โถงโซ่วอันโถงโซ่วอันที่เคยเงียบเหงาเปลี่ยนเป็นคึกคักเพราะสะใภ้ใหม่ที่เพิ่งเข้ามาเช้าตรู่นี้ บรรดาเด็กรุ่นหลังในตระกูลมาที่เรือนของฮูหยินผู้เฒ่ากู้กันแต่เช้า รอดูว่าวันนี้สะใภ้ใหม่จะรับมือเช่นไรบ้านใหญ่กับบ้านรองไม่รู้ว่าผ่านข้ามคืนด้วยอารมณ์แบบใด กู้ซิวหมิงหลบหนีการแต่งงาน ในฐานะที่กู้จิ่งซีเป็นว่าที่บิดาสามีจึงแต่งงานกับว่าที่ลูกสะใภ้ เรื่องที่น่าตกตะลึงเช่นนี้ย่อมแพร่กระจายออกไปแล้ว ตระกูลของพวกเขาก็กลายเป็นที่ขบขันของทั้งเมืองหลวง ระหว่างที่รอ คนของทั้งสองบ้านแอบส่งสายตาให้กันไม่รู้กี่ครั้งวันนี้ฮูหยินผู้เฒ่ากู้กลับดูกระปรี้กระเปร่า ดวงหน้ามีรอยยิ้มใจดี เรื่องการแต่งงานของบุตรชายเป็นปัญหาทางใจของนาง บัดนี้บุตรชายมีภรรยาแล้ว นางก็ปีติยินดีในใจ ใช้ชีวิตของตัวเอง นางไม่สนใจว่าคนนอกจะพูดอะไร ขอเพียงบุตรชายมีภรรยา ไม่ต้องอยู่โดดเดี่ยวเพียงลำพังจนแก่เฒ่าก็พอแล้ว นางจางเห็นแบบนั้นก็เอ่ยด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “คนเราเมื่อพบเจอเรื่องน่ายินดีก็จะเบิกบานใจจริง ๆ ด้วย วันนี้ท่านแม่อารมณ์ดียิ่ง”ฮูหยินผู้เฒ่ากู้พยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม “นั่นเป็นเรื่องธรรมดา เจ้าสามมีครอบครัวแล้ว ในที่สุดข้าก็
เมื่อคำกล่าวนี้ออกมา ฮูหยินผู้เฒ่ากู้ก็ปรายตามองนางด้วยสีหน้าไม่คาดฝัน ไม่พอใจที่นางพูดเรื่องที่ไม่สมควรพูด เมิ่งจิ่นเหยาเองก็รู้ว่านางกำลังยั่วยุ แถมยังบอกเป็นนัยว่ากู้จิ่งซีใช้การไม่ได้ จึงตอบกลับอย่างนุ่มนวลว่า “ขอบคุณพี่สะใภ้ใหญ่ที่เป็นห่วงเจ้าค่ะ เมื่อคืนข้าดีหมดทุกอย่าง” นางกล่าวพลางชะงักไป จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นทำสีหน้าเหมือนมารดาผู้อ่อนโยนแล้วเอ่ยต่อว่า “เจ้าเด็กซิวหมิงไม่รู้ความจริง ๆ แต่นี่ก็โทษเขาทั้งหมดไม่ได้ เขาไม่มีมารดาอบรมสั่งสอนมาตั้งแต่เล็ก ท่านพี่ก็ยุ่งกับราชกิจ ขาดการดูแลสั่งสอนเขา ส่วนท่านแม่ก็อายุมากแล้ว ไม่มีแรงดูแลสั่งสอน บัดนี้ข้าแต่งงานเข้ามาแล้ว เขาก็มีมารดาแล้ว ต่อไปจะต้องสั่งสอนเขาอย่างเข้มงวดเจ้าค่ะ” เมื่อสิ้นเสียงพูด กู้จิ่งซีเลิกคิ้วขึ้น เห็นได้ชัดว่าน้ำเสียงอ่อนโยนถึงเพียงนี้ เหตุใดเขาถึงฟังออกว่าเหมือนกัดฟันกล่าว?ส่วนนางจางก็สำลักในใจ จ้องมองเมิ่งจิ่นเหยาที่มีสีหน้าอบอุ่น รอยยิ้มอ่อนโยน วางท่าเหมือนญาติผู้ใหญ่ได้ดีมาก นางยิ่งรู้ว่าเมิ่งจิ่นเหยาจะต้องเป็นโหดเหี้ยม สามารถยืดได้หดได้ ปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ได้ดี คนแบบนี้รับมือได้ยาก มารดาใหม่ของซื
