เมื่อหลี่หว่านเอ๋อร์เห็นคนรักสีหน้าซีดขาว นางก็หวาดหวั่นจนสั่นสะท้านไปทั่วร่าง แม้แต่ซื่อจื่อของจวนโหวก็ถูกปฏิบัติเช่นนี้ แล้วสภาพของนางจะดีไปกว่ากันเท่าใด? ท่านพี่ซิวหมิงแม้แต่ตัวเองก็เอาไม่รอด แล้วจะปกป้องนางได้อย่างไร? เมิ่งจิ่นเหยาเหลือบตามองชายหญิงที่ต่อให้คุกเข่าอยู่บนพื้น ก็ยังอิงแอบอยู่ข้างกันคู่นี้คราหนึ่ง แล้วจึงหันไปถามชายที่อยู่ข้างตนว่า “ท่านพี่ แล้วแม่นางหว่านเอ๋อร์ผู้นี้จะทำเช่นไรดี? ก็ไม่รู้ว่าเป็นบุตรสาวของบ้านใด หากบิดามารดานางรู้ว่านางทำเรื่องเช่นนี้ออกมา เกรงว่าคงโมโหไม่เบา แม้การหนีตามกับจะเป็นเรื่องที่ต่างเต็มใจทั้งสองฝ่าย ทว่าก็ยังคงต้องจัดการให้ดี” วินาทีก่อนหน้า หลี่หว่านเอ๋อร์ยังกังวลกับจุดจบที่นางต้องเผชิญ เวลานี้ เมื่อเมิ่งจิ่นเหยากล่าวถึงนางขึ้นมา หัวใจทั้งดวงของนางก็เครียดเกร็งไปหมด ภาพเบื้องหน้าพร่าเลือนอีกครั้งไปด้วยหยดน้ำตา นางน้ำตาไหลรินเป็นทาง มองสามีภรรยาคู่นั้นด้วยดวงตาหวาดกลัว กู้จิ่งซีมองสำรวจหลี่หว่านเอ๋อร์ คิ้วขมวดเข้าหากันเล็กน้อย แม่นางที่ทำให้บุตรอกตัญญูคนนี้ของเขา หนีตามกันไปโดยไม่สนใจหน้าตาของวงศ์สกุลผู้นี้ รูปลักษณ์จัดได้ว่างาม แม้รู
“สามหาว!” กู้จิ่งซีตำหนิด้วยความโกรธ สีหน้าเคร่งขรึมลงอย่างเห็นได้ด้วยตาเปล่า คิดไม่ถึงว่า บุตรบุญธรรมที่ยามปกติรู้ความมีมารยาท ทั้งยังกตัญญูผู้นี้ จะยังมีด้านที่เลวร้ายเช่นนี้ด้วย ตนยังไม่ทันตาย ก็กล้ากล่าววาจาเราะร้ายกับผู้อาวุโสแล้ว หากตนตายไป ยังไม่รู้ว่าแม่นางน้อยผู้นี้จะถูกปฏิบัติอย่างไร เขาโกรธไม่เบา มีความโมโหอยู่ในน้ำเสียง “หากนางเป็นหญิงอสรพิษ ยามนี้ แม่นางหว่านเอ๋อร์ที่พฤติกรรมปล่อยเนื้อปล่อยตัวผู้นี้ ก็คงไม่ได้เหยียบย่างเข้าประตูสกุลกู้แล้ว ไม่ว่าเจ้าจะชอบอย่างไร ก็ได้แต่เลี้ยงไว้ข้างนอก เป็นเพียงสตรีที่ถูกเลี้ยงอย่างหลบๆ ซ่อนๆ อยู่นอกจวนเท่านั้น เจ้าไม่เคารพผู้อาวุโสซ้ำแล้วซ้ำเล่า เห็นได้ว่ายังไม่สำนึก ดูท่าคงเป็นเพราะบทลงโทษเบาเกินไป เช่นนั้นก็เพิ่มอีกห้าแส้แล้วกัน” หากเพิ่มอีกห้าแส้ มิเท่ากับโทษโบยยี่สิบห้าแส้หรือ? ในใจของกู้ซิวหมิงบังเกิดความหวาดกลัวขึ้นมา มองผู้เป็นบิดาอย่างไม่อยากเชื่อ ไม่อยากเชื่อว่าท่านบิดาที่เลี้ยงดูเขามาหลายปี คิดจะตีเขาถึงตายเพียงเพราะสตรีนางเดียว ดูท่าความสามารถในการล่อลวงคนของเมิ่งจิ่นเหยาผู้นี้จะมีมากเหลือเกิน ไม่เสียทีที่มีใบหน้าเช่นน
