แชร์

บุรุษปริศนา 3

ผู้เขียน: เสี่ยวหลันฮวา
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2024-12-25 19:21:16

หลี่หลิงเฟิ่งไม่คิดจะซ่อนตัวอีกต่อไป นางฟาดฝ่ามือลงบนกลางหลังเสี่ยวเฉินด้วยแรงทั้งหมดที่มีเพื่อส่งเสี่ยวเฉินให้ไปไกลมากที่สุด ส่วนนางรุดเข้าไปหาชายชุดดำข้างหน้า ขณะที่นางเอี้ยวตัวหันไปผลักเสี่ยวเฉินนั้นมืออีกข้างที่ว่างอยู่ล้วงเข้าไปหยิบผงสีขาวชนิดหนึ่งในมิติออกมา

“คุณหนู!” เสี่ยวเฉินที่โดนฝ่ามือปะทะจากผู้ฝึกยุทธ์ขั้นกำเนิดใหม่ระดับกลางลอยละลิ่วไปหลายจั้ง ดวงตาฉายแววตื่นตระหนก เมื่อร่วงลงบนพื้นได้ก็ทำท่าจะวิ่งกลับมาหาหลี่หลิงเฟิ่งอีกครั้ง

‘กลับไป! รีบไปตามอู๋เหยียนมาที่นี่ เร็ว! ยิ่งเจ้าอยู่จะยิ่งทำให้ข้าห่วงหน้าพะวงหลัง ไปซะ’ หลี่หลิงเฟิ่งเพ่งกระแสจิตอย่างหนักหน่วงจนรู้สึกปวดหัวขึ้นมาเล็กน้อย นางไม่แน่ใจว่าเสี่ยวเฉินจะได้ยินที่นางพูดหรือไม่ นางเคยอ่านเจอในตำราฝึกพลังธาตุ ทว่าก็ยังไม่เคยลองใช้มาก่อน

อย่างไรก็ดี นางไม่สามารถสัมผัสกลิ่นอายเสี่ยวเฉินได้อีก หลี่หลิงเฟิ่งถอนหายใจอย่างโล่งอก ยังดีที่กระแสจิตของนางใช้ได้ อย่างน้อยเสี่ยวเฉินก็ไม่ได้วิ่งกลับเข้ามาหานาง

หลี่หลิงเฟิ่งสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง เรียกความมั่นใจของตนกลับมา มือทั้งสองข้างเย็นเฉียบ ด้วยพละกำลังของนางในตอนนี้ คิดจะใช้พลังยุทธ์ปะทะคงเป็นไปไม่ได้ที่นางจะชนะ

“เจ้า มานี่ให้ข้า!” หนึ่งในชายชุดดำเจ้าของเสียงอันทรงพลังตลาดออกมาด้วยความโมโห หลี่หลิงเฟิ่งไม่คิดจะหลบเลี่ยงอยู่แล้ว ค่อยๆ เดินเข้าไปใกล้อย่างเชื่องช้า สีหน้าสงบนิ่ง แต่ภายในใจกำลังครุ่นคิดวิธีร้อยแปดพันอย่างที่จะถ่วงเวลาให้ได้นานที่สุด

เมื่อนางเดินเข้าไปใกล้ๆ ก็สังเกตเห็นรูปร่างกำยำผิวคล้ำกรำแดด ใบหน้าดุดันเต็มไปด้วยจิตสังหารจ้องเขม็งมาที่นาง ส่วนอีกคนที่อยู่ด้านหลังเป็นบุรุษร่างผอมบางอมโรคคนหนึ่ง แววตาลุ่มลึกยากจะหยั่งถึง

“พี่ชาย ท่านคิดจะฆ่าคนปิดปากอย่างนั้นหรือ” เสียงนุ่มนวลของหญิงสาวดังขึ้นแผ่วเบา ระบายรอยยิ้มน้อยๆ ที่มุมปาก ชวนให้คนที่พบเห็นสบายตาไปด้วย

“สังหารเจ้าหรือ” บุรุษชุดดำรูปร่างกำยำตวาดลั่นพร้อมกับหัวเราะลั่น “ข้าต้องฆ่าเจ้าแน่ เช่นนั้นแล้ว หากเรื่องนี้แพร่ออกไป พวกข้าไม่กลายเป็นคนถูกไล่ล่าเองหรอกหรือ” เขามองหลี่หลิงเฟิ่งราวกับเห็นตัวประหลาดสมองหมู แต่เมื่อเพ่งพินิจมองหญิงสาวก็ได้แต่อ้าปากค้าง

สาวงาม ช่างงดงามเหลือเกิน งามกว่าทุกคนที่เขาเคยเจอมา

เสียงเกรี้ยวกราดที่กำลังเปร่งออกมา พลันเปลี่ยนเป็นนุ่มนวล “แต่ถ้าเจ้าอยากมีชีวิตรอด มาเป็นเมียพวกข้าสักสองสามคืนก่อนเป็นไง ฮ่าๆ ถึงตอนนั้นข้าอาจจะใจดีเลี้ยงเจ้าไว้เป็นนางบำเรอก็ได้ เจ้าว่าอย่างไร” บุรุษต่ำทรามผู้นั้นแสยะรอยยิ้มอันน่ารังเกียจออกมา สายตาหื่นกระหายมองอย่างจาบจ้วงแทะโลมหลี่หลิงเฟิ่งไปทั่วเรือนร่าง

“อย่างนั้นหรือ?” หลี่หลิงเฟิ่งหัวเราะออกมาเบาๆ สายตาที่เคยสงบนิ่งพลันเย็นชาขึ้นมาหลายส่วน นางเหลือบมองที่ข้างขอบสระแวบหนึ่ง ริมฝีปากพลันคลี่ยิ้มกว้างสดใส

“เช่นนั้นเจ้าก็ลองดู” หลี่หลิงเฟิ่งพุ่งกายเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วมายืนด้านข้างระหว่างชายชุดดำทั้งสองอย่างรวดเร็ว ประกายสังหารพลันปรากฏขึ้นบนดวงตาของหญิงสาว พร้อมกับสาดผงสีขาวที่มือออกไปข้างหน้า

“อ๊ากกก” เสียงร้องโหยหวนสองเสียงดังลั่น สองมือกุมดวงตาตัวเองอย่างเจ็บปวดทรมาน หลี่หลิงเฟิ่งหัวเราะเย้ยหยันอยู่ในใจ คนพวกนี้เห็นนางเป็นคนปัญญาอ่อนหรือไง มีหรือที่คนปกติจะนอนรอให้คนอื่นมาเชือดได้ง่ายๆ

จากนั้นสายตาหญิงสาวหันไปสนใจบุรุษชุดดำอีกคนที่นอนรอความตายอยู่บนพื้น ความโกรธของนางพุ่งสูงหมื่นจั้ง ถ้าไม่ใช่เพราะไอ้บ้าน่าตายผู้นี้ นางคงไม่ต้องมารนหาที่ตายอย่างนี้แน่

อยากตายนักหรือ เดี๋ยวพี่สาวคนนี้จัดให้!

อั่ก! เท้าเล็กเหยียบลงบนหน้าอกของชายหนุ่มอย่างแรง ร่างสูงใหญ่กระตุกสองสามทีก่อนจะแน่นิ่งไป

“สมควรตาย!” บุรุษชุดดำร่างผอมบางคำรามออกมาอย่างเคียดแค้น พลังอันมหาศาลสีส้มสายหนึ่งพุ่งตรงมาที่หลี่หลิงเฟิ่งอย่างรวดเร็ว โดยที่นางไม่อาจป้องกันได้เลยแม้แต่นิดเดียว

ตูม!

