เช้าตรู่วันถัดมา หลี่หลิงเฟิ่งมาถึงป่าอัศดงก่อนเวลาหนึ่งชั่วยาม ตั้งแต่นางค้นพบสมุนไพรล้ำค่าในป่าลึก กิจวัตรประจำวันของพวกนางจึงได้เพิ่มการหาสมุนไพรในป่าแห่งนี้ไปขาย โดยปกติแล้วนางมักจะพาเสี่ยวเซียงมาด้วย เพื่อฝึกให้สาวใช้ได้ปรับตัวและคุ้นชินกับการเอาชีวิตรอดต่ออันตรายเล็กๆ น้อยๆ
แรกเริ่มเสี่ยวเซียงก็หวาดกลัวจนตัวสั่น แต่ก็ไม่อยากให้เจ้านายเข้ามาตามลำพัง อย่างไรก็ตามความเป็นความตายของนางก็ไม่สำคัญเท่าชีวิตของหลี่หลิงเฟิ่ง จึงได้ทำใจกล้าไปกับหลี่หลิงเฟิ่งทุกครั้ง นานวันเข้าจากคนที่รู้สึกหวาดกลัวกลับกลายเป็นรอคอยที่จะผจญภัยกับบทเรียนใหม่ๆ ทุกวัน การเปลี่ยนแปลงของสาวใช้ตัวน้อยนางนี้ทำเอาหลี่หลิงเฟิ่งพึงพอใจอย่างมาก
เพราะมีเวลาจำกัด ไหนจะเรื่องที่ต้องแอบหลบสายตาสอดส่องจากอาคันตุกะที่ไม่ได้รับเชิญพวกนั้น วันเวลาที่นางสามารถกอบโกยสมุนไพรก็น้อยลงไปทุกที
วันนี้จึงแตกต่างออกไปเล็กน้อย นางละทิ้งการฝึกฝนเสี่ยวเซียง เลือกพาเสี่ยวเฉินติดตามมาแทน นอกจากจะทำให้นางกังวลเรื่องความปลอดภัยน้อยลง ก็ยังสามารถหาสมุนไพรได้มากกว่าทุกวัน ความรู้ตลอดหลายเดือนที่นางพร่ำสอนก็ไม่ได้เสียเปล่าแต่อย่างใด
ตั้งแต่นางตัดสินใจพาทั้งสองเข้ามาในป่าอัศดงอีกครั้ง เรื่องที่นางฝึกพลังยุทธ์จึงไม่จำเป็นต้องปิดความลับอีกต่อไป อีกอย่างนางก็ไม่คิดที่จะปิดบังสองคนนี้อยู่แล้ว
“พวกเราเดินลึกเข้าไปอีกหน่อย” หลี่หลิงเฟิ่งมองไปรอบๆ พลันถอนหายใจ ละแวกนี้พวกนางเข้ามาเก็บหมดแล้ว จะเหลือก็แต่สมุนไพรที่พบเห็นได้ทั่วไป ไม่มีค่าอะไรมากมาย
เส้นทางในช่วงแรกๆ ยังมีเส้นทางให้เดินสายเล็กๆ ที่พวกนางเคยทำไว้ แต่หลังจากนี้นางเจอแต่ต้นไม้ใหญ่สูงเสียดฟ้า บางครั้งก็มีพุ่มหญ้ารุงรังมีหนามแหลมพันแข้งพันขา ได้แต่อาศัยมีดสั้นช่วยกันถางออก
สิ่งเดียวที่ทำให้นางหงุดหงิดก็คือ ยิ่งเดินเข้าไปลึกเท่าไหร่ก็ยังไม่มีสมุนไพรล้ำค่าสักต้นโผล่มา อย่างนี้ไม่เท่ากับเหนื่อยเปล่าหรอกหรือ
“พักที่นี่ก่อนครึ่งเค่อก็แล้วกัน” หลี่หลิงเฟิ่งพูดออกมาอย่างไม่สบอารมณ์ หลังจากออกคำสั่งนางก็ไม่สนใจอีกต่อไป เมื่อมีเสี่ยวเฉินอยู่ด้วยนางก็คลายความระแวดระวังไปมาก ด้วยความที่นางตื่นเช้าเกินไปจึงทำให้รู้สึกอ่อนเพลียอยู่บ้างเล็กน้อย หลังจากนั้นจึงเอนกายลงพิงต้นไม้ใหญ่และปิดตาลงเพื่อพักผ่อน
“เสี่ยวเซียงกลัวว่าคุณหนูจะหิวระหว่างทาง จึงได้เตรียมหมั่นโถวมาให้ คุณหนูกินรองท้องไปก่อนนะขอรับ” เสี่ยวเฉินเห็นว่าหลี่หลิงเฟิ่งไม่คิดจะเดินต่อ จึงนั่งลงข้างๆ หยิบหมั่นโถวที่อยู่ในตะกร้าลูกหนึ่งส่งไปให้หลี่หลิงเฟิ่ง อีกลูกส่งเข้าปากตัวเอง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะหิวหรืออะไรกัน เขารู้สึกว่าอาหารที่เสี่ยวเซียงทำวันนี้ดูเหมือนจะอร่อยเป็นพิเศษ
“เจ้ากินเถอะ ข้ายังไม่หิว ข้าจะพักสายตาสักครู่หนึ่ง” หลี่หลิงเฟิ่งพูดขณะที่ยังหลับตาอยู่ แม้ว่านางจะบอกให้เขากิน แต่เสี่ยวเฉินก็เลือกที่จะเก็บหมั่นโถวไว้ตามเดิม สายตามองไปรอบด้านคอยสอดส่องระวังภัย
แม้ว่าภายนอกหลี่หลิงเฟิ่งจะเหมือนคนที่พักผ่อนจริงๆ ทว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นรอบด้านก็ไม่อาจเล็ดลอดจากการรับรู้ของนางไปได้ ที่นางกล้าเข้าป่าแห่งนี้บ่อยครั้ง สาเหตุส่วนหนึ่งมาจากพลังจิตของนางที่สามารถรับรู้สิ่งต่างๆ ที่อยู่ใกล้ๆ นางได้ ถึงแม้ว่าจะน้อยนิด แต่หากมีอันตรายใกล้เข้ามา ก็เพียงพอให้พวกนางหลบหนีออกมาได้อย่างปลอดภัย
มุมปากของหญิงสาวยกยิ้มขึ้นอย่างไม่รู้ตัว นางคิดไม่ผิดจริงๆ ที่วันนั้นตัดสินใจรับเสี่ยวเฉินมา คนผู้นี้มีความกตัญญูรู้คุณ เมื่อคิดว่านางเป็นผู้มีพระคุณ เขาก็จะตอบแทนด้วยความจงรักภักดี เมื่อวางใจลงได้แล้ว นางก็ทุ่มเทสมาธิทั้งหมดทั้งมวลเข้าสู่การสำรวจพื้นที่ห่างไกลออกไป
ในตอนที่นางกำลังหว่านพลังจิตออกไปรอบๆ นั้น จู่ๆ นางก็สัมผัสถึงความเย็นสบายและความหอมละมุนสายหนึ่งลอยเข้าไป กลิ่นหอมจางๆ ไม่ไกลจากที่นางพักอยู่เท่าไหร่
หลี่หลิงเฟิ่งถ่ายทอดพลังจิตออกไปมากกว่าเดิม สุดท้ายก็ส่ายหัว นางยิ้มอย่างละเหี่ยใจ ไกลเกินไป ด้วยพลังของข้าตอนนี้ยังไม่เพียงพอ คงต้องไปดูเองแล้วล่ะ!