ฮูหยินผู้เฒ่ากู้ได้ยินคำกล่าวนี้ สีหน้าพลันเคร่งขรึมขึ้นมาแล้วเอ่ยว่า “นางดูเป็นคนเฉลียวฉลาด สามารถแก้ปัญหาหลายเรื่องด้วยตนเอง แต่ไม่ว่านางจะต้องการหรือไม่ ท่าทีของเจ้าทำให้นางหลบเลี่ยงเรื่องวุ่นวายมากมายได้ ปีนั้นข้าไม่ตั้งครรภ์อยู่นาน อนุภรรยาทั้งสองคนของพ่อเจ้าต่างก็ให้กำเนิดบุตรชาย ข้าโดนมารดาสามีกดดัน อนุภรรยาเยาะเย้ยทั้งต่อหน้าและลับหลัง บิดาของเจ้าเอาแต่นิ่งดูดาย ข้าทนรับความเจ็บช้ำน้ำใจมากมายไม่ไหว” เมื่อเอ่ยถึงเรื่องในวัยสาวของตนเอง ฮูหยินผู้เฒ่ากู้ก็หลั่งน้ำตาแห่งความชอกช้ำในใจ โชคดีที่นางให้กำเนิดบุตรชายตอนอายุยี่สิบห้า สถานการณ์ถึงค่อย ๆ ดีขึ้น ความทุกข์ที่ก่อนหน้านี้เคยได้รับ นางไม่อยากให้ลูกสะใภ้ต้องทนรับเช่นกันกู้จิ่งซีตะลึงงัน ก่อนผงกศีรษะ “ท่านแม่โปรดวางใจ ลูกไม่มีทางปล่อยให้นางโดนรังแก นางคือฮูหยินของท่านโหว เป็นตัวแทนศักดิ์ศรีของสกุลกู้ หากคนอื่นดูหมิ่นนาง ลูกก็ไม่มีหน้าแล้วเช่นกัน”ฮูหยินผู้เฒ่ากู้ไม่ค่อยพอใจกับคำตอบนี้จึงเอ่ยว่า “วางเรื่องมีหน้าหรือไม่มีหน้าไว้ข้าง ๆ ก่อน อย่างน้อยเจ้าต้องปฏิบัติต่อนางเหมือนภรรยา เมื่อก่อนนางเป็นว่าที่ลูกสะใภ้ของเจ้า แต่บัดนี้
เรือนเวยหรุยเซวียนบ่าวไพร่ในเรือนเห็นเมิ่งจิ่นเหยากลับมาจากการไปหาฮูหยินผู้เฒ่า โดยมีเพียงสาวใช้คนสนิทของนางอยู่ข้างกาย ท่านโหวไม่ได้มาด้วย สายตาที่มองนางก็แปรเปลี่ยนไปเล็กน้อยจริงอยู่ที่สุดท้ายนางบีบบังคับให้ท่านโหวแต่งงานกับนาง และทำให้ท่านโหวขายหน้า กลายเป็นที่ขบขันไปด้วย ท่านโหวจะสนใจตัวต้นเหตุอย่างนางได้อย่างไร?นางเป็นเพียงบุตรสาวจากตระกูลตกอับ อาศัยสัญญาหมั้นหมายที่ตกลงกันไว้ในรุ่นท่านโหวผู้เฒ่าแต่งงานกับซื่อจื่อได้ก็เป็นการปีนขึ้นที่สูงแล้ว ซื่อจื่อหลบหนีการแต่งงาน จวนโหวให้จัดพิธีแต่งงานตามที่กำหนดไว้เพื่อรับนางเข้ามา นี่เป็นการไว้หน้านางแล้ว ใครจะรู้ว่านางจะก่อปัญหาสร้างเรื่องราวที่น่าตกตะลึงเช่นนี้ ไม่แต่งงานกับซื่อจื่อ ทว่าแต่งงานกับท่านโหวอย่างไร้ยางอาย ใครจะรู้ว่านางทำเพื่อแก้แค้นซื่อจื่อหรือเปล่า ถึงได้ไม่เป็นภรรยาของซื่อจื่อ แต่เป็นมารดาของซื่อจื่อแทน ซื่อจื่อย่อมมีความผิด แต่การที่นางแต่งงานกับว่าที่บิดาสามีในตอนแรกก็เป็นเรื่องเหลวไหลอย่างยิ่ง ต่อให้ไม่แต่งงานกับซื่อจื่อ จะแต่งงานกับคุณชายรองหรือคุณชายสี่ก็ได้ทันทีที่เข้ามาในห้อง หนิงตงก็อดกล่าวไม่ได้ว่า “ฮ
