เรื่องราวจบลงแล้ว ภายในห้องกลับมาเงียบสงบอีกครั้งหนึ่ง กู้จิ่งซีสังเกตเห็นแววตาใคร่รู้ของเมิ่งจิ่นเหยา จึงถามขึ้นว่า “ทำไมฮูหยินมองข้าเช่นนี้?”เมิ่งจิ่นเหยาส่ายหัวเล็กน้อย “ไม่มีอะไร ข้ายังนึกว่าท่านพี่จะตัดใจส่งพวกนางไปที่หมู่บ้านในชนบทไม่ได้”กู้จิ่งซีพูดไปตามเหตุตามผล “สาวใช้ขี้นินทาไม่สมควรเก็บไว้ ไม่มีอะไรให้อาลัยอาวรณ์” พูดจบ เขาก็เหลือบมองภรรยาตัวน้อย แม่นางน้อยคนนี้จะได้มาเป็นลูกสะใภ้ของเขาในตอนแรก แต่จับพลัดจับผลูมาเป็นภรรยาของเขา แม้แต่สาวใช้ของเรือนเวยหรุยเซวียนก็ยังกุเรื่องล้อเลียนลับหลัง ต่อไปเรื่องซุบซิบที่ต้องเผชิญคงจะมีไม่น้อยเลย“ด้วยสถานะของท่านพี่ การมีสาวใช้ต้นห้องที่ถูกอกถูกใจหลายคนนั้นเป็นเรื่องปกติ สาวใช้สองคนเมื่อครู่นี้ต่างมีความโดดเด่นเป็นของตัวเอง รูปโฉมเลิศล้ำ” เมิ่งจิ่นเหยาพูดไปก็นึกถึงรูปลักษณ์ของสาวใช้ทั้งสองเมื่อครู่ ช่างงดงามจริง ๆ คนหนึ่งผอมเพรียว คนหนึ่งอ้วนท้วนสมบูรณ์ ต่างมีเอกลักษณ์ของตัวเอง สาวใช้ที่ดูดีเช่นนี้ โดยทั่วไปมักจะไม่ได้เป็นเพียงสาวใช้ธรรมดาเท่านั้นได้ยินดังนั้น กู้จิ่งซีก็ขมวดคิ้วบาง ๆ ก่อนจะถามอย่างคลุมเครือ “ฮูหยินคิดว่าข้ามีสาว
หลังจากเหตุการณ์นี้ผ่านไป สายตาของบ่าวรับใช้ในเรือนเวยหรุยเซวียนที่มีต่อเมิ่งจิ่นเหยาก็เปลี่ยนไป กลายเป็นเคารพขึ้นมาทันทีใครจะคิดว่าฮูหยินที่ดูหวานหยาดเยิ้มผู้นี้จะมีอุบายอันแยบยลอย่างแท้จริง ลงโทษสาวใช้ชั้นสองสองคนต่อหน้าท่านโหว ส่งพวกนางไปอยู่ที่หมู่บ้านในชนบท แล้วยังได้รับการสนับสนุนจากท่านโหวอีกด้วยความเคลื่อนไหวในเรือนเวยหรุยเซวียนใหญ่โตเช่นนี้ ข่าวคราวย่อมแพร่ไปถึงบ้านใหญ่ บ้านรอง รวมถึงฮูหยินผู้เฒ่าเป็นเรื่องธรรมดาฮูหยินใหญ่นางจางขมวดคิ้ว ถามสาวใช้ที่มาส่งข่าว “เจ้าแน่ใจหรือว่าตอนนั้นท่านโหวก็อยู่ด้วย?”สาวใช้พยักหน้าตอบว่า “ได้ยินว่าท่านโหวกลับมาพอดี เห็นสาวใช้ถูกลงโทษ หลังจากสอบถามความเป็นมาของเรื่องราวแล้ว ก็สนับสนุนการตัดสินใจของฮูหยินท่านโหว ตบปากยี่สิบครั้ง ขับไล่ไปอยู่ที่หมู่บ้านในชนบทเจ้าค่ะ”นางจางโบกมือบอกให้สาวใช้ออกไป หลังจากสาวใช้ออกไปแล้ว นางก็หันหน้าไปมองกู้จิ่งเซิ่งผู้เป็นสามี แล้วพูดว่า “ท่านพี่ เห็นทีน้องสะใภ้สามของเราคนนี้จะไม่ธรรมดา”กู้จิ่งเซิ่งไม่คิดเช่นนั้น “ก็แค่เด็กสาวไร้เดียงสาวัยสิบหกปีเท่านั้น ยังเด็กกว่าซิวหย่วนของเราตั้งสองปี จะมีอะไรธรรมดา
