ไม่รู้ผ่านไปกี่ชั่วยาม แสงยามเช้าส่องกระทบใบหน้าหลี่หลิงเฟิ่ง เสียงฝูงนกกระพือปีกบนต้นไม้ส่งเสียงร้องบินออกหากิน นางจำไม่ได้ว่าเกราะป้องกันสลายไปตอนไหน ทำสิ่งใดลงไปบ้าง ตั้งแต่ต้นจนจบสายตาของนางอยู่ที่คนในอ้อมกอดตลอด
สมุนไพรทุกอย่างที่นางมีถูกนำมารักษาหลี่เฟยหยาง ยาต่างๆ ที่เคยสกัดไว้ก็เอาออกมาใช้ทั้งหมด แต่เหมือนจะเอามาเททิ้งมากกว่า เขาไม่มีท่าทีจะฟื้นขึ้นมาเลย ยังดีที่สมุนไพรเหล่านี้ยื้อลมหายใจสุดท้ายของเขาเอาไว้ได้
แต่แล้วอย่างไร เขาจะทนได้นานแค่ไหน นางเองก็ยังไม่รู้
จากเหตุการณ์เมื่อคืน หลี่หลิงเฟิ่งตระหนักได้ถึงโลกใบนี้อย่างแท้จริง โลกที่ผู้ฝึกพลังยุทธ์เป็นใหญ่ นางเคยคิดว่ารออีกหน่อย เดี๋ยวนางจะแข็งแกร่งขึ้น ไม่ต้องสนใจใครหรือสิ่งใดให้มาก ใช้ชีวิตอย่างที่ต้องการให้เต็มที่
จนเมื่อมีผู้ชายคนหนึ่งยอมตายเพื่อนาง ความเพ้อฝันเหล่านั้นจึงพังทลายลง หลี่หลิงเฟิ่งไม่มีความผูกพันกับคนในโลกนี้ อย่าว่าแต่หลี่เฟยหยางที่เพิ่งเจอกันไม่กี่วัน ต่อให้เป็นเสี่ยวเซียงเสี่ยวเฉิน นางก็เห็นเป็นเพียงแค่เพื่อนร่วมทางเท่านั้น
คนพวกนี้ยอมทำเพื่อนาง ไม่ใช่สิ ต้องบอกว่าเพื่อเจ้าของร่างเดิม
ถึงกระนั้นนางก็ยังอบอุ่นใจอยู่นิดหน่อย รู้สึกขอบคุณใครก็ตามที่มอบโอกาสอันล้ำค่านี้มาให้ ทัศนคติของหลี่หลิงเฟิ่งเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง จากที่เคยคิดจะปกปิดความสามารถที่แท้จริง แล้วโดนผู้อื่นรังแกอย่างง่ายดาย ไม่สู้เปิดเผยมันออกมา กดข่มศัตรูทุกคนยังดีเสียกว่า
หลี่เฟยหยาง ท่านอย่าได้เป็นอะไรไปเด็ดขาด นางไม่อยากรู้สึกผิดไปตลอดชีวิต
เรือนชั้นใน อู๋เหยียนที่ฟื้นจากอาการบาดเจ็บยืนอยู่ข้างเตียงเอ่ยออกมาอย่างเป็นกังวล “คุณหนู ท่านพักผ่อนหน่อยเถิดขอรับ”
หลี่หลิงเฟิ่งหลุบตาลง สองมือยังคงโอบกอดหลี่เฟยหยางไม่ขยับเขยื้อน “เสี่ยวเฉิน เป็นอย่างไรบ้าง”
“บาดแผลภายนอกไม่ได้สาหัสอะไร หากแต่ภายในบอบช้ำอย่างมาก ยาลูกกลอนสะกดสำนึกยื้อชีวิตได้อีกไม่นาน หากไม่ได้รับการรักษาในหนึ่งชั่วยาม เกรงว่าคงไม่รอดขอรับ” อู่เหยียนสูดหายใจลึก นึกถึงสภาพตอนที่ฟื้นขึ้นมา บนพื้นเกลื่อนไปด้วยศพของลูกน้อง โชคดีที่พลังยุทธ์ของเขาถือว่าแข็งแกร่งที่สุด จึงรอดมาได้ แต่กระนั้นก็ยังบาดเจ็บมากอยู่ดี เขารีบควานหาลูกกลอนสะกดสำนึกระงับอาการบาดเจ็บชั่วคราว จากนั้นโคจรลมปราณให้คงที่ ร่างกายฝืนทนได้อย่างมากก็หนึ่งวัน อย่างไรก็ดี ลูกกลอนสะกดสำนึกที่เขามี เป็นแค่คุณภาพชั้นต่ำ
เมื่อเขากวาดตามองไปทั่วก็พบกับร่างสองร่างอยู่บนพื้น เขาเห็นคุณหนูหยิบสมุนไพรหลายชนิดออกมาจากมิติของนาง ป้อนให้ชายในอ้อมกอดไม่หยุด เนิ่นนานก็ไม่เกิดผลอันใด แต่คุณหนูก็ยังคงทำมันไม่ยอมหยุด ในที่สุดร่างซีดขาวของนายท่านก็ซับสีเลือดขึ้นมาจางๆ หายใจเข้าออกรวยรินบ่งบอกถึงการมีชีวิตอยู่
อู๋เหยียนพลันรู้สึกว่า สิ่งที่นายท่านทุ่มเทให้คุณหนูก็ไม่สูญเปล่าซะทีเดียว
นอกจากนายท่านแล้วยังมีเสี่ยวเฉินที่รอดตายมาได้อย่างปาฏิหาริย์ เจ้าเสี่ยวเฉินผู้นี้จะบอกว่าโชคร้ายก็ว่าได้ เข้ามาอยู่ในเหตุการณ์อันตรายเช่นนี้ ยืนอยู่ปลายขอบขุมพลัง และเป็นผู้ไร้พลังยุทธ์เพียงหนึ่งเดียว ต่อให้โดนน้อยนิดก็ยากที่จะรักษาชีวิตเอาไว้ ยังดีที่เขาช่วยไว้ทัน
หลี่หลิงเฟิ่งนิ่งเงียบ ใบหน้านางสงบนิ่งจนไม่อาจอ่านความรู้สึกได้ “เสี่ยวเซียง ยังไม่กลับมาอีกหรือ”
อู๋เหยียนมองเจ้านายนอนสลบไสล ก็ร้อนใจจนหน้าตาแดงก่ำ “ให้ข้าไปตามเถิด ขืนรอต่อไป นายท่านคงแย่แน่”
“ต่อให้เจ้าสิบคนไปก็ไม่มีประโยชน์ ท่านหมอหูไม่ใช่ผู้ที่จะยอมออกมาพบใครง่ายๆ ยิ่งไปกว่านั้น เจ้าไม่เคยไปมาหาสู่ด้วยซ้ำ มีแค่คนของข้าที่เขาจะยอมพบ” เมื่อสัมผัสว่าร่างในอ้อมกอดเย็บเฉียบลง หลี่หลิงเฟิ่งรีบถ่ายทอดพลังออกไปไม่ขาดสาย เหงื่อกาฬท่วมใบหน้า ใบหน้าของนางขาวซีดทว่ากลับไม่ยอมหยุดมือ นางกัดฟันทนจนเลือดไหลรินออกจากริมฝีปากช้าๆ
ถ้าความเจ็บปวดนี้จะทำให้นางรู้สึกผิดน้องลง ก็คงดี หากแต่นางรู้ว่าความจริงไม่มีทางทดแทนกันได้
“คุณหนู ให้ข้าทำแทนเถอะ” อู๋เหยียนมองหญิงสาวบนเตียงที่หน้าซีดขาวลงเรื่อยๆ ด้วยความเป็นห่วง
“ไม่ต้อง” หลี่หลิงเฟิ่งไม่แม้แต่จะเหลือบมองอู๋เหยียนด้วยซ้ำ นางกัดริมฝีปากล่างของตนเอง ระงับความเจ็บปวด นางใช้พลังยุทธ์เยียวยาเกินขีดจำกัด กระนั้นก็ไม่สามารถยับยั้งอุณหภูมิในร่างกายที่เย็นลงเรื่อยๆ ของหลี่เฟยหยางไม่ได้ ร่างในอ้อมกอดค่อยๆ แข็งทื่อ นางแทบสัมผัสลมหายใจของเขาไม่ได้แล้ว
‘เจ็บ’ ราวกับกระดูกของนางถูกบดละเอียด หลี่หลิงเฟิ่งได้แต่บอกตัวเองในใจ ‘ต้องทน ท่านจะตายไม่ได้’
นางก้มลงมองใบหน้าขาวซีดราวกระดาษที่บัดนี้มีเกล็ดน้ำแข็งเกาะอยู่ทั่วใบหน้า หญิงสาวขมวดคิ้วแน่น นี่มันเกิดอะไรขึ้น นางขยับริมฝีปากพึมพำเบาๆ เลือดหยดหนึ่งจากปากแผลบนริมฝีปากหยดลงกระทบมุมปากหลี่เฟยหยาง ค่อยๆแซกซึมเข้าไป
ทันใดนั้นหน้าอกส่วนลึกของนางพลันกระตุกอย่างแรง จนต้องยกมือขึ้นกุมเอาไว้