กู้จิ่งซีมองภรรยาตัวน้อยวางมาดผู้อาวุโสอย่างเต็มที่ ทั้งที่อายุน้อยกว่าบุตรอกตัญญูคนนั้นของเขาด้วยซ้ำ ก็เกิดความรู้สึกไม่สอดคล้องอยู่บ้าง หากไม่สนใจใบหน้าอ่อนเยาว์ดวงนั้นของนาง ก็ออกจะมีท่าทีของผู้เป็นมารดาอยู่บ้างจริงๆ เขาแอบยกมุมปากอย่างยากสังเกต ซิวหมิงเมื่อต้องมาเจอกับสาวน้อยนางนี้ ก็ได้แต่ยอมรับความพ่ายแพ้เท่านั้น หลังเงียบไปเป็นเวลานาน ซิวหมิงก็ก้มหัวให้กับเมิ่งจิ่นเหยาเป็นครั้งแรก ขอร้องว่า “ท่านพ่อ ท่านแม่ หลังโทษกักบริเวณจบลง ลูกอยากหาวันดีรับหว่านเอ๋อร์เข้าจวน ขอท่านพ่อกับท่านแม่โปรดให้ลูกได้สมหวังด้วย” ผู้ฉลาดย่อมปรับตัวตามสถานการณ์ เหตุผลนี้เขารู้ดี เขากับหว่านเอ๋อร์เป็นสามีภรรยาทางพฤตินัยแล้ว หากนางตั้งครรภ์ขึ้นมา แล้วยังไม่สามารถเข้าจวน เด็กก็จะกลายเป็นลูกนอกสมรส หรือมีโอกาสที่ถูกผู้อาวุโสสั่งให้ดื่มยาแท้งบุตร เพื่อรักษาชื่อเสียงของสกุลกู้ไว้ด้วย เมื่อกู้จิ่งซีได้ฟัง คิ้วก็ขมวดเข้าหากันแน่น เขาถามเสียงหนักว่า “ภรรยาเอกยังไม่แต่งเข้ามาก็รับอนุก่อน เรื่องนี้มีเหตุผลหรือ? สกุลที่มีชื่อเสียงทรงอำนาจสกุลใดก็ไม่อาจยอมรับเรื่องเช่นนี้ ยังไม่ทันแต่งภรรยาเอกเข้าบ้านก็จะรับอนุ
เมื่อเรื่องราวได้บทสรุป หลี่หว่านเอ๋อร์ก็ถูกส่งกลับบ้าน ส่วนกู้ซิวหมิงถูกคุมตัวไปที่โถงบรรพชน เตรียมลงโทษตามกฎสกุล กู้จิ่งซีเหลือบตามองชุนหลิ่วและบ่าวรับใช้ที่อยู่ด้านข้างครั้งหนึ่ง คนทั้งสองก็เข้าใจในทันที รีบกล่าวรับรองว่า “ท่านโหวโปรดวางใจ เรื่องที่เกิดเมื่อครู่ข้าน้อย จะไม่แพร่งพรายออกไปแม้แต่ครึ่งคำเจ้าค่ะ” เมื่อได้ยินดังนั้น กู้จิ่งซีก็พยักหน้าเล็กน้อย แล้วออกจากห้องหนังสือไป เมื่อเมิ่งจิ่นเหยาเห็นดังนั้น ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็สาวเท้าตามไป เจ้านายทั้งสองคนจากไปแล้ว ชุนหลิ่วจึงออกจากห้องหนังสือเช่นกัน บ่าวรับใช้เดินตามมาเป็นคนสุดท้าย เขาปิดประตูลงแต่มิได้ติดตามไป เพราะเขาเป็นข้ารับใช้ชาย ที่ทำงานในเรือนหน้าเท่านั้น ออกจากห้องหนังสือ พึ่งเดินไปได้ไม่กี่ก้าว กู้จิ่งซีก็ชะงักฝีเท้าแล้วสั่งการว่า “ชุนหลิ่ว เจ้าสั่งให้คนไปรายงานเจ้านายแต่ละเรือนว่า ให้พวกเขาไปรวมตัวกันที่โถงบรรพชน ส่วนฮูหยินผู้เฒ่า ท่านอายุมากแล้ว ทำการกระทบกระเทือนไม่ไหว ก็ไม่ต้องแจ้งแล้ว” ชุนหลิ่วพยักหน้ารับคำ จากนั้นก็ไปจัดการทันที หลังชุนหลิ่วจากไป กู้จิ่งซีถึงได้มองไปยังภรรยาตัวน้อยที่อยู่ด้านข้าง เห็นภร