จวนหย่งชางป๋อหย่งชางป๋อเมิ่งตงหย่วนและนางซุนผู้เป็นภรรยาไปที่โถงหรงฝูของฮูหยินผู้เฒ่าเมิ่ง เพื่อเยี่ยมเยียนคารวะฮูหยินผู้เฒ่าเมิ่ง ตอนที่พวกเขาไป สกุลเมิ่งรุ่นหลานก็มาถึงกันหมดแล้วลูกสาวคนรองเมิ่งจิ่นอวี้และลูกชายคนที่สามเมิ่งเฉิงซิงล้วนเกิดจากนางซุน ในขณะที่ลูกชายคนรองเมิ่งเฉิงจางเกิดจากอนุภรรยา ลูกชายคนโตกับเมิ่งเฉิงจางเป็นพี่น้องฝาแฝดกัน ตายตั้งแต่อายุได้สองขวบปี มารดาผู้ให้กำเนิดมีฐานะยากจน เป็นสาวใช้ต้นห้อง ล้มป่วยเมื่อลูกชายคนโตตายตั้งแต่ยังเด็ก สุดท้ายก็จากโลกนี้ไปทั้ง ๆ ที่เป็นช่วงเวลาแห่งความสุขที่ครอบครัวได้มารวมตัวกัน แต่ฮูหยินผู้เฒ่าเมิ่งกลับขุ่นเคืองใจไม่หาย บนใบหน้าไม่มีรอยยิ้มสักเท่าใดนางซุนเห็นดังนั้นก็รู้ว่าสาเหตุเกิดจากอะไร จึงออกปากขอความเห็นจากฮูหยินผู้เฒ่าเมิ่งได้อย่างถูกเวลา “ท่านแม่ วันนี้เป็นวันที่อาเหยากลับมาเยี่ยมบ้าน ท่านว่าพวกเราต้องเตรียมการอะไรบ้าง?”ทันทีที่คำพูดนี้ออกจากปากไป สกุลเมิ่งรุ่นหลานทั้งสามก็มีท่าทีแตกต่างกันไปรอยยิ้มเล็ก ๆ บนใบหน้าของฮูหยินผู้เฒ่าเมิ่งก็หายไปจนหมดสิ้นทันที ขมวดคิ้วด้วยท่าทีสงบนิ่งพลางกล่าวว่า “กว่าครอบครัวจะมารวมตัว
หลังจากสาวใช้ได้ยินเช่นนี้ก็ตกใจ รีบโขกหัวละล่ำละลัก “ฮูหยินผู้เฒ่า ท่านเขยก็กลับมากับคุณหนูใหญ่ด้วยเจ้าค่ะ”ทันทีที่พูดคำเหล่านี้ออกไป คนที่นั่งอยู่รอบ ๆ ก็ตกใจ เกิดเรื่องอื้อฉาวเช่นนี้ขึ้นในวันแต่งงาน ฉางซินโหวยังกลับบ้านมากับเมิ่งจิ่นเหยาด้วย นี่คือเรื่องที่ทุกคนไม่คาดคิดฮูหยินผู้เฒ่าเมิ่งก็ตกใจไม่น้อย พูดอย่างไม่เชื่อสายตา “เจ้าบอกว่าฉางซินโหวก็มาด้วยงั้นหรือ?”สาวใช้ตอบว่า “เจ้าค่ะ ตอนนี้ท่านเขยยังรออยู่ที่หน้าประตู”ฮูหยินผู้เฒ่าเหมิงเผยความโกรธออกมาทางสีหน้า พลางตำหนิว่า “พวกเจ้าทำงานประสาอะไร? ท่านเขยมาแล้ว ทำไมพวกเจ้าถึงปล่อยท่านเขยไว้ข้างนอก ไม่ต้อนรับเขาเข้ามาในจวน?”สาวใช้ก้มหน้าไม่กล้าตอบ ที่ในจวนกระทำกันเช่นนี้ เพราะฟังจากที่ท่านเมิ่งยังพูดด้วยซ้ำไปว่าไม่รับบุตรสาวอย่างคุณหนูใหญ่แล้ว วันนี้ไม่มีการจัดเตรียมเลยสักนิด ชัดเจนว่าไม่ต้อนรับคุณหนูใหญ่กลับบ้านในวันที่สามหลังแต่งงาน แล้วพวกเขาจะกล้าปล่อยให้คุณหนูใหญ่และท่านเขยเข้ามาโดยพลการได้อย่างไร?ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาถามหาความรับผิดชอบจากบ่าวรับใช้ “นางซุนรีบไกล่เกลี่ยสถานการณ์ แล้วพูดว่า “ท่านแม่ บ่าวรับใช้มีตาหามี