เมื่อโดนพลังทรงพลังเช่นนั้น ร่างของนางปลิวกระเด็นตกลงไปในสระน้ำอย่างแรง น้ำในสระสาดกระเซ็นไปรอบทิศ ด้วยอานุภาพที่รุนแรงนี้ ภายในกายของนางบอบช้ำแสนสาหัส หลี่หลิงเฟิ่งกระอักเลือดออกมาไม่หยุด ผิวหนังภายนอกเสียดสีกับผิวน้ำ ส่งผลให้มีบาดแผลราวมีดกรีดหลายร้อยเล่มไปทั่วร่าง บัดนี้น้ำในสระถูกย้อมไปด้วยเลือดสีแดงฉาน

ทว่าต่อให้นางบาดเจ็บแค่ไหน สติของนางก็ยังแจ่มชัด หลี่หลิงเฟิ่งประคองตัวเองว่ายไปฝั่งตรงข้ามอย่างรวดเร็ว เกาะขอบสระไว้แน่น

“หึ เห็นได้ชัดว่าพวกเจ้าไม่มีปัญญา เป็นอย่างไรพิษหญ้าเผยกู่ ทรมานดีหรือไม่” แววตาคมกริบจ้องมองทั้งสองคนที่ยังคงกุมหน้าของตนอยู่ ส่งเสียงหัวเราะออกมาอย่างไม่สะทกสะท้าน

หญ้าเผยกู่เป็นหญ้าที่พบเห็นได้ทั่วไป โดยปกติแล้วรากของมันมีสรรพคุณทางยาช่วยให้เลือดลมไหลเวียนคล่อง แต่ถ้านำใบของมันไปตากแห้งแล้วบดเป็นผงจะทำให้เกิดพิษร้ายแรงชนิดหนึ่งขึ้นมาได้ นั่นก็คือ ผงขับสลาย มีฤทธิ์ทำให้ตาบอดชั่วขณะ ราวๆ หนึ่งเค่อ*

“นางสารเลว เอายาถอนพิษมาให้ข้าเดี๋ยวนี้!” เสียงโวยวายดังขึ้นมาอีกครั้งจากชายร่างกำยำ ชี้มือมาทางหลี่หลิงเฟิ่ง สีหน้าฉายแววโกรธแค้น

“อย่าคิดว่าจะหนีไปไหนรอด รอให้ข้าสับเจ้าเป็นหมื่นๆ ชิ้น ดูสิว่าเจ้ายังจะปากดีอยู่อีกหรือไม่! อ๊ากกก” หางคิ้วของหญิงสาวเลิกขึ้นอย่างท้าทาย

คิดจะฆ่านางหรือ ยังเร็วไปอีกสิบปี!

รอยยิ้มร้ายกาจราวปีศาจสาวผุดขึ้นมา “อ้อ รับไปสิ” หลี่หลิงเฟิ่งคว้าต้นหญ้าที่อยู่ข้างริมสระใกล้ๆ นางขึ้นมา โยนไปให้บุรุษจอมโวยวาย โดยไม่ทันได้คิด เมื่อสิ้นเสียงหญิงสาว มือก็ยื่นออกไปข้างหน้ารับหญ้าต้นนั้นมาอย่างไม่รู้ตัว

หลี่หลิงเฟิ่งยิ้มกริ่ม เจ้าโง่ ปัญญาทึบเอ๋ย “โง่เง่า ปัญญาอ่อน”

“นางแพศยา เจ้าเอาอะไรมาให้ข้า!” ชายหนุ่มนิ่งงันไปชั่วขณะ เมื่อได้สติพลันแผดเสียงคำรามลั่น

“อะไรน่ะหรือ” น้ำเสียงเนิบนาบดังขึ้นมาอีกหน สายตาเจ้าเล่ห์จับจ้องไปยังคนทั้งสองที่ตอนนี้ยังลืมตาไม่ขึ้น “เจ้าไปถามเอากับยมบาลสิ”

สิ่งที่นางโยนไปน่ะหรือ ก็แค่หญ้าต้นหนึ่งเท่านั้น เพียงแต่หญ้าต้นนี้เป็นสมุนไพรล้ำค่าหายากที่สิบปีจะมีสักต้น ไม่คิดว่าจะมาเจอที่ป่าแห่งนี้ได้

จากที่นางได้ศึกษาตำรามาระยะหนึ่งแล้ว สมุนไพรหายากทุกชนิดมักจะมีสัตว์อสูรคอยปกป้องอยู่เสมอ บังเอิญว่าสระน้ำแห่งนี้มีหญ้าหลอมวิญญาณอยู่ต้นหนึ่ง

หลี่หลิงเฟิ่งไม่มีทางเลือก เพื่อถ่วงเวลาให้นานที่สุด นางจำเป็นต้องใช้วิธีเสี่ยงตายเช่นนี้

เจ้าไม่ตาย ก็เป็นข้าที่ม้วย เพราะฉะนั้นอย่าโทษที่ข้าใจร้าย

“ปากดีนัก งั้นก็อย่าอยู่เลย!” ว่าแล้วทั้งสองก็ซัดพลังมายังทิศทางของหลี่หลิงเฟิ่ง ทว่า ยังไม่ทันที่พลังจะถึงตัวนาง สายน้ำที่เคยสงบนิ่งพลันเกิดเป็นเกลียวคลื่นมหึมา ลึกลงไปไม่มีที่สิ้นสุด ร่างแบบบางของหญิงสาวถูกเกลียวคลื่นพัดไปตามกระแสหมุนวนไม่รู้เหนือรู้ใต้

บ้าเอ๊ย ข้าคำนวณมาทุกอย่าง แต่กลับไม่ได้คิดว่าสัตว์อสูรจะอยู่ใต้น้ำ อยากร่ำไห้ตอนนี้ก็สายไปเสียแล้ว

แต่ถึงกระนั้น นางก็ไม่มีเวลาคร่ำครวญให้กับความโชคร้ายได้นานนัก คลื่นใต้น้ำม้วนตัวนางลงไปลึกลงเรื่อยๆ สายตาของนางมองไม่เห็น รอบด้านมืดมิดไปหมด ร่างกายของนางหมุนวนรอบทิศ หูทั้งสองข้างไม่ได้ยินสิ่งใดนอกจากเสียงน้ำอึงอวลอยู่ข้างหูตลอดเวลา

หลี่หลิงเฟิ่งลอบยินดีอยู่ในใจที่เมื่อเช้าตัดสินใจไม่กินหมั่นโถว ไม่อย่างนั้น นางคงสำรอกออกมาจนหมดสิ้นเป็นแน่

ฟู่ๆๆ

ขณะเดียวกัน สถานการณ์บนบกเลวร้ายกว่าที่หลี่หลิงเฟิ่งประสบพบเจอยิ่งนัก บุคคลทั้งสามอยู่รอบสระน้ำปลิวกันไปคนละทิศคนละทาง จากลมที่พ่นออกมาจากปากสัตว์อสูร สภาพดีหน่อยเห็นจะเป็นบุรุษชุดดำปลายชุดขลิบทองผู้เคยนอนอยู่ริมสระที่สลบไปนานแล้วเพราะทนพิษบาดแผลไม่ไหวหรืออาจเป็นเพราะเสียเลือดมากก็เป็นได้ ถูกพัดปลิวไปหลายจั้ง แต่โชคดีที่ร่างกายไม่ได้กระแทกกับสิ่งกีดขวางใดๆ ต่างจากอีกสองคนที่ร่างกายกระแทกโดนลำต้นไม้ใหญ่จนกระอักเลือดออกมาหลายคำ