บรรยากาศในโถงบรรพชนเงียบสงัดจนรู้สึกประหลาด ยังคงเป็นนางจางที่เอ่ยปากทำลายความเงียบงันขึ้นก่อน “ซิวหมิง เจ้าเป็นลูกชายคนเดียวของพ่อเจ้า เขารักเจ้าที่สุดแล้ว อีกครู่ก็ยอมรับผิดกับพ่อของเจ้าดีๆ แล้วขอให้เขาให้อภัยเสียเถอะ” กู้ซิวหมิงมิได้ตอบกลับ เขากำหมัดแน่น คุกเข่าโดยไม่ขยับแม้แต่น้อย หากบิดาของเขารักเขาจริง ก็คงไม่ลงโทษเขาอย่างหนักเพื่อบุตรสาวของครอบครัวตกอับนางหนึ่งแล้ว หลังจากนั้นไม่นาน กู้จิ่งซีสองสามีภรรยาก็มาถึงแล้ว เมื่อนางจางเห็นพวกเขามาถึง ก็เหลือบมองไปทางกู้ซิวหมิงครั้งหนึ่ง แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “น้องสาม ปกติแล้วซิวหมิงเด็กคนนี้เป็นมีมารยาทและรู้ความ ครั้งนี้แม้จะกระทำเรื่องราวอย่างบุ่มบ่ามไปสักหน่อย แต่ก็เป็นครั้งแรกที่ทำผิด มิสู้ลงโทษเล็กน้อยเป็นการตักเตือน เพื่อไม่ให้ทำผิดพลาดครั้งใหญ่ในอนาคตก็พอแล้ว เหตุใดต้องทำให้เป็นเรื่องใหญ่เช่นนี้ด้วยเล่า?” ทันทีที่คำพูดนี้ถูกกล่าวออกมา นางเฉินก็แอบเหลือบมองนางครั้งหนึ่ง แค่นเสียงเย้ยหยันอยู่ในใจ นางดูแคลนต่อความเสแสร้งแกล้งทำเป็นเห็นอกเห็นใจนี้ พี่สะใภ้ใหญ่คนนี้ ภายนอกชอบทำตัวเป็น ‘คนดี’ แต่ภายในกลับแอบสุมฟืนใส่ไฟ
ความหวังสุดท้ายถูกทำลายอย่างไร้ความปรานี หัวใจของกู้ซิวหมิงร่วงหล่นสู่ก้นบึ้งในพริบตา ร่างกายสั่นเทิ้มเล็กน้อย ต่อหน้าที่ตั้งป้ายวิญญาณของบรรพชน ภายใต้สายตาจ้องมองของทุกคน เขาต้องรับโทษตามกฎของตระกูล นอกจากความหวาดกลัวต่อกฎของตระกูลที่เกิดจากสัญชาตญาณแล้ว และมีความอัปยศอดสูอย่างรุนแรงด้วย หลายสิบปีมานี้ เขาเป็นลูกหลานคนแรกในสกุลกู้ที่ได้รับการลงโทษหนักหนาถึงเพียงนี้ วันหน้าเขายังเชิดหน้าอยู่ในสกุลกู้ได้อย่างไร?จากซื่อจื่อที่สูงศักดิ์กลายมาเป็นลูกหลานไม่เอาไหนที่กระทำความผิด ประหนึ่งร่วงจากเมฆลงสู่ปลักโคลน เกียรติยศถูกคนเหยียบย่ำอย่างโหดเหี้ยม ความอัปยศอย่างรุนแรงทำให้เขาเกิดความไม่ยินยอมและความเคียดแค้นอย่างมาก กู้จิ่งซีช่างเป็นบิดาที่ดีของเขาจริง ๆ ไม่แยแสความเป็นความตายของเขาเลย ผ่านไปสักพัก กู้ซิวหมิงถูกบ่าวรับใช้ถอดเสื้อตัวนอก สวมเพียงเสื้อตัวในสีขาวบนตัว เสื้อผ้าท่อนล่างไม่ได้ถอด จากนั้นก็ถูกบ่าวรับใช้จับนอนคว่ำบนม้านั่งยาวที่ทำด้วยไม้ ผู้ลงทัณฑ์ร่างกำยำที่ดูทรงพลังโบยแส้ใส่แผ่นหลังของกู้ซิวหมิงอย่างไร้ความปรานี จนเกิดเสียงดัง “เพียะ” จากนั้นก็เป็นเสียงร้อง “อ๊าก” โอดครวญข
ส่วนกู้เซวียนอี๋ผู้เป็นบุตรสาวจากภรรยาเอกของบ้านใหญ่และกู้เซวียนหลิงผู้เป็นบุตรสาวจากอนุภรรยาของบ้านรองก็หน้าซีดเผือด เดินจากไปโดยที่มีสาวใช้ช่วยประคอง ช่างน่ากลัวจริง ๆ!