ผ่านไปไม่นาน ประตูจวนก็เปิดออก เมิ่งตงหย่วน นางซุน รวมถึงเด็กรุ่นหลังอีกสามคนก็มาถึงทางเข้าประตูใหญ่กู้จิ่งซีก็ลงจากรถม้าเช่นกัน พลางชำเลืองมองภรรยาตัวน้อยที่ยืนอยู่บนรถม้า กำลังเตรียมตัวจะลงมา เขาครุ่นคิดพลางยื่นมือไปหานางเห็นดังนั้น สีหน้าของเมิ่งจิ่นเหยาก็ชะงักงัน แต่แล้วก็ตอบสนองอย่างรวดเร็ว วางมือลงบนฝ่ามือของเขาอย่างให้ความร่วมมือ เขาช่วยประคองลงจากรถม้าภายใต้สายตาของคนในบ้านพ่อแม่ เมิ่งตงหย่วนและนางซุนเมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้สีหน้าก็เปลี่ยนไป ไม่นึกว่าบุตรสาวคนนี้ถึงจะทำให้ชื่อเสียงป่นปี้ แต่กลับได้รับความโปรดปรานจากฉางซินโหว ในที่สุดรูปโฉมอันงดงามก็ไม่เสียเปล่ารอยยิ้มของเมิ่งตงหย่วนสดใส เอาอกเอาใจพอสมควร เอ่ยขึ้นว่า “อาเหยา ท่านเขย พวกเจ้ามากันแล้วหรือ ท่านย่าของพวกเจ้ารออยู่นานแล้ว เมื่อครู่ยังบ่นถึงพวกเจ้าอยู่เลย”นางซุนมองพิจารณาเมิ่งจิ่นเหยา เห็นสีหน้าของนางเปล่งปลั่ง ไม่เหมือนกล้ำกลืนความไม่เป็นธรรมตรงไหน พลางกล่าวด้วยใบหน้ายิ้มแย้มอ่อนโยน “ท่านเขย เห็นอาเหยาของพวกเราสีหน้าดูดี ก็รู้ว่าท่านปฏิบัติต่อนางดีมาก ตั้งแต่นางออกเรือนไป คนเป็นมารดาอย่างข้าก็รู้สึกเป็นห่ว
นางซุนเห็นเช่นนี้ ก็นึกสาปแช่งอยู่ในใจ นังแพศยา!กู้จิ่งซีไม่ได้หาทางลงให้กับพวกเขาสองสามีภรรยา แต่พูดด้วยความตกใจ “อาเหยาเป็นลูกที่ท่านเมิ่งรักที่สุดหรือนี่?”เขาเหลือบมองเด็กทั้งสามคนที่อยู่ข้างหลังพวกเขาสามีภรรยา แล้วพูดอีกว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ได้โปรดปรานพวกเขาทั้งสามคนเท่าใดนัก แล้วการปฏิบัติไม่ได้ยิ่งแย่ลงไปอีกหรือ? ถึงอย่างไรก็เป็นเลือดเนื้อเชื้อไข ท่านเมิ่งทำแบบนี้กับลูก ๆ ไม่กลัวว่าในอนาคตลูก ๆ จะอกตัญญูหรือ”เมิ่งจิ่นเหยาได้ยินแล้วก็แทบจะอดหัวเราะไม่ได้ นางไม่คิดว่ากู้จิ่งซีผู้จริงจังเช่นนั้นจะพูดจาเหน็บแนมเป็นกับเขาเหมือนกัน นางเหลือบมองน้องชายน้องสาวทั้งสาม มองสีหน้าแปลก ๆ ของพวกเขา สุดท้ายสายตาก็หยุดอยู่ที่เมิ่งเฉิงจาง เห็นน้องชายคนรองก็มองมาที่ตนเช่นกัน นางฉีกยิ้มแล้วพยักหน้าเล็กน้อยเมิ่งตงหย่วนรู้สึกเก้อเขินเป็นอย่างมาก ยิ้มแหยพร้อมกับพูดว่า “ท่านเขย กับลูกก็ต้องเข้มงวด ไม่เช่นนั้นพวกเขาจะไม่เป็นโล้เป็นพาย” เขาพูดพลางหันไปมองเด็กทั้งสามคน แล้วเปลี่ยนหัวข้อสนทนาทันที โดยการแนะนำตัวเด็กทั้งสามทีละคน “ท่านเขย นี่คือน้องสาวคนรองของอาเหยาชื่ออาอวี้ น้องชายคนรองชื่อเฉิงจา