มุมปากของเมิ่งจิ่นเหยายิ่งโค้งขึ้น รอยยิ้มเอ่อล้นดวงตา แววตาสวยวิจิตร แม้แต่น้ำเสียงก็เปี่ยมไปด้วยความยิ้มแย้ม “นี่ท่านพี่พูดเองนะ”นางไม่คิดว่ากู้จิ่งซีจะพูดง่ายเช่นนี้ ถึงอย่างไรก็เป็นคนมีอายุ ชายชราอายุใกล้สามสิบ อีกไม่กี่ปีก็จะถึงวัยที่ต้องเป็นปู่คนแล้ว ดังนั้นจึงมีนิสัยใจคอที่ค่อนข้างเป็นกันเองอย่างกู้ซิวหมิงนั้นพูดคุยด้วยยาก คอยวางท่าอยู่เสมอ ให้ความรู้สึกว่าอยู่เหนือกว่าผู้อื่น เห็นทีนางคงตัดสินใจถูกแล้วที่แต่งงานกับกู้จิ่งซีเมื่อวานนี้ ต่อให้ต้องเป็นม่ายไปตลอดชีวิตก็ยอมรับได้กู้จิ่งซีมองท่าทางดีใจของนาง นางผู้มีความสุขุมเยือกเย็นแทบจะไม่เคยแสดงท่าทีปราดเปรียวอย่างที่เด็กสาวควรมีเลย แต่ถึงอย่างไรก็ยังเป็นเด็กสาวอยู่ ไม่ว่าจะเป็นผู้ใหญ่และสุขุมเพียงใด ก็ต้องมีลักษณะท่าทางที่เด็กสาวควรมีเขาตอบว่า “อืม ข้าพูดเอง”ทั้งสองคนอายุห่างกันมาก ไม่คุ้นเคยกันก็ไม่เป็นไร จับคลุมถุงชนเอาเสียเลย พูดเรื่องสำคัญจบต่างคนต่างก็มองหน้ากันไม่พูดจา กู้จิ่งซีไม่อยากอยู่กับเด็กน้อย จึงหาข้ออ้างเพื่อออกไปจากที่นี่เมิ่งจิ่นเหยารีบดำเนินการทันที สั่งให้สาวใช้จัดห้องใหม่ตามความชอบของตัวเอง ภายในห
สาวใช้ทั้งสองสั่นศีรษะเป็นกลองสั่น “ข้าน้อยก็ไม่ได้ตั้งใจ ข้าน้อยจะไม่กุเรื่องล้อเลียนฮูหยินอีกแล้ว ฮูหยินโปรดอย่าโกรธเลย”เมิ่งจิ่นเหยาสีหน้าขรึมลงทันที พลางเอ่ยเสียงต่ำ “ไม่ว่าข้าจะแต่งงานกับท่านโหวอย่างไร ตอนนี้ข้าก็เป็นนาย พวกเจ้าเป็นบ่าว กุเรื่องล้อเลียนเจ้านาย สาวใช้ที่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง เรือนเวยหรุยเซวียนจะเก็บไว้ไม่ได้”นางพูดพร้อมกับเลื่อนสายตาไปที่ชิงชิวและหนิงตง “ชิงชิว หนิงตง ตบปากคนละยี่สิบครั้ง จากนั้นมอบพวกนางให้เป็นหน้าที่ของพ่อบ้าน ส่งไปอยู่ที่หมู่บ้านในชนบท”ชิงชิวและหนิงตงตอบรับ “เจ้าค่ะ ฮูหยิน”ทันทีที่สิ้นเสียง สาวใช้อีกสามคนที่ไม่ได้ร่วมวงนินทาก็ถึงกับอึ้งไป สองคนนี้เป็นสาวใช้ชั้นสองในเรือน ฮูหยินบอกจะส่งพวกนางออกไปก็ส่งไปเลยหรือ? จู่ ๆ ก็รู้สึกโชคดีเหลือเกินที่ตัวเองไม่ชอบนินทาใคร ไม่เช่นนั้นพวกนางต้องลำบากเหมือนกันแน่สาวใช้สองนางนั้นใบหน้ายิ่งซีดเผือดราวกับกระดาษ ตัวสั่นระริก โขกหัวอ้อนวอน “ฮูหยิน ข้าน้อยผิดไปแล้ว เป็นเพราะข้าน้อยปากมาก ข้าน้อยปากไม่ดีเอง ฮูหยินได้โปรดยกโทษให้ข้าน้อยสักครั้ง ข้าน้อยทำงานในจวนท่านโหวมาตั้งแต่ยังเล็ก รับใช้นายอย่างสุดความ
เรื่องราวจบลงแล้ว ภายในห้องกลับมาเงียบสงบอีกครั้งหนึ่ง กู้จิ่งซีสังเกตเห็นแววตาใคร่รู้ของเมิ่งจิ่นเหยา จึงถามขึ้นว่า “ทำไมฮูหยินมองข้าเช่นนี้?”