หลี่หลิงเฟิ่งเปิดเปลือกตาขึ้นมาช้าๆ มือล้วงหยิบสมุนไพรสองต้นออกมา ต้นหนึ่งยื่นให้เสี่ยวเฉิน อีกต้นส่งเข้าปากแล้วเคี้ยวกลืนลงท้อง
“กินมันซะ เราจะเดินไปข้างหน้าอีกหน่อย ข้ารู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ไกลจากตรงนี้ อาจจะเป็นสมุนไพรหายากก็ได้ แต่ข้ายังไม่เคยเดินเข้าไปลึกขนาดนี้มาก่อน หญ้าต้นนี้จะช่วยต้านพิษให้เจ้าได้ระดับหนึ่ง”
“ขอรับ” แม้ภายในใจจะยังรู้สึกกลัวเส้นทางต่อจากนี้ แต่เขาก็เชื่อมั่นว่าคุณหนูจะเอาตัวรอดไปได้ คุณหนูไม่เคยทำในสิ่งที่เกินตัว คำนึงถึงความปลอดภัยของตัวเองก่อนเสมอ
“ไปกันเถอะ”
ตูม!
ทันทีที่นางเดินไปได้ไม่กี่ก้าว พลันมีเสียงกึกก้องสนั่นฟ้ามาแต่ไกล พื้นดินสะเทือนเลื่อนลั่น หลี่หลิงเฟิ่งเพ่งมองไปยังลำแสงที่พุ่งวาบอยู่เบื้องหน้าไม่ไกลจากจุดที่พวกนางยืนอยู่
“ยอดฝีมือ ผู้ฝึกยุทธ์ เป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นพิภพ!” เสี่ยวเฉินที่ยืนอยู่ด้านหลังอุทานออกมาอย่างไม่อยากเชื่อสายตา ขาทั้งสองข้างสั่นด้วยความหวาดกลัว
นี่...ยอดฝีมือระดับนี้มาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร พวกเขาช่างโชคร้ายเกินไปแล้ว เสี่ยวเฉินอยากร่ำไห้แต่ไร้น้ำตา
“นี่...คุณหนูหนีเร็ว!” ด้วยกลัวว่าหากถูกพบเข้าจะโดนลูกหลงไปด้วย เสี่ยวเฉินร้องออกมาอย่างตื่นตระหนกพลางดึงแขนเสื้อของหลี่หลิงเฟิ่งให้ถอยออกมา
หากแต่หญิงสาวไม่ได้ใส่ใจแม้แต่นิด สายตาของนางยังคงเพ่งมองไปยังการต่อสู้อันดุเดือดเบื้องหน้า ภาพที่นางเห็นเป็นเพียงแสงดาวตกที่กระทบกันเหนือน้ำ แยกไม่ออกว่าใครเป็นใคร น้ำในสระสาดกระจายไปทั่ว อันที่จริงพวกนางไม่ได้อยู่ใกล้มากนัก แต่ด้วยพลังที่ทรงอานุภาพเกินไปทำให้พวกนางเห็นมันจากที่ไกลๆ อย่างชัดเจน
หลี่หลิงเฟิ่งลอบอุทานในใจ เร็วเกินไป นางมองไม่ทันเลยสักนิด
คิ้วทั้งสองข้างขมวดเข้าหากัน เม้มริมฝีปากแน่นก่อนเอ่ยออกมา “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าคนพวกนั้นเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นพิภพ”
“ข้าเองก็ไม่แน่ใจ แต่ได้ยินมาว่าเวลาผู้ฝึกยุทธ์ขั้นพิภพเวลาต่อสู้กันพื้นดินจะสั่นสะเทือนเลื่อนลั่น คุณหนูอย่าสนใจเลย พวกเรารีบไปกันเถอะ ยิ่งอยู่นานเท่าไหร่ยิ่งเป็นอันตรายนะขอรับ” น้ำเสียงเสี่ยวเฉินยิ่งพูดยิ่งร้อนรน ร่างกายกระสับกระส่ายไปมาไม่หยุด
“ใครบอกว่าพวกเราต้องสู้กันเล่า พวกเรามาที่นี่ก็เพื่อมาเก็บสมุนไพร ไม่ได้รนหาที่ตายสักหน่อย” หลี่หลิงเฟิ่งหันหลังเดินไปแอบข้างหลังต้นไม้ใหญ่ใกล้ๆ ต้นหนึ่ง สายตาจับจ้องไปยังการต่อสู้ที่ไม่รู้จะสิ้นสุดลงเมื่อไหร่ นางไม่ได้โง่สักหน่อย สู้ได้ก็สู้ สู้ไม่ได้ก็ไม่คิดจะยื่นมือเข้าไปแส่หาเรื่องอยู่แล้ว
“ตั้งแต่เกิดมา ข้ายังไม่เคยเห็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นพิภพปะทะกันเลยนะ เสี่ยวเฉินตั้งใจดูให้ดี ไม่แน่วันหน้าอาจเป็นประโยชน์กับตัวเจ้าเองก็ได้” สายตาเจ้าเล่ห์ของนางกลิ้งกลอกไปมาอย่างซุกซน ในขณะที่บ่าวรับใช้ที่แอบอยู่ด้านข้างได้แต่โอดครวญอยู่ในใจ
“ขอรับคุณหนู” แต่กระนั้นก็ยังเชื่อฟังหลี่หลิงเฟิ่งอย่างไร้ข้อแม้ สายตาจับจ้องเหตุการณ์ข้างหน้าไม่กะพริบ
“เจ้าว่าฝ่ายไหนจะชนะ” ตอนนี้นางพอแยกออกได้บ้างแล้ว มียอดฝีมือสามคนกำลังปะทะกันอยู่ จากที่นางเพ่งมองเหมือนว่าจะสองรุมหนึ่ง แล้วดูท่าการต่อสู้ครั้งนี้คงจะจบลงเร็วๆ นี้แล้ว
“เดรัจฉาน ข้าจะดูซิว่าเจ้าจะหนีไปไหนได้อีก” น้ำเสียงอันทรงพลังดังขึ้น เท้าเหยียบลงบนอกของบุรุษชุดดำขลิบทองที่นอนจมกองเลือดอยู่บนพื้นข้างสระน้ำ
“จะฆ่าก็ฆ่า พูดมากอยู่ได้” บุรุษที่นอนอาการร่อแร่พูดออกมาอย่างไร้อารมณ์ หลี่หลิงเฟิ่งเลิกคิ้วมองดูชายปริศนาอย่างสนใจ เอ้อ เพราะปากอย่างนี้ มิน่าจึงถูกศัตรูไล่ล่าสังหาร
