บรรยากาศเงียบสงัดแพร่กระจายไปทั่วห้อง หลี่หลิงเฟิ่งหายใจสะดุด ดวงตาเรียวสวยไม่ได้เลื่อนออกจากใบหน้าของบุรุษผู้นั้นเลย เช่นเดียวกับดวงตาคมกริบกวาดมองนางเงียบๆ
เนิ่นนาน ไร้ซึ่งคำพูด และไม่ขยับ
คล้ายเวลาล่วงเลยไปหลายสิบปี เสียงสูดลมหายใจอย่างหนักหน่วงดังขึ้นทำลายความเงียบงันที่น่ากระอักกระอ่วนนี้ สุดท้ายแล้วยังคงเป็นหลี่หลิงเฟิ่งที่ทนไม่ไหว ใคร่สงสัยตัวตนบุรุษรูปงามท่านนี้ ริมฝีปากเม้มแน่น อยากพูดบางอย่างแต่กลับพูดอะไรไม่ออก มือของเขายังคงลูบผมนางอยู่อย่างนั้น คล้ายปลอบประโลมนางอยู่ทุกวินาที
“ข้า...ข้าอยากกินองุ่น” หลี่หลิงเฟิ่งชะงักค้างอย่างทำอะไรไม่ถูก หน้าขึ้นริ้วแดงๆ ด้วยความอับอาย นี่นางพูดอะไรออกไป
อยากกินองุ่น? องุ่นเนี่ยนะ เพ้ย!
หลี่หลิงเฟิ่งขยับตัวหลบฝ่ามือใหญ่ หลุบตาต่ำ ไม่กล้ามองหน้าเขาอีกต่อไป ในใจสบถด่าตนเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทำตัวเป็นหญิงสาววัยแรกรุ่นไปได้
“เสี่ยวเซียง” บุรุษชุดขาวยิ้มพลางส่งเสียงเรียกเสี่ยวเซียง “เจ้าค่ะ คุณชายใหญ่” หลี่หลิงเฟิ่งมองเสี่ยวเซียงผลักประตูเข้ามา เดินก้มหน้ามาคุกเข่าตรงปลายเตียง ก่อนจะเงยหน้าจ้องมองผู้เป็นนายด้วยน้ำตาที่เอ่อล้นนัยน์ตา
คุณชายใหญ่ หลี่เฟยหยาง? พี่ชายของเจ้าของร่างเดิม นี่...นางมีพี่ชายหล่อขนาดนี้เลยงั้นหรือ ส่วนลึกอดที่จะเศร้าใจไม่ได้ น่าเสียดาย...
“คุณหนูเจ้าขา ท่านทำให้ข้าตกใจแทบแย่ ข้านึกว่าท่านจะทิ้งข้าไปอีกแล้ว” เสี่ยวเซียงพยายามกลั้นสะอื้น รอยยิ้มน่ารักประดับเต็มใบหน้า
“ตั้งสำรับให้คุณหนูของเจ้าได้แล้ว นางไม่ได้ทานอะไรมาก็หลายวัน ต้องทำอาหารย่อยง่ายถึงจะดีต่อกระเพาะ เข้าใจหรือไม่” หลี่เฟยหยางเห็นคนบนเตียงยังคงก้มหน้าก็เข้าใจว่านางยังไม่ฟื้นตัวดี จึงหันไปเอ่ยปากไล่เสี่ยวเซียงเสียงเรียบ
“เจ้าค่ะ” สาวใช้มองคุณหนูอีกรอบหนึ่ง
ก่อนจะลุกออกไป มีคุณชายใหญ่อยู่ นางก็โล่งใจ
“ระยะนี้เจ้ากินอาหารอ่อนๆ ไปก่อน เอาไว้ร่างกายแข็งแรงเมื่อไหร่ค่อยกลับมากินเหมือนเดิม” หลี่หลิงเฟิ่งได้สติขึ้นมา เมื่อสัมผัสถึงความอบอุ่นบนศีรษะอีกครั้ง
“…” นางเงยหน้าขึ้น พยักหน้าอย่างเลื่อนลอย
“ที่นี่เป็นเมืองเล็กๆ ทั้งยังทุรกันดาร เจ้าคงลำบากมากสินะ” มือใหญ่ยังคงลูบไล้ผมดำขลับลื่นมือของนางอย่างแผ่วเบา มือหนาชะงักครู่หนึ่ง หลี่เฟยหยางเหมือนคิดอะไรได้ เอ่ยปากถามเสียงเบา
“แถวนี้ไม่มีองุ่น เอาไว้กลับถึงจวนพี่ค่อยหามาให้เจ้าทาน ดีหรือไม่” มุมปากหลี่หลิงเฟิ่งกระตุก นางพูดอะไรไม่ออกอีกต่อไปแล้ว รอยยิ้มน้อยๆ ที่แต้มอยู่มุมปากพลันแข็งค้าง
ความจริงแล้วนางไม่ชอบกินองุ่น ถึงขั้นเหม็นกลิ่นมันด้วยซ้ำ แต่ไม่รู้เพราะอะไรถึงได้พูดออกไปอย่างนั้น บางทีอาจเป็นเพราะความฝันก่อนหน้านี้เป็นแน่ นี่นางถึงขั้นเลียนแบบคนอื่นเลยหรือ
“ท่านมาได้อย่างไร” หลี่หลิงเฟิ่งไม่อยากจะเอ่ยถึงเรื่องนี้อีก เอ่ยถามหลี่เฟยหยางอย่างสงสัยใคร่รู้
“อู๋เหยียนส่งข่าวไปบอกพี่ว่าเจ้าบาดเจ็บ ข้าไม่วางใจจึงตัดสินใจมารับเจ้ากลับด้วยตัวเอง” ระยะทางจากจวนมาที่นี่เร็วเพียงนี้เลยหรือ หลี่หลิงเฟิ่งขมวดคิ้วมุ่น
“ข้าหลับไปนานมากหรือ”
“ราวๆ เจ็ดวัน เฟิ่งเอ๋อร์ ไยเจ้าจึงไม่รักษาตัวเองให้ดี เข้าไปในป่านั้นทำไม” คิ้วกระบี่ขมวดเล็กน้อย มองหลี่หลิงเฟิ่งราวกับต้องการไล่เรียงเอาคำตอบ
ไม่รู้เพราะเหตุใด เมื่อถูกจ้องมาอย่างนี้นางถึงรู้สึกหนาวๆ ร้อนๆ ขึ้นมา เหมือนเวลาที่ทำผิดแล้วถูกผู้ปกครองจับได้ก็ไม่ปาน อาจเป็นเพราะปฏิกิริยาของเจ้าของร่างเดิมที่มีต่อพี่ชายของนางกระมัง
“ข้าแค่อยากเข้าไปเก็บสมุนไพร แต่กลับโชคร้าย ข้าไม่คิดว่าจะไปเจอเข้ากับยอดฝีมือและสัตว์อสูรได้” นางตอบออกไปอย่างไม่ปิดบัง อย่างไรคนผู้นี้ก็ย่อมรู้ว่านางรู้เรื่องสมุนไพร หรืออาจคาดเดาได้ว่านางรู้วิชาแพทย์ เพียงแต่นางไม่ได้บอกไปทั้งหมด ไม่รู้ว่าพี่ชายท่านนี้ไว้ใจได้มากแค่ไหน นางไม่มีความทรงจำของร่างเดิม โลกนี้มันโหด ความเชื่อใจเป็นสิ่งที่น่ากลัว นางไม่อาจแบกรับความผิดหวังที่จะตามมาได้หรอก
นางสามารถไว้ใจคนอื่นได้ แต่สำหรับความเชื่อใจ นางเชื่อใจแค่ตัวเองเท่านั้น!