เมิ่งจิ่นเหยาส่ายหัวเล็กน้อย “ไม่มีอะไร ข้ายังนึกว่าท่านพี่จะตัดใจส่งพวกนางไปที่หมู่บ้านในชนบทไม่ได้”กู้จิ่งซีพูดไปตามเหตุตามผล “สาวใช้ขี้นินทาไม่สมควรเก็บไว้ ไม่มีอะไรให้อาลัยอาวรณ์” พูดจบ เขาก็เหลือบมองภรรยาตัวน้อย แม่นางน้อยคนนี้จะได้มาเป็นลูกสะใภ้ของเขาในตอนแรก แต่จับพลัดจับผลูมาเป็นภรรยาของเขา แม้แต่สาวใช้ของเรือนเวยหรุยเซวียนก็ยังกุเรื่องล้อเลียนลับหลัง ต่อไปเรื่องซุบซิบที่ต้องเผชิญคงจะมีไม่น้อยเลย“ด้วยสถานะของท่านพี่ การมีสาวใช้ต้นห้องที่ถูกอกถูกใจหลายคนนั้นเป็นเรื่องปกติ สาวใช้สองคนเมื่อครู่นี้ต่างมีความโดดเด่นเป็นของตัวเอง รูปโฉมเลิศล้ำ” เมิ่งจิ่นเหยาพูดไปก็นึกถึงรูปลักษณ์ของสาวใช้ทั้งสองเมื่อครู่ ช่างงดงามจริง ๆ คนหนึ่งผอมเพรียว คนหนึ่งอ้วนท้วนสมบูรณ์ ต่างมีเอกลักษณ์ของตัวเอง สาวใช้ที่ดูดีเช่นนี้ โดยทั่วไปมักจะไม่ได้เป็นเพียงสาวใช้ธรรมดาเท่านั้นได้ยินดังนั้น กู้จิ่งซีก็ขมวดคิ้วบาง ๆ ก่อนจะถามอย่างคลุมเครือ “ฮูหยินคิดว่าข้ามีสาว
หลังจากเหตุการณ์นี้ผ่านไป สายตาของบ่าวรับใช้ในเรือนเวยหรุยเซวียนที่มีต่อเมิ่งจิ่นเหยาก็เปลี่ยนไป กลายเป็นเคารพขึ้นมาทันทีใครจะคิดว่าฮูหยินที่ดูหวานหยาดเยิ้มผู้นี้จะมีอุบายอันแยบยลอย่างแท้จริง ลงโทษสาวใช้ชั้นสองสองคนต่อหน้าท่านโหว ส่งพวกนางไปอยู่ที่หมู่บ้านในชนบท แล้วยังได้รับการสนับสนุนจากท่านโหวอีกด้วยความเคลื่อนไหวในเรือนเวยหรุยเซวียนใหญ่โตเช่นนี้ ข่าวคราวย่อมแพร่ไปถึงบ้านใหญ่ บ้านรอง รวมถึงฮูหยินผู้เฒ่าเป็นเรื่องธรรมดาฮูหยินใหญ่นางจางขมวดคิ้ว ถามสาวใช้ที่มาส่งข่าว “เจ้าแน่ใจหรือว่าตอนนั้นท่านโหวก็อยู่ด้วย?”สาวใช้พยักหน้าตอบว่า “ได้ยินว่าท่านโหวกลับมาพอดี เห็นสาวใช้ถูกลงโทษ หลังจากสอบถามความเป็นมาของเรื่องราวแล้ว ก็สนับสนุนการตัดสินใจของฮูหยินท่านโหว ตบปากยี่สิบครั้ง ขับไล่ไปอยู่ที่หมู่บ้านในชนบทเจ้าค่ะ”นางจางโบกมือบอกให้สาวใช้ออกไป หลังจากสาวใช้ออกไปแล้ว นางก็หันหน้าไปมองกู้จิ่งเซิ่งผู้เป็นสามี แล้วพูดว่า “ท่านพี่ เห็นทีน้องสะใภ้สามของเราคนนี้จะไม่ธรรมดา”กู้จิ่งเซิ่งไม่คิดเช่นนั้น “ก็แค่เด็กสาวไร้เดียงสาวัยสิบหกปีเท่านั้น ยังเด็กกว่าซิวหย่วนของเราตั้งสองปี จะมีอะไรธรรมดา
ท่านพ่อรักเมิ่งจิ่นเหยามากเพียงนั้น ก็ไม่แน่เมิ่งจิ่นเหยาอาจคอยพูดข้างหมอน ท่านพ่อถึงได้ช่วยพาเมิ่งเฉิงจางเข้าสำนักศึกษาหลิงซานด้วย สำนักศึกษาหลิงซาน แม้แต่เขาที่เป็นบุตรชายยังไม่สามารถเข้าเรียนได้เลยด้วยซ้ำ แต่ท่านพ่อกลับพาคนอื่นเข้าไป หนำซ้ำยังช่วยพาเข้าไปถึงสองคน ในใจเขารู้สึกไม่ยินยอม กวาดสายตาประเมินเมิ่งเฉิงจางตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าไปหนึ่งที ส่งเสียงฮึ่มออกมาเบาๆ “จริงอย่างที่ว่าหนึ่งคนบรรลุเซียน หมูหมากาไก่ก็พลอยได้ขึ้นสวรรค์ด้วย พอพี่สาวไต่เต้าขึ้นมาจนได้ดี คนเป็นน้องชายก็พลอยได้รับผลประโยชน์ไปด้วย” ถ้อยคำนี้แม้มิได้ชี้ชัด