——บุตรชายของข้ากลับมาแล้วอย่างนั้นหรือ? เช่นนั้นข้าขอไปดูเสียหน่อยทันทีคำพูดเหล่านี้กล่าวออกมา ในใจของชุนหลิ่วก็ราวกับเกิดแรงกระเพื่อมนับพัน นางมีลางสังหรณ์ที่ไม่ดีบางอย่าง ครั้นจะเสียใจตอนนี้ก็สายไปเสียแล้ว หากรู้ล่วงหน้า นางคงจะไม่บอกเรื่องนี้กับนายหญิงเพียงเพื่อจะเอาใจนางชุนหลิ่วถามออกมาอย่างตะกุกตะกัก “ฮูหยิน ทะ ท่านจะไปหาซื่อจื่อตอนนี้จริง ๆ หรือเจ้าคะ?”เมิ่งจิ่นเหยาพยักหน้า ด้วยท่าทีของมารดาผู้มีเมตตา พลางกล่าวด้วยเสียงนุ่มนวล “ใช่แล้ว บุตรชายกลับมา ในฐานะที่ข้าเป็นมารดา ถึงอย่างไรก็ควรจะไปดูเสียหน่อย มิใช่หรือ? ”ชุนหลิ่วสำลักพลางกล่าวในใจ ‘ถึงอย่างไรท่านก็เด็กกว่าซื่อจื่อสองเดือนนะเจ้าคะ หากนับกันตามอายุแล้ว บอกว่าท่านคือน้องสาวก็คงจะไม่ถือว่ามากเกินไป ท่านแน่ใจหรือว่าไม่ได้ไปพบซื่อจื่อเพื่อต้องการแก้แค้น?’เมิ่งจิ่นเหยายกยิ้มมุมปาก “ไปเถิด เจ้าก็ตามข้าไปดูด้วย”ชุนหลิ่วมองเห็นรอยยิ้มที่ประดับอยู่ตรงมุมปากของนาง รู้สึกแต่เพียงว่าน่าขนลุกยิ่งนัก ฮูหยินจะต้องอาศัยสถานะของผู้อาวุโสสร้างความลำบากให้กับซื่อจื่อเป็นแน่ ทว่า นางยังไม่กล้าไม่เห็นด้วย นางรู้ว่าจุดจบของสาวใช้สอ
เมื่อกู้ซิวหมิงเงยหน้าขึ้นมา ก็เห็นดวงหน้าของเมิ่งจิ่นเหยาที่งดงามโดดเด่นปรากฏสู่สายตา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อได้เห็นผมที่หวีเป็นมวยของสตรีที่วิวาห์แล้ว เขาก็ยิ่งเบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจ นึกไม่ถึงว่าเมื่อเขาหนีการวิวาห์แล้ว เมิ่งจิ่นเหยาจะแต่งเข้ามาอย่างไร้ยางอาย กลายเป็นภรรยาของเขา ครอบครองในสิ่งที่ควรจะเป็นของหว่านเอ๋อร์ไม่นาน แววตาของเขาแสดงถึงความรังเกียจ ราวกับว่าดวงตาของเขาคู่นั่นมองเห็นสิ่งที่สกปรกอย่างไรอย่างนั้นเมิ่งจิ่นเหยารับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงในแววตาของเขา ทว่านางไม่ใส่ใจ ยิ้มอย่างไม่แยแสพลางสั่งบ่าวรับใช้ “ เอาผ้าที่อุดปากของพวกเขาออก”บ่าวรับใช้ตอบรับอย่างนอบน้อม พลางก้าวไปข้างหน้าหยิบผ้าหยาบที่อุดปากของทั้งสองคนออกกลั้นเอาไว้นาน ในที่สุดก็สามารถเปิดปากพูดได้เสียที แต่กลับต้องมาเจอกับผู้ที่ตนเองรังเกียจ สายตาของกู้ซิวหมิงจับจ้องเมิ่งจิ่นเหยาอย่างเย็นชา พลางเอ่ยปากพูดก่อน “แม่นางเมิ่ง เจ้าก็เห็นแล้ว ในใจของข้ามีเพียงหว่านเอ๋อร์เท่านั้น และชีวิตนี้ต้องเป็นหว่านเอ๋อร์เพียงผู้เดียว หากแม่นางเมิ่งยินดีหย่า ข้ายินดีรับแม่นางเมิ่งเป็นน้องสาวบุญธรรม หากวันใดแม่นางพบกั