“หึ จะตายแล้วยังปากดี เอาอย่างนี้ดีมั้ย ถ้าเจ้าขอร้อง ข้าจะให้เจ้าตายโดยไม่ต้องทรมาน” ชายที่ชุดดำที่ยืนอยู่ด้านข้างแสยะยิ้มมุมปาก ก้มตัวลงไปบีบคางอีกฝ่ายแน่น ก่อนจะสลัดมือออกอย่างรุนแรง จนทำให้ใบหน้าที่บอบช้ำของบุรุษผู้นั้นหันมาทางพวกนาง สายตาสองคู่เผลอสบประสานกัน
หลี่หลิงเฟิ่งพลันตื่นตกใจ สันหลังเย็นวาบ นี่นางถูกพบเข้าแล้วหรือ ไม่น่าจะใช่ ด้วยระยะที่ไกลกันพอสมควร ไม่มีทางที่ชายผู้นั้นจะเห็นนาง
“ก่อนตาย ข้าเพียงอยากรู้ ใครส่งพวกเจ้ามา” ชายหนุ่มกระอักเลือดออกมาคำหนึ่ง หันหน้ากลับไปมองศัตรูที่อยู่เบื้องหน้า ดวงตาสาดประกายสังหารแวบหนึ่งออกมา ก่อนจะกลบมันลงด้วยความไร้อารมณ์เช่นเดิม
“อยากรู้หรือ ไปถามเอาจากยมโลกก็แล้วกัน” น้ำเสียงเย็นเยียบของชายชุดดำที่เท้ากดหน้าอกอยู่ดังขึ้นอีกครั้ง โซ่ตรวนเส้นหนึ่งที่อยู่ในมือพันรอบคอของเหยื่อ
“เอาเถอะ ถึงพวกเจ้าไม่บอก ข้าก็พอจะรู้ว่าใคร” อยู่ๆ มุมปากของชายหนุ่มผู้เคราะห์ร้ายที่กำลังจะตายผู้นั้นก็ยกยิ้มขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย เมื่อได้ยินเช่นนั้น ชายชุดดำทั้งสองที่เมื่อครู่ยังกระหยิ่มยิ้มย่องอยู่ในใจพลันหน้าเปลี่ยนสี
“แต่ว่า...พวกเจ้าแน่ใจแล้วหรือว่าฆ่าข้าแล้ว พวกเจ้าจะรอดไปได้” ตาทั้งสองข้างหลับพริ้มเตรียมรับชะตากรรม ช่างแตกต่างจากปากที่เอ่ยออกมาเมื่อครู่ยิ่งนัก
มุมปากของหลี่หลิงเฟิ่งกระตุก ใจสังหรณ์ถึงลางร้ายที่คืบคลานเข้ามาใกล้ มือหนึ่งฉุดกระชากข้อมือเสี่ยวเฉิน หันหลังค่อยๆ ย่องออกไปจากตรงนี้
“เฮอะ เจ้าจะรู้หรือไม่แล้วอย่างไร ไหนๆ ก็จะตายอยู่แล้ว เจ้ายังจะมาเล่นลิ้นอะไรอีก คิดว่าพูดอย่างนี้แล้วพวกข้าจะปล่อยให้เจ้ารอดไปได้งั้นรึ” ชายเจ้าของเสียงอันทรงพลังน่าสยดสยองนั่นดังขึ้นอย่างเกรี้ยวกราด โซ่ในมือที่รัดคนบนพื้นอยู่ยิ่งรัดแน่นขึ้น เห็นได้ชัดว่าหมดความอดทนที่จะเสวนาต่อไปแล้ว
แต่ชายที่นอนอยู่เบื้องหน้าหาได้สะทกสะท้านไม่ ซ้ำยังเอ่ยต่อ “พวกเจ้าโง่หรือเป็นยอดฝีมือจอมปลอมกันแน่ ถึงไม่รู้ว่ามีคนอื่นอยู่ในนี้อีก” กล่าวจบชายหนุ่มก็หัวเราะออกมาเบาๆ อย่างเย้ยหยัน มองขึ้นไปตรงหน้าอย่างดูแคลน
เวรเอ๊ย ไอ้คนน่าตายผู้นี้ จะตายอยู่แล้วยังจะลากพวกนางลงนรกไปด้วยอีก อยากตายก็ไปตายคนเดียวสิ บัดซบ!
“เสี่ยวเฉิน วิ่ง!”
หลี่หลิงเฟิ่งไม่คิดจะซ่อนตัวอีกต่อไป นางฟาดฝ่ามือลงบนกลางหลังเสี่ยวเฉินด้วยแรงทั้งหมดที่มีเพื่อส่งเสี่ยวเฉินให้ไปไกลมากที่สุด ส่วนนางรุดเข้าไปหาชายชุดดำข้างหน้า ขณะที่นางเอี้ยวตัวหันไปผลักเสี่ยวเฉินนั้นมืออีกข้างที่ว่างอยู่ล้วงเข้าไปหยิบผงสีขาวชนิดหนึ่งในมิติออกมา“คุณหนู!” เสี่ยวเฉินที่โดนฝ่ามือปะทะจากผู้ฝึกยุทธ์ขั้นกำเนิดใหม่ระดับกลางลอยละลิ่วไปหลายจั้ง ดวงตาฉายแววตื่นตระหนก เมื่อร่วงลงบนพื้นได้ก็ทำท่าจะวิ่งกลับมาหาหลี่หลิงเฟิ่งอีกครั้ง‘กลับไป! รีบไปตามอู๋เหยียนมาที่นี่ เร็ว! ยิ่งเจ้าอยู่จะยิ่งทำให้ข้าห่วงหน้าพะวงหลัง ไปซะ’ หลี่หลิงเฟิ่งเพ่งกระแสจิตอย่างหนักหน่วงจนรู้สึกปวดหัวขึ้นมาเล็กน้อย นางไม่แน่ใจว่าเสี่ยวเฉินจะได้ยินที่นางพูดหรือไม่ นางเคยอ่านเจอในตำราฝึกพลังธาตุ ทว่าก็ยังไม่เคยลองใช้มาก่อนอย่างไรก็ดี นางไม่สามารถสัมผัสกลิ่นอายเสี่ยวเฉินได้อีก หลี่หลิงเฟิ่งถอนหายใจอย่างโล่งอก ยังดีที่กระแสจิตของนางใช้ได้ อย่างน้อยเสี่ยวเฉินก็ไม่ได้วิ่งกลับเข้ามาหานางหลี่หลิงเฟิ่งสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง เรียกความมั่นใจของตนกลับมา มือทั้งสองข้างเย็นเฉียบ ด้วยพละกำลังของนางในตอนนี้ คิดจะใช้พลังย
