“หนึ่งคำนับฟ้าดิน!”“สองคำนับบิดามารดา!”“สามีภรรยาคำนับกันและกัน!”“พิธีเสร็จสิ้น ส่งตัวเข้าห้องหอ!”งานแต่งงานที่เหลวไหลเป็นไปไม่ได้แต่กลับกลายเป็นความจริง เมิ่งจิ่นเหยาไม่ได้เป็นฮูหยินของซื่อจื่อ แต่กลายเป็นฮูหยินของฉางซินโหวแทนบรรดาแขกเหรื่อต่างมึนงง รู้สึกว่าเข้าร่วมงานแต่งงานมามากมาย ทว่าครั้งนี้เป็นงานที่น่าตื่นตาตื่นใจที่สุด ช่วงเวลาว่างหลังดื่มชารับประทานอาหารจะมีเรื่องใหม่ให้พูดคุยกันแล้ว และพวกเขายังเป็นประจักษ์พยานที่ได้เห็นกับตาตัวเองอีกด้วยต้องกล่าวว่าเมิ่งจิ่นเหยามีสายตาแหลมคมมาก กู้จิ่งซีมีทั้งความสามารถและรูปลักษณ์ที่โดดเด่น บัดนี้เขาดำรงตำแหน่งเป็นเสนาบดีศาลต้าหลี่ หากไม่ใช่เพราะช่วยเหลือฮ่องเต้จนได้รับบาดเจ็บ เป็นโรคที่มิอาจกล่าวได้ และถูกคู่หมั้นถอนหมั้นจนหมดกำลังใจเรื่องแต่งงานมาตลอด ก็คงไม่ถึงตาให้เมิ่งจิ่นเหยามาเก็บตกไปได้คนของบ้านใหญ่กับบ้านรองก็มึนงงเช่นกัน เรื่องเกิดขึ้นกะทันหันเกินไป คิดไม่ถึงว่าฮูหยินผู้เฒ่ากู้จะเห็นด้วยกับเรื่องเหลวไหลพรรค์นี้ได้ อีกทั้งกู้จิ่งซีที่เคร่งครัดมาตลอดก็แต่งงานกับว่าที่ลูกสะใภ้ในตอนแรกเช่นกัน พรุ่งนี้บ้านของพวกเขาย่อมก
หลังจากแขกเหรื่อแยกย้ายกลับกันไปหมดแล้ว กู้จิ่งซีก็กลับมาที่เรือนของตัวเอง ภายในเรือนจุดโคมไฟสว่างไสววันนี้เขาดื่มไปไม่น้อย เมาได้ห้าหกส่วนแล้ว เขานวดหว่างคิ้ว เหลือบมองไปทางห้องหลัก ตัวเขาเองก็คิดว่าเรื่องมันเหลวไหล เห็นชัดว่าเป็นลูกสะใภ้ สุดท้ายกลับจับพลัดจับผลู กลายเป็นเขาที่แต่งงานกับว่าที่ลูกสะใภ้แทนนี่เป็นเรื่องที่ออกนอกลู่นอกทางที่สุดที่เขาเคยทำตลอดยี่สิบเก้าปีที่ผ่านมา เมื่อเมิ่งจิ่นเหยาเลือกเขาอย่างแน่วแน่ ดึงดันที่จะแต่งงานกับเขา เมื่อเขาสบสายตาที่เด็ดเดี่ยวของเมิ่งจิ่นเหยา เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเกิดความคิดแบบไหนถึงดลใจให้ตอบตกลงโดยไม่รู้ตัวในขณะนั้น เมิ่งจิ่นเหยาลบเครื่องสำอางออกแล้ว หลังจากอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก็นั่งรออยู่ในห้องด้วยความกระสับกระส่าย เมื่อได้ยินเสียงเปิดประตู นางจึงคลายมือที่กำแน่นออก เชยตามองไปก็เห็นบุรุษร่างสูงตระหง่านราวกับต้นสน ก้าวเดินเข้ามาอย่างมั่นคง เวลานี้ไม่มีผู้ชมรอบข้างคอยชมละคร สภาพจิตใจของนางกลับไม่ได้สงบนิ่งไปกว่าตอนที่มีผู้ชมอยู่เลย นางฝืนเดินเข้ามาโดยแสร้งทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้น พยายามทำหน้าที่ภรรยาอย่างเต็มที่ เอ่ยถามอย่างนอบน้อมว่