สัตว์อสูรที่หลับไหลใต้ผืนน้ำค่อยๆ เลื้อยขึ้นมาจากน้ำ ลำตัวยาวหลายสิบฉื่อ สีดำมะเมื่อมมันวาว อวบอ้วนจนเสียคนสองคนโอบรอบตัวมันก็ยังไม่มิด เกล็ดของมันส่องประกายระยิบระยับรับกับแสงแดด พุ่งตรงไปยังชายสองคนใต้ต้นไม้ที่กำลังยันตัวลุกขึ้นยืนอยู่ตอนนี้ ลิ้นสีแดงสดสามแฉกแลบออกมาพร้อมกับพ่นหมอกควันสีเขียวไปข้างหน้า

ฟู่

หย่อมหญ้าที่หมอกควันสีเขียวไหลผ่านนั้น เดิมจากที่เคยเขียวชอุ่ม ล้วนแห้งเหี่ยวลงทันที จากนั้นค่อยๆ แห้งเหือดสลายกลายเป็นเถ้าถ่านลอยคละคลุ้งอยู่กลางอากาศ

เห็นได้ชัดว่าหมอกควันที่มันพ่นออกมานี้มีพิษร้ายแรง

ชายร่างผอมสัมผัสถึงกลิ่นแปลกประหลาดที่ลอยเข้ามา สีหน้าพลันมืดครึ้มลง มือข้างหนึ่งรีบอุดจมูกตัวเองไว้ ขบกรามแน่นอย่างโกรธจัด ส่งเสียงลอดไรฟันออกมาแผ่วเบา” รีบอุดจมูกเร็วเข้า มีพิษ!”

น่าตายนัก! นางบ้านั่นไปปลุกสัตว์ประหลาดตัวไหนเข้า อย่าให้ข้าหนีรอดไปได้ ข้าจะให้มันต้องตายอย่างทรมานเป็นร้อยเท่าพันเท่า

พลังยุทธ์สีส้มสลับเขียวหลายสายพุ่งไปทั่วบริเวณ แต่ไม่สามารถทำอันตรายงูยักษ์ได้ เนื่องจากดวงตาที่ยังมองไม่เห็น พลังที่ปล่อยออกไปจึงสะเปะสะปะไร้ทิศทาง ทว่าพิษของเจ้างูยักษ์ก็ทำอะไรมนุษย์สองคนนี้ไม่ได้เหมือนกัน งูยักษ์แลบลิ้นออกมาด้วยความโกรธ ไม่นานสองมนุษย์หนึ่งงูก็ปะทะกันอีนุงตุงนังไปหมด

ภายใต้สระน้ำ ร่างหนึ่งค่อยๆ จมลงไปยังก้นสระ หญิงสาวไม่ได้รับรู้ถึงสถานการณ์ภายนอกเลยแม้แต่น้อย กระแสน้ำกลับมาสงบนิ่งเหมือนอย่างเคย หลี่หลิงเฟิ่งหลับตาพริ้มทิ้งตัวดิ่งลงไปตามแรงโน้มถ่วง ปล่อยกระแสจิตออกไปสำรวจรอบๆ บริเวณ

ยังดีที่ชาติก่อนนางเคยฝึกดำน้ำ ทดสอบกลั้นหายใจได้ราวๆ ครึ่งเค่อ หลี่หลิงเฟิ่งไม่รู้ว่าสัตว์อสูรตัวนั้นจะสามารถกำจัดศัตรูพวกนั้นได้หรือไม่ แต่ไม่ว่าอย่างไร เวลาเท่านี้ก็เพียงพอให้คนของนางตามมาช่วยทันแล้ว ถึงนางจะไม่รู้ถึงระดับพลังยุทธ์ของอู๋เหยียน แต่หากจะเลวร้ายแค่ไหนก็ต้องสูงกว่านางแน่นอน

ขณะที่คิดถึงความเป็นไปได้ต่างๆ นานา หลี่หลิงเฟิ่งสัมผัสถึงความเย็นสบายที่ได้รับก่อนหน้านี้ ยิ่งร่างนางดิ่งลึกลงไปเท่าไหร่ ความเย็นยิ่งแผ่ซ่านออกมาเรื่อยๆ

มันอยู่ข้างใต้นี่

หญิงสาวลืมตาขึ้นมาฉับพลัน แววตาสั่นระริกเจือความตื่นเต้น เร่งดำน้ำลงไปยังก้นสระ น้ำในสระแห่งนี้แปลกประหลาดยิ่งนัก ยิ่งอยู่ลึกยิ่งให้ความรู้สึกเบาสบาย คิ้วของนางขมวดเข้าหากันโดยไม่รู้ตัว นอกจากนั้นยังช่วยให้บาดแผลภายนอกของนางสมานตัวเร็วขึ้น

หรือน้ำในสระนี้จะมีคุณสมบัติคล้ายๆ กับน้ำทิพย์ในมิติของนาง

เมื่อหลี่หลิงเฟิ่งมาถึงก้นสระ แสงสะท้อนแวววาวหลากสีคือสิ่งแรกที่กระทบเข้ากับนัยน์ตาของนาง หลี่หลิงเฟิ่งสายตาพร่ามัวไปชั่วขณะ นางหรี่ตาลงน้อยๆ เพ่งพินิจถึงที่มาของแสงเจ้าปัญหา ทันใดนั้นสีหน้างดงามพลันฉายแววฉงน

ก้อนหิน?

ไม่สิ มันเหมือนอัญมณีที่ถูกขัดเกลาจนโปร่งใสแล้วต่างหาก ถ้าหากเป็นเมื่อก่อนนางคงรวยเละไปแล้วล่ะ

นางกวาดตามองไปรอบๆ พลันพบว่านอกจากอัญมณีเหล่านี้แล้วยังมีพวกเหรียญเงิน เหรียญทอง ข้าวของเครื่องใช้ล้ำค่ามากมายก่ายกองเต็มก้นสระ

โอ้! นี่นางเจอขุมทรัพย์อีกแล้วหรือนี่

หญิงสาวแทบหลั่งน้ำตาเป็นสายเลือด อย่างน้อยในความโชคร้ายก็ยังมีความโชคดีซ่อนอยู่

*หนึ่งเค่อ = 15 นาที

บทที่เกี่ยวข้อง

  • ชายาอสรพิษ   บุรุษปริศนา 4

    เมื่อพินิจดูอย่างละเอียด นอกจากสมบัติเหล่านั้นแล้ว ยังมีโครงกระดูกกระจัดกระจายอยู่เต็มพื้นไปหมด แค่คิดนางก็เข้าใจขึ้นมาบ้างแล้ว ทรัพย์สมบัติทั้งหลายคงเป็นของเจ้าของโครงกระดูกเหล่านี้ที่ถูกเจ้าปีศาจตนนั้นสังหารหลี่หลิงเฟิ่งมองสมบัติมากมายแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ ถ้าเก็บทีละชิ้นนางได้ขาดอากาศหายใจก่อนเป็นแน่ นางจะเก็บหมดได้อย่างไร หญิงสาวครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง ลองกวาดมือออกไปบริเวณที่มีสมบัติพลางคิดในหัว ‘เก็บ’ สมบัติที่กองเกลื่อนกลาดอยู่ตรงหน้าหายวับไปในพริบตาอย่างนี้ก็ได้หรือ ที่ผ่านมานางมัวเก็บทีละชิ้นให้เสียเวลาไปทำไมหลี่หลิงเฟิ่งส่งพลังจิตเข้าไปสำรวจในมิติของตนเอง พบว่าพื้นที่สี่เหลี่ยมเล็กๆ ของนางอัดแน่นไปด้วยสมบัติ แทบไม่เหลือพื้นที่ให้ใช้สอยเลยด้วยซ้ำนางเริ่มกลัดกลุ้มขึ้นมาบ้างแล้ว เห็นทีข้าต้องแข็งแกร่งขึ้นกว่านี้ นางได้แต่บ่นอุบอยู่ในใจอย่างช่วยไม่ได้ช่างมันไปก่อน เรื่องของวันหน้าก็เอาไว้คิดกันวันหน้า ยังดีที่มิติของนางยังเก็บสมบัติไปได้หมด ไม่อย่างนั้นคงเสียดายแย่ อย่าหาว่านางทำตัวเหมือนโจรปล้นชิงเลย ก็ใครใช้ให้นางมีมิติมายาติดกายกันเล่าครืนนพลังจากบนบกสั่นสะเทือนมาถึงใต้น้ำ