เมื่อพินิจดูอย่างละเอียด นอกจากสมบัติเหล่านั้นแล้ว ยังมีโครงกระดูกกระจัดกระจายอยู่เต็มพื้นไปหมด แค่คิดนางก็เข้าใจขึ้นมาบ้างแล้ว ทรัพย์สมบัติทั้งหลายคงเป็นของเจ้าของโครงกระดูกเหล่านี้ที่ถูกเจ้าปีศาจตนนั้นสังหารหลี่หลิงเฟิ่งมองสมบัติมากมายแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ ถ้าเก็บทีละชิ้นนางได้ขาดอากาศหายใจก่อนเป็นแน่ นางจะเก็บหมดได้อย่างไร หญิงสาวครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง ลองกวาดมือออกไปบริเวณที่มีสมบัติพลางคิดในหัว ‘เก็บ’ สมบัติที่กองเกลื่อนกลาดอยู่ตรงหน้าหายวับไปในพริบตาอย่างนี้ก็ได้หรือ ที่ผ่านมานางมัวเก็บทีละชิ้นให้เสียเวลาไปทำไมหลี่หลิงเฟิ่งส่งพลังจิตเข้าไปสำรวจในมิติของตนเอง พบว่าพื้นที่สี่เหลี่ยมเล็กๆ ของนางอัดแน่นไปด้วยสมบัติ แทบไม่เหลือพื้นที่ให้ใช้สอยเลยด้วยซ้ำนางเริ่มกลัดกลุ้มขึ้นมาบ้างแล้ว เห็นทีข้าต้องแข็งแกร่งขึ้นกว่านี้ นางได้แต่บ่นอุบอยู่ในใจอย่างช่วยไม่ได้ช่างมันไปก่อน เรื่องของวันหน้าก็เอาไว้คิดกันวันหน้า ยังดีที่มิติของนางยังเก็บสมบัติไปได้หมด ไม่อย่างนั้นคงเสียดายแย่ อย่าหาว่านางทำตัวเหมือนโจรปล้นชิงเลย ก็ใครใช้ให้นางมีมิติมายาติดกายกันเล่าครืนนพลังจากบนบกสั่นสะเทือนมาถึงใต้น้ำ
บรรยากาศเงียบสงัดแพร่กระจายไปทั่วห้อง หลี่หลิงเฟิ่งหายใจสะดุด ดวงตาเรียวสวยไม่ได้เลื่อนออกจากใบหน้าของบุรุษผู้นั้นเลย เช่นเดียวกับดวงตาคมกริบกวาดมองนางเงียบๆเนิ่นนาน ไร้ซึ่งคำพูด และไม่ขยับคล้ายเวลาล่วงเลยไปหลายสิบปี เสียงสูดลมหายใจอย่างหนักหน่วงดังขึ้นทำลายความเงียบงันที่น่ากระอักกระอ่วนนี้ สุดท้ายแล้วยังคงเป็นหลี่หลิงเฟิ่งที่ทนไม่ไหว ใคร่สงสัยตัวตนบุรุษรูปงามท่านนี้ ริมฝีปากเม้มแน่น อยากพูดบางอย่างแต่กลับพูดอะไรไม่ออก มือของเขายังคงลูบผมนางอยู่อย่างนั้น คล้ายปลอบประโลมนางอยู่ทุกวินาที“ข้า...ข้าอยากกินองุ่น” หลี่หลิงเฟิ่งชะงักค้างอย่างทำอะไรไม่ถูก หน้าขึ้นริ้วแดงๆ ด้วยความอับอาย นี่นางพูดอะไรออกไปอยากกินองุ่น? องุ่นเนี่ยนะ เพ้ย!หลี่หลิงเฟิ่งขยับตัวหลบฝ่ามือใหญ่ หลุบตาต่ำ ไม่กล้ามองหน้าเขาอีกต่อไป ในใจสบถด่าตนเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทำตัวเป็นหญิงสาววัยแรกรุ่นไปได้“เสี่ยวเซียง” บุรุษชุดขาวยิ้มพลางส่งเสียงเรียกเสี่ยวเซียง “เจ้าค่ะ คุณชายใหญ่” หลี่หลิงเฟิ่งมองเสี่ยวเซียงผลักประตูเข้ามา เดินก้มหน้ามาคุกเข่าตรงปลายเตียง ก่อนจะเงยหน้าจ้องมองผู้เป็นนายด้วยน้ำตาที่เอ่อล้นนัยน์ตาคุณชายใหญ่ หล
สิ้นเสียงของหลี่หลิงเฟิ่ง มีมือสังหารรายหนึ่งทะยานเข้ามาหา หลี่หลิงเฟิ่งหมุนตัวอย่างรวดเร็ว ลำแสงสีแดงเพลิงอาบย้อมกระบี่ แทงสวนกลับไป มือสังหารที่วิ่งเข้ามายังไม่ทันตั้งตัว แววตาพลันตื่นตระหนก ร่างกายแข็งค้างล้มลงตรงหน้าหญิงสาว“ระ....” สตรีผู้นี้... ในชั่วพริบตา โลกเบื้องหน้าเข้าสู่ความมืดมิด เพียงแค่ปริปากพูดก็ไม่ทันเสียแล้ว“เสี่ยวเฉิน” ขวดกระเบื้องเคลือบขนาดเล็กถูกโยนออกมาจากมิติไปทางด้านหลัง รอยยิ้มเย็นชาปรากฏขึ้นในแววตาหลี่หลิงเฟิ่ง ชุดสีแดงเพลิงเปียกชุ่มลู่ลงแนบลำตัว มือสังหารคาดไม่ถึงว่าจะมีสตรีอ่อนปวกเปียกเข้ามาช่วย หลี่หลิงเฟิ่งอาศัยจังหวะที่อีกฝ่ายมึนงง ฝ่าวงล้อมเข้าไปยืนข้างกายอู๋เหยียนเสี่ยวเฉินรับขวดกระเบื้องเนื้อหยาบที่ลอยมาตรงหน้า วิ่งอ้อมไปด้านหลังฝั่งหลี่เฟยหยาง เขารู้ดีว่ามันเป็นโหลบรรจุยาที่หลี่หลิงเฟิ่งปรุงขึ้น จะไม่ให้คุ้นเคยได้อย่างไร ในเมื่อคุณหนูเป็นคนสั่งให้เขาซื้อมันมาโดยเฉพาะหากแต่เขาไม่รู้ว่ามันคือยาอะไร เสี่ยวเฉินมองหลี่หลิงเฟิ่งอย่างอับจนปัญญา อยากจะขอความช่วยเหลือ ทว่า เหลือบสายตามองเพียงแวบเดียวก็ให้สูดหายใจลึก“เฟิ่งเอ๋อร์ เข้ามาทำไม ออกไป” ใบหน้าที