“เจ้ารู้ใช่มั้ย เมื่อกลับไปเจ้าต้องเตรียมตัวเข้าสำนักศึกษาหลวง หากแต่ผู้ที่เข้าสำนักศึกษาหลวงได้ต้องเป็นผู้มีพลังยุทธ์” หลี่เฟยหยางถอนหายใจอย่างกลัดกลุ้ม “หลายวันที่ผ่านมาข้ากลัดกลุ้มมาโดยตลอด แต่พอรู้ว่าเจ้ามีความรู้เรื่องสมุนไพรอยู่บ้าง เรื่องนี้ก็ยังนับว่าพอมีทางออก”
“ในอาณาจักรหลิวเฟิง แต่ละแคว้นจะมีสำนักศึกษาหลวงของตนเอง ซึ่งจะรวบรวมผู้มีพลังยุทธ์เข้ามาศึกษา แต่หอเทพโอสถนั้นแตกต่างกัน หอเทพโอสถไม่ได้เป็นของแคว้นใดแคว้นหนึ่ง แยกตัวเป็นเอกเทศรวบรวมเหล่าผู้มีความสามารถในด้านหลอมยาลูกกลอนและรักษาโรค ซึ่งทุกๆ ปีจะมีการจัดสอบรับศิษย์ที่มีพรสวรรค์เข้าไปเป็นศิษย์ แต่น่าเสียดายที่การคัดเลือกผ่านไปแล้ว”
หลี่เฟยหยางนิ่งไปชั่วขณะ จึงเอ่ยต่อ “ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีโอกาสซะทีเดียว ข้าพอรู้จักผู้อาวุโสในหอเทพโอสถ พี่แนะนำให้เจ้าได้ ส่วนจะสำเร็จหรือไม่นั้นต้องขึ้นอยู่ที่ตัวเจ้าเอง”
ตอนนี้เขายังไม่แข็งแกร่งพอ มือที่เขาจะยื่นออกไปช่วยนางจึงทำได้แค่นี้
แววตาของหลี่หลิงเฟิ่งไหววูบ “เหตุใดพวกเขาถึงอยากให้ข้าเข้าสำนักศึกษาหลวง ทั้งที่รู้กันไปทั่วว่าข้าไม่มีพลังยุทธ์”
หลี่เฟยหยางหลุบตาลง สักพักก่อนเอ่ย “ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เจ้ายังมีข้าอยู่”
พริบตาเดียว ภายในห้องตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง บรรยากาศชวนอึดอัดยิ่งนัก
“แค่กแค่ก...” หลี่หลิงเฟิ่งไอเสียงต่ำ ยกชายแขนเสื้อปิดบังสีหน้าของตนไว้ เวลานี้นางควรพูดอะไรเพื่อทำลายบรรยากาศแปลกประหลาดนี้ดี
ยังไม่ทันที่นางจะพูดอะไรออกมา หลี่เฟยหยางก็ประคองนางนั่งพิงหัวเตียง ก่อนจะลุกขึ้นยืน เดินออกไปนอกห้อง ปล่อยให้นางงงงวยอยู่คนเดียว
หนึ่งชั่วยามต่อมา ภายในห้องตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง หนึ่งสตรีทานอาหารอยู่ข้างเตียง หนึ่งบุรุษนั่งอยู่บนเก้าอี้นวมมือถือหนังสืออ่านอย่างเงียบๆ นอกจากเสียงช้อนกระทบถ้วยชามกับเสียงพลิกหน้ากระดาษเป็นครั้งคราวแล้วก็ไม่มีสิ่งใดอีก ที่แท้แล้วชายหนุ่มแค่เดินออกไปหยิบตำราแพทย์เบื้องต้นมาให้นางศึกษา หลังจากนั้นปักหลักนั่งเฝ้านางไม่ยอมไปไหน
หลี่หลิงเฟิ่งพลันพบว่า การมีคนหน้าตาดีมาอยู่ด้วยในขณะที่นางกำลังกินข้าวอยู่นั้น ไม่ได้ทำให้นางเจริญอาหารขึ้นมาเลยสักนิด
“ท่านจะทำอย่างไรกับโจรพวกนั้น” สุดท้ายก็ยังคงเป็นนางที่ทนไม่ไหว วางช้อนตักโจ๊กลง เอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ
“เจ้าอยากให้จัดการอย่างไร” หลี่เฟยหยางวางหนังสือลง หันหน้ามามองนาง
หลี่หลิงเฟิ่งยักไหล่ “ข้าแค่อยากรู้ว่าคนพวกนั้นเป็นใคร” ข้าจะได้คิดบัญชีถูกคน หากแต่ประโยคหลังนางไม่ได้พูดออกไป หลี่หลิงเฟิ่งขมวดคิ้วหนัก ยอดฝีมือสองคนนั้นยังไม่เท่าไหร่ แต่ไอ้บ้าหน้าตายที่หนีไปได้นั่น นางไม่รู้จะไปตามหาที่ไหน หลี่หลิงเฟิ่งถอนหายใจ เอาเถิด ตราบใดที่ยังมีชีวิต คงได้พบกันสักวัน
“อีกอย่าง ข้าไม่เคยใจอ่อนกับศัตรู” หลี่หลิงเฟิ่งเลิกคิ้วขึ้นอย่างยียวน นางอยากจะรู้ยิ่งนัก บุรุษผู้นี้จะกล้าสังหารคนทิ้งหรือไม่ จากที่นางทบทวนมาหลายชั่วยาม เป็นไปไม่ได้ที่ยอดฝีมือสองคนนั้นจะไม่มีคนบงการอยู่เบื้องหลัง บุรุษผู้นั้นที่ถูกตามล่าคงจะไม่ธรรมดาเช่นกัน
นางเดาออก มีหรือพี่ชายใหญ่ของนางจะไม่รู้ หลี่หลิงเฟิ่งมองปฏิกิริยาอีกคนในห้องไม่วางตา นางอยากรู้ ชายผู้นี้หวังดีจริงๆ หรือมีจุดประสงค์อื่น
เห็นหญิงสาวจ้องตาไม่กะพริบ “เจ้าเปลี่ยนไปมาก ตลอดสามปีที่ผ่านมาคงไม่ง่ายเลยสินะ” รอยยิ้มน้อยๆ ที่นานทีจะพบเห็นปรากฏขึ้นบนใบหน้า “แต่พี่ก็ชอบเจ้าที่เป็นแบบนี้”
“ข้าจะถือว่าเป็นคำชมแล้วกัน
” นางไม่รู้หรอกว่าหลี่หลิงเฟิ่งคนเดิมเป็นอย่างไร แต่นางไม่คิดว่าหลี่หลิงเฟิ่งคนใหม่จะเป็นคนดีในสายตาคนอื่นหรอก
“ผู้ฝึกพลังยุทธ์ขั้นพิภพในแผ่นดินนี้ไม่นับว่าหายาก แต่ปรากฏตัวที่เมืองขอบชายแดนนับว่าผิดปกติโดยแท้ ซ้ำยังต้องการสังหารเจ้าที่เป็นว่าที่พระชายาขององค์ชายรอง บางทีอาจเกี่ยวข้องกับคนในราชสำนัก” ดวงตารัติกาลจ้องหลี่หลิงเฟิ่งเขม็ง น้ำเสียงที่เอ่ยออกมาเข้มขึ้นหลายส่วน อยู่ๆ นางก็รู้สึกหนาวขึ้นมา อดที่จะยกมือลูบแขนตนเองเบาๆ ไม่ได้
“อันที่จริงนอกจากสองคนนั้นยังมีบุรุษอีกคนหนึ่ง” หลี่หลิงเฟิ่งเม้มปากก่อนจะเอ่ยต่อ “วันนั้นข้ากับเสี่ยวเฉินเข้าไปเก็บสมุนไพรตามปกติเหมือนทุกวัน บังเอิญเจอคนผู้นั้นถูกไล่ล่าอยู่โดยไม่ตั้งใจ ข้าตกใจมากจึงรีบหาที่ซ่อนตัว แต่สุดท้ายก็ถูกพบเข้าจนได้ ต่อมาเป็นอย่างไรท่านคงจะรู้จากปากอู๋เหยียนแล้ว” หลี่หลิงเฟิ่งกำลังพนัน บุรุษตรงหน้าคนนี้ควรค่าแก่การไว้ใจหรือไม่
“แล้วตอนนี้อยู่ที่ไหน” คิ้วของชายหนุ่มขมวดแน่น เรื่องชักจะยุ่งยากมากกว่าที่เขาคิดซะแล้ว
“ข้าเองก็ไม่รู้ ใบหน้าของเขาชุ่มไปด้วยเลือด ข้ามองอย่างไรก็ไม่ชัดเจน หลังจากขึ้นมาจากน้ำ คนผู้นั้นก็หายไปแล้ว” หลี่หลิงเฟิ่งหงุดหงิด น้ำเสียงที่เอ่ยออกมาเจือความไม่สบอารมณ์อยู่เล็กน้อย “แต่คงไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป เสื้อผ้าที่สวมใส่ดูมีราคาสูง ชาวบ้านทั่วไปไม่มีทางที่จะหามาใส่ได้แน่ เป็นไปได้หรือไม่ว่าจะเป็นคนในราชสำนัก”
“หากเป็นอย่างนั้นจริง เกรงว่าสองคนนั้นคงไม่ยอมปริปาก” ดวงตาคมประกายเย็นเยียบ “แต่ไม่ว่ามันจะเป็นใคร พี่ไม่ปล่อยมันไว้แน่”
หลี่หลิงเฟิ่งแสยะยิ้มมุมปาก ใครสนใจกันเล่า สืบไม่ได้ก็ช่างปะไร ถ้าราชสำนักเป็นศัตรูกับข้าจริง ข้าก็จะทำลายให้สิ้นซาก!
