หลังจากที่หลี่หว่านเอ๋อร์ได้ฟัง ในใจสั่นไหว นางหยุดร่ำไห้แล้วเงยหน้าแอบชำเลืองดูกู้จิ่งซีอย่างขี้ขลาด ชายผู้นั้นรูปร่างสง่างาม ดวงหน้างดงามหมดจด ท่าทางสูงส่ง ดูแล้วเพิ่งจะอายุยี่สิบสามหรือยี่สิบสามปี นางรู้สึกประหลาดใจ คิดไม่ถึงว่าท่านโหวกู้จะดูอ่อนเยาว์ถึงเพียงนี้ใบหน้าของเมิ่งจิ่นเหยาประดับไปด้วยรอยยิ้มอันอ่อนโยน พลางพยักหน้าตอบรับ “ท่านพี่โปรดวางใจ ต่อจากนี้ข้าจะต้องอบรมสั่งสอนซิวหมิงอย่างดีแน่นอน จะปฏิบัติต่อเขาเหมือนเป็นลูกของตนเอง”กู้ซิวหมิงมองนาง มีความรู้สึกเหมือนเคยพบกับแม่เลี้ยงชั่วร้ายเช่นนี้มาก่อน ภายนอกดูอ่อนโยน แท้ที่จริงแล้วภายในกำลังวางแผนว่าจะแก้แค้นตนเองอย่างไรดี นางจะต้องเป็นเพราะว่าตนเองหนีการแต่งงาน ไม่สามารถแต่งงานกับตนเองได้ จึงได้แต่งงานกับบิดาอย่างไร้ยางอาย เช่นนี้นางก็จะสามารถใช้สถานะที่ตนเองเป็นผู้อาวุโส มาควบคุมเขา ทั้งยังสามารถเป็นฉางซินโหวฮูหยินที่มีหน้ามีตาอย่างที่สุด ทว่าบิดาที่เฉลียวฉลาดมาตลอดกลับมาเลอะเลือนในช่วงเวลาสำคัญเขาถามด้วยความเดือดดาล “ท่านพ่อ นางเป็นคู่หมั้นของลูกไยท่านถึงแต่งกับนางงั้นหรือขอรับ?”กู้จิ่งซีขมวดคิ้ว มองไปที่เขาด้วยดวงตา
เมื่อหลี่หว่านเอ๋อร์เห็นคนรักสีหน้าซีดขาว นางก็หวาดหวั่นจนสั่นสะท้านไปทั่วร่าง แม้แต่ซื่อจื่อของจวนโหวก็ถูกปฏิบัติเช่นนี้ แล้วสภาพของนางจะดีไปกว่ากันเท่าใด? ท่านพี่ซิวหมิงแม้แต่ตัวเองก็เอาไม่รอด แล้วจะปกป้องนางได้อย่างไร? เมิ่งจิ่นเหยาเหลือบตามองชายหญิงที่ต่อให้คุกเข่าอยู่บนพื้น ก็ยังอิงแอบอยู่ข้างกันคู่นี้คราหนึ่ง แล้วจึงหันไปถามชายที่อยู่ข้างตนว่า “ท่านพี่ แล้วแม่นางหว่านเอ๋อร์ผู้นี้จะทำเช่นไรดี? ก็ไม่รู้ว่าเป็นบุตรสาวของบ้านใด หากบิดามารดานางรู้ว่านางทำเรื่องเช่นนี้ออกมา เกรงว่าคงโมโหไม่เบา แม้การหนีตามกับจะเป็นเรื่องที่ต่างเต็มใจทั้งสองฝ่าย ทว่าก็ยังคงต้องจัดการให้ดี” วินาทีก่อนหน้า หลี่หว่านเอ๋อร์ยังกังวลกับจุดจบที่นางต้องเผชิญ เวลานี้ เมื่อเมิ่งจิ่นเหยากล่าวถึงนางขึ้นมา หัวใจทั้งดวงของนางก็เครียดเกร็งไปหมด ภาพเบื้องหน้าพร่าเลือนอีกครั้งไปด้วยหยดน้ำตา นางน้ำตาไหลรินเป็นทาง มองสามีภรรยาคู่นั้นด้วยดวงตาหวาดกลัว กู้จิ่งซีมองสำรวจหลี่หว่านเอ๋อร์ คิ้วขมวดเข้าหากันเล็กน้อย แม่นางที่ทำให้บุตรอกตัญญูคนนี้ของเขา หนีตามกันไปโดยไม่สนใจหน้าตาของวงศ์สกุลผู้นี้ รูปลักษณ์จัดได้ว่างาม แม้รู