ความรู้สึกหนักหน่วงเพียงนี้ หลี่หลิงเฟิ่งเจ็บหน้าอกจนชา หญิงสาวไม่เข้าใจ หรือนี่จะเป็นความรู้สึกก่อนพลังยุทธ์จะแตกซ่าน
“ไม่ได้การ นายท่านแย่แล้ว” อู๋เหยียนหน้าซีดทั้งเจ็บใจทั้งจนใจ ทำอะไรไม่ถูกครู่ใหญ่ ยืนตัวสั่นอยู่ข้างๆ
ยังมีอะไรแย่กว่านี้อีกหรือ
“อ๊ะ” ขณะที่นางจะเอ่ยปากถามอู๋เหยียนอยู่นั้นก็รู้สึกร่างบนตักแข็งเกร็งขึ้น คิ้วคมเข้มขมวดเข้าหากันแน่น เกล็ดน้ำแข็งบนใบหน้าหล่อเหลาละลายกลายเป็นน้ำ เปียกชื้นเลอะทั่วหน้า ซึมเข้าไรผมจนหมด
ความเจ็บปวดบนหน้าอกของหลี่หลิงเฟิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ราวถูกมือนับหมื่นบีบไว้แน่น ฝืนทนความเจ็บปวดเปล่งเสียงออกไปอย่างยากลำบาก “เกิดอะไรขึ้น”
“ท่านไหวหรือไม่” อู๋เหยียนได้สติ มองทั้งสองอย่างสับสน เรื่องมันชักจะแปลกประหลาดเกินไปแล้ว ดูเหมือนอาการของนายท่านจะกลับมาเป็นปกติ แต่เหตุใดคุณหนูห้าถึงทำหน้าเจ็บปวดทุกข์ทรมานปานนั้น
สักพักใหญ่อาการเจ็บหน้าอกของนางเริ่มดีขึ้น พร้อมกับหลี่เฟยหยางที่นอนหายใจรวยรินดังเดิม อุณหภูมิในร่างกายกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง หลี่หลิงเฟิ่งถอนใจโล่งอก
ใบหน้างามหันไปหาอู๋เหยียน “นายของเจ้าถูกพิษหรือ”
“เอ่อ...” อู๋เหยียนอึกอัก มองหลี่เฟยหยางที่นอนสงบนิ่งบนตักนาง
“เขาหลับอยู่ เจ้าจะมองทำไม” หลี่หลิงเฟิ่งเอ่ยเสียงเรียบ “ว่าอย่างไร ใช่หรือไม่ใช่”
อู๋เหยียนอยากจะร้องไห้ ถ้าไม่ได้รับอนุญาตจากนายท่าน เขาจะพูดอะไรออกไปได้ แต่เมื่อเจอสายตาคาดคั้นเอาคำตอบจากหลี่หลิงเฟิ่ง ขนทั้งตัวตั้งชันขึ้นมาทันที
อู๋เหยียนลังเลเล็กน้อย “เรื่องนี้...” ชำเลืองมองหลี่เฟยหยางเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนตัดสินใจเอ่ย “นายท่านเคยถูกทำร้ายบาดเจ็บสาหัสเมื่อครั้งยังเยาว์ ข้าเองก็ไม่รู้แน่ชัดนัก แต่ทุกครั้งเมื่อถึงช่วงบรรลุขั้นพลังยุทธ์ อาการเช่นเมื่อครู่ก็จะกำเริบขึ้นมา” นายท่าน ข้าขอโทษ ตัวข้านี้ยังอยากอยู่อย่างสบาย ขนาดท่านยังต้องเอาอกเอาใจนางทุกอย่างเลย
“หมายความว่าเจ้าไม่รู้ว่าพี่ใหญ่ต้องพิษหรือไม่” หลี่หลิงเฟิ่งจับชีพจรบนข้อมือหลี่เฟยหยาง หัวคิ้วยิ่งขมวดแน่นขึ้น ชีพจรเต้นแปลกประหลาดสับสนยุ่งเหยิงไปหมด เป็นครั้งแรกที่นางไม่อาจระบุได้เลย แต่ชายผู้นี้ถูกพิษไม่ผิดแน่ เมื่อได้รับเลือดของนาง อาการเหล่านั้นจึงทุเลาลง เลือดนางเป็นพิษก็จริง แต่พิษบางชนิดสามารถรักษาโดยการใช้พิษต้านพิษได้
“ขอรับ” อู๋เหยียนตรึกตรองครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยต่อ “อันที่จริง ทุกครั้งที่อาการกำเริบนายจะต้องกินลูกกลอนกลืนวิญญาณระงับความเจ็บปวด จากนั้นเก็บตัวจนกว่าจะเลื่อนขั้นสำเร็จจึงจะหาย ส่วนเรื่องถูกวางยาพิษ นายท่านไม่เคยพูดถึงมาก่อน”
แปลก
“แล้วเหตุใดจึงมากำเริบเอาตอนนี้” หรือพลังยุทธ์ของเขากำลังจะยกระดับขึ้นไปอีกขั้น ใกล้ตายขนาดนี้ จะเอาแรงที่ไหนมาเลื่อนขั้น เป็นไปไม่ได้!
“เรื่องนี้...เป็นครั้งแรกที่เกิดขึ้นขอรับ” ไม่เพียงแค่กำเริบเท่านั้น ยังหมายถึงหายเองได้อีกด้วย
“ลูกกลอนกลืนวิญญาณที่เจ้าว่ามานั้นอยู่ที่ไหน ยังไม่รีบเอาออกมาอีก จะรอเขากำเริบอีกรอบหรือไง” หลี่หลิงเฟิ่งนวดคิ้ว นางเหนื่อยล้าเต็มที
“ลูกกลอนกลืนวิญญาณหายสาบสูญไปนานแล้วขอรับ นายท่านมีติดตัวเพียงแค่สามเม็ดที่ได้มาจากฮูหยินสามเท่านั้น เม็ดสุดท้าย นายท่านใช้มันเมื่อสามปีที่แล้วหลังจากคุณหนูออกจากจวนไป” หญิงสาวทำหน้างุนงง ได้มาจากท่านแม่รึ แต่พื้นเพของท่านแม่มาจากหอคณิกา น่าแปลกที่นางมียาล้ำค่าเช่นนั้นอยู่ในมือ สงสัยยังมีอีกหลายเรื่องที่นางยังไม่รู้
“ท่านแม่ของข้าก็เป็นนักหลอมโอสถอย่างนั้นรึ”
“ไม่ใช่ขอรับ ข้าแอบได้ยินมาว่าที่ฮูหยินสามแต่งเข้าจวนเจ้าเมืองได้ เพราะมีลูกกลอนกลืนวิญญาณเป็นการแลกเปลี่ยน” จริงหรือเท็จ เรื่องนี้ก็ไม่เกี่ยวข้องกับเขา
ความแปลกใจฉายชัดในสายตานาง หลี่หลิงเฟิ่งถอนหายใจ เรื่องนี้คงต้องรอเพียงคำอธิบายจากบุรุษที่นอนสลบไสลเสียแล้ว “นอกจากอาการเหล่านี้แล้ว ยังมีผลข้างเคียงอะไรหรือไม่”
อู๋เหยียนนิ่งอึ้ง สีหน้าลำบากใจ “พลังยุทธ์ของนายท่านจะหายไปขอรับ...แล้ว...” ปากองครักษ์หนุ่มขยับขึ้นลงหลายครั้ง หลี่หลิงเฟิ่งเลิกคิ้วเชิงถาม “ไม่มีแล้วขอรับ” กล่าวจบ สีหน้าแปลกพิลึกเบนออกด้านข้างทันที
“อ้อ” หญิงสาวยักไหล่ เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง “พี่ใหญ่กลายเป็นคนไร้ความสามารถนี่เอง” มุมปากอู๋เหยียนกระตุก สตรีนางนี้ปากคอเราะรายยิ่งนัก
หลี่หลิงเฟิ่งมองประเมินอู๋เหยียนทั่วร่าง ชะงักงันครู่หนึ่ง “ยาลูกกลอนสะกดสำนึกที่กินเข้าไปเป็นของปลอมรึเปล่า เหตุใดบาดแผลภายนอกของเจ้าถึงยังไม่สมานสักที” สิ้นเสียงของนาง อีกฝ่ายหันขวับกลับมาตีสีหน้าบึงตึงใส่ทันที
เหมือนหลี่หลิงเฟิ่งจะคิดอะไรออก “จริงสิ” หญิงสาวหยิบขวดแก้วสองใบออกมาจากมิติส่งให้อู๋เหยียน “เจ้าลองดื่มดู ผลลัพธ์น่าจะดีกว่าลูกกลอนของเจ้าหน่อยนึง”
อู๋เหยียนกลั้นหายใจ มืออันสั่นเทาค่อยๆ เปิดจุกออก กลิ่นหอมบริสุทธิ์กำจายไปทั่วห้อง
กลิ่นนี้มัน...