“อย่ากังวลไปเลย ต่อให้พี่ต้องเป็นศัตรูกับคนทั้งโลก พี่ก็ยืนอยู่ข้างเจ้า” อยู่ๆ น้ำเสียงหนักแน่นของชายหนุ่มก็ดังขึ้นคล้ายดั่งคำมั่นสัญญา
หลี่หลิงเฟิ่งยิ้ม หากแต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา
ค่ำคืนมืดมิดไม่เห็นเดือน ความเงียบสงัดยามราตรีกาล ทุกคนบนเรือนทรุดโทรมซอมซ่อนอนหลับสนิท อาจเป็นเพราะฝนตกหนัก อากาศคืนนี้เย็นสบายเป็นพิเศษ แต่ไม่รู้ด้วยเหตุใดหลี่หลิงเฟิ่งถึงนอนไม่หลับ
หลี่หลิงเฟิ่งเดินออกไปนอกระเบียง เหม่อมองเม็ดฝนโปรยปรายยามค่ำคืน ทว่า เสียงตกแตกของเครื่องเรือนปลุกให้นางตื่นตัว พลังจิตแผ่ออกไปสำรวจโดยไม่ลังเล
“มีคนร้าย มีคนร้าย” แว่วเสียงตื่นตระหนกดังผสมกับเสียงห่าฝนที่เทกระหน่ำลงมา หลี่หลิงเฟิ่งชะงักครู่หนึ่ง สุดท้ายตัดสินใจหยิบเสื้อคลุมตัวนอกมาสวม เดินออกไปหน้าเรือน
“คุณหนู อย่าออกไปเลย อันตรายขอรับ” เสี่ยวเฉินที่นอนเฝ้าอยู่ข้างนอก เห็นหลี่หลิงเฟิ่งเดินออกมาก็ตกใจ วิ่งเข้ามาขวางไว้
หลี่หลิงเฟิ่งนิ่วหน้า “เจ้าตามข้าออกไปดูหน่อย ข้ากลัวว่าคนของพี่ใหญ่จะสู้ไม่ได้” เสี่ยวเฉินรับคำ มองสีหน้าวิตกกังวลของนาง ไม่กล้าถามหลี่หลิงเฟิ่งให้มากความ
หลี่หลิงเฟิ่งคาดไว้ไม่ผิด มีพลังหลายสิบขุมอยู่หน้าเรือน ด้วยความสามารถที่มีจำกัด นางจำกัดขั้นพลังของผู้บุกรุกเหล่านี้ไม่ได้ มีมือสังหารชุดดำบุกรุกเข้ามาได้อย่างไร บ่าวรับใช้ที่เฝ้าประตูสองคนถูกฆ่าตายไปนานแล้ว มือสังหารพวกนั้นกำลังต่อสู้อยู่กับคนของพี่ชายใหญ่ นักฆ่ามีมากเกินไป ฝ่ายพวกนางกำลังเสียเปรียบ
อู๋เหยียนถือกระบี่ตัวเปียกโชก เสื้อผ้าตามร่างกายขาดวิ่น แยกไม่ออกว่าเป็นสายฝนหรือเลือดที่ไหลออกมากันแน่ หลี่หลิงเฟิ่งมองผ่านด้านหลังอู๋เหยียนก็พบหลี่เฟยหยางที่สภาพไม่ได้ดีไปกว่ากัน แขนขวาได้รับบาดเจ็บ ได้แต่อาศัยมือซ้ายกวัดแกว่งกระบี่ต้านทานการโจมตีเอาไว้
“พวกเราไม่มีเรื่องบาดหมางกับใครมาก่อน บอกมาใครส่งพวกเจ้ามา” หลี่หลิงเฟิ่งกลอกตามองอู๋เหยียน เจ้าลูกเต่าเอาเท้าคิดหรือ เห็นอยู่ว่าพวกนี้เป็นนักฆ่าเดนตาย มีหรือจะฟังคำพูดไร้สาระพวกนี้ ไม่ทันขาดคำมือสังหารกรูกันเข้าไปล้อมโดยไม่สนใจสักนิด
“นายท่าน ท่านถอยออกไปก่อน” อู๋เหยียนแทงมือสังหารที่พุ่งเข้ามารายหนึ่ง น้ำเสียงเหนื่อยหอบ สีหน้าเคร่งเครียด เห็นทีพวกเขาคงต้องจบชีวิตลงคืนนี้เป็นแน่
เห็นได้ชัดว่ามือสังหารเหล่านี้เป็นมืออาชีพ ลงมือโหดเหี้ยม ผู้บงการต้องการจะฆ่าพวกเขาทั้งหมด
หลี่เฟยหยางยืนดูเหตุการณ์ตรงหน้าคล้ายไม่ใส่ใจ สีหน้าเย็นชาในยามปกติเผยออกมา ไม่มีใครสามารถล่วงรู้ความคิดของเขา คนพวกนี้ไม่ได้มีความแค้นกับเขา มีความเป็นไปได้ว่าต้องการช่วยคนหรืออาจฆ่าคนปิดปาก
ลำแสงสีฟ้าเย็นยะเยือกพุ่งออกจากฝ่ามือหนา กระบี่ที่กุมไว้เกาะไปด้วยเกล็ดน้ำแข็ง พุ่งตรงเข้าปลิดชีพนักฆ่ารายหนึ่งที่อยู่ไม่ไกล หนึ่งกระบวนท่าปลิดชีพ คนผู้นั้นเบิกตาโพลงอย่างไม่อยากเชื่อ หงายหลังล้มตึงลงกับพื้น
“นายท่าน ท่านพาคุณหนูหนีออกไปก่อน ทางนี้ให้พวกข้าจัดการเองขอรับ” อู๋เหยียนหันหลังมาหาหลี่เฟยหยาง จากสถานการณ์ตอนนี้ย่ำแย่ยิ่งนัก เขากลัวว่าจะคุมเอาไว้ไม่อยู่ คนของพวกเขาไม่กี่หยิบมือไม่อาจต้านทานมือสังหารได้หมดเป็นแน่ พละกำลังที่ยังไม่ฟื้นฟูดี เขาไม่อาจเสี่ยงให้เจ้านายยืนอยู่ตรงนี้อีกต่อไป
“ข้าไม่อาจทิ้งพวกเจ้าให้พลีชีพแทนได้” หากเจ้านายอ่อนแอ ก็ไม่สมควรที่จะปกครองใคร พลังสีฟ้าพุ่งออกมาจากมือข้างขวาอีกครั้ง ทั้งอานุภาพยังรุนแรงกว่าครั้งแรกหลายเท่า
ตาของเหล่าองครักษ์แดงก่ำ กระชับกระบี่ในมือแน่น แววตาแปรเปลี่ยนอย่างน่ากลัว พุ่งเข้าไปต่อสู้อย่างไม่คิดชีวิต
หลี่หลิงเฟิ่งที่ยืนดูเหตุการณ์อยู่หน้าประตู สีหน้าเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด วิ่งออกไปก้มหยิบกระบี่ข้างศพที่นอนอยู่บนพื้น รวมพลังทั้งหมดไปยังจุดตันเถียน ก่อนจะเปล่งเสียงเล็กแหลมออกมา
“รน-หา-ที่-ตาย”