หลี่หว่านเอ๋อร์ก็ตกตะลึงราวกับถูกฟ้าผ่าเช่นกัน พลางมองเมิ่งจิ่นเหยาอย่างไม่อยากจะเชื่อ นางเพิ่งจะรู้สึกซาบซึ้งอย่างมากที่ท่านพี่ซิวหมิงจะหย่ากับเมิ่งจิ่นเหยาเพื่อนาง พอตอนนี้ต้องมารู้อย่างกะทันหันว่าเมิ่งจิ่นเหยาไม่ได้วิวาห์กับท่านพี่ซิวหมิง แต่วิวาห์กับบิดาของท่านพี่ซิวหมิงแทน เช่นนั้นต่อไปจะไม่กลายมาเป็นมารดาของสามีนางหรอกหรือ?เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ หัวใจของนางก็เต้นผิดจังหวะอย่างฉับพลันนางกับท่านพี่ซิวหมิงหนีตามกันไป ทำให้เมิ่งจิ่นเหยากลายเป็นตัวตลกในวันวิวาห์ ในอนาคต หากเมิ่งจิ่นเหยากลายเป็นแม่สามีของนาง จะต้องทรมานนางเป็นแน่ วิธีที่แม่สามีใช้ทรมานลูกสะใภ้มีอยู่มากมายนัก เพียงแค่ตั้งกฎเกณฑ์ก็ทรมานนางได้แล้วเมิ่งจิ่นเหยามองดูสีหน้าท่าทางที่เปลี่ยนไปของทั้งสองคนด้วยความสนใจ จากความอับอายกลายเป็นโทสะของบุรุษ ราวกับว่า ได้รับความอัปยศอดสูอย่างใหญ่หลวง ส่วนสตรีก็จิตใจกระวนกระวาย เมื่อสบตากับนาง ก็หดคอตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว พลางโน้มตัวไปทางกู้ซิวหมิงอย่างไม่รู้ตัว ราวกับว่าหวาดกลัวนางยิ่งนัก กู้ซิวหมิงจับจ้องนางด้วยแววตาที่แฝงไปด้วยคำเตือน ดวงตาคู่นั้นราวกับจะบอกว่า ‘เจ้าอย่าได้คิด
เขามองไปที่เมิ่งจิ่นเหยา มองเห็นสายตาอันเจ้าเล่ห์ของนาง ราวกับในใจกำลังคำนวณอะไรบางอย่าง ใบหน้าเขาเคร่งขรึมในฉับพลัน พลางถาม “เมิ่งจิ่นเหยา หรือเจ้ายังอยากใช้กฎตระกูลกับข้าอยู่หรืออย่างไร? ข้าเป็นถึงซื่อจื่อแห่งจวนโหว ใช่ผู้ที่เจ้าคิดจะลงโทษก็ลงโทษได้กระนั้นหรือ?”เมื่อมองเห็นร่องรอยของความระแวดระวังในดวงตาเขา รอยยิ้มของเมิ่งจิ่นเหยาก็ยิ่งลึกขึ้น กู้ซิวหมิงสามารถบุ่มบ่ามเอาแต่ใจเช่นนี้ได้ ไม่ใช่เพราะสถานะของฉางซินโหวซื่อจื่อหรอกหรือ รู้ว่ากู้จิ่งซีมีอาการป่วยซ่อนเร้น ไม่สามารถมีบุตรเป็นของตนเองได้ และเขาในฐานะที่เป็นบุตรบุญธรรมจะต้องสืบทอดบรรดาศักดิ์อย่างแน่นอน?อย่างไรก็ตาม เขาฝันสวยงามเกินไป ตราบใดที่ฉางซินโหวยังมีชีวิตอยู่ ก็สามารถกราบทูลฝ่าบาทให้แต่งตั้งผู้อื่นเป็นซื่อจื่อได้บุตรบุญธรรมที่ไม่เข้าท่าเช่นเขา ก็ยังสามารถรับบุตรบุญธรรมอีกคนเข้ามาเพื่อสืบทอดบรรดาศักดิ์แทนได้ เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ เมิ่งจิ่นเหยาก็หัวเราะอย่างเย้ยหยัน เอ่ยอย่างจริงจังกึ่งล้อเล่นว่า “ข้าคือมารดาของเจ้า เจ้าคือบุตรชายของข้า มีอันใดเป็นไปไม่ได้กัน?” ทว่าวันนี้ข้าไม่อยากมือเปรอะเปื้อน ผู้ที่ไร้ศีลธรรม ไม่คู่
