หูซานแตกตื่นจนหน้าถอดสี ถุงผ้าในมือเกือบหลุดร่วง “นี่มันเกินไป เกินไปแล้ว” หลังจากหายตื่นตะลึง เขาก็มีท่าทางดีอกดีใจอย่างปิดไม่มิด
แววตามองคล้ายขุ่นเคืองอยู่เล็กน้อย อดที่จะขบเขี้ยวเคี้ยวฟันไม่ได้ “เจ้ามีของล้ำค่าติดตัวมากมายขนาดนี้ ยังจะทำเป็นไม่รู้จักหินแร่พวกนี้อยู่อีก ผายลม!”
หลี่หลิงเฟิ่งทำหน้าไม่ถูกไปชั่วขณะ ตาเฒ่าผู้นี้อยู่ดีๆ ก็อารมณ์ขุ่นมัวใส่นาง
“เจ้ามีของเช่นนี้อยู่ตั้งแต่แรก ไยจึงไม่รีบนำมันออกมา” ตำหนิหญิงสาวก่อนกล่าวต่อ “แต่แค่สองก้อนก็พอ ที่เหลือเจ้าเก็บไว้เถอะ” หูซานหยิบออกจากถุงเพียงสองก้อนจริงๆ มองที่เหลืออย่างอาลัย สุดท้ายตัดใจส่งมันคืนให้นาง
หลี่หลิงเฟิ่งย่นคิ้วเข้าหากัน นัยน์ตาฉายแววงุนงงมากกว่าเดิม “แค่สองก้อนพอแน่หรือ ท่านหยิบมันไปเพิ่มอีกดีหรือไม่” ถึงจะไม่รู้ว่าคืออะไร หากแต่ช่วยรักษาได้ย่อมเป็นเรื่องดี
ได้ยินดังนั้น หูซานฉุนขึ้นมาทันที “ข้าเป็นหมอมาสามสิบกว่าปี อาการของโรคเป็นอย่างไร ปริมาณยาหรือพลังที่ใช้ย่อมรู้แน่ชัดอยู่แล้ว บอกว่าพอก็คือพอ เด็กอย่างเจ้าสงสัยคำวินิจฉัยของข้าอย่างนั้นหรือ” หญิงผู้นี้อะไรก็ดีไปหมด เหตุใดวันนี้ริทำตัวน่ารังเกียจ เขาเป็นถึงนักหลอมโอสถที่ถึงขนาดฮ่องเต้ยังต้องเกรงใจ ไหนเลยจะเคยโดนสบประมาท
แต่นางเด็กน่าตายผู้นี้ เห็นเขาดีด้วยหน่อยถึงกับไม่เคารพนับถือกันเชียวหรือ
“ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น แต่ไม่รู้จริงๆ ว่ามันคืออะไร” หลี่หลิงเฟิ่งรีบอธิบายก่อนที่ท่านหมอหนึ่งเดียวในละแวกนี้จะเข้าใจผิดไปไกล พาลไม่รักษาพี่ชายของนาง จะทำอย่างไร
ชายชรามองหลี่หลิงเฟิ่งราวกับไม่อยากเชื่อ มีคนบนโลกนี้ไม่รู้จักของสิ่งนี้จริงหรือ หรี่ตาสังเกตพักใหญ่ เห็นว่าไม่มีความผิดปกติใดๆ บนใบหน้าของนาง ความโกรธขึ้งก่อนหน้าจึงมอดดับ ถอนหายใจเฮือกอย่างปลงอนิจจัง
“เจ้าได้มันมาจากที่ไหนกันแน่ถึงไม่รู้จัก คนขายไม่ได้บอกเจ้ารึไง” หลี่หลิงเฟิ่งยิ้มแหย จะให้นางบอกได้อย่างไรว่าไปขโมยจากสัตว์อสูรตนหนึ่งมา
“คนขาย?”
หูซานไม่สนใจจะตอบคำถาม เอ่ยปากต่อ “มีของล้ำค่าอยู่เช่นนี้ เจ้าของกลับเห็นเป็นสิ่งไร้ค่าไร้ราคาเสียได้ รู้ไว้เถอะว่าแค่ก้อนๆ เดียวก็เกือบซื้อเมืองทั้งเมืองได้แล้ว แต่เจ้ากลับเห็นเป็นขยะ! รู้หรือไม่สิ่งนี้ได้มาจากอะไร แม้แต่ฮ่องเต้ยังไม่ได้ครอบครองมันสักก้อนเลยด้วยซ้ำ” น้ำเสียงที่เปล่งออกมาดังขึ้นเรื่อยๆ หางตาปริ่มน้ำด้วยความตื่นเต้น กวัดแกว่งหินสีเขียวไปมาเบื้องหน้านาง
“ล้ำค่า หายาก มีเพียงหนึ่ง เจ้าว่ามันจะเป็นอะไรได้เล่า” ชายชราลุ้นระทึกขณะจ้องมองหลี่หลิงเฟิ่ง พลันหมดสนุก เมื่อปะทะเข้ากับหน้าตาเอือมระอาสุดขีดของสตรีผู้นี้ สายตาของนางคล้ายกับกำลังบอกเขาว่า ท่านรีบพูดเถอะ ข้าไม่มีอารมณ์จะเล่นหรอกนะ
หูซานส่งเสียงฮึ่มในลำคออยู่หลายที “มันคือไขแร่! ไขแร่น่ะรู้จักมั้ย! ไม่เพียงแค่เป็นไขแร่เท่านั้น แต่ยังบริสุทธิ์มากอีกด้วย ไขแร่ในวังสระหยกสกุลกวนยังมิอาจเทียบเท่ากับในมือของข้าเลย”
“ไขแร่หรือ” คราวนี้ถึงคราวหลี่หลิงเฟิ่งตกอกตกใจบ้างแล้ว หยิบก้อนหินที่เปร่งประกายวาววับขึ้นมาก้อนหนึ่ง ขณะพินิจดูคิ้วสวยเลิกขึ้นอย่างสนอกสนใจ
หลี่หลิงเฟิ่งเคยอ่านตำราขั้นพื้นฐานที่ผู้ฝึกพลังยุทธ์พึงรู้ของเจ้าของร่างเดิมทิ้งไว้ให้ เข้าใจว่า การจะได้ไขแร่มานั้น เกิดจากการผสมหินแร่กับน้ำแร่ จากนั้นตกตะกอนมาเป็นไขแร่
แต่เจ้าก้อนหินพวกนี้เปรียบเสมือนอัญมณีที่รอการเจียระไนซะมากกว่า หลุดกรอบความคิดนางไปมากโข หาได้เอะใจเลยสักนิด
นางรู้คุณสมบัติของไขแร่มาบ้าง หากแต่ไม่คิดว่ามันจะอยู่ติดกายนางมาตลอด ไม่แปลกใจเลย เหตุใดท่านหมอหูถึงขุ่นเคืองมากมายเช่นนี้ เป็นของหายากขนานแท้ นางกลับไม่รู้จักมัน แต่นางผิดอันใด ในเมื่อไม่เคยเห็น ย่อมไม่รู้เป็นธรรมดา
แน่ล่ะ ถ้าใครได้เห็นก็ต้องมีสติแตกกันอยู่แล้ว ดีไม่ดีอาจจะเกิดการแย่งชิงขึ้นมาได้
“เท่าที่ข้ารู้คือ ไขแร่สีเขียวหนึ่งก้อนทดแทนหินแร่สีเขียวได้แค่สองก้อนเท่านั้น แต่พี่ใหญ่ต้องการทั้งหมดสิบก้อน จะเพียงพอได้ยังไง” หลี่หลิงเฟิ่งควบคุมอารมณ์ให้สงบลง นางเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน กับเรื่องทุกเรื่องนางสามารถจัดการได้อย่างสงบ มีสติ แต่พอเป็นเรื่องของหลี่เฟยหยาง สมองของนางมักจะมีปัญหาเสมอ
นับตั้งแต่คราแรกที่เจอกัน จิตสัมผัสของนางทำงานบกพร่อง ความรู้สึกนำพาไปก่อนความคิด รู้สึกไม่สงบนิ่งตลอดเวลา
หูซานหัวเราะร่า กล่าวอย่างอารมณ์ดี “ไขแร่บริสุทธิ์จะเหมือนกับไขแร่ทั่วไปได้อย่างไร”
มองใบหน้าที่ไม่ยอมผ่อนคลายของหญิงสาวที่เขานึกเอ็นดูอยู่หลายปี จึงเอ่ยปลอบออกมาคำหนึ่ง “วางใจเถอะ พี่ชายของเจ้ายังไม่ถึงคราวตายหรอก”
หูซานหยิบเตาหลอมโอสถและสมุนไพรอีกสองสามอย่างออกมาจากกำไล จากนั้นเริ่มทำการหลอมยาทันที หลี่หลิงเฟิ่งจ้องกำไลสีเงินเกลี้ยงเกลาเขม็ง กำไลอีกแล้วหรือ หรือสิ่งนี้จะเก็บสิ่งของได้เหมือนกับมิติของนาง