“สามหาว!” กู้จิ่งซีตำหนิด้วยความโกรธ สีหน้าเคร่งขรึมลงอย่างเห็นได้ด้วยตาเปล่า คิดไม่ถึงว่า บุตรบุญธรรมที่ยามปกติรู้ความมีมารยาท ทั้งยังกตัญญูผู้นี้ จะยังมีด้านที่เลวร้ายเช่นนี้ด้วย ตนยังไม่ทันตาย ก็กล้ากล่าววาจาเราะร้ายกับผู้อาวุโสแล้ว หากตนตายไป ยังไม่รู้ว่าแม่นางน้อยผู้นี้จะถูกปฏิบัติอย่างไร เขาโกรธไม่เบา มีความโมโหอยู่ในน้ำเสียง “หากนางเป็นหญิงอสรพิษ ยามนี้ แม่นางหว่านเอ๋อร์ที่พฤติกรรมปล่อยเนื้อปล่อยตัวผู้นี้ ก็คงไม่ได้เหยียบย่างเข้าประตูสกุลกู้แล้ว ไม่ว่าเจ้าจะชอบอย่างไร ก็ได้แต่เลี้ยงไว้ข้างนอก เป็นเพียงสตรีที่ถูกเลี้ยงอย่างหลบๆ ซ่อนๆ อยู่นอกจวนเท่านั้น เจ้าไม่เคารพผู้อาวุโสซ้ำแล้วซ้ำเล่า เห็นได้ว่ายังไม่สำนึก ดูท่าคงเป็นเพราะบทลงโทษเบาเกินไป เช่นนั้นก็เพิ่มอีกห้าแส้แล้วกัน” หากเพิ่มอีกห้าแส้ มิเท่ากับโทษโบยยี่สิบห้าแส้หรือ? ในใจของกู้ซิวหมิงบังเกิดความหวาดกลัวขึ้นมา มองผู้เป็นบิดาอย่างไม่อยากเชื่อ ไม่อยากเชื่อว่าท่านบิดาที่เลี้ยงดูเขามาหลายปี คิดจะตีเขาถึงตายเพียงเพราะสตรีนางเดียว ดูท่าความสามารถในการล่อลวงคนของเมิ่งจิ่นเหยาผู้นี้จะมีมากเหลือเกิน ไม่เสียทีที่มีใบหน้าเช่นน
กู้จิ่งซีมองภรรยาตัวน้อยวางมาดผู้อาวุโสอย่างเต็มที่ ทั้งที่อายุน้อยกว่าบุตรอกตัญญูคนนั้นของเขาด้วยซ้ำ ก็เกิดความรู้สึกไม่สอดคล้องอยู่บ้าง หากไม่สนใจใบหน้าอ่อนเยาว์ดวงนั้นของนาง ก็ออกจะมีท่าทีของผู้เป็นมารดาอยู่บ้างจริงๆ เขาแอบยกมุมปากอย่างยากสังเกต ซิวหมิงเมื่อต้องมาเจอกับสาวน้อยนางนี้ ก็ได้แต่ยอมรับความพ่ายแพ้เท่านั้น หลังเงียบไปเป็นเวลานาน ซิวหมิงก็ก้มหัวให้กับเมิ่งจิ่นเหยาเป็นครั้งแรก ขอร้องว่า “ท่านพ่อ ท่านแม่ หลังโทษกักบริเวณจบลง ลูกอยากหาวันดีรับหว่านเอ๋อร์เข้าจวน ขอท่านพ่อกับท่านแม่โปรดให้ลูกได้สมหวังด้วย” ผู้ฉลาดย่อมปรับตัวตามสถานการณ์ เหตุผลนี้เขารู้ดี เขากับหว่านเอ๋อร์เป็นสามีภรรยาทางพฤตินัยแล้ว หากนางตั้งครรภ์ขึ้นมา แล้วยังไม่สามารถเข้าจวน เด็กก็จะกลายเป็นลูกนอกสมรส หรือมีโอกาสที่ถูกผู้อาวุโสสั่งให้ดื่มยาแท้งบุตร เพื่อรักษาชื่อเสียงของสกุลกู้ไว้ด้วย เมื่อกู้จิ่งซีได้ฟัง คิ้วก็ขมวดเข้าหากันแน่น เขาถามเสียงหนักว่า “ภรรยาเอกยังไม่แต่งเข้ามาก็รับอนุก่อน เรื่องนี้มีเหตุผลหรือ? สกุลที่มีชื่อเสียงทรงอำนาจสกุลใดก็ไม่อาจยอมรับเรื่องเช่นนี้ ยังไม่ทันแต่งภรรยาเอกเข้าบ้านก็จะรับอนุ