คู่บ่าวสาวห่มผ้านอนหลับเฉย ๆ อย่างที่คาดไว้ไม่ผิดหลังจากที่วุ่นวายมาตลอดทั้งวัน อีกทั้งผ่านการแต่งงานที่เหลวไหลเช่นนี้ เมิ่งจิ่นเหยาเหนื่อยล้าทั้งกายและใจ แม้ว่าตนจะอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคย และยังมีบุรุษที่เป็นผู้ใหญ่นอนอยู่ข้างกาย แต่นางก็ผล็อยหลับไปอย่างสบายใจ ถึงอย่างไรสามีผู้นี้ของนางก็มีโรคที่มิอาจบอกผู้ใดได้ นางจึงไม่มีความตื่นตระหนกเลยแม้แต่น้อย ต่อให้สามีไม่มีโรคที่มิอาจบอกผู้ใดได้ นางก็ไม่ปฏิเสธที่จะใช้ชีวิตครองคู่กันอย่างสมบูรณ์ แต่งงานก็แต่งไปแล้ว ยังอยากรักษาความบริสุทธิ์เป็นหญิงพรหมจรรย์อีกทำไม เช่นนั้นก็ไม่มีความหมายแล้ว กู้จิ่งซีก็นอนลงโดยที่ไม่รู้เช่นกันว่ารู้สึกอย่างไร เขาใช้ชีวิตมายี่สิบเก้าปี เพิ่งจะเคยนอนหลับร่วมเตียงกับสตรีเป็นครั้งแรก เขานึกว่าอีกฝ่ายเป็นสตรีย่อมตื่นเต้นจนนอนไม่หลับ แต่คิดไม่ถึงว่าแค่ครู่เดียวก็ได้ยินเสียงลมหายใจสม่ำเสมอดังมาที่ข้างหู เขาเบนศีรษะด้วยความประหลาดใจ มองภรรยาที่เพิ่งแต่งงานนอนหลับสนิทโดยไร้ความระแวดระวัง แม่นางน้อยเพิ่งจะอายุสิบห้าสิบหก กลับมีจิตใจที่สงบนิ่งและปรับตัวไปตามสถานการณ์ สุขุมจนไม่เหมือนกับแม่นางน้อยในวัยนี้
โถงโซ่วอันโถงโซ่วอันที่เคยเงียบเหงาเปลี่ยนเป็นคึกคักเพราะสะใภ้ใหม่ที่เพิ่งเข้ามาเช้าตรู่นี้ บรรดาเด็กรุ่นหลังในตระกูลมาที่เรือนของฮูหยินผู้เฒ่ากู้กันแต่เช้า รอดูว่าวันนี้สะใภ้ใหม่จะรับมือเช่นไรบ้านใหญ่กับบ้านรองไม่รู้ว่าผ่านข้ามคืนด้วยอารมณ์แบบใด กู้ซิวหมิงหลบหนีการแต่งงาน ในฐานะที่กู้จิ่งซีเป็นว่าที่บิดาสามีจึงแต่งงานกับว่าที่ลูกสะใภ้ เรื่องที่น่าตกตะลึงเช่นนี้ย่อมแพร่กระจายออกไปแล้ว ตระกูลของพวกเขาก็กลายเป็นที่ขบขันของทั้งเมืองหลวง ระหว่างที่รอ คนของทั้งสองบ้านแอบส่งสายตาให้กันไม่รู้กี่ครั้งวันนี้ฮูหยินผู้เฒ่ากู้กลับดูกระปรี้กระเปร่า ดวงหน้ามีรอยยิ้มใจดี เรื่องการแต่งงานของบุตรชายเป็นปัญหาทางใจของนาง บัดนี้บุตรชายมีภรรยาแล้ว นางก็ปีติยินดีในใจ ใช้ชีวิตของตัวเอง นางไม่สนใจว่าคนนอกจะพูดอะไร ขอเพียงบุตรชายมีภรรยา ไม่ต้องอยู่โดดเดี่ยวเพียงลำพังจนแก่เฒ่าก็พอแล้ว นางจางเห็นแบบนั้นก็เอ่ยด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “คนเราเมื่อพบเจอเรื่องน่ายินดีก็จะเบิกบานใจจริง ๆ ด้วย วันนี้ท่านแม่อารมณ์ดียิ่ง”ฮูหยินผู้เฒ่ากู้พยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม “นั่นเป็นเรื่องธรรมดา เจ้าสามมีครอบครัวแล้ว ในที่สุดข้าก็