หลังจากที่หลี่หว่านเอ๋อร์ได้ฟัง ในใจสั่นไหว นางหยุดร่ำไห้แล้วเงยหน้าแอบชำเลืองดูกู้จิ่งซีอย่างขี้ขลาด ชายผู้นั้นรูปร่างสง่างาม ดวงหน้างดงามหมดจด ท่าทางสูงส่ง ดูแล้วเพิ่งจะอายุยี่สิบสามหรือยี่สิบสามปี นางรู้สึกประหลาดใจ คิดไม่ถึงว่าท่านโหวกู้จะดูอ่อนเยาว์ถึงเพียงนี้ใบหน้าของเมิ่งจิ่นเหยาประดับไปด้วยรอยยิ้มอันอ่อนโยน พลางพยักหน้าตอบรับ “ท่านพี่โปรดวางใจ ต่อจากนี้ข้าจะต้องอบรมสั่งสอนซิวหมิงอย่างดีแน่นอน จะปฏิบัติต่อเขาเหมือนเป็นลูกของตนเอง”กู้ซิวหมิงมองนาง มีความรู้สึกเหมือนเคยพบกับแม่เลี้ยงชั่วร้ายเช่นนี้มาก่อน ภายนอกดูอ่อนโยน แท้ที่จริงแล้วภายในกำลังวางแผนว่าจะแก้แค้นตนเองอย่างไรดี นางจะต้องเป็นเพราะว่าตนเองหนีการแต่งงาน ไม่สามารถแต่งงานกับตนเองได้ จึงได้แต่งงานกับบิดาอย่างไร้ยางอาย เช่นนี้นางก็จะสามารถใช้สถานะที่ตนเองเป็นผู้อาวุโส มาควบคุมเขา ทั้งยังสามารถเป็นฉางซินโหวฮูหยินที่มีหน้ามีตาอย่างที่สุด ทว่าบิดาที่เฉลียวฉลาดมาตลอดกลับมาเลอะเลือนในช่วงเวลาสำคัญเขาถามด้วยความเดือดดาล “ท่านพ่อ นางเป็นคู่หมั้นของลูกไยท่านถึงแต่งกับนางงั้นหรือขอรับ?”กู้จิ่งซีขมวดคิ้ว มองไปที่เขาด้วยดวงตา
เมื่อหลี่หว่านเอ๋อร์เห็นคนรักสีหน้าซีดขาว นางก็หวาดหวั่นจนสั่นสะท้านไปทั่วร่าง แม้แต่ซื่อจื่อของจวนโหวก็ถูกปฏิบัติเช่นนี้ แล้วสภาพของนางจะดีไปกว่ากันเท่าใด? ท่านพี่ซิวหมิงแม้แต่ตัวเองก็เอาไม่รอด แล้วจะปกป้องนางได้อย่างไร? เมิ่งจิ่นเหยาเหลือบตามองชายหญิงที่ต่อให้คุกเข่าอยู่บนพื้น ก็ยังอิงแอบอยู่ข้างกันคู่นี้คราหนึ่ง แล้วจึงหันไปถามชายที่อยู่ข้างตนว่า “ท่านพี่ แล้วแม่นางหว่านเอ๋อร์ผู้นี้จะทำเช่นไรดี? ก็ไม่รู้ว่าเป็นบุตรสาวของบ้านใด หากบิดามารดานางรู้ว่านางทำเรื่องเช่นนี้ออกมา เกรงว่าคงโมโหไม่เบา แม้การหนีตามกับจะเป็นเรื่องที่ต่างเต็มใจทั้งสองฝ่าย ทว่าก็ยังคงต้องจัดการให้ดี” วินาทีก่อนหน้า หลี่หว่านเอ๋อร์ยังกังวลกับจุดจบที่นางต้องเผชิญ เวลานี้ เมื่อเมิ่งจิ่นเหยากล่าวถึงนางขึ้นมา หัวใจทั้งดวงของนางก็เครียดเกร็งไปหมด ภาพเบื้องหน้าพร่าเลือนอีกครั้งไปด้วยหยดน้ำตา นางน้ำตาไหลรินเป็นทาง มองสามีภรรยาคู่นั้นด้วยดวงตาหวาดกลัว กู้จิ่งซีมองสำรวจหลี่หว่านเอ๋อร์ คิ้วขมวดเข้าหากันเล็กน้อย แม่นางที่ทำให้บุตรอกตัญญูคนนี้ของเขา หนีตามกันไปโดยไม่สนใจหน้าตาของวงศ์สกุลผู้นี้ รูปลักษณ์จัดได้ว่างาม แม้รู