อีกฝ่ายมองหลี่หลิงเฟิ่งที่กำลังยิ้มให้เขา มือถือขวดแก้วนิ่งค้าง ลมหายใจหอบกระชั้นถี่ขึ้นเรื่อยๆ เป็นครั้งแรกที่เขาสัมผัสกลิ่นของน้ำแร่พิสุทธิ์ที่สุด ไม่สิ...
“นี่...น้ำทิพย์! คุณหนู นี่...” ริมฝีปากสั่นระริก น้ำเสียงตื่นเต้นตะกุกตะกัก
หลี่หลิงเฟิ่งพยักหน้ายืนยันคำตอบให้แก่อู๋เหยียนอีกแรง
“รีบดื่มสิ” หลี่หลิงเฟิ่งเร่งเร้าอู๋เหยียน นางกังวลว่าถ้าเอาออกมาจากมิติแล้วเปิดทิ้งไว้นานๆ คุณภาพที่ได้อาจลดลง
“คุณหนู ของล้ำค่าเช่นนี้ ไหนเลยสถานะอันต่ำต้อยอย่างข้าจะคู่ควร” แววตาตื้นตันปริ่มจะร้องจ้องมองหลี่หลิงเฟิ่งเนิ่นนาน
หญิงสาวโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ “เหอะๆ ไม่ต้องเกรงใจ ข้ายังมีอีกเยอะ” ขืนอู๋เหยียนรู้ว่านางดื่มมันต่างน้ำ คงได้กระอักเลือดตายก่อนเป็นแน่
ใบหน้าอู๋เหยียนเปี่ยมล้นด้วยความตื่นเต้นและตื้นตัน ชายหนุ่มสูดหายใจลึกๆ กระดกรวดเดียวโดยไม่ลังเล ทันใดนั้นจิตใจสั่นไหวพลันสงบนิ่ง ร่างกายทุกสัดส่วนรู้สึกผ่อนคลาย บาดแผลที่ยังเจ็บปวดทุเลาลงไปมาก สภาพร่างกายดูเหมือนจะแข็งแกร่งขึ้นมาเล็กน้อย แววตาที่มองหลี่หลิงเฟิ่งเผยความเทิดทูนอยู่สองส่วน
คุณสมบัตินิดหน่อยอันใดกัน ลูกกลอนสะกดสำนึกของเขากลายเป็นขยะเลยด้วยซ้ำ! ของล้ำค่าขนาดนี้ นางกลับหยิบยื่นให้เขาอย่างใจกว้าง
“ท่านรู้หรือไม่ ท่านครอบครองสมบัติอันล้ำค่าที่ผู้คนทั่วหล้าต้องการอย่างยิ่ง อาณาจักรของเราอย่างมากก็แค่มีน้ำแร่เท่านั้น ไม่เคยปรากฏร่องรอยของน้ำทิพย์มาก่อน น้ำไม่กี่หยดในขวดนี้อย่างต่ำก็เท่ากับราคาห้าล้านตำลึงเงินแล้ว”
ห้าล้านตำลึงเงิน
หลี่หลิงเฟิ่งตะลึงงัน
อู๋เหยียนยังคงพูดต่ออย่างตื่นเต้น “ถ้าหากเอาไปแช่กับหินแร่ คุณภาพจะยิ่งเพิ่มทวีคูณ โอกาสเลื่อนพลังยุทธ์นับว่ามีสูงกว่าทุกคน ไม่เพียงเท่านี้หากตกผลึกเป็นไขแร่แล้ว พลังสะสมจะยิ่งเพิ่มขึ้นไปอีกขั้น”
โอ้! น้ำทิพย์ยังมีสรรพคุณเช่นนี้ด้วยหรือ เข้าทางนางเลยน่ะสิ ไม่คาดคิดว่าแอ่งน้ำในมิติที่นางได้มาฟรีจะมีมูลค่าขนาดนี้ หากรู้แต่แรกนางคงเอาออกไปขายนานแล้ว ไม่มัวเสี่ยงไปเก็บสมุนไพรพวกนั้นให้เสียเวลาหรอก
หลี่หลิงเฟิ่งคืนสติ วักน้ำออกมาจากมิติให้หลี่เฟยหยางดื่มบ้าง ทว่า ก็ไม่เกิดผลใดๆ หญิงสาวกลอกตาอย่างจนปัญญา หันมาพยักพเยิดน้ำทิพย์อีกขวดบนมืออู๋เหยียนแทน “เอาไปให้เสี่ยวเฉินดื่มด้วย”
หญิงสาวหลับตาลง คงประวิงเวลาได้อีกสักระยะหนึ่ง เสี่ยวเซียง เจ้าไปตายที่ไหนกันถึงไม่มาสักที
พระอาทิตย์โผล่พ้นขอบฟ้าได้ไม่นาน เสียงฝีเท้าเร่งรีบหลายคู่ดังมาจากด้านนอกประตู หลี่หลิงเฟิ่งประคองหลี่เฟยหยางนอนลงอย่างเบามือก่อนจะเดินไปผลักประตูออกอย่างรวดเร็ว
ผู้มาไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นสาวใช้ของนาง ท่านหมอหูและศิษย์อีกสองคน สาวเท้ารีบร้อนมาหานาง เมื่อเห็นดังนั้นสีหน้าหลี่หลิงเฟิ่งดีขึ้นเล็กน้อย ส่งรอยยิ้มอิดโรยไปให้ “ท่านหมอหู”
“เสี่ยวยาโถว* ขออภัยที่ตาเฒ่าผู้นี้มาช้า ข้าเพิ่งทราบข่าวเมื่อเช้า ไม่รู้ป่านนี้ผู้ป่วยเป็นอย่างไรบ้าง” หูซานผู้นี้เป็นแพทย์ประจำโรงหมอที่นางขายสมุนไพรให้ มีสองคนคือพี่น้องตระกูลหวัง หวังซีและหวังข่ายที่ติดตามมาด้วย วิชาการแพทย์หูซานนับว่าไม่เลว อายุราวๆ สี่สิบ รูปร่างผอมซูบ มือถือล่วมยายืนหอบหายใจ
“รบกวนพวกท่านแล้ว” หลี่หลิงเฟิ่งขยับกายหลีกทางให้หูซานเดินเข้าไปในห้อง จากนั้นหันมาพูดกับสองพี่น้องแซ่หวัง “ท่านทั้งสอง ช่วยไปดูอาการเสี่ยวเฉินที่ห้องปีกข้างได้หรือไม่เจ้าคะ” เท้าสองคู่ชะงักลงเมื่อหลี่หลิงเฟิ่งกล่าวจบ
“อาการของเขาไม่ค่อยดีนัก ข้าเกรงว่าหากไม่รีบรักษาอาจไม่พ้นเงื้อมมือมัจจุราชเป็นแน่” ทั้งสองมองหน้ากันครู่หนึ่ง หวังซีจึงเปล่งเสียงออกมาในที่สุด “ได้โปรดนำทาง”
หลี่หลิงเฟิ่งพยักหน้าให้อู๋เหยียน “ท่านทั้งสอง เชิญ” เมื่อทั้งสามเดินลับตาไป เสี่ยวเซียงยืนนิ่งหันซ้ายแลขวา ลังเลอยู่นานก็ยังก้าวไม่ออก
“เจ้าก็ตามคนพวกนั้นไปด้วยกันเถิด ที่นี่มีแค่ข้าก็พอ” กล่าวจบหญิงสาวก็เดินกลับเข้ามาในห้อง ยืนอยู่ข้างเตียงเงียบๆ จับสังเกตสีหน้าหูซาน
หูซานจับชีพจรหลี่เฟยหยางอย่างละเอียด ครู่ใหญ่จึงถอนมือกลับ ถอนหายใจออกมาอย่างหนักหน่วง หลี่หลิงเฟิ่งใจคอไม่ดี ขยับเข้าไปใกล้ มือเรียวปัดปอยผมบนใบหน้าคมคายออกอย่างเบามือ พลางเอ่ยถาม “ท่านหมอหู พี่ใหญ่ของข้าเป็นอย่างไรบ้าง”
“ถ้าไม่รีบรักษา เกรงว่าจะอยู่ไม่พ้นคืนนี้แล้ว” หูซานเงียบไปสักพัก ก่อนจะเหลือบมองหลี่หลิงเฟิ่ง “อวัยวะภายในบอบช้ำหนัก เลือดคลั่งไม่ไหลเวียน แต่นั่นยังไม่รุนแรงเท่าลมปราณแปรปรวณไปทั่วร่าง พลังยุทธ์ถูกสกัดกั้นไม่ให้ใช้ออกมา” หูซานส่ายหัวเวทนา ชายหนุ่มผู้นี้นับว่าเป็นผู้มีพรสวรรค์หาตัวจับยากผู้หนึ่ง ทว่าน่าเสียดายที่ต้องมาจบชีวิตก่อนวัยอันควร