สิ้นเสียงของหลี่หลิงเฟิ่ง มีมือสังหารรายหนึ่งทะยานเข้ามาหา หลี่หลิงเฟิ่งหมุนตัวอย่างรวดเร็ว ลำแสงสีแดงเพลิงอาบย้อมกระบี่ แทงสวนกลับไป มือสังหารที่วิ่งเข้ามายังไม่ทันตั้งตัว แววตาพลันตื่นตระหนก ร่างกายแข็งค้างล้มลงตรงหน้าหญิงสาว“ระ....” สตรีผู้นี้... ในชั่วพริบตา โลกเบื้องหน้าเข้าสู่ความมืดมิด เพียงแค่ปริปากพูดก็ไม่ทันเสียแล้ว“เสี่ยวเฉิน” ขวดกระเบื้องเคลือบขนาดเล็กถูกโยนออกมาจากมิติไปทางด้านหลัง รอยยิ้มเย็นชาปรากฏขึ้นในแววตาหลี่หลิงเฟิ่ง ชุดสีแดงเพลิงเปียกชุ่มลู่ลงแนบลำตัว มือสังหารคาดไม่ถึงว่าจะมีสตรีอ่อนปวกเปียกเข้ามาช่วย หลี่หลิงเฟิ่งอาศัยจังหวะที่อีกฝ่ายมึนงง ฝ่าวงล้อมเข้าไปยืนข้างกายอู๋เหยียนเสี่ยวเฉินรับขวดกระเบื้องเนื้อหยาบที่ลอยมาตรงหน้า วิ่งอ้อมไปด้านหลังฝั่งหลี่เฟยหยาง เขารู้ดีว่ามันเป็นโหลบรรจุยาที่หลี่หลิงเฟิ่งปรุงขึ้น จะไม่ให้คุ้นเคยได้อย่างไร ในเมื่อคุณหนูเป็นคนสั่งให้เขาซื้อมันมาโดยเฉพาะหากแต่เขาไม่รู้ว่ามันคือยาอะไร เสี่ยวเฉินมองหลี่หลิงเฟิ่งอย่างอับจนปัญญา อยากจะขอความช่วยเหลือ ทว่า เหลือบสายตามองเพียงแวบเดียวก็ให้สูดหายใจลึก“เฟิ่งเอ๋อร์ เข้ามาทำไม ออกไป” ใบหน้าที
ไม่รู้ผ่านไปกี่ชั่วยาม แสงยามเช้าส่องกระทบใบหน้าหลี่หลิงเฟิ่ง เสียงฝูงนกกระพือปีกบนต้นไม้ส่งเสียงร้องบินออกหากิน นางจำไม่ได้ว่าเกราะป้องกันสลายไปตอนไหน ทำสิ่งใดลงไปบ้าง ตั้งแต่ต้นจนจบสายตาของนางอยู่ที่คนในอ้อมกอดตลอดสมุนไพรทุกอย่างที่นางมีถูกนำมารักษาหลี่เฟยหยาง ยาต่างๆ ที่เคยสกัดไว้ก็เอาออกมาใช้ทั้งหมด แต่เหมือนจะเอามาเททิ้งมากกว่า เขาไม่มีท่าทีจะฟื้นขึ้นมาเลย ยังดีที่สมุนไพรเหล่านี้ยื้อลมหายใจสุดท้ายของเขาเอาไว้ได้แต่แล้วอย่างไร เขาจะทนได้นานแค่ไหน นางเองก็ยังไม่รู้จากเหตุการณ์เมื่อคืน หลี่หลิงเฟิ่งตระหนักได้ถึงโลกใบนี้อย่างแท้จริง โลกที่ผู้ฝึกพลังยุทธ์เป็นใหญ่ นางเคยคิดว่ารออีกหน่อย เดี๋ยวนางจะแข็งแกร่งขึ้น ไม่ต้องสนใจใครหรือสิ่งใดให้มาก ใช้ชีวิตอย่างที่ต้องการให้เต็มที่จนเมื่อมีผู้ชายคนหนึ่งยอมตายเพื่อนาง ความเพ้อฝันเหล่านั้นจึงพังทลายลง หลี่หลิงเฟิ่งไม่มีความผูกพันกับคนในโลกนี้ อย่าว่าแต่หลี่เฟยหยางที่เพิ่งเจอกันไม่กี่วัน ต่อให้เป็นเสี่ยวเซียงเสี่ยวเฉิน นางก็เห็นเป็นเพียงแค่เพื่อนร่วมทางเท่านั้นคนพวกนี้ยอมทำเพื่อนาง ไม่ใช่สิ ต้องบอกว่าเพื่อเจ้าของร่างเดิมถึงกระนั้นนางก็ยังอ
หูซานแตกตื่นจนหน้าถอดสี ถุงผ้าในมือเกือบหลุดร่วง “นี่มันเกินไป เกินไปแล้ว” หลังจากหายตื่นตะลึง เขาก็มีท่าทางดีอกดีใจอย่างปิดไม่มิดแววตามองคล้ายขุ่นเคืองอยู่เล็กน้อย อดที่จะขบเขี้ยวเคี้ยวฟันไม่ได้ “เจ้ามีของล้ำค่าติดตัวมากมายขนาดนี้ ยังจะทำเป็นไม่รู้จักหินแร่พวกนี้อยู่อีก ผายลม!”หลี่หลิงเฟิ่งทำหน้าไม่ถูกไปชั่วขณะ ตาเฒ่าผู้นี้อยู่ดีๆ ก็อารมณ์ขุ่นมัวใส่นาง“เจ้ามีของเช่นนี้อยู่ตั้งแต่แรก ไยจึงไม่รีบนำมันออกมา” ตำหนิหญิงสาวก่อนกล่าวต่อ “แต่แค่สองก้อนก็พอ ที่เหลือเจ้าเก็บไว้เถอะ” หูซานหยิบออกจากถุงเพียงสองก้อนจริงๆ มองที่เหลืออย่างอาลัย สุดท้ายตัดใจส่งมันคืนให้นางหลี่หลิงเฟิ่งย่นคิ้วเข้าหากัน นัยน์ตาฉายแววงุนงงมากกว่าเดิม “แค่สองก้อนพอแน่หรือ ท่านหยิบมันไปเพิ่มอีกดีหรือไม่” ถึงจะไม่รู้ว่าคืออะไร หากแต่ช่วยรักษาได้ย่อมเป็นเรื่องดีได้ยินดังนั้น หูซานฉุนขึ้นมาทันที “ข้าเป็นหมอมาสามสิบกว่าปี อาการของโรคเป็นอย่างไร ปริมาณยาหรือพลังที่ใช้ย่อมรู้แน่ชัดอยู่แล้ว บอกว่าพอก็คือพอ เด็กอย่างเจ้าสงสัยคำวินิจฉัยของข้าอย่างนั้นหรือ” หญิงผู้นี้อะไรก็ดีไปหมด เหตุใดวันนี้ริทำตัวน่ารังเกียจ เขาเป็นถึงนักห
ผ่านไปสิบวันอาการบาดเจ็บของหลี่เฟยหยางดีขึ้นมาก หูซานได้กลายเป็นแพทย์ประจำตัวของเขาไปแล้ว ทุกวันจะต้องมาจับชีพจร สอบถามความคืบหน้าระหว่างรักษาเสมอ ทั้งที่ชายชราไม่มีความจำเป็นต้องมาด้วยตนเอง เนื่องด้วยผู้ป่วยทั้งสองอยู่ในระยะปลอดภัยนานแล้วหลักๆ ที่วนเวียนอยู่อย่างนี้ เพราะต้องการเอาใจ ‘ศิษย์น้อง’ ที่เพิ่มมาอีกหนึ่งคน สร้างความรู้สึกประทับใจ เกาะติดหลี่หลิงเฟิ่งไม่ยอมห่างบอกตามตรง ตอนนั้นหลี่หลิงเฟิ่งเดือดดาลจนไร้คำพูดโต้กลับ นางแสดงเจตจำนงชัดเจนด้วยการปฏิเสธการเป็นศิษย์ของเขา นางไหนเลยจะคิดว่าเฒ่าทารกดันยกลำดับอาวุโสของนางให้สูงขึ้น ยังไม่ทันจะกล่าวอันใด หูซานก็ยกเตาหลอมโอสถให้นางพร้อมกับตำราสมุนไพรหนึ่งร้อยแขนงให้นางไว้ท่องจำทุกเช้าหลังจากตรวจอาการหลี่เฟยหยางและเสี่ยวเฉินเรียบร้อย หูซานจะขลุกอยู่กับนางตลอดช่วงบ่าย บางครั้งยังลากนางไปโรงหมอเพื่อดูอาการคนไข้ เดิมทีหลังจากหลี่เฟยหยางฟื้นขึ้นมา นางคิดจะปฏิเสธหูซานอย่างจริงจัง เมื่อนำไปปรึกษากับชายหนุ่ม กลับเป็นหลี่เฟยหยางโน้มน้าวให้นางรับข้อเสนอนี้ไว้เสียเองหลี่หลิงเฟิ่งจึงผงกศีรษะรับอย่างจำใจ กลายมาเป็นศิษย์น้องของหูซานด้วยประการฉะ
