื้นฟูพละกำลังอยู่ตลอดเวลานางทนได้ แต่คนทั่วไปย่อมแตกต่าง“เหอะ คิดว่าเจ้าทำอย่างนี้แล้วมีความหมายหรือ เป็นข้าที่ประเมินเจ้าสูงเกินไป” เห็นได้ชัดว่าผู้พูดกำลังดูถูก หลี่หลิงเฟิ่งก็ยังไม่สะทกสะท้าน สมควรทำยังไงก็ทำต่อไปผู้บุกรุกขมวดคิ้วเล็กน้อย คล้ายสงสัยถึงบางอย่างที่ผิดปกติ แต่ก็บอกไม่ถูกว่าผิดปกติที่ตรงไหน นิ่งอย
ด้วยความไม่รู้เหนือใต้ออกตก ทุกคนได้ย่างเข้ามาในพื้นที่อันตรายที่สุดในเขตหวงห้ามเสียแล้ว รวมทั้งหลี่หลิงเฟิ่งเองด้วย หญิงสาวพบว่าบรรยากาศโดยรอบเงียบสงัด แม้แต่เสียงใบไม้กระทบกับลมก็ยังไม่มีให้ได้ยิน ราวกับไร้จุดหมาย ดูเหมือนว่านางเพียงแค่เดินเตร็ดเตร่มาหลายเค่อเท่านั้น หากแต่หลี่หลิงเฟิ่งระวังตัวมากขึ้นเนื่องจากพื้นที่ที่เคยมีหมอกหนา ต้นไม้ใบหญ้าเขียวชอุ่ม กลายเป็นพื้นที่แห้งแล้ง ผืนดินแตกแขนง ร้อนระอุจากการแผดเผาของดวงอาทิตย์ ราวกับอยู่คนละโลกกับเมื่อสักครู่โดยสิ้นเชิงทางนั้น!เสียงของถิงถิงดังขึ้นจากในหัวของนาง หลี่หลิงเฟิ่งเดินตามทางที่ถิงถิงบอก สุดท้ายหยุดยืนใต้ต้นไม้ต้นหนึ่งใกล้บึงน้ำขนาดเล็กที่แห้งขอดไปแล้ว น่าแปลกที่ต้นไม้ต้นนี้เป็นเพียงต้นเดียวที่ยังคงแตกกิ่งก้าน อยู่รอดท่ามกลางบรรดาต้นอื่นที่หลือเพียงซากและใบไม้แห้งกรอบราวกับต้นไม้มีชีวิตหรี่ หรี่เสียงปริศนาดังขึ้น ครั้งนี้เสียงของมันชัดเจนกว่าครั้งไหน ๆ ใกล้จนหลี่หลิงเฟิ่งหวาดระแวง ประเดี๋ยวมองซ้าย ประเดี๋ยวมองขวา กลับไม่พบสิ่งผิดปกติ เสียงนั้นยังคงดังต่อเนื่อง จิตสังหารรอบตัวของหลี่หลิงเฟิ่งแผ่ขยายออกอย่างรวดเร็ว แสงสีข
“อะ…อาจารย์อา ขออภัยที่ล่วงเกินเพียงแต่ข้าขอทราบชื่อของท่านได้หรือไม่ขอรับ” โจวอวี๋ถามขึ้นมาอีกครั้ง นางยังเด็กยิ่งนักเป็นไปได้หรือไม่ว่าอาจจะแปลงรูปโฉมให้คงความเยาว์วัยไว้เสมอ บางทีหากได้รู้จักชื่อเสียงเรียงนามของนาง เขาน่าจะรู้จัก คนมีความสามารถระดับนี้ เขาจะพลาดได้อย่างไร“ข้ามีนามว่าหลี่หลิงเฟิ่ง” หญิงสาวตอบเสียงเรียบ ยามนี้นางกำลังเพ่งจิตเข้าไปสำรวจด้านในเขตหวงห้าม จึงไม่ได้สังเกตท่าทางตกใจของคนที่อยู่ในนี้ทั้งหมด ทันทีที่นางพูดจบพลังจิตขอนางจับสิ่งผิดปกติอันใดไม่ได้เลย จนกระทั่งสำรวจเข้าไปในส่วนลึกของเขตหวงห้ามนางถึงค้นพบควันสีดำขุมหนึ่ง