“รักษาเช่นไร” สีหน้าหลี่หลิงเฟิ่งยังคงราบเรียบ ทว่ามือทั้งสองข้างเปียกชุ่มเต็มไปด้วยเหงื่อ “ขอแค่หายเป็นปกติก็พอ จะแลกด้วยอะไร ข้าก็ยอม”
น้ำเสียงแน่วแน่ของนางปลุกสัญชาตญาณความเป็นแพทย์ของหูซานขึ้นมา มองหญิงสาวข้างตัวที่บัดนี้ทำอะไรไม่ถูก ต่างจากความสุขุมนุ่มลึกทุกครั้งที่เจอกัน เขานึกสงสารสตรีผู้นี้จับใจ หากนางเสียพี่ชายไป ชีวิตคงไม่มีใครปกป้องนางอีกแล้ว
“จะประสานลมปราณ ปลดปล่อยพลังยุทธ์น่ะไม่ยากหรอก” หูซานลูบคางครุ่นคิด “พี่ชายของเจ้าเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นนิลกาญจณ์ จำเป็นต้องใช้หินแร่สีเขียวสิบก้อน หรือหินแร่ขั้นสูงกว่าก็ยิ่งดี เจ้าต้องหามาให้เร็วที่สุด ร่างกายของเขาไม่อาจรอได้อีกต่อไปแล้ว”
ตอนตรวจชีพจร หูซานอดทึ่งไม่ได้ อายุน้อยแค่นี้แต่มีพลังขั้นนิลกาญจณ์ระดับกลาง นับเป็นอัจริยะท่ามกลางคนรุ่นเดียวกัน ตัวเขาเองอายุขึ้นเลขสี่แล้วยังอยู่แค่ระดับหลวมรวมอยู่เลย เขายังไม่อยากให้เยาวชนรุ่นหลังตายตกเช่นนี้ หากแต่ก็จนปัญญาจะช่วยเหลือ
หลี่หลิงเฟิ่งขมวดคิ้ว หินแร่ ไข่แร่นางรู้สรรพคุณ รู้วิธีใช้ แต่ไม่รู้ว่าหน้าตาเป็นอย่างไร นางไม่เคยเห็นมาก่อน “หินแร่หน้าตาเป็นอย่างไร”
หูซานหน้าตางุนงง ยังมีคนไม่รู้จักหินแร่อยู่ด้วยหรือ พอทบทวนสักพักจึงเข้าใจ กระแอมออกมาครั้งหนึ่งก่อนหยิบหินสีเทาหม่นสี่ห้าก้อนมาวางลงบนเตียง “นี่คือหินที่ข้ามีอยู่ แต่ใช้กับผู้ฝึกพลังยุทธ์ขั้นนิลกาญจณ์ไม่ได้”
“หินพวกนี้...หินแร่?” เหมือนนางจะเคยเห็นที่ไหนมาก่อนนะ ยิ่งนางจ้องยิ่งดูคุ้นตา
“ใช่ สาวน้อยเมืองทุรกันดารแห่งนี้เจ้าจะไปหามันมาจากที่ไหน หินแร่สีเขียวไม่นับว่าหายากก็จริง ส่วนใหญ่ชาวบ้านแถบนี้ทำไร่ ทำสวน แต่ไม่ใช่ผู้ฝึกพลังยุทธ์” สายตาชายชราหม่นหมอง “ต่อให้เจ้าใช้เงินกว้านซื้อมาทั้งเมือง อย่างมากก็หาได้แค่หินขั้นต่ำสุดเพียงสองสามก้อนเท่านั้น”
“ช้าก่อน ขอข้าคิดก่อน” ก้อนหินพวกนี้นางเคยเห็นเมื่อไม่นานมานี้ ภาพบางอย่างผุดขึ้นมาในหัว หลี่หลิงเฟิ่งเดินออกจากห้อง ยืนพิงประตู มองเหล่าก้อนหินในมิติที่นางมองเป็นอัญมณีละลานตาในแอ่งน้ำ ก่อนจะเลือกหยิบก้อนที่เปล่งประกายแวววาวสีเขียวออกมาราวๆ สิบห้าก้อนใส่ไว้ในถุงผ้า
หญิงสาวเดินกลับเข้ามาอีกครั้ง ยื่นถุงผ้าไปตรงหน้าหูซานที่นั่งปลงตกอยู่ในขณะนี้ “ท่านดูหน่อยเถิด หินพวกนี้ใช้ได้หรือไม่” หลี่หลิงเฟิ่งลังเล เปล่งเสียงออกมาแผ่วเบาราวกับยุงบินผ่าน “หน้าตาพวกมันไม่ค่อยเหมือนที่ท่านให้ข้าดูสักเท่าไหร่ ใช่หินแร่ที่ท่านตามหาหรือไม่”
เมื่อชายชราเปิดปากถุง ถึงกับเด้งตัวลุกขึ้นยืนด้วยความตกใจ ท่าทีไร้ชีวิตชีวาก่อนหน้า ไม่มีให้เห็นอีกต่อไป แทนที่ด้วยความตะลึงงัน เงยหน้ามองหลี่หลิงเฟิ่งอย่างพิลึกพิลั่น
หลี่หลิงเฟิ่งที่ไม่เข้าใจอากัปกิริยาที่เปลี่ยนไปกะทันหันของท่านหมอหู สีหน้างุนงงปนวิตกกังวล เอ่ยออกมาอย่างผิดหวัง
“ไม่ได้หรือ”
*เสี่ยวยาโถว = เด็กน้อย, สาวน้อย
หูซานแตกตื่นจนหน้าถอดสี ถุงผ้าในมือเกือบหลุดร่วง “นี่มันเกินไป เกินไปแล้ว” หลังจากหายตื่นตะลึง เขาก็มีท่าทางดีอกดีใจอย่างปิดไม่มิดแววตามองคล้ายขุ่นเคืองอยู่เล็กน้อย อดที่จะขบเขี้ยวเคี้ยวฟันไม่ได้ “เจ้ามีของล้ำค่าติดตัวมากมายขนาดนี้ ยังจะทำเป็นไม่รู้จักหินแร่พวกนี้อยู่อีก ผายลม!”หลี่หลิงเฟิ่งทำหน้าไม่ถูกไปชั่วขณะ ตาเฒ่าผู้นี้อยู่ดีๆ ก็อารมณ์ขุ่นมัวใส่นาง“เจ้ามีของเช่นนี้อยู่ตั้งแต่แรก ไยจึงไม่รีบนำมันออกมา” ตำหนิหญิงสาวก่อนกล่าวต่อ “แต่แค่สองก้อนก็พอ ที่เหลือเจ้าเก็บไว้เถอะ” หูซานหยิบออกจากถุงเพียงสองก้อนจริงๆ มองที่เหลืออย่างอาลัย สุดท้ายตัดใจส่งมันคืนให้นางหลี่หลิงเฟิ่งย่นคิ้วเข้าหากัน นัยน์ตาฉายแววงุนงงมากกว่าเดิม “แค่สองก้อนพอแน่หรือ ท่านหยิบมันไปเพิ่มอีกดีหรือไม่” ถึงจะไม่รู้ว่าคืออะไร หากแต่ช่วยรักษาได้ย่อมเป็นเรื่องดีได้ยินดังนั้น หูซานฉุนขึ้นมาทันที “ข้าเป็นหมอมาสามสิบกว่าปี อาการของโรคเป็นอย่างไร ปริมาณยาหรือพลังที่ใช้ย่อมรู้แน่ชัดอยู่แล้ว บอกว่าพอก็คือพอ เด็กอย่างเจ้าสงสัยคำวินิจฉัยของข้าอย่างนั้นหรือ” หญิงผู้นี้อะไรก็ดีไปหมด เหตุใดวันนี้ริทำตัวน่ารังเกียจ เขาเป็นถึงนักห
ผ่านไปสิบวันอาการบาดเจ็บของหลี่เฟยหยางดีขึ้นมาก หูซานได้กลายเป็นแพทย์ประจำตัวของเขาไปแล้ว ทุกวันจะต้องมาจับชีพจร สอบถามความคืบหน้าระหว่างรักษาเสมอ ทั้งที่ชายชราไม่มีความจำเป็นต้องมาด้วยตนเอง เนื่องด้วยผู้ป่วยทั้งสองอยู่ในระยะปลอดภัยนานแล้วหลักๆ ที่วนเวียนอยู่อย่างนี้ เพราะต้องการเอาใจ ‘ศิษย์น้อง’ ที่เพิ่มมาอีกหนึ่งคน สร้างความรู้สึกประทับใจ เกาะติดหลี่หลิงเฟิ่งไม่ยอมห่างบอกตามตรง ตอนนั้นหลี่หลิงเฟิ่งเดือดดาลจนไร้คำพูดโต้กลับ นางแสดงเจตจำนงชัดเจนด้วยการปฏิเสธการเป็นศิษย์ของเขา นางไหนเลยจะคิดว่าเฒ่าทารกดันยกลำดับอาวุโสของนางให้สูงขึ้น ยังไม่ทันจะกล่าวอันใด หูซานก็ยกเตาหลอมโอสถให้นางพร้อมกับตำราสมุนไพรหนึ่งร้อยแขนงให้นางไว้ท่องจำทุกเช้าหลังจากตรวจอาการหลี่เฟยหยางและเสี่ยวเฉินเรียบร้อย หูซานจะขลุกอยู่กับนางตลอดช่วงบ่าย บางครั้งยังลากนางไปโรงหมอเพื่อดูอาการคนไข้ เดิมทีหลังจากหลี่เฟยหยางฟื้นขึ้นมา นางคิดจะปฏิเสธหูซานอย่างจริงจัง เมื่อนำไปปรึกษากับชายหนุ่ม กลับเป็นหลี่เฟยหยางโน้มน้าวให้นางรับข้อเสนอนี้ไว้เสียเองหลี่หลิงเฟิ่งจึงผงกศีรษะรับอย่างจำใจ กลายมาเป็นศิษย์น้องของหูซานด้วยประการฉะ