ช่วงนี้แคว้นหลิวอวิ๋นมีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมายเรื่องสนุกปากในโรงเตี๊ยมและตามตรอกซอกซอยมีเพิ่มขึ้นทุกวัน เรื่องเล่าที่เป็นที่กล่าวขานมากสุดคงหนีไม่พ้นเรื่องคู่หมั้นขยะขององค์ชายรองผู้เป็นเลิศในทุกด้าน ได้รับความนิยมจนโรงละครนำมาทำเป็นเรื่องเล่าหลายต่อหลายบท เหตุการณ์สำคัญในเรื่องพูดถึงความอาภัพอับโชคขององค์ชายรอง หน้าตาอัปลักษณ์ของคู่หมั้น รวมไปถึงเสนาบดีหลี่ใช้อำนาจบาตรใหญ่บังคับเหล่าองค์ชายแต่งงานกับหลานสาวอันเป็นที่รัก ฮ่องเต้เห็นแก่คุณงามความดีของเจ้าเมืองหลี่จึงได้ยกองค์ชายรองให้หมั้นหมายกับบุตรสาวตระกูลหลี่ ที่ได้ชื่อว่าตัวไร้ค่าชาวบ้านต่างพากันเห็นใจสงสารองค์ชายรอง สาปแช่งก่นด่าหลี่หลิงเฟิ่งและเจ้าเมืองหลี่เรื่องราวอัปยศอดสูทำเอาเจ้าเมืองหลี่โกรธจนแทบจะกระอักเลือด ขุนนางทั้งหลายพากันประณามเขา ฎีกาหลายฉบับส่งตรงไปหาฮ่องเต้ให้ยุติการหมั้นหมายนี้ลง ตัวเขาเองที่เป็นบิดาก็เห็นด้วยอย่างยิ่ง แต่ไหนเลยจะมีใครคิด ไม่เพียงฮ่องเต้ไม่เอ่ยปากทัดทาน หากแต่ทรงกริ้วเหล่าขุนนางที่ร้องเรียนหน้าท้องพระโรง ออกว่าราชการยังไม่เสร็จก็สะบัดแขนเสื้อจากไปชายวัยกลางคนรู้สึกเหมือนตนเองเป็นคนใบ้ที่กินหว
พลังเช่นนี้...ความรู้สึกกดดันเช่นนี้...ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหลอมรวม ซ้ำยังสูงกว่าเขาอีกหนึ่งขั้น เมื่อครู่ผู้ลอบเล่นงานเขาไม่ใช่สองพี่น้องคู่นั้้น เป็นชายชราผู้นี้แน่นอน เป็นเขาที่กดข่มพลังคนทั้งหมดไว้ เป็นเขาที่บังคับให้ข้าคุกเข่า...หลี่เชาสูดหายใจลึก รู้สึกได้ถึงความตายที่กำลังมาเยือนถึงหน้าประตู“ท่าน...ท่านกับข้า...พวกเราไม่เคยมีเรื่องบาดหมางกันมาก่อน เหตุใดจึงตั้งตนเป็นปรปักษ์ ลอบทำร้ายกันเล่า” ความเงียบปกคลุมทั่วบริเวณ ไม่มีเสียงตอบรับเล็ดลอดออกมา มีเพียงเสียงดังอั่กทีหนึ่ง เลือดสีแดงสดพุ่งกระฉูดเลอะพื้นกระเด็นมาจนถึงจุดที่หลี่หลิงเฟิ่งยืนอยู่พลั่ก พลั่ก พลั่กท่ามกลางการชะงักค้างของทุกคน พลังสีแดงพุ่งไปรอบด้านไม่ขาดสาย เหล่าผู้คุ้มกันเหมือนเป็นง่อยเปลี้ยไร้เรี่ยวแรงตอบโต้ ได้แต่นอนโอดโอยบนพื้นโถงรับรองอันเย็นเฉียบ เพลิงพิโรธของหูซานยังคงไม่มอดดับลงง่ายๆ หันไปเล่นงานหลี่เชาที่นอนพะงาบๆ อยู่บนพื้นไร้เสียงตอบโต้“ช้าก่อน” หลี่หลิงเฟิ่งรีบร้องปรามเมื่อเห็นท่าไม่ดี“ท่านจะฆ่าใครข้าไม่สน แต่อย่าให้คนพวกนี้มาตายในบ้านของข้าเป็นอันขาด” หลูหมิ่นซึ่งเวลานี้ปากชาไปหมดเพิ่งได้สติคืนมา มองทั้งส
เนื่องจากในวังมีการเลื่อนวันเข้าเฝ้า จากกำหนดเดิมคือสิบห้าวันหลังเสร็จพิธีปักปิ่นของนาง ไม่รู้เพราะเหตุอันใดจึงร่นระยะเวลาให้เหลือเพียงสามวันเป็นเหตุให้พวกนางต้องเร่งกลับบ้านทันทีเพื่อเข้าร่วมงานปักปิ่นที่จะจัดขึ้นก่อนกำหนดสิบห้าวัน หากว่ากันตามจริงแล้ว ถ้านางไม่ได้รับความสำคัญในครั้งนี้ขึ้นมา หลี่หลิงเฟิ่งไม่ถูกจัดให้เข้าร่วมและเป็นหนึ่งในตัวเอกของงานแน่นอน ไม่รู้ว่าตอนนี้คนพวกนั้นจะเคียดแค้นใจมากแค่ไหนที่ต้องแบ่งพื้นที่ในจวนแก่น้องห้าอย่างนางได้ใช้สอย“พร้อมหรือยัง”“เจ้าค่ะ”หลี่เฟยหยางลูบหัวนาง “ไม่มีอะไรน่ากลัวหรอก” หลี่หลิงเฟิ่งยิ้มรับ ผงกศีรษะน้อยๆ ก่อนก้าวขึ้นไปนั่งในรถม้าที่จัดเตรียมไว้ใครบอกว่านางกลัวกัน นางเฝ้ารอให้วันนี้มาถึงที่สุดต่างหากด้านนอกมีหลี่เฟยหยางกับหวังซีควบม้าขนาบข้างซ้ายขวา เสี่ยวเฉินคอยกุมบังเหียนขับเคลื่อนรถม้า ส่วนนางผู้ที่สบายสุด กึ่งนั่งกึ่งนอนเอกเขนกอยู่ในรถม้า ฟังเรื่องเล่าขบขันจากสาวใช้ตัวน้อยของคนในเมืองหลี่ไปพลาง มือหยิบขนมที่เสี่ยวเซียงเตรียมไว้เข้าปากไปพลาง ส่วนหูซานกับหวังข่ายนั้นจะติดตามมาทีหลัง จำต้องจัดการลู่ทางโรงหมอที่นั่นสักพักใหญ่ขาดก็