เมื่อเรื่องราวได้บทสรุป หลี่หว่านเอ๋อร์ก็ถูกส่งกลับบ้าน ส่วนกู้ซิวหมิงถูกคุมตัวไปที่โถงบรรพชน เตรียมลงโทษตามกฎสกุล กู้จิ่งซีเหลือบตามองชุนหลิ่วและบ่าวรับใช้ที่อยู่ด้านข้างครั้งหนึ่ง คนทั้งสองก็เข้าใจในทันที รีบกล่าวรับรองว่า “ท่านโหวโปรดวางใจ เรื่องที่เกิดเมื่อครู่ข้าน้อย จะไม่แพร่งพรายออกไปแม้แต่ครึ่งคำเจ้าค่ะ” เมื่อได้ยินดังนั้น กู้จิ่งซีก็พยักหน้าเล็กน้อย แล้วออกจากห้องหนังสือไป เมื่อเมิ่งจิ่นเหยาเห็นดังนั้น ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็สาวเท้าตามไป เจ้านายทั้งสองคนจากไปแล้ว ชุนหลิ่วจึงออกจากห้องหนังสือเช่นกัน บ่าวรับใช้เดินตามมาเป็นคนสุดท้าย เขาปิดประตูลงแต่มิได้ติดตามไป เพราะเขาเป็นข้ารับใช้ชาย ที่ทำงานในเรือนหน้าเท่านั้น ออกจากห้องหนังสือ พึ่งเดินไปได้ไม่กี่ก้าว กู้จิ่งซีก็ชะงักฝีเท้าแล้วสั่งการว่า “ชุนหลิ่ว เจ้าสั่งให้คนไปรายงานเจ้านายแต่ละเรือนว่า ให้พวกเขาไปรวมตัวกันที่โถงบรรพชน ส่วนฮูหยินผู้เฒ่า ท่านอายุมากแล้ว ทำการกระทบกระเทือนไม่ไหว ก็ไม่ต้องแจ้งแล้ว” ชุนหลิ่วพยักหน้ารับคำ จากนั้นก็ไปจัดการทันที หลังชุนหลิ่วจากไป กู้จิ่งซีถึงได้มองไปยังภรรยาตัวน้อยที่อยู่ด้านข้าง เห็นภร
บรรยากาศในโถงบรรพชนเงียบสงัดจนรู้สึกประหลาด ยังคงเป็นนางจางที่เอ่ยปากทำลายความเงียบงันขึ้นก่อน “ซิวหมิง เจ้าเป็นลูกชายคนเดียวของพ่อเจ้า เขารักเจ้าที่สุดแล้ว อีกครู่ก็ยอมรับผิดกับพ่อของเจ้าดีๆ แล้วขอให้เขาให้อภัยเสียเถอะ” กู้ซิวหมิงมิได้ตอบกลับ เขากำหมัดแน่น คุกเข่าโดยไม่ขยับแม้แต่น้อย หากบิดาของเขารักเขาจริง ก็คงไม่ลงโทษเขาอย่างหนักเพื่อบุตรสาวของครอบครัวตกอับนางหนึ่งแล้ว หลังจากนั้นไม่นาน กู้จิ่งซีสองสามีภรรยาก็มาถึงแล้ว เมื่อนางจางเห็นพวกเขามาถึง ก็เหลือบมองไปทางกู้ซิวหมิงครั้งหนึ่ง แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “น้องสาม ปกติแล้วซิวหมิงเด็กคนนี้เป็นมีมารยาทและรู้ความ ครั้งนี้แม้จะกระทำเรื่องราวอย่างบุ่มบ่ามไปสักหน่อย แต่ก็เป็นครั้งแรกที่ทำผิด มิสู้ลงโทษเล็กน้อยเป็นการตักเตือน เพื่อไม่ให้ทำผิดพลาดครั้งใหญ่ในอนาคตก็พอแล้ว เหตุใดต้องทำให้เป็นเรื่องใหญ่เช่นนี้ด้วยเล่า?” ทันทีที่คำพูดนี้ถูกกล่าวออกมา นางเฉินก็แอบเหลือบมองนางครั้งหนึ่ง แค่นเสียงเย้ยหยันอยู่ในใจ นางดูแคลนต่อความเสแสร้งแกล้งทำเป็นเห็นอกเห็นใจนี้ พี่สะใภ้ใหญ่คนนี้ ภายนอกชอบทำตัวเป็น ‘คนดี’ แต่ภายในกลับแอบสุมฟืนใส่ไฟ
ความหวังสุดท้ายถูกทำลายอย่างไร้ความปรานี หัวใจของกู้ซิวหมิงร่วงหล่นสู่ก้นบึ้งในพริบตา ร่างกายสั่นเทิ้มเล็กน้อย ต่อหน้าที่ตั้งป้ายวิญญาณของบรรพชน ภายใต้สายตาจ้องมองของทุกคน เขาต้องรับโทษตามกฎของตระกูล นอกจากความหวาดกลัวต่อกฎของตระกูลที่เกิดจากสัญชาตญาณแล้ว และมีความอัปยศอดสูอย่างรุนแรงด้วย หลายสิบปีมานี้ เขาเป็นลูกหลานคนแรกในสกุลกู้ที่ได้รับการลงโทษหนักหนาถึงเพียงนี้ วันหน้าเขายังเชิดหน้าอยู่ในสกุลกู้ได้อย่างไร?