    ปรับปรุงล่าสุด : 2024-12-25
  • ชายาอสรพิษ   พี่ชายงั้นหรือ 1

    บรรยากาศเงียบสงัดแพร่กระจายไปทั่วห้อง หลี่หลิงเฟิ่งหายใจสะดุด ดวงตาเรียวสวยไม่ได้เลื่อนออกจากใบหน้าของบุรุษผู้นั้นเลย เช่นเดียวกับดวงตาคมกริบกวาดมองนางเงียบๆเนิ่นนาน ไร้ซึ่งคำพูด และไม่ขยับคล้ายเวลาล่วงเลยไปหลายสิบปี เสียงสูดลมหายใจอย่างหนักหน่วงดังขึ้นทำลายความเงียบงันที่น่ากระอักกระอ่วนนี้ สุดท้ายแล้วยังคงเป็นหลี่หลิงเฟิ่งที่ทนไม่ไหว ใคร่สงสัยตัวตนบุรุษรูปงามท่านนี้ ริมฝีปากเม้มแน่น อยากพูดบางอย่างแต่กลับพูดอะไรไม่ออก มือของเขายังคงลูบผมนางอยู่อย่างนั้น คล้ายปลอบประโลมนางอยู่ทุกวินาที“ข้า...ข้าอยากกินองุ่น” หลี่หลิงเฟิ่งชะงักค้างอย่างทำอะไรไม่ถูก หน้าขึ้นริ้วแดงๆ ด้วยความอับอาย นี่นางพูดอะไรออกไปอยากกินองุ่น? องุ่นเนี่ยนะ เพ้ย!หลี่หลิงเฟิ่งขยับตัวหลบฝ่ามือใหญ่ หลุบตาต่ำ ไม่กล้ามองหน้าเขาอีกต่อไป ในใจสบถด่าตนเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทำตัวเป็นหญิงสาววัยแรกรุ่นไปได้“เสี่ยวเซียง” บุรุษชุดขาวยิ้มพลางส่งเสียงเรียกเสี่ยวเซียง “เจ้าค่ะ คุณชายใหญ่” หลี่หลิงเฟิ่งมองเสี่ยวเซียงผลักประตูเข้ามา เดินก้มหน้ามาคุกเข่าตรงปลายเตียง ก่อนจะเงยหน้าจ้องมองผู้เป็นนายด้วยน้ำตาที่เอ่อล้นนัยน์ตาคุณชายใหญ่ หล

    ปรับปรุงล่าสุด : 2024-12-25
  • ชายาอสรพิษ   พี่ชายงั้นหรือ 2

    สิ้นเสียงของหลี่หลิงเฟิ่ง มีมือสังหารรายหนึ่งทะยานเข้ามาหา หลี่หลิงเฟิ่งหมุนตัวอย่างรวดเร็ว ลำแสงสีแดงเพลิงอาบย้อมกระบี่ แทงสวนกลับไป มือสังหารที่วิ่งเข้ามายังไม่ทันตั้งตัว แววตาพลันตื่นตระหนก ร่างกายแข็งค้างล้มลงตรงหน้าหญิงสาว“ระ....” สตรีผู้นี้... ในชั่วพริบตา โลกเบื้องหน้าเข้าสู่ความมืดมิด เพียงแค่ปริปากพูดก็ไม่ทันเสียแล้ว“เสี่ยวเฉิน” ขวดกระเบื้องเคลือบขนาดเล็กถูกโยนออกมาจากมิติไปทางด้านหลัง รอยยิ้มเย็นชาปรากฏขึ้นในแววตาหลี่หลิงเฟิ่ง ชุดสีแดงเพลิงเปียกชุ่มลู่ลงแนบลำตัว มือสังหารคาดไม่ถึงว่าจะมีสตรีอ่อนปวกเปียกเข้ามาช่วย หลี่หลิงเฟิ่งอาศัยจังหวะที่อีกฝ่ายมึนงง ฝ่าวงล้อมเข้าไปยืนข้างกายอู๋เหยียนเสี่ยวเฉินรับขวดกระเบื้องเนื้อหยาบที่ลอยมาตรงหน้า วิ่งอ้อมไปด้านหลังฝั่งหลี่เฟยหยาง เขารู้ดีว่ามันเป็นโหลบรรจุยาที่หลี่หลิงเฟิ่งปรุงขึ้น จะไม่ให้คุ้นเคยได้อย่างไร ในเมื่อคุณหนูเป็นคนสั่งให้เขาซื้อมันมาโดยเฉพาะหากแต่เขาไม่รู้ว่ามันคือยาอะไร เสี่ยวเฉินมองหลี่หลิงเฟิ่งอย่างอับจนปัญญา อยากจะขอความช่วยเหลือ ทว่า เหลือบสายตามองเพียงแวบเดียวก็ให้สูดหายใจลึก“เฟิ่งเอ๋อร์ เข้ามาทำไม ออกไป” ใบหน้าที

    ปรับปรุงล่าสุด : 2024-12-25
  • ชายาอสรพิษ   พี่ชายงั้นหรือ 3

    ไม่รู้ผ่านไปกี่ชั่วยาม แสงยามเช้าส่องกระทบใบหน้าหลี่หลิงเฟิ่ง เสียงฝูงนกกระพือปีกบนต้นไม้ส่งเสียงร้องบินออกหากิน นางจำไม่ได้ว่าเกราะป้องกันสลายไปตอนไหน ทำสิ่งใดลงไปบ้าง ตั้งแต่ต้นจนจบสายตาของนางอยู่ที่คนในอ้อมกอดตลอดสมุนไพรทุกอย่างที่นางมีถูกนำมารักษาหลี่เฟยหยาง ยาต่างๆ ที่เคยสกัดไว้ก็เอาออกมาใช้ทั้งหมด แต่เหมือนจะเอามาเททิ้งมากกว่า เขาไม่มีท่าทีจะฟื้นขึ้นมาเลย ยังดีที่สมุนไพรเหล่านี้ยื้อลมหายใจสุดท้ายของเขาเอาไว้ได้แต่แล้วอย่างไร เขาจะทนได้นานแค่ไหน นางเองก็ยังไม่รู้จากเหตุการณ์เมื่อคืน หลี่หลิงเฟิ่งตระหนักได้ถึงโลกใบนี้อย่างแท้จริง โลกที่ผู้ฝึกพลังยุทธ์เป็นใหญ่ นางเคยคิดว่ารออีกหน่อย เดี๋ยวนางจะแข็งแกร่งขึ้น ไม่ต้องสนใจใครหรือสิ่งใดให้มาก ใช้ชีวิตอย่างที่ต้องการให้เต็มที่จนเมื่อมีผู้ชายคนหนึ่งยอมตายเพื่อนาง ความเพ้อฝันเหล่านั้นจึงพังทลายลง หลี่หลิงเฟิ่งไม่มีความผูกพันกับคนในโลกนี้ อย่าว่าแต่หลี่เฟยหยางที่เพิ่งเจอกันไม่กี่วัน ต่อให้เป็นเสี่ยวเซียงเสี่ยวเฉิน นางก็เห็นเป็นเพียงแค่เพื่อนร่วมทางเท่านั้นคนพวกนี้ยอมทำเพื่อนาง ไม่ใช่สิ ต้องบอกว่าเพื่อเจ้าของร่างเดิมถึงกระนั้นนางก็ยังอ