หลี่หลิงเฟิ่งคิดไม่ถึงว่าแค่กลับบ้านจะมีคนมารอรุมทุบตีมากมายขนาดนี้ ยังไม่รวมถึงบ่าวไพร่ที่คุกเข่าอยู่ด้านหลัง และที่แอบอยู่ตามทางเดิน พุ่มไม้ บนเรือนอีกนับสิบยี่สิบคน บรรยากาศคึกคักยิ่งไม่เจอกันไม่กี่ปีคนเหล่านี้ยังคิดว่านางเป็นลูกพลับนิ่มให้ขยำเล่นตามใจชอบเหมือนเมื่อก่อนอยู่อีกสินะ เมื่อมีคนอยากลอง นางจะไม่สนองคืนคงผิดต่อความตั้งใจของคนเบื้องหน้าแล้วนางอยากรู้นักใครจะเข้ามาคนแรกหลายวันที่ผ่านมา หลี่หรูอี้นอนกระสับกระส่ายทุกคืน ใช้ชีวิตอย่างตื่นเต้นวาดหวังรอคอยวันที่หลี่หลิงเฟิ่งกลับมาตั้งแต่เล็กหลี่หลิงเฟิ่งแย่งความงามเป็นเอกกับนางมาตลอด หลี่หรูอี้ไม่อยากยอมรับความจริง เพราะเชื้อโสเภณีชั้นต่ำมันแรงเกินไป ใบหน้างดงามไร้ที่ติจึงประดับอยู่บนหน้านังตัวไร้ค่าทุกเมื่อเชื่อวันผู้คนต่างยกย่องนางเป็นหญิงงามอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลี่ แต่หากคนพวกนั้นได้เห็นความงามของนังตัวขยะนี่ อันดับหนึ่งยังจะมาถึงนางอีกหรือที่นางเกลียดที่สุดคือใบหน้านั้น!ไปอยู่บ้านนอกมาสามปี หลี่หรูอี้คิดไม่ออกเลยว่าผิวพรรณเมื่อโดนแดดจะหยาบกร้านแค่ไหน ผมแห้งไร้น้ำหนักกระเซอะกระเซิง สีผิวหมองคล้ำ อดอยากจนร่างผอมเหมือนกร
การต่อสู้ในสุสานสัตว์อสูรยังคงดำเนินไปอย่างดุเดือด พลังยุทธ์และอาวุธหลากชนิดพุ่งเข้าใส่ร่างสัตว์อสูรเน่าเปื่อยเหล่านั้นครั้งแล้วครั้งเล่า แต่กลับไม่ได้ผลเท่าที่ควร ทุกครั้งที่พวกมันล้มลง มันกลับลุกขึ้นมาใหม่ราวกับไม่มีที่สิ้นสุด“พวกมันมีแต่มากไม่มีลดลงเลย ขืนแบบนี้ต่อไปไม่ดีแน่ เราต้องออกจากที่นี่โดยด่วน” หลูหวั่นชิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงร้อนรน นางใช้พัดเหล็กในมือกวาดเปลวไฟออกไป เผาสัตว์อสูรตัวหนึ่งจนมอดไหม้ แต่เพียงครู่เดียว ร่างที่ไหม้เกรียมนั้นก็กลับมาฟื้นคืนและกระโจนเข้ามาอีกครั้ง“ทางออกอยู่ไหนกันล่ะ สู้มาจะค่อนวันแล้วข้ายังไม่เห็นว่าจะมีสักแม้เงา” จวินชางหลางตะโกนกลับ เสียงของเขาแฝงด้วยความเหนื่อยล้า กระบี่ของเขาเปื้อนเลือดสัตว์อสูรจนไม่เหลือเค้าเดิมหลี่หลิงเฟิ่งเบี่ยงตัวหลบกรงเล็บของสัตว์อสูรตัวหนึ่งที่ฟาดลงมา นางสะบัดแส้เพลิงในมือออกไป เปลวไฟสีแดงฉานลุกโชนขึ้น เผาร่างของมันจนแตกสลาย แต่ในเวลาเดียวกัน นางก็ใช้สายตาสำรวจพื้นที่รอบตัว“ถ้าค่ายกลนี้ถูกทำลายแล้ว พวกมันไม่ควรถูกยึดติดกับพื้นที่นี้อีก ล่อพวกมันกระจายตัวออกไปก็สิ้นเรื่อง พวกมันถูกดึงดูดจากต้นไม้แห่งชีวิต ตอนนี้ไม่มีเหลือแ
กลุ่มของหลี่หลิงเฟิ่งติดตามคำบอกเล่าของนุ่มนิ่มมาตลอดทางจนกระทั่งมาถึงจุดหมายเบื้องหน้า สิ่งที่พวกเขาเห็นคือปากถ้ำขนาดใหญ่ที่ดูเหมือนซ่อนตัวอยู่ภายในเงาไม้หนาทึบ ถ้ำนี้ดูไม่ต่างจากที่หลี่หลิงเฟิ่งได้ยินจากคำรายงานของนุ่มนิ่มเหลียนฉือกงและเหลียนฉู่ฉู่นั่งพิงกันอยู่หน้าถ้ำ ดวงหน้าซีดเซียวและเต็มไปด้วยร่องรอยบาดแผลของการต่อสู้ เหลียนฉือกงมีบาดแผลใหญ่ที่สีข้าง ขณะที่เหลียนฉู่ฉู่กุมป้ายหยกแน่นราวกับไม่อาจปล่อยจากมือ“ข้าเจอพวกเขาแล้ว” หลูหวั่นชิงชี้ไปยังสองพี่น้องแคว้นเหลียน นางรีบจะก้าวเข้าไปหา แต่หลี่หลิงเฟิ่งยกมือขึ้นห้ามไว้ทันที“อย่าเพิ่งเข้าไป” หลี่หลิงเฟิ่งบอกเสียงเฉียบพลัน ดวงตาของนางหรี่ลงมองภาพเบื้องหน้า ในขณะที่ทุกคนเห็นเพียงถ้ำที่ดูปลอดภัย แต่สิ่งที่นางเห็นกลับต่างออกไปโดยสิ้นเชิงภาพเบื้องหน้าของหลี่หลิงเฟิ่งไม่ได้เป็นเพียงปากถ้ำ แต่เป็นสุสานสัตว์อสูรที่เต็มไปด้วยซากศพของสัตว์อสูรนานาชนิด กองกระดูกที่เรียงรายอยู่ทุกหนแห่งส่งกลิ่นคาวเลือดจางๆ ที่ดูเหมือนจะยังไม่แห้งสนิท ราวกับพวกมันเพิ่งล้มตายไม่นานนางหันมองรอบตัวอย่างระแวดระวัง เสียงของถิงถิงดังขึ้น“นายท่านที่นี่ถูกสร้างค่า