ไม่รู้ผ่านไปกี่ชั่วยาม แสงยามเช้าส่องกระทบใบหน้าหลี่หลิงเฟิ่ง เสียงฝูงนกกระพือปีกบนต้นไม้ส่งเสียงร้องบินออกหากิน นางจำไม่ได้ว่าเกราะป้องกันสลายไปตอนไหน ทำสิ่งใดลงไปบ้าง ตั้งแต่ต้นจนจบสายตาของนางอยู่ที่คนในอ้อมกอดตลอดสมุนไพรทุกอย่างที่นางมีถูกนำมารักษาหลี่เฟยหยาง ยาต่างๆ ที่เคยสกัดไว้ก็เอาออกมาใช้ทั้งหมด แต่เหมือนจะเอามาเททิ้งมากกว่า เขาไม่มีท่าทีจะฟื้นขึ้นมาเลย ยังดีที่สมุนไพรเหล่านี้ยื้อลมหายใจสุดท้ายของเขาเอาไว้ได้แต่แล้วอย่างไร เขาจะทนได้นานแค่ไหน นางเองก็ยังไม่รู้จากเหตุการณ์เมื่อคืน หลี่หลิงเฟิ่งตระหนักได้ถึงโลกใบนี้อย่างแท้จริง โลกที่ผู้ฝึกพลังยุทธ์เป็นใหญ่ นางเคยคิดว่ารออีกหน่อย เดี๋ยวนางจะแข็งแกร่งขึ้น ไม่ต้องสนใจใครหรือสิ่งใดให้มาก ใช้ชีวิตอย่างที่ต้องการให้เต็มที่จนเมื่อมีผู้ชายคนหนึ่งยอมตายเพื่อนาง ความเพ้อฝันเหล่านั้นจึงพังทลายลง หลี่หลิงเฟิ่งไม่มีความผูกพันกับคนในโลกนี้ อย่าว่าแต่หลี่เฟยหยางที่เพิ่งเจอกันไม่กี่วัน ต่อให้เป็นเสี่ยวเซียงเสี่ยวเฉิน นางก็เห็นเป็นเพียงแค่เพื่อนร่วมทางเท่านั้นคนพวกนี้ยอมทำเพื่อนาง ไม่ใช่สิ ต้องบอกว่าเพื่อเจ้าของร่างเดิมถึงกระนั้นนางก็ยังอ
หูซานแตกตื่นจนหน้าถอดสี ถุงผ้าในมือเกือบหลุดร่วง “นี่มันเกินไป เกินไปแล้ว” หลังจากหายตื่นตะลึง เขาก็มีท่าทางดีอกดีใจอย่างปิดไม่มิดแววตามองคล้ายขุ่นเคืองอยู่เล็กน้อย อดที่จะขบเขี้ยวเคี้ยวฟันไม่ได้ “เจ้ามีของล้ำค่าติดตัวมากมายขนาดนี้ ยังจะทำเป็นไม่รู้จักหินแร่พวกนี้อยู่อีก ผายลม!”หลี่หลิงเฟิ่งทำหน้าไม่ถูกไปชั่วขณะ ตาเฒ่าผู้นี้อยู่ดีๆ ก็อารมณ์ขุ่นมัวใส่นาง“เจ้ามีของเช่นนี้อยู่ตั้งแต่แรก ไยจึงไม่รีบนำมันออกมา” ตำหนิหญิงสาวก่อนกล่าวต่อ “แต่แค่สองก้อนก็พอ ที่เหลือเจ้าเก็บไว้เถอะ” หูซานหยิบออกจากถุงเพียงสองก้อนจริงๆ มองที่เหลืออย่างอาลัย สุดท้ายตัดใจส่งมันคืนให้นางหลี่หลิงเฟิ่งย่นคิ้วเข้าหากัน นัยน์ตาฉายแววงุนงงมากกว่าเดิม “แค่สองก้อนพอแน่หรือ ท่านหยิบมันไปเพิ่มอีกดีหรือไม่” ถึงจะไม่รู้ว่าคืออะไร หากแต่ช่วยรักษาได้ย่อมเป็นเรื่องดีได้ยินดังนั้น หูซานฉุนขึ้นมาทันที “ข้าเป็นหมอมาสามสิบกว่าปี อาการของโรคเป็นอย่างไร ปริมาณยาหรือพลังที่ใช้ย่อมรู้แน่ชัดอยู่แล้ว บอกว่าพอก็คือพอ เด็กอย่างเจ้าสงสัยคำวินิจฉัยของข้าอย่างนั้นหรือ” หญิงผู้นี้อะไรก็ดีไปหมด เหตุใดวันนี้ริทำตัวน่ารังเกียจ เขาเป็นถึงนักห
ผ่านไปสิบวันอาการบาดเจ็บของหลี่เฟยหยางดีขึ้นมาก หูซานได้กลายเป็นแพทย์ประจำตัวของเขาไปแล้ว ทุกวันจะต้องมาจับชีพจร สอบถามความคืบหน้าระหว่างรักษาเสมอ ทั้งที่ชายชราไม่มีความจำเป็นต้องมาด้วยตนเอง เนื่องด้วยผู้ป่วยทั้งสองอยู่ในระยะปลอดภัยนานแล้วหลักๆ ที่วนเวียนอยู่อย่างนี้ เพราะต้องการเอาใจ ‘ศิษย์น้อง’ ที่เพิ่มมาอีกหนึ่งคน สร้างความรู้สึกประทับใจ เกาะติดหลี่หลิงเฟิ่งไม่ยอมห่างบอกตามตรง ตอนนั้นหลี่หลิงเฟิ่งเดือดดาลจนไร้คำพูดโต้กลับ นางแสดงเจตจำนงชัดเจนด้วยการปฏิเสธการเป็นศิษย์ของเขา นางไหนเลยจะคิดว่าเฒ่าทารกดันยกลำดับอาวุโสของนางให้สูงขึ้น ยังไม่ทันจะกล่าวอันใด หูซานก็ยกเตาหลอมโอสถให้นางพร้อมกับตำราสมุนไพรหนึ่งร้อยแขนงให้นางไว้ท่องจำทุกเช้าหลังจากตรวจอาการหลี่เฟยหยางและเสี่ยวเฉินเรียบร้อย หูซานจะขลุกอยู่กับนางตลอดช่วงบ่าย บางครั้งยังลากนางไปโรงหมอเพื่อดูอาการคนไข้ เดิมทีหลังจากหลี่เฟยหยางฟื้นขึ้นมา นางคิดจะปฏิเสธหูซานอย่างจริงจัง เมื่อนำไปปรึกษากับชายหนุ่ม กลับเป็นหลี่เฟยหยางโน้มน้าวให้นางรับข้อเสนอนี้ไว้เสียเองหลี่หลิงเฟิ่งจึงผงกศีรษะรับอย่างจำใจ กลายมาเป็นศิษย์น้องของหูซานด้วยประการฉะ
ช่วงนี้แคว้นหลิวอวิ๋นมีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมายเรื่องสนุกปากในโรงเตี๊ยมและตามตรอกซอกซอยมีเพิ่มขึ้นทุกวัน เรื่องเล่าที่เป็นที่กล่าวขานมากสุดคงหนีไม่พ้นเรื่องคู่หมั้นขยะขององค์ชายรองผู้เป็นเลิศในทุกด้าน ได้รับความนิยมจนโรงละครนำมาทำเป็นเรื่องเล่าหลายต่อหลายบท เหตุการณ์สำคัญในเรื่องพูดถึงความอาภัพอับโชคขององค์ชายรอง หน้าตาอัปลักษณ์ของคู่หมั้น รวมไปถึงเสนาบดีหลี่ใช้อำนาจบาตรใหญ่บังคับเหล่าองค์ชายแต่งงานกับหลานสาวอันเป็นที่รัก ฮ่องเต้เห็นแก่คุณงามความดีของเจ้าเมืองหลี่จึงได้ยกองค์ชายรองให้หมั้นหมายกับบุตรสาวตระกูลหลี่ ที่ได้ชื่อว่าตัวไร้ค่าชาวบ้านต่างพากันเห็นใจสงสารองค์ชายรอง สาปแช่งก่นด่าหลี่หลิงเฟิ่งและเจ้าเมืองหลี่เรื่องราวอัปยศอดสูทำเอาเจ้าเมืองหลี่โกรธจนแทบจะกระอักเลือด ขุนนางทั้งหลายพากันประณามเขา ฎีกาหลายฉบับส่งตรงไปหาฮ่องเต้ให้ยุติการหมั้นหมายนี้ลง ตัวเขาเองที่เป็นบิดาก็เห็นด้วยอย่างยิ่ง แต่ไหนเลยจะมีใครคิด ไม่เพียงฮ่องเต้ไม่เอ่ยปากทัดทาน หากแต่ทรงกริ้วเหล่าขุนนางที่ร้องเรียนหน้าท้องพระโรง ออกว่าราชการยังไม่เสร็จก็สะบัดแขนเสื้อจากไปชายวัยกลางคนรู้สึกเหมือนตนเองเป็นคนใบ้ที่กินหว