ครุ่นคิดสักพักหนึ่ง แอบส่ายหัวอยู่ในใจ ไม่น่าใช่ อาจเก็บสิ่งของได้ แต่ไม่มีทางมีคุณสมบัติอย่างมิติมายาแน่ เมื่อคิดได้ดังนี้ ประกายตาของนางก็สั่นระริกระคนยินดี
ถ้าข้ามีกำไลเก็บสิ่งของได้ จะอำพรางมิติของข้าก็ง่ายขึ้นน่ะสิ เอาล่ะ ตอนนี้นางไม่อาจแน่ใจว่าตนเองคิดถูกต้องหรือไม่ คงต้องรอถามจากท่านหมอหูอย่างเดียว
ระหว่างที่หลี่หลิงเฟิ่งจมดิ่งอยู่ในโลกส่วนตัว หูซานได้สกัดส่วนผสมทั้งหมดเสร็จเรียบร้อยแล้ว โยนส่วนผสมทั้งหมดเข้าไปในเตาหลอมโอสถ จากนั้นเริ่มควบคุมกำลังไฟให้เหมาะสม
แววตาของหญิงสาวเผยแววชื่นชมออกมาจากใจจริง คิดไม่ผิดที่นางเลือกคบค้าสมาคมด้วย หมอท่านนี้เป็นคนดียิ่ง หากเป็นคนอื่น แค่ฝีมือนับว่าพอใช้ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องหลอมยาเลย ต่อให้ไปเชิญคงไม่ยอมเปิดแม้แต่ประตูต้อนรับ หรือต่อให้เชิญมาได้ ได้เห็นไขแร่มูลค่าควรเมืองหลายชิ้น ต้องละโมบอยากได้อยู่แล้ว จะมีสักกี่คนอดใจไหวและยอมละทิ้งความโลภอย่างง่ายดาย
ยิ่งไปกว่านั้น หูซานยังหลอมโอสถต่อหน้านางโดยไม่เก็บงำวิชาเอาไว้แม้เพียงนิด ไม่ทราบว่ามั่นใจในความเก่งกาจของตัวเองหรือดูถูกว่านางโง่เง่าดูไม่เข้าใจกันแน่
ไม่ว่าเหตุผลไหน มีสิ่งหนึ่งที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ นั่นคือ น้ำใจ
“มีปัญหา มีปัญหาแล้ว” ผ่านไปเพียงสองเค่อ ชายชราโพล่งออกมาเสียงดัง จนหลี่หลิงเฟิ่งที่นั่งอยู่ข้างเตียงพลอยสะดุ้งไปด้วย เร่งร้อนเดินมาหาหูซาน
“ปัญหาใด” น้ำเสียงวิตกกังวลปนร้อนใจออกจากปากเรียว
หูซานยิ้มกว้าง กลิ่นหอมกำจายอ่อนๆ ของยาลูกกลอนลอยออกมาจากเตา ในนั้นมียาลูกกลอนสีเข้มขนาดเล็กใหญ่ไม่เท่ากันอยู่สองเม็ด “ไม่ใช่ปัญหาของยาที่ข้าหลอมแต่อย่างใด แต่ประสิทธิภาพไขแร่ที่เจ้าหามาดีมากเกินไปต่างหาก ไม่เพียงแต่รักษาอาการบาดเจ็บให้หายเร็วขึ้น ยังช่วยเพิ่มพลังยุทธ์ได้อีกด้วย ตั้งแต่เกิดมา เป็นครั้งแรกที่ข้าเคยหลอมยาบริสุทธิ์ขนาดนี้ ระดับของข้าไม่นับว่าสูง หลอมออกมาเต็มเจ็ดส่วนในสิบส่วนนับว่าเกินความคาดหมายแล้ว”
เป็นครั้งแรกที่เขามีโอกาสเห็นไขแร่พิสุทธิ์จนแลโปร่งใสเช่นนี้ อารมณ์ของหูซานเกินกว่าจะใช้คำว่าดีมาบรรยายได้ “ติดอยู่อย่างเดียว ไม่รู้ว่าพี่ชายเจ้าจะรับไหวหรือเปล่า”
“ถ้าไม่ไหวเล่า” ฟังมาถึงตรงนี้ หลี่หลิงเฟิ่งร่วมอารมณ์ดีด้วยไม่ลงแล้ว
“ก็ตาย” ชายชราตอบกลับรวดเร็ว ราวกับผลลัพธ์ต้องเป็นอย่างนี้ไม่ผิดเพี้ยน
มุมปากหลี่หลิงเฟิ่งกระตุก อยากจะกระชากตัวเฒ่าทารกผู้นี้ลงพื้นสักร้อยตลบ “ช่วยไม่ได้ แล้วยังมาอวดอ้างว่าตนเองฝีมือดีอีกหรือ”
“เพ้ย! นังหนู ข้าผู้นี้บอกว่ารักษาหายก็คือหาย” หูซานหน้าตึง แทบจะกระอักเลือด ถ้ามีเครา ป่านนี้คงชี้ชันไปแล้ว “จะไปยากอะไร ก็แค่ลดปริมาณยาลงให้พี่เจ้าก็พอแล้ว ไม่เกินสามวันเจ้าหนุ่มนั่นก็ฟื้นขึ้นมาดุด่าเจ้าได้แล้ว ส่วนลูกกลอนนี่ก็เก็บไว้กินทีหลัง ชื่อเสียงของข้าไม่ใช่แค่กล่าวอ้างลอยๆ ตอนเฒ่าผู้นี้เป็นที่เลื่องชื่อกระบือไกล เด็กปากเสียอย่างเจ้ายังเป็นก้อนเลือดอยู่ในท้องแม่ด้วยซ้ำ”
หลี่หลิงเฟิ่งส่งเสียง ฮึ่ม กลับไป “พูดแบบนี้ตั้งแต่แรกก็จบ”
“ช้าก่อน เจ้ายังไม่ตอบคำถามข้าเลย” หลี่หลิงเฟิ่งหันหลังกลับมา นึกฉงน “คำตอบอันใด”
“พี่ชายเจ้าจะยอมกินยาลูกกลอนสองอันนี้พร้อมกันหรือไม่” สายตาคาดหวังเต็มเปี่ยมแสดงเจตจำนงที่แท้จริงออกมาโดยไม่รู้ตัว หญิงสาวส่งสายตาดูแคลนให้อย่างเปิดเผย
“ท่านหมอหู เห็นแก่ที่พวกเราคบค้ากันมานาน เรื่องในครั้งนี้ข้าจะไม่เอาความ หากท่านต้องการคนทดลอง ก็ใช้ตัวท่านเองเถิด” รอยยิ้มอบอุ่นปรากฏขึ้นบนใบหน้างดงามอีกครั้ง หลังจากที่หายลับไปตลอดทั้งวัน “ข้ามีพี่ชายเพียงคนเดียว ความเสี่ยงแม้น้อยนิด ข้าก็จะไม่มีวันให้เกิดขึ้น ท่านจงลืมมันไปเสีย”
แม้หูซานจะผิดหวังอยู่บ้าง แต่ก็เลือกที่จะหุบปากตัวเองสนิท ไม่รบเร้าต่อ อย่าได้ไปแตะขีดความอดทนของสาวน้อยตาใสจิตใจโหดเหี้ยมผู้นี้จะดีกว่า
เขาไม่กลัวมีเรื่องกับตระกูลหลี่ แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่หวาดหวั่นต่อพิษสงของหญิงสาวตรงหน้า
หูซานเดินไปป้อนยาให้หลี่เฟยหยางด้วยตนเอง หยุดมองใบหน้าหล่อเหลาที่บัดนี้ซีดขาวราวกับศพ พลางเหลือบมองหลี่หลิงเฟิ่งที่กำลังพินิจเตาหลอมโอสถของเขาเป็นระยะ
ชายชราลูบคางอย่างครุ่นคิด เขารู้สึกถูกใจและเอ็นดูสาวน้อยนางนี้ตั้งแต่แรกเห็น จากการคบหาจริงจังก็ราวสองปี นิสัยใจคอไม่นับว่าแย่ ซ้ำยังมีพรสวรรค์ด้านการปรุงโอสถ เขาไม่อาจเชื่อว่านางแค่อ่านตำราก็สามารถปรุงยาขั้นพื้นฐานและถึงกับปรุงพิษออกมาได้อีกด้วย
หากเป็นเขายังต้องร่ำเรียนอยู่เป็นปีกว่าจึงจำสมุนไพรหลากหลายชนิดได้ ฝึกฝนอยู่หลายปีถึงช่ำชองปรุงยาขั้นพื้นฐานให้มีคุณภาพสูงสุดสำเร็จ แต่ทั้งหมดจำเป็นต้องมีอาจารย์คอยชี้แนะสอนสั่ง หูซานถูกขนานนามว่าเป็นอัจริยะ พรสวรรค์เป็นเลิศผู้หนึ่งในดินแดนหลิวเฟิง
ทว่า หลังจากพบหลี่หลิงเฟิ่ง เขากลับไม่กล้าภูมิใจกับเกียรติยศที่สั่งสมมาหลายปีของตัวเองได้เลย นางเป็นยอดอัจริยะในหมู่อัจริยะด้วยกัน!