ทว่าความหมายกลับชัดเจนในตัว ว่ากำลังถากถางเมิ่งเฉิงจางที่อาศัยความสัมพันธ์ของพี่สาว เพื่อให้พี่เขยช่วยพาตนเองเข้าเรียนที่สำนักศึกษาหลิงซาน เมิ่งเฉิงจางสีหน้ามืดครึ้มลงในทันใด สีหน้าของกู้ซิวเหวินก็ดูย่ำแย่เช่นกัน พี่สามไม่เข้าใจเรื่องราวอะไร ทว่าเขาเข้าใจกระจ่าง น้องชายของน้าสะใภ้สามท่านนี้แม้อายุยังน้อย แต่ก็เป็นคนที่เก่งกาจมีพรสวรรค์อย่างแท้จริง พี่สามไม่ทำความเข้าใจให้ดี แต่อาศัยจินตนาการเพ้อเจ้อของตนเองเข้าใจผิดไปว่าอีกฝ่ายต้องใช้เส้นสาย เขาดึงหน
แสงอาทิตย์ยามเช้าตรู่ช่างอ่อนโยน เหมาะสำหรับเดินเล่นยิ่งนัก กู้ซิวเหวินต้อนรับผู้มาเยือนอย่างกระตือรือร้นและเป็นมิตร พาเมิ่งเฉิงจางเข้ามาเยี่ยมชมภายในจวน ทำความคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมภายในจวนได้ครู่หนึ่ง ระหว่างทางก็ถูกใครบางคนเรียกให้เข้าไปหา ก่อนจะขอปลีกตัวออกไปสักพัก ก็ได้บอกให้เมิ่งเฉิงจางเดินชมสภาพแวดล้อมไปก่อนพลาง ๆ เมิ่งเฉิงจางเห็นทัศนียภาพงดงามโดดเด่น ครู่เดียวก็หลงใหลไปกับความงดงามของทัศนียภาพ คิดไม่ถึงว่าเดินไปเดินมาสุดท้ายจะหลงทาง มีเส้นทางอยู่มากมาย ไม่รู้ว่าควรเดินเส้นทางใดเพื่อกลับไปจุดเดิม ครั้นกู้ซิวเหวินกลับมาไม่เห็นคน ก็รู้ทันทีว่าเขาน่าจะหลงทางแล้ว จึงรีบออกตามหาทันที ระหว่างทางบังเอิญเจอกู้ซิวหมิงและหลี่อี๋เหนียงเดินเข้ามา สองคนกำลังเดินเล่นอย่างสบายใจ คุยกันบ้าง หัวเราะกันบ้าง ในแววตาเจือความพิสมัยลุ่มลึกหวานชื่น บุรุษเก่งกาจมีความสามารถสตรีโฉมงามเพริศพริ้ง มองปราดเดียวก็เห็นถึงความเหมาะสมอย่างยิ่ง เขาเดินเข้าไปทักท่าน “พี่สาม หลี่อี๋เหนียง” หลายวันที่ผ่านมาหลี่อี๋เหนียงได้เรียนรู้ระเบียบประเพณีแล้ว เข้าใจชัดเจนว่าเมื่อใดที่ตนพบเจ้านายไม่ว่าเป็นท่านใดในจวนล
คล้ายว่าการนอนหงายจะทำให้รู้สึกไม่ปลอดภัย นางจึงพลิกตัวนอนตะแคงข้าง ขดตัว และยังคงร้องไห้ไม่หยุด นี่คงจะกำลังฝันร้ายอยู่สินะ กู้จิ่งซีมองแม่นางน้อยกำลังร้องไห้ และเสียงสะอื้นไห้ยิ่งดังขึ้นทุกเสี้ยวขณะ เขาที่ไม่เคยมีประสบการณ์ปลอบโยนเด็กน้อยมาก่อนค่อนข้างทำตัวไม่ถูก ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรก่อนดี หากเป็นเช่นนี้ต่อไป จนสาวใช้ที่อยู่เฝ้ายามดึกข้างนอกได้ยินเข้า อาจจะคิดไปไกลถึงไหนแล้วก็ไม่รู้ เขาครุ่นคิดครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเลื่อนมือไปลูบแผ่นหลังของแม่นางน้อยอย่างประดักประเดิด และปลอบโยนด้วยเสียงอบอุ่นว่า “ฮูหยินอย่าร้องไห้เลย ไม่เป็นอะไรแล้ว อย่าร้องไห้เลย” ไม่รู้ใช่เพราะได้ยินเสียงนี้หรือไม่ เมิ่งจิ่นเหยาเขยิบเข้ามาข้างกายเขาตามสัญชาตญาณ อิงแอบเขาไว้และยังคงร้องไห้ต่อไป กู้จิ่งซีจำต้องยอมรับชะตากรรมไป ได้แต่ภาวนาให้นางรีบหยุดสะอื้น ไม่เช่นนั้นหากคนอื่นได้ยินเข้าจะดูไม่งาม กลางดึกผู้คนเงียบสงัดหากมีเสียงสะอื้นไห้ของนางแว่วดังออกมาจากห้องนอน ต่อให้จะไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น ก็หนีไม่พ้นต้องถูกเข้าใจผิดแน่ “ฮูหยินอย่าร้องไห้เลย ไม่ต้องร้องแล้ว มันก็แค่ฝันร้าย” กู้จิ่งซีปลอบโยนด้วย
คืนนั้น เมิ่งจิ่นเหยาฝัน ในฝันเฉิงอวี่กำลังร้องไห้โยเยไม่ยอมดื่มยา ตู้อี๋เหนียงแม้ใช้เสียงนุ่มนวลปลอบโยนอยู่นานครู่ใหญ่แล้วแต่ก็ยังไม่เป็นผล เห็นเจ้าตัวเล็กร้องไห้จนหน้าแดง แม้กระทั่งลมหายใจก็เริ่มไม่เป็นจังหวะ ตู้อี๋เหนียงกลัวว่าเจ้าเด็กน้อยร้องไห้จนขาดใจ ก็ไม่กล้าบังคับให้เจ้าเด็กน้อยดื่มยาอีก ได้แต่ปลอบโยนด้วยเสียงนุ่มนวล “เฉิงอวี่เด็กดี เฉิงอวี่ไม่อยากกิน เช่นนั้นก็ไม่ต้องกินแล้วนะ” เอ่ยพลางก็หันไปส่งสายตาให้สาวใช้ข้างกาย สาวใช้ผงกศีรษะ รีบออกไปตามหาคนช่วยกู้สถานการณ์ ทว่าสาวใช้แค่คิดจะออกไป เมิ่งจิ่นเหยาตัวน้อยก็เข้ามาพอดี ตู้อี๋เหนียงเห็นนาง ราวกับเห็นดวงดาวช่วยชีวิต เผยรอยยิ้มอบอุ่นออกมา “คุณหนูใหญ่ท่านมาแล้ว เฉิงอวี่ไม่ยอมดื่มยาอีกแล้ว ท่านช่วยมาปลอบโยนเขาหน่อยเถิด เขาเชื่อฟังท่านที่สุดแล้ว” “พี่…แค่ก…พี่หญิงใหญ่” เฉิงอวี่เห็นนาง ทันใดนั้นก็หยุดร้อง และยื่นมือออกมาขอให้นางกอด เมิ่งจิ่นเหยาตัวน้อยก้าวขาสั้น ๆ วิ่งเข้าไปหา ให้สาวใช้อุ้มขึ้นเตียงแล้ว นางก็ยื่นมือออกไปกอดน้องชายที่ป่วยอยู่ พลางเอ่ยวาจาปลอบโยนด้วยเสียงอ้อแอ้ของเด็กน้อย “เฉิงอวี่เด็กดี ดื่มยานี่อีกแค่
เมิ่งจิ่นเหยาหน้าถอดสี คิดถึงท่าทางหมดอาลัยตายอยากเมื่อสักครู่ของตนเองขึ้นมา ช่างน่าอับอายขายหน้าเสียจริง นางลดมือลงอย่างกระอักกระอ่วน เอ่ยด้วยใบหน้าเหยเก “แล้วอย่างไร คนเราก็ต้องมีช่วงเวลาที่ความคิดเพี้ยนผิดไปบ้าง ฟังถ้อยคำตักเตือนของท่านพี่แล้ว ข้าเองก็คงไม่ทำอะไรเช่นนั้นอีกแล้วเจ้าค่ะ” นางเอ่ยพลาง ก็ผินใบหน้าไปทางอื่น ขอบตาแดงรื้น รีบกะพริบตารัว ๆ หวังจะไล่น้ำตาให้ไหลย้อนกลับไป ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงสุขุมว่า “แม้เฉิงอวี่จะวัยเพียงสองขวบ แต่เขาก็รักทะนุถนอมข้ามาก ๆ ตอนเด็กที่ข้าเคยสะดุดก้อนหิน จนตนเองหกล้มเขายังเจ็บปวดหัวใจอย่างกับอะไรดี เด็กน้อยคนนั้นด่าทอสาปแช่งเจ้าหินก้อนนั้นอยู่นานเชียว ด่าว่ามันนิสัยไม่ดี หากเขาเห็นข้าได้รับบาดเจ็บ เขาต้องเจ็บหัวใจแน่” กู้จิ่งซีฟังอยู่อย่างเงียบเชียบ แม้เขาจะอาศัยในครอบครัวที่พอจะเรียกได้ว่ารักใคร่ปรองดองกันบ้าง แต่ก็ไม่เคยมีน้องชายแบบนี้มาก่อน เขากับพี่ชายมิได้มีความผูกพันกันแน่นแฟ้นอะไร พี่ชายทั้งสองคนแม้อาวุโสกว่า แต่ก็ยำเกรงเขา ให้ความเคารพเขามาก ความสนิทสนมใกล้ชิดจึงมีไม่เพียงพอ เขาเอ่ยด้วยเสียงอบอุ่น “เช่นนั้นฮูหยินโปรดจำใส่ใจ อย่าให