ช่วงนี้แคว้นหลิวอวิ๋นมีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมายเรื่องสนุกปากในโรงเตี๊ยมและตามตรอกซอกซอยมีเพิ่มขึ้นทุกวัน เรื่องเล่าที่เป็นที่กล่าวขานมากสุดคงหนีไม่พ้นเรื่องคู่หมั้นขยะขององค์ชายรองผู้เป็นเลิศในทุกด้าน ได้รับความนิยมจนโรงละครนำมาทำเป็นเรื่องเล่าหลายต่อหลายบท เหตุการณ์สำคัญในเรื่องพูดถึงความอาภัพอับโชคขององค์ชายรอง หน้าตาอัปลักษณ์ของคู่หมั้น รวมไปถึงเสนาบดีหลี่ใช้อำนาจบาตรใหญ่บังคับเหล่าองค์ชายแต่งงานกับหลานสาวอันเป็นที่รัก ฮ่องเต้เห็นแก่คุณงามความดีของเจ้าเมืองหลี่จึงได้ยกองค์ชายรองให้หมั้นหมายกับบุตรสาวตระกูลหลี่ ที่ได้ชื่อว่าตัวไร้ค่าชาวบ้านต่างพากันเห็นใจสงสารองค์ชายรอง สาปแช่งก่นด่าหลี่หลิงเฟิ่งและเจ้าเมืองหลี่เรื่องราวอัปยศอดสูทำเอาเจ้าเมืองหลี่โกรธจนแทบจะกระอักเลือด ขุนนางทั้งหลายพากันประณามเขา ฎีกาหลายฉบับส่งตรงไปหาฮ่องเต้ให้ยุติการหมั้นหมายนี้ลง ตัวเขาเองที่เป็นบิดาก็เห็นด้วยอย่างยิ่ง แต่ไหนเลยจะมีใครคิด ไม่เพียงฮ่องเต้ไม่เอ่ยปากทัดทาน หากแต่ทรงกริ้วเหล่าขุนนางที่ร้องเรียนหน้าท้องพระโรง ออกว่าราชการยังไม่เสร็จก็สะบัดแขนเสื้อจากไปชายวัยกลางคนรู้สึกเหมือนตนเองเป็นคนใบ้ที่กินหว
พลังเช่นนี้...ความรู้สึกกดดันเช่นนี้...ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหลอมรวม ซ้ำยังสูงกว่าเขาอีกหนึ่งขั้น เมื่อครู่ผู้ลอบเล่นงานเขาไม่ใช่สองพี่น้องคู่นั้้น เป็นชายชราผู้นี้แน่นอน เป็นเขาที่กดข่มพลังคนทั้งหมดไว้ เป็นเขาที่บังคับให้ข้าคุกเข่า...หลี่เชาสูดหายใจลึก รู้สึกได้ถึงความตายที่กำลังมาเยือนถึงหน้าประตู“ท่าน...ท่านกับข้า...พวกเราไม่เคยมีเรื่องบาดหมางกันมาก่อน เหตุใดจึงตั้งตนเป็นปรปักษ์ ลอบทำร้ายกันเล่า” ความเงียบปกคลุมทั่วบริเวณ ไม่มีเสียงตอบรับเล็ดลอดออกมา มีเพียงเสียงดังอั่กทีหนึ่ง เลือดสีแดงสดพุ่งกระฉูดเลอะพื้นกระเด็นมาจนถึงจุดที่หลี่หลิงเฟิ่งยืนอยู่พลั่ก พลั่ก พลั่กท่ามกลางการชะงักค้างของทุกคน พลังสีแดงพุ่งไปรอบด้านไม่ขาดสาย เหล่าผู้คุ้มกันเหมือนเป็นง่อยเปลี้ยไร้เรี่ยวแรงตอบโต้ ได้แต่นอนโอดโอยบนพื้นโถงรับรองอันเย็นเฉียบ เพลิงพิโรธของหูซานยังคงไม่มอดดับลงง่ายๆ หันไปเล่นงานหลี่เชาที่นอนพะงาบๆ อยู่บนพื้นไร้เสียงตอบโต้“ช้าก่อน” หลี่หลิงเฟิ่งรีบร้องปรามเมื่อเห็นท่าไม่ดี“ท่านจะฆ่าใครข้าไม่สน แต่อย่าให้คนพวกนี้มาตายในบ้านของข้าเป็นอันขาด” หลูหมิ่นซึ่งเวลานี้ปากชาไปหมดเพิ่งได้สติคืนมา มองทั้งส
เนื่องจากในวังมีการเลื่อนวันเข้าเฝ้า จากกำหนดเดิมคือสิบห้าวันหลังเสร็จพิธีปักปิ่นของนาง ไม่รู้เพราะเหตุอันใดจึงร่นระยะเวลาให้เหลือเพียงสามวันเป็นเหตุให้พวกนางต้องเร่งกลับบ้านทันทีเพื่อเข้าร่วมงานปักปิ่นที่จะจัดขึ้นก่อนกำหนดสิบห้าวัน หากว่ากันตามจริงแล้ว ถ้านางไม่ได้รับความสำคัญในครั้งนี้ขึ้นมา หลี่หลิงเฟิ่งไม่ถูกจัดให้เข้าร่วมและเป็นหนึ่งในตัวเอกของงานแน่นอน ไม่รู้ว่าตอนนี้คนพวกนั้นจะเคียดแค้นใจมากแค่ไหนที่ต้องแบ่งพื้นที่ในจวนแก่น้องห้าอย่างนางได้ใช้สอย“พร้อมหรือยัง”“เจ้าค่ะ”หลี่เฟยหยางลูบหัวนาง “ไม่มีอะไรน่ากลัวหรอก” หลี่หลิงเฟิ่งยิ้มรับ ผงกศีรษะน้อยๆ ก่อนก้าวขึ้นไปนั่งในรถม้าที่จัดเตรียมไว้ใครบอกว่านางกลัวกัน นางเฝ้ารอให้วันนี้มาถึงที่สุดต่างหากด้านนอกมีหลี่เฟยหยางกับหวังซีควบม้าขนาบข้างซ้ายขวา เสี่ยวเฉินคอยกุมบังเหียนขับเคลื่อนรถม้า ส่วนนางผู้ที่สบายสุด กึ่งนั่งกึ่งนอนเอกเขนกอยู่ในรถม้า ฟังเรื่องเล่าขบขันจากสาวใช้ตัวน้อยของคนในเมืองหลี่ไปพลาง มือหยิบขนมที่เสี่ยวเซียงเตรียมไว้เข้าปากไปพลาง ส่วนหูซานกับหวังข่ายนั้นจะติดตามมาทีหลัง จำต้องจัดการลู่ทางโรงหมอที่นั่นสักพักใหญ่ขาดก็