หูซานกระแอมเบาๆ “อยากได้รึ” หลี่หลิงเฟิ่งชะงักไปครู่หนึ่ง เอ่ยปากพูดแต่สายตาไม่ได้รั้งไปจากเตาหลอมสักนิด “ข้าแสดงออกชัดเจนเพียงนั้นเชียว”
ชายชรากลอกตา “เจ้าจ้องมันปานจะกลืนกินลงท้องขนาดนั้น ผู้ใดมองไม่ออกก็โง่เต็มทีแล้ว” เมื่อรู้ว่าตนเองเอ่ยเหน็บแนมหญิงสาว ปากที่กำลังจะอ้าออกพลันชะงักค้าง ก่อนที่น้ำเสียงจีบปากจีบคอจะดังขึ้น ทำเอาหลี่หลิงเฟิ่งขนลุกซู่ ขยาดกลัว “หากเจ้าอยากเข้าสำนักแพทย์โอสถตอนนี้เห็นทีจะเป็นเรื่องยาก ผู้มีสิทธิ์เข้าร่วมต้องรู้จักการหลอมยาขั้นต้นก่อน อีกอย่าง การเปิดรับสมัครปิดไปตั้งแต่ต้นปีแล้ว หากเจ้าอยากสมัครก็ต้องรออีกทีต้นปีหน้า”
“แต่ปัญหานี้จะหมดไป ถ้าเจ้ากราบข้าเป็นอาจารย์ ตำแหน่งของเจ้ายังจะสูงกว่าพวกนักเรียนเข้าใหม่ขั้นหนึ่งด้วยซ้ำ” หูซานยังพูดโน้มน้าวสตรีชุดแดงไม่หยุด “ไม่ง่ายเลยที่อัจริยะอย่างข้าจะรับศิษย์ เจ้าจงภูมิใจที่ได้เป็นผู้ถูกเลือกเถิด”
ความเงียบภายในห้องยังคงดำเนินต่อไป ชายชรายิ้มกริ่ม นังหนูนั่นอึ้งอยู่สินะ เนื้อเต้นตัวสั่นทำอะไรไม่ถูกสินะ หึๆ
หูซานเดินไปทั่วห้อง ยืดอกกล่าวต่อพร้อมกับหันไปทิศทางที่หลี่หลิงเฟิ่งยืนอยู่ “พึงรู้ไว้ เจ้าโชคดีแค่ไหน ที่ข้าลด...” ยังพูดไม่ทันจบ เขาก็เห็นเพียงเงาหลังไวๆ เดินผ่านหน้าไปนั่งแหมะอยู่ข้างเตียงคนป่วย
นางไม่ได้ฟังที่เขาพูดเลยสักนิด นางเด็กนิสัยเสียผู้นี้!
“ยาลูกกลอนของท่าน เมื่อกินไปแล้ว มีผลข้างเคียงอันใดหรือไม่” มือเรียวจับชีพจรที่เต้นชัดขึ้นกว่าตอนแรก สีหน้าอ่อนล้ามาทั้งคืนผ่อนคลายลงในที่สุด จากนั้นกระชับผ้าห่มผืนหนาให้แน่นขึ้น
“ห้ะ...ไม่มี” เมื่อเจอประโยคนี้สวนกลับ สมองของเขาถึงกับว่างเปล่า “นี่เจ้าไม่ได้ยินที่ข้าพูดเลยรึ” หูซานโกรธจนควันออกหู เขาพูดไปเยอะแยะ แต่นังหนูนี่กลับทำหูทวนลม
“พูดอะไร” หญิงสาวเงยหน้ามอง กล่าวด้วยน้ำเสียงเกียจคร้าน “ที่ท่านเสนอขายตัวเองน่ะรึ”
“เด็กเวร! ข้าหวังดีกับเจ้าจึงรับเป็นศิษย์ มีใจอยากสอนสั่ง เจ้าไม่ซึ้งใจไม่เป็นไร แต่กลับเนรคุณกล่าวหาข้าเยี่ยงนี้รึ เจ้าทำกับผู้มีพระคุณอย่างนี้ได้อย่างไร” หูซานชี้หน้าหลี่หลิงเฟิ่งจนนิ้วสั่นเทา หน้าดำหน้าแดงโมโหจนตัวสั่น
“บุญคุณมีไว้ตอบแทน ข้ากระจ่างแจ้งดี อีกอย่าง ข้าพูดอันใดผิด อัจริยะรึ ไหนท่านลองบอกสักหน่อยเถิด คำว่าอัจริยะของท่านสะกดอย่างไร” ตลกน่า ให้นางกราบหูซานเป็นอาจารย์ ในใจของนางเห็นปฐมาจารย์เทพโอสถ ผู้มอบคัมภีร์โอสถสวรรค์เป็นอาจารย์ของนางอย่างแท้จริง นางมีอาจารย์อยู่แล้วแท้ๆ แถมยังเป็นหนึ่งเดียวไม่ใช่หนึ่งใน จะให้นางกราบคนอื่นเป็นอาจารย์อีกได้อย่างไร นี่เป็นการลบหลู่ปฐมาจารย์เทพโอสถชัดๆ
หูซานอ้ำอึ้งอยู่นาน ก็ยังพูดออกมาไม่ได้สักคำ สุดท้ายยกมือพ่ายแพ้ ก้มหน้าปลงตก ยอมรับชะตากรรมอันโหดร้าย สำหรับหญิงสาวตรงหน้าแล้วยังไปได้ไกลกว่าเขาหลายร้อยเท่า แค่ความสามารถดมกลิ่น จำแนกสรรพคุณสมุนไพรภายในไม่กี่วัน ปรุงยา ปรุงพิษคุณภาพกลางได้ด้วยตนเอง นางยังต้องการอาจารย์ไปเพื่อสิ่งใด
“เป็นศิษย์ท่าน ข้าไม่สนใจ” หลี่หลิงเฟิ่งยิ้มอย่างอ่อนใจ ไม่ได้โกรธขึ้งหูซานจริงจัง น้ำเสียงที่เปล่งออกมาจึงกึ่งโมโหกึ่งปลอบประโลม “แต่เราเป็นสหายแลกเปลี่ยนความรู้กันได้”
อย่างไรก็ตาม ท่านหมอหูก็เป็นคนช่วยชีวิตหลี่เฟยหยาง ถือว่ามีบุญคุณต่อนางเช่นกัน นางจะจัดเขาให้เป็นหนึ่งในสหายก็ไม่มีอะไรเสียหาย
แต่ใครจะคาดคิดว่าตาเฒ่าชราจะดื้อรั้นเป็นเด็กๆ เมื่ออีกทางถูกนางปิดตาย เจ้าตัวกลับเริ่มแผ้วถางทางใหม่เดินให้ได้เสียนี่ เมื่อได้ฟังจนจบ หลี่หลิงเฟิ่งแทบสำลักน้ำลายตัวเอง
“แลกเปลี่ยนความรู้หรือ ความคิดนี้ไม่เลว” ใบหน้าห่อเหี่ยวกลับมาตื่นเต้นจนหญิงสาวตั้งตัวไม่ทัน “งั้นเจ้าก็เป็นศิษย์น้องของข้าแล้วสิ”