หลี่หลิงเฟิ่งเข้าไปใกล้ขึ้นเรื่อย ๆ แต่ว่าเหมือนมีอะไรมาขวางกั้นนางเอาไว้ทำให้ไม่สามารถมองเห็นสิ่งที่อยู่ข้างในได้ ซ้ำร้ายยังถูกผลักออกมาหลี่หลิงเฟิ่งหลุบตาลงครุ่นคิดอยู่คนเดียวเป็นเวลานาน เมื่อนางเงยหน้าขึ้นมาก็พบว่าทุกคนกำลังมองมาที่นางเป็นตาเดียว“ไม่จริงน่า จะเป็นเจ้าไปได้อย่างไร” เหลียนฉู่ฉู่เอ่ยออกมาเป็นคนแรก อย่างไม่เชื่อสายตา“ข้าคาดเดาตั้งแต่แรกแล้วว่าเจ้าคือหลี่หลิงเฟิ่ง คู่หมั้นขององค์ชายรองโม่ เพียงแต่รู้สึกแปลกใจ ทำไมแม่นางหลี่ถึง
เจ้านาย ทางนี้!เสียงนี้อีกแล้ว เรียกหาตั้งแต่นางเดินเข้ามาในอุโมงค์นี้เสียงก็ดังก้องในหูนางไม่ต่ำกว่าห้าครั้ง นางเดินออกมาห่างไกลจากคนในกลุ่มเรื่อย ๆ สมบัติตรงนี้น้อยกว่าที่อื่นมาก ชั้นวางสมบัติเป็นเพียงหินที่ทำเป็นชั้น ๆ เรียงกันขึ้นมาเท่านั้น แตกต่างจากก่อนหน้าที่ทำขึ้นด้วยทองคำและหยก คนเข้าละโมบและลุ่มหลงได้ง่ายหลี่หลิงเฟิ่งหยิบเศษผ้าขาวที่เขรอะไปด้วยฝุ่นที่อยู่ท่ามกลางบรรดาสมบัติชิ้นอื่นขึ้นมา นางพินิจถึงความพิเศษที่ควรจะมี ทว่ากลับเป็นเพียงผ้าธรรมดาเท่านั้น นางตัดสินใจวางลงที่เดิม เพียงแต่มือของนางกลับหนักอึ้งอย่างไม่ทราบสาเหตุ เมื่อนางหยิบขึ้นมาอีกรอบความรู้สึกหนักอึ้งที่มือกลับหายไปฟุบ!“อ๊ะ” ลมที่ไม่รู้มาจากที่ใดปะทะเข้ากับหน้าของนางอย่างจัง เศษผ้าปลิวมาติดที่ตาทั้งสองข้างปิดกั้นการมองเห็นไปชั่วขณะ จากนั้นก็ผสานเข้ากับนางเป็นหนึ่งเดียว หลี่หลิงเฟิ่งตกใจไม่น้อยเมื่อรู้สึกตัว แค่เพียงแวบเดียวเท่านั้น ผ้าผืนนั้นก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย นางมองซ้ายขวาอย่างร้อนรนอยู่บ้าง นางรีบปรับตัวให้เป็นปกติ ด้วยกลัวคนทั้งหมดในนี้จะเห็นการกระทำอันแปลกประหลาดนี้ของนางหญิงสาวลองทดสอบพลังยุทธ์และ
“อ่ะแฮ่ม...ไม่ว่าการประลองครั้งไหนก็ตัดสินที่ความสามารถเสมอ สำนักแพทย์โอสถเรายังไม่ถึงต้องให้ผู้อื่นมาตัดสินแทนหรอก” ผู้คนโดยรอบไม่มีใครกล้าส่งเสียงสักคน หรงอู่ซาบซึ้งใจน้ำตาแทบไหล เวลานี้เทิดทูนหลี่หลิงเฟิ่งยิ่งกว่าเจ้าสำนักเสียอีก ตั้งแต่นั้นมารอยยิ้มบนใบหน้าหุบไม่ลงอีกต่อไปครบหนึ่งชั่วยาม ผู้ชนะผ่านเกณฑ์ตัดสินมีเพียงห้าคนเท่านั้น