จากซื่อจื่อที่สูงศักดิ์กลายมาเป็นลูกหลานไม่เอาไหนที่กระทำความผิด ประหนึ่งร่วงจากเมฆลงสู่ปลักโคลน เกียรติยศถูกคนเหยียบย่ำอย่างโหดเหี้ยม ความอัปยศอย่างรุนแรงทำให้เขาเกิดความไม่ยินยอมและความเคียดแค้นอย่างมาก กู้จิ่งซีช่างเป็นบิดาที่ดีของเขาจริง ๆ ไม่แยแสความเป็นความตายของเขาเลย ผ่านไปสักพัก กู้ซิวหมิงถูกบ่าวรับใช้ถอดเสื้อตัวนอก สวมเพียงเสื้อตัวในสีขาวบนตัว เสื้อผ้าท่อนล่างไม่ได้ถอด จากนั้นก็ถูกบ่าวรับใช้จับนอนคว่ำบนม้านั่งยาวที่ทำด้วยไม้ ผู้ลงทัณฑ์ร่างกำยำที่ดูทรงพลังโบยแส้ใส่แผ่นหลังของกู้ซิวหมิงอย่างไร้ความปรานี จนเกิดเสียงดัง “เพียะ” จากนั้นก็เป็นเสียงร้อง “อ๊าก” โอดครวญข
ส่วนกู้เซวียนอี๋ผู้เป็นบุตรสาวจากภรรยาเอกของบ้านใหญ่และกู้เซวียนหลิงผู้เป็นบุตรสาวจากอนุภรรยาของบ้านรองก็หน้าซีดเผือด เดินจากไปโดยที่มีสาวใช้ช่วยประคอง ช่างน่ากลัวจริง ๆ!ท่านอาสามเข้มงวดกับบุตรชายเพียงหนึ่งเดียวขนาดนี้ หากมีสักวันพวกนางกระทำผิดขึ้นมา โดนแส้โบยหนึ่งทีก็รู้สึกกลัวแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงยี่สิบห้าที หากฟาดลงไปยี่สิบห้าที เกรงว่าแม่นางที่มีร่างกายบอบบางอย่างพวกนางอาจจะขึ้นสวรรค์ไปพบบรรพบุรุษได้เลย หลังจากที่ทุกคนจากไปแล้ว ภายในหอบรรพชนเหลือเพียงกู้จิ่งซีกับเมิ่งจิ่นเหยาเวลานี้ กู้จิ่งซีเพิ่งนึกถึงภรรยาตัวน้อยที่ยืนอยู่ข้างกายตน เมื่อเห็นนางหน้าซีดเผือด จ้องมองม้านั่งยาวที่ทำจากไม้เปื้อนเลือดตัวนั้นอย่างตกตะลึงจนตาค้าง เขาก็นึกถึงหลานสาวสองคนที่จากไปโดยต้องให้คนช่วยประคอง แม่นางน้อยผู้นี้อายุมากกว่าพวกนางแค่ปีเดียวเท่านั้น ย่อมตกใจกลัวอย่างแน่นอนกู้จิ่งซียื่นมือไปบดบังสายตาของนางไว้ เมื่อเห็นนางค่อย ๆ หันศีรษะมามองตนจึงถามนางว่า “กลัวหรือ?” เมิ่งจิ่นเหยาพยักหน้าอย่างซื่อตรง นางคิดว่าการโดนโบยยี่สิบห้าทีแตกต่างจากการโดนโบยยี่สิบห้าทีของสกุลกู้ราวฟ้ากับเหว นางคิดว่า
ท่านหญิงจิ้งหนิงเห็นนางมองดูลิ้นจี่อย่างตะลึงงัน ไม่รู้ว่าเพราะเหตุอันใด จึงกล่าวอย่างไม่ได้สนใจว่า “เจ้าบอกว่าชอบมิใช่หรือ? ข้าได้รับมาจากเสด็จย่าเมื่อวานตอนบ่าย ให้เจ้าทั้งหมดเลย”เมิ่งจิ่นเหยาตกตะลึงเล็กน้อย มิน่าเล่าเมื่อวานนางกินอาหารกลางวันเสร็จแล้วจึงรีบร้อนจากไป ที่แท้ก็เข้าไปในวังนี่เอง ไปหาไทเฮาเพื่อขอลิ้นจี่มาให้นาง ดูแล้วลิ้นจี่นี้น่าจะสักสี่ห้าชั่งได้ ฝ่าบาทพระราชทานให้แก่ขุนนางเพียงแค่หนึ่งชั่งกว่าเท่านั้น สี่ห้าชั่งนี้ช่างล้ำค่ายิ่งนักเมิ่งจิ่นเหยาจ้องมองไปที่สาวน้อยที่อยู่ตรงหน้าอย่างตกอยู่ในภวังค์ หัวใจถูกปกคลุมไปด้วยไออุ่น ภายในใจรู้สึกอบอุ่นนัก จึงถามด้วยเสียงอ่อนโยน “อาเหยียน ให้ข้าหมดแล้ว เจ้ากินอันใด?”