ผ่านไปสิบวันอาการบาดเจ็บของหลี่เฟยหยางดีขึ้นมาก หูซานได้กลายเป็นแพทย์ประจำตัวของเขาไปแล้ว ทุกวันจะต้องมาจับชีพจร สอบถามความคืบหน้าระหว่างรักษาเสมอ ทั้งที่ชายชราไม่มีความจำเป็นต้องมาด้วยตนเอง เนื่องด้วยผู้ป่วยทั้งสองอยู่ในระยะปลอดภัยนานแล้วหลักๆ ที่วนเวียนอยู่อย่างนี้ เพราะต้องการเอาใจ ‘ศิษย์น้อง’ ที่เพิ่มมาอีกหนึ่งคน สร้างความรู้สึกประทับใจ เกาะติดหลี่หลิงเฟิ่งไม่ยอมห่างบอกตามตรง ตอนนั้นหลี่หลิงเฟิ่งเดือดดาลจนไร้คำพูดโต้กลับ นางแสดงเจตจำนงชัดเจนด้วยการปฏิเสธการเป็นศิษย์ของเขา นางไหนเลยจะคิดว่าเฒ่าทารกดันยกลำดับอาวุโสของนางให้สูงขึ้น ยังไม่ทันจะกล่าวอันใด หูซานก็ยกเตาหลอมโอสถให้นางพร้อมกับตำราสมุนไพรหนึ่งร้อยแขนงให้นางไว้ท่องจำทุกเช้าหลังจากตรวจอาการหลี่เฟยหยางและเสี่ยวเฉินเรียบร้อย หูซานจะขลุกอยู่กับนางตลอดช่วงบ่าย บางครั้งยังลากนางไปโรงหมอเพื่อดูอาการคนไข้ เดิมทีหลังจากหลี่เฟยหยางฟื้นขึ้นมา นางคิดจะปฏิเสธหูซานอย่างจริงจัง เมื่อนำไปปรึกษากับชายหนุ่ม กลับเป็นหลี่เฟยหยางโน้มน้าวให้นางรับข้อเสนอนี้ไว้เสียเองหลี่หลิงเฟิ่งจึงผงกศีรษะรับอย่างจำใจ กลายมาเป็นศิษย์น้องของหูซานด้วยประการฉะ
ช่วงนี้แคว้นหลิวอวิ๋นมีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมายเรื่องสนุกปากในโรงเตี๊ยมและตามตรอกซอกซอยมีเพิ่มขึ้นทุกวัน เรื่องเล่าที่เป็นที่กล่าวขานมากสุดคงหนีไม่พ้นเรื่องคู่หมั้นขยะขององค์ชายรองผู้เป็นเลิศในทุกด้าน ได้รับความนิยมจนโรงละครนำมาทำเป็นเรื่องเล่าหลายต่อหลายบท เหตุการณ์สำคัญในเรื่องพูดถึงความอาภัพอับโชคขององค์ชายรอง หน้าตาอัปลักษณ์ของคู่หมั้น รวมไปถึงเสนาบดีหลี่ใช้อำนาจบาตรใหญ่บังคับเหล่าองค์ชายแต่งงานกับหลานสาวอันเป็นที่รัก ฮ่องเต้เห็นแก่คุณงามความดีของเจ้าเมืองหลี่จึงได้ยกองค์ชายรองให้หมั้นหมายกับบุตรสาวตระกูลหลี่ ที่ได้ชื่อว่าตัวไร้ค่าชาวบ้านต่างพากันเห็นใจสงสารองค์ชายรอง สาปแช่งก่นด่าหลี่หลิงเฟิ่งและเจ้าเมืองหลี่เรื่องราวอัปยศอดสูทำเอาเจ้าเมืองหลี่โกรธจนแทบจะกระอักเลือด ขุนนางทั้งหลายพากันประณามเขา ฎีกาหลายฉบับส่งตรงไปหาฮ่องเต้ให้ยุติการหมั้นหมายนี้ลง ตัวเขาเองที่เป็นบิดาก็เห็นด้วยอย่างยิ่ง แต่ไหนเลยจะมีใครคิด ไม่เพียงฮ่องเต้ไม่เอ่ยปากทัดทาน หากแต่ทรงกริ้วเหล่าขุนนางที่ร้องเรียนหน้าท้องพระโรง ออกว่าราชการยังไม่เสร็จก็สะบัดแขนเสื้อจากไปชายวัยกลางคนรู้สึกเหมือนตนเองเป็นคนใบ้ที่กินหว
พลังเช่นนี้...ความรู้สึกกดดันเช่นนี้...ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหลอมรวม ซ้ำยังสูงกว่าเขาอีกหนึ่งขั้น เมื่อครู่ผู้ลอบเล่นงานเขาไม่ใช่สองพี่น้องคู่นั้้น เป็นชายชราผู้นี้แน่นอน เป็นเขาที่กดข่มพลังคนทั้งหมดไว้ เป็นเขาที่บังคับให้ข้าคุกเข่า...หลี่เชาสูดหายใจลึก รู้สึกได้ถึงความตายที่กำลังมาเยือนถึงหน้าประตู“ท่าน...ท่านกับข้า...พวกเราไม่เคยมีเรื่องบาดหมางกันมาก่อน เหตุใดจึงตั้งตนเป็นปรปักษ์ ลอบทำร้ายกันเล่า” ความเงียบปกคลุมทั่วบริเวณ ไม่มีเสียงตอบรับเล็ดลอดออกมา มีเพียงเสียงดังอั่กทีหนึ่ง เลือดสีแดงสดพุ่งกระฉูดเลอะพื้นกระเด็นมาจนถึงจุดที่หลี่หลิงเฟิ่งยืนอยู่พลั่ก พลั่ก พลั่กท่ามกลางการชะงักค้างของทุกคน พลังสีแดงพุ่งไปรอบด้านไม่ขาดสาย เหล่าผู้คุ้มกันเหมือนเป็นง่อยเปลี้ยไร้เรี่ยวแรงตอบโต้ ได้แต่นอนโอดโอยบนพื้นโถงรับรองอันเย็นเฉียบ เพลิงพิโรธของหูซานยังคงไม่มอดดับลงง่ายๆ หันไปเล่นงานหลี่เชาที่นอนพะงาบๆ อยู่บนพื้นไร้เสียงตอบโต้“ช้าก่อน” หลี่หลิงเฟิ่งรีบร้องปรามเมื่อเห็นท่าไม่ดี“ท่านจะฆ่าใครข้าไม่สน แต่อย่าให้คนพวกนี้มาตายในบ้านของข้าเป็นอันขาด” หลูหมิ่นซึ่งเวลานี้ปากชาไปหมดเพิ่งได้สติคืนมา มองทั้งส
เนื่องจากในวังมีการเลื่อนวันเข้าเฝ้า จากกำหนดเดิมคือสิบห้าวันหลังเสร็จพิธีปักปิ่นของนาง ไม่รู้เพราะเหตุอันใดจึงร่นระยะเวลาให้เหลือเพียงสามวันเป็นเหตุให้พวกนางต้องเร่งกลับบ้านทันทีเพื่อเข้าร่วมงานปักปิ่นที่จะจัดขึ้นก่อนกำหนดสิบห้าวัน หากว่ากันตามจริงแล้ว ถ้านางไม่ได้รับความสำคัญในครั้งนี้ขึ้นมา หลี่หลิงเฟิ่งไม่ถูกจัดให้เข้าร่วมและเป็นหนึ่งในตัวเอกของงานแน่นอน ไม่รู้ว่าตอนนี้คนพวกนั้นจะเคียดแค้นใจมากแค่ไหนที่ต้องแบ่งพื้นที่ในจวนแก่น้องห้าอย่างนางได้ใช้สอย“พร้อมหรือยัง”“เจ้าค่ะ”หลี่เฟยหยางลูบหัวนาง “ไม่มีอะไรน่ากลัวหรอก” หลี่หลิงเฟิ่งยิ้มรับ ผงกศีรษะน้อยๆ ก่อนก้าวขึ้นไปนั่งในรถม้าที่จัดเตรียมไว้ใครบอกว่านางกลัวกัน นางเฝ้ารอให้วันนี้มาถึงที่สุดต่างหากด้านนอกมีหลี่เฟยหยางกับหวังซีควบม้าขนาบข้างซ้ายขวา เสี่ยวเฉินคอยกุมบังเหียนขับเคลื่อนรถม้า ส่วนนางผู้ที่สบายสุด กึ่งนั่งกึ่งนอนเอกเขนกอยู่ในรถม้า ฟังเรื่องเล่าขบขันจากสาวใช้ตัวน้อยของคนในเมืองหลี่ไปพลาง มือหยิบขนมที่เสี่ยวเซียงเตรียมไว้เข้าปากไปพลาง ส่วนหูซานกับหวังข่ายนั้นจะติดตามมาทีหลัง จำต้องจัดการลู่ทางโรงหมอที่นั่นสักพักใหญ่ขาดก็