    ปรับปรุงล่าสุด : 2024-12-25
  • ชายาอสรพิษ   พี่ชายงั้นหรือ 4

    หูซานแตกตื่นจนหน้าถอดสี ถุงผ้าในมือเกือบหลุดร่วง “นี่มันเกินไป เกินไปแล้ว” หลังจากหายตื่นตะลึง เขาก็มีท่าทางดีอกดีใจอย่างปิดไม่มิดแววตามองคล้ายขุ่นเคืองอยู่เล็กน้อย อดที่จะขบเขี้ยวเคี้ยวฟันไม่ได้ “เจ้ามีของล้ำค่าติดตัวมากมายขนาดนี้ ยังจะทำเป็นไม่รู้จักหินแร่พวกนี้อยู่อีก ผายลม!”หลี่หลิงเฟิ่งทำหน้าไม่ถูกไปชั่วขณะ ตาเฒ่าผู้นี้อยู่ดีๆ ก็อารมณ์ขุ่นมัวใส่นาง“เจ้ามีของเช่นนี้อยู่ตั้งแต่แรก ไยจึงไม่รีบนำมันออกมา” ตำหนิหญิงสาวก่อนกล่าวต่อ “แต่แค่สองก้อนก็พอ ที่เหลือเจ้าเก็บไว้เถอะ” หูซานหยิบออกจากถุงเพียงสองก้อนจริงๆ มองที่เหลืออย่างอาลัย สุดท้ายตัดใจส่งมันคืนให้นางหลี่หลิงเฟิ่งย่นคิ้วเข้าหากัน นัยน์ตาฉายแววงุนงงมากกว่าเดิม “แค่สองก้อนพอแน่หรือ ท่านหยิบมันไปเพิ่มอีกดีหรือไม่” ถึงจะไม่รู้ว่าคืออะไร หากแต่ช่วยรักษาได้ย่อมเป็นเรื่องดีได้ยินดังนั้น หูซานฉุนขึ้นมาทันที “ข้าเป็นหมอมาสามสิบกว่าปี อาการของโรคเป็นอย่างไร ปริมาณยาหรือพลังที่ใช้ย่อมรู้แน่ชัดอยู่แล้ว บอกว่าพอก็คือพอ เด็กอย่างเจ้าสงสัยคำวินิจฉัยของข้าอย่างนั้นหรือ” หญิงผู้นี้อะไรก็ดีไปหมด เหตุใดวันนี้ริทำตัวน่ารังเกียจ เขาเป็นถึงนักห

    ปรับปรุงล่าสุด : 2024-12-25
  • ชายาอสรพิษ   กลับสู่จุดเริ่มต้น 1

    ผ่านไปสิบวันอาการบาดเจ็บของหลี่เฟยหยางดีขึ้นมาก หูซานได้กลายเป็นแพทย์ประจำตัวของเขาไปแล้ว ทุกวันจะต้องมาจับชีพจร สอบถามความคืบหน้าระหว่างรักษาเสมอ ทั้งที่ชายชราไม่มีความจำเป็นต้องมาด้วยตนเอง เนื่องด้วยผู้ป่วยทั้งสองอยู่ในระยะปลอดภัยนานแล้วหลักๆ ที่วนเวียนอยู่อย่างนี้ เพราะต้องการเอาใจ ‘ศิษย์น้อง’ ที่เพิ่มมาอีกหนึ่งคน สร้างความรู้สึกประทับใจ เกาะติดหลี่หลิงเฟิ่งไม่ยอมห่างบอกตามตรง ตอนนั้นหลี่หลิงเฟิ่งเดือดดาลจนไร้คำพูดโต้กลับ นางแสดงเจตจำนงชัดเจนด้วยการปฏิเสธการเป็นศิษย์ของเขา นางไหนเลยจะคิดว่าเฒ่าทารกดันยกลำดับอาวุโสของนางให้สูงขึ้น ยังไม่ทันจะกล่าวอันใด หูซานก็ยกเตาหลอมโอสถให้นางพร้อมกับตำราสมุนไพรหนึ่งร้อยแขนงให้นางไว้ท่องจำทุกเช้าหลังจากตรวจอาการหลี่เฟยหยางและเสี่ยวเฉินเรียบร้อย หูซานจะขลุกอยู่กับนางตลอดช่วงบ่าย บางครั้งยังลากนางไปโรงหมอเพื่อดูอาการคนไข้ เดิมทีหลังจากหลี่เฟยหยางฟื้นขึ้นมา นางคิดจะปฏิเสธหูซานอย่างจริงจัง เมื่อนำไปปรึกษากับชายหนุ่ม กลับเป็นหลี่เฟยหยางโน้มน้าวให้นางรับข้อเสนอนี้ไว้เสียเองหลี่หลิงเฟิ่งจึงผงกศีรษะรับอย่างจำใจ กลายมาเป็นศิษย์น้องของหูซานด้วยประการฉะ

    ปรับปรุงล่าสุด : 2024-12-25
  • ชายาอสรพิษ   กลับสู่จุดเริ่มต้น 2

    ช่วงนี้แคว้นหลิวอวิ๋นมีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมายเรื่องสนุกปากในโรงเตี๊ยมและตามตรอกซอกซอยมีเพิ่มขึ้นทุกวัน เรื่องเล่าที่เป็นที่กล่าวขานมากสุดคงหนีไม่พ้นเรื่องคู่หมั้นขยะขององค์ชายรองผู้เป็นเลิศในทุกด้าน ได้รับความนิยมจนโรงละครนำมาทำเป็นเรื่องเล่าหลายต่อหลายบท เหตุการณ์สำคัญในเรื่องพูดถึงความอาภัพอับโชคขององค์ชายรอง หน้าตาอัปลักษณ์ของคู่หมั้น รวมไปถึงเสนาบดีหลี่ใช้อำนาจบาตรใหญ่บังคับเหล่าองค์ชายแต่งงานกับหลานสาวอันเป็นที่รัก ฮ่องเต้เห็นแก่คุณงามความดีของเจ้าเมืองหลี่จึงได้ยกองค์ชายรองให้หมั้นหมายกับบุตรสาวตระกูลหลี่ ที่ได้ชื่อว่าตัวไร้ค่าชาวบ้านต่างพากันเห็นใจสงสารองค์ชายรอง สาปแช่งก่นด่าหลี่หลิงเฟิ่งและเจ้าเมืองหลี่เรื่องราวอัปยศอดสูทำเอาเจ้าเมืองหลี่โกรธจนแทบจะกระอักเลือด ขุนนางทั้งหลายพากันประณามเขา ฎีกาหลายฉบับส่งตรงไปหาฮ่องเต้ให้ยุติการหมั้นหมายนี้ลง ตัวเขาเองที่เป็นบิดาก็เห็นด้วยอย่างยิ่ง แต่ไหนเลยจะมีใครคิด ไม่เพียงฮ่องเต้ไม่เอ่ยปากทัดทาน หากแต่ทรงกริ้วเหล่าขุนนางที่ร้องเรียนหน้าท้องพระโรง ออกว่าราชการยังไม่เสร็จก็สะบัดแขนเสื้อจากไปชายวัยกลางคนรู้สึกเหมือนตนเองเป็นคนใบ้ที่กินหว