ท่านหญิงจิ้งหนิงกล่าวอย่างไม่ใส่ใจนัก “ข้ากินทุกปี ปีนี้กินไปหลายลูกแล้ว กินจนหายอยาก ตอนนี้ไม่ได้สนใจเท่าใดแล้ว พอดีเจ้าชื่นชอบ จึงเอามามอบให้เจ้า”เมิ่งจิ่นเหยาเม้มริมฝีปาก “ขอบใจมากนะอาเหยียน”ท่านหญิงจิ้งหนิงยิ้มอย่างขัดเขิน “ไม่ต้องเกรงใจ ก่อนที่ข้าจะนำมา ได้ใช้น้ำแข็งรักษาความสดไว้ด้วย เจ้าให้คนไปเอาน้ำแข็งมาสักหน่อย มิเช่นนั้นอากาศร้อนแล้ว มันจะเสียได้ง
ถือโอกาสที่ตอนนี้แสงอาทิตย์ยังไม่แรงเกินไป เมิ่งจิ่นเหยาพาท่านหญิงจิ้งหนิงไปเดินเล่นภายในจวนเพียงแต่ ดูเหมือนกับท่านหญิงจิ้งหนิงจะคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมภายในจวน จึงรู้ว่าด้านใดมีสะพาน ด้านใดมีศาลา และริมสระน้ำด้านใดเย็นมากกว่ากันเมิ่งจิ่นเหยาประหลาดใจเล็กน้อย “อาเหยียน ดูเหมือนว่าเจ้าจะคุ้นเคยกับจวนท่านโหวอยู่บ้าง”ท่านหญิงจิ้งหนิงตอบตามความจริง “ข้ามาที่จวนฉางซินโหวหลายครั้งแล้ว ตอนที่จัดงานเลี้ยงวันเกิดของฮูหยินผู้เฒ่า ดังนั้นจึงคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมภายในจวนอยู่บ้าง” นางกล่าว แล้วหันไปมองเมิ่งจิ่นเหยา “ใช่แล้ว ตอนที่เจ้าแต่งงาน ข้าก็อยู่ด้วย ข้ามาดื่มสุรามงคลกับท่านแม่”เมิ่งจิ่นเหยาเข้าใจ “ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง”ท่านหญิงจิ้งหนิงกล่าวอีกว่า “วันนี้ข้ามาอย่างหุนหันพลันแล่นเช่นนี้ ยังไม่ได้ไปเยี่ยมคารวะฮูหยินผู้เฒ่าเลย”มาเป็นแขกที่เรือนของผู้อื่น ไปทักทายผู้อาวุโสเสียหน่อย เป็นมารยาทพื้นฐานเมิ่งจิ่นเหยากล่าวตอบ “เช่นนั้นเจ้าก็มาผิดจังหวะแล้วละ เมื่อวานแม่สามีของข้าไปพักอยู่ที่วัดเป็นการชั่วคราว คาดว่าอีกสองสามวันถึงจะกลับมา”ท่านหญิงจิ้งหนิงก็ไม่ได้แปลกใจ เพียงแค่พยักหน
กู้จิ่งซีมองใบหน้าที่หลับใหลอย่างสงบของแม่นางน้อย ท่าทางไร้การป้องกันแม้แต่น้อย ทันใดนั้นเขาก็เริ่มรู้สึกว่าตนเองคิดมากเกินไป เดิมทีพวกเขาก็เป็นสามีภรรยากัน ทำตามใจชอบบ้างก็ไม่เป็นไร ระมัดระวังตัวมากเกินไปกลับไม่เหมือนสามีภรรยากันเสียด้วยซ้ำ แม่นางน้อยคิดที่จะใช้ชีวิตร่วมกันกับเขาตลอดไปจริง ๆ ถึงได้เป็นเช่นนี้……วันต่อมาเมิ่งจิ่นเหยาเพิ่งจะกินข้าวเช้าเสร็จได้ไม่นาน กำลังเตรียมตัวไปอ่านหนังสือเพื่อฆ่าเวลาเสียหน่อย ก็มีสาวใช้เข้ามารายงานว่าท่านหญิงจิ้งหนิงมาที่นี่นางตะลึงเล็กน้อย รู้สึกจับต้นจนปลายไม่ถูกนิดหน่อย ไม่รู้ว่าอยู่ ๆ ท่านหญิงจิ้งหนิงมาหานางทำไม จึงรีบกำชับว่า “รีบไปเชิญท่านหญิงจิ้งหนิงเข้ามาเร็วเข้า”ผ่านไปไม่นาน