“สามหาว!” กู้จิ่งซีตำหนิด้วยความโกรธ สีหน้าเคร่งขรึมลงอย่างเห็นได้ด้วยตาเปล่า คิดไม่ถึงว่า บุตรบุญธรรมที่ยามปกติรู้ความมีมารยาท ทั้งยังกตัญญูผู้นี้ จะยังมีด้านที่เลวร้ายเช่นนี้ด้วย ตนยังไม่ทันตาย ก็กล้ากล่าววาจาเราะร้ายกับผู้อาวุโสแล้ว หากตนตายไป ยังไม่รู้ว่าแม่นางน้อยผู้นี้จะถูกปฏิบัติอย่างไร เขาโกรธไม่เบา มีความโมโหอยู่ในน้ำเสียง “หากนางเป็นหญิงอสรพิษ ยามนี้ แม่นางหว่านเอ๋อร์ที่พฤติกรรมปล่อยเนื้อปล่อยตัวผู้นี้ ก็คงไม่ได้เหยียบย่างเข้าประตูสกุลกู้แล้ว ไม่ว่าเจ้าจะชอบอย่างไร ก็ได้แต่เลี้ยงไว้ข้างนอก เป็นเพียงสตรีที่ถูกเลี้ยงอย่างหลบๆ ซ่อนๆ อยู่นอกจวนเท่านั้น เจ้าไม่เคารพผู้อาวุโสซ้ำแล้วซ้ำเล่า เห็นได้ว่ายังไม่สำนึก ดูท่าคงเป็นเพราะบทลงโทษเบาเกินไป เช่นนั้นก็เพิ่มอีกห้าแส้แล้วกัน” หากเพิ่มอีกห้าแส้ มิเท่ากับโทษโบยยี่สิบห้าแส้หรือ? ในใจของกู้ซิวหมิงบังเกิดความหวาดกลัวขึ้นมา มองผู้เป็นบิดาอย่างไม่อยากเชื่อ ไม่อยากเชื่อว่าท่านบิดาที่เลี้ยงดูเขามาหลายปี คิดจะตีเขาถึงตายเพียงเพราะสตรีนางเดียว ดูท่าความสามารถในการล่อลวงคนของเมิ่งจิ่นเหยาผู้นี้จะมีมากเหลือเกิน ไม่เสียทีที่มีใบหน้าเช่นน
กู้จิ่งซีมองภรรยาตัวน้อยวางมาดผู้อาวุโสอย่างเต็มที่ ทั้งที่อายุน้อยกว่าบุตรอกตัญญูคนนั้นของเขาด้วยซ้ำ ก็เกิดความรู้สึกไม่สอดคล้องอยู่บ้าง หากไม่สนใจใบหน้าอ่อนเยาว์ดวงนั้นของนาง ก็ออกจะมีท่าทีของผู้เป็นมารดาอยู่บ้างจริงๆ เขาแอบยกมุมปากอย่างยากสังเกต ซิวหมิงเมื่อต้องมาเจอกับสาวน้อยนางนี้ ก็ได้แต่ยอมรับความพ่ายแพ้เท่านั้น หลังเงียบไปเป็นเวลานาน ซิวหมิงก็ก้มหัวให้กับเมิ่งจิ่นเหยาเป็นครั้งแรก ขอร้องว่า “ท่านพ่อ ท่านแม่ หลังโทษกักบริเวณจบลง ลูกอยากหาวันดีรับหว่านเอ๋อร์เข้าจวน ขอท่านพ่อกับท่านแม่โปรดให้ลูกได้สมหวังด้วย” ผู้ฉลาดย่อมปรับตัวตามสถานการณ์ เหตุผลนี้เขารู้ดี เขากับหว่านเอ๋อร์เป็นสามีภรรยาทางพฤตินัยแล้ว หากนางตั้งครรภ์ขึ้นมา แล้วยังไม่สามารถเข้าจวน เด็กก็จะกลายเป็นลูกนอกสมรส หรือมีโอกาสที่ถูกผู้อาวุโสสั่งให้ดื่มยาแท้งบุตร เพื่อรักษาชื่อเสียงของสกุลกู้ไว้ด้วย เมื่อกู้จิ่งซีได้ฟัง คิ้วก็ขมวดเข้าหากันแน่น เขาถามเสียงหนักว่า “ภรรยาเอกยังไม่แต่งเข้ามาก็รับอนุก่อน เรื่องนี้มีเหตุผลหรือ? สกุลที่มีชื่อเสียงทรงอำนาจสกุลใดก็ไม่อาจยอมรับเรื่องเช่นนี้ ยังไม่ทันแต่งภรรยาเอกเข้าบ้านก็จะรับอนุ
กู้จิ่งซีมองใบหน้าที่หลับใหลอย่างสงบของแม่นางน้อย ท่าทางไร้การป้องกันแม้แต่น้อย ทันใดนั้นเขาก็เริ่มรู้สึกว่าตนเองคิดมากเกินไป เดิมทีพวกเขาก็เป็นสามีภรรยากัน ทำตามใจชอบบ้างก็ไม่เป็นไร ระมัดระวังตัวมากเกินไปกลับไม่เหมือนสามีภรรยากันเสียด้วยซ้ำ แม่นางน้อยคิดที่จะใช้ชีวิตร่วมกันกับเขาตลอดไปจริง ๆ ถึงได้เป็นเช่นนี้……วันต่อมาเมิ่งจิ่นเหยาเพิ่งจะกินข้าวเช้าเสร็จได้ไม่นาน กำลังเตรียมตัวไปอ่านหนังสือเพื่อฆ่าเวลาเสียหน่อย ก็มีสาวใช้เข้ามารายงานว่าท่านหญิงจิ้งหนิงมาที่นี่นางตะลึงเล็กน้อย