    ปรับปรุงล่าสุด : 2024-12-25
  • ชายาอสรพิษ   กลับสู่จุดเริ่มต้น 3

    พลังเช่นนี้...ความรู้สึกกดดันเช่นนี้...ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหลอมรวม ซ้ำยังสูงกว่าเขาอีกหนึ่งขั้น เมื่อครู่ผู้ลอบเล่นงานเขาไม่ใช่สองพี่น้องคู่นั้้น เป็นชายชราผู้นี้แน่นอน เป็นเขาที่กดข่มพลังคนทั้งหมดไว้ เป็นเขาที่บังคับให้ข้าคุกเข่า...หลี่เชาสูดหายใจลึก รู้สึกได้ถึงความตายที่กำลังมาเยือนถึงหน้าประตู“ท่าน...ท่านกับข้า...พวกเราไม่เคยมีเรื่องบาดหมางกันมาก่อน เหตุใดจึงตั้งตนเป็นปรปักษ์ ลอบทำร้ายกันเล่า” ความเงียบปกคลุมทั่วบริเวณ ไม่มีเสียงตอบรับเล็ดลอดออกมา มีเพียงเสียงดังอั่กทีหนึ่ง เลือดสีแดงสดพุ่งกระฉูดเลอะพื้นกระเด็นมาจนถึงจุดที่หลี่หลิงเฟิ่งยืนอยู่พลั่ก พลั่ก พลั่กท่ามกลางการชะงักค้างของทุกคน พลังสีแดงพุ่งไปรอบด้านไม่ขาดสาย เหล่าผู้คุ้มกันเหมือนเป็นง่อยเปลี้ยไร้เรี่ยวแรงตอบโต้ ได้แต่นอนโอดโอยบนพื้นโถงรับรองอันเย็นเฉียบ เพลิงพิโรธของหูซานยังคงไม่มอดดับลงง่ายๆ หันไปเล่นงานหลี่เชาที่นอนพะงาบๆ อยู่บนพื้นไร้เสียงตอบโต้“ช้าก่อน” หลี่หลิงเฟิ่งรีบร้องปรามเมื่อเห็นท่าไม่ดี“ท่านจะฆ่าใครข้าไม่สน แต่อย่าให้คนพวกนี้มาตายในบ้านของข้าเป็นอันขาด” หลูหมิ่นซึ่งเวลานี้ปากชาไปหมดเพิ่งได้สติคืนมา มองทั้งส

    ปรับปรุงล่าสุด : 2024-12-25

บทล่าสุด

  • ชายาอสรพิษ   ช่วยเหลือ

    ณ เมืองหลวงของแคว้นหลิวอวิ๋นเสียงการต่อสู้ยังคงดังกึกก้อง เปลวเพลิงโหมลุกไหม้ตามแนวกำแพง เสียงคำรามของผู้บุกรุกประสานกับเสียงอาวุธที่กระทบกันอย่างดุเดือดสวีคุนเจ้าสำนักหอแพทย์โอสถ กำลังรักษาผู้บาดเจ็บพลางออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม "อย่าปล่อยให้พวกมันทะลวงเข้ามาได้ ต้านไว้สุดกำลัง"ผู้ฝึกยุทธ์คนอื่นๆ และเจ้าหน้าที่ทหารรวมกำลังกันอย่างสุดความสามารถ แต่จำนวนศัตรูที่มีกองกำลังมือสังหารชั้นสูงกลับยังคงท่วมท้นทันใดนั้นเอง แสงสีฟ้าก็ปรากฏขึ้นกลางสมรภูมิ เสียงลมกรรโชกดังขึ้นพร้อมกับร่างของหลี่หลิงเฟิ่ง โม่จื่อหลิง และจวินชางหลางที่ปรากฏตัวออกมา"พวกเรากลับมาแล้ว!" จวินชางหลางร้องลั่น พลางสะบัดดาบเล่มใหม่ในมืออย่างฮึกเหิม "ใครอยากโดนฟันก่อน มาเลย!""ทุกคนปลอดภัยดีหรือไม่" หลี่หลิงเฟิ่งตะโกนถามพลางฟาดแส้เพลิงออกไป เผาผู้บุกรุกที่พุ่งเข้ามาสวีคุนยิ้มออกมาอย่างโล่งใจ "พวกเจ้ามาทันเวลาพอดี ฝั่งนั้นมีมากเกินไป พวกเรากำลังต้องการกองกำลังเสริมอย่างยิ่งยวด""ท่านวางใจ ข้าจะทำให้ศัตรูจำชื่อพวกเราไปตลอด" จวินชางหลางหัวเราะเสียงดัง เลือดร้อนไม่ลดละจากการต่อสู้ที่ต่อเนื่องมาอย่างยาวนาน"งั้นข้าจะช

  • ชายาอสรพิษ   ความเปลี่ยนแปลง

    "อะไรเนี่ย ทำไมรากไม้พวกนี้มันมีชีวิตล่ะ แม่จ๋า ช่วยลูกด้วย" จวินชางหลางตะโกนพลางถอยหลบ ขณะที่รากไม้สีดำเลื้อยมาทางเขาดาบกลืนวิญญาณในมิติมายาของหลี่หลิงเฟิ่งยังคงสั่นสะท้าน ราวกับพยายามเตือนบางสิ่ง นางหอบหายใจ ดวงตาคมกริบจับจ้องไปยังใจกลางห้องโถงที่บัดนี้เต็มไปด้วยพลังมืด แท่นบูชาที่พังครึ่งหนึ่งพลันแตกออก เผยให้เห็นโลงศพสีดำสนิทที่ถูกพันธนาการไว้ด้วยรากไม้หนาทึบ นางเดินเข้าไปใกล้โลงศพที่ยังคงปล่อยไอสังหารออกมา"ระวังนะ!" จวินชางหลางร้องเตือน แต่หลี่หลิงเฟิ่งยื่นมือออกไปแตะรากไม้ที่พันรอบโลงศพ ถึงกับเป็นโลกศพฮ่องเต้รุ่นที่หนึ่งทันใดนั้น เส้นแสงสีดำพุ่งออกมาจากรากไม้ เสียงคำรามต่ำสะท้อนก้อง รากไม้ราวกับมีชีวิตฉุดกระชากไปทั่วโลงศพเปิดออกอย่างช้าๆ กลิ่นเน่าเหม็นโชยกระจายไปทั่วห้องโถง ร่างของฮ่องเต้ตงเยว่ที่เคยหลับใหลปรากฏให้เห็น ผิวหนังซีดเผือด ดวงตาที่ควรปิดสนิทพลันเปิดออก เผยให้เห็นแสงสีดำวาววับ"มันตื่นขึ้นแล้ว!" โม่จื่อหลิงกล่าวเสียงหนัก ขณะกระชับกระบี่ในมือแต่ก่อนที่ใครจะทันได้ขยับ รากไม้สีดำพุ่งขึ้นฟ้า ก่อนจะแตกกระจาย เสียงกระดูกดังลั่น ไม่ใช่แค่จักรพรรดิตงเยว่ แต่ศพของทหารและข