ท่านอาสามเข้มงวดกับบุตรชายเพียงหนึ่งเดียวขนาดนี้ หากมีสักวันพวกนางกระทำผิดขึ้นมา โดนแส้โบยหนึ่งทีก็รู้สึกกลัวแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงยี่สิบห้าที หากฟาดลงไปยี่สิบห้าที เกรงว่าแม่นางที่มีร่างกายบอบบางอย่างพวกนางอาจจะขึ้นสวรรค์ไปพบบรรพบุรุษได้เลย หลังจากที่ทุกคนจากไปแล้ว ภายในหอบรรพชนเหลือเพียงกู้จิ่งซีกับเมิ่งจิ่นเหยาเวลานี้ กู้จิ่งซีเพิ่งนึกถึงภรรยาตัวน้อยที่ยืนอยู่ข้างกายตน เมื่อเห็นนางหน้าซีดเผือด จ้องมองม้านั่งยาวที่ทำจากไม้เปื้อนเลือดตัวนั้นอย่างตกตะลึงจนตาค้าง เขาก็นึกถึงหลานสาวสองคนที่จากไปโดยต้องให้คนช่วยประคอง แม่นางน้อยผู้นี้อายุมากกว่าพวกนางแค่ปีเดียวเท่านั้น ย่อมตกใจกลัวอย่างแน่นอนกู้จิ่งซียื่นมือไปบดบังสายตาของนางไว้ เมื่อเห็นนางค่อย ๆ หันศีรษะมามองตนจึงถามนางว่า “กลัวหรือ?” เมิ่งจิ่นเหยาพยักหน้าอย่างซื่อตรง นางคิดว่าการโดนโบยยี่สิบห้าทีแตกต่างจากการโดนโบยยี่สิบห้าทีของสกุลกู้ราวฟ้ากับเหว นางคิดว่า
โถงโซ่วอันกลิ่นไม้จันทน์ลอยขึ้นบนกระถางธูปที่ทำจากหยก ก่อตัวเป็นควันสีขาวลอยวนอยู่ด้านบนกระถางธูป ราวกับมังกรขาวที่วนเวียนอยู่ในอากาศ กลิ่นหอมของไม้จันทน์อบอวลอยู่ภายในห้อง ทำให้ผู้ที่ได้กลิ่นรู้สึกผ่อนคลายเบิกบาน ฮูหยินผู้เฒ่ากู้นั่งพิงตั่งนุ่ม ๆ คิ้วขมวดขึ้นมาเล็กน้อย ขยับลูกประคำไม้จันทน์แดงในมือ หลับตาท่องบทสวด เวลานี้เอง เฝิงหมอมอ[1]ที่อยู่ข้างกายฮูหยินผู้เฒ่ากู้รีบเดินเข้ามาอยู่ข้างกายนาง แล้วกระซิบข้างหูนางว่า “ฮูหยินผู้เฒ่า ท่านโหวมาแล้วเจ้าค่ะ” ฮูหยินผู้เฒ่ากู้ได้ยินคำกล่าว มือที่ขยับลูกประคำก็ชะงักไป นางค่อย ๆ ลืมตาแล้วมองออกไป เห็นบุตรชายเดินมาหานางอย่างไม่ทุกข์ร้อน กู้จิ่งซีเดินมาอยู่หน้าฮูหยินผู้เฒ่ากู้ แล้วประสานมือคารวะนาง “คารวะท่านแม่” “เย่าหลิง นั่งลงสนทนากันก่อนสิ” ฮูหยินผู้เฒ่ากู้มองที่นั่งด้านล่าง บ่งบอกให้เขานั่งลง เย่าหลิงเป็นชื่อรองของกู้จิ่งซี เป็นนามรองที่ฉางซิงโหวผู้เฒ่าที่ล่วงลับไปแล้วตั้งให้แก่เขา ได้ยินว่าวันที่เขาเพิ่งเกิดนั้น ฉางซิงโหวผู้เฒ่าตั้งนามจริงและนามรองให้เขาไว้เรียบร้อยแล้วเขาเกิดในยามเช้าตรู่ ดวงตะวันลอยขึ้น สายลมอ่อน ๆ เย็นระร
กู้จิ่งซีค่อนข้างประหลาดใจ “เจ้าใช้วิธีใด ถึงทำให้เขารับสารภาพเร็วขนาดนั้น?”ฉีอวิ้นเหวินหยักไหล่ หัวเราะพลางกล่าว “นั่นไม่ใช่ความดีความชอบของข้า เมื่อวานมีแม่นางคนหนึ่งมาพบเขา ไม่รู้พูดอะไร เขาก็รับสารภาพแล้ว”เมื่อได้ยิน กู้จิ่งซีก็ขมวดคิ้วแน่น และสัมผัสได้ถึงสิ่งผิดปกติบางอย่าง “แม่นางผู้นั้นรู้ได้อย่างไรว่าเขาถูกจับตัว?”