รู้สึกจับต้นจนปลายไม่ถูกนิดหน่อย ไม่รู้ว่าอยู่ ๆ ท่านหญิงจิ้งหนิงมาหานางทำไม จึงรีบกำชับว่า “รีบไปเชิญท่านหญิงจิ้งหนิงเข้ามาเร็วเข้า”ผ่านไปไม่นาน สาวใช้ก็พาท่านหญิงจิ้งหนิงมาที่เรือนเวยหรุยเซวียนเมื่อเมิ่งจิ่นเหยามองเห็นท่านหญิงจิ้งหนิง ก็มองสำรวจอย่างละเอียด เห็นนางดูท่าทางสบายดี และก็ดูไม่ได้มีเรื่องอันใดเช่นกันเมื่อเห็นดังนั้น ท่านหญิงจิ้งหนิงก็ขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ น้ำเสียงแฝงไปด้วยความสงสัย “นั่นมันสายตาอันใดของเจ้า? ไม่ยินดีต้อนรับข้ากระนั้นหรือ?”เมิ่งจิ่นเหยาเกรงว่านางจะเข้าใจผิด จึงรีบส่าย
เมิ่งจิ่นเหยาลอบมองเขาด้วยสายตาแปลกประหลาด กล่าวคำพูดที่ทำให้ผู้อื่นตกใจไม่หยุด “หรือว่าวันที่อากาศร้อนเช่นนี้ ยังจะให้ข้าปิดไว้อย่างมิดชิดเหมือนตอนฤดูหนาวอีกหรือเจ้าคะ? ในเมื่อท่านใส่ใจกับความเป็นสุภาพบุรุษของตนเอง ไยถึงไม่คิดที่จะปกป้องตัวเองบ้างเล่า? บางทีข้าอาจจะทำอันใดท่านก็ได้นะเจ้าคะ?”นางขมวดคิ้วเล็กน้อย น้ำเสียงแฝงไปด้วยความขุ่นเคือง กำลังโมโหกู้จิ่งซีที่รบกวนการนอนของนาง อยู่ดีไม่ว่าดีมาห่มผ้าห่มให้นาง สุดท้ายทำให้นางร้อนจนตื่น ตอนนี้อยากนอนก็นอนไม่หลับแล้วเพียงแต่คำพูดที่นางพูดเมื่อครู่ล้วนเป็นความจริงทั้งหมด ไม่ต้องพูดว่ากู้จิ่งซีทำไม่ได้ ไม่สามารถที่จะทำอันใดนางได้ แม้ว่ากู้จิ่งซีจะทำได้ นางก็ไม่มีทางปฏิเสธ ถึงอย่างไรตอนนี้ก็เป็นสามีภรรยากันแล้วร่วมเรียงเคียงหมอนมานานถึงเพียงนี้ นับจากนี้ต้องใช้ชีวิตที่เหลือร่วมกัน เพียงแค่นอนหลับเท่านั้นเอง ยังต้องยึดติดว่าสวมเสื้อผ้าหนาพอหรือไม่? เดิมทีฤดูร้อนก็ไม่เหมาะที่จะสวมใส่เสื้อผ้าที่หนาอยู่แล้ว จะอึดอัดและทำให้ป่วยเอาได้เพราะคำพูดนี้ของนาง ในเวลานี้บรรยากาศจึงได้แข็งค้าง กู้จิ่งซีตะลึงงัน การเคลื่อนไหวของพัดก็หยุดชะงักลง ห
เคยลิ้มรสชาติของชีวิตที่ขื่นขม พอตอนนี้กำลังมีชีวิตที่ดี กินดีอยู่ดี ยังมีอันใดที่ต้องพิถีพิถันกัน? ตอนนี้เป็นแบบนี้ นางก็พึงพอใจมากแล้วเมื่อกินอาหารเย็นเสร็จ เมิ่งจิ่นเหยาก็เคลื่อนไหวเล็กน้อยอยู่ภายในเรือนเพื่อย่อยอาหาร หลังจากนั้นก็อาบน้ำผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า เตรียมตัวพักผ่อนว่ากันว่า สามีภรรยาอยู่ร่วมกันมานาน ก็จะยิ่งปลดปล่อยมากขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ระมัดระวังตัวมากเกินไปเหมือนตอนที่แต่งงานกันใหม่ ๆกู้จิ่งซีรู้สึกว่าคำพูดนี้สมเหตุสมผล ทว่าคนที่ปลดปล่อยไม่ใช่เขา แต่เป็นแม่นางน้อยต่างหาก ตอนที่เพิ่งแต่งงานกันยังระมัดระวังตัว