  • ชายาอสรพิษ   ค้นพบ

    จวินชางหลางกระเด็นกลิ้งหลายตลบก่อนจะยันตัวลุกขึ้นมา มองรอบด้านอย่างไม่สบอารมณ์ สถานที่เบื้องหน้านั้นเต็มไปด้วยซากหินและพื้นผนังที่ปกคลุมไปด้วยตะไคร่น้ำ“ที่นี่มัน...ใต้ดินหรือ” หลี่หลิงเฟิ่งกวาดตามองอย่างระแวดระวัง“ข้าหวังว่ามันจะไม่ใช่กับดักอะไรอีกนะ” จวินชางหลางโอดครวญ “ฟ้าไม่มีตา ไม่เข้าข้างข้าบ้างเลย”ทั้งสามคนเดินลึกเข้าไปในโพรงใต้ดิน เส้นทางทอดยาวราวกับไม่มีที่สิ้นสุด เสี่ยวจูจูที่เกาะอยู่บนบ่าหลี่หลิงเฟิ่งส่งเสียงครางเบาๆ อย่างไม่สบายใจ“มันรู้สึกอะไรบางอย่าง” หลี่หลิงเฟิ่งเอ่ยเบาๆ นางยกมือขึ้นลูบหัวเสี่ยวจูจูเพื่อปลอบ “ระวังตัวไว้”ภายในมิติมายาของนางกลับเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างไม่คาดคิด ดาบกลืนวิญญาณ ที่ปักนิ่งอยู่กลางทุ่งมายาพลันสั่นสะท้าน เสียงหวีดแหลมต่ำ เส้นแสงสีดำปะทุจากคมดาบราวกับมีสิ่งเร้นลับพยายามฉุดกระชากมันให้หลุดจากพันธนาการ“ไม่... ไม่ดีแล้ว!” เสี่ยวมู่ร้อง ดวงตาสีครามของมันเบิกกว้างหลี่หลิงเฟิ่งเม้มปาก มองสภาพแปรปรวนในมิติของนาง ที่พื้นดินซึ่งเคยนิ่งสงบกลับแตกออก เผยให้เห็นแสงสีเทาหม่นที่หมุนวนราวกับวงกตแห่งวิญญาณในจุดนั้นมีวัตถุสีมืดสนิทลอยเด่นอยู่กลางอากาศ มั

  • ชายาอสรพิษ   ทำลายตงเยว่

    บุกแคว้นตงเยว่เปลวไฟลุกโชนสูงตระหง่าน วังหลวงของแคว้นตงเยว่ที่เคยโอ่อ่ากลายเป็นสนามรบ เปลวเพลิงจากของหลี่หลิงเฟิ่งเผาผนังไม้สักทองคำจนแตกเปรี๊ยะ เสียงกรีดร้องของทหารแคว้นตงเยว่ดังระงมจวินชางหลางหัวเราะเสียงดัง ขณะฟาดฟันศัตรูที่ขวางหน้า "นี่แหละที่ข้ารอคอยมานาน วังนี้ข้าเห็นแล้วยังอยากเผาเล่น"ทหารของแคว้นตงเยว่ล้มตายลงทีละคน ซากศพกองเรียงรายจนแทบไม่มีทางเดิน หลี่หลิงเฟิ่งมองซากปรักหักพังอย่างเยือกเย็น "วังโอ่อ่าขนาดนี้ วันนี้ก็ถึงคราวต้องมอดไหม้ไปพร้อมกับบาปของมันแล้ว""เจ้าคิดจะทำลายทุกอย่างจริงๆ หรือ ง่ายไปหน่อยกระมัง" เสียงหนึ่งดังขึ้นจากเบื้องบน ร่างสูงสง่างามในชุดมังกรสีทองปรากฏตัวท่ามกลางเงาเปลวเพลิง ฮ่องเต้แห่งแคว้นตงเยว่ ดวงหน้าคมคายที่เปี่ยมด้วยอำนาจแฝงไปด้วยความน่าเกรงขาม"ข้ารู้จักสมญานามของพวกเจ้ามาบ้าง หญิงชั่วร้ายกับชายคู่หมั้นหน้าโง่ แต่กลับถูกยกย่องให้เป็นความภาคภูมิของแคว้นหลิวอวิ๋น"หลี่หลิงเฟิ่งเลิกคิ้วแปลกใจ ไม่คิดว่าพวกนางจะมีฉายาเช่นนี้ด้วย โด่งดังไม่เบาเลยหนา ฮ่องเต้ตงเยว่หัวเราะ "เจ้าคิดว่าการเผาวังหลวงของข้าจะทำให้แคว้นหลิวอวิ๋นพ้นภัยหรือ ช่างเป็นความคิดตื

  • ชายาอสรพิษ   ตั้งรับ

    กองกำลังขันทีผู้ซื่อสัตย์ของฮ่องเต้ ซึ่งได้รับการฝึกฝนให้ปกป้องวังหลวงมาตั้งแต่เยาว์วัย ยืนหยัดต้านทานคนชุดดำอย่างสุดชีวิต ถึงแม้พลังยุทธ์ของพวกเขาจะด้อยกว่าศัตรูมากนัก แต่ด้วยความภักดีที่ฝังแน่นในหัวใจ พวกเขาไม่มีวันปล่อยให้ราชวงศ์หลิวอวิ๋นล่มสลายไปต่อหน้าต่อตา"ถ้าจะตาย ก็ให้ตายเพื่อฝ่าบาท!" หัวหน้าขันทีตะโกนลั่น เสียงของเขาแฝงด้วยความมุ่งมั่นที่ไม่ยอมพ่ายแพ้เสียงดาบกระทบกันดังสนั่น ขันทีผู้หนึ่งฟาดดาบเข้าใส่คนชุดดำ แต่กลับถูกพลังยุทธ์มหาศาลกระแทกจนล้มลง เลือดสาดกระเซ็นไปทั่วพื้นหิน"อย่าปล่อยให้พวกมันเข้าใกล้ฝ่าบาท!" หัวหน้าขันทีตะโกนอีกครั้ง ก่อนจะพุ่งตัวไปขวางคนชุดดำที่พยายามบุกเข้ามาฮ่องเต้ที่ยังทรงยืนอยู่ด้วยพระวรกายที่บาดเจ็บสาหัส ดวงเนตรของพระองค์เคร่งขรึมแต่เปี่ยมด้วยความเด็ดเดี่ยว แม้พระโลหิตจะไหลซึมจากบาดแผลที่พระอุระ แต่พระองค์ไม่คิดจะล่าถอยหยวนกุ้ยเฟยยืนมองภาพนั้นด้วยความสะใจ ใบหน้าของนางฉายแววบ้าคลั่ง "ฝ่าบาทยังดื้อรั้นเช่นเคย... แต่ครั้งนี้ข้าจะทำให้ท่านสิ้นสิ้นลมหายใจไปพร้อมกับบัลลังก์ที่ท่านหวงแหนนัก!"ดวงตาของนางเรืองแสงด้วยพลังพิษสีดำที่แผ่ออกมาจากปลายนิ้ว นางสะ

  • ชายาอสรพิษ   เมล็ดพันธ์ุแห่งความสงสัย

    "โจมตีที่แก่นพลังในกะโหลก พวกมันจะฟื้นตัวไม่ได้ถ้าแก่นนั้นถูกทำลาย" เสียงสั่งการของหลี่เฟยหยางดังขึ้นท่ามกลางเสียงคำรามของสัตว์อสูรเน่าเปื่อยที่น่าสะอิดสะเอียน หลี่หลิงเฟิ่งที่กำลังฟาดแส้เพลิงใส่สัตว์อสูรตนหนึ่งถึงกับชะงัก นางหรี่ตาจ้องมองหลี่เฟยหยางที่ดูมั่นใจในการโจมตีราวกับรู้จุดอ่อนของพวกมันดีราวกับฝ่ามือตัวเอง"ทำลายแก่นพลังงั้นหรือ" หลี่หลิงเฟิ่งพึมพำเบาๆ ก่อนจะหันไปสบตาโม่จื่อหลิง "ลองทำดู!"โม่จื่อหลิงไม่รีรอ เขาพุ่งเข้าใส่สัตว์อสูรตัวหนึ่งราวกับพายุ กระบี่ในมือเปล่งประกายสีเงินวาววับ ปลายกระบี่พุ่งตรงเข้าหากะโหลกของมันอย่างรวดเร็วและแม่นยำ เสียงแตกดังลั่นเมื่อแก่นพลังถูกทำลาย ร่างของมันล้มลงกับพื้นและสลายกลายเป็นผุยผงในชั่วพริบตา"ได้ผลจริงๆ ด้วย!" หลูหวั่นชิงตะโกนขึ้นด้วยความดีใจ นางกวัดแกว่งพัดเหล็กในมือ สร้างกระแสลมเพลิงพุ่งตรงเข้าใส่กะโหลกของสัตว์อสูรอีกตัว เผาไหม้แก่นพลังจนแตกละเอียดแต่หลี่หลิงเฟิ่งกลับไม่ได้รู้สึกโล่งใจ ดวงตาคู่งามของนางจับจ้องหลี่เฟยหยางที่ยังคงต่อสู้อย่างดุดัน ร่างสูงสง่างามของเขาขยับอย่างแม่นยำและมั่นใจราวกับนักล่าที่ชำนาญ สายตาของนางแฝงไว้ด้วยความส