เมื่อคำกล่าวนี้ออกมา ฮูหยินผู้เฒ่ากู้ก็ปรายตามองนางด้วยสีหน้าไม่คาดฝัน ไม่พอใจที่นางพูดเรื่องที่ไม่สมควรพูด เมิ่งจิ่นเหยาเองก็รู้ว่านางกำลังยั่วยุ แถมยังบอกเป็นนัยว่ากู้จิ่งซีใช้การไม่ได้ จึงตอบกลับอย่างนุ่มนวลว่า “ขอบคุณพี่สะใภ้ใหญ่ที่เป็นห่วงเจ้าค่ะ เมื่อคืนข้าดีหมดทุกอย่าง” นางกล่าวพลางชะงักไป จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นทำสีหน้าเหมือนมารดาผู้อ่อนโยนแล้วเอ่ยต่อว่า “เจ้าเด็กซิวหมิงไม่รู้ความจริง ๆ แต่นี่ก็โทษเขาทั้งหมดไม่ได้ เขาไม่มีมารดาอบรมสั่งสอนมาตั้งแต่เล็ก ท่านพี่ก็ยุ่งกับราชกิจ ขาดการดูแลสั่งสอนเขา ส่วนท่านแม่ก็อายุมากแล้ว ไม่มีแรงดูแลสั่งสอน บัดนี้ข้าแต่งงานเข้ามาแล้ว เขาก็มีมารดาแล้ว ต่อไปจะต้องสั่งสอนเขาอย่างเข้มงวดเจ้าค่ะ” เมื่อสิ้นเสียงพูด กู้จิ่งซีเลิกคิ้วขึ้น เห็นได้ชัดว่าน้ำเสียงอ่อนโยนถึงเพียงนี้ เหตุใดเขาถึงฟังออกว่าเหมือนกัดฟันกล่าว?ส่วนนางจางก็สำลักในใจ จ้องมองเมิ่งจิ่นเหยาที่มีสีหน้าอบอุ่น รอยยิ้มอ่อนโยน วางท่าเหมือนญาติผู้ใหญ่ได้ดีมาก นางยิ่งรู้ว่าเมิ่งจิ่นเหยาจะต้องเป็นโหดเหี้ยม สามารถยืดได้หดได้ ปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ได้ดี คนแบบนี้รับมือได้ยาก มารดาใหม่ของซื
ฮูหยินผู้เฒ่ากู้ได้ยินคำกล่าวนี้ สีหน้าพลันเคร่งขรึมขึ้นมาแล้วเอ่ยว่า “นางดูเป็นคนเฉลียวฉลาด สามารถแก้ปัญหาหลายเรื่องด้วยตนเอง แต่ไม่ว่านางจะต้องการหรือไม่ ท่าทีของเจ้าทำให้นางหลบเลี่ยงเรื่องวุ่นวายมากมายได้ ปีนั้นข้าไม่ตั้งครรภ์อยู่นาน อนุภรรยาทั้งสองคนของพ่อเจ้าต่างก็ให้กำเนิดบุตรชาย ข้าโดนมารดาสามีกดดัน อนุภรรยาเยาะเย้ยทั้งต่อหน้าและลับหลัง บิดาของเจ้าเอาแต่นิ่งดูดาย ข้าทนรับความเจ็บช้ำน้ำใจมากมายไม่ไหว” เมื่อเอ่ยถึงเรื่องในวัยสาวของตนเอง ฮูหยินผู้เฒ่ากู้ก็หลั่งน้ำตาแห่งความชอกช้ำในใจ โชคดีที่นางให้กำเนิดบุตรชายตอนอายุยี่สิบห้า สถานการณ์ถึงค่อย ๆ ดีขึ้น ความทุกข์ที่ก่อนหน้านี้เคยได้รับ นางไม่อยากให้ลูกสะใภ้ต้องทนรับเช่นกันกู้จิ่งซีตะลึงงัน ก่อนผงกศีรษะ “ท่านแม่โปรดวางใจ ลูกไม่มีทางปล่อยให้นางโดนรังแก นางคือฮูหยินของท่านโหว เป็นตัวแทนศักดิ์ศรีของสกุลกู้ หากคนอื่นดูหมิ่นนาง ลูกก็ไม่มีหน้าแล้วเช่นกัน”ฮูหยินผู้เฒ่ากู้ไม่ค่อยพอใจกับคำตอบนี้จึงเอ่ยว่า “วางเรื่องมีหน้าหรือไม่มีหน้าไว้ข้าง ๆ ก่อน อย่างน้อยเจ้าต้องปฏิบัติต่อนางเหมือนภรรยา เมื่อก่อนนางเป็นว่าที่ลูกสะใภ้ของเจ้า แต่บัดนี้