สาวใช้ก็พาท่านหญิงจิ้งหนิงมาที่เรือนเวยหรุยเซวียนเมื่อเมิ่งจิ่นเหยามองเห็นท่านหญิงจิ้งหนิง ก็มองสำรวจอย่างละเอียด เห็นนางดูท่าทางสบายดี และก็ดูไม่ได้มีเรื่องอันใดเช่นกันเมื่อเห็นดังนั้น ท่านหญิงจิ้งหนิงก็ขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ น้ำเสียงแฝงไปด้วยความสงสัย “นั่นมันสายตาอันใดของเจ้า? ไม่ยินดีต้อนรับข้ากระนั้นหรือ?”เมิ่งจิ่นเหยาเกรงว่านางจะเข้าใจผิด จึงรีบส่าย
เมิ่งจิ่นเหยาลอบมองเขาด้วยสายตาแปลกประหลาด กล่าวคำพูดที่ทำให้ผู้อื่นตกใจไม่หยุด “หรือว่าวันที่อากาศร้อนเช่นนี้ ยังจะให้ข้าปิดไว้อย่างมิดชิดเหมือนตอนฤดูหนาวอีกหรือเจ้าคะ? ในเมื่อท่านใส่ใจกับความเป็นสุภาพบุรุษของตนเอง ไยถึงไม่คิดที่จะปกป้องตัวเองบ้างเล่า? บางทีข้าอาจจะทำอันใดท่านก็ได้นะเจ้าคะ?”นางขมวดคิ้วเล็กน้อย น้ำเสียงแฝงไปด้วยความขุ่นเคือง กำลังโมโหกู้จิ่งซีที่รบกวนการนอนของนาง อยู่ดีไม่ว่าดีมาห่มผ้าห่มให้นาง สุดท้ายทำให้นางร้อนจนตื่น ตอนนี้อยากนอนก็นอนไม่หลับแล้วเพียงแต่คำพูดที่นางพูดเมื่อครู่ล้วนเป็นความจริงทั้งหมด ไม่ต้องพูดว่ากู้จิ่งซีทำไม่ได้ ไม่สามารถที่จะทำอันใดนางได้ แม้ว่ากู้จิ่งซีจะทำได้ นางก็ไม่มีทางปฏิเสธ ถึงอย่างไรตอนนี้ก็เป็นสามีภรรยากันแล้วร่วมเรียงเคียงหมอนมานานถึงเพียงนี้ นับจากนี้ต้องใช้ชีวิตที่เหลือร่วมกัน เพียงแค่นอนหลับเท่านั้นเอง ยังต้องยึดติดว่าสวมเสื้อผ้าหนาพอหรือไม่? เดิมทีฤดูร้อนก็ไม่เหมาะที่จะสวมใส่เสื้อผ้าที่หนาอยู่แล้ว จะอึดอัดและทำให้ป่วยเอาได้เพราะคำพูดนี้ของนาง ในเวลานี้บรรยากาศจึงได้แข็งค้าง กู้จิ่งซีตะลึงงัน การเคลื่อนไหวของพัดก็หยุดชะงักลง ห
เคยลิ้มรสชาติของชีวิตที่ขื่นขม พอตอนนี้กำลังมีชีวิตที่ดี กินดีอยู่ดี ยังมีอันใดที่ต้องพิถีพิถันกัน? ตอนนี้เป็นแบบนี้ นางก็พึงพอใจมากแล้วเมื่อกินอาหารเย็นเสร็จ เมิ่งจิ่นเหยาก็เคลื่อนไหวเล็กน้อยอยู่ภายในเรือนเพื่อย่อยอาหาร หลังจากนั้นก็อาบน้ำผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า เตรียมตัวพักผ่อนว่ากันว่า สามีภรรยาอยู่ร่วมกันมานาน ก็จะยิ่งปลดปล่อยมากขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ระมัดระวังตัวมากเกินไปเหมือนตอนที่แต่งงานกันใหม่ ๆกู้จิ่งซีรู้สึกว่าคำพูดนี้สมเหตุสมผล ทว่าคนที่ปลดปล่อยไม่ใช่เขา แต่เป็นแม่นางน้อยต่างหาก ตอนที่เพิ่งแต่งงานกันยังระมัดระวังตัว นอนหลับอย่างสงบเสงี่ยม เกรงว่าจะสัมผัสร่างกายของเขาโดยไม่ทันได้ระวังน่าจะเป็นเพราะทุกวันนี้ เขาไม่ได้ทำอันใดที่เกินเลย แม่นางน้อยจึงยิ่งปฏิบัติต่อเขาอย่างวางใจหรือจะบอกว่า แม่นางน้อยไม่ได้มองว่าเขาเป็นบุรุษก็ได้เหมือนดังเช่นตอนนี้ เขาเพิ่งจะอาบน้ำเสร็จ กลับมาที่ห้องนอน ก็มองเห็นแม่นางน้อยกำลังนอนหลับสนิทอยู่บนเตียง เพราะว่าชอบอากาศหนาว จึงไม่ได้ห่มผ้าห่ม สวมเพียงชุดนอนที่บางเบาเท่านั้น ผ้าที่ทำจากไหมนั้นบางเบามาก ถึงขนาดสามารถมองเห็นชุดซับในสีชมพูรากบัวที่อยู่