  • ชายาอสรพิษ   ทางรอด

    การต่อสู้ในสุสานสัตว์อสูรยังคงดำเนินไปอย่างดุเดือด พลังยุทธ์และอาวุธหลากชนิดพุ่งเข้าใส่ร่างสัตว์อสูรเน่าเปื่อยเหล่านั้นครั้งแล้วครั้งเล่า แต่กลับไม่ได้ผลเท่าที่ควร ทุกครั้งที่พวกมันล้มลง มันกลับลุกขึ้นมาใหม่ราวกับไม่มีที่สิ้นสุด“พวกมันมีแต่มากไม่มีลดลงเลย ขืนแบบนี้ต่อไปไม่ดีแน่ เราต้องออกจากที่นี่โดยด่วน” หลูหวั่นชิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงร้อนรน นางใช้พัดเหล็กในมือกวาดเปลวไฟออกไป เผาสัตว์อสูรตัวหนึ่งจนมอดไหม้ แต่เพียงครู่เดียว ร่างที่ไหม้เกรียมนั้นก็กลับมาฟื้นคืนและกระโจนเข้ามาอีกครั้ง“ทางออกอยู่ไหนกันล่ะ สู้มาจะค่อนวันแล้วข้ายังไม่เห็นว่าจะมีสักแม้เงา” จวินชางหลางตะโกนกลับ เสียงของเขาแฝงด้วยความเหนื่อยล้า กระบี่ของเขาเปื้อนเลือดสัตว์อสูรจนไม่เหลือเค้าเดิมหลี่หลิงเฟิ่งเบี่ยงตัวหลบกรงเล็บของสัตว์อสูรตัวหนึ่งที่ฟาดลงมา นางสะบัดแส้เพลิงในมือออกไป เปลวไฟสีแดงฉานลุกโชนขึ้น เผาร่างของมันจนแตกสลาย แต่ในเวลาเดียวกัน นางก็ใช้สายตาสำรวจพื้นที่รอบตัว“ถ้าค่ายกลนี้ถูกทำลายแล้ว พวกมันไม่ควรถูกยึดติดกับพื้นที่นี้อีก ล่อพวกมันกระจายตัวออกไปก็สิ้นเรื่อง พวกมันถูกดึงดูดจากต้นไม้แห่งชีวิต ตอนนี้ไม่มีเหลือแ

  • ชายาอสรพิษ   กับดักใจกลางป่า

    กลุ่มของหลี่หลิงเฟิ่งติดตามคำบอกเล่าของนุ่มนิ่มมาตลอดทางจนกระทั่งมาถึงจุดหมายเบื้องหน้า สิ่งที่พวกเขาเห็นคือปากถ้ำขนาดใหญ่ที่ดูเหมือนซ่อนตัวอยู่ภายในเงาไม้หนาทึบ ถ้ำนี้ดูไม่ต่างจากที่หลี่หลิงเฟิ่งได้ยินจากคำรายงานของนุ่มนิ่มเหลียนฉือกงและเหลียนฉู่ฉู่นั่งพิงกันอยู่หน้าถ้ำ ดวงหน้าซีดเซียวและเต็มไปด้วยร่องรอยบาดแผลของการต่อสู้ เหลียนฉือกงมีบาดแผลใหญ่ที่สีข้าง ขณะที่เหลียนฉู่ฉู่กุมป้ายหยกแน่นราวกับไม่อาจปล่อยจากมือ“ข้าเจอพวกเขาแล้ว” หลูหวั่นชิงชี้ไปยังสองพี่น้องแคว้นเหลียน นางรีบจะก้าวเข้าไปหา แต่หลี่หลิงเฟิ่งยกมือขึ้นห้ามไว้ทันที“อย่าเพิ่งเข้าไป” หลี่หลิงเฟิ่งบอกเสียงเฉียบพลัน ดวงตาของนางหรี่ลงมองภาพเบื้องหน้า ในขณะที่ทุกคนเห็นเพียงถ้ำที่ดูปลอดภัย แต่สิ่งที่นางเห็นกลับต่างออกไปโดยสิ้นเชิงภาพเบื้องหน้าของหลี่หลิงเฟิ่งไม่ได้เป็นเพียงปากถ้ำ แต่เป็นสุสานสัตว์อสูรที่เต็มไปด้วยซากศพของสัตว์อสูรนานาชนิด กองกระดูกที่เรียงรายอยู่ทุกหนแห่งส่งกลิ่นคาวเลือดจางๆ ที่ดูเหมือนจะยังไม่แห้งสนิท ราวกับพวกมันเพิ่งล้มตายไม่นานนางหันมองรอบตัวอย่างระแวดระวัง เสียงของถิงถิงดังขึ้น“นายท่านที่นี่ถูกสร้างค่า

  • ชายาอสรพิษ   ถิงถิงออกโรง

    เสียงหอบหายใจของหลี่หลิงเฟิ่งและคนอื่นๆ ดังขึ้นท่ามกลางเสียงคำรามอันต่ำของฝูงอสูรที่ล้อมรอบพวกเขาไว้ มันไม่ได้เป็นเพียงสัตว์อสูรธรรมดา หากแต่เป็นสิ่งมีชีวิตที่ตายไปแล้วและถูกปลุกขึ้นมาด้วยพลังลึกลับ เนื้อหนังที่เน่าเปื่อยของพวกมันเต็มไปด้วยกลิ่นเหม็นคาวและความสยดสยองที่แผ่กระจายไปทั่ว“เจ้าพวกนี้มันไม่มีวันตายจริงๆ สินะ” หลูหวั่นชิงพึมพำ น้ำเสียงของนางแฝงไปด้วยความตื่นตระหนกยิ่งยวด“แต่พวกเราตายได้นะ” จวินชางหลางตะโกนพลางหมุนตัวฟาดดาบในมือผ่านร่างอสูรตัวหนึ่งจนขาดเป็นสองท่อน แต่ในเสี้ยววินาทีต่อมา เศษเนื้อและกระดูกที่แตกกระจายกลับเริ่มเคลื่อนไหวและประกอบร่างอีกแล้ว เป็นอย่างนี้ทุกครั้งไป“ไม่ว่าเจ้าจะฟันอีกกี่ครั้ง มันก็ยังรวมร่างได้ เสียเวลาเปล่า” หลี่หลิงเฟิ่งกล่าวเสียงเรียบ นางสะบัดมือข้างหนึ่ง ผ้าสีแดงสิบเส้นพลันพุ่งออกไปพร้อมเปลวเพลิงที่ลุกโชติช่วง แส้เพลิงฟาดลงบนร่างของสัตว์อสูรตัวหนึ่งเสี่ยวจูจูที่ยืนอยู่ข้างหลี่หลิงเฟิ่งส่งเสียงร้องคำรามอันทรงพลัง ร่างเล็กของมันกระโจนออกจากที่มั่น ลวดลายสีดำสลับทองบนตัวส่องประกายระยับ ขณะที่กรงเล็บของมันตวัดฉีกกระชากอสูรตัวหนึ่งจนกระเด็นไปไกล

สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status