หลี่หลิงเฟิ่งคิดไม่ถึงว่าแค่กลับบ้านจะมีคนมารอรุมทุบตีมากมายขนาดนี้ ยังไม่รวมถึงบ่าวไพร่ที่คุกเข่าอยู่ด้านหลัง และที่แอบอยู่ตามทางเดิน พุ่มไม้ บนเรือนอีกนับสิบยี่สิบคน บรรยากาศคึกคักยิ่งไม่เจอกันไม่กี่ปีคนเหล่านี้ยังคิดว่านางเป็นลูกพลับนิ่มให้ขยำเล่นตามใจชอบเหมือนเมื่อก่อนอยู่อีกสินะ เมื่อมีคนอยากลอง นางจะไม่สนองคืนคงผิดต่อความตั้งใจของคนเบื้องหน้าแล้วนางอยากรู้นักใครจะเข้ามาคนแรกหลายวันที่ผ่านมา หลี่หรูอี้นอนกระสับกระส่ายทุกคืน ใช้ชีวิตอย่างตื่นเต้นวาดหวังรอคอยวันที่หลี่หลิงเฟิ่งกลับมาตั้งแต่เล็กหลี่หลิงเฟิ่งแย่งความงามเป็นเอกกับนางมาตลอด หลี่หรูอี้ไม่อยากยอมรับความจริง เพราะเชื้อโสเภณีชั้นต่ำมันแรงเกินไป ใบหน้างดงามไร้ที่ติจึงประดับอยู่บนหน้านังตัวไร้ค่าทุกเมื่อเชื่อวันผู้คนต่างยกย่องนางเป็นหญิงงามอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลี่ แต่หากคนพวกนั้นได้เห็นความงามของนังตัวขยะนี่ อันดับหนึ่งยังจะมาถึงนางอีกหรือที่นางเกลียดที่สุดคือใบหน้านั้น!ไปอยู่บ้านนอกมาสามปี หลี่หรูอี้คิดไม่ออกเลยว่าผิวพรรณเมื่อโดนแดดจะหยาบกร้านแค่ไหน ผมแห้งไร้น้ำหนักกระเซอะกระเซิง สีผิวหมองคล้ำ อดอยากจนร่างผอมเหมือนกร
เช้าวันนี้เมืองหลี่ครึกครื้นเป็นพิเศษ โรงเตี๊ยมแน่นขนัดไม่มีที่ว่างแม้แต่น้อย บรรดาชนชั้นสูงจากหลายมุมเมืองต่างเดินทางมาร่วมแสดงความยินดีกับคุณหนูทั้งสองของตระกูลหลี่โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลี่หรูอี้ คุณหนูสี่ผู้กำเนิดจากภรรยาเอกของท่านเจ้าเมือง สำหรับหลี่หลิงเฟิ่งพวกเขามีความรู้สึกอันหลากหลาย หลายเดือนก่อนเก้าในสิบส่วนของครอบครัวผู้เข้าร่วมงานเคยยื่นฎีกาเรียกร้องถอดถอนตำแหน่งคู่หมั้น มาวันนี้กลับต้องนำของขวัญมาร่วมแสดงความยินดี บรรยากาศภายในจวนจึงเต็มไปด้วยความแปลกประหลาดในตระกูลใหญ่พิธีปักปิ่นหรือพิธีแสดงความเป็นผู้ใหญ่จัดขึ้นทุกปี เมื่อบุตรีในบ้านอายุครบสิบห้าปีบริบูรณ์ ดังนั้นงานเลี้ยงสกุลหลี่สำหรับแขกเหรื่อที่มาเยือนจึงเป็นเรื่องที่คุ้นเคยกันอยู่แล้ว ไม่ว่าจะมีความสัมพันธ์อันดีกันหรือไม่ ของขวัญที่ควรมอบยังคงต้องมอบออกไป หากบ้านไหนมีความสัมพันธ์อันดีหรือต้องการผูกมิตรกับตระกูลหลี่จะเดินทางมาแสดงความยินดีด้วยตนเอง จากจำนวนที่เข้าร่วมในวันนี้ รากฐานตระกูลหลี่นับว่าไม่ธรรมดา หยั่งรากลึกไม่รู้กี่รุ่นต่อกี่รุ่นไม่เพียงบ่งบอกว่าสตรีสามารถออกเรือนได้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ยังแสดงถึงการผูกพ
โลหิตสดๆ ไหลออกมาจากไหล่ซ้ายของสตรีชุดแดง รอยกรีดลึกเป็นทางยาวประมาณเจ็ดชุ่น* หลี่หลิงเฟิ่งหน้าตาบิดเบี้ยวข่มความเจ็บปวด รับพลังโจมตีทั้งหมดผ่านมือขวา ลำตัวถอยร่นจนสุดขอบเรือน สมกับเป็นสัตว์อสูรหายาก พละกำลังของมันแข็งแกร่งเทียบเท่ากับผู้ฝึกยุทธ์ขั้นกำเนิดใหม่ระดับสูงหลูหวั่นชิง ลืมตาขึ้น มองหลี่หลิงเฟิ่งที่ยืนสู้กับหมูป่าหางทองอย่างตะลึงงัน ลืมความเจ็บปวดจากการโดนพลังยุทธ์ที่กันนางออกมานอนกองอยู่บนพื้น นางหมายจะเข้าไปช่วยหลี่หลิงเฟิ่ง ใครเลยจะคิดว่า...“นาง...นางเป็นพลังยุทธ์” นี่...คำเล่าลือหลายสิบปีเป็นเรื่องหลอกลวงหรือ นางหาใช่ตัวไร้ค่า แต่เป็นผู้มากด้วยพรสวรรค์ต่างหาก!เสียงเซ็งแซ่ดังกระหึ่มทั่วห้องโถง ในที่นี้ไม่มีใครใจคอสงบสักคน เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นเหนือความคาดหมายเกินไปแล้วหมูป่าหางทองคำรามดังขึ้น เจ้าพวกมนุษย์น่าตาย กล้าลอบกัดข้า กระแสไฟฟ้าปลายหางแผ่ลามทั่วทิศ ทั่วทั้งห้องโกลาหลหนีตายกันถ้วนหน้า ห้องโถงที่เคยวิจิตรงดงามพังลงไม่เหลือซาก เสาหลักยึดโครงหลังคาหักลงทีละต้น เวลานี้บริเวณใกล้หลี่หลิงเฟิ่งเหลือเพียงแม่ลูกตระกูลหลู และหลี่เหวินเหยาเท่านั้น ส่วนสองแม่ลูกตัวต้นเรื