กู้จิ่งซีรู้สึกแค่เพียงไม่คาดคิดเท่านั้น เดิมทีไม่ได้คิดที่จะถือสาเรื่องเล็กน้อยแค่นี้ ทว่าเมื่อเห็นแม่นางน้อยอับอายเสียจนหน้าแดง สีหน้าท่าทางขัดเขินไม่กล้ามองตนเองอย่างไม่รู้ว่าจะทำเช่นไรดี คำพูดที่กล่าวออกมาจึงแฝงไปด้วยการหยอกเย้า “ฮูหยินใช้ข้าเป็นสาวใช้แล้วหรือ”เมื่อได้ฟังดังนั้น เมิ่งจิ่นเหยาก็มองไปทางเขาอย่างฉับพลัน บุรุษผู้นั้นยิ้มมุมปาก ดวงตามองตนเองอย่างหยอกล้อ รู้สึกละอายใจและขุ่นเคืองขึ้นมาในทันที อดไม่ได้ที่จะตอกกลับ “มิใช่ว่าท่านพี่อยากเป็นสาวใช้หรอกหรือ? ข้าก็ทำตามความปรารถนาของท่านพี่แล้วมิใช่หรือเจ้าคะ?”กู้จิ่งซีรู้ว่าเมื่อใดควรหยุด หากทำให้แม่น้อยร้องไห้ขึ้นมาก็คงจะจบไม่สวยเท่าใดนัก จึงตอบรับด้วยรอยยิ้ม “อืม ฮูหยินพูดถูกแล้ว ข้าเต็มใจเอง ตอนนี้ข้ายังมีธุระต้องไปจัดการ ฮูหยินกินเองเถิด”เขาพูดพลางเอาเปลือกกับเมล็ดของลิ้นจี่วางไว้บนโต๊ะ แล้วหยิบผ้าสีเหลี่ยมสีน้ำเงินขึ้นมาเช็ดมือ เตรียมที่จะจากไปเมิ่งจิ่นเหยาเหลือบมองลิ้นจี่ที่เหลืออยู่พลางถามว่า “ท่านพี่ไม่ถือโอกาสกินตอนที่ยังสดใหม่อยู่สักหน่อย แล้วค่อยไปทำงานหรือเจ้าคะ?”กู้จิ่งซีส่ายศีรษะ “ฮูหยินกินเถิด ข้าไม่ค
เขาเอื้อมมือไปหยิบที่ปอกเปลือกแล้วมาหนึ่งลูก จากนั้นก็ยื่นไปที่ปากของแม่นางน้อย พลางกล่าวอย่างหยอกเย้า “ฮูหยิน เพียงแค่มองดูอย่างเดียวลิ้มลองรสชาติไม่ได้ ลองชิมดูก่อนดีหรือไม่?”เมิ่งจิ่นเหยาได้สติกลับมา ก็เห็นเขาแย้มยิ้มมองตนเอง ดวงตาอันอ่อนละมุนคู่นั้นช่างน่าหลงใหลยิ่งนัก จึงอ้าปากรับการป้อนของเขาโดยไม่รู้ตัว กัดหนึ่งคำเบา ๆ เนื้อของลิ้นจี่ราวกับผิวที่เนียนนุ่ม อ่อนนุ่มและสดชื่น มีรสหอมหวานในปาก กลิ่นหอมกรุ่น หวานอมเปรี้ยวเล็กน้อย รสชาติดีเยี่ยม ทำให้ชวนนึกถึงรสชาติที่เหลืออยู่ในปากเมื่อเห็นนางหรี่ตาลง ใบหน้าเต็มไปด้วยความพอใจ ถึงขั้นทำให้หวนนึกถึง กู้จิ่งซียิ้มพลางถามว่า “อร่อยขนาดนั้นเชียวหรือ?”เมิ่งจิ่นเหยาพยักหน้า “อร่อยเจ้าค่ะ ผ่านมานานหลายปีได้กินอีกครั้ง ยังเป็นรสชาติที่อยู่ในความทรงจำอยู่เลยเจ้าค่ะ” เมื่อนับเวลาจากที่นางกินลิ้นจี่ครั้งที่แล้ว ก็คือสิบปีก่อน ตอนนั้นท่านปู่ได้รับลิ้นจี่มาจากสหายนิดหน่อย ลูกเดียวยังทำใจกินไม่ลง นำกลับมาป้อนใส่ท้องนางทั้งหมด เวลานั้นนางยังไม่เข้าใจความล้ำค่าของลิ้นจี่ รู้เพียงแต่ว่าอร่อยเท่านั้น ต่อมาท่านปู่เสียชีวิตไป นางก็ไม่ได้กินอีกเ