หลี่หลิงเฟิ่งคิดไม่ถึงว่าแค่กลับบ้านจะมีคนมารอรุมทุบตีมากมายขนาดนี้ ยังไม่รวมถึงบ่าวไพร่ที่คุกเข่าอยู่ด้านหลัง และที่แอบอยู่ตามทางเดิน พุ่มไม้ บนเรือนอีกนับสิบยี่สิบคน บรรยากาศคึกคักยิ่งไม่เจอกันไม่กี่ปีคนเหล่านี้ยังคิดว่านางเป็นลูกพลับนิ่มให้ขยำเล่นตามใจชอบเหมือนเมื่อก่อนอยู่อีกสินะ เมื่อมีคนอยากลอง นางจะไม่สนองคืนคงผิดต่อความตั้งใจของคนเบื้องหน้าแล้วนางอยากรู้นักใครจะเข้ามาคนแรกหลายวันที่ผ่านมา หลี่หรูอี้นอนกระสับกระส่ายทุกคืน ใช้ชีวิตอย่างตื่นเต้นวาดหวังรอคอยวันที่หลี่หลิงเฟิ่งกลับมาตั้งแต่เล็กหลี่หลิงเฟิ่งแย่งความงามเป็นเอกกับนางมาตลอด หลี่หรูอี้ไม่อยากยอมรับความจริง เพราะเชื้อโสเภณีชั้นต่ำมันแรงเกินไป ใบหน้างดงามไร้ที่ติจึงประดับอยู่บนหน้านังตัวไร้ค่าทุกเมื่อเชื่อวันผู้คนต่างยกย่องนางเป็นหญิงงามอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลี่ แต่หากคนพวกนั้นได้เห็นความงามของนังตัวขยะนี่ อันดับหนึ่งยังจะมาถึงนางอีกหรือที่นางเกลียดที่สุดคือใบหน้านั้น!ไปอยู่บ้านนอกมาสามปี หลี่หรูอี้คิดไม่ออกเลยว่าผิวพรรณเมื่อโดนแดดจะหยาบกร้านแค่ไหน ผมแห้งไร้น้ำหนักกระเซอะกระเซิง สีผิวหมองคล้ำ อดอยากจนร่างผอมเหมือนกร
เช้าวันนี้เมืองหลี่ครึกครื้นเป็นพิเศษ โรงเตี๊ยมแน่นขนัดไม่มีที่ว่างแม้แต่น้อย บรรดาชนชั้นสูงจากหลายมุมเมืองต่างเดินทางมาร่วมแสดงความยินดีกับคุณหนูทั้งสองของตระกูลหลี่โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลี่หรูอี้ คุณหนูสี่ผู้กำเนิดจากภรรยาเอกของท่านเจ้าเมือง สำหรับหลี่หลิงเฟิ่งพวกเขามีความรู้สึกอันหลากหลาย หลายเดือนก่อนเก้าในสิบส่วนของครอบครัวผู้เข้าร่วมงานเคยยื่นฎีกาเรียกร้องถอดถอนตำแหน่งคู่หมั้น มาวันนี้กลับต้องนำของขวัญมาร่วมแสดงความยินดี บรรยากาศภายในจวนจึงเต็มไปด้วยความแปลกประหลาดในตระกูลใหญ่พิธีปักปิ่นหรือพิธีแสดงความเป็นผู้ใหญ่จัดขึ้นทุกปี เมื่อบุตรีในบ้านอายุครบสิบห้าปีบริบูรณ์ ดังนั้นงานเลี้ยงสกุลหลี่สำหรับแขกเหรื่อที่มาเยือนจึงเป็นเรื่องที่คุ้นเคยกันอยู่แล้ว ไม่ว่าจะมีความสัมพันธ์อันดีกันหรือไม่ ของขวัญที่ควรมอบยังคงต้องมอบออกไป หากบ้านไหนมีความสัมพันธ์อันดีหรือต้องการผูกมิตรกับตระกูลหลี่จะเดินทางมาแสดงความยินดีด้วยตนเอง จากจำนวนที่เข้าร่วมในวันนี้ รากฐานตระกูลหลี่นับว่าไม่ธรรมดา หยั่งรากลึกไม่รู้กี่รุ่นต่อกี่รุ่นไม่เพียงบ่งบอกว่าสตรีสามารถออกเรือนได้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ยังแสดงถึงการผูกพ
โลหิตสดๆ ไหลออกมาจากไหล่ซ้ายของสตรีชุดแดง รอยกรีดลึกเป็นทางยาวประมาณเจ็ดชุ่น* หลี่หลิงเฟิ่งหน้าตาบิดเบี้ยวข่มความเจ็บปวด รับพลังโจมตีทั้งหมดผ่านมือขวา ลำตัวถอยร่นจนสุดขอบเรือน สมกับเป็นสัตว์อสูรหายาก พละกำลังของมันแข็งแกร่งเทียบเท่ากับผู้ฝึกยุทธ์ขั้นกำเนิดใหม่ระดับสูงหลูหวั่นชิง ลืมตาขึ้น มองหลี่หลิงเฟิ่งที่ยืนสู้กับหมูป่าหางทองอย่างตะลึงงัน ลืมความเจ็บปวดจากการโดนพลังยุทธ์ที่กันนางออกมานอนกองอยู่บนพื้น นางหมายจะเข้าไปช่วยหลี่หลิงเฟิ่ง ใครเลยจะคิดว่า...“นาง...นางเป็นพลังยุทธ์” นี่...คำเล่าลือหลายสิบปีเป็นเรื่องหลอกลวงหรือ นางหาใช่ตัวไร้ค่า แต่เป็นผู้มากด้วยพรสวรรค์ต่างหาก!เสียงเซ็งแซ่ดังกระหึ่มทั่วห้องโถง ในที่นี้ไม่มีใครใจคอสงบสักคน เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นเหนือความคาดหมายเกินไปแล้วหมูป่าหางทองคำรามดังขึ้น เจ้าพวกมนุษย์น่าตาย กล้าลอบกัดข้า กระแสไฟฟ้าปลายหางแผ่ลามทั่วทิศ ทั่วทั้งห้องโกลาหลหนีตายกันถ้วนหน้า ห้องโถงที่เคยวิจิตรงดงามพังลงไม่เหลือซาก เสาหลักยึดโครงหลังคาหักลงทีละต้น เวลานี้บริเวณใกล้หลี่หลิงเฟิ่งเหลือเพียงแม่ลูกตระกูลหลู และหลี่เหวินเหยาเท่านั้น ส่วนสองแม่ลูกตัวต้นเรื
ไม่นานหลังจากที่สวีคุนพูดจบ ร่างสูงของอู๋เหยียนก็ก้าวเข้ามาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด สายตาของเขากวาดมองหลี่หลิงเฟิ่งทันที"คุณหนูห้า นายท่านแย่แล้วขอรับ" น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความร้อนรนหลี่หลิงเฟิ่งเลิกคิ้วเล็กน้อย "เกิดอะไรขึ้น""อาการของคุณชายใหญ่ทรุดหนักลงกะทันหัน โปรดตามข้ากลับไปที่หอฝึกยุทธ์ดูสักหน่อยเถิดขอรับ"หัวใจของหลี่หลิงเฟิ่งเต้นกระตุก นางไม่ได้ถามต่อให้เสียเวลา รีบหันไปบอกลาทุกคนก่อนจะก้าวตามอู๋เหยียนไปโดยไม่ลังเลที่ห้องพักของหลี่เฟยหยาง กลิ่นจางๆ ของผลไม้คืนชีวิตอบอวลอยู่ในอากาศ ราวกับเพิ่งมีผู้ใช้มันเมื่อไม่นานมานี้ ดวงตาคมของหลี่หลิงเฟิ่งหรี่ลง นางรู้สึกถึงบางอย่างที่ไม่ชอบมาพากล แต่ไม่ได้กล่าวสิ่งใดหลี่เฟยหยางนอนอยู่บนเตียงสีขาว ใบหน้าซีดเซียวของเขามีหยาดเหงื่อเกาะพราว ดวงตาหลับพริ้มราวกับกำลังฝืนต่อสู้กับความเจ็บปวด มือทั้งสองข้างกำแน่นจนข้อขึ้นสีขาวหลี่หลิงเฟิ่งขยับเข้าไปใกล้ ราวกับทุกอย่างวนกลับไปยังวันเวลาเหล่านั้นอีกหน เขาต้องการเลือดข้านางขบเม้มริมฝีปาก กำมือแน่นก่อนจะใช้ปลายเล็