เสียงหอบหายใจของหลี่หลิงเฟิ่งและคนอื่นๆ ดังขึ้นท่ามกลางเสียงคำรามอันต่ำของฝูงอสูรที่ล้อมรอบพวกเขาไว้ มันไม่ได้เป็นเพียงสัตว์อสูรธรรมดา หากแต่เป็นสิ่งมีชีวิตที่ตายไปแล้วและถูกปลุกขึ้นมาด้วยพลังลึกลับ เนื้อหนังที่เน่าเปื่อยของพวกมันเต็มไปด้วยกลิ่นเหม็นคาวและความสยดสยองที่แผ่กระจายไปทั่ว“เจ้าพวกนี้มันไม่มีวันตายจริงๆ สินะ” หลูหวั่นชิงพึมพำ น้ำเสียงของนางแฝงไปด้วยความตื่นตระหนกยิ่งยวด“แต่พวกเราตายได้นะ” จวินชางหลางตะโกนพลางหมุนตัวฟาดดาบในมือผ่านร่างอสูรตัวหนึ่งจนขาดเป็นสองท่อน แต่ในเสี้ยววินาทีต่อมา เศษเนื้อและกระดูกที่แตกกระจายกลับเริ่มเคลื่อนไหวและประกอบร่างอีกแล้ว เป็นอย่างนี้ทุกครั้งไป“ไม่ว่าเจ้าจะฟันอีกกี่ครั้ง มันก็ยังรวมร่างได้ เสียเวลาเปล่า” หลี่หลิงเฟิ่งกล่าวเสียงเรียบ นางสะบัดมือข้างหนึ่ง ผ้าสีแดงสิบเส้นพลันพุ่งออกไปพร้อมเปลวเพลิงที่ลุกโชติช่วง แส้เพลิงฟาดลงบนร่างของสัตว์อสูรตัวหนึ่งเสี่ยวจูจูที่ยืนอยู่ข้างหลี่หลิงเฟิ่งส่งเสียงร้องคำรามอันทรงพลัง ร่างเล็กของมันกระโจนออกจากที่มั่น ลวดลายสีดำสลับทองบนตัวส่องประกายระยับ ขณะที่กรงเล็บของมันตวัดฉีกกระชากอสูรตัวหนึ่งจนกระเด็นไปไกล
ทหารหลวงตั้งแนวป้องกันที่หน้าประตูเมืองใหญ่ ทหารถือหอกและโล่แน่น ร่างกายของพวกเขาสั่นด้วยความกดดัน แต่ไม่มีใครถอยแม้แต่ก้าวเดียว“อย่าปล่อยให้ศัตรูผ่านไปได้แม้แต่คนเดียว!” แม่ทัพหลวงตะโกนก้อง ดาบใหญ่ในมือฟาดฟันนักรบชุดดำที่พุ่งเข้าใส่ ดาบของเขาฝังลึกลงไปในร่างของศัตรูจนเลือดสาดกระเซ็นศิษย์จากสำนักศึกษาหลวงและอาจารย์ผู้ทรงพลังต่างรีบรวมตัวกันบริเวณลานกว้างกลางเมือง พวกเขาสวมชุดคลุมประจำสำนัก ดวงตาเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นและความกังวลในเวลาเดียวกัน“ทุกคนฟังข้า!” เสียงของเจ้าของหอฝึกยุทธ์โจวมั่ว ดังขึ้น เขายืนอยู่บนแท่นสูงกลางลานด้วยท่าทางเคร่งขรึม “พวกเราต้องปกป้องเมืองหลวงให้ได้ ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยสิ่งใดก็ตาม”“แยกกำลังกันเป็นสองฝ่าย กลุ่มแรกไปป้องกันประตูเมือง อีกกลุ่มคอยคุ้มกันชาวบ้านที่อพยพออกจากพื้นที่เสี่ยง”เหล่าศิษย์พยักหน้ารับคำสั่งอย่างพร้อมเพรียง แม้ในใจหลายคนจะเต็มไปด้วยความกลัว แต่ก็ไม่มีใครถอยหลังกลุ่มผู้ฝึกยุทธ์จากสำนักแพทย์โอสถกำลังช่วยกันรักษาผู้บาดเจ็บ ขณะที่ยังต้องต่อสู้ไปด้วย อาจารย์และศิษย์ที่มีพลังยุทธ์ขั้นกลางและสูงใช้ยาลูกกลอนรักษาและพลังยุทธ์ป้องกันตัวจากศัตรู“
แสงสีอ่อนจากสัญลักษณ์โบราณที่สลักอยู่บนผนังถ้ำยังคงเปล่งประกายเบาบาง ทำให้ความมืดสลัวภายในถ้ำดูไม่เงียบสงบอย่างที่ควรจะเป็น กลิ่นอายของบางสิ่งที่ไม่อาจระบุชัดได้คละคลุ้งในอากาศ เหลียนฉือกงที่บาดเจ็บพิงตัวอยู่กับผนังถ้ำ ใบหน้าเต็มไปด้วยหยาดเหงื่อ และดวงตาที่เต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า แม้เขาจะพยายามฝืนตัวเองให้ดูเข้มแข็ง แต่บาดแผลที่สีข้างที่เลือดไหลซึมออกมาตลอดเวลาได้ทำลายภาพลักษณ์นั้นจนหมดสิ้น“เสด็จพี่ ท่านไม่ไหวแล้วจริงๆ” เหลียนฉู่ฉู่ที่นั่งอยู่ข้างๆ เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนล้า แววตาฉายชัดว่าเป็นกังวล อีกทั้งยังความหวาดระแวงกับเงามืดที่เคลื่อนไหวบนผนังถ้ำชวนให้นางรู้สึกว่าถ้ำนี้เหมือนมีชีวิต“ข้าจะไหวหรือไม่ ตอนนี้มันไม่สำคัญนัก เราต้องแน่ใจว่าพวกมันจะไม่ตามเราเข้ามาในนี้” เหลียนฉือกงกล่าวพลางกัดฟันแน่น เขาฉีกเศษผ้าจากชายเสื้อพันบาดแผลที่สีข้างไว้แน่น พยายามหยุดเลือดที่ยังไหลออกมาไม่หยุด“อย่าเพิ่งคิดอะไรเลย ตอนนี้ท่านต้องพักก่อน ดื่มนี่หน่อย อย่างน้อยจะช่วยให้ท่านมีแรงขึ้น" นางล้วงหยิบกระบอกน้ำในถุงเก็บของออกมาอย่างรี