เสียงหอบหายใจของหลี่หลิงเฟิ่งและคนอื่นๆ ดังขึ้นท่ามกลางเสียงคำรามอันต่ำของฝูงอสูรที่ล้อมรอบพวกเขาไว้ มันไม่ได้เป็นเพียงสัตว์อสูรธรรมดา หากแต่เป็นสิ่งมีชีวิตที่ตายไปแล้วและถูกปลุกขึ้นมาด้วยพลังลึกลับ เนื้อหนังที่เน่าเปื่อยของพวกมันเต็มไปด้วยกลิ่นเหม็นคาวและความสยดสยองที่แผ่กระจายไปทั่ว“เจ้าพวกนี้มันไม่มีวันตายจริงๆ สินะ” หลูหวั่นชิงพึมพำ น้ำเสียงของนางแฝงไปด้วยความตื่นตระหนกยิ่งยวด“แต่พวกเราตายได้นะ” จวินชางหลางตะโกนพลางหมุนตัวฟาดดาบในมือผ่านร่างอสูรตัวหนึ่งจนขาดเป็นสองท่อน แต่ในเสี้ยววินาทีต่อมา เศษเนื้อและกระดูกที่แตกกระจายกลับเริ่มเคลื่อนไหวและประกอบร่างอีกแล้ว เป็นอย่างนี้ทุกครั้งไป“ไม่ว่าเจ้าจะฟันอีกกี่ครั้ง มันก็ยังรวมร่างได้ เสียเวลาเปล่า” หลี่หลิงเฟิ่งกล่าวเสียงเรียบ นางสะบัดมือข้างหนึ่ง ผ้าสีแดงสิบเส้นพลันพุ่งออกไปพร้อมเปลวเพลิงที่ลุกโชติช่วง แส้เพลิงฟาดลงบนร่างของสัตว์อสูรตัวหนึ่งเสี่ยวจูจูที่ยืนอยู่ข้างหลี่หลิงเฟิ่งส่งเสียงร้องคำรามอันทรงพลัง ร่างเล็กของมันกระโจนออกจากที่มั่น ลวดลายสีดำสลับทองบนตัวส่องประกายระยับ ขณะที่กรงเล็บของมันตวัดฉีกกระชากอสูรตัวหนึ่งจนกระเด็นไปไกล
ทหารหลวงตั้งแนวป้องกันที่หน้าประตูเมืองใหญ่ ทหารถือหอกและโล่แน่น ร่างกายของพวกเขาสั่นด้วยความกดดัน แต่ไม่มีใครถอยแม้แต่ก้าวเดียว“อย่าปล่อยให้ศัตรูผ่านไปได้แม้แต่คนเดียว!” แม่ทัพหลวงตะโกนก้อง ดาบใหญ่ในมือฟาดฟันนักรบชุดดำที่พุ่งเข้าใส่ ดาบของเขาฝังลึกลงไปในร่างของศัตรูจนเลือดสาดกระเซ็นศิษย์จากสำนักศึกษาหลวงและอาจารย์ผู้ทรงพลังต่างรีบรวมตัวกันบริเวณลานกว้างกลางเมือง พวกเขาสวมชุดคลุมประจำสำนัก ดวงตาเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นและความกังวลในเวลาเดียวกัน“ทุกคนฟังข้า!” เสียงของเจ้าของหอฝึกยุทธ์โจวมั่ว ดังขึ้น เขายืนอยู่บนแท่นสูงกลางลานด้วยท่าทางเคร่งขรึม “พวกเราต้องปกป้องเมืองหลวงให้ได้ ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยสิ่งใดก็ตาม”“แยกกำลังกันเป็นสองฝ่าย กลุ่มแรกไปป้องกันประตูเมือง อีกกลุ่มคอยคุ้มกันชาวบ้านที่อพยพออกจากพื้นที่เสี่ยง”เหล่าศิษย์พยักหน้ารับคำสั่งอย่างพร้อมเพรียง แม้ในใจหลายคนจะเต็มไปด้วยความกลัว แต่ก็ไม่มีใครถอยหลังกลุ่มผู้ฝึกยุทธ์จากสำนักแพทย์โอสถกำลังช่วยกันรักษาผู้บาดเจ็บ ขณะที่ยังต้องต่อสู้ไปด้วย อาจารย์และศิษย์ที่มีพลังยุทธ์ขั้นกลางและสูงใช้ยาลูกกลอนรักษาและพลังยุทธ์ป้องกันตัวจากศัตรู“
แสงสีอ่อนจากสัญลักษณ์โบราณที่สลักอยู่บนผนังถ้ำยังคงเปล่งประกายเบาบาง ทำให้ความมืดสลัวภายในถ้ำดูไม่เงียบสงบอย่างที่ควรจะเป็น กลิ่นอายของบางสิ่งที่ไม่อาจระบุชัดได้คละคลุ้งในอากาศ เหลียนฉือกงที่บาดเจ็บพิงตัวอยู่กับผนังถ้ำ ใบหน้าเต็มไปด้วยหยาดเหงื่อ และดวงตาที่เต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า แม้เขาจะพยายามฝืนตัวเองให้ดูเข้มแข็ง แต่บาดแผลที่สีข้างที่เลือดไหลซึมออกมาตลอดเวลาได้ทำลายภาพลักษณ์นั้นจนหมดสิ้น“เสด็จพี่ ท่านไม่ไหวแล้วจริงๆ” เหลียนฉู่ฉู่ที่นั่งอยู่ข้างๆ เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนล้า แววตาฉายชัดว่าเป็นกังวล อีกทั้งยังความหวาดระแวงกับเงามืดที่เคลื่อนไหวบนผนังถ้ำชวนให้นางรู้สึกว่าถ้ำนี้เหมือนมีชีวิต“ข้าจะไหวหรือไม่ ตอนนี้มันไม่สำคัญนัก เราต้องแน่ใจว่าพวกมันจะไม่ตามเราเข้ามาในนี้” เหลียนฉือกงกล่าวพลางกัดฟันแน่น เขาฉีกเศษผ้าจากชายเสื้อพันบาดแผลที่สีข้างไว้แน่น พยายามหยุดเลือดที่ยังไหลออกมาไม่หยุด“อย่าเพิ่งคิดอะไรเลย ตอนนี้ท่านต้องพักก่อน ดื่มนี่หน่อย อย่างน้อยจะช่วยให้ท่านมีแรงขึ้น" นางล้วงหยิบกระบอกน้ำในถุงเก็บของออกมาอย่างรี
เสียงกรีดร้องของเพื่อนร่วมทีมที่สิ้นหวังสะท้อนไปทั่วป่า สามร่างที่ล้มลงไม่มีโอกาสได้ลุกขึ้นมาอีก เศษเลือดและเนื้อเปรอะเปื้อนตามพื้นป่า บ่งบอกถึงความน่ากลัวของสิ่งที่พวกเขาเผชิญเหลียนฉู่ฉู่กำสาบเสื้อบนอกแน่น ดวงตาเต็มไปด้วยน้ำตา นางมองดูเพื่อนร่วมทีมที่ถูกสัตว์อสูรเน่าเปื่อยเหล่านั้นกลืนกินจนไม่เหลือชิ้นดี ร่างกายของนางสั่นเทา ขณะที่ความกลัวกัดกินจิตใจอย่างช้าๆ“พวกเราจะต้องตายที่นี่หรือ” เหลียนฉู่ฉู่พึมพำเสียงแผ่ว น้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยความหวาดกลัว “ข้ายังไม่อยากตาย...ข้าไม่อยากตาย!”เสียงหอบหายใจของเหลียนฉู่ฉู่และเหลียนฉือกงดังก้องในความเงียบรอบตัว พื้นที่เต็มไปด้วยความมืดมิดและแรงกดดันจากเงาดำที่แฝงตัวอยู่ในทุกมุม เงาสัตว์อสูรเน่าเปื่อยเดินช้าๆ เข้ามาใกล้ ร่างของพวกมันเต็มไปด้วยความผิดธรรมชาติและน่าหวาดกลัวเหลียนฉือกงที่ยังยืนหยัดอยู่ข้างหน้า กัดฟันกรอด เขาฟาดกระบี่ออกไปอีกครั้ง ฟันกรงเล็บของสัตว์อสูรตัวหนึ่งจนเซถอยไป แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้หยุดหายใจ ตัวอื่นๆ ก็พุ่งเข้ามาจากทุกทิศทาง“ฉู่ฉู่ตามข้ามา