เมิ่งจิ่นเหยาและกู้จิ่งซีไม่ได้อยู่กินข้าวเที่ยง เมิ่งตงหย่วนแค่รั้งให้อยู่ต่อพอเป็นพิธีและพูดคุยไม่กี่คำก่อนจะปล่อยไป พาพวกเขามาส่งที่ประตูใหญ่ แล้วถึงจะโล่งอกแม้ว่ากู้จิ่งซีจะเป็นลูกเขย แต่สถานะและตำแหน่งยังคงอยู่ สกุลเมิ่งที่กำลังเสื่อมถอยไม่สามารถเทียบได้กับสกุลกู้ที่ฮ่องเต้กำลังโปรดปราน คับข้องใจก็ต้องทนรับไว้ด้วยเหตุนี้ เมิ่งตงหย่วนจึงอดไม่ได้ที่จะตำหนิบุตรสาวคนโตที่สร้างความยุ่งยาก กู้จิ่งซีที่ควรจะได้เป็นบิดาของสามีของครอบครัวที่ลูกหลานเกี่ยวดองกันกลับกลายมาเป็นบุตรเขย สร้างความกดดันให้เขาอย่างไม่รู้ตัว ซ้ำร้ายสกุลเมิ่งยังถูกคนอื่นหัวเราะเยาะอีกแม้ว่ากู้ซิวหมิงจะหนีงานแต่ง แต่สกุลกู้ก็ยังคงจัดงานแต่งตามกำหนดเดิม หากบุตรสาวคนโตไม่โวยวายที่จะเปลี่ยนตัวเจ้าบ่าว ทำแบบนี้สกุลกู้จะผิดต่อสกุลเมิ่ง ติดหนี้สกุลเมิ่ง หนี้ก้อนนี้ยังสามารถนำมาใช้แสวงหาผลประโยชน์บางอย่างได้โถงหรงฝูฮูหยินผู้เฒ่าเมิ่งโมโหจัด ด่าทออย่างโกรธเกรี้ยว “ให้ตายสินังเด็กชั้นต่ำ! ไต่เต้าขึ้นสูงจนลืมกำพืดของตัวเองไปแล้ว!”นางซุนจะไม่โกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงได้หรือ?เหตุการณ์ในวันนี้ ทำให้นางรู้สึกอับอายอย่างที่
บนรถม้ากู้จิ่งซีมองภรรยาตัวน้อยที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม เห็นเพียงแม่นางน้อยกำลังอมยิ้ม คิ้วและดวงตาวาดโค้ง ท่าทางอารมณ์ดีมีความสุข อาจเป็นเพราะได้ระบายความขุ่นเคืองออกไปแล้ว เขาจึงถามว่า “อารมณ์ดีมากหรือ?”รอยยิ้มมุมปากของเมิ่งจิ่นเหยาไม่อาจข่มไว้ได้ จึงสารภาพอย่างตรงไปตรงมา “อารมณ์ดีมาก ๆ บอกแล้วว่าปากของขุนนางบุ๋นเวลาจะประจบประแจงผู้ใด ก็ต้องกล่อมจนผู้นั้นจิตใจเบิกบาน หากคิดจะทำให้ใครโกรธ ก็ต้องโกรธจนตายกันไปข้างหนึ่ง ในที่สุดวันนี้ก็ได้เปิดหูเปิดตาแล้ว”พอนางพูดจบ รอยยิ้มก็ยิ่งลึกซึ้งขึ้น นางไม่คาดคิดจริง ๆ ว่ากู้จิ่งซีจะมีกำลังต่อสู้แข็งแกร่งขนาดนี้ และยิ่งนึกไม่ถึงว่ากู้จิ่งซีจะพูดคุยกับคนในบ้านบิดามารดาของนางได้เก่งแบบนี้ เดิมยังนึกว่ากู้จิ่งซีแค่แสร้งทำเป็นนอบน้อมและคล้อยตามเพื่อเอาตัวรอดไปก่อนกู้จิ่งซีจุกอยู่ในลำคอ เวลาแม่นางน้อยชื่นชมใครสักคน ทำไมถึงดูเหมือนกำลังด่าใครอยู่? เขาหัวเราะพร้อมกับพูดว่า “ฮูหยินเวลาอยู่ต่อหน้าข้าพูดเก่งมากไม่ใช่หรือ? เหตุใดพอกลับถึงบ้านพ่อแม่แล้วเป็นใบ้ไปเสียล่ะ?”“กำลังต่อสู้ของท่านพี่แข็งแกร่งเกินไป ไม่มีที่ให้ข้าได้แสดงความสามารถเลย” เมิ่งจิ