เสียงตึงตังบริเวณทางเดินชั้นสองดังสนั่นไปถึงชั้นล่าง จะโทษก็โทษที่หอแพทย์โอสถแห่งนี้วัสดุทำขึ้นจากไม้ บุรุษทั้งสามวิ่งมาหยุดยืนอยู่หน้าประตูบานหนึ่ง หายใจหอบถี่ หวังซีจัดเครื่องแต่งกาย ผมเผ้า และปรับสีหน้าให้สงบนิ่งเหมือนยามปกติ เคาะประตูสองครั้งจากนั้นค่อยๆ ผลักเข้าไปเหยาจี้เห็นท่าทางของหวังซีพลันยิ้มกรุ้มกริ่ม เดินตามหลังเข้าไป มีเพียงถงลี่ยืนเฝ้าสถานการณ์อยู่ด้านนอก ช่างใจจะเข้าไปดีหรือไม่ หลังจากความคิดตีกันในหัวอยู่นาน สุดท้ายตัดสินใจเดินคอตกเข้าไป“ผู้อาวุโสหวัง” เมื่อเห็นชายทั้งสามเดินเข้ามา หนึ่งในนั้นยังมีชายหนุ่มที่ต้องการอยากพบจึงส่งเสียงกระเช้าเย้าแหย่ไปให้ หัวเราะเบาๆ อย่างคนอารมณ์ดีเมื่อได้ยินเสียงหลี่หลิงเฟิ่ง เขาถึงกับขนลุกซู่ มุมปากหวังซีกระตุกครั้งหนึ่ง ยกยิ้มพิลึกพิลั่น พลางเดินเข้าไปหาทั้งสองคนที่นั่งอยู่กลางห้อง“คารวะผู้อาวุโสหวัง” หลี่เจี้ยนลุกขึ้นยืนคำนับ ใคร่นึกสงสัยถึงความสัมพันธ์ของทั้งสองคน ดวงตาคมมองสลับระหว่างหวังซีและหลี่หลิงเฟิ่งไปมาหวังซีพยักหน้าน้อยๆ ตอบกลับหลี่เจี้ยน ทว่า ตัวกลับคำนับหลี่หลิงเฟิ่งแทน ทำเอาทุกคนภายในห้องงุนงงกันถ้วนหน้า “แม่นางหลี่
สวีคุนเริ่มสำรวจภายในห้องโถงอย่างตื่นเต้นโดยมีหลี่หลิงเฟิ่งเดินตามอยู่ด้านหลัง เนื่องจากนางเข้าออกโถงแห่งนี้เป็นประจำ จึงรู้สึกเฉยชาอยู่มาก แต่เมื่อเดินเข้ามายังใจกลางห้อง สีหน้าของนางกลับแปรเปลี่ยนจากปกติโดยสิ้นเชิง หันไปมอบรอบ ๆ อย่างน่าประหลาดใจหลี่หลิงเฟิ่งเริ่มสำรวจอีกรอบ จากที่เคยเป็นโถงไม้ธรรมดา เวลานี้กลับแวววาวระยิบระยับดั่งประสาททอง สะท้อนเข้าสู่ดวงตาจนปวดแสบ“โดยปกติแล้วสำนักของเราก็ไม่ขาดแคลนเงินทอง แต่คิดไม่ถึงเลยว่าผู้ก่อตั้งจะเป็นบุคคลร่ำรวยผู้หนึ่ง ขนาดที่พำนักยังสร้างมาจากทองคำ!” สวีคุนเก็บอาการไม่ไหวอุทานออกมา ท่ามกลางของมีค่ามากมายเรียงรายอยู่ตรงหน้า ทำให้เขาตาลายอย่างช่วยไม่ได้เมื่อมองไปรอบตัวนอกจากจะเห็นทองคำและเพชรนิลจินดาแล้ว บนผนังห้องยังมีรูปภาพของผู้ก่อตั้งแขวนไว้หลายรูป ช่างน่าเหลือเชื่อ หรือคนผู้นี้ชอบชื่นชมรูปโฉมของตัวเอง ท่วงท่าแต่ละภาพออกจะพิสดารอยู่บ้าง แต่ไม่อาจบดบังความงามของนางได้ปัง! ขณะที่ทั้งสองตกอยู่ในภวังค์ความคิด ประตูที่เคยเปิดอยู่กลับปิดกะทันหัน ตัวอักษรสีแดงตัวโตแสดงอยู่บนผนังห้อง‘บทเพลงเพลิงพิรุณลืมเลือนสยบใต้หล้า ’“ที่แท้ก็ไม่ใช่ภาพวา
พระอาทิตย์ลับขอบฟ้าเป็นเวลานานมากแล้ว ภาพยามค่ำคืนควรปรากฏอยู่ในสายตา ทว่าที่แห่งนี้กลับเต็มไปด้วยแสงแดดอ่อนสว่างนวลราวแดดยามเช้า ลมหนาวเย็นยะเยือกถึงกระดูกพัดผ่านตัวนางที่นอนเหยียดแขนขาบนเก้าอี้หวายใต้ต้นท้อเป็นครั้งคราว ด้านข้างของนางเป็นสระหยกเย็นที่อบอวลไปด้วยพลังไอปราณบริสุทธิ์เข้มข้น หากแต่ไอน้ำที่ลอยอยู่เหนือสระเต็มไปด้วยหมอกพิษที่พร้อมคร่าชีวิตของผู้ที่เผลอสูดดมเข้าไปในเสี้ยววินาที หากเหลือบมองไปยังด้านหลังสระจะเห็นว่ายังมีโถงไม้หลังหนึ่งตั้งตระหง่านอยู่ไม่ไกลเดิมทีไม่ควรเรียกว่าโถงด้วยซ้ำ ลักษณะของมันพิเศษอยู่สักหน่อยเพราะมีห้องแยกเรียงกันอยู่สามห้อง คล้ายกับเรือนชั้นเดียวมากกว่า เหมาะกับพักอาศัยอย่างยิ่ง น่าแปลก...ที่แห่งนี้ราวกับอยู่คนละโลก ทิวทัศน์สวยงามเหมือนไม่มีอยู่จริง ใครจะรู้ว่ามันซ่อนอยู่ในพื้นที่สีแดงของสำนักแพทย์โอสถ หลี่หลิงเฟิ่งค้นพบที่นี่โดยบังเอิญหลังจากแอบเข้ามาสำรวจเขตลับด้วยตนเองอยู่หลายครั้งเสียงน้ำกระเพื่อมเบา ๆ ดังลอดเข้ามาในหูขัดขวางความดื่มด่ำกับธรรมชาติของหลี่หลิงเฟิ่ง นางเลิกคิ้วเล็กน้อย ลืมตาขึ้นมาอย่างช้า ๆ หันศีรษะม