นอนหลับอย่างสงบเสงี่ยม เกรงว่าจะสัมผัสร่างกายของเขาโดยไม่ทันได้ระวังน่าจะเป็นเพราะทุกวันนี้ เขาไม่ได้ทำอันใดที่เกินเลย แม่นางน้อยจึงยิ่งปฏิบัติต่อเขาอย่างวางใจหรือจะบอกว่า แม่นางน้อยไม่ได้มองว่าเขาเป็นบุรุษก็ได้เหมือนดังเช่นตอนนี้ เขาเพิ่งจะอาบน้ำเสร็จ กลับมาที่ห้องนอน ก็มองเห็นแม่นางน้อยกำลังนอนหลับสนิทอยู่บนเตียง เพราะว่าชอบอากาศหนาว จึงไม่ได้ห่มผ้าห่ม สวมเพียงชุดนอนที่บางเบาเท่านั้น ผ้าที่ทำจากไหมนั้นบางเบามาก ถึงขนาดสามารถมองเห็นชุดซับในสีชมพูรากบัวที่อยู่
กู้จิ่งซีรู้สึกแค่เพียงไม่คาดคิดเท่านั้น เดิมทีไม่ได้คิดที่จะถือสาเรื่องเล็กน้อยแค่นี้ ทว่าเมื่อเห็นแม่นางน้อยอับอายเสียจนหน้าแดง สีหน้าท่าทางขัดเขินไม่กล้ามองตนเองอย่างไม่รู้ว่าจะทำเช่นไรดี คำพูดที่กล่าวออกมาจึงแฝงไปด้วยการหยอกเย้า “ฮูหยินใช้ข้าเป็นสาวใช้แล้วหรือ”เมื่อได้ฟังดังนั้น เมิ่งจิ่นเหยาก็มองไปทางเขาอย่างฉับพลัน บุรุษผู้นั้นยิ้มมุมปาก ดวงตามองตนเองอย่างหยอกล้อ รู้สึกละอายใจและขุ่นเคืองขึ้นมาในทันที อดไม่ได้ที่จะตอกกลับ “มิใช่ว่าท่านพี่อยากเป็นสาวใช้หรอกหรือ? ข้าก็ทำตามความปรารถนาของท่านพี่แล้วมิใช่หรือเจ้าคะ?”กู้จิ่งซีรู้ว่าเมื่อใดควรหยุด หากทำให้แม่น้อยร้องไห้ขึ้นมาก็คงจะจบไม่สวยเท่าใดนัก จึงตอบรับด้วยรอยยิ้ม “อืม ฮูหยินพูดถูกแล้ว ข้าเต็มใจเอง ตอนนี้ข้ายังมีธุระต้องไปจัดการ ฮูหยินกินเองเถิด”เขาพูดพลางเอาเปลือกกับเมล็ดของลิ้นจี่วางไว้บนโต๊ะ แล้วหยิบผ้าสีเหลี่ยมสีน้ำเงินขึ้นมาเช็ดมือ เตรียมที่จะจากไปเมิ่งจิ่นเหยาเหลือบมองลิ้นจี่ที่เหลืออยู่พลางถามว่า “ท่านพี่ไม่ถือโอกาสกินตอนที่ยังสดใหม่อยู่สักหน่อย แล้วค่อยไปทำงานหรือเจ้าคะ?”กู้จิ่งซีส่ายศีรษะ “ฮูหยินกินเถิด ข้าไม่ค
เขาเอื้อมมือไปหยิบที่ปอกเปลือกแล้วมาหนึ่งลูก จากนั้นก็ยื่นไปที่ปากของแม่นางน้อย พลางกล่าวอย่างหยอกเย้า “ฮูหยิน เพียงแค่มองดูอย่างเดียวลิ้มลองรสชาติไม่ได้ ลองชิมดูก่อนดีหรือไม่?”เมิ่งจิ่นเหยาได้สติกลับมา ก็เห็นเขาแย้มยิ้มมองตนเอง ดวงตาอันอ่อนละมุนคู่นั้นช่างน่าหลงใหลยิ่งนัก จึงอ้าปากรับการป้อนของเขาโดยไม่รู้ตัว กัดหนึ่งคำเบา ๆ เนื้อของลิ้นจี่ราวกับผิวที่เนียนนุ่ม อ่อนนุ่มและสดชื่น มีรสหอมหวานในปาก กลิ่นหอมกรุ่น หวานอมเปรี้ยวเล็กน้อย รสชาติดีเยี่ยม ทำให้ชวนนึกถึงรสชาติที่เหลืออยู่ในปากเมื่อเห็นนางหรี่ตาลง ใบหน้าเต็มไปด้วยความพอใจ ถึงขั้นทำให้หวนนึกถึง กู้จิ่งซียิ้มพลางถามว่า “อร่อยขนาดนั้นเชียวหรือ?”เมิ่งจิ่นเหยาพยักหน้า “อร่อยเจ้าค่ะ ผ่านมานานหลายปีได้กินอีกครั้ง ยังเป็นรสชาติที่อยู่ในความทรงจำอยู่เลยเจ้าค่ะ” เมื่อนับเวลาจากที่นางกินลิ้นจี่ครั้งที่แล้ว ก็คือสิบปีก่อน ตอนนั้นท่านปู่ได้รับลิ้นจี่มาจากสหายนิดหน่อย ลูกเดียวยังทำใจกินไม่ลง นำกลับมาป้อนใส่ท้องนางทั้งหมด เวลานั้นนางยังไม่เข้าใจความล้ำค่าของลิ้นจี่ รู้เพียงแต่ว่าอร่อยเท่านั้น ต่อมาท่านปู่เสียชีวิตไป นางก็ไม่ได้กินอีกเ