เมื่อเป็นเช่นนั้นรองเจ้าสำนักจึงใจดีเปิดเขตลับให้คนทั้งห้าเสียเลย ทั้งหมดมุ่งไปยังเขตลับที่อยู่ในส่วนลึกสุดของสำนักแพทย์โอสถ โดยมีรองเจ้าสำนักและหลี่หลิงเฟิ่งเป็นผู้นำในครั้งนี้“พวกเจ้าทุกคนสามารถเลือกสิ่งของที่อยู่ในเขตลับได้หนึ่งอย่าง และห้ามเข้าไปในเขตหวงห้ามเด็ดขาด บอกไว้ก่อนหากฝ่าฝืนข้าไม่รับรองความปลอดภัยของใครทั้งนั้น เพราะฉะนั้นอย่าริอ่านทำผิดกฎ” รองเจ้าสำนักกล่าวเสียงแข็ง จากนั้นเปิดเขตลับให้ทั้งหมดเข้าไปอย่างเปิดเผย“มีอะไรซ่อนอยู่ที่นี่งั้นหรือ” หลี่หลิงเฟิ่งรู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากล นางรู้สึกกลาย ๆ เหมือนว่าไม่ได้มีแค่พวกนางเท่านั้นที่อยู่ในนี้ จึงถามออกไปด้วยความสงสัยใคร่รู้“เรื่องนี้…” หรงอู่อึกอัก หน้าตาเหยเก “ข้าก็ไม่รู้แน่ชัด ว่ากันว่าท
หลายวันมานี้หลี่หลิงเฟิ่งอยู่อย่างสงบสุขเสมอมา นอกจากรักษาเจ้าสำนักทุกเช้า นางใช้เวลาทั้งวันไปกับฝึกหลอมโอสถที่ห้องหลอมโอสถ ใช้สมุนไพรของสำนักแพทย์โอสถราวกับน้ำ เรียกได้ว่าละลายทรัพย์ของแท้ เหตุเพราะเกิดกระทบกระทั่งกันวันนั้นจึงไม่มีใครกล้าออกมาตำหนิ กลับกันทุกคนคอยเอาใจนางทุกอย่าง วันนี้ก็เช่นกัน หลังจากกลับมาจากรักษาเจ้าสำนัก นางก็ตรงไปที่ห้องหลอมโอสถ หยิบเตาหลอมออกมาจากกำไลสำริดอย่างคล่องแคล่วส่วนที่ว่านางได้ของพวกนี้มาได้ยังไงน่ะหรือ ต้องเท้าความไปเมื่อไม่กี่วันก่อน ศิษย์พี่รองมาหานางที่ที่พำนัก กล่าวขอโทษที่สบประมาทนางวันนั้น พร้อมทั้งอยากให้นางยกโทษให้ หลี่หลิงเฟิ่งรู้ตัวว่านางนั้นเป็นคนดี ไม่ถือสาความเรื่องเล็กน้อยกับคนกันเองอยู่แล้วเพียงแค่ศิษย์พี่รองมอบของปลอบใจให้นาง นางอายุน้อยต้องเคารพผู้ใหญ่ย่อมไม่เรียกร้องมากมายอันใด ถึงแม้ศิษย์พี่รองจะดูเสียดายไปบ้าง ยามยื่นให้รู้สึกถึงความมือไม้สั่นเล็กน้อย ทว่าจนแล้วจนรอดกำไลสำริดและเตาหลอมโอสถชั้นเลิศก็อยู่ในมือนางอยู่ดีหลี่หลิงเฟิ่งพลันรู้สึกว่าการมีศิษย์พี่ก็ไม่ได้แย่อันใดแต่มีบ้างบางครั้งที่รู้สึกเปล่าเปลี่ยว โม่จื่อหลิงขอแยกต