ผ่านไปนานครู่ใหญ่ เมิ่งจิ่นเหยาช้อนสายตาขึ้น มองกู้จิ่งซีตาไม่กะพริบ สายตาคู่นั้นเป็นประกายจนน่าตกใจ คล้ายกับมองเห็นหญ้าฟางช่วยชีวิตในยามเข้าตาจน ก็ถามด้วยความตื่นเต้น “สำหรับเรื่องการหาเรื่องให้ผู้อื่นอารมณ์เสีย ท่านพี่มีความคิดเห็นว่าอย่างไรหรือเจ้าคะ?” กู้จิ่งซีเห็นแม่นางน้อยกลับมาฮึกเหิมมีพลังได้รวดเร็วเพียงนั้น ก็แอบถอนหายใจโล่งอกออกมากับตนเอง มีเรี่ยวแรงกลับมาสู้ต่อนั่นก็ดีแล้ว ท่าทางหมดอาลัยตายอยากเมื่อครู่ ทำให้กลัวว่านางจะคิดสั้นมากเสียจริง ดรุณีน้อยวัยเพียงสิบกว่าขวบ ชีวิตเพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น หากต้องจบลงไปแบบนั้นแล้วก็น่าเสียดายเหลือเกิน เขาครุ่นคิดบางอย่าง “ฮูหยินต้องรับความผิดโดยไม่เป็นธรรมเช่นนั้นแล้ว ถึงคราวต้องคืนความผิดนี้กลับสู่คนร้ายตัวจริง” เมิ่งจิ่นเหยามุ่นหัวคิ้วขึ้น พริบตาเดียวก็ห่อเหี่ยวลงมา “เรื่องผ่านไปตั้งสิบเอ็ดปีแล้ว เบาะแสจากเมื่อปีก่อนนั้นคงจะถูกลบเลือนจางหายไปตามเวลาแล้ว อาศัยเพียงลมปากไม่มีหลักฐาน คิดจะจับตัวคนทำผิดกลับมาคงไม่ง่ายแล้วเจ้าค่ะ” กู้จิ่งซีถาม “เรื่องนี้นอกจากเจ้าแล้ว ยังมีผู้ใดรู้อีกบ้าง?” เมิ่งจิ่นเหยาตอบตามความจริง “ท่านปู่รู้
นางตอบคำถามที่กู้จิ่งซีถามมาก่อนหน้านี้ “ถูกกระทำเจ้าคะ”เมื่อกล่าวจบ น้ำเสียงของนางก็สะอื้นเล็กน้อย พลางกล่าวต่อว่า “ตอนนั้นไม่มีคนบังคับข้า เป็นเพียงความผิดพลาดที่ให้เกิดขึ้นเท่านั้น ข้าถึงได้รู้ว่าตนเองตกหลุมพรางโดยไม่ได้เตรียมตัวป้องกันเลยแม้แต่น้อย อยากจะแก้ไขแต่ก็สายเกินไปเสียแล้ว”กู้จิ่งซีตอบกลับ “ผู้ที่ไม่รู้ย่อมไม่มีความผิด นั่นมิใช่ความผิดของเจ้า เป็นความผิดของผู้ที่อยู่เบื้องหลังทั้งหมด”“มิใช่งั้นหรือเจ้าคะ?”เมิ่งจิ่นเหยากระซิบแผ่วเบา แววตาว่างเปล่า ท่าทางเหม่อลอยเล็กน้อย เมื่อนึกถึงร่างเย็นยะเยียบเล็ก ๆ ที่นอนอยู่ภายในโลงศพ ในใจของนางก็บีบรัดจนเจ็บขึ้นมา เดิมทีเฉิงอวี่ไม่จำเป็นต้องตาย“ต้องไม่ใช่อยู่แล้ว”กู้จิ่งซีให้คำตอบยืนยัน เมื่อเห็นนางจมอยู่ในความโศกเศร้า โทษตนเองและรู้สึกผิด เกลียดชังอย่างถึงที่สุด ก็สามารถคาดเดาได้ว่าคนผู้นั้นจะต้องสำคัญกับนางมากเป็นแน่ จึงถามนางต่อ “มิสู้ฮูหยินลองบอกกับข้าก่อนสักหน่อยได้หรือไม่ ว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่?”เมิ่งจิ่นเหยาเงยหน้ามองบุรุษที่อยู่อยู่ตรงหน้า คิดในใจว่าผู้ที่ชอบธรรมและน่าเกรงขามเช่นเสนาบดีกู้คงไม่แพร่เรื่องนี้อ