เสียงกรีดร้องของเพื่อนร่วมทีมที่สิ้นหวังสะท้อนไปทั่วป่า สามร่างที่ล้มลงไม่มีโอกาสได้ลุกขึ้นมาอีก เศษเลือดและเนื้อเปรอะเปื้อนตามพื้นป่า บ่งบอกถึงความน่ากลัวของสิ่งที่พวกเขาเผชิญเหลียนฉู่ฉู่กำสาบเสื้อบนอกแน่น ดวงตาเต็มไปด้วยน้ำตา นางมองดูเพื่อนร่วมทีมที่ถูกสัตว์อสูรเน่าเปื่อยเหล่านั้นกลืนกินจนไม่เหลือชิ้นดี ร่างกายของนางสั่นเทา ขณะที่ความกลัวกัดกินจิตใจอย่างช้าๆ“พวกเราจะต้องตายที่นี่หรือ” เหลียนฉู่ฉู่พึมพำเสียงแผ่ว น้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยความหวาดกลัว “ข้ายังไม่อยากตาย...ข้าไม่อยากตาย!”เสียงหอบหายใจของเหลียนฉู่ฉู่และเหลียนฉือกงดังก้องในความเงียบรอบตัว พื้นที่เต็มไปด้วยความมืดมิดและแรงกดดันจากเงาดำที่แฝงตัวอยู่ในทุกมุม เงาสัตว์อสูรเน่าเปื่อยเดินช้าๆ เข้ามาใกล้ ร่างของพวกมันเต็มไปด้วยความผิดธรรมชาติและน่าหวาดกลัวเหลียนฉือกงที่ยังยืนหยัดอยู่ข้างหน้า กัดฟันกรอด เขาฟาดกระบี่ออกไปอีกครั้ง ฟันกรงเล็บของสัตว์อสูรตัวหนึ่งจนเซถอยไป แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้หยุดหายใจ ตัวอื่นๆ ก็พุ่งเข้ามาจากทุกทิศทาง“ฉู่ฉู่ตามข้ามา
ขณะที่กลุ่มของหลี่หลิงเฟิ่งยังอยู่ที่เดิม นุ่มนิ่ม ไส้เดือนตัวน้อยเลื้อยตามกลุ่มของเหลียนฉู่ฉู่ไปในเงามืด มันเคลื่อนไหวอย่างไร้เสียง ผ่านพุ่มไม้และต้นไม้ใหญ่โดยที่ไม่มีใครสังเกตเห็นเหลียนฉู่ฉู่ที่กำลังรีบวิ่งหนีถือป้ายหยกไว้แน่นในมือ ร่างกายของนางเต็มไปด้วยความหวาดกลัว เหลือบมองไปข้างหลังเป็นระยะเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใครตามมา“เร็วเข้า!” เสียงของเหลียนฉือกงดังขึ้นที่ด้านหลัง “พวกเราต้องหาที่ปลอดภัยซ่อนตัวก่อนที่พวกมันจะตามมาได้”นุ่มนิ่มเลื้อยตามอย่างอดทน มันแฝงตัวอยู่ในเงามืด พลางจับตามองการเคลื่อนไหวของเหลียนฉู่ฉู่และพวกเหลียนฉือกงอย่างใกล้ชิดในที่สุดกลุ่มของแคว้นเหลียนก็หยุดพักที่ลานเล็กๆ กลางป่า เหลียนฉู่ฉู่วางป้ายหยกลงชั่วครู่เพื่อหยิบกระบอกน้ำขึ้นมาดื่ม“เราจะทำอย่างไรต่อ” หนึ่งในคนของแคว้นเหลียนเอ่ยถาม “หากพวกมันตามเรามาทัน เราคงไม่มีทางรอดแน่”“ไม่ต้องห่วง” เหลียนฉือกงแสยะยิ้ม “พวกนั้นไม่มีทางหาเราเจอเร็วๆ นี้แน่นอน ป่ากว้างใหญ่ขนาดนี้ พวกเราแค่ซ่อนตัวจนครบกำหนดก็พอแล้ว”ระหว่างที่พวกแคว้นเหลียนนั่งพัก สายสืบตัวน้อยก็เริ่มทำงานบ้างแล้ว นุ่มนิ่มส่งกระแสจิตมาถึงหลี่หลิงเฟิ่ง คว
สองกลุ่มซ่อนตัวอยู่ไม่ไกลมองการต่อสู้อันดุเดือดตรงหน้าพลางวิจารณ์สำนักเมฆาคล้อยที่กำลังเพรี่ยงพล้ำอยู่ขณะนี้“ดูเหมือนว่าพวกเขาต้องการกำจัดสำนักเมฆาคล้อยให้สิ้นซาก” หลูหวั่นชิงเอ่ยขึ้น พลางขมวดคิ้วไปด้วย“พวกแคว้นตงเยว่และตระกูลซ่งผนึกกำลังกันเช่นนี้ สำนักเมฆาคล้อยคงยืนหยัดไม่นาน” โม่จื่อหลิงกล่าว “นี่ไม่เหมือนการแย่งชิงป้ายหยกธรรมดา หากบอกว่ากำลังชำระแค้นกันอยู่น่าจะเข้าท่ามากกว่า”“ถ้าเราไม่ลงมือก่อน เกรงว่าอีกไม่นาน พวกนั้นอาจจะหันมาจัดการพวกเราบ้าง” หลี่หลิงเฟิ่งเอ่ยเบาๆ นางพิจารณาสถานการณ์ด้วยความระมัดระวังกลุ่มของสำนักเมฆาคล้อยกำลังถูกกดดันอย่างหนัก เสียงปะทะของอาวุธและพลังยุทธ์ที่ฟาดฟันกันอย่างรุนแรงดังลั่นไปทั่ว พวกเขาอยู่ในสภาพเสียเปรียบ ถูกล้อมโดยทีมของแคว้นตงเยว่และตระกูลซ่งชายหนุ่มในชุดคลุมสีฟ้าของสำนักเมฆาคล้อยยกกระบี่ขึ้นป้องกันการโจมตีที่รวดเร็วรุนแรงจากอีกฝั่ง เสียงโลหะกระทบกันดังสนั่น เขาเคลื่อนตัวอย่างว่องไว หลีกเลี่ยงกระบี่ของฝ่ายตงเยว่ได้อย่างหวุดหวิดเสียงคำรามของพลังยุทธ์ดังสนั่น หนึ่งในผู้คุ้มกันของสำนักเมฆาคล้อยล้มลงเมื่อถูกกระบี่ของฝ่ายตงเยว่พุ่งแทงเข้าที่หน