ฉีอวิ้นเหวินเหลือบมองเขาด้วยสายตาแปลก ๆ และถามกลับว่า “โจรขโมยหญิงงามที่มีชื่อเสียงฉาวโฉ่ และชั่วร้ายถูกจับตัวได้แล้ว เป็นเรื่องที่ใหญ่มาก เมื่อคืนข่าวนี้แพร่กระจายไปทั่วทั้งเมืองหลวงแล้ว หรือว่าเจ้าไม่รู้หรือ? ก็จริง น้องสะใภ้ป่วยแล้ว เจ้าไม่มีกระจิตกระใจจะสนใจเรื่องอื่นก็ปกติ”กู้จิ่งซีปรากฏสายตาที่รู้ทันออกมาฉีอวิ้นเหวินกล่าวอีกว่า “ข้าเห็นแม่นางผู้นั้นแต่งกายเป็นสาวชาวยุทธจักร ซึ่งน่าจะเป็นชาวยุทธจักร และคาดว่าจะมีความเกี่ยวข้องอะไรกับเขา แต่ว่าเรื่องนี้ไม่สำคัญมากนัก เพราะตอนนี้ไขคดีได้ก็พอแล้ว”......จวนฉางซินโหวกู้ซิวหมิงมาคารวะยามเช้าให้เมิ่งจิ่นเหยา เขามาสายก้าวหนึ่ง กู้จิ่งซีเพิ่งออกไป เขาก็เพิ่งจะมาถึงนับตั้งแต่การกักบริเวณสิ้นสุดลง ตราบใดที
เมิ่งจิ่นเหยาก็ไม่ปิดบัง และเล่าเรื่องที่พบหญิงวัยกลางคนในวัดหลินอวิ๋นเมื่อวานตอนบ่ายให้ฟังรอบหนึ่งพูดถึงช่วงสุดท้าย นางก็หัวเราะออกมาเบา ๆ “สวรรค์มีตาจริง ๆ จู่ ๆ ข้าก็ฉุกคิดอยากจะไปจุดธูปให้ท่านแม่ที่โถงหว่างเซิงของวัดหลิงอวิ๋น จึงได้พบอดีตบ่าวรับใช้ของท่านแม่ ท่านป้าท่านนั้นป่วยหนักมาก และเหลือเวลาไม่มากแล้ว หากเมื่อวานข้าไม่ได้ไปเจอนางที่วัดหลิงอวิ๋น ความลับนั้นคาดว่าข้าจะไม่มีทางรู้ไปตลอดกาลเจ้าค่ะ”กู้จิ้งซีสีหน้ามืดมนลง พลางละอายใจต่อวิธีที่พ่อตานั้นทำอย่างมาก แม้จะแต่งงานตามคำสั่งของบิดามารดาและการจับคู่ของแม่สื่อ พลางไม่มีความรักระหว่างชายหญิงต่อแม่ยายเขา จะปิดบังความจริงเพราะรู้สึกผิดก็ช่าง ยังปล่อยให้มารดาและแม่เลี้ยงปฏิบัติต่อบุตรสาวที่บริสุทธิ์อย่างรุนแรงอีกเขาเห็นแม่นางน้อยที่โกรธแค้นผสมปนเปกัน ก็ตบหลังมือของแม่นางน้อยเหมือนจะปลอบใจ และกล่าวอย่างเป็นนัยว่า “ฮูหยิน วิญญาณของแม่ยายที่อยู่บนสวรรค์จะไม่ปล่อยพวกเขาไปแน่”เมื่อได้ยิน สีหน้าของเมิ่งจิ่นเหยาก็ชะงักไป พลางสบตาเข้ากับสายตาที่มีความหมายลึกซึ้งของเขา ก็เข้าใจความหมายของเขา และยกรอยยิ้มที่อันตรายขึ้น “จริงด้วย
เมิ่งจิ่นเหยาถามเสียงเบาว่า “ท่านหมอ เป็นอย่างไรบ้าง?”หมอประจำจวนเก็บนิ้วมือทั้งสามข้อที่อยู่บนแขนของเมิ่งจิ่นเหยากลับลงไป พลางตอบกลับ “ฮูหยิน ท่านมีปมในใจจนเกิดอาการซึมเศร้า แถมยังได้รับความเย็นเกินไปอีก จึงทำให้จู่ ๆ ก็ไข้ขึ้นสูง และจำเป็นต้องใช้ยาคลายเครียดเสียหน่อยก็จะดีขึ้นขอรับ”เมิ่งจิ่นเหยาพยักหน้า “รบกวนท่านหมอแล้ว”“ไม่รบกวนขอรับ” หมอประจำจวนรีบส่ายหน้า และกล่าวอีกว่า “แต่ว่า ฮูหยินร่างกายอ่อนแอ ควรจะบำรุงร่างกายให้ดีตั้งแต่ยังสาวถึงจะได้นะขอรับ”มิ่งจิ่นเหยาฟังจบ ก็ไม่แปลกใจแม้แต่น้อย เพราะนางรู้มาโดยตลอดว่าตนเองร่างกายอ่อนแอ เจ็บป่วยง่าย โดยเฉพาะช่วงที่อากาศเย็น หากไม่ระวังนิดหน่อยก็จะเป็นหวัด เมื่อก่อนตอนอยู่บ้านมารดา นางไม่มีความพร้อมที่จะดูแลตนเอง ตอนนี้อยู่บ้านสามี นางใส่ใจเรื่องการกินมากขึ้น และได้ดื่มน้ำแกงบำรุงร่างกายอยู่เป็นประจำ ช่วงนี้นางจึงรู้สึกดีมาก สีหน้าก็ดูดีขึ้นแล้วนางกล่าวเสียงอ่อนโยน “ปกติข้าก็ดูแลตนเองอยู่แล้ว รบกวนท่านหมอจัดยาคลายเครียดให้ข้าก็พอ”หมอประจำจวนฟังจบ ก็จ่ายยาคลายเครียดให้นาง และให้สาวใช้ตามเขาไปเอายากลับมาต้มหลังหมอประจำจวนจากไป