พรึ่บ !เปลวเพลิงไม่รู้ที่มาแผดเผาบริเวณโดยรอบโดยที่ทุกคนไม่ทันได้ตั้งตัว แผดเผาทุกสรรพสิ่งที่อยู่เบื้องหน้าให้มอดไหม้“เจ้าฉวยโอกาส” ผู้บุกรุกกัดฟันกรอดด้วยความเคียดแค้น ทว่าเมื่อเทียบกับคนอื่นกลับดูดีกว่ามาก เขาป้องกันการลอบโจมตีของนางครั้งนี้ได้ทัน“ฆ่ากันต้องมีกฎด้วยหรือ ก็แค่เจ้าตาย ข้ารอด” หลี่หลิงเฟิ่งมองไปอย่างเสียดาย นางรึอุตส่าห์เปิดด้วยกระบวนท่าใหญ่ แต่ต้องคว้าน้ำเหลวเสียนี่ แต่ไม่เป็นไร ลองอีกครั้งก็ได้เปิดก่อนได้เปรียบ!“ดูซิว่าเจ้าจะรับมือได้นานแค่ไหน” ไม่รอให้ศัตรูได้ทันหายใจ นางส่งมอบการโจมตีอันหนักหน่วงออกไปให้เขาไม่ขาดสาย ต่อให้รับกระบวนท่าของนางได้ทุกครั้ง แต่ร่างกายคนฝึกยุทธ์ที่ไม่ได้มีระดับสูงมากนักก็มีขีดจำกัดอยู่ดี ซึ่งต่างจากนางที่มีน้ำทิพย์ให้ดื่มฟื้นฟูพละกำลังอยู่ตลอดเวลานางทนได้ แต่คนทั่วไปย่อมแตกต่าง“เหอะ คิดว่าเจ้าทำอย่างนี้แล้วมีความหมายหรือ เป็นข้าที่ประเมินเจ้าสูงเกินไป” เห็นได้ชัดว่าผู้พูดกำลังดูถูก หลี่หลิงเฟิ่งก็ยังไม่สะทกสะท้าน สมควรทำยังไงก็ทำต่อไปผู้บุกรุกขมวดคิ้วเล็กน้อย คล้ายสงสัยถึงบางอย่างที่ผิดปกติ แต่ก็บอกไม่ถูกว่าผิดปกติที่ตรงไหน นิ่งอย
ด้วยความไม่รู้เหนือใต้ออกตก ทุกคนได้ย่างเข้ามาในพื้นที่อันตรายที่สุดในเขตหวงห้ามเสียแล้ว รวมทั้งหลี่หลิงเฟิ่งเองด้วย หญิงสาวพบว่าบรรยากาศโดยรอบเงียบสงัด แม้แต่เสียงใบไม้กระทบกับลมก็ยังไม่มีให้ได้ยิน ราวกับไร้จุดหมาย ดูเหมือนว่านางเพียงแค่เดินเตร็ดเตร่มาหลายเค่อเท่านั้น หากแต่หลี่หลิงเฟิ่งระวังตัวมากขึ้นเนื่องจากพื้นที่ที่เคยมีหมอกหนา ต้นไม้ใบหญ้าเขียวชอุ่ม กลายเป็นพื้นที่แห้งแล้ง ผืนดินแตกแขนง ร้อนระอุจากการแผดเผาของดวงอาทิตย์ ราวกับอยู่คนละโลกกับเมื่อสักครู่โดยสิ้นเชิงทางนั้น!เสียงของถิงถิงดังขึ้นจากในหัวของนาง หลี่หลิงเฟิ่งเดินตามทางที่ถิงถิงบอก สุดท้ายหยุดยืนใต้ต้นไม้ต้นหนึ่งใกล้บึงน้ำขนาดเล็กที่แห้งขอดไปแล้ว น่าแปลกที่ต้นไม้ต้นนี้เป็นเพียงต้นเดียวที่ยังคงแตกกิ่งก้าน อยู่รอดท่ามกลางบรรดาต้นอื่นที่หลือเพียงซากและใบไม้แห้งกรอบราวกับต้นไม้มีชีวิตหรี่ หรี่เสียงปริศนาดังขึ้น ครั้งนี้เสียงของมันชัดเจนกว่าครั้งไหน ๆ ใกล้จนหลี่หลิงเฟิ่งหวาดระแวง ประเดี๋ยวมองซ้าย ประเดี๋ยวมองขวา กลับไม่พบสิ่งผิดปกติ เสียงนั้นยังคงดังต่อเนื่อง จิตสังหารรอบตัวของหลี่หลิงเฟิ่งแผ่ขยายออกอย่างรวดเร็ว แสงสีข
“อะ…อาจารย์อา ขออภัยที่ล่วงเกินเพียงแต่ข้าขอทราบชื่อของท่านได้หรือไม่ขอรับ” โจวอวี๋ถามขึ้นมาอีกครั้ง นางยังเด็กยิ่งนักเป็นไปได้หรือไม่ว่าอาจจะแปลงรูปโฉมให้คงความเยาว์วัยไว้เสมอ บางทีหากได้รู้จักชื่อเสียงเรียงนามของนาง เขาน่าจะรู้จัก คนมีความสามารถระดับนี้ เขาจะพลาดได้อย่างไร“ข้ามีนามว่าหลี่หลิงเฟิ่ง” หญิงสาวตอบเสียงเรียบ ยามนี้นางกำลังเพ่งจิตเข้าไปสำรวจด้านในเขตหวงห้าม จึงไม่ได้สังเกตท่าทางตกใจของคนที่อยู่ในนี้ทั้งหมด ทันทีที่นางพูดจบพลังจิตขอนางจับสิ่งผิดปกติอันใดไม่ได้เลย จนกระทั่งสำรวจเข้าไปในส่วนลึกของเขตหวงห้ามนางถึงค้นพบควันสีดำขุมหนึ่ง หลี่หลิงเฟิ่งเข้าไปใกล้ขึ้นเรื่อย ๆ แต่ว่าเหมือนมีอะไรมาขวางกั้นนางเอาไว้ทำให้ไม่สามารถมองเห็นสิ่งที่อยู่ข้างในได้ ซ้ำร้ายยังถูกผลักออกมาหลี่หลิงเฟิ่งหลุบตาลงครุ่นคิดอยู่คนเดียวเป็นเวลานาน เมื่อนางเงยหน้าขึ้นมาก็พบว่าทุกคนกำลังมองมาที่นางเป็นตาเดียว“ไม่จริงน่า จะเป็นเจ้าไปได้อย่างไร” เหลียนฉู่ฉู่เอ่ยออกมาเป็นคนแรก อย่างไม่เชื่อสายตา“ข้าคาดเดาตั้งแต่แรกแล้วว่าเจ้าคือหลี่หลิงเฟิ่ง คู่หมั้นขององค์ชายรองโม่ เพียงแต่รู้สึกแปลกใจ ทำไมแม่นางหลี่ถึง
เจ้านาย ทางนี้!เสียงนี้อีกแล้ว เรียกหาตั้งแต่นางเดินเข้ามาในอุโมงค์นี้เสียงก็ดังก้องในหูนางไม่ต่ำกว่าห้าครั้ง นางเดินออกมาห่างไกลจากคนในกลุ่มเรื่อย ๆ สมบัติตรงนี้น้อยกว่าที่อื่นมาก ชั้นวางสมบัติเป็นเพียงหินที่ทำเป็นชั้น ๆ เรียงกันขึ้นมาเท่านั้น แตกต่างจากก่อนหน้าที่ทำขึ้นด้วยทองคำและหยก คนเข้าละโมบและลุ่มหลงได้ง่ายหลี่หลิงเฟิ่งหยิบเศษผ้าขาวที่เขรอะไปด้วยฝุ่นที่อยู่ท่ามกลางบรรดาสมบัติชิ้นอื่นขึ้นมา นางพินิจถึงความพิเศษที่ควรจะมี ทว่ากลับเป็นเพียงผ้าธรรมดาเท่านั้น นางตัดสินใจวางลงที่เดิม เพียงแต่มือของนางกลับหนักอึ้งอย่างไม่ทราบสาเหตุ เมื่อนางหยิบขึ้นมาอีกรอบความรู้สึกหนักอึ้งที่มือกลับหายไปฟุบ!“อ๊ะ” ลมที่ไม่รู้มาจากที่ใดปะทะเข้ากับหน้าของนางอย่างจัง เศษผ้าปลิวมาติดที่ตาทั้งสองข้างปิดกั้นการมองเห็นไปชั่วขณะ จากนั้นก็ผสานเข้ากับนางเป็นหนึ่งเดียว หลี่หลิงเฟิ่งตกใจไม่น้อยเมื่อรู้สึกตัว แค่เพียงแวบเดียวเท่านั้น ผ้าผืนนั้นก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย นางมองซ้ายขวาอย่างร้อนรนอยู่บ้าง นางรีบปรับตัวให้เป็นปกติ ด้วยกลัวคนทั้งหมดในนี้จะเห็นการกระทำอันแปลกประหลาดนี้ของนางหญิงสาวลองทดสอบพลังยุทธ์และ