เรือนเวยหรุยเซวียนบ่าวไพร่ในเรือนเห็นเมิ่งจิ่นเหยากลับมาจากการไปหาฮูหยินผู้เฒ่า โดยมีเพียงสาวใช้คนสนิทของนางอยู่ข้างกาย ท่านโหวไม่ได้มาด้วย สายตาที่มองนางก็แปรเปลี่ยนไปเล็กน้อยจริงอยู่ที่สุดท้ายนางบีบบังคับให้ท่านโหวแต่งงานกับนาง และทำให้ท่านโหวขายหน้า กลายเป็นที่ขบขันไปด้วย ท่านโหวจะสนใจตัวต้นเหตุอย่างนางได้อย่างไร?นางเป็นเพียงบุตรสาวจากตระกูลตกอับ อาศัยสัญญาหมั้นหมายที่ตกลงกันไว้ในรุ่นท่านโหวผู้เฒ่าแต่งงานกับซื่อจื่อได้ก็เป็นการปีนขึ้นที่สูงแล้ว ซื่อจื่อหลบหนีการแต่งงาน จวนโหวให้จัดพิธีแต่งงานตามที่กำหนดไว้เพื่อรับนางเข้ามา นี่เป็นการไว้หน้านางแล้ว ใครจะรู้ว่านางจะก่อปัญหาสร้างเรื่องราวที่น่าตกตะลึงเช่นนี้ ไม่แต่งงานกับซื่อจื่อ ทว่าแต่งงานกับท่านโหวอย่างไร้ยางอาย ใครจะรู้ว่านางทำเพื่อแก้แค้นซื่อจื่อหรือเปล่า ถึงได้ไม่เป็นภรรยาของซื่อจื่อ แต่เป็นมารดาของซื่อจื่อแทน ซื่อจื่อย่อมมีความผิด แต่การที่นางแต่งงานกับว่าที่บิดาสามีในตอนแรกก็เป็นเรื่องเหลวไหลอย่างยิ่ง ต่อให้ไม่แต่งงานกับซื่อจื่อ จะแต่งงานกับคุณชายรองหรือคุณชายสี่ก็ได้ทันทีที่เข้ามาในห้อง หนิงตงก็อดกล่าวไม่ได้ว่า “ฮ
มุมปากของเมิ่งจิ่นเหยายิ่งโค้งขึ้น รอยยิ้มเอ่อล้นดวงตา แววตาสวยวิจิตร แม้แต่น้ำเสียงก็เปี่ยมไปด้วยความยิ้มแย้ม “นี่ท่านพี่พูดเองนะ”นางไม่คิดว่ากู้จิ่งซีจะพูดง่ายเช่นนี้ ถึงอย่างไรก็เป็นคนมีอายุ ชายชราอายุใกล้สามสิบ อีกไม่กี่ปีก็จะถึงวัยที่ต้องเป็นปู่คนแล้ว ดังนั้นจึงมีนิสัยใจคอที่ค่อนข้างเป็นกันเองอย่างกู้ซิวหมิงนั้นพูดคุยด้วยยาก คอยวางท่าอยู่เสมอ ให้ความรู้สึกว่าอยู่เหนือกว่าผู้อื่น เห็นทีนางคงตัดสินใจถูกแล้วที่แต่งงานกับกู้จิ่งซีเมื่อวานนี้ ต่อให้ต้องเป็นม่ายไปตลอดชีวิตก็ยอมรับได้กู้จิ่งซีมองท่าทางดีใจของนาง นางผู้มีความสุขุมเยือกเย็นแทบจะไม่เคยแสดงท่าทีปราดเปรียวอย่างที่เด็กสาวควรมีเลย แต่ถึงอย่างไรก็ยังเป็นเด็กสาวอยู่ ไม่ว่าจะเป็นผู้ใหญ่และสุขุมเพียงใด ก็ต้องมีลักษณะท่าทางที่เด็กสาวควรมีเขาตอบว่า “อืม ข้าพูดเอง”ทั้งสองคนอายุห่างกันมาก ไม่คุ้นเคยกันก็ไม่เป็นไร จับคลุมถุงชนเอาเสียเลย พูดเรื่องสำคัญจบต่างคนต่างก็มองหน้ากันไม่พูดจา กู้จิ่งซีไม่อยากอยู่กับเด็กน้อย จึงหาข้ออ้างเพื่อออกไปจากที่นี่เมิ่งจิ่นเหยารีบดำเนินการทันที สั่งให้สาวใช้จัดห้องใหม่ตามความชอบของตัวเอง ภายในห