บนรถม้าชิงชิวกับหนิงตงที่แทบไม่ได้นอนทั้งคืนนั่งพิงกัน และเผลอหลับไปเมิ่งจิ่นเหยาหายป่วยได้ไม่นาน ยังรู้สึกมึนศีรษะ คนทั้งคนก็หมดเรี่ยวแรง จึงเอนหลังพิงผนังรถม้าและหลับตาพักสมองทันใดนั้น รถม้าก็สั่นสะเทือน ท้ายทอยของนางกระแทกเล็กน้อย จึงรีบนั่งตัวตรง เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ศีรษะกระแทกอีกกู้จิ่งซีเห็นแม่นางน้อยขมวดคิ้ว พยายามฝืนให้มีชีวิตชีวาขึ้น นั่งตัวหลังตรง ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จึงยื่นมือโอบนางเข้ามาในอ้อมแขน และให้นางพิงหน้าอกของตนเอง เมื่อสบตาเข้ากับสายตาที่ตกใจของนาง ก็กล่าวด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “หากฮูหยิน อ่อนเพลีย ก็พิงข้าแล้วนอนเสียเถอะ”ตอนนี้เมิ่งจิ่นเหยารู้สึกทั้งตัวไม่มีแรง ศีรษะยังมึน ๆ อยู่ จึงไม่เกรงใจเขา และพิงอยู่บนตัวเขาด้วยความสบายใจอย่าดูถูกแม้กู้จิ่งซีดูจะตัวไม่ใหญ่มาก แต่หน้าอกกว้างใหญ่ พิงอยู่บนตัวเขาอบอุ่นสบายตัว แถมได้กลิ่นดอกกล้วยไม้ที่หอมละมุนจากตัวของเขา ก็รู้สึกสบายใจอย่างอธิบายไม่ถูก แต่กลับไม่มีอาการง่วงเลยบางทีเพราะถูกผู้ชายกอดไว้ในอ้อมแขนเช่นนี้ เลยรู้สึกไม่คุ้นชินหรืออาจเป็นเพราะได้ยินเสียงหัวใจของเขาเต้นตึกตักอยู่ข้างหู มันดังก้องอยู่ที่หู
ท่าทางที่ดูป่วยเช่นนี้ ดูน่าเป็นห่วงยิ่งนักคนที่มีไข้ขึ้นสูง ไม่ควรห่มผ้าจนอบอ้าว ไม่เช่นนั้นอาการป่วยจะแย่ลง เขาจึงเปิดผ้าห่มบางออกให้แม่นางน้อยผ่านไปไม่นาน หนิงตงก็ยกอ่างน้ำอุ่นมาด้วยความรีบร้อน โชคดีที่วัดหลิงอวิ๋นมีคนเข้ามาสักการะอย่างเนืองแน่น ปกติจะมีผู้แสวงบุญมาค้างคืน และมีผู้แสวงบุญจำนวนไม่น้อยที่มาจากครอบครัวร่ำรวย ดังนั้นเพื่อความสะดวกสบายของแขก ตอนกลางคืนภายในวัดก็มีกักเก็บน้ำร้อนไว้หนิงตงวางอ่างทองแดง พลางถาม “ท่านโหว น้ำอุ่นยกเข้ามาแล้ว ต้องทำอย่างไรหรือเจ้าคะ?”กู้จิ่งซีตอบกลับ “เช็ดหน้าผาก คอ รักแร้ และแขนขาให้ฮูหยินเพื่อระบายความร้อน”หนิงตงตอบรับ ยกอ่างทองแดงมาข้างหน้าทันที พลางวางอ่างน้ำไว้บนเก้าอี้ที่อยู่หน้าเตียง และเตรียมจะถอดเสื้อผ้าให้นายหญิง ก็มองไปทางกู้จิ่งซีโดยไม่รู้ตัว พบว่าเขาหันหลังให้พวกนาง นั่งอยู่บนเก้าอี้ข้างโต๊ะน้ำชาเมื่อเห็นดังนั้น หนิงตงก็ตกตะลึงเล็กน้อย และแอบพูดในใจว่า ท่านโหวเป็นสุภาพบุรุษจริง ๆ แม้จะเป็นสามีภรรยากับฮูหยิน ก็ไม่ได้ฉวยโอกาสเอาเปรียบหนิงตงไม่คิดอะไรมาก ก็ถอดเสื้อผ้าให้เมิ่งจิ่นเหยาด้วยความเคลื่อนไหวที่รวดเร็ว และเช็ดตั