จวนฉางซินโหว เรือนเวยหรุยเซวียนเมิ่งจิ่นเหยานั่งอยู่บนตั่งกุ้ยเฟย กำลังฟังชุนหลิ่วกับหนิงตงอ่านบันทึกเรื่องเล่าแปลกประหลาด ชุนหลิ่วรับผิดชอบอ่านบทบรรยาย ส่วนหนิงตงอ่านบทสนทนาชิงชิวอยู่ด้านหนึ่งคอยปอกเมล็ดแตงให้เมิ่งจิ่นเหยา ส่วนเซี่ยจู๋ก็คอยพัดวีให้เมิ่งจิ่นเหยาอยู่อีกด้านหนึ่งวันนี้ไม่ถือว่าร้อนนัก ในช่วงไม่กี่ชั่วยามที่ร้อนที่สุด ภายในห้องจะวางตู้น้ำแข็งเอาไว้เพื่อลดอุณหภูมิ เมื่อผ่านยามเซินไปแล้วจะไม่ร้อนเท่าใดนัก ก็จะนำตู้น้ำแข็งออก ภายในห้องยังหลงเหลือความเย็นสบายอยู่เล็กน้อย แค่พัดสักนิดหน่อยก็พอแล้วเมิ่งจิ่นเหยาหรี่ตาลงอย่างสบาย ช่างสำราญใจยิ่งนักเมื่อกู้จิ่งซีกลับมา ก็มองเห็นฉากนี้ เขาตะลึงงันเล็กน้อย แม่นางน้อยที่อยู่แต่ในเรือนมิดชิดช่างรู้จักเพลิดเพลินใจยิ่งนัก เขาไม่เคยให้สาวใช้สองสามคนมาปรนนิบัติเช่นนี้เสพสุขขนาดนี้มาก่อน “ท่านโหว”เมื่อสาวใช้ทั้งสี่คนมองเห็นกู้จิ่งซี ก็รีบคารวะให้เขาเมิ่งจิ่นเหยาเงยหน้ามอง บุรุษในชุดขุนนางสีแดงเข้มกำลังก้าวเท้าเดินมาทางนาง จึงส่งเสียงเรียกออกมา “ท่านพี่” เมื่อสังเกตเห็นกล่องอาหารที่ถืออยู่ในมือของเขา ก็เอ่ยถามอีกว่า “ท่านพี
กู้จิ่งซีกล่าว “ร่างกายของสตรีเทียบไม่ได้กับบุรุษ ยิ่งต้องระวังสุขภาพให้ดี อย่าสัมผัสความเย็น หากความเย็นเข้าสู่ร่างกายจะได้รับความทรมานได้ หากว่าง่วงนอนก็กลับไปนอนที่เตียง ระวังจะเป็นหวัดเอา”เมิ่งจิ่นเหยาตะลึงไปชั่วขณะ เมื่อคิดถึงสุขภาพของตนเอง ดวงตาก็หม่นลง หันมาพยักหน้าแผ่วเบาพลางกล่าวว่า “เจ้าค่ะ ข้ารู้แล้ว” กล่าวจบ นางก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนา “ตอนนี้ท่านพี่มีเวลาหรือไม่เจ้าคะ? มิสู้พวกเรามาเดินหมากกันสักตาดีไหมเจ้าคะ?”กู้จิ่งซีตอบรับอย่างยินดี “ได้”เมิ่งจิ่นเหยาไปเอากระดานหมากมา ทั้งสองคนเดินหมากกันผ่านไปราว ๆ ครึ่งชั่วยาม แพ้ชนะก็ได้ถูกตัดสิน ผลลัพธ์ไม่เกินความคาดหมายแม้แต่น้อย เมิ่งจิ่นเหยาพ่ายแพ้แล้ว นางกำลังมองดูกระดานหมาก แม้เสียใจก็สายไปแล้วกู้จิ่งซีเห็นนางขมวดคิ้ว ใบหน้าเต็มไปด้วยความเสียใจ ท่าทางแทบอยากจะย้อนเวลากลับไปในทันที มุมปากก็ยกขึ้นเล็กน้อยจนยากที่จะมองเห็น พลางกล่าวด้วยเสียงอ่อนโยน “ฮูหยิน เมื่อวานข้าก็บอกเจ้าแล้ว การระแวดระวังนั้นเป็นเรื่องดี แต่หากระมัดระวังมากเกินไปจะเสียเรื่องได้ง่าย ตอนนี้แพ้ชนะได้ถูกตัดสินแล้ว เสียใจไปก็ไร้ประโยชน์”เมิ่งจิ่นเหยาไม่ย