ภายในห้องพำนักเจ้าสำนักแพทย์โอสถปรากฏหูซานและชายชราอีกสองคน รวมทั้งลูกศิษย์บางคน ทำหน้าเคร่งเครียด ใบหน้าอ่อนล้าเพราะอดนอนมาหลายวัน บนเตียงไม้สลักมีร่างผ่ายผอมดำคล้ำของชายชราผู้หนึ่ง นอนสลบไสลราวกับคนใกล้หมดสิ้นอายุขัย “ศิษย์น้องสี่ เป็นอย่างไรบ้าง เจ้าพอมีทางช่วยศิษย์พี่ใหญ่บ้างหรือไม่”“ข้าเองก็อับจนหนทางเหมือนกัน ยาขวดนั้นเพียงแค่ยื้อลมหายใจศิษย์พี่ใหญ่เท่านั้น ต่อให้เป็นท่านเทพมาตอนนี้ก็ไม่แน่ว่าจะช่วยได้ พิษลุกลามไปทั่วร่างกายศิษย์พี่ใหญ่ตั้งนานแล้ว” หูซานส่ายหน้า สองตาแดงก่ำไม่อาจทำใจได้ หลายวันมานี้พวกเขาค้นคว้าหายาถอนพิษ ทว่าก็ล้มเหลวจนกระทั่งหวังซีมาพร้อมยาขวดหนึ่ง พวกเขาถึงได้มีความหวังขึ้นมา เพียงแต่ดีใจได้ไม่กี่วัน ไม่รู้เพราะสาเหตุใดอาการของศิษย์พี่ใหญ่ถึงทรุดลงอย่างรวดเร็ว แม้แต่เขาที่เป็นอัจฉริยะแห่งยุคก็ไม่อาจหาต้นตอของอาการเหล่านี้ได้ หูซานพบว่าไม่มีหนทางที่ศิษย์พี่ใหญ่จะรอดแล้วเสียงเคาะประตูดังขึ้นจากด้านนอกหวังข่ายที่สภาพก็ไม่ได้ดีไปกว่าคนอื่น ๆ ในห้อง เดินออกมาเปิดประตู พอเห็นว่าเป็นรองเจ้าสำนักเขาก็เบี่ยงตัวหลบอย่างเคยชิน แต่เมื่อรู้สึกว่ามีคนเดินตามหลังรองเจ้า
ยาลูกกลอนที่เพิ่งหลอมเสร็จหอมกลุ่นกระทบจมูกของทุกคน ผู้คนต่างลุ้นว่าโอสถในมือของผู้อาวุโสสามคือยาลูกกลอนอะไรผู้อาวุโสสามยิ้มอย่างภาคภูมิ ค่อย ๆ คลายมือออก สีขาวขุ่นปรากฏบนสายตา “ยาลูกกลอนอายุวัฒนะ!”“อืม ยาลูกกลอนอายุวัฒนะสิบเม็ด ใช้ได้เจ็ดเม็ด ขั้นสามสี่เม็ด ขั้นเจ็ดอีกสามเม็ด” รองเจ้าสำนักตรวจสอบยาลูกกลอนในมือของผู้อาวุโสสามอย่างถี่ถ้วน ผงกหัวชื่นชม “ไม่เลยเลย”ในเวลาอันสั้น ภายใต้ขอบเขตสมุนไพรที่มีจำกัด เขาสามารถหลอมออกมาได้ถึงหกในสิบส่วนเลยหรือ ผู้อาวุโสสามเก่งกาจโดยแท้ “นางหนู เสียใจแล้วหรือไม่ ท้าอะไรไม่ท้า มาท้าในสิ่งที่ข้าถนัดที่สุด หึ”เมื่อผู้ชมมองยาลูกกลอนที่อยู่ในมือหลี่หลิงเฟิ่ง ต่างก็มีหลากหลายอารมณ์ บ้างทอดถอนใจเสียดาย บ้างดูถูกดูแคลน บ้างเฉยเมยราวกับคาดการณ์ไว้แล้ว ทว่าทุกคนในที่นี้ไม่มีใครยินดีหรือให้กำลังใจกับนางสักคนผู้คนต่างส่ายหน้า ซุบซิบทันทีที่เห็นก้อนกลมสีดำสองสามก้อนในมือนาง “ฝีมือเท่าหางอึ่ง นางยังกล้ารับคำท้าประลอง”“ตัวยาไหม้เกรียมขนาดนี้ นางพ่ายแพ้ยับเยินเลยทีเดียว”“ไม่คิดว่าองค์ชายรองโม่ สมองจะมีปัญหา ดันคว้าสตรีโอ้อวดมาอยู่ข้างกาย”“สตรีผู้นี้เป็นตัวล