หลังจากท้องฟ้ามืดสนิทจนลมหนาวพัดผ่านมาเป็นระยะ กลุ่มของหลี่หลิงเฟิ่งที่หยุดพักเพื่อย่างไก่เมื่อช่วงเย็น ก็เริ่มออกเดินทางอีกครั้ง ระหว่างทางเจอคู้ต่อสู้แย่งชิงป้ายหยกมาเพิ่มอีกเจ็ดชิ้น ตอนนี้ในมือของพวกนางมีป้ายหยกทั้งหมดเก้าชิ้น“พอมีพวกเจ้าสองคนทุกอย่างก็ดูง่ายไปเสียหมดจนข้าชักจะเริ่มเบื่อแล้ว” จวินชางหลางเอ่ยพลางยืดเส้นยืดสายไปด้วยหลูหวั่นชิงหัวเราะเบาๆ “ข้าว่าดีจะตาย ถ้าเจอศัตรูที่แข็งแกร่งกว่าพวกเรา เจ้าคงไม่มีเวลามาโอดครวญเช่นนี้หรอก”“หากเวลานั้นมาถึง เจ้าอย่าห่วง ข้าจะปกป้องเจ้าเอง” จวินชางหลางหันไปยักคิ้วให้ แต่ก็ถูกหลูหวั่นชิงมองค้อนกลับทันทีโม่จื่อหลิงที่เดินนำอยู่ข้างหน้าเหลือบมองหลี่หลิงเฟิ่งเล็กน้อย เขาไม่ได้พูดอะไร แต่กลับเดินชิดเข้ามาใกล้นางโดยไม่รู้ตัว ดวงตาของเขาจับจ้องไปยังเบื้องหน้าเพื่อสอดส่องความเคลื่อนไหวในขณะที่กลุ่มของหลี่หลิงเฟิ่งเดินลัดเลาะไปตามเส้นทางกลางป่า เสียงฝีเท้าของอีกกลุ่มหนึ่งก็ดังแว่วมาไม่ไกล“มีคน” หลี่หลิงเฟิ่งเอ่ยเบาๆ น้ำเสียงของนางราบเรียบแต่ก็แฝงไว้ด้วยความระวัง ทุกคนหยุดชะงักทันทีไม่นานนัก เงาร่างของกลุ่มคนที่เดินมาจากอีกฟากหนึ่งก็ปรากฏข
กลิ่นหอมฉุยของไก่ย่างลอยฟุ้งไปในอากาศรอบกองไฟ กระตุ้นให้น้ำย่อยในกระเพาะทำงานอย่างหนัก หลี่หลิงเฟิ่งถือไก่ย่างชิ้นโตไว้ในมือ นางกัดมันด้วยสีหน้าเปี่ยมสุข เนื้อไก่นุ่มๆ หนังกรอบๆ รสชาติกลมกล่อม ช่างเป็นอาหารที่วิเศษสุดในยามนี้จวินชางหลางที่นั่งอยู่ตรงข้าม ยกชิ้นไก่ขึ้นมากัดบ้าง ดวงตาเป็นประกายราวกับพบขุมทรัพย์ "นี่สิชีวิต ทำไมต้องเครียดกับการแย่งป้ายหยก เราแค่กินให้อิ่ม แล้วรอให้พวกเขาเดินมามอบป้ายให้ก็พอ" จวินชางหลางพูดราวกับโลกนี้ไม่มีอะไรต้องกังวล"เจ้าคิดว่าจะมีคนโง่ขนาดนั้นที่ไหนกัน" หลูหวั่นชิงกลอกตา มือเล็กถือไก่ย่างไว้ ริมฝีปากอมยิ้มโม่จื่อหลิงนั่งไขว่ห้างอยู่ข้างหลี่หลิงเฟิ่ง เขาหยิบเนื้อไก่ชิ้นหนึ่งส่งให้นาง ดวงตาของเขาอ่อนโยน "เจ้ากินเถอะ ข้าอิ่มแล้ว""อย่าทำเหมือนข้าเป็นเด็ก" หลี่หลิงเฟิ่งบ่นเบาๆ แต่ก็กัดไก่ชิ้นนั้นอย่างไม่ปฏิเสธ มองข้ามสายตาที่เปี่ยมด้วยความรักของเขาทว่า ความสงบสุขกลับถูกทำลายลงในพริบตา เสียงฝีเท้าดังขึ้นจากเงามืด เปลวไฟสะท้อนเงาร่างหลายร่างที่ก้าวออกมาจากพุ่มไม้ พร้อมด้วยเสียงหัวเราะเย้ยหยัน"ข้ารู้แล้วว่ากลิ่นหอมนี้มาจากไหน" เปียวเมี่ยวเดินนำออกมาพร้อ
เมื่อแสงสีฟ้าจากยันต์คืนฟ้าสว่างวาบราวกับดวงดาวระเบิด กลุ่มของหลี่หลิงเฟิ่งก็ถูกส่งมายังพื้นที่แห่งหนึ่งในป่าทมิฬ ทันทีที่เท้าแตะพื้น เสียงนกร้องประสานเสียงกับสายลมที่พัดใบไม้ไหวก็ดังขึ้นรอบด้าน ราวกับต้อนรับพวกเขาสู่ดินแดนลึกลับ พื้นดินปกคลุมไปด้วยมอสสีเขียวสดและใบไม้แห้ง เส้นทางในป่าทมิฬดูเหมือนไม่มีที่สิ้นสุด พื้นปูด้วยเศษใบไม้แห้งที่ส่งเสียงกรอบแกรบยามเมื่อเหยียบย่าง อากาศเย็นชื้นปกคลุมไปทั่ว บรรยากาศเงียบสงบ มีเพียงเสียงฝีเท้าของกลุ่มตัวแทนทั้งสี่คนที่เดินเรียงแถวกันหลี่หลิงเฟิ่งเดินนำหน้า โม่จื่อหลิงเดินเคียงข้างเธอ ส่วนจวินชางหลางกับหลูหวั่นชิงตามมาติดๆ"นางมารน้อย" โม่จื่อหลิงเอ่ยเรียกเบาๆ ราวกับกลัวจะทำลายความเงียบสงบของป่า "เจ้าเคยได้ยินคำพูดนี้หรือไม่""คำพูดอะไรอีกเล่า ท่านกำลังจะเริ่มอะไรอีก" หลี่หลิงเฟิ่งเหลือบตามองเขาแวบหนึ่ง นางเอ่ยอย่างเอือมระอา แต่ก็ยังยอมฟัง"มีคำพูดว่า...ในป่าทึบ แม้ดวงจันทร์จะมืดมน แต่ดอกไม้เพียงดอกเดียวกลับทำให้ทุกสิ่งดูสดใสขึ้นได้" เขายิ้มมุมปาก เอียงหน้ามองหลี่หลิงเฟิ่ง ฉวยจับมือนางขึ้นมาจวินชางหลางที่เดินตามหลังถึงกับกลอกตาแรงจนแทบมองเห็นดวง