ขณะที่กลุ่มของหลี่หลิงเฟิ่งยังอยู่ที่เดิม นุ่มนิ่ม ไส้เดือนตัวน้อยเลื้อยตามกลุ่มของเหลียนฉู่ฉู่ไปในเงามืด มันเคลื่อนไหวอย่างไร้เสียง ผ่านพุ่มไม้และต้นไม้ใหญ่โดยที่ไม่มีใครสังเกตเห็นเหลียนฉู่ฉู่ที่กำลังรีบวิ่งหนีถือป้ายหยกไว้แน่นในมือ ร่างกายของนางเต็มไปด้วยความหวาดกลัว เหลือบมองไปข้างหลังเป็นระยะเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใครตามมา“เร็วเข้า!” เสียงของเหลียนฉือกงดังขึ้นที่ด้านหลัง “พวกเราต้องหาที่ปลอดภัยซ่อนตัวก่อนที่พวกมันจะตามมาได้”นุ่มนิ่มเลื้อยตามอย่างอดทน มันแฝงตัวอยู่ในเงามืด พลางจับตามองการเคลื่อนไหวของเหลียนฉู่ฉู่และพวกเหลียนฉือกงอย่างใกล้ชิดในที่สุดกลุ่มของแคว้นเหลียนก็หยุดพักที่ลานเล็กๆ กลางป่า เหลียนฉู่ฉู่วางป้ายหยกลงชั่วครู่เพื่อหยิบกระบอกน้ำขึ้นมาดื่ม“เราจะทำอย่างไรต่อ” หนึ่งในคนของแคว้นเหลียนเอ่ยถาม “หากพวกมันตามเรามาทัน เราคงไม่มีทางรอดแน่”“ไม่ต้องห่วง” เหลียนฉือกงแสยะยิ้ม “พวกนั้นไม่มีทางหาเราเจอเร็วๆ นี้แน่นอน ป่ากว้างใหญ่ขนาดนี้ พวกเราแค่ซ่อนตัวจนครบกำหนดก็พอแล้ว”ระหว่างที่พวกแคว้นเหลียนนั่งพัก สายสืบตัวน้อยก็เริ่มทำงานบ้างแล้ว นุ่มนิ่มส่งกระแสจิตมาถึงหลี่หลิงเฟิ่ง คว
สองกลุ่มซ่อนตัวอยู่ไม่ไกลมองการต่อสู้อันดุเดือดตรงหน้าพลางวิจารณ์สำนักเมฆาคล้อยที่กำลังเพรี่ยงพล้ำอยู่ขณะนี้“ดูเหมือนว่าพวกเขาต้องการกำจัดสำนักเมฆาคล้อยให้สิ้นซาก” หลูหวั่นชิงเอ่ยขึ้น พลางขมวดคิ้วไปด้วย“พวกแคว้นตงเยว่และตระกูลซ่งผนึกกำลังกันเช่นนี้ สำนักเมฆาคล้อยคงยืนหยัดไม่นาน” โม่จื่อหลิงกล่าว “นี่ไม่เหมือนการแย่งชิงป้ายหยกธรรมดา หากบอกว่ากำลังชำระแค้นกันอยู่น่าจะเข้าท่ามากกว่า”“ถ้าเราไม่ลงมือก่อน เกรงว่าอีกไม่นาน พวกนั้นอาจจะหันมาจัดการพวกเราบ้าง” หลี่หลิงเฟิ่งเอ่ยเบาๆ นางพิจารณาสถานการณ์ด้วยความระมัดระวังกลุ่มของสำนักเมฆาคล้อยกำลังถูกกดดันอย่างหนัก เสียงปะทะของอาวุธและพลังยุทธ์ที่ฟาดฟันกันอย่างรุนแรงดังลั่นไปทั่ว พวกเขาอยู่ในสภาพเสียเปรียบ ถูกล้อมโดยทีมของแคว้นตงเยว่และตระกูลซ่งชายหนุ่มในชุดคลุมสีฟ้าของสำนักเมฆาคล้อยยกกระบี่ขึ้นป้องกันการโจมตีที่รวดเร็วรุนแรงจากอีกฝั่ง เสียงโลหะกระทบกันดังสนั่น เขาเคลื่อนตัวอย่างว่องไว หลีกเลี่ยงกระบี่ของฝ่ายตงเยว่ได้อย่างหวุดหวิดเสียงคำรามของพลังยุทธ์ดังสนั่น หนึ่งในผู้คุ้มกันของสำนักเมฆาคล้อยล้มลงเมื่อถูกกระบี่ของฝ่ายตงเยว่พุ่งแทงเข้าที่หน
หลังจากท้องฟ้ามืดสนิทจนลมหนาวพัดผ่านมาเป็นระยะ กลุ่มของหลี่หลิงเฟิ่งที่หยุดพักเพื่อย่างไก่เมื่อช่วงเย็น ก็เริ่มออกเดินทางอีกครั้ง ระหว่างทางเจอคู้ต่อสู้แย่งชิงป้ายหยกมาเพิ่มอีกเจ็ดชิ้น ตอนนี้ในมือของพวกนางมีป้ายหยกทั้งหมดเก้าชิ้น“พอมีพวกเจ้าสองคนทุกอย่างก็ดูง่ายไปเสียหมดจนข้าชักจะเริ่มเบื่อแล้ว” จวินชางหลางเอ่ยพลางยืดเส้นยืดสายไปด้วยหลูหวั่นชิงหัวเราะเบาๆ “ข้าว่าดีจะตาย ถ้าเจอศัตรูที่แข็งแกร่งกว่าพวกเรา เจ้าคงไม่มีเวลามาโอดครวญเช่นนี้หรอก”“หากเวลานั้นมาถึง เจ้าอย่าห่วง ข้าจะปกป้องเจ้าเอง” จวินชางหลางหันไปยักคิ้วให้ แต่ก็ถูกหลูหวั่นชิงมองค้อนกลับทันทีโม่จื่อหลิงที่เดินนำอยู่ข้างหน้าเหลือบมองหลี่หลิงเฟิ่งเล็กน้อย เขาไม่ได้พูดอะไร แต่กลับเดินชิดเข้ามาใกล้นางโดยไม่รู้ตัว ดวงตาของเขาจับจ้องไปยังเบื้องหน้าเพื่อสอดส่องความเคลื่อนไหวในขณะที่กลุ่มของหลี่หลิงเฟิ่งเดินลัดเลาะไปตามเส้นทางกลางป่า เสียงฝีเท้าของอีกกลุ่มหนึ่งก็ดังแว่วมาไม่ไกล“มีคน” หลี่หลิงเฟิ่งเอ่ยเบาๆ น้ำเสียงของนางราบเรียบแต่ก็แฝงไว้ด้วยความระวัง ทุกคนหยุดชะงักทันทีไม่นานนัก เงาร่างของกลุ่มคนที่เดินมาจากอีกฟากหนึ่งก็ปรากฏข