ทุกสายตาจับจ้องมายังหลี่หลิงเฟิ่งที่บัดนี้รายล้อมไปด้วยเหล่าคนของสำนักแพทย์โอสถ บางคนถึงกับหันไปมองกันอย่างสับสน"ศิษย์น้องของเจ้าสำนักหรือ หูของข้าเพี้ยนไปแล้วหรือไม่" สีหน้าของทุกคนเบิกโพลง"ใช่แล้ว หลี่หลิงเฟิ่งคืออาจารย์อาที่ได้รับการดูแลเป็นพิเศษจากเจ้าสำนักของเรา หากข้ารู้ว่าใครยังว่าร้ายนางอีกล่ะก็ อย่าหาว่าหอแพทย์โอสถของพวกเราไม่เตือน"ผู้อาวุโสแปดกล่าวเสียงกร้าว เขารอเวลานี้มานานแล้ว ใครใช้ให้คนเมืองหลวงมีตาหามีแววไม่ ใส่ร้ายบรรพบุรุษน้อยของพวกข้าไม่เว้นแต่ละวันคำพูดนั้นทำให้สีหน้าของทุกคนซีดเผือด ความนับถือที่แฝงด้วยความสั่นสะท้านค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นในใจของทุกคน ผู้ฝึกยุทธ์ที่เคยปรามาสหลี่หลิงเฟิ่งต่างเบื้อใบ้ ไม่มีใครกล้าพูดสิ่งใดออกมาอีกแม้แต่สวีคุนเองก็อดยิ้มบางออกมาไม่ได้ "ศิษย์น้อง ข้าว่าเจ้าทำให้คนทั้งสนามตะลึงจนลืมหายใจได้เลยทีเดียว"รอบตัวหลี่หลิงเฟิ่งที่เคยเต็มไปด้วยเสียงซุบซิบปรามาส บัดนี้กลับกลายเป็นความเงียบงันที่แฝงไปด้วยความเกรงกลัว แม้กระทั่งเหล่าผู้ฝึกยุทธ์ที่เคยคิดว่านางเป็นเพียงขยะไร้ค่า
พลังยุทธ์สีแดงขาวปรากฏรอบตัวหลี่หลิงเฟิ่ง พลังมหาศาลที่แฝงไว้ด้วยความเยือกเย็นแต่แผดเผาไปพร้อมกันแผ่ซ่านออกมา ร่างของหลี่หลิงเฟิ่งที่เคยแยกออกเป็นสิบร่าง ตอนนี้กลับแยกออกมาได้ถึงห้าสิบร่าง จนแม้แต่ชายชุดดำยังต้องเบิกตากว้าง“เป็นไปไม่ได้…วิชาลับตระกูลชิง เจ้ามีมันได้อย่างไร เจ้าเป็นคนของตระกูลชิงรึ” เขาสั่นศีรษะ คัมภีร์ทั้งหลายล้วนสูญสลายไปพร้อมกับคนของตระกูลชิงสายหลักไปหมดแล้ว แต่นางเรียนรู้มาจากใคร ยิ่งไปกว่านั้น ในระยะเวลาอันสั้นสตรีนางนี้เลื่อนขั้นไปกี่ครั้งกันแน่ หากปล่อยไปจะต้องเป็นอันตรายต่อพวกเขาอย่างแน่นอนหลี่หลิงเฟิ่งไม่ตอบ นางเพียงจ้องมองเขาด้วยแววตาแน่วแน่ ก่อนที่ร่างทั้งห้าสิบจะพุ่งเข้าใส่เขาพร้อมกันราวกับคลื่นพายุที่ไม่มีวันหยุดยั้งเสียงปะทะดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ เปลวเพลิงและพลังยุทธ์สีดำสาดกระจายกลางอากาศ ชายชุดดำสะบัดมือส่งพลังทำลายล้างออกไป แต่ร่างเงาของหลี่หลิงเฟิ่งกลับเคลื่อนไหวว่องไวยิ่งกว่าปลาได้น้ำ หลบหลีกทุกการโจมตีของเขาได้อย่างแม่นยำ“นังตัวดี!” ชายชุดดำกัดฟันแน่น พลังปราชญ์ของเขาถูกกดดันจนเริ่มสั่นคลอนแต่ในขณะที่เปลวเพลิงนั้นโหมกระหน่ำ หลี่เฟยหยางที่ยืนอยู
"พวกเจ้าคิดว่าการทำลายวังหลวงแคว้นตงเยว่แล้วจะปัดก้นหนีไปอย่างสง่าผ่าเผยได้รึ" ชายชุดดำที่ยืนหยัดอยู่กลางอากาศมองลงมาด้วยสายตาเย็นชา ใบหน้าคมคายไร้อารมณ์ แต่กลิ่นอายที่แผ่ซ่านกลับเต็มไปด้วยเจตนาสังหารจวินชางหลางแม้ใจจะกลัว แต่ฝีปากนั้นกล้าเกินจะกล่าว "อ้อ ข้าก็นึกว่าใคร ที่แท้ก็สุนัขรับใช้แคว้นตงเยว่นี่เอง ทำไม ต้องการทวงความเป็นธรรมให้พวกมันสินะ เข้ามาเลยสิ กลัวที่ไหนกัน”ดวงตาคมกริบของชายชุดดำจับจ้องมาไปยังเขา "จักรพรรดิแคว้นตงเยว่เป็นศิษย์ของข้า พวกเจ้าสังหารเขายังเท่ากับท้าทายข้า ซ้ำยังทำลายวังหลวง ฆ่าล้างทุกคน ข้าจะปล่อยพวกเจ้าไปง่ายๆ ได้อย่างไร วันนี้ไม่ว่าใครก็อย่าหวังจะมีชีวิตรอด เลือดของพวกเจ้าต้องชำระล้างแผ่นดินตงเยว่ สังเวยวิญญาณให้กับศิษย์ของข้า"คำพูดนั้นทำให้ทุกคนตกตะลึง แม้แต่โม่จื่อหลิงที่ยืนอยู่ด้านหน้าก็อดขรึมลงไม่ได้ "เจ้าเป็นคนจากดินแดนไร้ขอบจริงด้วยสินะ"ชายชุดดำแค่นหัวเราะ มองโม่จื่อหลิงแวบหนึ่งพลางรู้สึกคุ้นตาอยู่บ้าง ทว่าเวลานี้เขาไหนเลยจะสนใจ "รู้จักข้าก็ดีแล้ว จะได้รู้ว่าพวกเจ้ากำลังจะพบจุดจบแบบใดในไม่ช้า"โม่จื่อหลิงยกกระบี่ขึ้น สายตาคมวาว "จุดจบของเจ้าหรือ
ณ เมืองหลวงของแคว้นหลิวอวิ๋นเสียงการต่อสู้ยังคงดังกึกก้อง เปลวเพลิงโหมลุกไหม้ตามแนวกำแพง เสียงคำรามของผู้บุกรุกประสานกับเสียงอาวุธที่กระทบกันอย่างดุเดือดสวีคุนเจ้าสำนักหอแพทย์โอสถ กำลังรักษาผู้บาดเจ็บพลางออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม "อย่าปล่อยให้พวกมันทะลวงเข้ามาได้ ต้านไว้สุดกำลัง"ผู้ฝึกยุทธ์คนอื่นๆ และเจ้าหน้าที่ทหารรวมกำลังกันอย่างสุดความสามารถ แต่จำนวนศัตรูที่มีกองกำลังมือสังหารชั้นสูงกลับยังคงท่วมท้นทันใดนั้นเอง แสงสีฟ้าก็ปรากฏขึ้นกลางสมรภูมิ เสียงลมกรรโชกดังขึ้นพร้อมกับร่างของหลี่หลิงเฟิ่ง โม่จื่อหลิง และจวินชางหลางที่ปรากฏตัวออกมา"พวกเรากลับมาแล้ว!" จวินชางหลางร้องลั่น พลางสะบัดดาบเล่มใหม่ในมืออย่างฮึกเหิม "ใครอยากโดนฟันก่อน มาเลย!""ทุกคนปลอดภัยดีหรือไม่" หลี่หลิงเฟิ่งตะโกนถามพลางฟาดแส้เพลิงออกไป เผาผู้บุกรุกที่พุ่งเข้ามาสวีคุนยิ้มออกมาอย่างโล่งใจ "พวกเจ้ามาทันเวลาพอดี ฝั่งนั้นมีมากเกินไป พวกเรากำลังต้องการกองกำลังเสริมอย่างยิ่งยวด""ท่านวางใจ ข้าจะทำให้ศัตรูจำชื่อพวกเราไปตลอด" จวินชางหลางหัวเราะเสียงดัง เลือดร้อนไม่ลดละจากการต่อสู้ที่ต่อเนื่องมาอย่างยาวนาน"งั้นข้าจะช