จวนฉางซินโหว เรือนเวยหรุยเซวียนเมิ่งจิ่นเหยานั่งอยู่บนตั่งกุ้ยเฟย กำลังฟังชุนหลิ่วกับหนิงตงอ่านบันทึกเรื่องเล่าแปลกประหลาด ชุนหลิ่วรับผิดชอบอ่านบทบรรยาย ส่วนหนิงตงอ่านบทสนทนาชิงชิวอยู่ด้านหนึ่งคอยปอกเมล็ดแตงให้เมิ่งจิ่นเหยา ส่วนเซี่ยจู๋ก็คอยพัดวีให้เมิ่งจิ่นเหยาอยู่อีกด้านหนึ่งวันนี้ไม่ถือว่าร้อนนัก ในช่วงไม่กี่ชั่วยามที่ร้อนที่สุด ภายในห้องจะวางตู้น้ำแข็งเอาไว้เพื่อลดอุณหภูมิ เมื่อผ่านยามเซินไปแล้วจะไม่ร้อนเท่าใดนัก ก็จะนำตู้น้ำแข็งออก ภายในห้องยังหลงเหลือความเย็นสบายอยู่เล็กน้อย แค่พัดสักนิดหน่อยก็พอแล้วเมิ่งจิ่นเหยาหรี่ตาลงอย่างสบาย ช่างสำราญใจยิ่งนักเมื่อกู้จิ่งซีกลับมา ก็มองเห็นฉากนี้ เขาตะลึงงันเล็กน้อย แม่นางน้อยที่อยู่แต่ในเรือนมิดชิดช่างรู้จักเพลิดเพลินใจยิ่งนัก เขาไม่เคยให้สาวใช้สองสามคนมาปรนนิบัติเช่นนี้เสพสุขขนาดนี้มาก่อน “ท่านโหว”เมื่อสาวใช้ทั้งสี่คนมองเห็นกู้จิ่งซี ก็รีบคารวะให้เขาเมิ่งจิ่นเหยาเงยหน้ามอง บุรุษในชุดขุนนางสีแดงเข้มกำลังก้าวเท้าเดินมาทางนาง จึงส่งเสียงเรียกออกมา “ท่านพี่” เมื่อสังเกตเห็นกล่องอาหารที่ถืออยู่ในมือของเขา ก็เอ่ยถามอีกว่า “ท่านพี
กู้จิ่งซีกล่าว “ร่างกายของสตรีเทียบไม่ได้กับบุรุษ ยิ่งต้องระวังสุขภาพให้ดี อย่าสัมผัสความเย็น หากความเย็นเข้าสู่ร่างกายจะได้รับความทรมานได้ หากว่าง่วงนอนก็กลับไปนอนที่เตียง ระวังจะเป็นหวัดเอา”เมิ่งจิ่นเหยาตะลึงไปชั่วขณะ เมื่อคิดถึงสุขภาพของตนเอง ดวงตาก็หม่นลง หันมาพยักหน้าแผ่วเบาพลางกล่าวว่า “เจ้าค่ะ ข้ารู้แล้ว” กล่าวจบ นางก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนา “ตอนนี้ท่านพี่มีเวลาหรือไม่เจ้าคะ? มิสู้พวกเรามาเดินหมากกันสักตาดีไหมเจ้าคะ?”กู้จิ่งซีตอบรับอย่างยินดี “ได้”เมิ่งจิ่นเหยาไปเอากระดานหมากมา ทั้งสองคนเดินหมากกันผ่านไปราว ๆ ครึ่งชั่วยาม แพ้ชนะก็ได้ถูกตัดสิน ผลลัพธ์ไม่เกินความคาดหมายแม้แต่น้อย เมิ่งจิ่นเหยาพ่ายแพ้แล้ว นางกำลังมองดูกระดานหมาก แม้เสียใจก็สายไปแล้วกู้จิ่งซีเห็นนางขมวดคิ้ว ใบหน้าเต็มไปด้วยความเสียใจ ท่าทางแทบอยากจะย้อนเวลากลับไปในทันที มุมปากก็ยกขึ้นเล็กน้อยจนยากที่จะมองเห็น พลางกล่าวด้วยเสียงอ่อนโยน “ฮูหยิน เมื่อวานข้าก็บอกเจ้าแล้ว การระแวดระวังนั้นเป็นเรื่องดี แต่หากระมัดระวังมากเกินไปจะเสียเรื่องได้ง่าย ตอนนี้แพ้ชนะได้ถูกตัดสินแล้ว เสียใจไปก็ไร้ประโยชน์”เมิ่งจิ่นเหยาไม่ย