ในวินาทีนั้น เมิ่งจิ่นเหยาทำจิตใจให้สงบ ก้มหน้าลงมอง เห็นว่าบาดแผลที่มือซ้ายใช้ผ้าพันแผลพันไว้เรียบร้อยแล้ว เมื่อมองเพียงแวบแรกดูท่าทางเหมือนว่าบาดเจ็บสาหัส จึงกล่าวออกมาอย่างอดไม่ได้ว่า “ตอนนี้เลือดไม่ซึมออกมาแล้ว อันที่จริงไม่พันแผลก็ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ”กู้จิ่งซีเหลือบมองนาง พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ถึงแม้ไม่ใช่บาดแผลสาหัส แต่หากไม่พันแผล เมื่อชนหรือกระแทกเข้าโดยไม่ระวังแล้วเลือดไหลออกมาอีก ไม่เป็นผลดีต่อการฟื้นตัว โดยเฉพาะบาดแผลที่ข้อศอก เนื้อผ้าเสียดสีก็อาจเจ็บได้เช่นกัน”เมิ่งจิ่นเหยาตะลึงเล็กน้อย แล้วพยักหน้าในทันทีหลังจากนั้นไม่นาน นางก็ถูกมือของกู้จิ่งซีดึงดูดความสนใจไป มือคู่นั้นเรียวยาวและขาวสะอาด ข้อต่อชัดเจน ราวกับหยกขาวที่แกะสลักอย่างประณีต ดูแล้วสบายตาสบายใจนักเมื่อหลุดออกจากความคิด นางก็ใจลอยอีกครั้งผ่านไปเป็นเวลานาน กู้จิ่งซีช่วยนางพันแผลจนเสร็จ และปล่อยมือของนาง เมื่อเห็นว่ามือขวาของนางยังยกอยู่ ก็กล่าวว่า “ฮูหยิน เสร็จแล้ว”แต่เมิ่งจิ่นเหยาดูเหมือนจะไม่ได้ยินคำพูดของเขา เขาจึงเรียกอีกครั้ง “ฮูหยิน?”เวลานี้ เมิ่งจิ่นเหยาถึงค่อย ๆ ได้สติกลับมา และพบกับส
เขากำลังเตรียมจะปลอบโยนนางสักหลายประโยค ทำให้อารมณ์ของแม่นางน้อยสงบลง แล้วค่อยถามให้ชัดเจนอีกครั้งว่าเกิดอันใดขึ้นกันแน่ ทว่าเวลานี้ หนิงตงได้ยกอ่างน้ำสะอาดเข้ามา เขาจึงกลืนคำพูดที่ติดอยู่ตรงริมฝีปากกลับเข้าไปหนิงตงนำอ่างน้ำมาวางไว้บนโต๊ะ ถามด้วยน้ำเสียงนอบน้อมว่า “นายท่าน ให้ใช้น้ำในอ่างเช่นไรเจ้าคะ?”กู้จิ่งซีกล่าวกำชับ “ไปหาผ้าสะอาด ๆ มา”หนิงตงรับคำ ไม่นานก็หาผ้าเช็ดหน้าสะอาดที่อยู่ในสัมภาระมาหนึ่งผืน ผ้านี้เตรียมไว้สำหรับให้นายหญิงของนางใช้ล้างหน้ากู้จิ่งซีเหลือบมองไปที่แม่นางน้อย ลังเลอยู่ชั่วครู่ จากนั้นก็รับผ้าเช็ดหน้ามา กล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ข้าคนเดียวก็พอแล้ว เจ้าออกไปก่อนเถิด”หนิงตงเหลือบมองนายหญิง เมื่อเห็นว่านายหญิงไม่ได้เอ่ยปากบอกให้นางอยู่ต่อ ก็รับคำแล้วถอยออกไปกู้จิ่งซีกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “มาล้างบาดแผลสักหน่อย ตอนที่เจ้าล้มลงไปเนื้อหนังถลอก แล้วบาดแผลก็เปื้อนฝุ่นด้วย”เมื่อได้ฟังดังนั้น เมิ่งจิ่นเหยาไม่ได้ลังเล ลุกขึ้นแล้วเดินมากู้จิ่งซีดึงมือของนาง ช่วยนางทำความสะอาดบาดแผลที่ฝ่ามือด้วยท่าทีที่อ่อนโยนเมื่อบาดแผลสัมผัสกับน้ำ เมิ่งจิ่นเหยาเจ็บปวดเส