แม่นางน้อยนั่งอย่างงงงัน ก็ไม่รู้ว่าภายในใจกำลังคิดอะไรอยู่ ทว่าอารมณ์ค่อนข้างมั่นคงกู้จิ่งซีถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ฮูหยิน ตอนนี้สามารถบอกได้แล้วหรือไม่?”บอกอันใดเจ้าคะ?เมิ่งจิ่นเหยาเงยหน้ามองเขาอย่างไม่เข้าใจเหตุผลกู้จิ่งซีตอบกลับไปว่า “บอกว่าวันนี้เจ้าไปที่ไหนและทำอันใดมาบ้าง?”เมิ่งจิ่นเหยาก้มศีรษะลง เงียบงันไปชั่วครู่แล้วตอบด้วยเสียงแผ่วเบา “กลับไปบ้านมารดามาเจ้าค่ะ”มีคับข้องใจปกคลุมอยู่ในน้ำเสียง รวมถึงความเกลียดชังที่ยากจะดูออกสีหน้าของกู้จิ่งซีชะงักไปชั่วครู่ ดูเหมือนแม่นางน้อยจะไม่เคยรู้สึกน้อยใจเพราะเรื่องของบ้านมารดามาก่อน เพราะว่าไม่ใส่ใจ ดังนั้นจิตใจจึงสงบนิ่งดังสายน้ำ จากนั้นจึงถามต่อว่า “เหตุใดอยู่ ๆ ถึงได้กลับไปบ้านมารดาเล่า?”เมิ่งจิ่นเหยาตอบตามความจริง “พ่อบ้านบอกว่าท่านย่าล้มป่วย จึงกลับไปดูสักหน่อยเจ้าคะ คิดไม่ถึงว่าจะทำเพื่อเรื่องอื่น น้องรองผ่านการประเมินของสำนักศึกษาหลิงซาน และใกล้จะได้ไปร่ำเรียนที่สำนักศึกษาหลิงซาน เมิ่งเฉิงซิงกลับไม่ผ่านการประเมิน พวกท่านย่าของข้ารู้ว่าท่านกับหัวหน้าสำนักศึกษาหลิงซานเป็นสหายต่างวัยกัน จึงให้ข้ามาพูดกับท่าน ให้ไปห
ยามที่บุรุษดูแลใครสักคนท่าทางอ่อนโยน พิถีพิถัน การเคลื่อนไหวชำนิชำนาญ ราวกับเคยทำมาแล้วหลายครั้งหลายคราเมิ่งจิ่นเหยาดูเหมือนจะมองเห็นเงาร่างของท่านปู่ผ่านกู้จิ่งซีได้อย่างเลือนราง ท่านปู่ตามใจเพียงแค่นางเท่านั้น ไม่เพียงแต่ตัดแต่งเล็บให้นาง ยังมัดผมเป็นเปียเล็ก ๆ สองข้างให้นาง และเล่านิทานให้นางฟังด้วยกู้จิ่งซีในเวลานี้ดูคล้ายกับท่านปู่อยู่บ้าง แต่กลับไม่ใช่ท่านปู่ เขาอ่อนโยน ส่วนท่านปู่คือความรักและเมตตาเมิ่งจิ่นเหยาอยากรู้ “ก่อนหน้านี้ท่านพี่เคยดูแลเด็กอยู่บ่อยครั้งหรือเจ้าคะ?”เด็กที่นางพูด หมายถึงกู้ซิวหมิงการเคลื่อนไหวของกู้จิ่งซีหยุดชะงักไปชั่วครู่ มองดูนางพลางยิ้มแล้วกล่าวว่า “เปล่าหรอก นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าดูแลเด็ก โชคดีที่เด็กว่านอนสอนง่าย ไม่ก่อกวนเท่าใดนัก มิเช่นนั้นข้าคงดูแลไม่ไหว” เมื่อเมิ่งจิ่นเหยาได้ฟัง ก็ก้มหน้าลงไม่มองเขา ใบหน้าเต็มไปด้วยความไม่สบายใจ พลางกล่าวเสียงแผ่วเบา “ท่านพี่เป็นท่านโหว จะมาดูแลผู้อื่นได้อย่างไรกัน? ให้สาวใช้มาทำให้ก็พอแล้วเจ้าค่ะ”กู้จิ่งซียิ้มมุมปาก กล่าวตามเหตุตามผล “หากว่าเจ้าอยากให้สาวใช้มาดูแล จะอยู่ภายในห้องเพียงลำพังได้อย่างไร