"อะไรเนี่ย ทำไมรากไม้พวกนี้มันมีชีวิตล่ะ แม่จ๋า ช่วยลูกด้วย" จวินชางหลางตะโกนพลางถอยหลบ ขณะที่รากไม้สีดำเลื้อยมาทางเขาดาบกลืนวิญญาณในมิติมายาของหลี่หลิงเฟิ่งยังคงสั่นสะท้าน ราวกับพยายามเตือนบางสิ่ง นางหอบหายใจ ดวงตาคมกริบจับจ้องไปยังใจกลางห้องโถงที่บัดนี้เต็มไปด้วยพลังมืด แท่นบูชาที่พังครึ่งหนึ่งพลันแตกออก เผยให้เห็นโลงศพสีดำสนิทที่ถูกพันธนาการไว้ด้วยรากไม้หนาทึบ นางเดินเข้าไปใกล้โลงศพที่ยังคงปล่อยไอสังหารออกมา"ระวังนะ!" จวินชางหลางร้องเตือน แต่หลี่หลิงเฟิ่งยื่นมือออกไปแตะรากไม้ที่พันรอบโลงศพ ถึงกับเป็นโลกศพฮ่องเต้รุ่นที่หนึ่งทันใดนั้น เส้นแสงสีดำพุ่งออกมาจากรากไม้ เสียงคำรามต่ำสะท้อนก้อง รากไม้ราวกับมีชีวิตฉุดกระชากไปทั่วโลงศพเปิดออกอย่างช้าๆ กลิ่นเน่าเหม็นโชยกระจายไปทั่วห้องโถง ร่างของฮ่องเต้ตงเยว่ที่เคยหลับใหลปรากฏให้เห็น ผิวหนังซีดเผือด ดวงตาที่ควรปิดสนิทพลันเปิดออก เผยให้เห็นแสงสีดำวาววับ"มันตื่นขึ้นแล้ว!" โม่จื่อหลิงกล่าวเสียงหนัก ขณะกระชับกระบี่ในมือแต่ก่อนที่ใครจะทันได้ขยับ รากไม้สีดำพุ่งขึ้นฟ้า ก่อนจะแตกกระจาย เสียงกระดูกดังลั่น ไม่ใช่แค่จักรพรรดิตงเยว่ แต่ศพของทหารและข
จวินชางหลางกระเด็นกลิ้งหลายตลบก่อนจะยันตัวลุกขึ้นมา มองรอบด้านอย่างไม่สบอารมณ์ สถานที่เบื้องหน้านั้นเต็มไปด้วยซากหินและพื้นผนังที่ปกคลุมไปด้วยตะไคร่น้ำ“ที่นี่มัน...ใต้ดินหรือ” หลี่หลิงเฟิ่งกวาดตามองอย่างระแวดระวัง“ข้าหวังว่ามันจะไม่ใช่กับดักอะไรอีกนะ” จวินชางหลางโอดครวญ “ฟ้าไม่มีตา ไม่เข้าข้างข้าบ้างเลย”ทั้งสามคนเดินลึกเข้าไปในโพรงใต้ดิน เส้นทางทอดยาวราวกับไม่มีที่สิ้นสุด เสี่ยวจูจูที่เกาะอยู่บนบ่าหลี่หลิงเฟิ่งส่งเสียงครางเบาๆ อย่างไม่สบายใจ“มันรู้สึกอะไรบางอย่าง” หลี่หลิงเฟิ่งเอ่ยเบาๆ นางยกมือขึ้นลูบหัวเสี่ยวจูจูเพื่อปลอบ “ระวังตัวไว้”ภายในมิติมายาของนางกลับเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างไม่คาดคิด ดาบกลืนวิญญาณ ที่ปักนิ่งอยู่กลางทุ่งมายาพลันสั่นสะท้าน เสียงหวีดแหลมต่ำ เส้นแสงสีดำปะทุจากคมดาบราวกับมีสิ่งเร้นลับพยายามฉุดกระชากมันให้หลุดจากพันธนาการ“ไม่... ไม่ดีแล้ว!” เสี่ยวมู่ร้อง ดวงตาสีครามของมันเบิกกว้างหลี่หลิงเฟิ่งเม้มปาก มองสภาพแปรปรวนในมิติของนาง ที่พื้นดินซึ่งเคยนิ่งสงบกลับแตกออก เผยให้เห็นแสงสีเทาหม่นที่หมุนวนราวกับวงกตแห่งวิญญาณในจุดนั้นมีวัตถุสีมืดสนิทลอยเด่นอยู่กลางอากาศ มั
บุกแคว้นตงเยว่เปลวไฟลุกโชนสูงตระหง่าน วังหลวงของแคว้นตงเยว่ที่เคยโอ่อ่ากลายเป็นสนามรบ เปลวเพลิงจากของหลี่หลิงเฟิ่งเผาผนังไม้สักทองคำจนแตกเปรี๊ยะ เสียงกรีดร้องของทหารแคว้นตงเยว่ดังระงมจวินชางหลางหัวเราะเสียงดัง ขณะฟาดฟันศัตรูที่ขวางหน้า "นี่แหละที่ข้ารอคอยมานาน วังนี้ข้าเห็นแล้วยังอยากเผาเล่น"ทหารของแคว้นตงเยว่ล้มตายลงทีละคน ซากศพกองเรียงรายจนแทบไม่มีทางเดิน หลี่หลิงเฟิ่งมองซากปรักหักพังอย่างเยือกเย็น "วังโอ่อ่าขนาดนี้ วันนี้ก็ถึงคราวต้องมอดไหม้ไปพร้อมกับบาปของมันแล้ว""เจ้าคิดจะทำลายทุกอย่างจริงๆ หรือ ง่ายไปหน่อยกระมัง" เสียงหนึ่งดังขึ้นจากเบื้องบน ร่างสูงสง่างามในชุดมังกรสีทองปรากฏตัวท่ามกลางเงาเปลวเพลิง ฮ่องเต้แห่งแคว้นตงเยว่ ดวงหน้าคมคายที่เปี่ยมด้วยอำนาจแฝงไปด้วยความน่าเกรงขาม"ข้ารู้จักสมญานามของพวกเจ้ามาบ้าง หญิงชั่วร้ายกับชายคู่หมั้นหน้าโง่ แต่กลับถูกยกย่องให้เป็นความภาคภูมิของแคว้นหลิวอวิ๋น"หลี่หลิงเฟิ่งเลิกคิ้วแปลกใจ ไม่คิดว่าพวกนางจะมีฉายาเช่นนี้ด้วย โด่งดังไม่เบาเลยหนา ฮ่องเต้ตงเยว่หัวเราะ "เจ้าคิดว่าการเผาวังหลวงของข้าจะทำให้แคว้นหลิวอวิ๋นพ้นภัยหรือ ช่างเป็นความคิดตื
กองกำลังขันทีผู้ซื่อสัตย์ของฮ่องเต้ ซึ่งได้รับการฝึกฝนให้ปกป้องวังหลวงมาตั้งแต่เยาว์วัย ยืนหยัดต้านทานคนชุดดำอย่างสุดชีวิต ถึงแม้พลังยุทธ์ของพวกเขาจะด้อยกว่าศัตรูมากนัก แต่ด้วยความภักดีที่ฝังแน่นในหัวใจ พวกเขาไม่มีวันปล่อยให้ราชวงศ์หลิวอวิ๋นล่มสลายไปต่อหน้าต่อตา"ถ้าจะตาย ก็ให้ตายเพื่อฝ่าบาท!" หัวหน้าขันทีตะโกนลั่น เสียงของเขาแฝงด้วยความมุ่งมั่นที่ไม่ยอมพ่ายแพ้เสียงดาบกระทบกันดังสนั่น ขันทีผู้หนึ่งฟาดดาบเข้าใส่คนชุดดำ แต่กลับถูกพลังยุทธ์มหาศาลกระแทกจนล้มลง เลือดสาดกระเซ็นไปทั่วพื้นหิน"อย่าปล่อยให้พวกมันเข้าใกล้ฝ่าบาท!" หัวหน้าขันทีตะโกนอีกครั้ง ก่อนจะพุ่งตัวไปขวางคนชุดดำที่พยายามบุกเข้ามาฮ่องเต้ที่ยังทรงยืนอยู่ด้วยพระวรกายที่บาดเจ็บสาหัส ดวงเนตรของพระองค์เคร่งขรึมแต่เปี่ยมด้วยความเด็ดเดี่ยว แม้พระโลหิตจะไหลซึมจากบาดแผลที่พระอุระ แต่พระองค์ไม่คิดจะล่าถอยหยวนกุ้ยเฟยยืนมองภาพนั้นด้วยความสะใจ ใบหน้าของนางฉายแววบ้าคลั่ง "ฝ่าบาทยังดื้อรั้นเช่นเคย... แต่ครั้งนี้ข้าจะทำให้ท่านสิ้นสิ้นลมหายใจไปพร้อมกับบัลลังก์ที่ท่านหวงแหนนัก!"ดวงตาของนางเรืองแสงด้วยพลังพิษสีดำที่แผ่ออกมาจากปลายนิ้ว นางสะ