กู้จิ่งซีจับจ้องนางอย่างไม่วางตา พลางถามด้วยเสียงอ่อนโยน “ฮูหยิน วันนี้เกิดเรื่องอันใดขึ้นงั้นหรือ?”เมื่อได้ฟังดังนั้น ใบหน้าของเมิ่งจิ่นเหยาก็เต็มไปด้วยความงุนงง พลางถามกลับไปว่า“เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ ท่านพี่ก็เห็นหมดแล้วมิใช่หรือเจ้าคะ?”นางกล้าพูดได้เลยว่า นางโตถึงเพียงนี้แล้ว ยังไม่เคยเจอเรื่องที่ตื่นเต้นระทึกขวัญเช่นนี้มาก่อน เพียงชั่วพริบตาเดียวที่รอดพ้นจากความตาย ชีวิตนี้ไม่คิดจะพบเจออีกเป็นครั้งที่สองกู้จิ่งซีเห็นสีหน้าของนางงุนงง ไม่ได้จงใจแสร้งทำเป็นฟังไม่เข้าใจ จึงสัมผัสที่ฝ่ามือของนางอย่างแผ่วเบา พลางถามต่อว่า “เกิดอันใดขึ้นกับมือนี้ของเจ้า? ล้มลงไม่สามารถเกิดบาดแผลเช่นนี้ได้”เมิ่งจิ่นเหยาตกตะลึงไปชั่วขณะ ก้มหน้ามองฝ่ามือของตนเอง บนฝ่ามือยังมีผลงานชิ้นเอกของตนเองเมื่อบ่ายอยู่ เมื่อคิดถึงเรื่องที่พบกับสตรีวัยกลางคนผู้นั้นขึ้นมาได้ ดวงตาของนางก็หม่นลงในฉับพลัน และอยากจะกำมือของตนเองแน่นอีกครั้งโดยไม่รู้ตัวกู้จิ่งซีที่สายตาเฉียบคมและมือไว รีบกุมมือทั้งสองข้างของนางไว้แน่น ขัดขวางการกระทำของนาง เล็บของนางจะได้ไม่บาดบาดแผลและมีเลือดไหลซึมออกมาอีกเล็บของแม่นางน้อยไ
เมื่อกู้จิ่งซีได้ฟังก็รู้สึกใจอ่อน พลางกล่าวอย่างอ่อนโยน “ให้ข้าดูหน่อย” เมื่อกล่าวจบ เขาก็ยอบกายลง ยกชายกระโปรงของนางขึ้น เตรียมจะดูอาการบาดเจ็บของนาง เมิ่งจิ่นเหยาสีหน้าชะงักค้าง กำลังจะเอ่ยปากขัดขวาง ทว่าเมื่อกลับมาคิดดูอีกทีแล้ว ต่างก็เป็นสามีภรรยาที่นอนหลับอยู่บนเตียงเดียวกัน ไม่จำเป็นต้องรักษาขอบเขตระหว่างชายหญิงอันใดหลังจากกู้จิ่งซียกชายกระโปรงของนางขึ้นแล้ว มือหนึ่งก็จับไปที่ข้อเท้าขวาของนาง ส่วนอีกข้างม้วนขากางเกงของนางขึ้น เมื่อม้วนขากางเกงไปจนถึงเหนือหัวเข่า ก็จะเห็นได้ว่าตรงหัวเข่าที่ถูกกระแทกตอนล้ม เป็นรอยฟกช้ำไปเรียบร้อยแล้ว ทว่าไม่ได้ร้ายแรงนักกู้จิ่งซีเห็นว่าบาดแผลไม่หนักมาก จึงวางขานางลง แล้วไปดูบาดแผลที่ข้อศอกของนางนางล้มลงไปข้างหน้า บาดแผลตรงข้อศอกจึงชัดเจนมากนัก เสื้อผ้าในฤดูร้อนจะค่อนข้างบางเบา เสื้อผ้าบริเวณข้อศอกล้วนมีร่องรอยขีดข่วนอย่างชัดเจนพอพับแขนเสื้อของนาง ก็เผยให้เห็นแขนที่ขาวราวกับหิมะ เมื่อพลิกข้อศอกก็สามารถมองเห็นได้ว่าผิวหนังถลอกและมีเลือดออกที่แขนทั้งสองข้างของนาง ผิวหนังโดยรอบบวมแดงเล็กน้อย บาดแผลนี้เมื่ออยู่บนมือที่เดิมทีขาวสะอาดไร้ที่ติรา