ช่วงกลางวันของวันถัดมาหลังเมิ่งจิ่นเหยารับประทานอาหารเช้า และกำลังจะนอนเสียหน่อย โจวอวิ่นคนรับใช้ที่คอยตามอยู่ข้างกายกู้จิ่งซีก็ส่งแม่นางคนหนึ่งเข้ามาแม่นางคนนั้นดูอายุประมาณสิบหกสิบเจ็ดปี ใบหน้ารูปไข่ห่าน ลักษณะดูอ่อนโยน สุภาพ เรียบร้อย ดวงตาก็อ่อนโยนและบริสุทธิ์ ดูเป็นคนที่สงบเสงี่ยมเจียมตัวเมิ่งจิ่นเหยาเห็นนาง ก็สุขใจอย่างมาก นี่คือแม่นางที่นางต้องการตามหา หากอยากยั่วยวนใคร ลักษณะใกล้เคียงสำคัญมาก จากนั้นหากปรับการแต่งหน้าและการแต่งกายเสียหน่อย ก็จะสามารถมีความคล้ายกันเจ็ดส่วนเวลาที่คนสับสน คล้ายกันเจ็ดส่วนก็สามารถเห็นจนกลายเป็นสิบส่วนได้ โดยเฉพาะตอนที่รู้สึกผิด จะยิ่งมองคนอย่างสับสนมากขึ้นแม่นางคนนั้นเดินมาข้างหน้าสองก้าว และคารวะให้นางด้วยความเคารพ “ข้าน้อยฉานเอ๋อร์ คารวะฮูหยินเจ้าค่ะ”เมิ่งจิ่นเหยาพยักหน้าเล็กน้อย “ดี ลุกขึ้นมาเถอะ”โจวอวิ่นกล่าว “ฮูหยิน ท่านดูว่าพึงพอใจหรือไม่ หากไม่พึงพอใจ ข้าน้อยจะเปลี่ยนให้ท่านอีกขอรับ”เมิ่งจิ่นเหยามองฉานเอ๋อร์ ยิ่งมองยิ่งพึงพอใจมากขึ้นเรื่อย ๆ จึงปรากฏรอยยิ้มที่พึงพอใจออกมา และกล่าวอย่างอ่อนโยนว่า “ไม่ต้องแล้ว ข้าคิดว่าฉานเอ๋
ต่างก็บอกกันว่าหมากล้อมเปรียบเสมือนคน นิสัยของคนคนหนึ่งเป็นเช่นไร ก็จะสะท้อนอยู่บนเกมหมากล้อมตอนกู้จิ่งซีลงหมาก การรุกจะเชื่อมโยงอย่างเป็นระบบ การถอยจะรอบคอบเป็นระเบียบ ช่วงที่โจมตีจะเต็มไปด้วยกลยุทธ์อันชาญฉลาด และช่วงที่ป้องกันก็แน่นหนาจนไร้ช่องโหว่ ซึ่งสอดคล้องกับนิสัยที่สุขุมและสงบนิ่งของเขาอย่างมากส่วนเมิ่งจิ่นเหยากลับระมัดระวังในเรื่องเล็กน้อย การวางแผนเดินหมากจึงมักจะเลือกการป้องกัน และแทบจะไม่เป็นฝ่ายโจมตี ถึงแม้คู่ต่อสู้จะมีช่องโหว่ แต่นางยังจัดกองทัพอยู่ในค่ายของตนเอง หากไม่มั่นใจอย่างเต็มที่ก็จะไม่ลงมืออย่างประมาท ความเชื่องช้าของนางทำให้กระวนกระวายใจโชคดี กู้จิ่งซีมีนิสัยสุขุม จึงค่อย ๆ สอนนางอย่างใจเย็น และไม่รีบร้อนแม้แต่น้อยไม่ว่าเมิ่งจิ่นเหยาจะระมัดระวังในเรื่องเล็กน้อยอย่างไร แต่สุดท้ายก็ยังคงแพ้อยู่ดีกู้จิ่งซีกล่าวเสียงอ่อนโยน “ฮูหยิน อ่อนข้อให้แล้ว”เมิ่งจิ่นเหยามองเกมหมากล้อม ก็รู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย แต่กลับเลื่อมใสสุดใจ “ทักษะการเล่นหมากล้อมของท่านพี่สูงมาก ข้ายอมแพ้เจ้าค่ะ”กู้จิ่งซีตอบกลับ “ความจริงทักษะการเล่นของฮูหยินก็ดีมากแล้ว เพียงแต่ระมัดระวังเกิ