“อ่ะแฮ่ม...ไม่ว่าการประลองครั้งไหนก็ตัดสินที่ความสามารถเสมอ สำนักแพทย์โอสถเรายังไม่ถึงต้องให้ผู้อื่นมาตัดสินแทนหรอก” ผู้คนโดยรอบไม่มีใครกล้าส่งเสียงสักคน หรงอู่ซาบซึ้งใจน้ำตาแทบไหล เวลานี้เทิดทูนหลี่หลิงเฟิ่งยิ่งกว่าเจ้าสำนักเสียอีก ตั้งแต่นั้นมารอยยิ้มบนใบหน้าหุบไม่ลงอีกต่อไปครบหนึ่งชั่วยาม ผู้ชนะผ่านเกณฑ์ตัดสินมีเพียงห้าคนเท่านั้น เมื่อเป็นเช่นนั้นรองเจ้าสำนักจึงใจดีเปิดเขตลับให้คนทั้งห้าเสียเลย ทั้งหมดมุ่งไปยังเขตลับที่อยู่ในส่วนลึกสุดของสำนักแพทย์โอสถ โดยมีรองเจ้าสำนักและหลี่หลิงเฟิ่งเป็นผู้นำในครั้งนี้“พวกเจ้าทุกคนสามารถเลือกสิ่งของที่อยู่ในเขตลับได้หนึ่งอย่าง และห้ามเข้าไปในเขตหวงห้ามเด็ดขาด บอกไว้ก่อนหากฝ่าฝืนข้าไม่รับรองความปลอดภัยของใครทั้งนั้น เพราะฉะนั้นอย่าริอ่านทำผิดกฎ” รองเจ้าสำนักกล่าวเสียงแข็ง จากนั้นเปิดเขตลับให้ทั้งหมดเข้าไปอย่างเปิดเผย“มีอะไรซ่อนอยู่ที่นี่งั้นหรือ” หลี่หลิงเฟิ่งรู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากล นางรู้สึกกลาย ๆ เหมือนว่าไม่ได้มีแค่พวกนางเท่านั้นที่อยู่ในนี้ จึงถามออกไปด้วยความสงสัยใคร่รู้“เรื่องนี้…” หรงอู่อึกอัก หน้าตาเหยเก “ข้าก็ไม่รู้แน่ชัด ว่ากันว่าท
หลายวันมานี้หลี่หลิงเฟิ่งอยู่อย่างสงบสุขเสมอมา นอกจากรักษาเจ้าสำนักทุกเช้า นางใช้เวลาทั้งวันไปกับฝึกหลอมโอสถที่ห้องหลอมโอสถ ใช้สมุนไพรของสำนักแพทย์โอสถราวกับน้ำ เรียกได้ว่าละลายทรัพย์ของแท้ เหตุเพราะเกิดกระทบกระทั่งกันวันนั้นจึงไม่มีใครกล้าออกมาตำหนิ กลับกันทุกคนคอยเอาใจนางทุกอย่าง วันนี้ก็เช่นกัน หลังจากกลับมาจากรักษาเจ้าสำนัก นางก็ตรงไปที่ห้องหลอมโอสถ หยิบเตาหลอมออกมาจากกำไลสำริดอย่างคล่องแคล่วส่วนที่ว่านางได้ของพวกนี้มาได้ยังไงน่ะหรือ ต้องเท้าความไปเมื่อไม่กี่วันก่อน ศิษย์พี่รองมาหานางที่ที่พำนัก กล่าวขอโทษที่สบประมาทนางวันนั้น พร้อมทั้งอยากให้นางยกโทษให้ หลี่หลิงเฟิ่งรู้ตัวว่านางนั้นเป็นคนดี ไม่ถือสาความเรื่องเล็กน้อยกับคนกันเองอยู่แล้วเพียงแค่ศิษย์พี่รองมอบของปลอบใจให้นาง นางอายุน้อยต้องเคารพผู้ใหญ่ย่อมไม่เรียกร้องมากมายอันใด ถึงแม้ศิษย์พี่รองจะดูเสียดายไปบ้าง ยามยื่นให้รู้สึกถึงความมือไม้สั่นเล็กน้อย ทว่าจนแล้วจนรอดกำไลสำริดและเตาหลอมโอสถชั้นเลิศก็อยู่ในมือนางอยู่ดีหลี่หลิงเฟิ่งพลันรู้สึกว่าการมีศิษย์พี่ก็ไม่ได้แย่อันใดแต่มีบ้างบางครั้งที่รู้สึกเปล่าเปลี่ยว โม่จื่อหลิงขอแยกต
ภายในห้องพำนักเจ้าสำนักแพทย์โอสถปรากฏหูซานและชายชราอีกสองคน รวมทั้งลูกศิษย์บางคน ทำหน้าเคร่งเครียด ใบหน้าอ่อนล้าเพราะอดนอนมาหลายวัน บนเตียงไม้สลักมีร่างผ่ายผอมดำคล้ำของชายชราผู้หนึ่ง นอนสลบไสลราวกับคนใกล้หมดสิ้นอายุขัย “ศิษย์น้องสี่ เป็นอย่างไรบ้าง เจ้าพอมีทางช่วยศิษย์พี่ใหญ่บ้างหรือไม่”“ข้าเองก็อับจนหนทางเหมือนกัน ยาขวดนั้นเพียงแค่ยื้อลมหายใจศิษย์พี่ใหญ่เท่านั้น ต่อให้เป็นท่านเทพมาตอนนี้ก็ไม่แน่ว่าจะช่วยได้ พิษลุกลามไปทั่วร่างกายศิษย์พี่ใหญ่ตั้งนานแล้ว” หูซานส่ายหน้า สองตาแดงก่ำไม่อาจทำใจได้ หลายวันมานี้พวกเขาค้นคว้าหายาถอนพิษ ทว่าก็ล้มเหลวจนกระทั่งหวังซีมาพร้อมยาขวดหนึ่ง พวกเขาถึงได้มีความหวังขึ้นมา เพียงแต่ดีใจได้ไม่กี่วัน ไม่รู้เพราะสาเหตุใดอาการของศิษย์พี่ใหญ่ถึงทรุดลงอย่างรวดเร็ว แม้แต่เขาที่เป็นอัจฉริยะแห่งยุคก็ไม่อาจหาต้นตอของอาการเหล่านี้ได้ หูซานพบว่าไม่มีหนทางที่ศิษย์พี่ใหญ่จะรอดแล้วเสียงเคาะประตูดังขึ้นจากด้านนอกหวังข่ายที่สภาพก็ไม่ได้ดีไปกว่าคนอื่น ๆ ในห้อง เดินออกมาเปิดประตู พอเห็นว่าเป็นรองเจ้าสำนักเขาก็เบี่ยงตัวหลบอย่างเคยชิน แต่เมื่อรู้สึกว่ามีคนเดินตามหลังรองเจ้า